Megatrend ใหม่ (แต่เป็นมหันตภัย)....กิจการไหนได้ประโยชน์บ้าง

การลงทุนแบบเน้นคุณค่า เน้นที่ปัจจัยพื้นฐานเป็นหลัก

โพสต์ โพสต์
ภาพประจำตัวสมาชิก
Ii'8N
Verified User
โพสต์: 3682
ผู้ติดตาม: 0

Megatrend ใหม่ (แต่เป็นมหันตภัย)....กิจการไหนได้ประโยชน์บ้าง

โพสต์ที่ 1

โพสต์

ข่าวนี้คนไม่ค่อยได้อ่าน เพราะไปอยู่ในหน้าผู้จัดการรายสัปดาห์
(ถ้าเป็นหน้าผู้จัดการ online จะมีคนเข้าเยอะ) และกีฬาสี ทำให้หลายคนพลาดบทความดีๆ หลังจากที่ผู้จัดการไปเกี่ยวกับการเมืองเต็มตัว

เป็นเรื่องน่าสนใจมาก และเราก็เห็นแนวโน้มมาพอสมควร ว่ามันเป็นไปได้จริง
เลยมาขอความเห็นเพื่อนๆ หน่อย ว่ามีธุรกิจไหนน่าจะเข้าข่ายได้ประโยชน์จากเรื่องนี้
(ไม่ได้อยากซ้ำเติม แต่มันเป็น Trend ที่เราไม่ได้เป็นผู้กระทำ หรือร่วมซ้ำเติมใคร
เราแค่พยายามหาวิกฤติในโอกาส ที่เป็นหลักข้อหนึ่งของ VI อยู่แล้ว )


...น่าไปซื้อหุ้น Cargill นะ แต่ไปเช็คดูดันไม่มีให้รายย่อย Trade ในตลา่ด แม้แต่ NYSE จำได้ว่า professor Harvard ที่ทำ case CP ทำเรื่อง Cargill ด้วย


CP อาจมีเอี่ยว แต่ไม่แน่ใจว่าจะเป็นผลบวก หรือลบต่อ CP (ไม่ใช่เฉพาะ CPF) อย่างไหนมากกว่ากัน
ต้นทุนอาหารสัตว์ก็แพงไปด้วยเสียประโยชน์ แต่อาหารขาดแคลน ทำให้สินค้า CP มีราคาแพงฉวยโอกาสตามกระแสโลกได้ อาจได้ประโยชน์กว่าถ้าจัดการตามกระแสดีๆ





http://www.manager.co.th/mgrweekly/view ... 0000070295
ร้ายกว่า 2012 !?

โดย ผู้จัดการ 360° รายสัปดาห์ 9 มิถุนายน 2554 08:50 น.




• มหันตภัยที่ชาวโลกหวาดผวาจะเกิดขึ้นหรือไม่ ยากที่ใครหยั่งรู้
• แต่ความอดอยาก ขาดแคลน มาแน่ๆ ตอนนี้กำลังทวีความน่ากลัวเพิ่มขึ้นทุกวัน
• เมืองไทยอย่าคิดว่ารอด เหตุมีปัจจัยหนุนเพียบ
• ความฝืดเคืองรออยู่ งานนี้เลี่ยงได้ถ้าภาครัฐจัดการเป็น

หลายพันปีก่อนชาวมายาเคยทำปฏิทินรอบยาว ระบุวันด้วยชุดของตัวเลข ตัวเลขชุดนี้แทนวันที่ได้ยาวนาน 5,126 ปี เทียบกับวันที่ตามระบบปฏิทินสากล ตั้งแต่วันที่ 11 สิงหาคม ราว 3,114 ปีก่อนคริสตกาล ไปสิ้นสุดจำนวนเมื่อวันที่ 21 ธันวาคม 2012

เห็นตัวเลขที่หยุดไปดื้อๆ แบบนี้ ตามประสาคนมองโลกในแง่ร้าย ตีความอิงหลักเกณฑ์ทางวิทยาศาสตร์ และดาราศาสตร์ ว่านี่จะเป็นวาระสุดท้ายของมวลหมู่มนุษยชาติ โลกจะเกิดหายนะผู้คนล้มตายเป็นจำนวนมาก หลายประเทศหายไปเป็นแถบๆ หลายประเทศจมอยู่ท่ามกลางมหาสุมทร ฯลฯ อันเนื่องมาจากโลกได้โคจรมาอยู่ในตำแหน่งตรงข้ามกับศูนย์กลางทางช้างเผือก ทำให้เกิดการเรียงตัวกันเป็นเส้นตรงระหว่างศูนย์กลางช้างเผือก ดวงอาทิตย์ และโลก บ้างก็บอกว่าช่วงนั้นโลกจะเกิดการสลับขั้วสนามแม่เหล็ก เพราะเวลานั้นจะมีดาวเคราะห์มาเรียงอยู่ในแนวเดียวกัน และอีกหลากหลายเหตุผลที่จะยกขึ้นมาเพื่อยกระดับความเชื่อของคนให้เห็นคล้อยตาม

บ้างก็เชื่อ บ้างก็ไม่เชื่อ

เอาเป็นว่า หากเหตุการณ์นี้เกิดหรือไม่เกิดขึ้นจริง แต่สิ่งที่มนุษยชาติจะต้องเจอแน่ๆ หลีกเลี่ยงไม่ได้ เพียงแต่จะมากหรือน้อยเท่านั้นก็คือ “ภาวะความอดอยาก” ที่ปัจจุบันมีตัวเลขผู้อดอยากเพิ่มสูงถึง 925 ล้านคน และเชื่อว่ายิ่งเข็มนาฬิกาเคลื่อนผ่านไปมากเท่าไร ก็ยิ่งมีจำนวนผู้อดอยากเพิ่มขึ้นเท่านั้น (ในปี 2543 จำนวนผู้อดอยากทั่วโลกมีเพียง 840 ล้านคน)

ตอนนี้หลายคนยังไม่รู้สึก ยังคิดว่าอยู่ห่างไกลจากตัว แต่อีกไม่นานนักบางคนคงได้เริ่มสัมผัสว่าความอดอยาก และหิวโหย นั้นมันทรมานสักแค่ไหน และจริงๆ แล้วมันใกล้ตัวของเรา (คนไทย) กว่าที่คิด

บางทีภาวะที่กำลังจะกล่าวถึงต่อไปนี้ อาจสาหัสกว่ามหันตภัย 2012 ที่จะเกิดขึ้นหรือไม่ก็ไม่รู้...ก็เป็นได้

ภาวะอดอยากเริ่มขยับ
หาคนไทยใกล้ขึ้น-มากขึ้น

สัปดาห์ที่ผ่านมามีการหยิบปัญหาความอดอยากมาพูดถึงว่า ในจำนวนคนอดอยากทั้งหมด 925 ล้านคนบนโลกนี้ 62% อยู่ในทวีปเอเชียและแปซิฟิก ถ้าภาครัฐไม่มีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงระบบการผลิตภาคเกษตรในเร็ววันนี้เพื่อเตรียมรับมือกับปัญหาราคาอาหารที่มีแนวโน้มสูงขึ้นเรื่อยๆ

“แม้ประเทศไทยเป็นประเทศผู้ส่งออกอาหารก็จะต้องลำบากมากกว่านี้อีกหลายเท่า ดังที่เห็นได้จากวิกฤตอาหารแพงเมื่อ 2-3 เดือนก่อน ที่ราคาอาหารเพียงไม่กี่ชนิดมีราคาสูงขึ้น ทำให้เกิดความปั่นป่วนขนาดหนัก” เยาวลักษณ์ เธียรเชาวน์ ผู้อำนวยการอ็อกซ์แฟมประเทศไทย อธิบายถึงภาวะการขาดแคลนอาหารที่เริ่มมีผลกระทบถึงไทยบ้างแล้ว (อ่านล้อมกรอบ ปัญหาสิ่งแวดล้อม โลกร้อน ทำราคาอาหารเพิ่ม 2 เท่า เอเชีย-แปซิฟิกโดนมากสุด)

