บ้านเขาเมืองเรา : ดร.ไสว บุญมา กรุงเทพธุรกิจ วันที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2548
ในช่วงนี้ทุกคนคงได้อ่านพยากรณ์ของโหรบางคน ตามด้วยการตอบโต้ของคนใหญ่คนโต และลูกไล่หลายคนแล้ว ผู้เฒ่าผู้แก่เคยเตือนผมว่า อย่าไปใส่ใจกับคำทำนายของหมอดูมากนัก เพราะหมอดูมักมาคู่กับหมอเดา ผมจึงมักสงสัยในความแม่นยำของคำพยากรณ์ ไม่ใช่ลบหลู่แต่มักฟังหูไว้หูเสมอ
แต่เมื่อบุคคลเช่น พอล โวลก์เคอร์ ออกมาพยากรณ์ ผมให้ความใส่ใจ ไม่ใช่ผมเชื่อโหรฝรั่งมากกว่าโหรไทย หากผมเข้าใจวิธีการพยากรณ์ของเขามากกว่า พอล โวลก์เคอร์ ไม่นำตำแหน่งของดวงดาวมาคำนวณ หากพยากรณ์บนฐานการกระทำของมนุษย์
พอล โวลก์เคอร์ เป็นใคร?
ผู้อยู่ในวงการธนาคารและการเงินมาเป็นเวลานานคงทราบแล้ว สำหรับผู้อยู่นอกวงการ ขอเรียนว่า พอล โวลก์เคอร์ เป็นนักเศรษฐศาสตร์อเมริกันชั้นแนวหน้าและเป็นประธานธนาคารกลางของสหรัฐอยู่ 8 ปีก่อนที่ อลัน กรีนสแปน จะเข้ามารับช่วงต่อ
ชาวอเมริกันมักพูดแบบทีเล่นทีจริงว่าผู้ที่มีอำนาจสูงสุดในสหรัฐไม่ใช่ประธานาธิบดี หากเป็นประธานธนาคารกลาง เรื่องนี้มีฐานความจริงอยู่บ้าง เพราะเวลาประธานาธิบดีพูดอะไรมักไม่มีใครให้ความสำคัญกับทุกคำพูด แต่เมื่อประธานธนาคารกลางเปล่งอะไรออกมา คำพูดของเขาทุกคำจะถูกนำไปตีความเพื่อขยายผล คำพูดเพียงคำเดียวอาจทำให้ตลาดหลักทรัพย์พุ่งขึ้นเป็นร้อยจุดหรือทรุดฮวบในพริบตา
ในช่วง 8 ปีที่ พอล โวลก์เคอร์ ดำรงตำแหน่งประธานธนาคารกลาง มีคนเงี่ยหูฟังทุกอย่างที่เขาเปล่งออกมา ตอนนี้เขาไม่มีตำแหน่งหรืออำนาจแล้ว แต่นั่นไม่ได้หมายความว่า เขาไม่ติดตามความเป็นไปในด้านต่างๆ อย่างใกล้ชิดหรือพูดอะไรไร้สาระ แต่น่าเสียดายที่ไม่ค่อยมีใครใส่ใจฟังเขาเช่นแต่ก่อน
เมื่อเร็วๆ นี้เขาออกมาบอกตรงๆ ว่า ไม่ช้าจะเกิดวิกฤติเศรษฐกิจ ผมเห็นว่าคำทำนายของเขาน่าจะมีประโยชน์จึงนำมาเล่า
ปัจจัยพื้นฐานที่จะก่อให้เกิดวิกฤติ ได้แก่ การบริโภคแบบสุดโต่งของชาวอเมริกัน ผู้ไปอยู่ในสหรัฐนานๆ จึงจะรู้ว่า ชาวอเมริกันใช้เงินเกินความจำเป็นขนาดไหน พวกเขาซื้อสารพัดจนปัจจุบันนี้เป็นหนี้เกือบจะท่วมหัว ชาวอเมริกันทั้งชาติไม่มีการออมทรัพย์เลย ทำให้สหรัฐต้องกู้เงินจากต่างประเทศอย่างน้อยวันละ 2 พันล้านดอลลาร์ จีน ญี่ปุ่นและเกาหลีเป็นเจ้าหนี้รายใหญ่ แม้แต่ไทยซึ่งไม่ร่ำรวยอะไรนักยังมีเงินให้ชาวอเมริกันกู้
นักเศรษฐศาสตร์เห็นพ้องต้องกันว่า ในภาวะเช่นนี้ รัฐบาลอเมริกันจะต้องใช้นโยบายการเงินและการคลังเพื่อลดการบริโภคของชาวอเมริกันลง จีนและประเทศในเอเชียที่มีการค้าเกินดุลกับสหรัฐจะต้องปล่อยให้ค่าเงินของตนขยับตัวสูงขึ้น ญี่ปุ่นและประเทศในกลุ่มตลาดร่วมยุโรปจะต้องใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจให้ขยายตัวมากขึ้น
นโยบายในแนวนี้ได้รับการกล่าวถึงมานาน แต่ในการประชุมประจำปีที่กรุงวอชิงตันเมื่อวันที่ 16-17 เม.ย.ที่ผ่านมา บรรดารัฐมนตรีคลังและผู้ว่าการธนาคารกลางของประเทศมหาเศรษฐี (G-7) พากันเลี่ยงประเด็นอย่างเห็นได้ชัด
ฉะนั้นโอกาสที่ประเทศต่างๆ จะปรับนโยบายในเร็ววันนี้จึงมีน้อยมาก ตามหลักเศรษฐศาสตร์พื้นฐานชาวอเมริกันจะไม่สามารถบริโภคแบบสุดโต่งต่อไปได้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด ฉะนั้นวันหนึ่งข้างหน้าพวกเขาจะต้องถูกบังคับให้ปรับตัวโดยวิกฤติเศรษฐกิจในแนวซึ่งเคยเกิดแล้วในช่วง 3 ทศวรรษที่ผ่านมา พอล โวลก์เคอร์ เองเป็นตัวจักรใหญ่ในการแก้วิกฤติครั้งนั้น
วิกฤติจะเกิดเมื่อไร? และจะมีอาการออกมาในรูปไหน?
