ไม่เข้าใจ ดัชนีขึ้นมากขนาดนี้ หุ้นพื้นฐานดีๆ อนาคตดีๆไม่ขึ้น
- The Intelligent Investor
- Verified User
- โพสต์: 60
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ไม่เข้าใจ ดัชนีขึ้นมากขนาดนี้ หุ้นพื้นฐานดีๆ อนาคตดีๆไม่
โพสต์ที่ 31
[quote="croyoty"]โลกไม่ยุติธรรมเลย สรุปการลงทุนให้ได้มากเกาะกระแสฟันโฟวดีกว่า
การดื้อด้านจะเป็น VIๆๆ ถือตัวพื้นฐานดีอนาคตใช้ได้ ตัวเล็ก ฝรั่งไม่รู้จักไม่ซื้อ
รายย่อยนักเก็งกำไร เดย์เทรด ก็ไปเล่นตัวใหญ่หมด
แล้วมันจะได้ประโยชน์อะไรบ้างเล่า ที่มัวแต่บ้าบอถือแต่ตัวเล็กพื้นฐานดีหรืออนาคตดี
การดื้อด้านจะเป็น VIๆๆ ถือตัวพื้นฐานดีอนาคตใช้ได้ ตัวเล็ก ฝรั่งไม่รู้จักไม่ซื้อ
รายย่อยนักเก็งกำไร เดย์เทรด ก็ไปเล่นตัวใหญ่หมด
แล้วมันจะได้ประโยชน์อะไรบ้างเล่า ที่มัวแต่บ้าบอถือแต่ตัวเล็กพื้นฐานดีหรืออนาคตดี
Price is what you pay. Value is what you get.
-
- Verified User
- โพสต์: 43
- ผู้ติดตาม: 0
ลองอ่านบทความจากดร. ต้นแบบ VI บทนี้นะคะ
โพสต์ที่ 34
ในยามที่ตลาดหุ้นกำลังปรับตัวขึ้นเป็นกระทิงเปลี่ยวอย่างที่เป็นอยู่ในขณะนี้ นักลงทุนจำนวนมาก โดยเฉพาะที่เป็นนักเก็งกำไร ต่างก็มีความสุขจากการที่สามารถทำกำไรจากการลงทุนเป็นกอบเป็นกำ แต่ผมคิดว่าไม่ใช่ทุกคนที่มีความสุข และก็แน่นอนว่าความสุขของแต่ละคนก็ไม่เท่ากัน ผมกำลังจะบอกว่า Value Investor บางคนอาจจะไม่ได้มีความสุขเลยจากการที่หุ้นวิ่งเป็นกระทิงเปลี่ยว และบางคนก็อาจจะรู้สึกเฉยๆ
เหตุผลก็คือ พวกเขาอาจจะไม่ได้กำไรอะไรมากนัก เพราะหุ้นที่วิ่งกันเป็นบ้าเป็นหลังนั้น ไม่ได้เป็นหุ้นในกลุ่มที่พวกเขาถืออยู่ หุ้นที่พวกเขาถืออยู่นั้น จำนวนมากกลับไม่ได้ปรับตัวขึ้นเป็นเรื่องเป็นราว บางตัวกลับลดลง สรุปแล้วพวกเขาไม่ได้อะไร แต่ที่ทำให้เศร้ามากที่สุดก็คือ พวกเขามองเห็นคนอื่นกำไรเอาๆ และก็ทำอะไรไม่ถูก ในภาวะอย่างนี้ Value Investor ควรจะทำอย่างไร?