วันนี้ภาวะอดอยาก ฝืดเคือง อยู่ใกล้ตัวคนไทยมากกว่าที่คิด

เพื่อให้เห็นภาพได้ชัดขึ้น จะขอยกตัวอย่างกรณีการที่คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 22 มิถุนายน 2553 อนุมัติให้ปรับขึ้นเงินเดือนข้าราชการทั้งระบบอีก 5% ตั้งแต่เดือนเมษายน 2554 และแน่นอนว่าเมื่อมีข่าวปรับเงินเดือนขึ้น บรรดาแม่ค้าร้านตลาดก็ย่อมระรี้ระริกขอปรับราคาค่าสินค้าเพิ่มขึ้นด้วยคน ไม่เพียงเท่านั้น ราคาวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิตสินค้าทั้งในประเทศและตลาดโลกมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลโดยตรงต่อราคาสินค้าสำเร็จรูปภายในประเทศให้ปรับสูงขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มสินค้าเกษตรที่นำมาใช้ในการผลิตอาหาร มีแนวโน้มแพงขึ้นอย่างต่อเนื่องจากปัญหาสภาพภูมิอากาศโลกแปรปรวนที่ส่งผลให้ปริมาณผลผลิตลดลงทั่วโลก ขณะที่ความต้องการบริโภคในตลาดโลกเพิ่มขึ้น แน่นอนว่าย่อมส่งผลกระทบต่อประชาชนในวงกว้างอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

เลขาธิการสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย พรศิลป์ พัชรินทร์นะกุล ออกมาย้ำว่า ในปี 2554 ราคาสินค้าเกษตรจะปรับสูงขึ้นอีก 10% ทั้งข้าว มันสำปะหลัง ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ เมล็ดถั่วเหลือง ปาล์มน้ำมัน ยางพารา และอ้อย ส่วนหนึ่งเกิดจากประเทศต่างๆ ทั่วโลกนำพืชไปใช้ผลิตพลังงานทดแทน ส่งผลให้เกิดการแย่งชิงสินค้าเกษตรกับกลุ่มผู้ผลิตอาหารคนและสัตว์ (อ่านล้อมกรอบ ผลกระทบ 2 เด้ง ส่งไทยก้าวสู่ความขัดเคือง)

เงินเดือนปรับขึ้น 5% แต่ข้าวของปรับสูงขึ้น 10% ไม่จนวันนี้แล้วจะไปจนวันไหน

หรือหากจะให้แคบลงมาอีกนิด ขณะที่คณะกรรมการค่าจ้างกลางได้มีมติเมื่อวันที่ 9 ธันวาคม 2553 ให้ปรับเพิ่มค่าจ้างแรงงานโดยเฉลี่ยทั่วประเทศประมาณ 11 บาทต่อวัน หรือเพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 5.3 ซึ่งเป็นระดับที่สูงกว่าอัตราเงินเฟ้อเล็กน้อย แต่ราคาสินค้าในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมาขยับขึ้นอย่างมหาโหด ตัวอย่างเช่น ราคามะพร้าวปรับจากผลละ 10.60 บาท เป็น 24 บาท น้ำมันปาล์มบรรจุขวด 1 ลิตร จาก 38 บาท เป็น 48 บาท และอื่นๆ ที่ปรับกันแบบยกแผง ส่งผลให้บรรดาพ่อค้าแม่ขายอาหารตั้งแต่ร้านในห้องแอร์จนถึงร้านริมถนน ขอปรับราคาขึ้นไม่ต่ำกว่าชาม หรือจานละ 5 บาทโดยประมาณ ปรกติเคยทานที่ 25 บาท ต้องควักเป็น 30 บาท หากทานครบ 3 มื้อต้องควักเพิ่มเท่ากับ 15 บาทต่อวัน เมื่อบวกลบคูณหารกับการปรับเพิ่มค่าจ้างแรงงานเมื่อต้นปีแล้วถือว่าจนลงไปอีกหลายบาท

เห็นความฝืดเคืองที่คืบคลานเข้ามาใกล้ตัวแล้วหรือยังพ่อแม่พี่น้อง

3 ต้นเหตุความอดอยาก
ไทยเลี่ยงได้ถ้าจัดการเป็น

ดร.ณรงค์ เพชรประเสริฐ อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวกับ “ผู้จัดการ 360 องศา รายสัปดาห์” ว่า ภายใน 10 ปีนี้ราคาอาหารจะเพิ่มเป็นเท่าตัว เนื่องจากสาเหตุ 3 ประการคือ ประการแรก ภาวะเปลี่ยนแปลงของโลกอันเนื่องมาจากน้ำท่วม ฝนแล้ง อุณหภูมิเพิ่มขึ้น น้ำทะเลหนุนรุกพื้นที่ทำมาหากินริมฝั่ง ซึ่งจะเป็นปัญหาไปถึงเรื่องของผลผลิต พืชผลของโลกจะค่อยๆ ลดลง ประการที่สอง เมื่อมีการคาดการณ์เช่นนี้ ทำให้บริษัทค้าพืชผลทั้งหลาย โดยเฉพาะบริษัทค้าโภคภัณฑ์รายใหญ่ที่อยู่ในสหรัฐอเมริกา ฉวยโอกาสกักตุนอาหารเพื่อเก็งกำไร ทำให้ราคาเพิ่มสูงเร็วขึ้น ประการที่สาม การแย่งชิงพื้นที่เพาะปลูกระหว่างพืชพลังงานกับพืชอาหาร ทำให้สินค้าโภคภัณฑ์ยิ่งแพงยิ่งขึ้น

“การที่ราคาอาหารจะเพิ่มขึ้น 100% เป็นเรื่องที่น่ากลัวอยู่แล้ว เพราะรายได้ของประชากรประมาณ 1,000 ล้านคน ที่กำลังเผชิญความอดอยาก ไม่สามารถที่จะมีรายได้เพียงพอไปซื้ออาหาร ดังนั้นปริมาณคนที่อดอยากมันจะรุนแรงขึ้น จำนวนพันล้านคนที่ว่าอาจเพิ่มขึ้นอีกหลายร้อยล้านคน”

ดร.ด้านเศรษฐศาสตร์จากรั้วจามจุรี บอกว่า สำหรับประเทศไทย ปัญหาที่ว่านี้อาจจะไม่เกิด หากมีการจัดการที่เหมาะสม เพราะเป็นความจริงที่ว่าบ้านเรามีพื้นที่ปลูกอาหารได้อย่างเพียงพอ แต่ปัญหาอยู่ที่การผลิตได้อย่างเพียงพอคืออะไร เพราะหากคำว่าเพียงพอคือให้ปัจจัยการผลิตและอาหารไปอยู่ในมือบริษัทใหญ่ๆ เช่นนี้แล้ว มันไม่มีหลักประกันอันใดเลยว่าบริษัทยักษ์ใหญ่เหล่านี้จะแจกจ่ายอาหารไปยังทุกคนได้ หนำซ้ำยังจะนำไปสู่ความผูกขาด นำไปสู่การเก็งกำไร

“ในอเมริกาทำได้เพราะรายได้คนของเขาสามารถไล่ทันราคาอาหารที่แพงขึ้น ขณะที่เมืองไทยไล่ไม่ทัน มันยิ่งก่อให้เกิดการกระจุกตัวของอาหารไปอยู่ในมือของกลุ่มบริษัทใดบริษัทหนึ่งยิ่งเป็นอันตราย ทางแก้ก็คือต้องให้การผลิตอาหารอยู่ในมือของผู้ผลิตรายย่อย ก็จะทำให้รายย่อยมีอาหารกินเพียงพอ อีกทั้งถ้าอยู่ในมือของรายย่อย การแข่งขันการขายก็จะสูงขึ้น ทำให้ราคาอาหารไม่เพิ่มสูงขึ้นเร็วเกินไป”

แต่ถามว่าภายใต้สภาพการณ์ที่นายทุนอยู่เบื้องหลังพรรคการเมืองทุกพรรค จึงทำให้พรรคการเมืองแทนที่จะคิดถึงประโยชน์ของประชาชน กลับไปคิดถึงผลประโยชน์ของนายทุนแทน และตราบใดที่บ้านเรายังมีนักการเมืองแบบนี้ หนทางในการแก้ปัญหาต่างๆ จะไม่มีทางเกิดขึ้นได้ ภาวะการขาดแคลนอาหาร และความอดอยาก จึงเป็นความเที่ยงที่จะมาถึงประชาชนคนไทยไม่ช้าก็เร็ว

นายทุนคนไหนอยู่เบื้องหลังพรรคการเมือง และได้ผลประโยชน์จากการขึ้นราคาสินค้า ทั้งอาหารคน รวมทั้งอาหารสัตว์ คงไม่จำเป็นต้องบอกในบรรทัดนี้ เราๆ ท่านๆ คงจะรู้ และเห็นกันอยู่

