มั่งคั่งด้วยหุ้น ลงทุนอย่างมีคุณค่า
- erickiros
- Verified User
- โพสต์: 415
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ชมรมหมอ VI
โพสต์ที่ 3001
ขอให้สร้างเสร็จตามกำหนดเท้อ สาธุ แล้วเมื่อไหร่เส้นลาดพร้าวจะมีโมโนเรลวิ่งจากแยกรัชดาไปบางกะปิเสียทีเนี่ย
ว่างๆแวะไปเยี่ยมชม blog ของซันได้นะคะ Economics Blog
เนื้อหาของบล็อกนี้จะเกี่ยวกับการนำทฤษฎีเศรษฐศาสตร์มาอธิบายเรื่องราวต่างๆค่ะ
เนื้อหาของบล็อกนี้จะเกี่ยวกับการนำทฤษฎีเศรษฐศาสตร์มาอธิบายเรื่องราวต่างๆค่ะ
- Paul VI
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 10538
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ชมรมหมอ VI
โพสต์ที่ 3002
ข้อเขียนดีดี ของ นพ.วิทยา นาควัชระ
วิธีทำให้ชีวิตให้โล่ง และ เบาขึ้นเมื่อเร็วๆ นี้ ผมได้เปิดตู้เสื้อผ้าดูเห็นมีเสื้อผ้าที่ไม่ได้ใช้เต็มตู้ไปหมด เคยนึกจะใช้เวลาเลือกเอาสิ่งที่เลิกใช้ไปแล้ว ไปบริจาคที่ไหนสักแห่งแต่ก็ยังไม่ได้ทำสักที เอาล่ะ...วันนี้เริ่มทำเสียที... ปรากฏว่า รื้อ ค้นได้เสื้อกางเกง เสื้อกันหนาวมากมายที่ไม่ได้ใช้แล้ว หรือไม่อยากใช้แล้วนับเป็นร้อยชิ้น เมื่อเอาของออกจากบ้านไปบริจาคแล้ว มีความรู้สึกว่าตู้เสื้อผ้าโล่งขึ้น ตัวเองก็เบาลง ใจก็สบายขึ้นอย่างประหลาด รู้แล้วล่ะ...สิ่งที่ผมทำไปแล้วนั้น คือ การทำให้ชีวิตโล่งและเบาขึ้นนั่นเอง
วันนี้เรามาคุยกันถึงวิธีทำให้ชีวิตเบาขึ้นโล่งขึ้น สบายขึ้นดีไหม? วิธีทำให้ชีวิตโล่ง และ เบาขึ้น เช่น...
1. เก็บของที่ไม่ใช้ เลิกใช้ เอาไปบริจาคให้ผู้เดือดร้อน เช่น เสื้อผ้า รองเท้า เฟอร์นิเจอร์เก่าๆ อย่าไปเสียดายกับของที่ไม่ใช้แล้วเลย
2. ลดงานที่เครียดๆ ลงบ้าง เช่นงานประชุมที่เอาจริงเอาจัง งานที่แข่งขันและหวังผลสูง ถ้าเลือกได้ลาออกจากการเป็นกรรมการอะไรต่อมิอะไรเสียบ้างก็ได้ บรรยากาศของการประชุมมักจะเครียดเสมอ สารความเครียดก็หลั่งตลอดเวลา...รู้ไหม?
3.เลือกไปงานที่สำคัญและควรจะไปเท่านั้นไม่เช่นนั้นเราจะไม่มีเวลาเป็นของตัวเองเลย
4. อ่านหนังสือพิมพ์หรือนิตยสารให้น้อยลง โดยเฉพาะข่าวอาชญากรรมหรือข่าวเครียดๆ ที่ซ้ำกันทุกวัน
5. เลิกดูรายการทีวี.ที่เครียด หรือรายการข่าวหนักๆ ที่ซ้ำๆ กันทุกวันเช่น รายการที่มีพิธีกรมานั่งเถียงกัน พูดแข่ง พูดแซวกัน 2-3 คน ดูไปฟังไปแทนที่จะสบายใจกลับเครียดมากขึ้น น่าเบื่อด้วยซ้ำ
6. อย่ารับปากหรือสัญญาว่าจะทำอะไรให้ใครๆ ง่ายๆ ด้วยความเกรงใจเลย หัดปฏิเสธให้ เป็น
7. อย่าพยายามเปลี่ยนแปลงคนอื่นเลย เพราะทำได้ยากมาก จะทำให้เราจมปลักอยู่กับความผิดหวังในตัวคนอื่น และเกลียดชังสังคมรอบตัว พยายามรักคนอื่นและยอมรับเขาตามความเป็นจริงเถิด ถ้ารักไม่ลง ก็มองข้ามเขาไป และลดความคาดหวังในตัวเขาลงด้วย เมื่อเวลาผ่านไป เราหันไปมองเขาใหม่ เราจะเข้าใจยอมรับและรักเขาตามความเป็นจริงได้มากขึ้น
8. หัดไปไหนมาไหนคนเดียว เป็นเพื่อนตนเองได้จะลดขั้นตอน และความยุ่งยากใจเวลาจะต้องทำอะไรหรือไปไหนได้มากขึ้น
9. ลดความบ้างาน บ้าเงิน บ้าอำนาจ บ้าเกียรติยศชื่อเสียงลงบ้าง จะทำให้คุณไม่เครียดกับการเฆี่ยนตัวเองให้ทำงานหนัก และแข่งขันกับคนรอบข้างตลอดเวลาจนลืมสร้างมิตรและไม่เคยพอใจตัวเองเลย ไม่ว่าจะได้สิ่งเหล่านั้นมามากเท่าไร
10. ถ้าจะรักใครสักคนอย่าหลงรักเขาทั้งหมดของชีวิต และอย่าเข้าไปก้าวก่ายชีวิตเขาด้วย จงคิดเพียงจะอยู่ข้างๆ เขาก็พอแล้วการรักแบบนี้จะทำให้รักกันได้นานๆ
11. ลองแบ่งเวลาวันละ 1 ชั่วโมง ล้างจิตใต้สำนึกที่ไม่ดีออกไปให้หมด
ลองทำดูตามที่แนะนำมานะครับ เราจะรู้สึกว่าชีวิตโล่งและเบามากขึ้น เหมือนใส่เสื้อผ้าหลวมๆ ไม่คับ แคบ หรือรัดรึง อึดอัด เวลาตัวเองเบาๆ ใจสบายๆ ความคล่องตัวจะมีมากขึ้นจนคุณแปลกใจตัวเอง
ศ.ดร.นพ.วิทยา นาควัชระ
http://www.oknation.net/blog/print.php?id=245492
วิธีทำให้ชีวิตให้โล่ง และ เบาขึ้นเมื่อเร็วๆ นี้ ผมได้เปิดตู้เสื้อผ้าดูเห็นมีเสื้อผ้าที่ไม่ได้ใช้เต็มตู้ไปหมด เคยนึกจะใช้เวลาเลือกเอาสิ่งที่เลิกใช้ไปแล้ว ไปบริจาคที่ไหนสักแห่งแต่ก็ยังไม่ได้ทำสักที เอาล่ะ...วันนี้เริ่มทำเสียที... ปรากฏว่า รื้อ ค้นได้เสื้อกางเกง เสื้อกันหนาวมากมายที่ไม่ได้ใช้แล้ว หรือไม่อยากใช้แล้วนับเป็นร้อยชิ้น เมื่อเอาของออกจากบ้านไปบริจาคแล้ว มีความรู้สึกว่าตู้เสื้อผ้าโล่งขึ้น ตัวเองก็เบาลง ใจก็สบายขึ้นอย่างประหลาด รู้แล้วล่ะ...สิ่งที่ผมทำไปแล้วนั้น คือ การทำให้ชีวิตโล่งและเบาขึ้นนั่นเอง
วันนี้เรามาคุยกันถึงวิธีทำให้ชีวิตเบาขึ้นโล่งขึ้น สบายขึ้นดีไหม? วิธีทำให้ชีวิตโล่ง และ เบาขึ้น เช่น...
1. เก็บของที่ไม่ใช้ เลิกใช้ เอาไปบริจาคให้ผู้เดือดร้อน เช่น เสื้อผ้า รองเท้า เฟอร์นิเจอร์เก่าๆ อย่าไปเสียดายกับของที่ไม่ใช้แล้วเลย
2. ลดงานที่เครียดๆ ลงบ้าง เช่นงานประชุมที่เอาจริงเอาจัง งานที่แข่งขันและหวังผลสูง ถ้าเลือกได้ลาออกจากการเป็นกรรมการอะไรต่อมิอะไรเสียบ้างก็ได้ บรรยากาศของการประชุมมักจะเครียดเสมอ สารความเครียดก็หลั่งตลอดเวลา...รู้ไหม?