คำตอบแรกเลยที่ผมคิดออกก็คือ ต้อง ทำใจ เพราะจากประสบการณ์ของผม ในทุกครั้งที่ตลาดหุ้นวิ่งเป็นกระทิง โดยเฉพาะในช่วงแรกๆของการปรับตัวขึ้นของดัชนี หุ้นที่วิ่งก่อนก็คือ หุ้นบลูชิพขนาดใหญ่ ซึ่งเป็นหุ้นที่ Value Investor มักจะไม่ค่อยให้น้ำหนักในการลงทุนมากนัก และในช่วงที่หุ้นขนาดใหญ่ขึ้นนั้น นักลงทุนจำนวนมากก็จะหันไปเล่นหุ้นเหล่านั้น โดยที่จะไม่ใคร่มีใครสนใจหุ้นขนาดเล็กพื้นฐานดีที่เป็นหุ้นคุณค่า ดังนั้น หุ้นคุณค่าที่เป็นที่นิยมของเหล่า VI จึงมักจะยืนนิ่งในขณะที่หุ้นขนาดใหญ่วิ่งเอาๆ
หุ้น VI บางตัวที่ยังไม่มีข่าวดีด้านผลประกอบการกลับถูกเทขายทำให้ราคาตกลงมาด้วยซ้ำ เหตุผลอาจจะเป็นว่า นักลงทุนขายหุ้นเล็กที่ยังไม่มีข่าวดีเพื่อเอาเงินไปซื้อหุ้น ตลาด ที่กำลังวิ่ง
การ ทำใจ ที่ผมพูดถึงก็คือ เราต้องยอมรับความจริงอย่างหนึ่งว่า หุ้นทุกตัวหรือแต่ละกลุ่มมีจังหวะในการเดินหรือวิ่งของมัน แต่เป็นเรื่องยากที่เราจะรู้จังหวะของมันอย่างแน่นอน โดยปกติ หุ้น VI นั้น จะมีการปรับตัวไปเรื่อยๆ ตามผลการดำเนินงานมากกว่าปัจจัยอย่างอื่น ดังนั้น การวิ่งของหุ้นเหล่านั้น จึงเป็นเรื่องที่ค่อนข้างเฉพาะตัว
ภาวะตลาดหุ้นเป็นเพียงส่วนประกอบที่จะช่วยเร่ง หรือชะลอความเร็วของการวิ่งของหุ้น และนี่คือสิ่งที่เป็นความถนัดหรือความสามารถของชาว VI นั่นก็คือ การคาดการณ์ถึงผลกำไรหรือผลประกอบการของบริษัทที่เราจะลงทุน
ในทางตรงกันข้าม หุ้น ตลาด ซึ่งก็คือหุ้นที่นักเล่นหุ้นนิยมซื้อขายกันมากเนื่องจากอาจจะมีราคาผันผวน ขึ้นลงแรงและมีปริมาณการซื้อขายค่อนข้างมาก เช่น หุ้นบริษัทหลักทรัพย์ หุ้นธนาคาร หุ้นอสังหาริมทรัพย์ หรือ หุ้นพลังงาน จะมีราคาขึ้นลงตาม กระแสเงิน หรือที่นักวิเคราะห์เรียกว่า Fund Flow ที่นักลงทุนโดยเฉพาะชาวต่างประเทศขนเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นมาก ดังนั้น ในยามที่ตลาดหุ้นเป็นกระทิง หุ้นเหล่านั้นจะมีราคาวิ่งขึ้นไปได้รวดเร็ว ทั้งๆที่ผลการดำเนินงานก็อาจจะไม่ได้ดีขึ้น หรือดีขึ้นก็อาจจะเป็นเรื่องชั่วคราว ไม่ได้เกิดจากพื้นฐานที่แท้จริง และนี่ก็เป็นเกมที่ Value Investor ส่วนใหญ่หรือจำนวนมากไม่ถนัด
ถ้ามองทางด้านของมิติของเวลาแล้ว เราก็จะพบว่า ตลาดหุ้นโดยส่วนใหญ่แล้วมักจะมีเวลาที่เป็นกระทิงค่อนข้างสั้น เช่นเดียวกับตลาดหมีก็มักจะอยู่ไม่นาน ตลาดหุ้นส่วนใหญ่มักเป็นตลาด ธรรมดา ที่ดัชนีมีการปรับตัวขึ้นๆลงๆ ในระดับไม่เกิน 20-25% ต่อปี หรือถ้าจะลบก็อยู่ในอัตราไม่มากนัก ดังนั้น ในสายตาของ Value Investor แล้ว เวลาของการทำกำไรหรือสร้างผลตอบแทนนั้นค่อนข้างจะยาวนานมาก เกือบจะพูดได้ว่าเวลาที่เหมาะสมในการลงทุนในตลาดหุ้นก็คือ ทุกเวลา ขึ้นอยู่กับตัวหุ้นที่เจอ ในขณะที่สำหรับนักลงทุนส่วนใหญ่หรือนักเก็งกำไรแล้ว เวลาลงทุนที่ดีก็คือในช่วงที่หุ้นบูมซึ่งเป็นช่วงเวลาที่สั้นกว่ามาก
