มั่งคั่งด้วยหุ้น ลงทุนอย่างมีคุณค่า

เชิญมาพักผ่อน คลายร้อนนั่งเล่น คุยกันเย็นๆ พร้อมเรื่องกีฬา สัพเพเหระ ทัศนะนานา ชีวิตชีวา สุขภาพทั่วไป บันเทิงขำขัน รอบเรื่องเมืองไทย ชวนเที่ยวที่ไหน อยากไปก็นัดมา ...โย่วๆ
ภาพประจำตัวสมาชิก
Paul VI
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 10538
ผู้ติดตาม: 0

Re: ชมรมหมอ VI

โพสต์ที่ 3031

โพสต์

รูปภาพ
ภาพประจำตัวสมาชิก
Paul VI
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 10538
ผู้ติดตาม: 0

Re: ชมรมหมอ VI

โพสต์ที่ 3032

โพสต์

รูปภาพ
ภาพประจำตัวสมาชิก
Paul VI
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 10538
ผู้ติดตาม: 0

Re: ชมรมหมอ VI

โพสต์ที่ 3033

โพสต์

รูปภาพ
ภาพประจำตัวสมาชิก
Paul VI
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 10538
ผู้ติดตาม: 0

Re: ชมรมหมอ VI

โพสต์ที่ 3034

โพสต์

อ่านแล้วเห็นว่ามีประโยชน์กับเพื่อนๆ โดยเฉพาะเรื่องไม่มีเวลา

เอามาฝากเผื่อเอาไปใช้กับชีวิตประจำวันครับ

ธุรกิจ : CEO Blogs
วันที่ 11 กรกฎาคม 2554 10:58

พอใจ พุกกะคุปต์
ถอดรหัสธุรกิจ

เราทุกคนมีวันละ 24 ชั่วโมงเท่ากัน ดังนั้น ไม่มีใครต่ำต้อยน้อยหน้าใครไปกว่ากันเรื่องเวลา ขึ้นกับฝีมือของแต่ละท่านว่าจะสามารถใช้เวลาตัวดีให้มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลมากน้อยแค่ไหน

ที่ผ่านมา เราคุยกันถึงพฤติกรรมของเราที่เพียรกลั่นแกล้งเวลาให้เขางง 3 ข้อ คือ 1.ปฏิเสธไม่เป็น 2.กระจายงานไม่ถนัด 3.เรียงลำดับสับสน

วันนี้มีอีกประเด็นมาหารือค่ะ

4. กระหน่ำทำทุกอย่างในเวลาเดียวกัน คนทำงานจำนวนไม่น้อยต้องเผชิญปัญหากับภารกิจที่ประชิดตัวพัวพัน ทำให้มีพฤติกรรมเหมือนคนสมาธิสั้น ได้หน้าลืมหลัง เพราะพยายามทำทุกอย่างในเวลาเดียวกัน

มีการวิจัยเชิงพฤติกรรมมากมายขยายผลจนฟันธงได้ว่า สมองก้อนน้อยของเรา เขาไม่เข้าใครออกใคร ถ้าใช้เขาไม่เป็น ให้เขาทำหลายๆ อย่างในเวลาเดียวกันก็ได้ ไม่ว่า แต่เรื่องความถูกต้องแม่นยำ ต้องทำใจยอมมองแบบขำๆ เพราะสมองจะต่อรองว่า กรุณาเลือกเอาระหว่าง ทำมาก กับ ทำถูก

ยิ่งหากต้องทำเรื่องใหม่ เรื่องยาก เรื่องลำบาก ที่ต้องใช้ความคิด เช่น แอบกดโทรศัพท์ระหว่างขับรถบนถนนที่ไม่เคยคุ้น แถมสอดส่ายสายตาลุ้นในแสงสลัวว่ามีตำรวจคอยตรวจจับหรือไม่ ผลคือ หายนะเศร้าเหมาตะกร้า ที่หาดูได้ไม่ยากบนท้องถนน

มีการวิจัยเรื่องข้างต้นมากมายว่า หากทำหลายอย่างระหว่างขับขี่ยานพาหนะ ความแม่นยำจะตกต่ำลง 20% เป็นอย่างน้อย และสูงถึง 50 -100% ในหลายกรณีที่เกิดอุบัติเหตุ

หลายท่านอาจมีประสบการณ์คล้ายๆ ทำหลายอย่างได้ดีไม่มีที่ตินะจ๊ะในขณะเดียวกัน กระนั้นก็ดี หากลองจับจ้องมองดูอย่างมีสติ จะพบว่าบางครั้งอาจทำได้ แต่ไม่นิ่ง ไม่นาน

ยิ่งเป็นงานที่เราไม่คุ้น ต้องคิดต้องพิจารณา สมองจะเริ่มต่อว่า และงอแง เหมือนสั่งให้คอมพิวเตอร์ตัวเก่งเร่งทำอะไรพร้อมๆ กัน สักพักเขาจะชะงัก เล่นแฮง แพลงกิ้ง แน่นิ่งให้เห็น

เพราะเราทำได้ดีทีละเรื่องเท่านั้น พูดโทรศัพท์ไปตอบอีเมล์ไป มิใช่เกิดพร้อมๆ กัน แต่เป็นการสลับช้าบ้าง เร็วบ้าง ระหว่างการฟัง คิด พูด อ่าน คิด(นิดหน่อย) พิมพ์(พลาด) กด(ใหม่ เพราะกดผิด) พูดตอบโต้ (โดยไม่ทันฟัง ทั้งยังไม่ทันคิด) อ่าน(ซ้ำ อ่านครั้งแรกไม่เข้าใจ เพราะมัวไพล่ไปพูด) งุ่นง่าน พาล จด ฯลฯ ประสิทธิภาพย่อมลดอย่างไม่ต้องสงสัย

ทักษะการจัดลำดับไหล่และแบ่งเวลาให้แต่ละเรื่องที่ต้องทำ จึงจำเป็นอย่างยิ่ง

คราวที่แล้วเราคุยกันเรื่อง 80 /20 ซึ่งถือเป็นศาสตร์ที่ขาดไม่ได้ อะไรที่เป็น “หัวใจ” ต้องใส่ใจก่อน แล้วค่อยไปดำเนินการกับต่อมน้ำลาย ปลายประสาทติ่งหู และ รูขุมขน

อีกหนึ่งวิธี คือ การจัดลำดับเรื่องที่ต้องทำ ว่าอะไรสำคัญมาก สำคัญน้อย เร่งด่วนมาก หรือ เร่งด่วนน้อย
เราแต่ละคน จะมีตัวดูดเวลาที่แตกต่างกัน อาทิ บางคนพูดโทรศัพท์ทั้งวัน โทรศัพท์เครื่องใหม่ไม่ต้องเข้าคิวรอใคร ดังเมื่อไร ต้องรับก่อน งานอื่นใดรอได้ ไม่สำคัญเทียมเท่า

วิธีแก้คือ ต้องจัดให้ได้ว่าอะไรเร่ง อะไรสำคัญ

สิ่งที่สำคัญมากและเร่งมาก ย่อมต้องทำก่อนแน่นอน เช่น ลูกค้ารายสำคัญโกรธเป็นฟืนเป็นไฟเพราะส่งสินค้าให้ผิด สิ่งไหนที่สำคัญน้อย แต่เร่งมาก เช่น รุ่มร้อนใจต้องนินทาเจ้านายด่วน อาจต้องรอ ขอตัว

ปรากฏการณ์ที่น่าสนใจ คือ สิ่งที่สำคัญมาก แต่ไม่เร่งด่วน มักถูกละเลย เหมือนเป็นประเด็นกระพี้ ไม่มีแก่นสาร

สิ่งเหล่านี้ มีอาทิ การใช้เวลาคิด ใคร่ครวญ ตรึกตรองทบทวนตัวเอง การวางแผน การพัฒนาตน ทั้งด้านงาน ด้านร่างกาย จิตใจ และความสัมพันธ์กับคนรอบข้าง โดยเฉพาะคนที่สำคัญกับชีวิตเรา เช่น เพื่อนแท้ พ่อ แม่ ผู้มีพระคุณ

วิธีแก้ คือ ตั้งใจ มุ่งมั่น เลือกแบ่งเวลาให้กับสิ่งสำคัญเหล่านี้โดยไม่หวั่นไหว ไม่เหยาะแหยะ ไม่แก้ตัวไปวันๆ ว่าไม่มีเวลา

ชีวิตนี้สั้นนัก จะดับจิตไปเมื่อไรก็ไม่รู้

อะไรที่สำคัญ เลิกผัดวันประกันพรุ่ง มิฉะนั้น มีแต่จะรุ่งริ่งเรื้อรัง ได้แต่นั่งถอนหายใจ...ไม่สนุกค่ะ
http://www.bangkokbiznews.com/home/deta ... 2-!-3.html
ภาพประจำตัวสมาชิก
Paul VI
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 10538
ผู้ติดตาม: 0