เอเชีย-แปซิฟิก ถึงไทย

ตามคำบอกของอ็อกซ์แฟมประเทศไทย จำนวนคนอดอยาก 62% บนโลกนี้อยู่ที่ทวีปเอเชีย และแปซิฟิก ปฏิเสธไม่ได้ว่าไทยก็อยู่ในทวีปเอเชียนี้ และไทยกำลังประสบปัญหาราคาอาหารที่เพิ่มสูงขึ้นด้วยเช่นกัน

ขณะที่เราเพียรป่าวประกาศไปบอกชาวโลกว่า ไทยต้องการเป็นครัวของโลก เพราะเมืองไทยมีความอุดมสมบูรณ์ ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว นั้น ทางกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้ออกสำรวจเมื่อปี 2552 พบว่า คนไทยจำนวน 6 ล้านคน หรือ 8% ของจำนวนประชากรทั้งประเทศกำลังเผชิญภาวะความอดอยากและหิวโหย ขาดสารอาหาร คุณภาพอาหารไม่ดีพอ ซึ่งเกิดจากการมีรายได้ต่ำ

ผ่านมาแล้ว 2 ปี วันนี้ไม่แน่ว่าเพิ่มขึ้นหรือลดลงเท่าไร

แต่ที่แน่ๆ ภาวะรายได้ต่ำแต่รายจ่ายสูง ซึ่งเป็นต้นเหตุสำคัญที่ทำให้คนไทยจนลง กำลังเกาะกินประชาชนคนหาเช้ากินค่ำเพิ่มขึ้นทุกวัน

ดร.ณรงค์ บอกว่า สาเหตุของความอดอยากที่เกิดขึ้นในเอเชียและแปซิฟิกเป็นส่วนใหญ่ เนื่องจากปัญหาการกระจายรายได้ ปัญหาการกระจายพืชผลที่บางประเทศไม่สามารถผลิตได้เพียงพอ และการมีจำนวนประชากรมากจนเกินไป อย่างเช่น จีน และอินเดีย เป็นต้น ขณะที่เมืองไทยแม้จะผลิตอาหารได้อย่างเพียงพอ และเกินพอในหลายครั้ง แต่ก็ยังมีปัญหาความอดอยากเนื่องมาจากการกระจายทรัพยากรไม่ดีพอ ที่สำคัญเมื่อผลิตสินค้าออกมาแล้วแทนที่จะตั้งราคาขายโดยอ้างอิงกับตลาดในประเทศ บริษัทเหล่านั้นกลับไปอ้างอิงกับราคาในตลาดโลก ทำให้ต้นทุนอาหารแทนที่จะถูก กลับต้องมาขายให้กับคนไทยในราคาแพง

“อีก 10 ปีต่อไปนี้จะมีประเด็นเรื่องของชาวนาจำนวนหนึ่งที่หายไป ปัญหาคือมันจะเกิดการกระจุกตัวของการถือครองที่ดินมากขึ้น ผลผลิตจะเริ่มไปอยู่ในมือของนายทุนมากขึ้น เมื่อเป็นเช่นนี้นายทุนก็จะขายเอากำไรอย่างเดียว ถ้าต้นทุนการผลิตแพง พ่อค้าก็จะผลักภาระมาให้กับประชาชนต้องซื้อของในราคาแพงขึ้น ทั้งที่รายได้ของคนไทยเพิ่มช้ากว่าราคาอาหาร ภาวะความอดอยากในเมืองไทยก็จะเพิ่มขึ้น”

สู่ภาวะขัดเคือง
ต้องหามากเพื่อบริโภคเท่าเดิม

“คนจนบ้านเราจะไม่อดอยากแต่จะลำบากขึ้น ทำงานหนักขึ้นเพื่อที่จะได้มีเงินซื้ออาหาร” ดร.ด้านเศรษฐศาสตร์การเมือง ที่เข้าไปคลุกคลีกับชนชั้นแรงงาน และชาวไร่ชาวนา ฉายภาพให้ฟังถึงสภาวะที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคตข้างหน้า เพราะเป็นเรื่องที่ปฏิเสธไม่ได้ว่าอาหารเป็นสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับชีวิตคนเรา สิ่งที่ตามมาก็คือเงินทุกบาททุกสตางค์ที่หามาได้จะถูกทุ่มไปที่อาหารเป็นลำดับแรก และจะลดค่าใช้จ่ายด้านอื่นๆ ลง แน่นอนว่าย่อมส่งผลให้คุณภาพชีวิตของคนแย่ลงไปด้วย

ประชาชนคนชั้นกลางลงมาคือผู้ที่จะได้รับผลกระทบนั้น ถึงแม้ว่าจะไม่รุนแรงถึงขั้นอดอยาก แต่อยู่ในขั้นที่เรียกว่าขัดเคือง ที่ผู้คนต้องดิ้นรนทำงานมากขึ้นเพื่อบริโภคได้เท่าเดิม

การบริโภคเท่าเดิม ไม่ได้หมายความว่าจะได้คุณภาพเท่าเดิม แต่อาจหมายเพียงแค่ได้อิ่มท้องในเชิงปริมาณเท่านั้น

เพราะสินค้าที่จะกระทบต่อความอดอยากมากที่สุดก็คือพวกธัญพืช คือพืชที่สามารถใช้เป็นอาหารได้ เช่น ข้าว ข้าวโพด ถั่ว เป็นต้น แต่ถ้าจะเลือกหยิบมากล่าวเฉพาะข้าวโพดปัจจุบันแบ่งออกได้เป็น 3 ตลาดคือ ข้าวโพดที่เป็นอาหารคน ข้าวโพดที่เป็นอาหารสัตว์ และที่เป็นพลังงาน ในความเป็นจริงหากคนมีเงินมากพอก็จะบริโภคข้าวโพดน้อยลง และหันมาทานเนื้อสัตว์มากขึ้น สมมติคนหนึ่งคนต้องทานเนื้อสัตว์ 1 กิโลกรัมจึงจะเพียงพอต่อความต้องการในแต่ละมื้อ ในอีกด้านหนึ่งกว่าจะได้เนื้อสัตว์ในปริมาณดังกล่าวจะต้องใช้ข้าวโพดในการขุนสัตว์ราว 4-5 กิโลกรัม กลายเป็นว่าคนที่บริโภคเนื้อสัตว์ต้องไปแย่งอาหารคนจนถึง 4 คน ทั้งนี้ มีความเป็นไปได้ว่าจากนี้คนที่มีรายได้น้อยลงจะหันมาบริโภคเนื้อสัตว์น้อยลงด้วยเช่นกัน

ขณะที่คนชั้นกลางลงมารายได้ขึ้นช้ากว่ารายจ่าย ทางฝ่ายเกษตรกรก็ประสบปัญหายอดขายผลผลิตลดลงอย่างต่อเนื่องเช่นเดียวกัน

เยาวลักษณ์ กล่าวว่า จากการทำงานร่วมกับองค์กรท้องถิ่นมาหลายปี ได้เห็นว่าปริมาณผลผลิตการเกษตรมีความผันผวนมากขึ้น เพราะสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลง ทรัพยากรน้ำที่หายากขึ้น ปัญหาการกระจายการถือครองที่ดินเพื่อการเกษตร และคุณภาพของดินที่เลว รวมถึงระบบเกษตรพันธสัญญาที่ไม่เป็นธรรม และต้นทุนการผลิตที่สูงเนื่องมาจากการอาศัยสารเคมี ยาฆ่าแมลงในการผลิตที่เพิ่มสูงขึ้นในแต่ละรอบการผลิต ทำให้รายได้ลดลงแต่ค่าใช้จ่ายเพิ่มสูงมากขึ้น

ทั้งหลายทั้งปวงเหล่านี้ส่งผลให้รายได้ของเกษตรกรลดลง จากที่น้อยอยู่แล้ว ยิ่งน้อยลงไปอีก

“ภาวะความอดอยาก” และ “ความฝืดเคือง” จึงนับว่าเป็นความน่ากลัวที่ประชากรบนโลกหลายพันล้านคนจะต้องประสบแน่นอน ไม่เหมือนกับมหันตภัย 2012 ที่อาจเป็นจริง หรือเป็นแค่เรื่องอุปโลกน์ให้ตกใจเล่นๆ เหมือนหลายครั้งหลายคราที่เคยเป็นมา






-------------------------------------------------
ปัญหาสิ่งแวดล้อม โลกร้อน
ทำราคาอาหารเพิ่ม 2 เท่า
เอเชีย-แปซิฟิกโดนมากสุด