ด้วยเหตุผลดังกล่าว ลักษณะของการสร้างผลตอบแทนหรือทำกำไรของ VI กับนักลงทุนทั่วไปหรือนักเก็งกำไรจึงน่าจะต่างกัน นั่นก็คือ VI น่าจะมีผลงานการลงทุนที่ช้าๆ แต่ค่อนข้างสม่ำเสมอ เดือนแล้วเดือนเล่า ปีแล้วปีเล่า ในขณะที่นักลงทุนทั่วไปและเฉพาะอย่างยิ่ง นักเก็งกำไร จะมีผลการลงทุนที่โดดเด่นมากๆ ในช่วงที่หุ้นเป็นกระทิงแต่จะเกิดขึ้นเป็นช่วงสั้นๆเท่านั้น
พูดถึงเรื่องนี้ทำให้ผมนึกถึงนักเก็งกำไรรายใหญ่บางคนที่บอกว่า ในช่วงกระทิงของปี 2546 นั้น เขากำไรปีเดียวคิดเป็นหลายร้อยเปอร์เซ็นต์ ในขณะที่ Value Investor ที่ประสบความสำเร็จสูงในช่วงหลายๆปีที่ผ่านมาอาจจะทำกำไรได้เพียงปีละ 30-40% เท่านั้น แต่ก็มักจะได้ผลตอบแทนที่ดีเกือบทุกปีแม้ว่าตลาดหุ้นโดยรวมจะไม่ไปไหน ดังนั้น การเป็น Value Investor นั้น ก็ควรที่จะหมายความว่า เรากำลังยอมเลือกที่จะเดินทาง สายเต่า คือ ช้าๆแต่แน่นอน และยอมที่จะ สละ โอกาสที่จะทำกำไรปีเดียว หลายร้อยเปอร์เซ็นต์ ที่นักเก็งกำไรที่มีความสามารถบางคนอาจจะทำได้
คำถามสุดท้ายที่บางคนอาจจะอยากถามก็คือ เราควรที่จะปรับตัวปรับพอร์ตหรือไม่แทนที่จะนั่ง ทำใจ คำตอบของผมก็คือ มันเป็นเรื่องที่เสี่ยงและอาจจะทำให้เราเสียวินัยในการลงทุน ที่ว่าเสี่ยงก็คือ ในวันที่เราปรับพอร์ต หุ้น ตลาด อาจจะปรับตัวลดลง ตลาดกระทิงอาจจะไม่ไปต่อ ทำให้เราขาดทุนได้ เพราะจริงๆแล้วไม่มีใครรู้หรือคาดการณ์ได้แม่นยำว่า กระทิงรอบนี้จะพาดัชนีไปถึงไหน และที่ว่าอาจทำให้เราเสียวินัยในการลงทุนก็คือ ถ้าเราปรับพอร์ตแล้วสามารถทำกำไรได้ดีกว่าพอร์ตเดิม เราก็อาจจะเริ่มคิดว่าเรามีความสามารถในการคาดการณ์ตลาดเช่นเดียวกับความสามารถในการดูผลการดำเนินงานของบริษัท และในโอกาสต่อๆไป เราก็จะเริ่มทำการปรับพอร์ตไปเรื่อยๆ เมื่อเราคิดว่าตลาดจะเป็น กระทิง และในไม่ช้าเราก็จะกลายเป็น นักลงทุนมหัศจรรย์ ที่เป็นได้ทั้ง เต่า และ กระต่าย ขึ้นอยู่กับ สถานการณ์ ซึ่งในประสบการณ์ของผมนั้น ยังไม่เคยเจอคนที่ทำได้
VI กำสรวล
โลกในมุมมอง Value Investor
ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
17 กรกฎาคม 2550
เหตุผลก็คือ พวกเขาอาจจะไม่ได้กำไรอะไรมากนัก เพราะหุ้นที่วิ่งกันเป็นบ้าเป็นหลังนั้น ไม่ได้เป็นหุ้นในกลุ่มที่พวกเขาถืออยู่ หุ้นที่พวกเขาถืออยู่นั้น จำนวนมากกลับไม่ได้ปรับตัวขึ้นเป็นเรื่องเป็นราว บางตัวกลับลดลง สรุปแล้วพวกเขาไม่ได้อะไร แต่ที่ทำให้เศร้ามากที่สุดก็คือ พวกเขามองเห็นคนอื่นกำไรเอาๆ และก็ทำอะไรไม่ถูก ในภาวะอย่างนี้ Value Investor ควรจะทำอย่างไร?
คำตอบแรกเลยที่ผมคิดออกก็คือ ต้อง ทำใจ เพราะจากประสบการณ์ของผม ในทุกครั้งที่ตลาดหุ้นวิ่งเป็นกระทิง โดยเฉพาะในช่วงแรกๆของการปรับตัวขึ้นของดัชนี หุ้นที่วิ่งก่อนก็คือ หุ้นบลูชิพขนาดใหญ่ ซึ่งเป็นหุ้นที่ Value Investor มักจะไม่ค่อยให้น้ำหนักในการลงทุนมากนัก และในช่วงที่หุ้นขนาดใหญ่ขึ้นนั้น นักลงทุนจำนวนมากก็จะหันไปเล่นหุ้นเหล่านั้น โดยที่จะไม่ใคร่มีใครสนใจหุ้นขนาดเล็กพื้นฐานดีที่เป็นหุ้นคุณค่า ดังนั้น หุ้นคุณค่าที่เป็นที่นิยมของเหล่า VI จึงมักจะยืนนิ่งในขณะที่หุ้นขนาดใหญ่วิ่งเอาๆ