3.เลือกไปงานที่สำคัญและควรจะไปเท่านั้นไม่เช่นนั้นเราจะไม่มีเวลาเป็นของตัวเองเลย
4. อ่านหนังสือพิมพ์หรือนิตยสารให้น้อยลง โดยเฉพาะข่าวอาชญากรรมหรือข่าวเครียดๆ ที่ซ้ำกันทุกวัน
5. เลิกดูรายการทีวี.ที่เครียด หรือรายการข่าวหนักๆ ที่ซ้ำๆ กันทุกวันเช่น รายการที่มีพิธีกรมานั่งเถียงกัน พูดแข่ง พูดแซวกัน 2-3 คน ดูไปฟังไปแทนที่จะสบายใจกลับเครียดมากขึ้น น่าเบื่อด้วยซ้ำ
6. อย่ารับปากหรือสัญญาว่าจะทำอะไรให้ใครๆ ง่ายๆ ด้วยความเกรงใจเลย หัดปฏิเสธให้ เป็น
7. อย่าพยายามเปลี่ยนแปลงคนอื่นเลย เพราะทำได้ยากมาก จะทำให้เราจมปลักอยู่กับความผิดหวังในตัวคนอื่น และเกลียดชังสังคมรอบตัว พยายามรักคนอื่นและยอมรับเขาตามความเป็นจริงเถิด ถ้ารักไม่ลง ก็มองข้ามเขาไป และลดความคาดหวังในตัวเขาลงด้วย เมื่อเวลาผ่านไป เราหันไปมองเขาใหม่ เราจะเข้าใจยอมรับและรักเขาตามความเป็นจริงได้มากขึ้น
8. หัดไปไหนมาไหนคนเดียว เป็นเพื่อนตนเองได้จะลดขั้นตอน และความยุ่งยากใจเวลาจะต้องทำอะไรหรือไปไหนได้มากขึ้น
9. ลดความบ้างาน บ้าเงิน บ้าอำนาจ บ้าเกียรติยศชื่อเสียงลงบ้าง จะทำให้คุณไม่เครียดกับการเฆี่ยนตัวเองให้ทำงานหนัก และแข่งขันกับคนรอบข้างตลอดเวลาจนลืมสร้างมิตรและไม่เคยพอใจตัวเองเลย ไม่ว่าจะได้สิ่งเหล่านั้นมามากเท่าไร
10. ถ้าจะรักใครสักคนอย่าหลงรักเขาทั้งหมดของชีวิต และอย่าเข้าไปก้าวก่ายชีวิตเขาด้วย จงคิดเพียงจะอยู่ข้างๆ เขาก็พอแล้วการรักแบบนี้จะทำให้รักกันได้นานๆ
11. ลองแบ่งเวลาวันละ 1 ชั่วโมง ล้างจิตใต้สำนึกที่ไม่ดีออกไปให้หมด
ลองทำดูตามที่แนะนำมานะครับ เราจะรู้สึกว่าชีวิตโล่งและเบามากขึ้น เหมือนใส่เสื้อผ้าหลวมๆ ไม่คับ แคบ หรือรัดรึง อึดอัด เวลาตัวเองเบาๆ ใจสบายๆ ความคล่องตัวจะมีมากขึ้นจนคุณแปลกใจตัวเอง
ศ.ดร.นพ.วิทยา นาควัชระ
http://www.oknation.net/blog/print.php?id=245492
- erickiros
- Verified User
- โพสต์: 415
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ชมรมหมอ VI
โพสต์ที่ 3003
เมื่อกี๊เพิ่งเอาหนังสือจำพวกเศรษฐศาสตร์และการลงทุนเบื้องต้นไปบริจาคให้ห้องสมุดของคอนโด แหะๆ
ส่วนบางข้อก็เริ่มทำบ้างแล้วแหละ รู้สึกว่าชีวิตมีความสุขขึ้นเยอะเลยค่า
ส่วนบางข้อก็เริ่มทำบ้างแล้วแหละ รู้สึกว่าชีวิตมีความสุขขึ้นเยอะเลยค่า
ว่างๆแวะไปเยี่ยมชม blog ของซันได้นะคะ Economics Blog
เนื้อหาของบล็อกนี้จะเกี่ยวกับการนำทฤษฎีเศรษฐศาสตร์มาอธิบายเรื่องราวต่างๆค่ะ
เนื้อหาของบล็อกนี้จะเกี่ยวกับการนำทฤษฎีเศรษฐศาสตร์มาอธิบายเรื่องราวต่างๆค่ะ
- Paul VI
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 10538
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ชมรมหมอ VI
โพสต์ที่ 3004
ธุรกิจ : CEO Blogs
วันที่ 28 มิถุนายน 2554 05:00
แจ็ค มินทร์ อิงค์ธเนศ
ไอทีไร้พรมแดน [email protected]
วัฏจักรที่พลิกผัน (จบ)
กระแสความนิยมในเครื่องแทบเล็ต ตลอดจนสมาร์ทโฟนในช่วง 2-3 ปีนี้ มีหลายค่ายที่ต้องเร่งปรับตัวรองรับตลาดใหม่ ที่มีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้นทุกขณะเช่น อินเทลที่กำลังจะส่งโปรเซสเซอร์สำหรับอุปกรณ์พกพาออกสู่ตลาด และไมโครซอฟท์เองก็ต้องเร่งพัฒนาวินโดว์สโมบาย 7 ก่อนที่จะถูกแอ๊ปเปิ้ลทิ้งห่างไปมากกว่านี้
เพราะทุกค่ายรู้ดีว่าความสำเร็จของแอ๊ปเปิ้ลไม่ได้อยู่ที่เฉพาะยอดขายเครื่องไอแพด หรือไอโฟน รวมถึงไอพ็อด แต่เบื้องหลังมีตลาดที่มีมูลค่าสำคัญไม่แพ้กัน ก็คือ แอพพลิเคชั่น ซึ่งทุกเครื่องจำเป็นต้องใช้ไม่ว่าจะเป็นแอพด้านธุรกิจ การเงินส่วนบุคคล เกม ตามแต่ไลฟ์สไตล์ของผู้ใช้แต่ละคน โดยขายผ่านแอพ สโตร์
และทุกค่ายก็รู้ดีความสำเร็จของแอ๊ปเปิ้ลไม่ใช่สิ่งยั่งยืน เช่นเดียวกับตลาดคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลที่เกิดขึ้นมาเมื่อ 20 ปีที่แล้ว โดยมีไมโครซอฟท์แทบจะครองตลาดอยู่ผู้เดียวเพราะผลิตทั้งระบบปฏิบัติการและซอฟต์แวร์ ส่งผลให้บิล เกตส์ กลายเป็นมหาเศรษฐีอันดับหนึ่งของโลก
และ "ความไม่ยั่งยืน" เช่นนี้ก็ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะธุรกิจไอที แต่เกิดขึ้นกับธุรกิจและอุตสาหกรรมอื่นๆ แทบจะทุกแขนง เพราะความไม่แน่นอนทั้งด้านแนวโน้มอุตสาหกรรม ความเปลี่ยนแปลงทางด้านเทคโนโลยี รูปแบบการทำธุรกิจ ความต้องการของลูกค้า ล้วนเป็นตัวเปลี่ยนเกมธุรกิจ กติกาการแข่งขัน และก่อให้เกิดสภาพแวดล้อมทางธุรกิจใหม่ๆ ทำให้ข้อจำกัดที่เราเคยคิดว่าเป็นไปไม่ได้ในอดีตกลับเป็นไปได้ในปัจจุบัน
เราเห็นตัวอย่างจากโลกธุรกิจไอทีมามาก แต่หากมองอุตสาหกรรมอื่นๆ ก็จะเห็นภาพที่ไม่แตกต่าง เช่น อุตสาหกรรมการเงินในรอบสิบปียี่สิบปีนี้เรากำลังเห็นบทบาทเด่นของสถาบันการเงินของสหรัฐเป็นหลัก แต่เดิมที่บทบาทนี้เคยเป็นของญี่ปุ่น และในปัจจุบันหลังจากวิกฤติเศรษฐกิจแฮมเบอร์เกอร์ ไครซิสก็เปลี่ยนถ่ายไปสู่จีนในที่สุด
แต่ทั้งหมดนี้ ชี้ให้เราเห็นข้อเท็จจริงประการหนึ่งว่า "ผู้นำ" ของแต่ละธุรกิจ แต่ละอุตสาหกรรม ในแต่ละยุคแต่ละสมัยนั้นไม่มีใครก้าวขึ้นมาด้วยความบังเอิญหรือโชคช่วย แต่ทั้งหมดล้วนเกิดจากความคิดสร้างสรรค์และการวางแผนมาอย่างดีเท่านั้น
ความเป็นผู้นำของแอ๊ปเปิ้ลในตลาดแทบเล็ต ทุกวันนี้ ไม่ได้เกิดจากความบังเอิญที่ไอแพด ขายดีขึ้นมาเฉยๆ แต่เป็นวิสัยทัศน์ที่สตีฟ จ็อบส์มองเห็นอนาคตของสินค้าประเภทนี้ และสิ่งที่อยู่เบื้องหลัง คือ ตลาดแอพพลิเคชั่นมูลค่ามหาศาลที่รออยู่ในอนาคต
เพราะผู้ใช้ไอแพด ไอโฟน ไอพ็อด จำนวนมหาศาลถูกกระตุ้นผ่านโปรแกรมของแอ๊ปเปิ้ล ทั้งหลาย เช่น ไอทูนส์ ให้ทดลองแอพพลิเคชั่นใหม่ๆ ตลอดเวลา ทั้งฟรีและไม่ฟรี ซึ่งแน่นอนว่าผู้ใช้จำนวนมากเห็นแอพดีๆ ราคาไม่แพงนักเช่น 99 เซนต์ไปจนถึงไม่กี่ดอลลาร์ก็พร้อมดาวน์โหลดมาทดลองใช้ได้ง่ายๆ ซึ่งแม้จะราคาไม่แพงแต่ด้วยจำนวนผู้ใช้นับร้อยล้านคนแอ๊ปเปิ้ลจึงมีส่วนแบ่งรายได้จากตลาดนี้มากมายมหาศาล ในขณะที่พฤติกรรมเช่นนี้จะถูกยกระดับให้เป็นการซื้อแอพที่ราคาสูงขึ้นได้โดยไม่รู้ตัว
ผมเชื่อว่านักธุรกิจ คนทำงาน และเจ้าของกิจการทุกคนล้วนต้องการความสำเร็จเช่นเดียวกับแอ๊ปเปิ้ล ต้องการปฏิวัติอุตสาหกรรมให้เกิดการเปลี่ยนแปลง และสร้างโอกาสทางธุรกิจให้กับตัวเอง แต่จะมีหนทางใด บทเรียนชีวิตที่ได้จากสตีฟ จ็อบส์ น่าจะเป็นตัวอย่างให้กับเราได้เป็นอย่างดี
วันที่ 28 มิถุนายน 2554 05:00
แจ็ค มินทร์ อิงค์ธเนศ
ไอทีไร้พรมแดน [email protected]
วัฏจักรที่พลิกผัน (จบ)
