หุ้นที่ดี ควรมีค่า d/e debt to equity เท่าไรดีครับ

[Stock lover]

หุ้นที่ดี ควรมีค่า d/e debt to equity เท่าไรดีครับ

[ส.สลึง]

หุ้นที่ดี หน้าตาเป็นยังไงครับ ?

[Sumotin]

ตัวหุ้นวัด D/E เท่าไหร่ถึงดีพูดยากครับ เพราะมีราคาตลาดมาเกี่ยวข้อง (ถ้าจะหาพวกนี้ลองไปหาพวกงานวิจัยที่เข้าเกณฑ์ตามนี้มาอ่านผลวิจัยดูครับ)

ถ้าบอกว่าบริษัทที่ดีควรมี D/E อยู่ในช่วงไหน ถึงจะดีอาจจะพอประเมินได้บ้างครับ

[Warantact]

บริษัทอุตสาหกรรมทั่วไป ยกเว้นการเงิน
ค่าD/E ที่ทำให้บริษัทมีโอกาสเจ๊งค่อนข้างน้อยคือ 1:1

ค่าD/E ที่ธนาคารมองแล้วเริ่มเวียวคือ 2:1

[nut776]

ลองตามไปอ่านที่คุณฮง ถามคุณihดูคับ มันอยู่ที่ตัวธุกิจ กับจังหวะของวัฏจักรด้วย

[Stock lover]

คุณ Warantact แล้วแค่ไหนถึงจะเรียกว่าเข้าเขตอันตรายเหรอครับ

[miracle]

ธนาคาร D/E มันบอกอะไรด้วยหรือครับ
มันแทบไม่ได้บอกอะไรเลย ต้องตัวเลข Tier 1 ,Tier2 พวกนี้ครับ
ที่เป็นตัวบอกว่า เพิ่มทุนหรือเปล่า /ไม่สามารถปล่อยกู้ได้หรือไม่

ส่วนธุรกิจอื่นๆแล้วแต่ครับ
ว่า D/E ที่เหมาะสมอยู่ที่เท่าไร
มันต้องดูความสามารถด้านอื่นๆประกอบด้วย

[Stock lover]

Tier 1 ,Tier2 คืออะไรเหรอครับ

[Financeseed]

Tier 1 ,Tier2 คืออะไรเหรอครับ

อันนี้มั่งครับ http://www.vcharkarn.com/vcafe/8164

[j21]

ลองตามไปอ่านที่คุณฮง ถามคุณihดูคับ มันอยู่ที่ตัวธุกิจ กับจังหวะของวัฏจักรด้วย

http://board.thaivi.org/viewtopic.php?f=1&t=47577

เอา link มาฝากครับ ลองตามอ่านดู ตอบคำถามเจ้าของกระทู้ได้แน่ครับ

[[v]]

D/E > 1 คือมีหนี้เยอะกว่าส่วนทุน มากกว่า 1 เท่า ถ้า D/E น้อยกว่า 1 เท่ามากๆถือว่าดี เวลาขาดสภาพคล่องหรือทำงานใหญ่ในอนาคต เวลาต้องการกู้เงินจากธนาคารจะทำได้ง่าย

[prapon]

D/E ต่ำมากเกินไปก็มีข้อเสียเช่นกันเพราะขาด financial leverage ดังนั้นโอกาสที่บริษัทจะสร้างผลตอบแทนสูงๆให้ผู้ถือหุ้นก็จะน้อยลง low risk - low return

[Hisoka]

ยากครับที่จะตอบได้ แต่ถ้าตามหลักวิชาแล้ว d/e ที่ดีที่สุด คือค่าที่ทำให้ wacc ของบริษัทต่ำสุด

[กาละมัง]

ไม่มีคำตอบหรอกครับ ขึ้นกับลักษณะของธุรกิจและสภาวะการณ์

ที่สำคัญว่าสำหรับนักลงทุน คือ การเข้าใจว่าบริษัทมีการบริหารหนี้อย่างไร และสามารถประเมินได้ว่าบริษัทบริหารด้วยความเสี่ยงมากน้อยเพียงใด

[Warantact]

ถ้าธุรกิจทั่วไป ไปขอกู้เงิน หลังกู้แล้ว โครงสร้างทางการเงิน
d/e เป็น 2ต่อ1 หรือมากกว่า แบงค์จะไม่ชอบ และไม่ค่อยยอมปล่อย