หุ้น VI บางตัวที่ยังไม่มีข่าวดีด้านผลประกอบการกลับถูกเทขายทำให้ราคาตกลงมาด้วยซ้ำ เหตุผลอาจจะเป็นว่า นักลงทุนขายหุ้นเล็กที่ยังไม่มีข่าวดีเพื่อเอาเงินไปซื้อหุ้น ตลาด ที่กำลังวิ่ง
การ ทำใจ ที่ผมพูดถึงก็คือ เราต้องยอมรับความจริงอย่างหนึ่งว่า หุ้นทุกตัวหรือแต่ละกลุ่มมีจังหวะในการเดินหรือวิ่งของมัน แต่เป็นเรื่องยากที่เราจะรู้จังหวะของมันอย่างแน่นอน โดยปกติ หุ้น VI นั้น จะมีการปรับตัวไปเรื่อยๆ ตามผลการดำเนินงานมากกว่าปัจจัยอย่างอื่น ดังนั้น การวิ่งของหุ้นเหล่านั้น จึงเป็นเรื่องที่ค่อนข้างเฉพาะตัว
ภาวะตลาดหุ้นเป็นเพียงส่วนประกอบที่จะช่วยเร่ง หรือชะลอความเร็วของการวิ่งของหุ้น และนี่คือสิ่งที่เป็นความถนัดหรือความสามารถของชาว VI นั่นก็คือ การคาดการณ์ถึงผลกำไรหรือผลประกอบการของบริษัทที่เราจะลงทุน
ในทางตรงกันข้าม หุ้น ตลาด ซึ่งก็คือหุ้นที่นักเล่นหุ้นนิยมซื้อขายกันมากเนื่องจากอาจจะมีราคาผันผวน ขึ้นลงแรงและมีปริมาณการซื้อขายค่อนข้างมาก เช่น หุ้นบริษัทหลักทรัพย์ หุ้นธนาคาร หุ้นอสังหาริมทรัพย์ หรือ หุ้นพลังงาน จะมีราคาขึ้นลงตาม กระแสเงิน หรือที่นักวิเคราะห์เรียกว่า Fund Flow ที่นักลงทุนโดยเฉพาะชาวต่างประเทศขนเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นมาก ดังนั้น ในยามที่ตลาดหุ้นเป็นกระทิง หุ้นเหล่านั้นจะมีราคาวิ่งขึ้นไปได้รวดเร็ว ทั้งๆที่ผลการดำเนินงานก็อาจจะไม่ได้ดีขึ้น หรือดีขึ้นก็อาจจะเป็นเรื่องชั่วคราว ไม่ได้เกิดจากพื้นฐานที่แท้จริง และนี่ก็เป็นเกมที่ Value Investor ส่วนใหญ่หรือจำนวนมากไม่ถนัด
ถ้ามองทางด้านของมิติของเวลาแล้ว เราก็จะพบว่า ตลาดหุ้นโดยส่วนใหญ่แล้วมักจะมีเวลาที่เป็นกระทิงค่อนข้างสั้น เช่นเดียวกับตลาดหมีก็มักจะอยู่ไม่นาน ตลาดหุ้นส่วนใหญ่มักเป็นตลาด ธรรมดา ที่ดัชนีมีการปรับตัวขึ้นๆลงๆ ในระดับไม่เกิน 20-25% ต่อปี หรือถ้าจะลบก็อยู่ในอัตราไม่มากนัก ดังนั้น ในสายตาของ Value Investor แล้ว เวลาของการทำกำไรหรือสร้างผลตอบแทนนั้นค่อนข้างจะยาวนานมาก เกือบจะพูดได้ว่าเวลาที่เหมาะสมในการลงทุนในตลาดหุ้นก็คือ ทุกเวลา ขึ้นอยู่กับตัวหุ้นที่เจอ ในขณะที่สำหรับนักลงทุนส่วนใหญ่หรือนักเก็งกำไรแล้ว เวลาลงทุนที่ดีก็คือในช่วงที่หุ้นบูมซึ่งเป็นช่วงเวลาที่สั้นกว่ามาก
ด้วยเหตุผลดังกล่าว ลักษณะของการสร้างผลตอบแทนหรือทำกำไรของ VI กับนักลงทุนทั่วไปหรือนักเก็งกำไรจึงน่าจะต่างกัน นั่นก็คือ VI น่าจะมีผลงานการลงทุนที่ช้าๆ แต่ค่อนข้างสม่ำเสมอ เดือนแล้วเดือนเล่า ปีแล้วปีเล่า ในขณะที่นักลงทุนทั่วไปและเฉพาะอย่างยิ่ง นักเก็งกำไร จะมีผลการลงทุนที่โดดเด่นมากๆ ในช่วงที่หุ้นเป็นกระทิงแต่จะเกิดขึ้นเป็นช่วงสั้นๆเท่านั้น