องค์กรด้านมนุษยธรรมอ็อกซ์แฟมวันนี้เปิดตัวแคมเปญใหม่ชื่อว่า โกรว์ (GROW) เรียกร้องให้มีการเปลี่ยนแปลงระบบการปลูก ผลิต และกระจายอาหาร ไม่เช่นนั้นคนอีกหลายล้านจะเผชิญความอดอยากจากราคาอาหารที่อาจเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่าภายในอีก 20 ปี โดยเฉพาะในเอเชียและแปซิฟิกซึ่งเป็นภูมิภาคที่มีคนอดอยากหิวโหยมากที่สุด เพราะระบบอาหารที่ไม่ยั่งยืน วิกฤตการณ์ด้านสิ่งแวดล้อมและภูมิอากาศเปลี่ยนแปลง

“ในจำนวนคนอดอยากทั้งหมด 925 ล้านคนบนโลกนี้ 62 เปอร์เซ็นต์อยู่ในทวีปเอเชียและแปซิฟิก ถ้าภาครัฐไม่มีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงระบบการผลิตภาคเกษตรในเร็ววันเพื่อเตรียมรับมือกับปัญหาราคาอาหารที่มีแนวโน้มสูงขึ้นเรื่อยๆ แม้ประเทศไทยที่เป็นประเทศผู้ส่งออกอาหาร จะลำบากมากกว่านี้อีกหลายเท่า ดังที่เห็นได้จากวิกฤตราคาอาหารแพงเมื่อ 2-3 เดือนก่อนที่ราคาอาหารเพียงไม่กี่ชนิดมีราคาเพิ่มขึ้น ทำให้เกิดความปั่นป่วนขนาดหนัก” เยาวลักษณ์ เธียรเชาว์ ผู้อำนวยการอ็อกซ์แฟมประเทศไทย กล่าว

ปัญหาเหล่านี้กำลังทำให้งานต่อสู้กับความอดอยากที่ผ่านมากว่าสิบปีกลับอยู่ในสภาพถอยหลังอย่างชัดเจน เห็นได้จากราคาอาหารที่พุ่งสูงขึ้นและวิกฤตด้านอาหารขาดแคลนในภูมิภาค อ็อกซ์แฟมกล่าวในรายงานฉบับใหม่ชื่อว่า Growing a Better Future หรือ “สร้างอนาคตที่ดีกว่า”

เยาวลักษณ์ กล่าวอีกว่า จากการทำงานร่วมกับองค์กรท้องถิ่นมาหลายปี เห็นว่าปริมาณผลผลิตการเกษตรมีความผันผวนมากขึ้นเพราะสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลง ทรัพยากรน้ำที่หายากขึ้น ปัญหาการขาดการกระจายการถือครองที่ดินเพื่อการเกษตร และคุณภาพดินที่เลวลง ส่งผลให้รายได้ของเกษตรกรจากการขายผลผลิตลดลงอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ระบบเกษตรพันธสัญญาที่ไม่เป็นธรรม และต้นทุนการผลิตที่สูงเนื่องมาจากการอาศัยสารเคมี ยาฆ่าแมลงในการผลิต ที่ต้องเพิ่มสูงขึ้นในแต่ละรอบการผลิต ทำให้รายได้ลดลง แต่ค่าใช้จ่ายเพิ่มสูงมากขึ้น ทำให้ต้องกู้หนี้ยืมสิน เกิดภาวะหนี้สินล้นพ้นตัว แต่คุณภาพชีวิตก็ไม่ได้ดีขึ้น เพราะระบบโครงสร้างภาคเกษตรในปัจจุบันไม่ได้เอื้อต่อเกษตรรายย่อย

“นอกจากปริมาณผลผลิตที่น้อยลงแล้ว คุณภาพของอาหารที่ได้ก็ลดลงด้วย คนที่จนอยู่แล้วก็ไม่มีเงินซื้ออาหารที่เพียงพอ และมีคุณภาพมาเลี้ยงตนเองและครอบครัว ส่วนคนที่สามารถออกมาจากปัญหาหนี้สินและความยากจนได้ คือกลุ่มที่ผันไปทำเกษตรแบบยั่งยืนและผสมผสาน เพราะวิธีการนี้แม้จะเห็นผลช้า แต่ช่วยลดต้นทุนการผลิตและเมื่อเห็นผล เกษตรกรจะได้ผลผลิตที่มากกว่าการใช้เกษตรเคมี ทำให้มีเหลือขายทำรายได้เพิ่ม” เยาวลักษณ์ กล่าวเสริม

รายงานฉบับนี้ซึ่งเปิดตัวพร้อมกับแคมเปญ ได้กล่าวถึงระบบอาหารที่ไม่สมบูรณ์โดยเห็นได้จากความอดอยากที่เพิ่มขึ้น ผลผลิตการเกษตรที่เท่าเดิมหรือลดลง การแก่งแย่งที่ดิน สงครามแย่งน้ำ และราคาอาหารที่พุ่งขึ้น โดยสิ่งเหล่านี้คือสัญญาณเตือนว่าเราได้เข้าสู่ยุคที่ทรัพยากรธรรมชาติของโลกอยู่ในภาวะวิกฤต และผลกระทบจากภาวะโลกร้อนจะทำให้ปัญหาหนักกว่าเดิม และมีคนหิวโหยเพิ่มขึ้น ดังจะเห็นได้จากสถิติเหล่านี้

ข้าวเป็นอาหารหลักที่สำคัญที่สุดในเอเชีย แต่มีการซื้อขายเพียง 7 เปอร์เซ็นต์ของผลผลิตทั้งหมดทั่วโลก เพราะส่วนใหญ่ใช้บริโภคในประเทศ เมื่อเกิดวิกฤตด้านอาหาร ราคาข้าวจึงพุ่งขึ้นเป็นประวัติการณ์หรือผันผวนดังที่เห็นในปี 2008 และปี 2010 ซึ่งเป็นปีที่เอเชียมีอากาศแปรปรวนและประสบภัยพิบัติธรรมชาติทั่วทั้งทวีป

ข้าวสาลีเป็นอาหารหลักทางเลือกที่สำคัญรองจากข้าวและเป็นวัตถุดิบหลักของบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปและอาหารสำเร็จรูปหลายชนิดที่คนรายได้น้อยพึ่งพา เอเชียเป็นทวีปที่บริโภคข้าวสาลีมากถึงเกือบครึ่งของปริมาณการบริโภคทั่วโลก อย่างไรก็ตาม ทั้งราคาข้าวและข้าวสาลียังคงสูงอย่างต่อเนื่องเมื่อเทียบกับ 2-3 ปีก่อนหน้านั้น

งานวิจัยชิ้นใหม่ทำนายว่าราคาพืชอาหารหลักเช่น ข้าวโพด จะเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่าภายใน 20 ปีข้างหน้า จากราคาที่ตอนนี้สูงเป็นประวัติการณ์อยู่แล้ว โดยสาเหตุคือสภาวะภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลง กลุ่มคนที่น่าเป็นห่วงที่สุดคือคนยากจน เพราะ 80 เปอร์เซ็นต์ของรายได้ของคนกลุ่มนี้หมดไปกับค่าอาหาร

ผู้เชี่ยวชาญด้านอาหารคาดการณ์ไว้ว่า ความต้องการอาหารจะเพิ่มขึ้นกว่า 70 เปอร์เซ็นต์ในปี 2050 แต่ความสามารถในการผลิตทั่วโลกรวมทั้งประเทศไทยขณะนี้ได้ลดลงมาอย่างต่อเนื่อง อัตราการเพิ่มผลผลิตของภาคเกษตรทั่วโลกโดยเฉลี่ยได้ลดไปเกือบครึ่งของตัวเลขในปี 1990 และมีแนวโน้มว่าจะลดลงไปอีกใน 10 ปีข้างหน้า

ผลการศึกษาของธนาคารโลก พบว่ามีคนจนกว่า 44 ล้านคนที่กลายเป็นคนยากจนข้นแค้นหลังจากราคาอาหารพุ่งสูงเมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา และเมื่อต้นเดือนนี้เอง ธนาคารพัฒนาเอเชียประเมินไว้ว่าถ้าปัญหานี้ยังไม่ได้รับการแก้ไข จะมีคนอีก 64 ล้านคนที่ตกอยู่ในสภาพเดียวกัน