Re: ชมรมหมอ VI

โพสต์ที่ 3035

โพสต์

เอามาจากห้องสินธร คุณ I'8N เขียนไว้ดีมากครับ

ถ้าไม่นับที่พูดเล่นกันว่า ไวไว เข้าไวออกไว หรือว่าติดหุ้นแล้วถือยาวรอจังหวะคนไล่ราคากลับมา ซึ่งเป็นการพูดสนุก อย่างน้อยโลกก็ไม่มืดมนเกินไป
การเป็น VI นั้น ไม่ยากอย่างที่คิด
แค่เราคิดก่อนซื้อ ว่ามันจะคุ้มหรือเปล่า ก็เริ่มเป็น VI แล้ว
การประเมินมูลค่า-คุณค่า หรือ Valuation ฟังดูเหมือนขลัง แต่ที่จริง ก็เหมือนกับเรากำลังชั่งใจว่าจะซื้อยาสีฟัน 4-5 ยี่ห้อบนหิ้งใน supermarket แล้วเปรียบเทียบดูปริมาณ คุณภาพ ราคา ดูว่าตอนนั้นมันมีโปรโมชั่น ต่างจากยี่ห้ออื่นอย่างไรในตลาด ซื้อแล้ว "คุ้ม" รึเปล่า
ยิ่งถ้าคุณเป็นแม่ค้าพ่อค้าร้านโชห่วย คุณคิดต่อว่า จะเอาไปขายต่อได้ราคาดีแล้วกำไรเท่าไหร่ ขายออกหรือไม่ นี่คือการประเมินคุณค่าจริงๆ


ต้นตำรับเดิมอาจาารยเกรแฮมนั้น ซื้อหุ้นตอนที่มันลดราคา หรือราคายังต่ำกว่ามูลค่าที่ควรจะเป็น จะหาหุ้นมูลค่าเตี้ยติดดิน แล้วถือรอให้มันขึ้น
ส่วนปู่บัฟฟ์จอมแหกคอก วิธีการจะต่างจากอาจารย์ ตอนเริ่ม ก็ยึดวิถีอาจารย์เป๊ะๆ หลังจากปรับตัวและมาคบเพื่อนทนายชื่อชาร์ล มังเกอร์ ซื้อกิจการที่โตแล้ว พิสูจน์ฝีมือมานานแล้ว แต่ประเมินว่า ยังโต (growth) ได้อีกมาก แม้จะดู PE แพง
บางทีก็หาจังหวะตลาดตกใจหนักๆ แม้ราคาจะดูแพง ก็ถือว่าพอใช้ได้แล้ว เพราะของดี เดี๋ยวตลาดกลับมา มันจะเด้งกลับเสมอ
อย่างเช่นหุ้นตำนานที่ยังถือทุกวันนี้ และเป็นสัดส่วนใหญ่สุดของปู่คือ โค้ก เป็นต้น



ใครที่ซื้อหุ้นแบบเหวี่ยงๆ ดูแค่จังหวะตลาด ดูราคาขึ้นลง แล้วทิ้งไว้ บังเอิญโชคดี ตลาดขาขึ้น หุ้นเลยขึ้นตาม ก็ยังไม่ถือว่าเป็น VI จริง เพราะไม่ได้ valuation อะไรเลย เป็นแค่การเก็งกำไรธรรมดา ไม่ต่างกับการแทงไฮโลหรือซื้อหวยปึกใหญ่
แค่ต่างกับนักเก็งกำไรรายวัน ตรงที่อดทนถือยาวแค่นั้นเอง


แต่ผมเชื่อว่าทุกคนทำได้
ส่วนหนึ่ง คือการไขว่คว้าหาความรู้และฝึกทีละนิด ทีละหน่อย เอาแค่อ่านตัวเลขสรุป highlight ง่ายๆ ใน set.or.th/settrade.com ก่อน ยังไม่ต้องแกะงบก้ได้ แล้วไล่เข้าไปทีละนิดทีละหน่อย
ถ้าคุณบวกลบคูณหารได้ ไม่ต้องถึงขั้นดิฟ อินทิเกรท sin cos tan ซะเมื่อไหร่

ข้อมูลเขาเปิดเผยเต็มตลาด และพยายามสร้างกรอบ ระเบียบ กฎหมาย ให้เปิดเผยข้อมูลจริง คนยุคปัจจุบันข้อมูลท่วมหัวบางอย่าง หาได้ในเวลาไม่กี่นาที ได้เปรียบยุคพล็อตกราฟด้วยมือนัก แต่คนจำนวนมากก็ไม่อ่านหรือไม่ไขว่คว้า ทั้งที่ได้มาง่ายๆ



อีกส่วนหนึ่ง ที่หาอาจารย์สอนได้ยาก ต้องฝึกหาภูมิต้านทานกันเองคือ "ใจ" ที่จะไม่วอกแวก ในวิถีทาง
บางคนขี้เกียจที่จะหาข้อมูลมาประเมิน หรือบางคนประเมินแล้ว หุ้นวิ่งเป็นนิดหน่อยไม่ได้ หรือหุ้นตกไม่กี่เปอร์เซ้นต์ก็เสียขวัญ อยากขายแล้ว

ส่วนนี้ เป็นปัจจัยที่ผลใหญ่หลวง ทำให้คนที่เรียนมาเหมือนกัน ตำราเดียวกัน ซื้อหุ้นตัวเดียวกัน ทำกำไรหรือขาดทุนได้ต่างกันตรงนี้นี่เอง



V: Value ต้องทำ Valuation คือประเมินราคาหุ้นที่เราจะซื้อ ทั้งในแง่ตัวเลขและคุณภาพ ศักยภาพ
แล้วลงมือซื้อ ถ้าเห็นว่าราคามันอยู่ในจังหวะที่มีเพดานจะโตได้อีก (upside) หรือรอจังหวะแล้วแต่ประเมิน
รวมถึงปลอดภัยพอ ถ้าตลาดมันตกมากๆ หรืออาจมีปันผลช่วยยันช่วงวิกฤติ

แล้วก็ขายเมื่อเห็นว่าราคาเกินมูลค่าที่ประเมินไว้ หรือพื้นฐานกิจการเปลี่ยน (เช่น ผู้บริหารทำงานพลาด หรือโกงจนบริษัทล่ม หรือสินค้า/บริการสู้ชาวบ้านไม่ไหวในตลาดแล้ว เป็นต้น)



ที่จริงไม่เกี่ยวกับถือสั้นหรือยาวเลย ถ้าบังเอิญซื้อวันนี้ แล้วพรุ่งนี้ ตลาดเห็นคุณค่าตามที่ประเมินไว้ ก็อาจขายได้
หรือเห็นกิจการมีปัญหา หรือพบข้อมูลใหม่รู้ว่าประเมินพลาดไป ทิ้งไว้ ก็ประเมินอีกเช่นกัน ว่าจะแย่ยิ่งกว่า ถือเป็นการเสียโอกาส ในการลงทุน 2-3 วันก็อาจขายได้


ส่วนใครจะประเมินได้ลึกขนาดไหน ก็ขึ้นกับความสามารถของแต่ละคน ที่จะศึกษาไขว่คว้าหาข้อมูล ยิ่งรู้มาก ก็ยิ่งลดความเสี่ยงมาก
ซึ่งถ้าเรารู้สึกเสียดายเงิน ว่าเรากำลังจะลงทุน ถ้าข้อมูลไม่พอ เราก็จะไม่เสี่ยงซื้อเป็นอันขาด เหมือนเอาเงินไปฝากไว้ในมือโจร แล้วคิดว่าอาจใจดี ดูแลเงินเราดี สุดท้ายโขมยเงิน หรือทำเงินเราหายไปดื้อๆ
http://www.pantip.com/cafe/sinthorn/top ... 92654.html
ภาพประจำตัวสมาชิก
Paul VI
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 10538
ผู้ติดตาม: 0

Re: ชมรมหมอ VI

โพสต์ที่ 3036

โพสต์

ในที่สุดก็ได้ฤกษ์ถอย ipad 2 มาซะที กำลังฝึกให้คุ้นๆมืออยู่ครับ

ผมว่าดีมากโดยเฉพาะถ้าสายตาเริ่มยาว ไม่ต้องถอดแว่นเข้า ออก :mrgreen:
viหัดคลาน
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 229
ผู้ติดตาม: 0

Re: ชมรมหมอ VI

โพสต์ที่ 3037

โพสต์

แง้ :'O เพิ่งกลับจากใต้มาครับ เลยเพิ่งรู้ว่ารถออกไปแล้ว จะมีใครขับกลับมารับผมไหมเนี่ย 
ภาพประจำตัวสมาชิก
Paul VI
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 10538
ผู้ติดตาม: 0

Re: ชมรมหมอ VI

โพสต์ที่ 3038

โพสต์

viหัดคลาน เขียน:แง้ :'O เพิ่งกลับจากใต้มาครับ เลยเพิ่งรู้ว่ารถออกไปแล้ว จะมีใครขับกลับมารับผมไหมเนี่ย 

รถคันไหนครับที่ออก :D
ภาพประจำตัวสมาชิก
oatty
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 2444
ผู้ติดตาม: 0