พูดถึงเรื่องนี้ทำให้ผมนึกถึงนักเก็งกำไรรายใหญ่บางคนที่บอกว่า ในช่วงกระทิงของปี 2546 นั้น เขากำไรปีเดียวคิดเป็นหลายร้อยเปอร์เซ็นต์ ในขณะที่ Value Investor ที่ประสบความสำเร็จสูงในช่วงหลายๆปีที่ผ่านมาอาจจะทำกำไรได้เพียงปีละ 30-40% เท่านั้น แต่ก็มักจะได้ผลตอบแทนที่ดีเกือบทุกปีแม้ว่าตลาดหุ้นโดยรวมจะไม่ไปไหน ดังนั้น การเป็น Value Investor นั้น ก็ควรที่จะหมายความว่า เรากำลังยอมเลือกที่จะเดินทาง สายเต่า คือ ช้าๆแต่แน่นอน และยอมที่จะ สละ โอกาสที่จะทำกำไรปีเดียว หลายร้อยเปอร์เซ็นต์ ที่นักเก็งกำไรที่มีความสามารถบางคนอาจจะทำได้
คำถามสุดท้ายที่บางคนอาจจะอยากถามก็คือ เราควรที่จะปรับตัวปรับพอร์ตหรือไม่แทนที่จะนั่ง ทำใจ คำตอบของผมก็คือ มันเป็นเรื่องที่เสี่ยงและอาจจะทำให้เราเสียวินัยในการลงทุน ที่ว่าเสี่ยงก็คือ ในวันที่เราปรับพอร์ต หุ้น ตลาด อาจจะปรับตัวลดลง ตลาดกระทิงอาจจะไม่ไปต่อ ทำให้เราขาดทุนได้ เพราะจริงๆแล้วไม่มีใครรู้หรือคาดการณ์ได้แม่นยำว่า กระทิงรอบนี้จะพาดัชนีไปถึงไหน และที่ว่าอาจทำให้เราเสียวินัยในการลงทุนก็คือ ถ้าเราปรับพอร์ตแล้วสามารถทำกำไรได้ดีกว่าพอร์ตเดิม เราก็อาจจะเริ่มคิดว่าเรามีความสามารถในการคาดการณ์ตลาดเช่นเดียวกับความสามารถในการดูผลการดำเนินงานของบริษัท และในโอกาสต่อๆไป เราก็จะเริ่มทำการปรับพอร์ตไปเรื่อยๆ เมื่อเราคิดว่าตลาดจะเป็น กระทิง และในไม่ช้าเราก็จะกลายเป็น นักลงทุนมหัศจรรย์ ที่เป็นได้ทั้ง เต่า และ กระต่าย ขึ้นอยู่กับ สถานการณ์ ซึ่งในประสบการณ์ของผมนั้น ยังไม่เคยเจอคนที่ทำได้
VI กำสรวล
โลกในมุมมอง Value Investor
ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
17 กรกฎาคม 2550
- unnop.t
- Verified User
- โพสต์: 924
- ผู้ติดตาม: 0
ไม่เข้าใจ ดัชนีขึ้นมากขนาดนี้ หุ้นพื้นฐานดีๆ อนาคตดีๆไม่ขึ้น
โพสต์ที่ 35
เสียดาย ดีกว่าเสียใจนะคุณหมอ
มันอาจจะมีบ้างที่เรารู้สึกอย่างนั้น ลองนั่งทบทวนหลักการลงทุนของเรา แล้ว
ตอบตัวเองดีกว่าว่าเราต้องการลงทุนแบบไหนดี :D
ปล. สงสัยคุณหมอเมาคลื่น เลยจิตตก :lol:
มันอาจจะมีบ้างที่เรารู้สึกอย่างนั้น ลองนั่งทบทวนหลักการลงทุนของเรา แล้ว
ตอบตัวเองดีกว่าว่าเราต้องการลงทุนแบบไหนดี :D
ปล. สงสัยคุณหมอเมาคลื่น เลยจิตตก :lol:
ตลาดหุ้นมักจะหลอกเราด้วย ความโลภ และความกลัว.....
- MYBIZ
- Verified User
- โพสต์: 888
- ผู้ติดตาม: 0
ไม่เข้าใจ ดัชนีขึ้นมากขนาดนี้ หุ้นพื้นฐานดีๆ อนาคตดีๆไม่ขึ้น
โพสต์ที่ 37
ในที่สุดแล้วผลกำไรก็จะชี้ชะตาหุ้นตัวนั้นเองแหล่ะครับ
ถ้าเห็นเค้าวิ่งแล้วทำใจไม่ได้ ลองไปวิ่งลู่เดียวกับเค้าดูสิครับจะได้สบายใจขึ้นอิอิๆๆ
ถ้าเห็นเค้าวิ่งแล้วทำใจไม่ได้ ลองไปวิ่งลู่เดียวกับเค้าดูสิครับจะได้สบายใจขึ้นอิอิๆๆ
จุดหมายปลายทาง อาจไม่ใช่ที่สุดของความงดงาม
- Paul VI
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 10538
- ผู้ติดตาม: 0
ไม่เข้าใจ ดัชนีขึ้นมากขนาดนี้ หุ้นพื้นฐานดีๆ อนาคตดีๆไม่ขึ้น