นอกจากนี้ อ็อกซ์แฟมยังได้วิเคราะห์ความผิดพลาดของนโยบายการบริหารงานของรัฐบาลที่เกี่ยวข้องกับภาคเกษตรและสังคม และกลุ่มบรรษัทยักษ์ใหญ่ทรงอิทธิพลในวงการผลิตอาหารจำนวน 300-500 บริษัท ซึ่งได้รับผลประโยชน์จากนโยบายเหล่านี้และมีการล็อบบี้ภาครัฐอย่างหนักเพื่อรักษาผลประโยชน์นี้ไว้ในรายงานฉบับนี้ด้วย

แม้ว่าประเทศไทยจะเป็นผู้ส่งออกข้าวเป็นอันดับหนึ่งของโลก นโยบายด้านสังคมโดยเฉพาะภาคเกษตรที่ผ่านมาไม่ได้เอื้อต่อเกษตรกรหรือยั่งยืนแต่อย่างใด ตรงกันข้าม ช่องว่างระหว่างคนรวยและคนจนกลับเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะหลังจากวิกฤตทางการเงินปี 2008 คนจำนวนมากยังคงตกงานและไม่สามารถลืมตาอ้าปากได้เพราะหนี้ที่ต้องกู้เพิ่มเพื่อเอามาเป็นค่าใช้จ่ายเมื่อถูกเลิกจ้าง

ในรายงานของอ็อกซ์แฟมกล่าวว่า มีเพียงบริษัทยักษ์ใหญ่ระดับโลก 4 แห่งเท่านั้นที่เป็นผู้ควบคุมการเคลื่อนย้ายของอาหารหลักที่ซื้อขายกันทั่วโลก ประมาณ 90 เปอร์เซ็นต์ของตลาดการค้าเมล็ดพืชของโลกอยู่ในมือของบริษัท อาร์เชอร์ ดาเนียลส์ มิดแลนด์ (Archer Daniels Midland) บังกี้ (Bunge) และคาร์กิลล์ (Cargill) โดยสองบริษัทหลังมีสาขาอยู่ในประเทศไทยและอีกหลายประเทศในเอเชียด้วย ในช่วงไตรมาสแรกของปี 2008 ตอนที่วิกฤตการณ์ราคาอาหารอยู่ในช่วงสูงสุด คาร์กิลล์ได้กำไรเพิ่มถึง 86 เปอร์เซ็นต์จากราคาอาหารที่พุ่งพรวดโดยยังไม่มีแนวโน้มที่จะลดลงแต่อย่างใดเมื่อดูจากสถานการณ์ตลาดอาหารโลกในปัจจุบัน

เจเรมี่ ฮอบส์ ผู้อำนวยการบริหารของอ็อกซ์แฟม กล่าวว่า ที่จริงแล้วโลกเราใบนี้สามารถเลี้ยงคนได้ทุกคนบนโลก แต่ในทุกๆ 7 คน จะมี 1 คนที่หิวโหยอยู่เสมอ ในยุคข้าวยากหมากแพงแบบนี้ ประกอบกับปัญหาโลกร้อนที่รุนแรงขึ้นทุกวัน ที่ดินอุดมสมบูรณ์พร้อมน้ำสะอาดที่หากากขึ้น การแก้ปัญหาความอดอยากเป็นไปได้ยากอย่างยิ่ง และถ้าเราไม่เปลี่ยนระบบการผลิตอาหาร จำนวนคนอดอยากหิวโหยจะเพิ่มขึ้นอีกเป็นล้านอย่างแน่นอน

ผลกระทบ 2 เด้ง
ส่งไทยก้าวสู่ความขัดเคือง

ช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมามีการพูดถึงกันมากถึงกรณีที่พืชพลังงานรุกกินพื้นที่พืชอาหาร เพื่อนำมาทดแทนพลังงานจากฟอสซิลที่นับวันจะร่อยหรอ และราคาแพงขึ้นทุกวี่วัน

วันพุธหน้า (15 มิ.ย.) จะมีการสัมมนาเรื่อง “วิกฤตพืชอาหาร บนกระแสพลังงานทางเลือก” ที่จัดขึ้นโดยหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ ศูนย์วิจัยธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) และ CEDI มหาวิทยาลัยกรุงเทพ แสดงให้เห็นว่าเรื่องนี้ยังเป็นประเด็นที่น่าจับตา ที่ส่งผลกระทบต่อเนื่องนับจากปัจจุบันไปถึงอนาคต

ผลกระทบที่เกิดขึ้นกับเมืองไทยในฐานะประเทศเกษตรกรรมที่มุ่งเน้นปลูกพืชเพื่อบริโภค ไม่ใช่เพียงแค่พื้นที่ในการเพาะปลูกจะค่อยๆ ลดลงเท่านั้น แต่ยังมีประเด็นเรื่องต่างชาติเข้ามายึดที่ดินเกษตรไทยอีกด้วย ผู้อำนวยการอ็อกซ์แฟมประเทศไทย ชี้ให้เห็นจากรายงานเบื้องต้นพบว่า การถือครองที่ดินเพื่อใช้ในการเกษตรของไทยมีชาวต่างชาติ สัญชาติจีน และตะวันออกกลางเข้ามาใช้ประโยชน์ที่ดินในระดับที่น่าเป็นห่วง

เรื่องนี้ไม่ใช่เพิ่งเกิด แต่เกิดขึ้นมานานแล้ว

ก่อนหน้านี้ “ผู้จัดการ 360 องศา รายสัปดาห์” เคยรายงานเรื่องการรุกเข้ามาของนายทุนต่างชาติ หรือแม้แต่นายทุนใหญ่ของบ้านเราเองไว้ว่า เข้ามากลืนกินพื้นที่ด้วยเหตุผล 2 อย่าง อย่างแรก ซื้อที่ดินเพื่อใช้ปลูกพืชที่ใช้บริโภค เช่น ข้าว ผลไม้ อย่างที่สอง กว้านซื้อที่ดินเพื่อปลูกพืชพลังงาน

กระแสของการรุกพื้นที่ในเมืองไทยเพื่อเป็นแหล่งผลิตอาหาร และพืชพลังงาน เป็นประเด็นร้อนขึ้นทุกวัน เนื่องจากสถานการณ์น้ำมันในตลาดโลกที่ขยับตัวสูงขึ้นตลอดเวลา วันนี้ (8 มิ.ย.54) ราคาขายปลีกน้ำมันเบนซิน อี20 ในบ้านเราอยู่ที่ 35.04 บาท เบนซิน 95 อยู่ที่ 48.64 บาท ส่วนดีเซลตรึงราคาไว้ที่ 29.99 บาท

ไม่มีทางลดลงไปมากกว่านี้อีกแล้ว นับวันมีแต่จะเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ จึงทำให้หลายประเทศทั่วโลกเริ่มหาพลังงานทางเลือกจากพืชมาใช้ ไม่ว่าจะเป็น มันสำปะหลัง สบู่ดำ ปาล์ม อ้อย หรือแม้แต่มะพร้าว

ว่ากันว่า หากโลกต้องการเปลี่ยนมาใช้พลังงานจากพืช ไม่ว่าไบโอดีเซล หรือเอทานอล แทนพลังงานจากดินเพียงแค่ 5% จะต้องใช้พื้นที่ปลูกพืชจำนวนครึ่งหนึ่งของประเทศอินโดนีเซีย หรือประมาณ 600 ล้านไร่ หรือถ้าเพิ่มเป็น 10% ก็จะเท่ากับประเทศอินโดนีเซียทั้งประเทศ ถามว่าจากการที่ประชาคมโลกตั้งเป้าไว้ว่าจะผลิตพลังงานทดแทนให้ได้ 15-20% แสดงว่าโลกต้องการพื้นที่เพาะปลูกเท่ากับประเทศอินโดนีเซียถึง 2 ประเทศ ถามว่าพื้นที่จำนวนมากมายมหาศาลขนาดนี้จะหาได้จากที่ไหน หนทางเดียวที่จะหาพื้นที่ปลูกพืชพลังงานได้จำนวนมากขนาดนี้ก็คือต้องแย่งพื้นที่ปลูกอาหารของมนุษย์