2 ต่อ 1 ในอุตสาหกรรมทั่วไปคือ จุดที่สูงสุดที่พอยอมรับได้
ถ้ามากกว่านั้น เมื่อเกิดปัญหาขึ้นมา จะขอกู้ยาก มีโอกาสขาดเงินสดสูง

หากไม่ใช่หุ้นในกลุ่มการเงิน ธนาคาร ประกัน
ให้มองต่ำกว่า 2ต่อ1ไว้ครับ

ถ้าแบบเข้มข้นต้องไม่เกิน 1ต่อ1

ถึงจะเสียประโยชน์จากการอาศัยเงินกู้ทุ่นแรง แต่ในระยะยาว ถ้าไม่เจ๊งก็ย่อมดีกว่ากู้แล้วเจ๊งหละครับ
สำหรับมือใหม่ เกณท์เท่านี้ก็พอแล้ว ไม่ต้องลงลึกไปกว่านี้มาก

[Warantact]

กลุ่มการเงิน ธนาคาร ประกัน
ถ้ายังไม่เข้าใจ ให้ค่อยๆดูไปก่อน d/e บอกอะไรบ้างเหมือนกัน แต่ไม่มาก

[Warantact]

บางท่านอาจเข้าใจโพสผิด ที่ผมบอกว่า d/e ที่ธนาคารมองแล้วเสียวคือ 2ต่อ1
ไม่ได้แปลว่าหุ้นธนาคารเกิน2ต่อ1ไม่ดีครับ

แปลว่าธุรกิจที่กู้เงินจากธนาคาร ธนาคารไม่ชอบเห็นลูกค้ามีอัตราหนี้ต่อทุนเกิน 2 ต่อ 1

[chiraponge]

debt ratio ที่ดีต้องทำให้ WACC ของ กิจการมีค่าต่ำที่สุด จึงจะ maximize share holder wealth

ให้ลองพิจารณา ดังนี้ value of firm = summation ของ FCFF/(1+WACC)^t

ดังนั้นอัตราส่วนไม่ใช่ประเด็นสำคัญ ความสำคัญ คือ ส่วนผสมครับ
ความสำคัญอยู่ที่ cost of capital = weight average cost of capital (WACC) ต้องมีความเหมาะสม
WACC = Wd x kd (1-T) + Wp/s x kp/s + We x ke

Wd = สัดส่วนของหนี้สิน
We = สัดส่วนเงินลงทุนของเจ้าของ (หุ้นสามัญและกำไรสะสม)
Wp/s = สัดส่วนของหุ้นบุริมสิทธิ
Kd = Cost of Debt (ต้นทุนของหนี้สิน คือ อัตราดอกเบี้ย)
Tax = อัตราภาษี
Ke = Cost of common stock or retained earning (ต้นทุนของหุ้นสามัญและกำไรสะสม) หรืออาจหมายถึงอัตราผลตอบแทนที่เจ้าของต้องการ
Kp/s = Cost of prefered stock

[chiraponge]

ลองตามไปอ่านที่คุณฮง ถามคุณihดูคับ มันอยู่ที่ตัวธุกิจ กับจังหวะของวัฏจักรด้วย

ตาม comment ของผม ขึ้นกับ WACC ครับ
ลอง confirm กับท่านอื่นก็ได้ ที่เก่งด้าน finance
หรือ ลองถาม อ. ที่สอน finance ก็ได้ว่า Maximize shareholder wealth = maximize value of firm ทำอย่างไร คำตอบคงคล้ายๆ ผมครับ

[Mr. Boo]