โพสต์ที่ 39
พี่เห็นด้วยเลยครับ กับ ความคิด หมอ reiterreiter เขียน:สวนบ้านคนอื่นมักจะเขียวกว่าบ้านของเราเสมอ
และก็ดีใจแทนคุณหมอ โคโยตี้ ที่มีคนให้ข้อคิดมากมายครับ
ถ้าเรามั่นใจในกิจการจริงๆ และ ไม่ได้เข้าข้าง ตัวเองมากไป ว่าหุ้นตัวนี้ดีจริง
ก็ถือแบบ สบายใจ ดีกว่าครับ
เราดูผลตอบแทนที่เราได้รับมาตั้งแต่เริ่มลงทุนก็สบายใจแล้วครับ
เราดูผลตอบแทนที่เราได้รับ ตามเป้าหมายที่เราวางไว้ ตั้งแต่เราเริ่มวางแผนลงทุนเราก็จะสบายใจครับ
ตอนนี้ EQ สำคัญ มากนะครับ ต้องอดทนรอคอย ความสำเร็จ ได้ครับ คุณหมอ
ดู คนงาน ที่ ชิลี และก็ ทีมช่วยเหลือ ก็ เฝ้าอดทนรอคอย ความสำเร็จ และ มีความศรัทธา ปาฎิหารย์ จึงเกิดครับ :D
- sorn adis
- Verified User
- โพสต์: 295
- ผู้ติดตาม: 0
ไม่เข้าใจ ดัชนีขึ้นมากขนาดนี้ หุ้นพื้นฐานดีๆ อนาคตดีๆไม่ขึ้น
โพสต์ที่ 40
คุณหมอโคโยตี้ครับ
หุ้นผมเกือบทั้งพอร์ทก็ไม่ค่อยขยับเหมือนกันครับ :evil:
หุ้นแต่ละประเภทมีจังหวะของมันครับ คุณหมอนักเต้นน่าจะรู้เรื่องจังหวะดี
รอลุ้นผลประกอบการดีกว่าครับ ถ้าเราคิดถูก เดี๋ยวราคาหุ้นมันก็ขึ้นตามมาเองครับ :D
หุ้นผมเกือบทั้งพอร์ทก็ไม่ค่อยขยับเหมือนกันครับ :evil:
หุ้นแต่ละประเภทมีจังหวะของมันครับ คุณหมอนักเต้นน่าจะรู้เรื่องจังหวะดี
รอลุ้นผลประกอบการดีกว่าครับ ถ้าเราคิดถูก เดี๋ยวราคาหุ้นมันก็ขึ้นตามมาเองครับ :D
คาถาลงทุน
BuVaPiCaMos
BuVaPiCaMos
- Croyoty
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 3617
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ไม่เข้าใจ ดัชนีขึ้นมากขนาดนี้ หุ้นพื้นฐานดีๆ อนาคตดีๆไม่
โพสต์ที่ 41
[quote="The Intelligent Investor"][quote="croyoty"]โลกไม่ยุติธรรมเลย สรุปการลงทุนให้ได้มากเกาะกระแสฟันโฟวดีกว่า
การดื้อด้านจะเป็น VIๆๆ ถือตัวพื้นฐานดีอนาคตใช้ได้ ตัวเล็ก ฝรั่งไม่รู้จักไม่ซื้อ
รายย่อยนักเก็งกำไร เดย์เทรด ก็ไปเล่นตัวใหญ่หมด
แล้วมันจะได้ประโยชน์อะไรบ้างเล่า ที่มัวแต่บ้าบอถือแต่ตัวเล็กพื้นฐานดีหรืออนาคตดี
การดื้อด้านจะเป็น VIๆๆ ถือตัวพื้นฐานดีอนาคตใช้ได้ ตัวเล็ก ฝรั่งไม่รู้จักไม่ซื้อ
รายย่อยนักเก็งกำไร เดย์เทรด ก็ไปเล่นตัวใหญ่หมด
แล้วมันจะได้ประโยชน์อะไรบ้างเล่า ที่มัวแต่บ้าบอถือแต่ตัวเล็กพื้นฐานดีหรืออนาคตดี
-
- Verified User
- โพสต์: 625
- ผู้ติดตาม: 0
ไม่เข้าใจ ดัชนีขึ้นมากขนาดนี้ หุ้นพื้นฐานดีๆ อนาคตดีๆไม่ขึ้น
โพสต์ที่ 43
ข้อเสียของวีไอ
โดย วิบูลย์ พึงประเสริฐ
เรามักได้ยินเกี่ยว กับข้อดีของการลงทุนแบบเน้นคุณค่า หรือ Value Investing อยู่เสมอๆ เช่น เป็นการลงทุนที่ไม่ต้องเฝ้าหน้าจอ หรือเป็นการลงทุนที่ทำผลตอบแทนได้อย่างต่อเนื่อง แต่ทุกอย่างในโลกนี้ไม่มีอะไรได้มาฟรีๆ การลงทุนแบบเน้นคุณค่าก็เช่นเดียวกัน ดังนั้นไม่ใช่ว่าการลงทุนแบบนี้จะมีแต่ด้านดีเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่มีข้อเสียด้วยกันหลายข้อดังต่อไปนี้