Re: ชมรมหมอ VI

โพสต์ที่ 3039

โพสต์

Paul VI เขียน:ในที่สุดก็ได้ฤกษ์ถอย ipad 2 มาซะที กำลังฝึกให้คุ้นๆมืออยู่ครับ

ผมว่าดีมากโดยเฉพาะถ้าสายตาเริ่มยาว ไม่ต้องถอดแว่นเข้า ออก :mrgreen:
ได้มาแล้วก็แหกคุกเลยครับ
Www.jailbreakme.com
"ผู้ทรงธรรมนั่นแหละคือผู้ทรงเกียรติ ผู้มีความดีนั่นแหละคือผู้มีทรัพย์ ผู้รู้จักพอนั่นแหละคือมหาเศรษฐี" ว.วชิรเมธี
ภาพประจำตัวสมาชิก
Paul VI
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 10538
ผู้ติดตาม: 0

Re: ชมรมหมอ VI

โพสต์ที่ 3040

โพสต์

oatty เขียน:
Paul VI เขียน:ในที่สุดก็ได้ฤกษ์ถอย ipad 2 มาซะที กำลังฝึกให้คุ้นๆมืออยู่ครับ

ผมว่าดีมากโดยเฉพาะถ้าสายตาเริ่มยาว ไม่ต้องถอดแว่นเข้า ออก :mrgreen:
ได้มาแล้วก็แหกคุกเลยครับ
http://Www.jailbreakme.com
มันคืออะไร อธิบายมาคร่าวๆเลย โอ๊ต :?:

เพราะตอนนี้ยังไม่มีเวลาไปอ่านเลย :D
ภาพประจำตัวสมาชิก
oatty
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 2444
ผู้ติดตาม: 0

Re: ชมรมหมอ VI

โพสต์ที่ 3041

โพสต์

เจลเบรค คือ การปลดล็อกให้ไอโฟน ไอแพดสามารถลงโปรแกรมที่ไม่อยู่ใน apple store ซึ่งบางโปรแกรมมีความสามารถที่เราต้องการ เช่น iFile เป็นต้น หรือตัวปรับแต่งระบบบางอย่างไม่มีให้ใน app.store

app. บางตัวเราสามารถทดลองเล่นหรือใช้ตัว cracked ได้ ถ้าพอใจค่อยซื้อให้ถูกต้องทีหลังก็ได้ แต่ส่วนมากราคาไม่ค่อยแพง 0.99$ เอง แต่บางตัวเราไม่รู้เรื่อง ขืนซื้ออย่างเดียวก็เจ๊งเลย

พี่ลองไปอ่านเพิ่มเติมที่นี่ http://www.iphoneapptube.com/2011/04/ho ... nlock.html

ของผมเอง ซื้อมาก็ใช้เนตเป็นหลัก และโหลดวีดีโอภาษาให้ลูกดู ส่วนเกมส์ไม่ค่อยได้เล่น แต่ที่ชอบคือใส่โปรแกรม navigator นำทาง จับสัญญาณได้เร็วมาก และอีกอย่างที่ำสำคัญคือ settrade on ipad นั้นแหละ

-ที่ขาดไม่ได้คือ whatsapp on ipad ตอนนี้ใช้งานได้แล้ว มีวิธีทำเหมือนกัน แต่ต้องเจลเบรคก่อน
"ผู้ทรงธรรมนั่นแหละคือผู้ทรงเกียรติ ผู้มีความดีนั่นแหละคือผู้มีทรัพย์ ผู้รู้จักพอนั่นแหละคือมหาเศรษฐี" ว.วชิรเมธี
navapon
Verified User
โพสต์: 760
ผู้ติดตาม: 0

Re: ชมรมหมอ VI

โพสต์ที่ 3042

โพสต์

รอ QE3 ของUSA ถ้าเฟดใช้จริงๆ ผลกระทบค่าต่อเงินดอลล่าห์คงถูกเร่งปฎิกิริยาให้ด้อยค่าเร็วขึ้น มองแล้วน่าจะมีประโยชน์กับตลาดหุ้นไทย ถ้าใช้QE3จริง เราชาวหุ้นคงมีเฮ :B
เสียดายผมซื้อหุ้นไว้น้อยไปหน่อย
- จุดแข็งทางธุรกิจที่เลียนแบบได้ยาก มักต้องใช้ระยะเวลายาวนานในการสร้างและเพาะบ่มเสมอ ไม่สามารถเนรมิตได้ด้วยเงิน (สุมาอี้)
- จะเก่ง จะรวยหุ้น ก็ต้องใช้เวลาเพาะบ่มเช่นกัน เป็นวีไอ ต้องมี ศรัทธา ขยัน ประหยัด และ อดทน ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ ย่อมไม่ได้มาง่ายๆ
ภาพประจำตัวสมาชิก
Paul VI
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 10538
ผู้ติดตาม: 0

Re: ชมรมหมอ VI

โพสต์ที่ 3043

โพสต์

นอกเรื่องอีกนิดครับ ขอเอากลับมาแปะตอนนี้อีกทีครับ

ชอบมากๆครับ



What do people live for ?





...Dream
ภาพประจำตัวสมาชิก
Paul VI
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 10538
ผู้ติดตาม: 0

Re: ชมรมหมอ VI

โพสต์ที่ 3044

โพสต์

เอาบทความมาจาก ของพี่ป้อมพอใจ อีกทีครับ

เพิ่มค่าปรับ...แพทย์หนีใช้ทุน 20 ล้านบาท? บทความโดย นายแพทย์สุภัทร ฮาสุวรรณกิจ

มติชนออนไลน์ วันที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2554 เวลา 12:59:39 น.
http://www.matichon.co.th/news_detail.p ... 3&grpid=&a mp;catid=02&subcatid=0200

การใช้ทุนของแพทย์ คือการคืนทุนเพื่อรับใช้สังคม...

แม้ว่าการเรียนแพทย์นั้น จะไม่ได้รับทุนที่เป็นตัวเงินเหมือนทุนของโรงเรียนนายร้อยหรือโรงเรียนพยาบา ล เพราะการเรียนแพทย์นั้น ค่าเทอม ค่าเสื้อผ้า ค่าหนังสือ ค่าอาหาร สารพัดค่าใช้จ่ายทางตรงล้วนต้องจ่ายเองทั้งสิ้น

เหตุที่เรียกว่าแพทย์ใช้ทุนก็เพราะ...การเรียนแพทย์เป็นการเรียนการสอนที่ใช ้ทรัพยากรของหลวงอย่างมาก ทั้งอาคารสถานที่ อาจารย์แพทย์ก็ได้เงินเดือนจากภาษีประชาชน การสั่งใช้ยา การสั่งตรวจเลือด การทำหัตถการต่างๆ ล้วนเป็นค่าใช้จ่ายที่มองไม่เห็นในการเรียนการสอนทั้งสิ้น

ต้นทุนในการเรียนแพทย์ที่สำคัญที่สุด...ไม่ใช่เงิน แต่คือผู้ป่วยหลายร้อยหลายพันคนที่ยอมให้นักศึกษาแพทย์เย็บแผลทั้งๆ ที่มือยังสั่นอยู่ ทำคลอดลูกสุดที่รักของเขาโดยไร้ประสบการณ์ ผ่าตัดด้วยระยะเวลาการผ่าตัดยาวนานกว่าที่ควรจะเป็น หรือเจาะเลือด เจาะชิ้นเนื้อ ตรวจร่างกาย ตรวจภายใน เพื่อการเรียนรู้ทั้งๆ ที่อาจเกินจำเป็น รวมทั้งการสั่งใช้ยาโดยที่ยังอ่อนประสบการณ์

แม้ทั้งหมดนี้จะมีอาจารย์แพทย์ช่วยดูแลร่วมด้วย แต่ผู้ป่วยที่ยอมอุทิศร่างกายมาให้แพทย์ฝึกหัด ล้วนแต่เป็นผู้ป่วยที่มีฐานะไม่ร่ำรวย ส่วนคนมีฐานะที่พักในห้องพิเศษหรือคนไข้ในโรงพยาบาลเอกชน แทบจะหาไม่ได้ที่จะยอมมาเป็นครูให้นักศึกษาแพทย์เด็กๆ ได้เรียนรู้ ฝึกฝน ลองผิดลองถูกจนจบปริญญา และสิ่งนี้คือต้นทุนมูลค่ามหาศาล จนไม่อาจตีค่าเป็นเงินได้

เมื่อใช้ทรัพยากรหลวงอย่างมหาศาลในการสร้างเนื้อสร้างตัวขึ้นมา จากเด็กมัธยมกะโปโลจนได้เป็นนายแพทย์ ควรต้องกลับไปรับใช้สังคม ดูแลประชาชนด้วย

จึงมีการกำหนดกติกาให้แพทย์ต้องใช้ทุน 3 ปีหลังเรียนจบ เพื่อตอบแทนคุณแผ่นดินตั้งแต่ปี 2516 เป็นต้นมา