วิกฤติจะเกิดเมื่อความเชื่อมั่นสั่นคลอนมากขึ้น และมีเหตุการณ์ภายนอกเป็นชนวนจุดระเบิด พอล โวลก์เคอร์ ไม่ได้บอกเวลาแน่นอนว่า วิกฤติจะเกิดเมื่อไร เขาพยากรณ์ไว้ก่อนที่ราคาน้ำมันจะพุ่งขึ้นสูงเป็นประวัติการณ์ ส่วนราคาน้ำมันจะเป็นชนวนหรือไม่ คงต้องรอดูกันต่อไป
ในด้านความเชื่อมั่น สัญญาณบ่งบอกเริ่มมีบ้างแล้ว เช่น เมื่อเร็วๆ นี้เกาหลีใต้ออกมาทำท่าว่าจะย้ายทุนสำรองออกจากสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ เพราะกลัวว่าค่าเงินดอลลาร์จะตกมากทำให้ทุนสำรองของเขาหดหายไปด้วย นั่นเป็นการคิดในระดับประเทศ
ส่วนการคิดในระดับบุคคลและสถาบันการลงทุนยังไม่มีสัญญาณแน่ชัดนัก นอกจากตลาดหลักทรัพย์ดูจะมีแนวโน้มต่ำลง ส่วนการย้ายเงินทุนออกจากสกุลดอลลาร์อย่างแพร่หลายก็ยังไม่เกิดขึ้น
อาการหนึ่งของวิกฤติ ได้แก่ เศรษฐกิจของสหรัฐเริ่มถดถอย ทุกคนคงเคยได้ยินคำพูดที่ว่า "สหรัฐจามเมื่อไร ประเทศเล็กๆ ทั้งหลายจะเป็นปอดบวมทันที" คำพูดนี้มีฐานของความเป็นจริงเพราะเศรษฐกิจของสหรัฐมีขนาดใหญ่ราว 25-30% ของเศรษฐกิจโลก ประเทศต่างๆ อาศัยกำลังซื้อของสหรัฐเป็นหัวจักรในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ
สหรัฐลดซื้อเมื่อไรประเทศเหล่านั้นจะประสบปัญหาทันที ตอนนี้ยังไม่มีสัญญาณของการถดถอย พอล โวลก์เคอร์ แนะนำว่า แทนที่จะมองข้ามปัญหาไป รัฐบาลควรถือโอกาสปรับนโยบายในตอนนี้ แต่เนื่องจากไม่มีรัฐบาลไหนปรับนโยบายตามที่ควรจะทำ โดยนัยเขาจึงบอกให้เราในฐานะเอกชนเตรียมรับมือไว้ให้พร้อม
อาการของวิกฤติ 3 ด้านเริ่มมีสัญญาณปรากฏแล้ว นั่นคือ ค่าของเงินดอลลาร์อ่อนตัวลงเมื่อเทียบกับเงินสกุลสำคัญๆ เช่น เงินยูโรและเงินเยน อัตราดอกเบี้ยค่อยๆ ขยับตัวขึ้น และสินค้าเริ่มขึ้นราคาในอัตราสูง ผมอ่านจากสื่อเมื่อเร็วๆ นี้ว่า รัฐบาลไทยอาจย้ายทุนสำรองบางส่วนออกจากดอลลาร์ ถ้าเป็นเช่นนั้นจริงจะลดความเสี่ยงได้มาก แต่รัฐบาลไทยดูจะไม่มีนโยบายลดการบริโภค ตรงข้ามยังดำเนินนโยบายกระตุ้นการบริโภคต่อไปจนคนไทยเป็นหนี้แทบไม่ต่างกับคนอเมริกันแล้ว
หากถามผมว่าจะเตรียมตั้งรับอย่างไร? ผมเห็นว่า ผู้รู้จักบริหารเงินแล้วคงไม่ต้องเตรียมตัวอะไรมาก คอลัมน์นี้ประจำวันที่ 4 มี.ค.มีข้อเสนอของผมอยู่บ้าง ขอเน้นว่าในภาวะเงินเฟ้อซึ่งมีโอกาสเกิดขึ้นค่อนข้างสูง ผู้เชี่ยวชาญมักแนะนำให้เก็บสินทรัพย์ไว้ในรูปของอสังหาริมทรัพย์และของมีค่า ผมขอเรียนย้ำว่า ถ้าไม่มีความเชี่ยวชาญในด้านนั้นจริงๆ กรุณาอย่าไปเสี่ยง โอกาสขาดทุนมีอยู่สูง
เห็นยังไงกันบ้าง อ่านแล้วเสียวอ่ะ เลยเอามาแบ่งกัน

จาก http://www.nidambe11.net/ekonomiz.htm