1) การลงทุนในรูปแบบที่ถือว่านักลงทุนเป็นเจ้าของบริษัท และถือหุ้นเฉพาะบริษัทที่เข้าใจในราคาไม่แพง โดยถือหุ้นนั้นเป็นระยะเวลานานๆนั้น ยิ่งนักลงทุนมีตระแกรงร่อนใน การเลือกหุ้นมากเท่าไหร่ ตัวเลือกในการลงทุนก็น้อยลงไปเท่านั้น เช่น ถ้าเรายึดหลักว่าจะไม่ซื้อหุ้นที่ไม่มีข้อได้เปรียบในการแข่งขัน ไม่ซื้อหุ้นที่มีหนี้มากเกินไป หรือไม่ซื้อหุ้นที่ไม่เข้าใจในธุรกิจนั้น ทำให้นักลงทุนมีข้อจำกัดในการลงทุนในหลายๆบริษัทที่น่าสนใจ รวมทั้งทำให้ตัวเลือกในการลงทุนน้อยลงตามขอบเขตที่กำหนดไว้
2) โอกาสในการลงทุนแนวนี้ไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยนัก บางครั้งนักลงทุนปล่อย ให้โอกาสหลุดลอยไปอย่างน่าเสียดาย เพียงเพราะมีคำถามอะไรบางอย่างในบริษัทนั้น เช่นอาจสงสัยในงบการเงิน ในผู้บริหาร หรือ อะไรก็ตามที่นึกขึ้นได้ แต่แล้วมันก็เป็นแค่เรื่องชั่วคราว เพราะสิ่งที่นักลงทุนสงสัยนั้นไม่ได้เกิดขึ้นจริง เช่น ผู้บริหารบริษัทอาจดูน่าสงสัยในเรื่องของการขายหุ้นบริษัทออกมาในตลาดเป็น จำนวนมาก นักลงทุนอาจคิดว่าบริษัทนั้นกำลังประสบกับปัญหา ทำให้ผู้บริหารที่รู้เรื่องก่อนขายหุ้นออกมา แต่ในความเป็นจริง ผู้บริหารอาจขายหุ้นออกมาเพื่อต้องการนำเงินไปใช้จ่ายตามปกติ นักลงทุนที่สงสัยในประเด็นดังกล่าวอาจพลาดโอกาสในการลงทุนบริษัทนั้นไป เมื่อทุกอย่างคลี่คลายหรือข้อมูลชัดเจนขึ้น ราคาหุ้นก็ขึ้นมาอยู่ในระดับที่สูงเกินไปเสียแล้ว
3) บางที นักลงทุนแบบเน้นคุณค่าเห็นโอกาสในการลงทุนแต่คว้าไม่ได้เพราะ เงินที่มีนำไปลงทุนในหุ้นอื่นจนหมด บ่อยครั้งที่นักลงทุนแบบเน้นคุณค่าลงทุนในหุ้นทั้งหมด 100% ของเงินลงทุนที่มีอยู่ ทำให้พลาดโอกาสในการลงทุนในหุ้นบริษัทอื่นๆไป การที่จะขายบริษัทที่มีอนาคตดีที่ถืออยู่เพื่อเปลี่ยนไปซื้อบริษัทใหม่ นักลงทุนต้องมีความมั่นใจในบริษัทใหม่มากกว่าบริษัทเดิมที่ถืออยู่หลายเท่า เพราะการเปลี่ยนบริษัทคือความเสี่ยงในการลงทุนอย่างหนึ่ง
4) นักลงทุนต้องมีความอดทนมากกว่าปกติในการที่เราจะถือบริษัทนี้ไปตลอด เพราะนัก ลงทุนต้องทำใจ :'O ที่เห็นราคาหุ้นลดลงอย่างรวดเร็วในช่วงที่ตลาดผันผวนอย่างมาก เช่น ในขณะที่ดัชนีตลาดหุ้นลดลงจากการเทขายของรายใหญ่อย่าง กองทุนเฮดฟันด์ต่างประเทศ ราคาหุ้นที่ถืออยู่อาจลดลงเป็นอย่างมาก โดยที่พื้นฐานของบริษัทไม่ได้เปลี่ยนแปลง นักลงทุนต้องสามารถวิเคราะห์ให้อออกว่าราคาหุ้นที่ลดลงเกิดจากอารมณ์ของตลาด หรือพื้นฐานของบริษัท
5) ข้อสุดท้าย นักลงทุนต้องมีความ อดทนมากกว่าปกติ เวลาที่เห็นราคาหุ้นตัวอื่นๆพุ่งแซงหน้าหุ้นของบริษัทที่นักลงทุนถืออยู่
บาง ครั้งดัชนีตลาดหุ้นเพิ่มสูงขึ้นอย่างมาก แต่หุ้นที่นักลงทุนถืออยู่ ราคากลับนิ่งอยู่กัับที่ไม่กระเตื้องไปไหน นักลงทุนแบบเน้นคุณค่าต้องทำใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น เพราะหุ้นบางบริษัทไม่ได้ปรับตัวตามดัชนีตลาดหุ้น