กระแสความนิยมในเครื่องแทบเล็ต ตลอดจนสมาร์ทโฟนในช่วง 2-3 ปีนี้ มีหลายค่ายที่ต้องเร่งปรับตัวรองรับตลาดใหม่ ที่มีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้นทุกขณะเช่น อินเทลที่กำลังจะส่งโปรเซสเซอร์สำหรับอุปกรณ์พกพาออกสู่ตลาด และไมโครซอฟท์เองก็ต้องเร่งพัฒนาวินโดว์สโมบาย 7 ก่อนที่จะถูกแอ๊ปเปิ้ลทิ้งห่างไปมากกว่านี้
เพราะทุกค่ายรู้ดีว่าความสำเร็จของแอ๊ปเปิ้ลไม่ได้อยู่ที่เฉพาะยอดขายเครื่องไอแพด หรือไอโฟน รวมถึงไอพ็อด แต่เบื้องหลังมีตลาดที่มีมูลค่าสำคัญไม่แพ้กัน ก็คือ แอพพลิเคชั่น ซึ่งทุกเครื่องจำเป็นต้องใช้ไม่ว่าจะเป็นแอพด้านธุรกิจ การเงินส่วนบุคคล เกม ตามแต่ไลฟ์สไตล์ของผู้ใช้แต่ละคน โดยขายผ่านแอพ สโตร์
และทุกค่ายก็รู้ดีความสำเร็จของแอ๊ปเปิ้ลไม่ใช่สิ่งยั่งยืน เช่นเดียวกับตลาดคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลที่เกิดขึ้นมาเมื่อ 20 ปีที่แล้ว โดยมีไมโครซอฟท์แทบจะครองตลาดอยู่ผู้เดียวเพราะผลิตทั้งระบบปฏิบัติการและซอฟต์แวร์ ส่งผลให้บิล เกตส์ กลายเป็นมหาเศรษฐีอันดับหนึ่งของโลก
และ "ความไม่ยั่งยืน" เช่นนี้ก็ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะธุรกิจไอที แต่เกิดขึ้นกับธุรกิจและอุตสาหกรรมอื่นๆ แทบจะทุกแขนง เพราะความไม่แน่นอนทั้งด้านแนวโน้มอุตสาหกรรม ความเปลี่ยนแปลงทางด้านเทคโนโลยี รูปแบบการทำธุรกิจ ความต้องการของลูกค้า ล้วนเป็นตัวเปลี่ยนเกมธุรกิจ กติกาการแข่งขัน และก่อให้เกิดสภาพแวดล้อมทางธุรกิจใหม่ๆ ทำให้ข้อจำกัดที่เราเคยคิดว่าเป็นไปไม่ได้ในอดีตกลับเป็นไปได้ในปัจจุบัน
เราเห็นตัวอย่างจากโลกธุรกิจไอทีมามาก แต่หากมองอุตสาหกรรมอื่นๆ ก็จะเห็นภาพที่ไม่แตกต่าง เช่น อุตสาหกรรมการเงินในรอบสิบปียี่สิบปีนี้เรากำลังเห็นบทบาทเด่นของสถาบันการเงินของสหรัฐเป็นหลัก แต่เดิมที่บทบาทนี้เคยเป็นของญี่ปุ่น และในปัจจุบันหลังจากวิกฤติเศรษฐกิจแฮมเบอร์เกอร์ ไครซิสก็เปลี่ยนถ่ายไปสู่จีนในที่สุด
แต่ทั้งหมดนี้ ชี้ให้เราเห็นข้อเท็จจริงประการหนึ่งว่า "ผู้นำ" ของแต่ละธุรกิจ แต่ละอุตสาหกรรม ในแต่ละยุคแต่ละสมัยนั้นไม่มีใครก้าวขึ้นมาด้วยความบังเอิญหรือโชคช่วย แต่ทั้งหมดล้วนเกิดจากความคิดสร้างสรรค์และการวางแผนมาอย่างดีเท่านั้น
ความเป็นผู้นำของแอ๊ปเปิ้ลในตลาดแทบเล็ต ทุกวันนี้ ไม่ได้เกิดจากความบังเอิญที่ไอแพด ขายดีขึ้นมาเฉยๆ แต่เป็นวิสัยทัศน์ที่สตีฟ จ็อบส์มองเห็นอนาคตของสินค้าประเภทนี้ และสิ่งที่อยู่เบื้องหลัง คือ ตลาดแอพพลิเคชั่นมูลค่ามหาศาลที่รออยู่ในอนาคต
เพราะผู้ใช้ไอแพด ไอโฟน ไอพ็อด จำนวนมหาศาลถูกกระตุ้นผ่านโปรแกรมของแอ๊ปเปิ้ล ทั้งหลาย เช่น ไอทูนส์ ให้ทดลองแอพพลิเคชั่นใหม่ๆ ตลอดเวลา ทั้งฟรีและไม่ฟรี ซึ่งแน่นอนว่าผู้ใช้จำนวนมากเห็นแอพดีๆ ราคาไม่แพงนักเช่น 99 เซนต์ไปจนถึงไม่กี่ดอลลาร์ก็พร้อมดาวน์โหลดมาทดลองใช้ได้ง่ายๆ ซึ่งแม้จะราคาไม่แพงแต่ด้วยจำนวนผู้ใช้นับร้อยล้านคนแอ๊ปเปิ้ลจึงมีส่วนแบ่งรายได้จากตลาดนี้มากมายมหาศาล ในขณะที่พฤติกรรมเช่นนี้จะถูกยกระดับให้เป็นการซื้อแอพที่ราคาสูงขึ้นได้โดยไม่รู้ตัว
ผมเชื่อว่านักธุรกิจ คนทำงาน และเจ้าของกิจการทุกคนล้วนต้องการความสำเร็จเช่นเดียวกับแอ๊ปเปิ้ล ต้องการปฏิวัติอุตสาหกรรมให้เกิดการเปลี่ยนแปลง และสร้างโอกาสทางธุรกิจให้กับตัวเอง แต่จะมีหนทางใด บทเรียนชีวิตที่ได้จากสตีฟ จ็อบส์ น่าจะเป็นตัวอย่างให้กับเราได้เป็นอย่างดี
- Paul VI
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 10538
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ชมรมหมอ VI
โพสต์ที่ 3005
ภัยสังคมสมัยนี้ เฮ้อ
เพื่อนๆก็ต้องระวังตัวรวมทั้งคนในครอบครัวด้วยนะครับ
"บรูซ แกสตัน" โดน 6 วัยรุ่นรุมยำต้องเย็บ 33 เข็ม ก่อนถูกปล้น "ไอโฟน 4
เมื่อวันที่ 29 มิถุนายน ผู้สื่อข่าวได้รับแจ้งจากนายทีโอดอร์ แกสตัน บุตรชายนายบรูซ แกสตัน อายุ 65 ปี นักดนตรีชื่อดังผู้ก่อตั้งวงฟองน้ำ และอดีตอาจารย์สอนพิเศษ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ว่า บิดาถูกคนร้ายซึ่งเป็นวัยรุ่นประมาณ 6 คน ทำร้ายร่างกายและปล้นทรัพย์ จึงเดินทางไปตรวจสอบที่บ้านพักเลขที่ 606/2 ซอยสุขุมวิท 65 แขวงพระโขนงเหนือ เขตวัฒนา กทม. พบนายบรูซนอนพักรักษาตัวอยู่ที่บ้าน สภาพศีรษะแตก คิ้วแตก ฟันโยก จนต้องให้หมอเย็บแผลถึง 33 เข็ม
นายบรูซเปิดเผยว่า เมื่อเวลา 23.30 น. วันที่ 27 มิถุนายนที่ผ่านมา หลังจากที่ไปเล่นดนตรีที่โรงเบียร์แห่งหนึ่งย่านถนนนราธิวาสราชนครินทร์ ก่อนเดินทางกลับบ้านพักโดยรถไฟฟ้า บีทีเอสมาลงที่สถานีพระโขนง ขณะเดินลง จากบันไดทางลงรถไฟฟ้า ได้มีกลุ่มคนร้ายขี่รถจักรยานยนต์เข้ามาจอดด้านหลัง จากนั้นกระโดดถีบตนจนล้มเซพร้อมเข้ามารุมชกต่อยและ เตะจนไม่ทันตั้งตัว ก่อนแย่งทรัพย์สินกระเป๋าเป้สะพายสีดำ และโทรศัพท์ไอโฟน 4 จำนวน 1 เครื่อง มูลค่ากว่า 25,000 บาท แล้ว ขี่รถจักรยานยนต์หลบหนีไปทางแยกบางนา ตราด
"ต่อมาเจ้าหน้าที่ รปภ.ของโรงแรมจัสมินมาช่วยเหลือ และสอบถาม รปภ.ทราบว่าคนร้ายเป็นวัยรุ่นทั้งหมด 6 คน ใช้รถจักรยานยนต์ 2 คันเพื่อก่อเหตุ ผมจึงเดินทางไปทำแผลที่โรงพยาบาลสุขุมวิท เบื้องต้นได้รับบาดเจ็บบริเวณคิ้วด้านซ้ายแตกเย็บ 11 เข็ม ริมฝีปากแตกเย็บ 13 เข็ม และศีรษะด้านหลังแตกเย็บ 9 เข็ม รวมแล้วเย็บแผลทั้งหมด 33 เข็ม และฟัน 3 ซี่หน้าด้านบนและล่างโยก จากนั้นแจ้งให้นายทีโอดอร์บุตรชายทราบและไปแจ้งความกับ พ.ต.ท.สง่า ปัญญา พนักงานสอบสวน (สบ 2) สน.คลองตัน ซึ่งนับเป็นเหตุการณ์ที่รุนแรงที่สุดที่เคยประสบด้วยตัวเองตั้งแต่อยู่เมืองไทยประมาณ 40 ปี" นายบรูซกล่าว
นายทีโอดอร์เปิดเผยว่า เจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวนออกติดตามกลุ่มคนร้ายโดยเช็กพิกัดจากโทรศัพท์ของบิดา ด้วยการโทร.ติดครั้งสุดท้ายพบว่าอยู่ที่บริเวณย่านบางรัก แต่เมื่อไปตรวจสอบพบว่าเป็นที่รกร้างและพบอุปกรณ์การเสพยาเสพติดใหม่ๆ ตกอยู่
http://www.matichon.co.th/news_detail.p ... &subcatid=
เพื่อนๆก็ต้องระวังตัวรวมทั้งคนในครอบครัวด้วยนะครับ
"บรูซ แกสตัน" โดน 6 วัยรุ่นรุมยำต้องเย็บ 33 เข็ม ก่อนถูกปล้น "ไอโฟน 4
เมื่อวันที่ 29 มิถุนายน ผู้สื่อข่าวได้รับแจ้งจากนายทีโอดอร์ แกสตัน บุตรชายนายบรูซ แกสตัน อายุ 65 ปี นักดนตรีชื่อดังผู้ก่อตั้งวงฟองน้ำ และอดีตอาจารย์สอนพิเศษ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ว่า บิดาถูกคนร้ายซึ่งเป็นวัยรุ่นประมาณ 6 คน ทำร้ายร่างกายและปล้นทรัพย์ จึงเดินทางไปตรวจสอบที่บ้านพักเลขที่ 606/2 ซอยสุขุมวิท 65 แขวงพระโขนงเหนือ เขตวัฒนา กทม. พบนายบรูซนอนพักรักษาตัวอยู่ที่บ้าน สภาพศีรษะแตก คิ้วแตก ฟันโยก จนต้องให้หมอเย็บแผลถึง 33 เข็ม