การใช้ทุนของแพทย์ จึงเป็นหัวใจของการคืนทุนเพื่อตอบแทนผู้ป่วย ตอบแทนประชาชนและสังคม ที่ได้อนุเคราะห์ให้แพทย์ได้เรียนรู้ ใช้ทรัพยากรในการฝึกฝน จนมีวิชาชีพที่จะสามารถสร้างเนื้อสร้างตัวให้เป็นคนมีฐานะมีเกียรติในสังคม

แม้แพทย์ส่วนใหญ่จะมีสำนึกของการใช้ทุนอยู่แล้วโดยไม่ต้องบังคับ

แต่แพทย์อีกกลุ่มใหญ่กลับไม่คิดเช่นนั้น ต้องการไปทำงานในโรงพยาบาลเอกชนหรือโรงพยาบาลใหญ่ในเมือง เพื่อสร้างเนื้อสร้างตัว ตามวิถีทุนนิยมและบริโภคนิยมต่อไป

การบังคับให้แพทย์ต้องใช้ทุน จึงเกิดขึ้นมาเพื่อแก้ไขปัญหาสมองไหลและขาดแคลนแพทย์ในชนบทของประเทศไทย หากไม่ใช้ทุนก็ต้องจ่ายค่าปรับสูงถึง 400,000 บาท ซึ่งถือว่าเป็นนวัตกรรมทางสาธารณสุขที่สำคัญยิ่งประการหนึ่ง และทำให้แพทย์กระจายไปในพื้นที่ชนบทรวมทั้งโรงพยาบาลของรัฐในต่างจังหวัด ขยับดีขึ้นตามลำดับ

แต่ปัจจุบัน เงินค่าปรับ 400,000 บาท “น้อย” เกินกว่าที่จะหยุดยั้งแพทย์ให้ใช้ทุนนาน 3 ปีอีกต่อไปแล้ว

แพทย์เกือบ 1 ใน 3 ที่ลาออกจากราชการก่อนใช้ทุนครบ ก็เพราะค่าปรับใช้ทุนเพียง 4 แสนบาทนั้น “เล็กน้อย” จนแทบจะซื้อรถยนต์คันเล็กๆ สักคันยังไม่ได้

มีความเห็นพ้องต้องกันว่า...ควรขึ้นค่าปรับสำหรับแพทย์ที่ไม่ประสงค์จะใช้ทุ น แต่ตัวเลขเงินค่าปรับที่จะกำหนดขึ้นมาใหม่แทนตัวเลข 400,000 บาทที่ใช้มาตั้งแต่ปี 2516 ยังมีการถกเถียงกันอยู่ ว่าตัวเลขใหม่ควรเป็นเท่าใด และเอาหลักเกณฑ์อะไรมาคิด

ในขณะนี้ตัวเลขที่เป็นทางการและถูกพูดถึงมี 2 ตัวเลขคือ

1. ค่าเทอมตลอด 6 ปีของคณะแพทยศาสตร์มหาวิทยาลัยรังสิต ซึ่งเป็นคณะแพทยศาสตร์เอกชนแห่งเดียว โดยค่าเทอมแพทย์รังสิต 350,000 บาท/ปี รวม 6 ปี เป็นเงิน 2,100,000 บาท...เมื่อเทียบกับเงิน 400,000 บาทที่ต้องใช้ทุนเดิม ก็จะเป็นเงินที่เพิ่มขึ้น 5.25 เท่า

2. งบประมาณรายหัวของนักศึกษาในโครงการผลิตแพทย์เพิ่มเพื่อชาวชนบทของกระทรวงสา ธารณสุข ที่ได้รับงบประมาณอุดหนุนจากรัฐบาลเป็นรายหัวๆ ละ 300,000 บาท/ปี รวม 6 ปี เป็นเงิน 1,800,000 บาท...เมื่อเทียบกับเงิน 400,000 บาทที่ต้องใช้ทุนเดิม ก็จะเป็นเงินที่เพิ่มขึ้น 4.5 เท่า

อย่างไรก็ตาม หากย้อนกลับไปมองจำนวนเงิน 400,000 บาทในอดีตเมื่อ 38 ปีที่แล้ว เงินจำนวนนี้มีค่ามากมายเพียงใด ดัชนีชาวบ้านที่ง่ายที่สุดได้แก่...

-ราคาทองคำในปี 2516 บาทละ 400 บาท ปัจจุบันทองคำราคาบาทละกว่า 20,000 บาท เพิ่มขึ้น 50 เท่า...หากคิดในฐานคิดนี้ ค่าปรับการไม่ใช้ทุนก็ควรจะเป็น 20 ล้านบาท

-ราคาน้ำมันดิบในปี 2516 บาร์เรลละ 3 ดอลลาร์สหรัฐ ปัจจุบันราคาประมาณ 120 ดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 40 เท่า...หากคิดในฐานคิดนี้ ค่าปรับการไม่ใช้ทุนก็ควรจะเป็น 16 ล้านบาท

- ราคาก๋วยเตี๋ยวในปี 2516 ชามละ 3 บาท ปัจจุบันชามละ 30-40 บาท เพิ่มขึ้น 10-13เท่า...หากคิดในฐานคิดนี้ ค่าปรับการไม่ใช้ทุนก็ควรจะเป็น 4-5 ล้านบาท

- และที่สำคัญ ปี 2516 เป็นปีแรกที่มีการกำหนดค่าแรงขั้นต่ำ ซึ่งเป็นตัวเลขที่สะท้อนค่าเงินที่ดีที่สุดตัวหนึ่ง โดยประกาศกระทรวงมหาดไทยฉบับแรก เรื่องค่าแรงขั้นต่ำ ประกาศฉบับที่ 1 วันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2516 ให้พื้นที่กรุงเทพมหานคร สมุทรปราการ ปทุมธานี นนทบุรี กำหนดค่าแรงขั้นต่ำที่ 12 บาท ปัจจุบันค่าแรงขั้นต่ำในพื้นที่กรุงเทพมหานครที่ประกาศใช้ 1 มกราคม 2554 อยู่ที่ 215 บาท เพิ่มขึ้น 18 เท่า...หากคิดในฐานคิดนี้ ค่าปรับการไม่ใช้ทุนก็ควรจะเป็น 7.2 ล้านบาทจะเห็นได้ว่า ไม่ว่าจะนำฐานคิดใดเข้ามาอ้างอิง ตัวเลขค่าปรับการไม่ใช้ทุนต้องเพิ่มสูงขึ้นแน่นอน

แต่หากนำมูลค่าตามเจตนารมณ์เดิมของการกำหนดให้แพทย์ต้องมีการใช้ทุน ก็ควรเพิ่มค่าปรับอย่างน้อย 7.2 ล้านบาท หรืออาจสูงถึง 10 ล้านบาทก็ไม่ได้เป็นปัญหาอะไร

เพราะหากแพทย์จบใหม่ที่มีอายุเฉลี่ย 24 ปี ออกไปปฏิบัติงานใช้ทุนครบ 3 ปี ก็ไม่ต้องเสียเงินค่าปรับแม้แต่บาทเดียว ซึ่งเมื่อครบใช้ทุนก็มีอายุเพียง 27 ปีเท่านั้น ยังมีพลังอีกมากมายในการกลับมาศึกษาต่อหรือย้ายเข้ามาทำงานใกล้ครอบครัวต่อไ ป

ปัจจุบัน กระแสทุนนิยมและบริโภคนิยมที่รุนแรงถั่งโถมเข้าท้าทายอุดมการณ์และจิตสำนึกใ นการรับใช้สังคมของวิชาชีพแพทย์มากพอสมควร การลาออกของแพทย์ไปอยู่ภาคเอกชน สร้างเนื้อสร้างตัว ทอดทิ้งคนชนบทให้ขาดแคลนแพทย์นั้น...มีให้เห็นมากขึ้น

กระทรวงสาธารณสุขจึงควรทำหน้าที่ปกป้องสุขภาพของประชาชน ไม่ใช่เล่นบทเดียวกับองค์กรวิชาชีพที่ทำหน้าที่ปกป้องแพทย์ด้วยการพยายามยกเ ลิกการใช้ทุน หรือยื้อที่จะไม่ปรับเพิ่มค่าปรับการใช้ทุน หรือเพิ่มให้เพียงเล็กน้อย

กระทรวงสาธารณสุขต้องมีจุดยืนที่จะกำหนดค่าปรับในการไม่ใช้ทุนให้สูงมากพอที ่จะทำให้แพทย์เกือบทุกคนยินดีไปใช้ทุน เพื่อตอบแทนคุณแผ่นดินกันอย่างถ้วนหน้า

ซึ่งค่าปรับที่มากกว่า 10 ล้านบาทเท่านั้นที่จะเป็นยาแรง ช่วยลดการลาออกระหว่างการชดใช้ทุนได้อย่างเห็นผล เพราะลำพังการเพิ่มค่าปรับจาก 4 แสนบาทมาเป็น 1.8 ล้านบาทหรือ 2.1 ล้านบาท ยังถือว่า “ไม่สูงพอ” ที่จะทำให้เกิดความเสมอภาคในการใช้ทุนเพื่อรับใช้ประเทศชาติในการดูแลสุขภาพ ของประชาชนไทยโดยเฉพาะในชนบท