ในทางกลับกัน ประเทศผู้ร่ำรวยน้ำมันที่มีความกังวลในเรื่องความมั่นคงทางด้านอาหาร ก็กังวลถึงเหตุการณ์ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นดังกล่าว ด้วยตระหนักดีว่าหากปล่อยให้ประเทศต่างๆ ปลูกแต่พืชพลังงาน เป็นไปได้ว่าอีกไม่นานพื้นที่ที่ใช้ในการปลูกพืชสำหรับคนบริโภคย่อมต้องหดหายไปด้วย เมื่อเป็นเช่นนี้ทางกลุ่มทุนตะวันออกกลางจึงต้องเร่งจับจองพื้นที่ทางการเกษตรให้ได้อย่างเร่งด่วน และไม่มีพื้นที่ใดในโลกที่จะสามารถปลูกพืชเป็นแหล่งอาหารของตนได้ดีกว่าประเทศทางแถบเอเชีย โดยมีประเทศไทยเป็นเป้าหมายสำคัญ เพราะทุกวันนี้ไทยมีสถานะเป็นผู้ผลิตและส่งออกข้าว และอาหารประเภทอื่นๆ ติดอันดับโลก

“วันนี้พื้นที่ของเขาไม่สามารถทำการเกษตรได้ พื้นที่ของเขาสามารถสร้างมูลค่าของน้ำมันได้ แต่คนไม่กินน้ำมันไม่ตาย แต่คนไม่กินอาหารตายแน่ ฉะนั้น เมื่อถึงจุดวิกฤตวันหนึ่ง พื้นที่ทำการเกษตรลดลง อาหารต้องแย่งกัน ฉะนั้น กลุ่มประเทศที่ร่ำรวยมาจากการค้าน้ำมันและมีเงินมหาศาลจึงต้องคิดเอาตัวเองอยู่รอด คิดว่าวันหนึ่งไม่มีข้าวกินจะทำอย่างไร เขาจึงเตรียมป้องกันทั้งตัวเขา ลูกหลานเขา ชนชาติเขา เขายังคิดถึงชนชาติ แล้วเราล่ะคิดถึงชนชาติบ้างหรือเปล่า” สมศักดิ์ ปริศนานันทกุล เมื่อครั้งยังเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เคยให้สัมภาษณ์ไว้กับหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่ง

ทุนไทย - ทุนนอก
ชิงพื้นที่จ้าละหวั่น

ณรงค์ เพ็ชรประเสริฐ สมาชิกสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และอาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวกับ “ผู้จัดการ 360 องศา รายสัปดาห์” ว่า ทุกวันนี้การเข้าไปกวาดซื้อที่ดินของกลุ่มทุนต่างประเทศไม่ใช่เกิดขึ้นในเมืองไทยเท่านั้น แต่ยังเกิดขึ้นในกลุ่มประเทศแถบละตินอเมริกา แอฟริกา ด้วยเช่นกัน

สิ่งที่น่าเป็นห่วงสำหรับการถือครองที่ดินเกษตรกรของบ้านเราก็คือ ประการแรก ขณะนี้จังหวัดในภาคกลางจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็น ปทุมธานี นครนายก อยุธยา กินพื้นที่ถึงปราจีนบุรี เจ้าของที่ดินส่วนใหญ่ไม่ใช่ชาวนา ประการที่สอง ชาวนาส่วนใหญ่อายุมาก และลูกหลานไม่มีใครสืบสานอาชีพเกษตร ดังนั้น จึงมีความวิตกกังวลว่าเมื่อชาวนาเหล่านี้ปลดเกษียณตัวเอง แนวโน้มที่ที่ดินจะหลุดจากมือไปอยู่ที่นายทุน หรือคนต่างชาติจะมีสูงมาก

เมื่อถึงวันนั้น วันที่ที่ดินไร้คนปลูกข้าว วันที่เจ้าของที่ดินไม่ใช่ชาวไร่ชาวนา แต่อยู่ในมือของนายทุนเป็นส่วนใหญ่ ผลผลิตข้าวจะเหลือเท่าไร มากพอที่จะเลี้ยงคนไทยได้เพียงพอหรือไม่ และคนไทยยังสามารถมีเงินจับจ่ายซื้อหาข้าวสารไว้ทานกันได้หรือไม่ นั่นคือคำถามที่วันนี้ยังไม่สามารถให้คำตอบได้

“การที่เราไปแย่งพื้นที่ปลูกอาหารมาปลูกพืชพลังงาน จะทำให้ผลผลิตอาหารลดลง ราคาก็จะยิ่งแพงขึ้น การคิดแบบนี้สำหรับบางคนสร้างภาพไปว่าจะยิ่งทำให้ราคาพืช ราคาข้าวแพงตามไปด้วย และจะทำให้เกษตรกรสบาย แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่ เพราะเมื่ออาหารแพงขึ้น เมล็ดพืชก็จะแพงขึ้น แล้วอาหารทุกชนิดจะแพงขึ้นตามไปด้วย” นักวิชาการจากรั้วจุฬาลงกรณ์ อธิบาย และว่า เนื่องจากเราไม่สามารถลดราคาปุ๋ย ราคายาของพืชได้ หากราคาน้ำมันยังแพงอยู่ แม้ว่าราคาผลผลิตพืชจะสูงขึ้น แต่ราคาของปุ๋ย ของยาก็จะแพงขึ้นตาม ชาวนาอาจจะมีรายได้สูงขึ้นบ้าง แต่สิ่งที่ย้อนกลับมาคือ ตัวชาวนาก็จะกินอาหารแพงขึ้น

“แล้วเขาไม่ได้แค่กินข้าวแพงอย่างเดียว แต่ต้องกินไก่ หมู แพงขึ้นด้วย คำถามคือ การขายข้าวได้สูงขึ้น มันพอเพียงกับการต้องซื้ออาหารที่แพงขึ้นหรือไม่”

อีกประการหนึ่งคือ ในสังคมของไทยปัจจุบันผู้ที่ไม่ได้ทำนา เช่น กรรมกร หรือลูกจ้างมีทั้งหมด 16 ล้านคน ขณะที่เกษตรกรมีเพียงแค่ 12 ล้านคน ลูกจ้างจำนวน 16 ล้านคนนี้ 60% มีรายได้ไม่เกิน 5,500 บาท รายได้จำนวนนี้ครึ่งหนึ่งเป็นค่าอาหาร อีก 20% เป็นค่าขนส่ง คือค่ารถเดินทางมาทำงาน แถมยังต้องบวกที่อยู่อาศัยอีก 25% สรุปแล้วเหลือค่าใช้จ่ายส่วนตัวเพียง 5% ซึ่งยากต่อการดำรงชีวิตประจำวัน

“การแย่งชิงพื้นที่เพื่อปลูกพลังงานมันจะมีปัญหาต่ออาหาร แล้วอาหารจะมีปัญหาและมีผลกระทบต่อคนจน ซึ่งตรงนี้หากคิดไปไกลๆ จะเห็นว่าไม่ใช่เรื่องสนุก คิดง่ายๆ ว่าต่างชาติมาเช่าที่ดิน มาเช่าทำไร่ ทำนา แล้วจะทำให้เกษตรกรรายได้ดีขึ้น แต่ลืมคิดไปว่าค่าอาหารตัวอื่นแพงขึ้นตามไปด้วย ปัจจุบันจะเห็นว่าตอนนี้คนไทยไม่ได้กินเนื้อสัตว์ที่เลี้ยงเองแล้ว มันเป็นเนื้อสัตว์อุตสาหกรรมทั้งนั้น เมื่อเป็นเนื้อสัตว์อุตสาหกรรม เมื่อเมล็ดพืชแพงขึ้น เนื้อสัตว์ก็แพงขึ้นด้วย ไข่ก็แพงขึ้น ไก่ก็แพงขึ้น เมื่อข้าวแพงขึ้น รำข้าวก็ต้องแพงขึ้นด้วย เนื้อหมูก็ต้องแพงขึ้นตาม เมื่อพื้นที่ปลูกพืชลดน้อยลง ข้าวโพดก็แพงขึ้นเนื้อก็ต้องแพงขึ้น มันโยงกันไปหมด และที่สำคัญที่สุดก็คือ อาหารมันเป็นแหล่งพลังงานของชีวิต พลังงานที่สำคัญของมนุษย์ก็คือพลังงานของชีวิต ไม่ใช่พลังงานของเครื่องจักร

วิทยาศาสตร์การเกษตร
ช่วยได้ หรือไม่ช่วย

หลายปีที่ผ่านมาหลายประเทศได้ออกโรงเตือน รวมทั้งมีการเฝ้าระวังถึงหายนะอันเนื่องมาจากภาวะความขาดแคลนอาหาร และราคาอาหารที่เพิ่มสูงขึ้นทุกขณะ เพราะมองว่านี่แหละจะเป็นตัวการที่ก่อให้เกิดโศกนาฏกรรมของมนุษยชาติ