D/E ratio เป็นส่วนของภาพใหญ่ของโครงสร้างเงินทุน ที่เกี่ยวพันกับnet profitกับcashflow, dividend policy,
investment strategy, working capital policy, debt policy, equities policyและอื่นๆ
ไม่มีอะไรลงทุน ก็ไม่ต้องกู้ หนี้น้อยปันผลเยอะ แต่โตช้า นั่นไม่ใช่ไม่กู้แต่เป็นไม่มีการลงทุน
D/E ratioต่ำอย่างนี้ ชอบไม่ชอบก็แล้วแต่แต่ละคน
มีโครงการลงทุนก็กู้ส่วนนึง ถ้าไม่มั่นใจก็ใช้เงินตัวเองมากหน่อย พลาดจะได้ไม่เดือดร้อน
ถ้ามั่นใจหรือโครงการใหญ่หน่อยกู้มากขึ้น ก็ไม่ต้องปันผลหรือปันแต่น้อย เก็บเงินไปใช้ลงทุนให้งอกเงย
คนให้กู้ก็สบายใจ แต่ก็สำคัญที่การลงทุน ถ้าไม่สำเร็จก็เสียวทั้งนั้น
เพราะถ้าD/Eสูงหน่อย แต่การลงทุนสำเร็จตามเป้าที่เป็นสาเหตุการกู้ คนให้กู้กลับเห็นฝีมือและเชื่อถือ
มากกว่าการรีบๆลดหนี้ แล้วการลงทุนไม่ได้ตามที่เสนอ
อยู่ที่การดูองค์รวมของโครงสร้างเงินทุนและการลงทุนมากกว่าแค่D/E ratioอย่างเดียวนะผมว่า
เหมือนดูผู้หญิงสัดส่วนดี แต่ไม่ได้แปลว่า จะเป็นยายของหลานที่ดี ต้องดูทุกอย่างประกอบกัน
และนานาจิตตัง

[Warantact]

ผมก็เอกไฟแนนซ์นะ
ผมไม่เห็นด้วยอย่างแรงกับทฤษฏี wacc ต่ำ

ไปดูบริษัทชั้นหนึ่งของโลกสิครับ
อย่างบัฟเฟตเองก็ไม่ชอบกิจการที่หนี้สูงเกินไป เกรแฮมก็ไม่ชอบ

[laithawee]

ไปดูบริษัทชั้นหนึ่งของโลกสิครับ
อย่างบัฟเฟตเองก็ไม่ชอบกิจการที่หนี้สูงเกินไป เกรแฮมก็ไม่ชอบ

ไม่ชอบเหมือนกัน
กลุ่มการเงิน D/E สูงได้เป็น 10 เท่า น่าจะเสี่ยง แต่เป็นโอกาสในช่วงเศรษฐกิจขาขึ้น

ธุรกิจทั่วไป D/E ต่ำ เมื่อเห็นโอกาส ก็สามารถกู้มาลงทุนได้ง่ายกว่า D/E สูง

นอกจากนี้ถ้า D/E ต่ำ P/E =10 อาจจะถูกกว่า D/E สูง P/E= 3 ในธุรกิจเดียวกัน ยอดขายเดียวกัน อัตรากำไรขั้นต้นเท่ากัน

[simpleBE]

กระทู้นี้น่าจะมีคำตอบให้ได้นะครับ

http://board.thaivi.org/viewtopic.php?f=35&t=28845

[chiraponge]

ผมก็เอกไฟแนนซ์นะ
ผมไม่เห็นด้วยอย่างแรงกับทฤษฏี wacc ต่ำ

ไปดูบริษัทชั้นหนึ่งของโลกสิครับ
อย่างบัฟเฟตเองก็ไม่ชอบกิจการที่หนี้สูงเกินไป เกรแฮมก็ไม่ชอบ

ผมก้เอก finance
ผมยังไม่ได้บอกเลยว่า D/E สูงๆ ดี
บอกว่า WACC ต่ำที่สุด ดี มันอยู่ที่ลักษณะธุรกิจ ด้วย
แสดงว่าไม่ได้ดู graph ว่า D/E สูง มันทำให้ WACC สูง เนื่องจากมี financial leverage สูง
หรือ Equity อย่างเดียว WACC ก็สูง เนื่องจาก require return สูง

[chiraponge]

ลองไปหา Pecking order theory อ่านดูนะครับว่า
การทำ target capital structure ที่ดี เริ่มจากเงินส่วนไหนก่อน
กำไรสะสม ก่อน แล้วจึงกู้เงิน แล้วค่อยเพิ่มทุน