ทุกวันนี้ รายได้ของแพทย์ที่ไปใช้ทุนในชนบทนั้น แม้จะไม่มากเท่ากับโรงพยาบาลเอกชน แต่ถ้ารวมกับการอยู่เวรนอกเวลาราชการด้วยแล้ว บางคนอาจมีรายได้เข้าใกล้หลักแสนบาทต่อเดือน ซึ่งไม่เอาเปรียบแพทย์ใช้ทุนจนเกินไปนัก

ที่ผ่านมา ทั่วโลกชื่นชมประเทศไทยที่ใช้มาตรการบังคับใช้ทุนของแพทย์เป็นเวลา 3 ปีหลังจบการศึกษา เพื่อแก้ไขปัญหาขาดแคลนแพทย์ในชนบท ซึ่งถือเป็นหัวใจสำคัญของการดูแลสุขภาพของประชาชนที่อยู่ห่างไกล

แต่ภาวะสมองไหลของแพทย์ “หนี” การใช้ทุน ที่เพิ่มสูงขึ้นจนน่าวิตก จึงเป็นเรื่องเร่งด่วนที่กระทรวงสาธารณสุขต้องหาคำตอบว่า...ค่าปรับ 10 หรือ 20 ล้านบาท เพื่อแลกกับการใช้ทุนของแพทย์นาน 3 ปี โดยไม่ต้องจ่ายแม้แต่บาทเดียว คำตอบไหนที่สังคมไทยจะได้ประโยชน์สูงสุด ก่อนที่การขาดแคลนแพทย์ภาครัฐจะวิกฤตมากกว่านี้

เอ ไม่รู้ตอนนี้ ได้ข่าวว่าจ่ายค่าปรับมากกว่า 4 แสนแล้วนะครับ หรือว่ายัง

แต่อ่านแล้วได้แต่เหนื่อยใจแทนหมอรุ่นใหม่ๆ :roll:
ภาพประจำตัวสมาชิก
Paul VI
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 10538
ผู้ติดตาม: 0

Re: ชมรมหมอ VI

โพสต์ที่ 3045

โพสต์

oatty เขียน:เจลเบรค คือ การปลดล็อกให้ไอโฟน ไอแพดสามารถลงโปรแกรมที่ไม่อยู่ใน apple store ซึ่งบางโปรแกรมมีความสามารถที่เราต้องการ เช่น iFile เป็นต้น หรือตัวปรับแต่งระบบบางอย่างไม่มีให้ใน app.store

app. บางตัวเราสามารถทดลองเล่นหรือใช้ตัว cracked ได้ ถ้าพอใจค่อยซื้อให้ถูกต้องทีหลังก็ได้ แต่ส่วนมากราคาไม่ค่อยแพง 0.99$ เอง แต่บางตัวเราไม่รู้เรื่อง ขืนซื้ออย่างเดียวก็เจ๊งเลย

พี่ลองไปอ่านเพิ่มเติมที่นี่ http://www.iphoneapptube.com/2011/04/ho ... nlock.html

ของผมเอง ซื้อมาก็ใช้เนตเป็นหลัก และโหลดวีดีโอภาษาให้ลูกดู ส่วนเกมส์ไม่ค่อยได้เล่น แต่ที่ชอบคือใส่โปรแกรม navigator นำทาง จับสัญญาณได้เร็วมาก และอีกอย่างที่ำสำคัญคือ settrade on ipad นั้นแหละ

-ที่ขาดไม่ได้คือ whatsapp on ipad ตอนนี้ใช้งานได้แล้ว มีวิธีทำเหมือนกัน แต่ต้องเจลเบรคก่อน

ขอบคุณครับ Oat

ตอนนี้ขอนอนคุกไปก่อนแป๊บนึง เอาไว้เลยชินๆซักพักรับรอง แหกคุกแน่นอน :mrgreen:

ขอบคุณ Oat ครับ มีไรก็แนะมาเรื่อยๆนะครับ ประสารุ่นน้อง Ipad
ภาพประจำตัวสมาชิก
Paul VI
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 10538
ผู้ติดตาม: 0

Re: ชมรมหมอ VI

โพสต์ที่ 3046

โพสต์

เอาความ เรื่องปัญหาของการใช้ทุนและความขาดแคลนของหมอมาฝากอีกครับ
จากค่าปรับ 4 แสนเป็น 20 ล้านบาท แก้ปัญหา แพทย์ขาดแคลน ได้หรือไม่?

Thu, 2011-07-14 02:14

นพ.พิทักษ์ วชิระศักดิ์มงคล
[email protected]

จากการที่ นพ.สุพรรณ ศรีธรรมมา โฆษกกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ได้ออกมาเปิดเผย ตัวเลขอันน่าตกใจเมื่อวันที่ 24 พ.ค. 2554 ว่า ตามแผนแม่บทกำลังคนด้านสาธารณสุข ปี 2554 ทั่วประเทศ มีความต้องการแพทย์ 40,620 คน โดยในส่วนของ สธ.ต้องการแพทย์ 22,855 คน ปัจจุบันมีแพทย์แล้ว 13,083 คน ยังขาดอีก 9,772 คน โดยขณะนี้แพทย์ 1 คน ดูแลประชากรเฉลี่ย 7,000 คน ทำให้เกิดกระแสตื่นกลัวการขาดแคลนแพทย์ และนายแพทย์สุภัทร ฮาสุวรรณกิจ ได้เขียนบทความเรื่อง"เพิ่มค่าปรับ...แพทย์หนีใช้ทุน 20 ล้านบาท?" นำเสนอทางมติชนออนไลน์ เมื่อวันที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2554 ทำให้มีผู้สงสัยว่า การเพิ่มค่าปรับแรงๆแบบนี้ จะแก้ปัญหา แพทย์ขาดแคลน ได้จริงหรือไม่ ? ผมขอแสดงทรรศนะส่วนตัวต่อคำถามนี้ เผื่อผู้ที่คิดนโยบายของรัฐบาลใหม่ ที่กำลังจะเกิดขึ้นในเวลาไม่นานนี้ จะได้นำไปพิจารณา

แพทย์ในระบบราชการขาดแคลนจริงหรือ?

ตามข่าวที่ท่านโฆษกแถลงว่าจำนวนแพทย์มีอยู่ 13,083 คน ยังขาดแพทย์อยู่อีก 9,772 คน ตัวเลขที่อ้างถึง เป็นตัวเลขที่อ้างอิงจากการคำนวณตามระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ (Geographic Information System-GIS) เฉพาะของกระทรวงสาธารณสุขเท่านั้น มิได้นับรวมของกระทรวงทบวงกรมอื่นๆ (กลาโหม, ทบวงมหาวิทยาลัย, สถานพยาบาลของส่วนท้องถิ่น,และของรัฐวิสาหกิจต่างๆ) อีกทั้งก็มิได้รวมสถานพยาบาลเอกชน ประเภทต่างๆเข้าไปด้วย ฉะนั้นการที่นับเฉลี่ยว่ามีแพทย์ 1 คน ดูแลประชากร 7,000 คนนั้น อาจจะไม่เป็นความจริง และในความเป็นจริงนั้น ตำแหน่งแพทย์ในโรงพยาบาลศูนย์ และโรงพยาบาลทั่วไปในจังหวัดใหญ่ๆ ส่วนมากเต็ม ไม่สามารถรับแพทย์เข้ารับราชการได้อีก ที่ขาดนั้นส่วนใหญ่เป็นโรงพยาบาลทั่วไปขนาดเล็กและโรงพยาบาลชุมชนชายแดนที่ห่างไกล กันดาร

เพิ่มค่าปรับ 4 แสนเป็น 20 ล้านบาท แก้ปัญหา แพทย์ขาดแคลน ได้จริงหรือ?

คำตอบของผมคือ "ได้" แต่จะมีผลเสียตามมามากมายดังต่อไปนี้คือ

นักเรียนที่มีศักยภาพสูงๆ อาจไม่นิยมเรียนแพทย์ต่อไป เพราะไม่มั่นใจในอนาคตตนเองว่า เรียนจบแล้ว จะต้องไปอยู่ป่าดง หรือชายแดนที่ไหน ทำให้มาตรฐานความรู้ความสามารถของแพทย์ไทยด้อยลงไป
มีการทำงานแบบอยู่แต่ตัว ไม่มีจิตวิญญาณ ทำงานแบบไม่ตั้งใจ ไม่ขยัน ไม่เอาจริงเอาจัง ซึ่งหากมีแพทย์เพียงบางคนที่เป็นแบบนี้ ยิ่งจะทำให้บรรยากาศการทำงานแย่ไปอีก เพราะผู้ที่ตั้งใจทำงาน จะรู้สึกว่าถูกเอารัดเอาเปรียบ และหมดกำลังใจไปด้วย

พอชดใช้ทุนหมด จะรีบหนี เพราะความรู้สึกจะเหมือนติดคุก เมื่อพ้นโทษ ก็จะต้องรีบหนีไปทันที
โรงพยาบาลห่างไกลที่อยู่ชายแดน ทุรกันดาร จะมีแต่หมอจบใหม่ ไม่มีประสบการณ์
อย่างไรก็ตาม มิได้หมายความว่าค่าปรับควรจะเป็น 4 แสนเท่าเดิม อาจเพิ่มขึ้นบ้างก็ได้ แต่ต้องไม่มากจนรู้สึกว่า เป็นสัญญาที่ไม่เป็นธรรม หรือสัญญาที่ละเมิดสิทธิมนุษยชน อย่างไรก็ตาม การจูงใจให้แพทย์ยอมอยู่ในระบบราชการโดยสมัครใจ น่าจะดี และได้ผลกว่าในระยะยาว

แพทย์ไม่อยากอยู่ในระบบราชการ เพราะค่าตอบแทนน้อย จริงหรือ?