นายบรูซเปิดเผยว่า เมื่อเวลา 23.30 น. วันที่ 27 มิถุนายนที่ผ่านมา หลังจากที่ไปเล่นดนตรีที่โรงเบียร์แห่งหนึ่งย่านถนนนราธิวาสราชนครินทร์ ก่อนเดินทางกลับบ้านพักโดยรถไฟฟ้า บีทีเอสมาลงที่สถานีพระโขนง ขณะเดินลง จากบันไดทางลงรถไฟฟ้า ได้มีกลุ่มคนร้ายขี่รถจักรยานยนต์เข้ามาจอดด้านหลัง จากนั้นกระโดดถีบตนจนล้มเซพร้อมเข้ามารุมชกต่อยและ เตะจนไม่ทันตั้งตัว ก่อนแย่งทรัพย์สินกระเป๋าเป้สะพายสีดำ และโทรศัพท์ไอโฟน 4 จำนวน 1 เครื่อง มูลค่ากว่า 25,000 บาท แล้ว ขี่รถจักรยานยนต์หลบหนีไปทางแยกบางนา ตราด
"ต่อมาเจ้าหน้าที่ รปภ.ของโรงแรมจัสมินมาช่วยเหลือ และสอบถาม รปภ.ทราบว่าคนร้ายเป็นวัยรุ่นทั้งหมด 6 คน ใช้รถจักรยานยนต์ 2 คันเพื่อก่อเหตุ ผมจึงเดินทางไปทำแผลที่โรงพยาบาลสุขุมวิท เบื้องต้นได้รับบาดเจ็บบริเวณคิ้วด้านซ้ายแตกเย็บ 11 เข็ม ริมฝีปากแตกเย็บ 13 เข็ม และศีรษะด้านหลังแตกเย็บ 9 เข็ม รวมแล้วเย็บแผลทั้งหมด 33 เข็ม และฟัน 3 ซี่หน้าด้านบนและล่างโยก จากนั้นแจ้งให้นายทีโอดอร์บุตรชายทราบและไปแจ้งความกับ พ.ต.ท.สง่า ปัญญา พนักงานสอบสวน (สบ 2) สน.คลองตัน ซึ่งนับเป็นเหตุการณ์ที่รุนแรงที่สุดที่เคยประสบด้วยตัวเองตั้งแต่อยู่เมืองไทยประมาณ 40 ปี" นายบรูซกล่าว
นายทีโอดอร์เปิดเผยว่า เจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวนออกติดตามกลุ่มคนร้ายโดยเช็กพิกัดจากโทรศัพท์ของบิดา ด้วยการโทร.ติดครั้งสุดท้ายพบว่าอยู่ที่บริเวณย่านบางรัก แต่เมื่อไปตรวจสอบพบว่าเป็นที่รกร้างและพบอุปกรณ์การเสพยาเสพติดใหม่ๆ ตกอยู่
http://www.matichon.co.th/news_detail.p ... &subcatid=
- Paul VI
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 10538
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ชมรมหมอ VI
โพสต์ที่ 3006
Money Talk ตอนใหม่ สัมภาษณ์คุณ Maoinvestor มาแล้วครับ
เชิญติดตามได้เลยครับ
http://blip.tv/sorawut/money-talk-%E0%B ... 99-5329374
เชิญติดตามได้เลยครับ
http://blip.tv/sorawut/money-talk-%E0%B ... 99-5329374
- Paul VI
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 10538
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ชมรมหมอ VI
โพสต์ที่ 3007
บทความ ดร.นิเวศน์ ถูกใจจริงๆ
เอามาฝากตัวเองและเพื่อนๆ เพื่อเตือนสติตัวเองครับ
เอามาฝากตัวเองและเพื่อนๆ เพื่อเตือนสติตัวเองครับ
http://board.thaivi.org/viewtopic.php?f=1&t=48444โลกในมุมมองของ Value Investor 2 กรกฎาคม 54
ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
เวลาที่รับข้อมูลเข้ามา สิ่งที่ Value Investor จะต้องพิจารณาก่อนที่จะนำไปใช้หรือนำไปวิเคราะห์ต่อก็คือ ข้อมูลนั้นน่าจะถูกต้องหรือไม่ถูกต้อง ถ้าไม่ถูกต้อง มันน่าจะมากหรือน้อยเกินไป ดีเกินไปหรือแย่เกินไป วิธีที่จะดูนั้น หลักการสำคัญก็คือ ดูว่าคนให้ข้อมูล “รู้จริง” หรือมีข้อมูลจริงไหม นอกจากนั้น สิ่งที่สำคัญมากอีกข้อหนึ่งก็คือ คนที่ให้ข้อมูลมี “แรงจูงใจ” อะไรในการที่ให้ข้อมูลนั้น
เวลาที่มีนักเศรษฐศาสตร์มาบอกหรือพยากรณ์ภาวะเศรษฐกิจ ถ้าเขามาจากหน่วยงานที่มีนักเศรษฐศาสตร์ที่มักจบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยชั้นนำระดับโลก และหน่วยงานนั้นไม่ได้อิงกับการเมืองในทางใดทางหนึ่ง ในกรณีแบบนี้ พวกเขาก็จะมีทั้งความรู้ ข้อมูล และไม่มีความ “ลำเอียง” ในการให้ความเห็นหรือพยากรณ์ ข้อมูลที่เราได้น่าจะเป็นข้อมูลที่เรานำไปใช้ได้อย่างสบายใจ อย่างไรก็ตาม พึงระลึกเสมอว่า การพยากรณ์เป็นศาสตร์ที่มีความไม่แน่นอนสูง แม้แต่นักเศรษฐศาสตร์ที่เก่งที่สุดในโลกก็มักจะทำนายผิดอยู่บ่อย ๆ ดังนั้น เวลาที่เราอ่านหรือฟังคำพยากรณ์เกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจ ผมคิดว่าเราอย่าไปเชื่ออย่างปักใจว่ามันจะถูกต้องแม้ว่าแหล่งข้อมูลหรือคนที่ให้ข้อมูลจะเป็นที่น่าเชื่อถือมาก ๆ
นักเศรษฐศาสตร์หรือหน่วยงานที่อิงกับการเมืองในทางใดทางหนึ่ง อาจจะให้ความเห็นหรือพยากรณ์ภาวะเศรษฐกิจโดยมีความ “ลำเอียง” ทั้งที่รู้ตัวและไม่รู้ตัว ความลำเอียงที่ว่านั้นมักจะออกมาในด้านที่ดีกว่าความเป็นจริง เหตุผลก็คือ ฝ่ายการเมืองนั้น อยากจะให้ภาพเศรษฐกิจที่ดี ๆ เพราะนั่นคือ “ผลงาน” ของเขาในการบริหารเศรษฐกิจของประเทศ ดังนั้น เวลาดูหรืออ่านข้อมูลเกี่ยวกับเศรษฐกิจจากหน่วยงานรัฐ เราจึงควรจะดูว่ามันมาจากหน่วยงานไหน ในแวดวงของนักเศรษฐศาสตร์กันเองนั้น บางทีก็มีการพูดกันว่า ถ้ามาจากหน่วยงานนี้ ตัวเลขมักจะดูมองโลกในแง่ดีกว่าอีกหน่วยงานหนึ่งเสมอจนแทบจะเป็น “ธรรมเนียม”
ผู้บริหารหรือผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัทจดทะเบียนนั้นมักจะให้ข้อมูลและคาดการณ์ผลประกอบการของบริษัทในด้านที่ดีกว่าความเป็นจริงเสมอ เริ่มตั้งแต่ความสามารถในการแข่งขันของบริษัทเมื่อเทียบกับคู่แข่ง ผมพบว่าแทบไม่มีบริษัทไหนบอกว่าตนเองนั้นฝีมือต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรม ว่าที่จริงแทบทุกบริษัทจะบอกว่าตนเองเป็นบริษัทระดับต้น ๆ ของอุตสาหกรรม บางบริษัทบอกว่าตนเองนั้นเป็นบริษัทที่เด่นมากในการผลิตหรือการดำเนินงานที่คู่แข่งไม่สามารถเข้ามาแข่งขันได้ พวกเขาอาจจะไม่ได้โกหก แต่พวกเขามักจะลำเอียงทั้งที่รู้ตัวและไม่รู้ตัว แต่ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร ด้วยท่าทีที่มั่นอกมั่นใจและด้วยความรู้ที่มีมากกว่าคนฟังหรือนักวิเคราะห์ของผู้บริหาร ทำให้คนฟังมักจะเชื่ออย่างสนิทใจว่ามันเป็นเรื่องจริง เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ ข้อมูลผลประกอบการที่ “ดี ๆ” ในช่วงที่ผ่านมาเร็ว ๆ นี้ ที่แสดงให้คนฟังเห็น มักจะเป็นเครื่องยืนยันว่าสิ่งที่ผู้บริหารพูดนั้น เป็นความจริงอย่างแน่นอน
ภาพในอนาคตของบริษัทที่ผู้บริหารแถลงออกมานั้น มักจะยิ่งสดใสกว่าความเป็นจริง ผู้บริหารมีแรงจูงใจที่จะวาดภาพบริษัทให้ดูดี เพราะเขามีแรงจูงใจหลาย ๆ อย่าง เช่น เขาอยากจะเป็นผู้บริหารที่มีความสามารถได้รับการยกย่อง หรือ ผู้บริหารที่เป็นเจ้าของหรือผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัทอาจจะอยากให้คนมาซื้อหุ้นทำให้ราคาขึ้นไปและเขาอาจจะขายได้ราคาสูง เหล่านี้เป็นต้น
ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะประเมินว่าผู้บริหารพูด “เว่อร์” หรือลำเอียงมากไปแค่ไหน เหตุผลเพราะเราไม่ได้อยู่ในธุรกิจหรือเราไม่สามารถหาข้อมูลได้มากพอที่จะตัดสิน นักวิเคราะห์หรือนักลงทุนบางคนใช้วิธีดูผลงานที่ผ่านมาเทียบกับสิ่งที่ผู้บริหารเคยพูดไว้ว่าตรงหรือใกล้เคียงไหม ซึ่งผมคิดว่าเป็นวิธีที่พอใช้ได้ อย่างไรก็ตาม บางบริษัทอาจจะไม่มีข้อมูลที่ยาวพอ ทำให้เราใช้ข้อมูลนี้ได้ยาก วิธีที่น่าจะดีกว่าก็คือ ผมจะมองไปถึง “โครงสร้างของอุตสาหกรรม” ว่าบริษัททำธุรกิจอะไร ปัจจัยในการแข่งขันในอุตสาหกรรมเป็นอย่างไร