หลายคนมองว่าการใช้วิทยาศาสตร์การเกษตรเข้ามาช่วยในการเพาะปลูก เพิ่มผลผลิต พืชพรรณทนต่อความแห้งแล้ง และแมลงศัตรูพืช จะทำให้ผู้คนพ้นจากสภาวะความอดอยากที่ว่านี้

แต่วิทยาศาสตร์การเกษตรไม่สามารถช่วยได้ทั้งหมด

แต่ถึงช่วยได้คิดหรือว่าคนยากคนจนจะได้ประโยชน์จากการนี้

ดร.ณรงค์ บอกว่า เป็นที่รู้ดีว่าคนที่กุมบังเหียนเรื่องพวกนี้ก็คือบริษัทยักษ์ใหญ่ เพราะเทคนิคการตัดต่อพันธุกรรม หรือพันธุ์พืชต่างๆ ล้วนอยู่ในมือของคนพวกนี้ บริษัทใหญ่ขายเมล็ดพันธุ์ให้กับชาวนาก็เป็นเมล็ดพันธุ์ที่ขยายต่อไม่ได้ หรืออย่างซีพีที่ให้ข้าวไปปลูก ข้าวที่ออกมาคุณไม่สามารถไปทำเป็นข้าวปลูกได้ ต้องมาซื้อใหม่จากเขา ถ้าปล่อยไปเรื่อยๆ บริษัทใหญ่ก็จะผูกขาดเมล็ดพันธุ์ ผูกขาดปริมาณอาหาร โอกาสที่ชาวนาจะเป็นอิสระในการผลิต ในการค้าขายก็จะลดลง บริษัทใหญ่จะมีอำนาจเหนือตลาดมากขึ้นเรื่อยๆ อำนาจในการควบคุมปัจจัยการผลิต การควบคุมราคาปุ๋ย ราคาพันธุ์ ปริมาณเมล็ดพันธุ์ ยิ่งมีคอนแทรกต์ฟาร์มมิ่ง ปริมาณทั้งหมดต้องมาขายให้บริษัทเหล่านี้ บริษัทก็จะยิ่งกุมปริมาณได้มากขึ้น และตั้งราคาได้ง่ายขึ้น

“การครอบครองโดยยักษ์ใหญ่ มันจะนำไปสู่ความอดอยาก ความอดอยากที่เกิดขึ้นจากสภาวะธรรมชาติมันเป็นอยู่แล้ว แต่ของเรายังมีธรรมชาติที่เอื้ออำนายให้อาหารพอเพียงและส่งออกได้ แต่ถ้าคุณปล่อยบริษัทใหญ่ๆ เข้ามาจัดการมากจนเกินไป ปัญหาก็จะซ้ำเติมขึ้นไปอีก”
ภาพประจำตัวสมาชิก
Ii'8N
Verified User
โพสต์: 3682
ผู้ติดตาม: 0

Re: Megatrend ใหม่ (แต่เป็นมหันตภัย)....กิจการไหนได้ประโยชน์

โพสต์ที่ 2

โพสต์

ผิดพลาดอย่างแรง
เราแค่พยายามหาวิกฤติในโอกาส

แก้เป็น เราแค่พยายามหาโอกาสในวิกฤติ
ภาพประจำตัวสมาชิก
Ii'8N
Verified User
โพสต์: 3682
ผู้ติดตาม: 0

Re: Megatrend ใหม่ (แต่เป็นมหันตภัย)....กิจการไหนได้ประโยชน์

โพสต์ที่ 3

โพสต์

อีกข่าวไม่ใช่ Megatreand แต่ก็เป็นเรื่องโอกาสทางธุรกิจ...ไทยติดกับดักตัวเอง มีของดีแท้ๆ... น่้าเสียดาย

http://www.manager.co.th/mgrWeekly/View ... 0000070292

เหมือนกับที่เคยโดนญี่ปุ่นแย่งกวาวเครือสมุนไพรที่เป็นยาโด๊ปสำหรับชาย (แต่ก็ช่วยบำรุงสุขภาพด้วยสำหรับสตรี) จำได้ว่าไปจีนมา โฆษณาตาม Cable TV เพียบ อ้างอิงข่าวที่ลงฐานเศรษฐกิจ และผลการวิจัยจากจุฬา
แต่ในไทยคนไทยตาอินกะตานาตั้งระเบียบโน่นนี่ขัดกันเอง จดทะเบียนไม่ได้ สุดท้ายตายุ่นคว้าปลาจับได้ไปกินหน้าตาเฉย
ภาพประจำตัวสมาชิก
Ii'8N
Verified User
โพสต์: 3682
ผู้ติดตาม: 0

Re: Megatrend ใหม่ (แต่เป็นมหันตภัย)....กิจการไหนได้ประโยชน์

โพสต์ที่ 4

โพสต์

http://www.thanonline.com/index.php?opt ... Itemid=542


อาหารจะขาดแคลนในอีกไม่กี่ปีในอนาคต
คอลัมนิสต์ผู้ทรงคุณวุฒิ - บันลือศักดิ์ ปุสสะรังสี
โดย กอง บก.ฐานเศรษฐกิจ

วันอังคารที่ 07 มิถุนายน 2011 เวลา 11:27 น.

บทความฉบับนี้ผมขอฉีกแนวจากการเขียนเรื่องเกี่ยวกับสภาวะเศรษฐกิจและการเงิน โดยหันมาเขียนเรื่องที่สำคัญพอๆ กัน คือความพอเพียงของอาหาร เนื่องจากเมื่อเร็วๆ นี้ผมเป็นผู้บรรยายคนหนึ่งในงานสัมมนา Thaifex ที่เกี่ยวกับธุรกิจอาหาร และได้ศึกษาเรื่องนี้ มาระดับหนึ่ง จึงอยากจะเล่าสู่กันฟัง และชี้ให้เห็นว่ามีแนวโน้มที่อาจจะเกิดปัญหาการขาดแคลนอาหารในโลกได้ในอนาคตที่ไม่ไกลนี้
สาเหตุที่ผมสรุปแบบนี้ มาจาก 2 เหตุผล คือ อุปสงค์ที่มีต่ออาหารมีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจากการเพิ่มขึ้นของประชากรและชนชั้นกลางของโลก ขณะที่อุปทานยังมีแนวโน้มที่จะชะลอตัวลง เพราะปัญหาจากวิกฤติโลกร้อนและราคาน้ำมันที่สูง
การที่อุปสงค์เพิ่มขึ้นส่วนหนึ่งมาจากประชากรขยายตัวมากขึ้น ธนาคารโลกประเมินว่า จำนวนประชากรโลกที่มีอยู่ประมาณ 6,900 ล้านคนในปัจจุบัน จะเพิ่มเป็น 7,300 ล้านคนในปี 2558 และเป็น 7,675 ล้านคนในปี 2563 หรือทุกๆ 5 ปีจะมีประชากรโลกเพิ่มขึ้นประมาณ 400 ล้านคน ซึ่งเกือบทั้งหมดจะอยู่ในประเทศกำลังพัฒนา แน่นอนว่าการเพิ่มขึ้นของประชากรจะส่งผลให้อุปสงค์ที่มีต่ออาหารเพิ่มขึ้นตามไปด้วย ทว่ายิ่งไปกว่านั้นก็คือ นอกจากจำนวนประชากรเพิ่มขึ้นแล้ว จำนวนชนชั้นกลางก็จะเพิ่มขึ้นด้วย ผมขอยกตัวอย่างกรณีประเทศจีน การศึกษาต่างๆ พบว่าในปัจจุบัน จีนมีชนชั้นกลางประมาณ 100 - 247 ล้านคน (ขึ้นอยู่กับงานศึกษาที่อาจจะมีตัวเลขที่ต่างกัน) และจากการที่เศรษฐกิจจีนขยายตัวในอัตราที่สูง มีความเป็นไปได้ว่าชนชั้นกลางของจีนจะเพิ่มขึ้นสูงถึง 600 ล้านคนในปี 2562 (www.wikiinvest.com) ขณะที่วารสาร The Asian Wall Street Journal รายงานว่า ในปัจจุบันทวีปแอฟริกามีชนชั้นกลางสูงถึงประมาณ 313 ล้านคน และกำลังเพิ่มขึ้นในอัตราที่ค่อนข้างสูงเช่นเดียวกัน การที่จำนวนชนชั้นกลางเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เป็นสัญญาณบ่งชี้ว่า อุปสงค์ที่มีต่ออาหาร และทรัพยากรที่ใช้ในการผลิตอาหารจะพุ่งขึ้น เนื่องจากชนชั้นกลางต้องการอาหารที่มีคุณภาพสูงขึ้น เช่น เนื้อสัตว์, ผลิตภัณฑ์จากนม (Dairy Products), ไวน์ และเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ เป็นต้น ซึ่งสิ่งเหล่านี้ใช้ทรัพยากรในการผลิตสูงกว่าการผลิตผัก ผลไม้ และธัญพืชมาก เช่นเนื้อสัตว์ที่ให้คุณค่าทางอาหารเท่ากับธัญพืชและผักจะต้องใช้ทรัพยากรในการผลิตมากกว่าหลายเท่า ตัวอย่างที่ชัดเจนก็คือ การบริโภคข้าวโพดและถั่วเหลืองเพิ่มขึ้นอย่างมากใน 5 ปีที่ผ่านมา และเพิ่มในอัตราที่สูงกว่าข้าวและข้าวสาลีมาก เนื่องจากมีการใช้ข้าวโพดและถั่วเหลืองในการเลี้ยงสัตว์เพื่อนำไปเป็นอาหารมากขึ้นด้วย ดังนั้น อุปสงค์ที่มีต่ออาหารและทรัพยากรที่ใช้ในการผลิตอาหารจะเพิ่มขึ้นในอัตราที่เร่งตัวจากการเพิ่มขึ้นของทั้งประชากรโลกและชนชั้นกลาง
ขณะที่อุปสงค์เพิ่มขึ้นในอัตราเร่ง แต่อุปทานกลับเพิ่มขึ้นได้อย่างจำกัด สาเหตุหลักก็คือสภาวะโลกร้อน จากการศึกษาพบว่า สภาวะโลกร้อนมีผลต่อผลผลิตทางการเกษตรในภูมิภาคที่ใกล้เส้นศูนย์สูตร (Tropical area) ที่เป็นแหล่งอาหารของโลกมากกว่าภูมิภาคอื่น เพราะสภาวะโลกร้อนส่งผลให้ฤดูมรสุมและวัฏจักรการผลิตของผลผลิตทางการเกษตรเปลี่ยนแปลงไป นอกจากนี้ยังเพิ่มโอกาสที่จะเกิดสภาวะแห้งแล้ง และทำให้เกิดการสูญเสียผลผลิต เช่นในปีที่ผ่านมา ภาวะแห้งแล้งที่เกิดจากสภาวะโลกร้อน ทำให้การผลิตข้าวหอมมะลิที่ทุ่งกุลาร้องไห้ลดลงถึงร้อยละ 55 และการผลิตข้าวสาลีในรัสเซียรวมทั้งจีน ลดลงมาก จนรัสเซียต้องประกาศลดการส่งออก และจีนต้องนำเข้าข้าวสาลีเป็นครั้งแรกในรอบหลายสิบปี ส่วนในปีนี้ภาวะโลกร้อนก็มีผลอย่างรุนแรงต่อการผลิตข้าวสาลีในสหรัฐฯและยุโรป และอาจจะมีผลกระทบต่อการผลิตอาหารในเขตเส้นศูนย์สูตรด้วยในช่วงครึ่งหลังของปีนี้