แต่ทุกอย่างไม่ได้ให้ใช้แบบอย่างเดียว
ต้องผสมผสาน ผมจึงบอกว่า ต้อง WACC ต่ำทีสุด
ไม่ได้บอกให้กู้มากๆๆ D/E สูงๆๆ เพราะต้นทุน ถูกกว่า equity
แต่การใช้ผสมผสาน ใช้พร้อมๆ กัน เพื่อปรับ WACC
ก็มีข้อเสียด้วยคือ มี flotation cost ด้วย
ดังนั้นควรใช้แต่ละอย่างให้ถูกช่วงเวลา

มี บ. ไหนบ้างครับที่ไม่กู้ หรือใช้เงินส่วนของเจ้าของอย่างเดียวบ้างครับ
ส่วนใหญ่จะผสมผสาน นั้น คือ เป็นการทำให้ WACC ต่ำที่สุด

การกู้เงินทำให้ ROE สูงขึ้น เพราะ เราออกส่วนของเจ้าของน้อย
แต่มี degree financial leverage สูงขึ้นไปด้วย

ใน text finance มีเขียนเกี่ยวกับเรื่องนี้ทุกเล่มครับ

[multipleceilings]

คิดกันแบบตัวเลขทั้งนั้นเลยแหะ อิอิ .................. เอาตามที่ผมมองคร่าวๆนะ ตัวเลขมันคือปลายทางแล้วครับ ผมว่าคุณมอง underlying qualitative factor ที่ซ่อนอยู่ใต้ตัวเลขดีกว่าครับว่าต้นทางมันมายังไง ......... อะไรคื D และ E ? ................... มันคือ capital นั้นเอง บริษัทจะ finance ตัวเองได้ 2 แบบ. ยกเว้นพ่อรวย เอาเงินจากที่อื่นมาทุ่ม อันนั้นคนละประเด็น ...... สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการนำ capital ไปใช้ว่าใช้ยังไง สิ่งที่ำคัญคือ roic . และ D และ E นั้นเปลี่ยนได้ตลอดเวลาอีกด้วย. หากเงินที่กู้มาไปเพิ่ม D แต่ ROIC สูงจัด ไม่กี่ปีก็ล้าง D ได้. ตอนแรก D/E อาจจะสูง... แต่ถ้าคุณตัดเกณฑ์จากตรงนั้นอาจจะตัดสินใจพลาดได้ ... หรือการเพิ่ม E นั้นก่อให้เกิดการ dilute wealth ของ shareholder เก่า.. จะมองว่าข้อเสียก็ไม่เชิงถ้าในทางเดียวกัน บริษัทจัดการเงินทุนที่เพิ่มมาได้มีประสิทธิภาพ.......การ finance ทั้งสองแบบมันก็มีผลในแบบของมัน ถ้าให้ผมตอบผมคิดว่ามองประสิทธิภาพในการจัดการเงินทุนที่นำมาลงทุนครับ เพิ่ม D หรือ E แล้วเอาไปทำไรไม่รู้ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์อะไร ก็ no point ครับ ว่าง่ายอีกแบบคือบริษัทที่ D/E สูง ก็ต้องดูว่าทำไม D/e ถึงสูง? มันมีเหตุผลสมควรไม๊ แล้วเค้าวางแผนจะทำอะไร?

และอีกอย่างการดู debt บางบริษัทไม่ใช่ interest bearing debt นะครับ ถือว่าไม่มี debt

ประเด็นหลักของผมคืออย่าโดนตัวเลขหลอก ไม่ใช่เฉพาะ leveragability ratio อย่างเดียว .เลขทุกตัว สัดส่วนทางการเงินทุกแบบ มันมีเหตุคือสิ่งที่เกิดขึ้นจริงและกำลังจะเกิดในการดำเนินงาน จึงเกิดตัวเลขซึ่งคือผล . มองยาวๆและมองให้ครบทุกด้านครับ สิ่งที่ตัวเลขทำได้คือเป็น snapshot ของอดีตเท่านั้น มองไปในอนาคตจะดีกว่า โชคดีกับการลงทุนครับ

[chiraponge]