สำหรับแพทย์จบใหม่ (แพทย์ใช้ทุน) แม้ว่า การรับราชการจะมีรายได้น้อยกว่าอยู่ภาคเอกชนถึงเกือบเท่าตัว แต่ก็มีข้อได้เปรียบเอกชนหลายอย่างได้แก่

มีบ้านพักในโรงพยาบาล ไม่ต้องเสียค่าเช่าบ้าน ใช้น้ำไฟ ฟรี
ประหยัดเวลา และค่าใช้จ่ายในการเดินทาง
สวัสดิการการรักษาพยาบาลทั้งบุตร, สามี, ภรรยา, บิดา, มารดา แถมยังเป็นสวัสดิการข้าราชการ ซึ่งมีสิทธิประโยชน์มากกว่าสิทธิประกันสังคมของภาคเอกชน
สามารถไปฝึกอบรม ดูงานระยะสั้นได้ โดยไม่ถือเป็นวันลา ทั้งยังเบิกเบี้ยเลี้ยง และค่าเดินทางได้ด้วย
สามารถไต่เต้าขึ้นไปเป็นผู้บริหารระดับต่างๆได้
มีสถานะในสังคมสูง

สามารถหาทุนไปเรียนต่อเป็นแพทย์เฉพาะทางในสาขาที่ต้องการได้ง่ายกว่า
มีความรู้สึกภาคภูมิใจในการทำงาน เพราะในภาครัฐ แพทย์เปรียบเหมือน "ผู้ให้" การรักษาแก่ผู้ป่วย ต่างจากภาคเอกชน ที่แพทย์เปรียบเหมือน "ผู้รับจ้าง" รักษาพยาบาล ผู้ป่วยในสถานพยาบาลเอกชน มีสถานะเป็นผู้ว่าจ้าง หรือ "ลูกค้า" ซึ่งในระบบทุนนิยมแล้ว ลูกค้าคือพระเจ้า
จะเห็นว่าระบบราชการมีจุดแข็งเป็นจำนวนมาก จุดอ่อนเพียงอย่างเดียวคือการบริหารจัดการ ถ้าสามารถพัฒนาระบบให้ดี ต่อให้ไม่บังคับว่าต้องใช้ทุน ก็อาจมีแพทย์ที่ต้องการเข้าสู่ระบบราชการอีกเป็นจำนวนมาก

อะไรคือปัญหาของระบบบริการสาธารณสุขในปัจจุบัน ?

ก่อนยุค 30 บาทฯ สถานพยาบาลของรัฐคิดราคาจากผู้มารับการรักษาตามจริง แต่ถูกกว่าราคาท้องตลาด เพราะรัฐอุดหนุนอยู่ส่วนหนึ่ง ผู้ใดที่เจ็บป่วย แต่ไม่มีเงิน หรือมีไม่พอ สถานพยาบาลของรัฐก็จะลดราคา หรืองดเก็บค่ารักษาพยาบาล โดยใช้หน่วยงานสังคมสงเคราะห์ของโรงพยาบาลเป็นผู้พิจารณา ปัญหาของยุคก่อน 30 บาทฯก็คือ กระบวนการพิจารณาให้การสงเคราะห์ที่มักจะค่อนข้างเข้มงวด ทำให้ผู้ป่วยที่ยากจนต้องเริ่มต้นจากการใช้สมุนไพร รากไม้ ถ้าไม่หายก็ใช้บริการร้านขายยา หมอเถื่อน คลินิกแพทย์ เป็นลำดับต่อไป ถ้าโชคดียังไม่ตาย แต่อาการหนักจริงๆ จึงจะเข้าโรงพยาบาล เมื่อเข้าโรงพยาบาลแล้ว เจอค่ารักษาแพงๆ และกระบวนการสังคมสงเคราะห์ที่เข้มงวด บางคนก็ถอดใจ ขอไปตายบ้าน บางคนก็ฮึดสู้ ขายวัวควาย จำนองไร่นา หมดเนื้อหมดตัว กันไป การมาของโครงการ"สามสิบบาทรักษาทุกโรค" จากความคิดริเริ่มของคุณหมอสงวน นิตยารัมพงศ์ ที่ให้สิทธิประชาชนกำเงิน 30 บาท ยืดอกโดยไม่ต้องพกถุง เข้าโรงพยาบาลได้อย่างสะดวก จึงได้ใจจากชาวชนบทอย่างท่วมท้น

อย่างไรก็ตาม เหรียญย่อมมีสองด้าน ถ้าสถานพยาบาลของรัฐทั่วประเทศเป็นเหมือนร้านอาหาร เดิมร้านนี้คิดราคาตามจริง แม้จะถูกกว่าท้องตลาด แต่ก็ยังแพงเกินไปสำหรับฐานะของคนชนบทส่วนใหญ่ ผู้มาใช้บริการจึงไม่ค่อยมาก พ่อครัว เด็กเสิร์ฟ คนล้างจาน ก็งานไม่หนักมาก โครงการ 30 บาทฯ เปรียบเสมือนลดราคาอาหารทุกชนิด เหลือจานละ 5 บาท ผู้คนที่เคยใช้สมุนไพร, รากไม้, ร้านขายยา, หมอเถื่อน ฯลฯ ต่างก็แห่มากินที่ร้านนี้ เจ้าของร้านก็หน้าบานรับคำสรรเสริญ เยินยอ ผู้มาทานอาหารก็พอใจ เพราะประหยัด และไม่ต้องเสียความรู้สึกกับกระบวนการสังคมสงเคราะห์แบบเดิม แต่ถ้าลองนึกถึงบรรดาพ่อครัว เด็กเสิร์ฟ คนล้างจาน ฯลฯ ที่จู่ๆ งานของเขาก็เพิ่มขึ้นเป็นหลายเท่าตัว โดยเจ้าของร้านบอกว่าหาพ่อครัวไม่ได้ ส่วนเด็กเสิร์ฟคนล้างจานนั้น เป็นนโยบายระดับชาติ นอกจากห้ามจ้างเพิ่ม ยังจะต้องลดจำนวนลงอีก โดยเปลี่ยนจากจ้างประจำ เป็นจ้างชั่วคราว ลดสิทธิประโยชน์ของคนเหล่านั้นลง ใครที่ชอบดูทีวีคงจะเห็นนักการเมืองออกมาประกาศเพิ่มสิทธิประโยชน์ให้ประชาชนไม่อั้น สามสิบบาท ก็ไม่ต้องเสีย บัตรทองก็ไม่ต้องพก บัตรประชาชนใบเดียวรักษาได้ทุกโรค โรคนั้นก็ฟรี โรคนี้ก็ฟรี ที่เขาพูดได้ ก็เพราะเขาไม่ต้องลงมาทำ มีหน้าที่เพียงออกทีวี โฆษณาว่าทุกอย่าง ล้วนเป็นผลงานของเขา

ปัจจุบันนี้ แพทย์ในโรงพยาบาลศูนย์ และโรงพยาบาลทั่วไป ยังต้องทำงานอย่างหนัก ส่วนผู้ป่วยก็จะต้องรอตรวจ รักษา ผ่าตัดเป็นเวลานาน ทั้งๆที่มีแพทย์ประสงค์จะเข้ารับราชการจำนวนหนึ่ง แต่ไม่มีตำแหน่งให้ ไม่เพียงแต่แพทย์เท่านั้น พยาบาลดูจะประสบชะตากรรมที่เลวร้ายกว่าแพทย์เสียอีก เพราะนอกจากจะไม่ขยายตำแหน่งแล้ว ยังยุบตำแหน่งเดิมที่มีผู้เกษียณออกไปอีกด้วย พยาบาลบรรจุใหม่ ต้องรับเงินเดือนและสวัสดิการในฐานะลูกจ้างชั่วคราว จึงเกิดปัญหาสมองไหลอย่างรุนแรง การขาดแคลนบุคลากรที่ "รุนแรงมากที่สุด" ไม่ใช่แพทย์ แต่เป็นพยาบาล เพราะการทำงานของแพทย์ ต้องอาศัยพยาบาลเป็นผู้ช่วยที่สำคัญ มีหลายโรงพยาบาลที่แม้มีตึก แต่ไม่สามารถเปิดรับผู้ป่วยในได้ เพราะไม่มีพยาบาลประจำตึก การผ่าตัดนอกเวลาราชการทำไม่ได้ เพราะมีพยาบาลช่วยผ่าตัด และส่งเครื่องมือไม่เพียงพอ นโยบายแบบนี้คล้ายกับการตีสองหน้า คือด้านหนึ่งโหมโฆษณาว่ารักษาฟรีทุกโรค แต่อีกด้านหนึ่ง ให้ทรัพยากรอย่างจำกัด

การทุ่มเทพัฒนาการด้านคุณภาพก็เป็นอีกส่วนหนึ่งที่ทำให้การรักษาพยาบาลยุ่งยากมากขึ้น ในสถานการณ์ที่ขาดแคลน ควรคำนึงถึงประสิทธิภาพมากกว่า เมื่อความขาดแคลนลดลง จึงค่อยพัฒนาเชิงคุณภาพ

วิธีจูงใจให้แพทย์ยอมอยู่ในระบบราชการโดยสมัครใจ จะทำได้อย่างไร?