บริษัทอยู่ในตำแหน่งไหน? ได้เปรียบหรือเสียเปรียบคู่แข่งขันอื่นและการได้เปรียบนั้นเป็นการได้เปรียบชั่วคราวหรือถาวร สุดท้ายยังต้องดูอีกว่าในอนาคต 3-4 ปีขึ้นไป จะมีผู้เล่นรายใหม่ ๆ มาแข่งขันด้วยหรือไม่ สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้จะเป็นตัวบอกว่า “คำคุย” ของผู้บริหารจะเป็นจริงหรือไม่ พูดง่าย ๆ ในการวิเคราะห์ว่าผู้บริหารลำเอียงไปมากน้อยแค่ไหน ผมจะพยายามตัดประเด็นเรื่องฝีมือของผู้บริหารออก แล้วมาดูในด้านของตัวอุตสาหกรรมและตำแหน่งของบริษัทในอุตสาหกรรมเป็นหลัก ถ้าตำแหน่งของบริษัทแย่หรือเสียเปรียบ แต่ผู้บริหารบอกว่าบริษัทของตนจะเอาชนะและแย่งชิงธุรกิจได้มากกว่าคู่แข่งมากด้วยเพราะฝีมือของผู้บริหารหรือพนักงาน ผมก็จะไม่มั่นใจเลยว่าเขาจะทำได้
โบรกเกอร์และนักวิเคราะห์ของบริษัทหลักทรัพย์นั้น เราต้องรู้ว่าเขามีความลำเอียง ไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่ ที่จะให้เราซื้อ ๆ ขาย ๆ หุ้นมากกว่าปกติ ดังนั้น เขาก็มักจะชอบแนะนำหุ้นที่กำลังมีราคาและปริมาณการซื้อขายหุ้นที่ปรับตัวสูงขึ้นมากอย่างรวดเร็ว ดังนั้น การให้ความเห็นเกี่ยวกับหุ้นจึงมักเป็นการแนะนำให้ซื้อหุ้นที่กำลังร้อนแรงและราคาอาจจะสูงเกินพื้นฐานไปแล้ว แต่ในความเห็นของเขานั้นกลับเห็นว่าหุ้นยังต่ำกว่าพื้นฐานและน่าลงทุนทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้าที่หุ้นจะร้อนและราคาหุ้นยังต่ำอยู่ พวกเขาไม่เคยพูดถึงเลยว่าเป็นหุ้นที่น่าสนใจ ข้อเตือนใจของผมสำหรับเรื่องนี้ก็คือ ราคาหรือมูลค่าพื้นฐานของหุ้นที่เกิดจากการคำนวณของนักวิเคราะห์นั้น ส่วนใหญ่แล้วเป็น “มูลค่าในจินตนาการ” หมายความว่า คุณอาจจะให้ค่าเท่าไรก็ได้จากราคาเช่น 10 บาท ถึง 40 บาท ขึ้นอยู่กับว่าคุณจะตั้งสมมุติฐานอย่างไรหรือให้คุณค่ากับบริษัทมากน้อยแค่ไหน ในยามที่ราคาและปริมาณการซื้อขายหุ้นร้อนแรง คุณจะให้ราคา 40 บาท คนก็เชื่อ แต่ในยามที่หุ้นตัวนั้นเงียบเหงานั้น บางทีคุณบอกว่า 10 บาท คนก็ยังบอกว่าไม่น่าสนใจ
เรื่องความลำเอียงในตลาดหุ้นนั้น ผมคิดว่ายังมีอีกมาก สิ่งที่เราควรเข้าใจก็คือ ตลาดหุ้นนั้น เป็นที่อยู่ของคนที่มักจะมองโลกในด้านที่บวกสูงกว่าคนปกติ เป็นที่อยู่ของคนที่มีความหวังหรือความฝันที่สูงกว่าคนทั่วไป พวกเขาฝันที่จะรวยอย่างรวดเร็วหรือสามารถทำเงินได้เป็นกอบเป็นกำ ไม่ว่าเมื่อวานตลาดหุ้นจะเลวร้ายแค่ไหน ก่อน 10 โมงเช้าที่ตลาดเปิด คนเล่นหุ้นก็มักจะมีความหวังเสมอ การมองโลกที่สดใสกว่าปกตินั้น ผมคิดว่าทำให้คนในตลาดหุ้นส่วนใหญ่มี “ความลำเอียง” ที่จะมองการลงทุนหรือการซื้อขายหุ้นในแง่ที่ดีกว่าความเป็นจริง ถ้าลองถามคนที่ลงทุนเล่นหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ว่าเขาคิดว่าจะได้รับผลตอบแทน “ปีนี้” กี่เปอร์เซ็นต์ ผมเชื่อว่าคำตอบเฉลี่ยคงเป็นอย่างน้อย 20-30% ขึ้นไป ทั้ง ๆ ที่ผลตอบแทนต่อปีในอดีตของตลาดหุ้นนั้นเท่ากับประมาณ 10% เท่านั้น
ในฐานะของ Value Investor เราต้องพยายาม “ฉีก” ตนเองออกจาก “ตลาด” ความหมายก็คือ เราต้องเข้าใจเรื่อง “ความลำเอียง” ทั้งหลายที่เกิดขึ้นจากเหตุจูงใจต่าง ๆ และธรรมชาติบางอย่างของคนโดยเฉพาะที่อยู่ในตลาดหุ้น การอ่านหรือฟังข้อมูลนั้น เราต้องรู้ “เบื้องหลัง” หรือ “วาระซ่อนเร้น” ที่อาจจะมีอยู่ เพื่อที่ว่าเราจะได้นำข้อมูลที่ได้รับมา “ปรับ” ให้ถูกต้องใกล้เคียงขึ้น การรับข้อมูลโดยไม่พิจารณาเพิ่มเติมนั้นเป็นอันตรายอย่างใหญ่หลวง เพราะบางครั้งมันอาจจะหมายถึงการที่เราถูก “หลอก” ให้สำคัญผิดใน “พื้นฐาน” ของบริษัท ซึ่งทำให้การตัดสินใจของเราผิดพลาดและเกิดความเสียหายร้ายแรงได้
- kotaro
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1495
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ชมรมหมอ VI
โพสต์ที่ 3008
ไปใช้สิทธิ์มาแ้ล้วครับ ไปแต่เช้่า 8 โมง
ปีนี้ไม่ค่อยสะดวกเลยครับ อุตสาห์ไปตั้งแต่ 8 โมง มีคนยืนรอเข้าคิว ประมาณ 20 คนใช้เวลาต่อแถว 1 ชั่วโมงเต็มๆ
กว่าจะได้เข้าคูหาเลือก 9 โมงนิดๆ
สังเกตุ ช้าตรงเจ้าหน้าที่ เขียนบัตร ฉีกบัตร นี่หละครับ
นึกภาพในอนาคต น่าจะมีระบบ IT เข้ามาช่วยนะครับ แบบใช้บัตรประชาชน สแกนบัตร ตรวจสอบลายนิ้วมือ แล้ว print บัตรออกมาเลย
จะสะดวกขึ้นเยอะ
ปีนี้ไม่ค่อยสะดวกเลยครับ อุตสาห์ไปตั้งแต่ 8 โมง มีคนยืนรอเข้าคิว ประมาณ 20 คนใช้เวลาต่อแถว 1 ชั่วโมงเต็มๆ
กว่าจะได้เข้าคูหาเลือก 9 โมงนิดๆ
สังเกตุ ช้าตรงเจ้าหน้าที่ เขียนบัตร ฉีกบัตร นี่หละครับ
นึกภาพในอนาคต น่าจะมีระบบ IT เข้ามาช่วยนะครับ แบบใช้บัตรประชาชน สแกนบัตร ตรวจสอบลายนิ้วมือ แล้ว print บัตรออกมาเลย
จะสะดวกขึ้นเยอะ
“Laughter is timeless. Imagination has no age. And dreams are forever.” ― Walt Disney Company
- Paul VI
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 10538
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ชมรมหมอ VI
โพสต์ที่ 3009
ผมเห็นด้วยกับ หมอโคทาโร่ จำได้ว่าเคยเห็นเลือกตั้งอเมริกา ใช้ scan นิ้ว + ใช้บัตรปชช. ประมาณนี้
(ถ้าจำผิดให้อภัยด้วยครับ จำได้ตอนเห็นเลือกคั้งของเค้าครั้งล่าสุดจากโทรทัศน์)
แล้วมันก็รวมเข้าส่วนกลางเลย สะดวกรวดเร็วมาก
ปล.ผมยังวุ่นๆที่คลินิกอยู่เลย เดี๋ยวว่าจะหาเวลาแวบออกไปเลือกตั้ง
(ถ้าจำผิดให้อภัยด้วยครับ จำได้ตอนเห็นเลือกคั้งของเค้าครั้งล่าสุดจากโทรทัศน์)
แล้วมันก็รวมเข้าส่วนกลางเลย สะดวกรวดเร็วมาก
ปล.ผมยังวุ่นๆที่คลินิกอยู่เลย เดี๋ยวว่าจะหาเวลาแวบออกไปเลือกตั้ง
- Paul VI
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 10538
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ชมรมหมอ VI
โพสต์ที่ 3014
เอาข้อคิดมาฝาก จาก ตัน ภาสกรนที
ไม่จำเป็นต้องเอามาใช้ทั้งหมด แต่เอามาคิดต่อยอดได้
บางครั้งการได้รับฟังแนวความคิด ก็เหมือนเราได้ลับความคมของแนวคิดของเราธุรกิจ : CEO Blogs
วันที่ 4 กรกฎาคม 2554 07:00
ตัน ภาสกรนที
วิถีตัน
จำนวนคนอ่าน 2035 คน
ขนมปังชิ้นที่สาม
โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
มีลูก 3 คน มีบ้าน 2 หลัง จะแบ่งยังไงดีครับ? เพื่อนผมคนหนึ่งคิดยังไงก็คิดไม่ตก เกษียณอายุราชการแล้วยังต้องทำงานงกๆ
“สู้เพื่อลูก”ผ่อนบ้านหลังที่ 3 กลัวแบ่งสมบัติไม่ลงตัว เดี๋ยวจะนอนตายตาไม่หลับ
ผมบอกถ้าไม่อยากวุ่นวาย..ง่ายนิดเดียว
แค่ขายบ้านให้หมด แล้วใช้เงินให้มีความสุขกับชีวิตหลังเกษียณ
เหลือเท่าไหร่ก็เท่านั้น..