คิดกันแบบตัวเลขทั้งนั้นเลยแหะ อิอิ .................. เอาตามที่ผมมองคร่าวๆนะ ตัวเลขมันคือปลายทางแล้วครับ ผมว่าคุณมอง underlying qualitative factor ที่ซ่อนอยู่ใต้ตัวเลขดีกว่าครับว่าต้นทางมันมายังไง ......... อะไรคื D และ E ? ................... มันคือ capital นั้นเอง บริษัทจะ finance ตัวเองได้ 2 แบบ. ยกเว้นพ่อรวย เอาเงินจากที่อื่นมาทุ่ม อันนั้นคนละประเด็น ...... สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการนำ capital ไปใช้ว่าใช้ยังไง สิ่งที่ำคัญคือ roic . และ D และ E นั้นเปลี่ยนได้ตลอดเวลาอีกด้วย. หากเงินที่กู้มาไปเพิ่ม D แต่ ROIC สูงจัด ไม่กี่ปีก็ล้าง D ได้. ตอนแรก D/E อาจจะสูง... แต่ถ้าคุณตัดเกณฑ์จากตรงนั้นอาจจะตัดสินใจพลาดได้ ... หรือการเพิ่ม E นั้นก่อให้เกิดการ dilute wealth ของ shareholder เก่า.. จะมองว่าข้อเสียก็ไม่เชิงถ้าในทางเดียวกัน บริษัทจัดการเงินทุนที่เพิ่มมาได้มีประสิทธิภาพ.......การ finance ทั้งสองแบบมันก็มีผลในแบบของมัน ถ้าให้ผมตอบผมคิดว่ามองประสิทธิภาพในการจัดการเงินทุนที่นำมาลงทุนครับ เพิ่ม D หรือ E แล้วเอาไปทำไรไม่รู้ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์อะไร ก็ no point ครับ ว่าง่ายอีกแบบคือบริษัทที่ D/E สูง ก็ต้องดูว่าทำไม D/e ถึงสูง? มันมีเหตุผลสมควรไม๊ แล้วเค้าวางแผนจะทำอะไร?

และอีกอย่างการดู debt บางบริษัทไม่ใช่ interest bearing debt นะครับ ถือว่าไม่มี debt

ประเด็นหลักของผมคืออย่าโดนตัวเลขหลอก ไม่ใช่เฉพาะ leveragability ratio อย่างเดียว .เลขทุกตัว สัดส่วนทางการเงินทุกแบบ มันมีเหตุคือสิ่งที่เกิดขึ้นจริงและกำลังจะเกิดในการดำเนินงาน จึงเกิดตัวเลขซึ่งคือผล . มองยาวๆและมองให้ครบทุกด้านครับ สิ่งที่ตัวเลขทำได้คือเป็น snapshot ของอดีตเท่านั้น มองไปในอนาคตจะดีกว่า โชคดีกับการลงทุนครับ

เห็นด้วยครับ

[Stock lover]

ขอบคุณทุกท่านที่ตอบมากเลยนะครับ แต่ขอเวลาทำการบ้านสักเดือนก่อนละกันนะครับ

[Stock lover]

สรุปเหมือนกับว่าเราก็ต้องดูroe roa d/e p/e bussiness model ประกอบกันหมดเลยอ่ะครับ ยากจัง

[Stock lover]

debt ratio ที่ดีต้องทำให้ WACC ของ กิจการมีค่าต่ำที่สุด จึงจะ maximize share holder wealth

ให้ลองพิจารณา ดังนี้ value of firm = summation ของ FCFF/(1+WACC)^t

ดังนั้นอัตราส่วนไม่ใช่ประเด็นสำคัญ ความสำคัญ คือ ส่วนผสมครับ
ความสำคัญอยู่ที่ cost of capital = weight average cost of capital (WACC) ต้องมีความเหมาะสม
WACC = Wd x kd (1-T) + Wp/s x kp/s + We x ke

Wd = สัดส่วนของหนี้สิน
We = สัดส่วนเงินลงทุนของเจ้าของ (หุ้นสามัญและกำไรสะสม)
Wp/s = สัดส่วนของหุ้นบุริมสิทธิ
Kd = Cost of Debt (ต้นทุนของหนี้สิน คือ อัตราดอกเบี้ย)


ไม่ทราบว่าปกติได้ทำDCFมั้ยครับ
Tax = อัตราภาษี
Ke = Cost of common stock or retained earning (ต้นทุนของหุ้นสามัญและกำไรสะสม) หรืออาจหมายถึงอัตราผลตอบแทนที่เจ้าของต้องการ
Kp/s = Cost of prefered stock