ผู้เสียสละไปอยู่ที่เสี่ยงภัย ห่างไกล ทุรกันดาร ต้องได้รับผลตอบแทนที่ดี เช่นการขอทุนไปเรียนต่อ เบี้ยเลี้ยง ความเจริญก้าวหน้า ฯลฯ
ควรลดงานของแพทย์ ที่ไม่เกี่ยวกับการรักษาพยาบาลโดยตรงลงบ้าง เช่นการประชุม, การพัฒนาคุณภาพที่ไม่เกี่ยวกับการรักษาพยาบาล, การต้อนรับผู้หลักผู้ใหญ่ ฯลฯ เพื่อให้แพทย์มีเวลาตรวจรักษาผู้ป่วยอย่างเต็มที่ และมีเวลาพักผ่อนบ้าง

ค่าตอบแทน ควรระบุให้ชัดว่าจะได้เท่าใด, ได้เมื่อไหร่ ขณะนี้ค่าตอบแทนบางอย่างต้องครม.อนุมัติทุกปี, บางอย่างต้องจ่ายจากเงินบำรุง ทำให้เกิดความไม่แน่นอนว่าปีนี้จะได้ไหม? ได้เท่าใด? และจะได้เมื่อใด?
โครงการ ผลิตแพทย์เพิ่มเพื่อชาวชนบท จำนวน 3 โครงการ โครงการแรกได้รับผลผลิตแพทย์ ตั้งแต่ปี ๒๕๔๔ ถึงปี ๒๕๕๕ รวม ๓,๐๐๐ คน, โครงการ 2 ได้ผลผลิตแพทย์ตั้งแต่ปี ๒๕๕๕ ถึงปี ๒๕๕๘ รวม ๒,๗๙๘ คน และโครงการสุดท้าย ได้ผลผลิตแพทย์ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๕๒ ถึงปี พ.ศ. ๒๕๖๒ รวม ๓,๘๐๗ คน รวมทั้งสามโครงการ น่าจะได้แพทย์เติมเข้ามาในระบบอีกเกือบหมื่นคน และแพทย์เหล่านี้ พื้นเพเป็นคนต่างจังหวัด ได้รับการบรรจุใกล้ภูมิลำเนาเดิม อัตราการสูญเสียจากระบบราชการน่าจะไม่มากนัก ถ้ามีโครงการแบบนี้ต่อไปอีก และเน้นรับนักศึกษาจากระดับชนบทจริงๆ ก็จะยิ่งดีกว่านี้ เนื่องจากโครงการแรกๆนั้น ส่วนใหญ่ผู้ได้รับคัดเลือก มักเป็นผู้ที่อยู่ในเมือง เสียมากกว่า
การแต่งตั้ง โยกย้ายผู้บริหาร ควรใช้แพทย์ ที่สามารถผูกใจให้ผู้ใต้บังคับบัญชาทำงานด้วยอย่างสบายใจ เต็มใจ และมีความสุข ยกตัวอย่างจังหวัดน่าน สมัยนพ.บุญยงค์ วงศ์รักมิตร ซึ่งแม้จะเป็นจังหวัดชายแดนห่างไกลทุรกันดาร แต่ก็มีแพทย์จำนวนมากนิยมไปอยู่ และอยู่กันนานๆ ทำงานอย่างทุ่มเท มีคุณภาพ มีแพทย์ที่ได้รับรางวัลแพทย์ดีเด่นจำนวนมาก ที่เจริญก้าวหน้าไปเป็นนักบริหารที่มีคุณภาพก็มากมาย ควรจะต้องศึกษาว่าท่านทำได้อย่างไร

น่าเสียดายที่การแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการสมัยนี้ เป็นไปเพื่อประโยชน์ของนักการเมืองโดยแท้ แทนที่จะเห็นแก่ประโยชน์ของประชาชนเป็นสำคัญ ตัวอย่างในกระทรวงสาธารณสุขเมื่อเร็วๆนี้ ก็มีเป็นข่าวฮือฮา โดยย้ายผู้อำนวยการ โรงพยาบาลศูนย์ขนาดใหญ่ (มากกว่าพันเตียง) ไปเป็นผู้อำนวยการโรงพยาบาลศูนย์ขนาดเล็ก (หกร้อยเตียง) มิหนำซ้ำก่อนเกษียณเพียงหกเดือน ถูกย้ายไปเป็นผู้อำนวยการโรงพยาบาลทั่วไป(สี่ร้อยเตียง) ทั้งหมดนี้ก็เนื่องจาก"ไม่ประจบ" ท่านผู้ยิ่งใหญ่เท่านั้นเอง ยิ่งถ้าดูการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการทั้งระบบด้วยแล้ว ยิ่งหดหู่และเศร้าใจ ไม่ว่าจะกรณีพลตำรวจเอกสมเพียร, กรณีอธิบดีกรมการปกครอง, การสอบเข้าโรงเรียนนายอำเภอ, การแต่งตั้งผู้ว่าราชการจังหวัด ยิ่งถ้านับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่ไม่สามารถแต่งตั้งผู้บริหารสูงสุดได้ ต้องรักษาการไปจนเกษียณแล้ว ยิ่งหมดหวังกับระบบราชการไทย

http://prachatai.com/journal/2011/07/36022
ภาพประจำตัวสมาชิก
Pn3um0n1a
Verified User
โพสต์: 1935
ผู้ติดตาม: 0

Re: ชมรมหมอ VI

โพสต์ที่ 3047

โพสต์

เอาคนพื้นที่มาเรียน น่าจะดีมั้งครับ
ปลูกจิตสำนึก+อุดมการณ์ ไปด้วย

เพิ่มค่าปรับ แก้ปัญหาที่ปลายเหตุ+ก่อปัญหาอื่นเพิ่ม
viหัดคลาน
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 229
ผู้ติดตาม: 0

Re: ชมรมหมอ VI

โพสต์ที่ 3048

โพสต์

ขออนุญาตพี่มุขเอามาแปะเผยแพร่หน่อยครับ พอดีไปเจอในเฟสบุ๊คเพือ่น ส่วนเพื่อนก็เอามาอีกต่อจากลูกศิษย์เห็นว่าดีเลยเอามาเผยแพร่ครับ ถ้าพี่เห็นว่ามันการเมืองเกินไปเอาออกได้นะครับ

นักการเมือ​งยื่นปลา พระราชายื่​นเบ็ด
นักการเมือ​งแจกแท็บเล​็ต กษัตริย์แน​ะเคล็ดวิชา
นักการเมือ​งห่วงอำนาจ​ มหาราชห่วง​ประชา
นักการเมือ​งสร้างสัญญ​า องค์เจ้าฟ้​าสร้างสรรธ​รรม
นักการเมือ​งหาเรื่องก​ิน องค์ภูมินท​ร์หาเรื่อง​ทำ
นักการเมือ​งยุให้รำฯ ในหลวงย้ำใ​ห้ทำดี
นักการเมือ​งมักแบ่งขั​้ว องค์เหนือห​ัวไม่แบ่งส​ี
นักการเมือ​งทำสี่ปี องค์ภูมีทำ​ทุกวัน
นักการเมือ​งชอบแบ่งเส​ียง พ่อพอเพียง​ชอบแบ่งปัน
นักการเมือ​งมันคิดสั้​น องค์ราชันย​์ท่านคิดยา​ว
ภาพประจำตัวสมาชิก
kotaro
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 1495
ผู้ติดตาม: 0

Re: ชมรมหมอ VI

โพสต์ที่ 3049

โพสต์

viหัดคลาน เขียน:ขออนุญาตพี่มุขเอามาแปะเผยแพร่หน่อยครับ พอดีไปเจอในเฟสบุ๊คเพือ่น ส่วนเพื่อนก็เอามาอีกต่อจากลูกศิษย์เห็นว่าดีเลยเอามาเผยแพร่ครับ ถ้าพี่เห็นว่ามันการเมืองเกินไปเอาออกได้นะครับ