ตอนพ่อแม่ผมเสีย ไม่ได้มีเงินทองมากมาย
ผมเลือกพระหนึ่งองค์เป็นสมบัติจากพ่อ
หยิบแหวนวงเดียวจากกองมรดกของแม่
สมบัติสุดท้ายไม่กี่ชิ้นของพ่อกับแม่ที่เทกองบนโต๊ะ..ผมกับพี่น้องแบ่งกันยังไงก็ลงตัว
สำหรับผมในวันนี้สอนลูกตั้งแต่พวกเขายังเล็ก
ว่าการศึกษาเท่าที่เขาต้องการคือสมบัติที่ผมจะให้
น้องกิฟท์ลูกสาวคนโตรู้ดีและเขาเข้าใจว่าผมไม่มีนโยบายเก็บเงินให้ลูก
วันหนึ่งเขาบอกผมว่า “ป่าป๊า ไม่ต้องห่วงกิฟท์ ธุรกิจและเงินที่ป่าป๊าทำมาไม่ต้องเผื่อกิฟท์ หนูรับผิดชอบตัวเองได้”
ผมให้เงินเขาก้อนหนึ่ง ไปตั้งต้นร้านอาหารชื่ออิซีลี่ บริหารไม่นานก็เจ๊ง
เขาใช้โอกาสอีกครั้งกับเงินทุนที่เหลืออยู่ตั้งใจทำร้านอาหารใหม่ชื่อแซ่บอีลี่
คราวนี้เขาไม่ประมาทและตั้งใจกว่าเดิมอีกหลายเท่า จนวันนี้ร้านแซ่บอีลี่ก็อยู่ได้
ลูกทุกคนของผมรู้ดีว่าสมบัติทุกอย่างที่ผมให้ ถ้าไม่ตั้งใจทำย่อมมีวันหมด
ผมให้โอกาสการศึกษาเต็มที่..ที่เหลือเขาต้องเลือกทางเดินชีวิตด้วยตัวของเขาเอง
ไม่ใช่ผมไม่รักลูก แต่ใช่ว่ามีเงินเยอะๆ แล้วจะดีสำหรับเขา
ผมอยากให้ลูกได้รู้จักกับความยากลำบาก ไม่อยากให้เคยชินกับความสบาย
ไปต่างประเทศด้วยกันทุกครั้ง ลูกๆ ทุกคนต้องนั่งเครื่องบินชั้นอิโคโนมี
บางครั้งน้องเก็ตลูกชายยังเป็นเด็ก เขาเคยแผลงฤทธิ์ไม่พอใจทำไมไม่ได้นั่งบิซิเนสคลาสด้วยกัน
วันนี้เขาอาจจะยังไม่เข้าใจ แต่โตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ทำงานหาเงินเองได้เมื่อไหร่
วันนั้นเขาจะเข้าใจได้ด้วยตัวเอง
ประสบการณ์สอนให้ผมรู้ว่าเงินเป็นได้ทั้งความทุกข์และความสุข
ในวันที่ต้องดิ้นรน เงิน คือ สิ่งจำเป็น
เป็นขนมปังชิ้นแรกที่ประทังชีวิต
ขนมปังชิ้นที่สอง คือ ความอร่อย มีชีวิตที่สุขสบาย หายเหนื่อย
มากกว่านั้น...กินเท่าไหร่ก็เป็นส่วนเกิน
ขนมปังชิ้นที่สาม คือ ยาพิษ
อะไรที่มากเกินไปมักจะไม่มีประโยชน์ กลายเป็นให้โทษมากกว่าคุณ..
เงินก็เช่นกัน...
ถ้าคุณรู้ล่วงหน้าว่าจะมีบุญหล่นทับร่ำรวยเป็นพันๆ ล้าน
คุณอาจไม่รู้จักคุณค่าของความพยายาม
ชีวิตนี้อาจไม่เคยรู้สึกว่าจะต้องออกแรงดิ้นรนอะไรอีกต่อไป
เงินถ้าไม่รู้จักใช้ ไม่รู้จักหา ไม่รู้จักคุณค่า...มีเท่าไหร่ก็ไม่พอ
ถ้าหน้าที่ของพ่อแม่คือการมอบสิ่งที่ดีที่สุดให้ลูก
เราควรรักลูกแบบไหน?
ลองถามตัวเองดูว่าเรากำลังยื่นขนมปัง "ชิ้นที่สาม" ที่เต็มไปด้วยยาพิษให้ลูกหรือเปล่า
ไม่จำเป็นต้องเอามาใช้ทั้งหมด แต่เอามาคิดต่อยอดได้
-
- Verified User
- โพสต์: 760
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ชมรมหมอ VI
โพสต์ที่ 3016
เป็นอย่างไรกันบ้างครับ 2 วันนี้ หุ้นของพี่ๆเพื่อนๆ พุ่งกันบ้างไหมครับ ของผมบางตัวขึ้นดีจัง แต่ตัวอื่นๆ มันก็เอื่อยๆของมันเหมือนเดิม
แต่เห็นแล้วก็เฉยๆ เพราะไม่ขายก็ไม่ได้เงิน และก็ยังไม่อยากได้เงินตอนนี้ครับ ตั้งใจถือยาวๆ
เบื่อต่อไป เมื่อไหร่จะรวยเร็วๆนะ เป้าหมายผม ตอนแก่มีเงินอยู่ในหุ้นได้ 100ล้าน ก็คงพอใจครับ คงฝันมั้ง
แต่เห็นแล้วก็เฉยๆ เพราะไม่ขายก็ไม่ได้เงิน และก็ยังไม่อยากได้เงินตอนนี้ครับ ตั้งใจถือยาวๆ
เบื่อต่อไป เมื่อไหร่จะรวยเร็วๆนะ เป้าหมายผม ตอนแก่มีเงินอยู่ในหุ้นได้ 100ล้าน ก็คงพอใจครับ คงฝันมั้ง
- จุดแข็งทางธุรกิจที่เลียนแบบได้ยาก มักต้องใช้ระยะเวลายาวนานในการสร้างและเพาะบ่มเสมอ ไม่สามารถเนรมิตได้ด้วยเงิน (สุมาอี้)
- จะเก่ง จะรวยหุ้น ก็ต้องใช้เวลาเพาะบ่มเช่นกัน เป็นวีไอ ต้องมี ศรัทธา ขยัน ประหยัด และ อดทน ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ ย่อมไม่ได้มาง่ายๆ
- จะเก่ง จะรวยหุ้น ก็ต้องใช้เวลาเพาะบ่มเช่นกัน เป็นวีไอ ต้องมี ศรัทธา ขยัน ประหยัด และ อดทน ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ ย่อมไม่ได้มาง่ายๆ
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 229
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ชมรมหมอ VI
โพสต์ที่ 3017
สองวันนี้ผมรู้สึกอึดอัด ท้องเฟ้อ ยังไงไม่รู้ ที่ผมกำลังจะมีนายกหญิงนะครับ กำลังนั่งคิดว่า เงินจะเฟ้อเท่าไหร่ และ เมื่อไหร่ เพราะผมกลัวว่าถ้าเงินเฟ้อมาก อาจกดดันให้ดอกเบี้ยต้องขึ้น และ สุดท้ายจะกดตลาดหุ้นให้ ......... เฮ้อ เหนื่อยจัง
- Paul VI
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 10538
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ชมรมหมอ VI
โพสต์ที่ 3018
พอร์ทของผมที่ผ่านมา 2 วันนี้ถือว่า success มากระดับหนึ่ง
เนื่องจากนโยบายเก็บเงินสดไว้ส่วนหนึ่งเสมอที่จะซื้อหุ้นที่ต้องการในราคาที่พอใจ โดยเฉพาะเมื่อนายตลาดมาทำให้ได้ราคาของหุ้นที่เราต้องการในราคาพอใจ
ซึ่งผมเองไม่มีนโยบายถือหุ้นเต็มพอร์ต 100 % อยู่แล้ว
ซึ่งการลงทุนตลอดที่ผ่านมาสร้างความสุขให้ชีวิตการลงทุนของผมมากมาย
เนื่องจากนโยบายเก็บเงินสดไว้ส่วนหนึ่งเสมอที่จะซื้อหุ้นที่ต้องการในราคาที่พอใจ โดยเฉพาะเมื่อนายตลาดมาทำให้ได้ราคาของหุ้นที่เราต้องการในราคาพอใจ
ซึ่งผมเองไม่มีนโยบายถือหุ้นเต็มพอร์ต 100 % อยู่แล้ว
ซึ่งการลงทุนตลอดที่ผ่านมาสร้างความสุขให้ชีวิตการลงทุนของผมมากมาย
- Paul VI
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 10538
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ชมรมหมอ VI
โพสต์ที่ 3019
jack_jack เขียน:ผมมีแนวคิดและทำในแบบที่คุณตันทำเหมือนกัน
เวลาไปเที่ยวผมจะให้ลูกนั่งอิโคโนมีตลอด
ส่วนผม.....นั้น.....