นอกจากสภาวะโลกร้อนแล้ว วิกฤติการเมืองในตะวันออกกลางยังทำให้อุปทานน้ำมันลดลงและส่งผลให้ราคาน้ำมันสูงขึ้น นอกจากนั้นวิกฤติดังกล่าวทำให้รัฐบาลของประเทศที่มีปัญหาต้องใช้จ่ายในด้านสวัสดิการเพิ่มขึ้น ประเทศผู้ผลิตน้ำมันจึงมีความจำเป็นต้องกำหนดให้ราคาน้ำมันอยู่ในระดับสูง เพื่อนำรายได้มาใช้จ่ายด้านสวัสดิการสังคมภายในประเทศตน กรณีนี้รวมถึงซาอุดีอาระเบียที่เมื่อก่อนต้องการราคาน้ำมันไม่สูงนัก แต่จากความจำเป็นดังกล่าวส่งผลให้ซาอุดีอาระเบียต้องกำหนดราคาน้ำมันให้สูงเหมือนกับประเทศผู้ผลิตน้ำมันอื่นๆ

การที่ราคาน้ำมันอยู่ในระดับสูงมีผลต่อการผลิตอาหาร 2 ทางคือ อาหารบางประเภท เช่นปาล์มน้ำมัน มันสำปะหลัง และอ้อย สามารถนำไปใช้ในการผลิตพลังงานทดแทนน้ำมันได้ การที่ราคาน้ำมันสูงขึ้น จะทำให้มีการนำผลผลิตดังกล่าวไปผลิตเป็นพลังงานทดแทนมากขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้อาหารลดลง นอกจากนี้เมื่อราคาน้ำมันสูงขึ้น ก็จะเป็นแรงจูงใจให้มีการเพาะปลูกพืชพลังงานมากขึ้น โดยไปลดการผลิตเพื่ออาหารลง และถึงแม้ว่าพืชบางประเภทที่ไม่ใช่อาหารแต่ราคาผลิตภัณฑ์มีการเชื่อมโยงกับราคาน้ำมัน เช่น ยางพารา ก็จะมีการผลิตเพิ่มเมื่อราคาสูงขึ้นตามราคาน้ำมัน และไปแย่งพื้นที่เพาะปลูกพืชอาหารเช่นเดียวกับพืชพลังงาน

เมื่ออุปสงค์เพิ่มขึ้นเร็ว ขณะที่อุปทานเพิ่มขึ้นได้อย่างจำกัด จึงส่งผลให้ราคาสินค้าเกษตรมีแนวโน้มสูงขึ้นและอาจจะเกิดการขาดแคลนอาหารในโลกในเวลาอีกไม่นานนัก การที่ประเทศไทยเป็นผู้ผลิตอาหารหลักของโลก จึงควรอาศัยโอกาสนี้เพิ่มรายได้ของประเทศโดยการพัฒนาการผลิตให้ดีขึ้นเพื่อตอบสนองความต้องการอาหารที่สูงขึ้น และสร้างมูลค่าแก่สินค้าเกษตรให้มากขึ้น

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจฉบับที่ 2,642 9-11 มิถุนายน พ.ศ. 2554
ภาพประจำตัวสมาชิก
nACrophiles_117
Verified User
โพสต์: 1362
ผู้ติดตาม: 0

Re: Megatrend ใหม่ (แต่เป็นมหันตภัย)....กิจการไหนได้ประโยชน์

โพสต์ที่ 5

โพสต์

ขอบคุณครับสำหรับบทความดีๆ
labor omnia vincit
Akkapun
Verified User
โพสต์: 249
ผู้ติดตาม: 0

Re: Megatrend ใหม่ (แต่เป็นมหันตภัย)....กิจการไหนได้ประโยชน์

โพสต์ที่ 6

โพสต์

ขอบคุณมากคร๊าบบบบ อ่านดูก็น่ากลัวจริงๆนะนี่
DemonInvesting
Verified User
โพสต์: 805
ผู้ติดตาม: 0

Re: Megatrend ใหม่ (แต่เป็นมหันตภัย)....กิจการไหนได้ประโยชน์

โพสต์ที่ 7

โพสต์

ยังสงสัยอยู่ว่า ระหว่าง โลกร้อน กับ สถานการณ์การก่อการร้าย และ ความไม่สงบในตะวันออกกลาง(จนส่งผลให้น้ำมันแพง) อะไรคือสาเหตุที่ทำให้ราคาอาหารแพง และ ขาดแคลนกันแน่
ถึงตลาดจะฟูมฟายมากแค่ไหน ก็ยินดียืมไหล่ให้เธอซบ ยืมอกให้เธอซับน้ำตา
ภาพประจำตัวสมาชิก
Hisoka
Verified User
โพสต์: 175
ผู้ติดตาม: 0

Re: Megatrend ใหม่ (แต่เป็นมหันตภัย)....กิจการไหนได้ประโยชน์

โพสต์ที่ 8

โพสต์

DemonInvesting เขียน:ยังสงสัยอยู่ว่า ระหว่าง โลกร้อน กับ สถานการณ์การก่อการร้าย และ ความไม่สงบในตะวันออกกลาง(จนส่งผลให้น้ำมันแพง) อะไรคือสาเหตุที่ทำให้ราคาอาหารแพง และ ขาดแคลนกันแน่
เหมือนเคยอ่านผ่านๆ่ว่า โลกร้อน ทำให้ปริมาณผลผลิตต่อพื้นที่ลดลง
โพสต์โพสต์