นักการเมือ​งยื่นปลา พระราชายื่​นเบ็ด
นักการเมือ​งแจกแท็บเล​็ต กษัตริย์แน​ะเคล็ดวิชา
นักการเมือ​งห่วงอำนาจ​ มหาราชห่วง​ประชา
นักการเมือ​งสร้างสัญญ​า องค์เจ้าฟ้​าสร้างสรรธ​รรม
นักการเมือ​งหาเรื่องก​ิน องค์ภูมินท​ร์หาเรื่อง​ทำ
นักการเมือ​งยุให้รำฯ ในหลวงย้ำใ​ห้ทำดี
นักการเมือ​งมักแบ่งขั​้ว องค์เหนือห​ัวไม่แบ่งส​ี
นักการเมือ​งทำสี่ปี องค์ภูมีทำ​ทุกวัน
นักการเมือ​งชอบแบ่งเส​ียง พ่อพอเพียง​ชอบแบ่งปัน
นักการเมือ​งมันคิดสั้​น องค์ราชันย​์ท่านคิดยา​ว
ขอบคุณพี่ vi หัดคลาน
กลอนที่ดีมากๆ
“Laughter is timeless. Imagination has no age. And dreams are forever.” ― Walt Disney Company
ภาพประจำตัวสมาชิก
reiter
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 2308
ผู้ติดตาม: 0

Re: ชมรมหมอ VI

โพสต์ที่ 3050

โพสต์

Paul VI เขียน:
น่าเสียดายที่การแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการสมัยนี้ เป็นไปเพื่อประโยชน์ของนักการเมืองโดยแท้ แทนที่จะเห็นแก่ประโยชน์ของประชาชนเป็นสำคัญ ตัวอย่างในกระทรวงสาธารณสุขเมื่อเร็วๆนี้ ก็มีเป็นข่าวฮือฮา โดยย้ายผู้อำนวยการ โรงพยาบาลศูนย์ขนาดใหญ่ (มากกว่าพันเตียง) ไปเป็นผู้อำนวยการโรงพยาบาลศูนย์ขนาดเล็ก (หกร้อยเตียง) มิหนำซ้ำก่อนเกษียณเพียงหกเดือน ถูกย้ายไปเป็นผู้อำนวยการโรงพยาบาลทั่วไป(สี่ร้อยเตียง) ทั้งหมดนี้ก็เนื่องจาก"ไม่ประจบ" ท่านผู้ยิ่งใหญ่เท่านั้นเอง ยิ่งถ้าดูการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการทั้งระบบด้วยแล้ว ยิ่งหดหู่และเศร้าใจ ไม่ว่าจะกรณีพลตำรวจเอกสมเพียร, กรณีอธิบดีกรมการปกครอง, การสอบเข้าโรงเรียนนายอำเภอ, การแต่งตั้งผู้ว่าราชการจังหวัด ยิ่งถ้านับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่ไม่สามารถแต่งตั้งผู้บริหารสูงสุดได้ ต้องรักษาการไปจนเกษียณแล้ว ยิ่งหมดหวังกับระบบราชการไทย


http://prachatai.com/journal/2011/07/36022
ชอบย่อหน้าสุดท้ายจัง โดนใจ
Our favorite holding period is forever.

Blog การลงทุนของผม

http://reitertvi.wordpress.com
ภาพประจำตัวสมาชิก
Paul VI
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 10538
ผู้ติดตาม: 0

Re: ชมรมหมอ VI

โพสต์ที่ 3051

โพสต์

ช่วงนี้เห็น สถานการณ์เก้าอี้ดนตรี ของประเทศแถบยุโรปแล้ว

สำหรับผมเองคงต้องเตรียมตัวไว้บ้าง :D

เพื่อนๆมีความเห็นยังไงกันบ้างครับ :?:
ภาพประจำตัวสมาชิก
Paul VI
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 10538
ผู้ติดตาม: 0

Re: ชมรมหมอ VI

โพสต์ที่ 3052

โพสต์

เอาคำสอนของท่าน ว.วชิรเมธี เรื่องความพอเพียงมาฝากครับ

ผมก็เอาไว้เตือนตัวเองด้วย


ภาพประจำตัวสมาชิก
Paul VI
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 10538
ผู้ติดตาม: 0

Re: ชมรมหมอ VI

โพสต์ที่ 3053

โพสต์

ตอนใหม่ของคุณ Maoinvestor ครับ

"อยากนั่งเฉยๆ แล้วได้ตังค์" เป็นสิ่งที่ดิฉันคิดมาตลอดตั้งแต่เริ่มทำงานวันแรกเลยค่ะ
เพื่อนๆ หลายคนมาเห็นดิฉันเขียนแบบนี้ บางคนก็ขำ คิดว่าอีนี่เพี้ยนจริงๆ นั่งเฉยๆแล้วได้ตังค์จะเป็นไปได้อย่างไรในโลกทุนนิยมเสรีแบบนี้ ต้องทำงานสิถึงจะได้ตังค์

แต่ดิฉันก็เพิ่งค้นพบว่ามี!! การลงทุนในหุ้น คือคำตอบ...


เชื่อว่าคงมีมนุษย์เงินเดือนหลายท่าน ตั้งเป้าหมายไว้ว่าจะเป็นอิสระทางการเงินโดยไว มีเงินทุนสักก้อน แล้วเลิกทำงานเป็น Employee ผันตัวเองมาเป็น Investor แบบเต็มเวลา ปล่อยให้เงินทำงานโดยอาศัยกฎของกลไกตลาดทุน แล้วเราก็มีเวลาและเงินเพื่อไปค้นหาความหมายที่แท้จริงของชีวิต...

ในทางทฤษฎีมันช่างสวยหรูจังเนอะ
รูปภาพ
ภาพประจำตัวสมาชิก
Paul VI
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 10538
ผู้ติดตาม: 0

Re: ชมรมหมอ VI

โพสต์ที่ 3054

โพสต์

รูปภาพ
ภาพประจำตัวสมาชิก
Paul VI
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 10538
ผู้ติดตาม: 0

Re: ชมรมหมอ VI

โพสต์ที่ 3055

โพสต์

รูปภาพ
ภาพประจำตัวสมาชิก
Paul VI
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 10538
ผู้ติดตาม: 0

Re: ชมรมหมอ VI

โพสต์ที่ 3056

โพสต์

รูปภาพ
ภาพประจำตัวสมาชิก
Paul VI
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 10538
ผู้ติดตาม: 0

Re: ชมรมหมอ VI

โพสต์ที่ 3057

โพสต์

เอาการ์ตูนมาฝากอีกครับ ช่วงนี้ไม่ค่อยอยากโพสต์เืท่าไหร่ เน้นอ่านอย่างเดียวเลย :|

รูปภาพ
ภาพประจำตัวสมาชิก
Paul VI
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 10538
ผู้ติดตาม: 0

Re: ชมรมหมอ VI

โพสต์ที่ 3058

โพสต์

รูปภาพ


ที่เอามาเปรียบ ไม่ใช่เรื่องหุ้นครับ

แต่เป็นเรื่อง อารมณ์ของคนเรา ระหว่างช่วงต้องตัดสินใจในการเทรด ผมว่่าต้องควบคุมให้ดีแล้วหมั่นนึกถึงการบ้านที่เราได้ทำมา

อย่าปล่อยอารมณ์ให้เตลิดไปตาม ticker ที่เคลื่อนไปมาของหุ้นครับ :D

อีกอย่างชอบคิดว่า VI คือการถือยาวก็พออยู่เรื่อยๆเลย :?
yy
Verified User
โพสต์: 6427
ผู้ติดตาม: 0

Re: ชมรมหมอ VI

โพสต์ที่ 3059

โพสต์

ทำไมคนอื่นๆเขาชอบเข้าใจว่า VI คือ การถือยาวๆ เพียงอย่างเดียวครับ
ซื้อหุ้นมาที่ราคาสูง (กะเอาไปขายที่สูงกว่า) มี MOS หรือเปล่าก็ไม่รู้
เก็งจะเอากำไรเพียงอย่างเดียว
พอหุ้นตก ก็บอกว่าถือยาวเป็น VI ก็แล้วกัน :?: :?:
คนที่รู้ว่าตัวเองยังไม่รู้ ย่อมมีโอกาสเรียนรู้
ภาพประจำตัวสมาชิก
Paul VI
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 10538
ผู้ติดตาม: 0

Re: ชมรมหมอ VI

โพสต์ที่ 3060

โพสต์

ขอไว้อาลัยให้กับครอบครัว ทหารหาญและนักข่าวที่ประสบเหตุเสียชีวิต จากเครื่องเฮลิคอปเตอร์ครับ :cry:

Rest in Peace ครับ

เมื่อ 22 ก.ค. พล.ท.อุดมเดช สีตบุตร แม่ทัพภาคที่ 1 แถลงข่าวยืนยันว่า พบเฮลิคอปเตอร์ แบล็กฮอว์ก ที่ประสบอุบัติเหตุตกขณะบรรทุกผู้โดยสารรวม 9 รายแล้ว อยู่ห่างจากจุดที่ ฮ. อิวอี้ ตกประมาณ 200-300 เมตร โดยพบผู้เสียชีวิตทั้ง 9 ราย
http://www.matichon.co.th/news_detail.p ... &subcatid=