.....ใจไม่แข็งเท่าคุณตัน......เลยต้องมานั่งกะลูกตลอด
<ทำบทความดีๆรกหน่อยนะครับพี่หมอ ขอบคุณที่นำมาให้อ่านครับ>
ไม่รกเพิ่มหรอกครับ เพราะปกติ โพสต์ของผมมันก็จับฉ่ายอยู่แล้วครับคุณ jack
ลูกชายหน้าเหมือนคุณพ่อ เปี๊ยบเลยนะครับ
- Paul VI
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 10538
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ชมรมหมอ VI
โพสต์ที่ 3020
คนเรามันต้องฝันถึงจะมีความสุขครับnavapon เขียน:เป็นอย่างไรกันบ้างครับ 2 วันนี้ หุ้นของพี่ๆเพื่อนๆ พุ่งกันบ้างไหมครับ ของผมบางตัวขึ้นดีจัง แต่ตัวอื่นๆ มันก็เอื่อยๆของมันเหมือนเดิม
แต่เห็นแล้วก็เฉยๆ เพราะไม่ขายก็ไม่ได้เงิน และก็ยังไม่อยากได้เงินตอนนี้ครับ ตั้งใจถือยาวๆ
เบื่อต่อไป เมื่อไหร่จะรวยเร็วๆนะ เป้าหมายผม ตอนแก่มีเงินอยู่ในหุ้นได้ 100ล้าน ก็คงพอใจครับ คงฝันมั้ง
บางทีพอ ถึงเป้าหมายตามความฝันแล้วกลับเฉยๆก็มีครับ
- jo7393
- Verified User
- โพสต์: 2486
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ชมรมหมอ VI
โพสต์ที่ 3021
ส่วนใหญ่คนเรามักเป็นอย่างนั้นจริงๆนะครับพี่บางทีพอ ถึงเป้าหมายตามความฝันแล้วกลับเฉยๆก็มีครับ
“ถ้าราคาหุ้นแยกออกไปจากเส้นกำไร ไม่ช้าก็เร็วมันจะวิ่งกลับไปหาเส้นกำไรเสมอ”
เลือกบริษัทที่ดี ในราคาที่เหมาะสม และถือมันตราบที่มันยังเป็นกิจการที่ดีอยู่
อย่าอายที่จะถาม ไม่มีใครรู้ลึกทุก บ. ถ้าไม่รู้แล้วไม่ถามก็จะยิ่งไม่ฉลาด
เลือกบริษัทที่ดี ในราคาที่เหมาะสม และถือมันตราบที่มันยังเป็นกิจการที่ดีอยู่
อย่าอายที่จะถาม ไม่มีใครรู้ลึกทุก บ. ถ้าไม่รู้แล้วไม่ถามก็จะยิ่งไม่ฉลาด
- erickiros
- Verified User
- โพสต์: 415
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ชมรมหมอ VI
โพสต์ที่ 3023
ไม่ได้ตามข่าวเลยอดไปด้วยเลย แหะๆ แต่ได้อ่านที่พี่ฉัตรชัยเล่าไว้แล้วค่า อิอิ
ว่างๆแวะไปเยี่ยมชม blog ของซันได้นะคะ Economics Blog
เนื้อหาของบล็อกนี้จะเกี่ยวกับการนำทฤษฎีเศรษฐศาสตร์มาอธิบายเรื่องราวต่างๆค่ะ
เนื้อหาของบล็อกนี้จะเกี่ยวกับการนำทฤษฎีเศรษฐศาสตร์มาอธิบายเรื่องราวต่างๆค่ะ
-
- Verified User
- โพสต์: 18
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ชมรมหมอ VI
โพสต์ที่ 3024
สวัสดีครับ คุณหมอพอล และทุกๆท่าน
เพิ่งสมัครสมาชิก tviได้ไม่นานครับ ขออนุญาติพูดคุยในห้องนี้ด้วยคนนะครับ
เป็นหมอ orthoครับ จบมช.มาตั้งแต่ปี28
เล่นหุ้นมาหลายปีเหมือนกัน แต่ไม่ได้ไปไหนเลย เล่นๆ หยุดๆ
ถึงตอนนี้ตั้งใจจะลงทุนแบบจริงจังเสียที
เพราะชักเบื่ออาชีพตัวเอง งานหนัก เครียด และอดนอน อายุก็มากขึ้น
กลัวตายเร็ว ไม่ได้ใช้เงินน่ะครับ
อิอิ
เพิ่งสมัครสมาชิก tviได้ไม่นานครับ ขออนุญาติพูดคุยในห้องนี้ด้วยคนนะครับ
เป็นหมอ orthoครับ จบมช.มาตั้งแต่ปี28
เล่นหุ้นมาหลายปีเหมือนกัน แต่ไม่ได้ไปไหนเลย เล่นๆ หยุดๆ
ถึงตอนนี้ตั้งใจจะลงทุนแบบจริงจังเสียที
เพราะชักเบื่ออาชีพตัวเอง งานหนัก เครียด และอดนอน อายุก็มากขึ้น
กลัวตายเร็ว ไม่ได้ใช้เงินน่ะครับ
อิอิ
- Paul VI
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 10538
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ชมรมหมอ VI
โพสต์ที่ 3025
ยินดีต้อนรับครับ พี่ teatreeteatree เขียน:สวัสดีครับ คุณหมอพอล และทุกๆท่าน
เพิ่งสมัครสมาชิก tviได้ไม่นานครับ ขออนุญาติพูดคุยในห้องนี้ด้วยคนนะครับ
เป็นหมอ orthoครับ จบมช.มาตั้งแต่ปี28
เล่นหุ้นมาหลายปีเหมือนกัน แต่ไม่ได้ไปไหนเลย เล่นๆ หยุดๆ
ถึงตอนนี้ตั้งใจจะลงทุนแบบจริงจังเสียที
เพราะชักเบื่ออาชีพตัวเอง งานหนัก เครียด และอดนอน อายุก็มากขึ้น
กลัวตายเร็ว ไม่ได้ใช้เงินน่ะครับ
อิอิ
ผมก็กลัวแบบเดียวกับพี่น่ะครับ
- romee
- Verified User
- โพสต์: 1850
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ชมรมหมอ VI
โพสต์ที่ 3026
ขอบคุณหมอมุข มากๆนะครับ ที่ให้ผมไปด้วย ขอให้ถึงเป้าหมายที่หมอวาดหวังไวๆเลยนะครับPaul VI เขียน:วันนี้ไปเ้ยี่ยมชม บ. SINGER มา บรรยากาศดีมากๆเลยครับ
ปล. DVD ผมเตรียมไว้แล้วนะครับ เดี๋ยวจัดส่งให้ หลังไมค์ละกัน
You only live once, but if you do it right, once is enough.
- Paul VI
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 10538
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ชมรมหมอ VI
โพสต์ที่ 3027
romee เขียน: ขอบคุณหมอมุข มากๆนะครับ ที่ให้ผมไปด้วย ขอให้ถึงเป้าหมายที่หมอวาดหวังไวๆเลยนะครับ
ปล. DVD ผมเตรียมไว้แล้วนะครับ เดี๋ยวจัดส่งให้ หลังไมค์ละกัน
ขอบคุณล่วงหน้าครับ โรม
เป็นไง ข้อมูลเพียบเลยนะคราวนี้ ทั้งเพื่อนๆในเวบก็ยิงคำถามใส่ผบห.เพียบ
และผบห.ก็ตั้งใจคำตอบสุดๆ
คนที่ไป ก็ไดเประโยชน์สุดๆ รู้แนวทางการเติบโตของ Singer เต็มที่
- Paul VI
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 10538
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ชมรมหมอ VI
โพสต์ที่ 3029
เอาบทความตอนใหม่ของ ดร.นิเวศน์ ที่ออกมาเตือนสติรุ่นหลังๆ กัน
โลกในมุมมองของ Value Investor 9 กรกฎาคม 54
ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
ปรากฏการณ์ที่น่าสนใจมากอย่างหนึ่งในแวดวงของนักลงทุนที่ผมเห็นในช่วงหลายปีที่ผ่านมาก็คือ มีคนหนุ่ม (ที่เป็นสาวมีน้อยมาก) จำนวนไม่น้อย ได้เข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นตั้งแต่หรือก่อนที่จะเรียนจบมหาวิทยาลัย คนหนุ่มเหล่านี้ บางคนแทบจะไม่เคยทำงานเป็นพนักงานของหน่วยงานใด บางคนอาจจะทำงานกับธุรกิจ “ที่บ้าน” ที่เป็นธุรกิจขนาดเล็ก หลายคนก็ “ทำงานไปอย่างนั้นเอง” แต่ชีวิตจิตใจอาจจะอยู่กับการลงทุนในตลาดหุ้น แต่สิ่งที่ผมคิดว่าน่าทึ่งก็คือ คนหนุ่มบางคนดังกล่าวนั้น หลังจากที่ผ่านการลงทุนมาไม่กี่ปี ด้วยเงินที่น้อยมาก บัดนี้ พวกเขาได้กลายเป็น “เศรษฐี” มีเงินหลายสิบล้าน หรือบางคนเป็นร้อยล้านบาทตั้งแต่อายุยังไม่ครบ 30 ปี ผมพยายามวิเคราะห์หาว่า พวกเขาทำอย่างไรจึงสามารถสร้างตนเองให้ร่ำรวยได้เร็วขนาดนั้น และต่อไปนี้คือเส้นทางของพวกเขาที่ผมจินตนาการขึ้น โดยอิงจากการที่ผมได้สัมผัสกับพวกเขาหลาย ๆ คน นำมาร้อยเรียงเป็นนิยาย “ร่วมสมัย”
คุณไว (มาจากภาษาอังกฤษว่า VI) เริ่มต้นด้วยเงินเพียง 250,000 บาท ด้วยความทุ่มเทเขาศึกษาการลงทุนอย่างหนัก ทั้งในด้านของการลงทุนแบบพื้นฐานและความคิดแบบนักเท็คนิค นอกจากนั้น เขาเข้าร่วมอบรมและสัมมนาจำนวนมาก เหนือสิ่งอื่นใด เขาได้รู้จักนักลงทุนร่วมอุดมการณ์จำนวนมากทั้งผ่านเวบไซ้ต์การลงทุนและการเข้าร่วมในกิจกรรมการลงทุนต่าง ๆ เช่นในงานแนะนำหรือเยี่ยมชมบริษัทจดทะเบียน เขาเริ่มเห็นว่า มีบริษัทที่มี “คุณภาพดี” จำนวนไม่น้อยที่อยู่ ๆ ก็มีราคาและปริมาณการซื้อขายหุ้นเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วและเพิ่มขึ้นมาก หลายตัวมีราคาขึ้นไปหลายเท่าตัวในเวลาอันสั้นเพียงไม่กี่เดือน เขาเริ่ม “จับได้” ว่า หุ้นเหล่านี้มักมีคุณสมบัติและ “พฤติกรรม” อย่างไร และเมื่อเขาเห็น เขาก็ทุ่มเงินทั้งหมดซื้อหุ้นตัวนั้นพร้อม ๆ กับการใช้ มาร์จิน หรือกู้เงินจากโบรกเกอร์อีกเท่าตัวมาซื้อหุ้น ครั้งแรกด้วยเม็ดเงิน 500,000 แสนบาท
หุ้นที่ซื้อมีราคาเพิ่มขึ้นตามคาด จาก 500,000 บาทเป็น 750,000 บาทภายในเวลาเพียงเดือนเดียว เขาสั่งซื้อหุ้นเพิ่มขึ้นตามกำไรที่ได้ด้วยเงินมาร์จินที่เพิ่มขึ้น ราคาหุ้นยังเพิ่มขึ้นอีกและเขาก็สั่งซื้อหุ้นเพิ่มอีกตามวงเงินมาร์จินที่เพิ่มขึ้นอีก ในบางช่วงเมื่อหุ้นขึ้นไปแรง เขาก็ขายไปบ้างและก็กลับไปซื้อใหม่เมื่อหุ้นปรับตัวลง พอผ่านไป 3 เดือน เมื่อหุ้นเริ่ม “นิ่ง” นั่นคือ การวิ่งขึ้นลงของราคาและ/หรือปริมาณการซื้อขายเริ่มลดน้อยลง เขาก็ขายหุ้นทิ้งทั้งหมด เม็ดเงินที่เหลือของเขาก็คือ 1,000,000 บาท เขาทำกำไร 300 เปอร์เซ็นต์หรือ 3 เท่าภายในเวลา 3 เดือน หลังจากนั้น เขาก็สังเกตเห็นหุ้นตัวใหม่ที่มีคุณสมบัติและพฤติกรรมคล้าย ๆ กับหุ้นตัวเดิม ว่าที่จริงจะเรียกว่าเห็นก็ไม่ใช่ เพราะเขาได้รับรู้ผ่าน “เครือข่าย” เพื่อนนักลงทุนที่คบค้าแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันเป็นประจำอยู่แล้ว และเช่นเดิม เขาทุ่มเงิน 1 ล้านบาทที่มีอยู่พร้อม ๆ กับการใช้มาร์จินเต็มอัตราอีก 1 ล้านบาทเข้าซื้อหุ้นตัวใหม่ และก็เช่นเคย หุ้นวิ่งตามคาด แต่เขาก็ใช้เวลายาวกว่าหุ้นตัวเดิมในการทำเงินจาก 2 ล้านบาทเป็น 3 ล้านบาท ซึ่งหลังจากหักเงินกู้มาร์จิน เขาเหลือเงิน 2 ล้านบาทเมื่อลงทุนมาครบปีแรก เงิน 250,000 บาท กลายเป็นเงิน 2 ล้านบาทหลังจากลงทุนเพียง 1 ปี ผลตอบแทนคือ 700% ในหนึ่งปี เงินโตขึ้นมาเป็น 8 เท่า เขาเห็นแล้วว่านี่คือ “มหัศจรรย์” ของการลงทุน ในแบบ “ของเขา”
เงิน 2 ล้านบาทของเขายังคงถูกใช้ในการลงทุนตาม “สูตรเดิม” แต่มีการปรับเปลี่ยนบ้าง เขาเริ่มมีหุ้นเล่น 2-3 ตัวในเวลาเดียวกัน การใช้เงินมาร์จินก็มีการปรับลดลง จากเดิม 100% ก็อาจจะเปลี่ยนไปเป็น 80% เหตุผลก็เป็นเพราะเขาไม่เจอหุ้นตัวที่ “ใช่” ร้อยเปอร์เซ็นต์อย่างปีก่อน นอกจากนั้น เขาเริ่มกลัวบ้างว่า การเล่นหุ้นตัวเดียวและใช้มาร์จินเต็มที่นั้นอันตราย เขาอาจจะพลาดได้ ว่าที่จริง เขาก็เคยพลาดจากหุ้นบางตัวแต่โชคดีที่เขา “ออก” ได้ทัน ปีที่สองนี้ พอร์ตของเขาเพิ่มขึ้นเป็น 4 ล้านบาท ผลตอบแทนเท่ากับ 100% แต่เขารู้สึกค่อนข้าง “ผิดหวัง” เพราะเมื่อเทียบกับผลตอบแทนของปีก่อนแล้ว มันน้อยลงมาก เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ ผลตอบแทนของเขาแพ้เพื่อนในกลุ่มอย่าง “ยับเยิน”
ปีที่สามของเขาผ่านไปอย่าง “ยากลำบาก” เนื่องจากเกิด “ภาวะวิกฤติ” ผลตอบแทนของเขาติดลบถึง 25% เงินในพอร์ตเหลือ 3 ล้านบาท สูตรที่เคยใช้การได้ดีกลับกลายเป็นตรงกันข้าม หุ้นที่เขาเข้าลงทุนมีราคาลดลงอย่างมาก โชคยังดีที่เขาไม่ถูก “บังคับขาย” เพื่อรักษาอัตรามาร์จินไว้ อย่างไรก็ตาม พอขึ้นปีที่สี่ ทุกอย่างก็กลับมาสดใสดังเดิม เขามีความรู้และประสบการณ์เพิ่มขึ้นมาก ในบางครั้งเขาไม่ใช่แค่เป็น “ผู้ตาม” แต่เขาเป็น “ผู้นำ” ในการค้นหาหุ้นที่จะลงทุนและ “ผลักดัน” ราคาหุ้นให้ขึ้นไปด้วย สิ้นปีที่สี่ พอร์ตของเขาก็ผ่านหลัก 10 ล้านไปได้เหมือน “ฝัน” เขาเริ่มได้รับการยอมรับว่าเป็น คนที่มีความสามารถสูงแม้ว่าอายุยังน้อย
ปีที่ห้าของคุณไวนั้น เขาเริ่มมีหุ้นหลายตัวมากขึ้น การใช้มาร์จินก็ลดลง เฉลี่ยแล้วเขาอาจจะใช้เพียง 50% เขาเริ่มเห็นว่าการรักษาเงินต้นไว้เป็นเรื่องที่สำคัญไม่แพ้การทำเงินมาก ๆ แต่มีความเสี่ยงสูง อย่างไรก็ตาม ด้วยภาวะตลาดหุ้นที่ยังสดใสและ “สูตร” การลงทุนของเขาก็ยังทำงานได้ดี ว่าที่จริง ในช่วงหลัง ๆ นี้ สื่อมวลชนโดยเฉพาะที่เป็นสื่อสมัยใหม่ที่แพร่หลายมากขึ้น ได้ช่วยให้มีการเผยแพร่สูตรสำเร็จในการลงทุนรวมถึงตัวหุ้นที่น่าสนใจได้มากและเร็วขึ้น ทำให้พอร์ตการลงทุนของเขาโตขึ้นอีก 100% เขามีเงิน 20 ล้านและถือว่าเป็นเศรษฐีน้อย ๆ คนหนึ่ง พ่อแม่เขาภาคภูมิใจมากที่ลูกสามารถหาเงินได้มากและกลายเป็น “เศรษฐี” คนแรกของ “เครือญาติ” เพื่อนฝูงและคนรู้จักยอมรับในฝีมือและความสามารถของเขา บางคนถือว่าเขาเป็น “กูรู” คนหนึ่งของวงการหุ้น
ปีที่หกเริ่มต้นมาด้วยตลาดหุ้นที่ไม่สดใสนัก พอร์ตของคุณไวไม่ใคร่จะไปไหน ขณะนี้เขาเริ่มรู้สึกว่าหุ้นมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น เหนือสิ่งอื่นใด เงิน 20 ล้านของเขานั้น มันหมายถึงชีวิตที่ดี ๆ ที่เขาต้องรักษาไว้โดยให้มีความเสี่ยงน้อยลง แน่นอน เขาอยากได้ผลตอบแทนมาก แต่ถ้ามันเป็นเรื่องที่เสี่ยงเกินไป เขาก็ไม่อยากรับ มาร์จินที่เขาเคยใช้เต็มอัตรานั้น ขณะนี้ลดลงมาก บางช่วงเขาก็ไม่ได้ใช้เลย หุ้นที่เคยมีอยู่เพียง 2-3 ตัวก็กลายเป็น 7-8 ตัว จริงอยู่ เขายังใช้สูตรเดิมในการลงทุน แต่ผลกำไรที่ได้จากหุ้นแต่ละตัวนั้น เมื่อคิดเทียบกับพอร์ต 20 ล้านแล้วก็ไม่มากนัก นอกจากนั้น หุ้น 7-8 ตัวนั้น โอกาสที่เขาจะได้กำไรโดดเด่นทุกตัวก็ดูเหมือนจะยาก จบปีที่หก ผลตอบแทนของเขาลดลงเหลือ 20% ซึ่งเมื่อเทียบกับอดีตแล้วลดลงมาก อย่างไรก็ตาม มันเป็นผลตอบแทนที่ดีเมื่อเทียบกับตลาดหลักทรัพย์ที่หุ้นแทบไม่ให้ผลตอบแทนเลย
ปลายปีที่หก คุณไวได้แต่งงานกับสาวสวยที่มีดีกรีเป็นแพทย์ ไม่ใช่เรื่องแปลกสำหรับเขา เพราะเพื่อน ๆ นักลงทุนของเขาที่ “ลงทุนเป็นอาชีพ” และไม่ได้ทำงานในบริษัทใหญ่ ๆ ที่ “มีหน้ามีตา” หลายคน ต่างก็ได้แต่งงานหรือมีแฟนเป็นผู้หญิงที่ผู้ชายต่างหมายปอง บางที การเป็น “เศรษฐี” ได้ด้วยตนเองตั้งแต่อายุน้อย อาจจะสามารถลบล้างค่านิยมเก่า ๆ ว่า คุณต้องมีงานการเป็นหลักเป็นฐานที่แน่นอนได้
ความสำเร็จในแบบของคุณไวนั้น ผมคิดว่าไม่ใช่เป็นเรื่องง่ายโดยเฉพาะถ้ามองไปในอนาคต บางที คุณไวอาจจะโชคดีที่เริ่มต้นในช่วง “โอกาสทอง” ที่หุ้นบางประเภท มีการปรับตัวขึ้นอย่างมาก คนรุ่นใหม่อาจจะไม่ได้เจอแบบนั้น นอกจากนั้น การใช้มาร์จินและลงทุนในหุ้นน้อยตัวเกินไปก็เป็นความเสี่ยงที่สูงเกินไป และอาจทำให้เรา “ติด” จนในที่สุดวันหนึ่งเราอาจจะพลาดอย่างร้ายแรงจนทำให้เกิดหายนะได้ ผมคิดว่า การลงทุนโดยยึดหลักการที่เหมาะสมน่าจะเป็นทางเดินที่ดีกว่าสำหรับคนส่วนใหญ่ที่ไม่ได้มีความสามารถพิเศษในการลงทุน
- Paul VI
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 10538
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ชมรมหมอ VI
โพสต์ที่ 3030
ตอนใหม่ ของ คุณ maoinvestor
Ceiling คำๆนี้มีความหมายถึงราคาเพิ่มขึ้น 30 % ถ้าหุ้นของใครมีคนมาซื้อจนซิลลิ่ง ถือว่าต้องบันทึกประวัติศาสตร์สำหรับตัวเองเลยทีเดียว
ของผมยังเกิดขึ้นกับตัวเองนับครั้งได้
แต่การ์ตูนตอนใหม่ของคุณ mao มาดูกันว่ามันหมายถึงอะไร
Ceiling คำๆนี้มีความหมายถึงราคาเพิ่มขึ้น 30 % ถ้าหุ้นของใครมีคนมาซื้อจนซิลลิ่ง ถือว่าต้องบันทึกประวัติศาสตร์สำหรับตัวเองเลยทีเดียว
ของผมยังเกิดขึ้นกับตัวเองนับครั้งได้
แต่การ์ตูนตอนใหม่ของคุณ mao มาดูกันว่ามันหมายถึงอะไร