ในกรณีนี้นักลงทุน อาจต้องอาศัยคำพูดของวอร์เรน บัฟเฟตที่บอกว่า ราคาหุ้นระยะสั้นไม่ได้เป็นตัวบอกมูลค่าที่แท้จริงของบริษัท ในระยะยาวราคาหุ้นจะเป็นไปตามผลประกอบการของบริษัท ดังนั้นในระยะสั้นราคาหุ้นอาจลดลง แต่ในระยะยาวถ้าผลประกอบการดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ราคาหุ้นจะสามารถปรับตัวขึ้นได้ :lol:
http://www.pantip.com/cafe/sinthorn/top ... 51877.html
โดย วิบูลย์ พึงประเสริฐ
เรามักได้ยินเกี่ยว กับข้อดีของการลงทุนแบบเน้นคุณค่า หรือ Value Investing อยู่เสมอๆ เช่น เป็นการลงทุนที่ไม่ต้องเฝ้าหน้าจอ หรือเป็นการลงทุนที่ทำผลตอบแทนได้อย่างต่อเนื่อง แต่ทุกอย่างในโลกนี้ไม่มีอะไรได้มาฟรีๆ การลงทุนแบบเน้นคุณค่าก็เช่นเดียวกัน ดังนั้นไม่ใช่ว่าการลงทุนแบบนี้จะมีแต่ด้านดีเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่มีข้อเสียด้วยกันหลายข้อดังต่อไปนี้
1) การลงทุนในรูปแบบที่ถือว่านักลงทุนเป็นเจ้าของบริษัท และถือหุ้นเฉพาะบริษัทที่เข้าใจในราคาไม่แพง โดยถือหุ้นนั้นเป็นระยะเวลานานๆนั้น ยิ่งนักลงทุนมีตระแกรงร่อนใน การเลือกหุ้นมากเท่าไหร่ ตัวเลือกในการลงทุนก็น้อยลงไปเท่านั้น เช่น ถ้าเรายึดหลักว่าจะไม่ซื้อหุ้นที่ไม่มีข้อได้เปรียบในการแข่งขัน ไม่ซื้อหุ้นที่มีหนี้มากเกินไป หรือไม่ซื้อหุ้นที่ไม่เข้าใจในธุรกิจนั้น ทำให้นักลงทุนมีข้อจำกัดในการลงทุนในหลายๆบริษัทที่น่าสนใจ รวมทั้งทำให้ตัวเลือกในการลงทุนน้อยลงตามขอบเขตที่กำหนดไว้
2) โอกาสในการลงทุนแนวนี้ไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยนัก บางครั้งนักลงทุนปล่อย ให้โอกาสหลุดลอยไปอย่างน่าเสียดาย เพียงเพราะมีคำถามอะไรบางอย่างในบริษัทนั้น เช่นอาจสงสัยในงบการเงิน ในผู้บริหาร หรือ อะไรก็ตามที่นึกขึ้นได้ แต่แล้วมันก็เป็นแค่เรื่องชั่วคราว เพราะสิ่งที่นักลงทุนสงสัยนั้นไม่ได้เกิดขึ้นจริง เช่น ผู้บริหารบริษัทอาจดูน่าสงสัยในเรื่องของการขายหุ้นบริษัทออกมาในตลาดเป็น จำนวนมาก นักลงทุนอาจคิดว่าบริษัทนั้นกำลังประสบกับปัญหา ทำให้ผู้บริหารที่รู้เรื่องก่อนขายหุ้นออกมา แต่ในความเป็นจริง ผู้บริหารอาจขายหุ้นออกมาเพื่อต้องการนำเงินไปใช้จ่ายตามปกติ นักลงทุนที่สงสัยในประเด็นดังกล่าวอาจพลาดโอกาสในการลงทุนบริษัทนั้นไป เมื่อทุกอย่างคลี่คลายหรือข้อมูลชัดเจนขึ้น ราคาหุ้นก็ขึ้นมาอยู่ในระดับที่สูงเกินไปเสียแล้ว
3) บางที นักลงทุนแบบเน้นคุณค่าเห็นโอกาสในการลงทุนแต่คว้าไม่ได้เพราะ เงินที่มีนำไปลงทุนในหุ้นอื่นจนหมด บ่อยครั้งที่นักลงทุนแบบเน้นคุณค่าลงทุนในหุ้นทั้งหมด 100% ของเงินลงทุนที่มีอยู่ ทำให้พลาดโอกาสในการลงทุนในหุ้นบริษัทอื่นๆไป การที่จะขายบริษัทที่มีอนาคตดีที่ถืออยู่เพื่อเปลี่ยนไปซื้อบริษัทใหม่ นักลงทุนต้องมีความมั่นใจในบริษัทใหม่มากกว่าบริษัทเดิมที่ถืออยู่หลายเท่า เพราะการเปลี่ยนบริษัทคือความเสี่ยงในการลงทุนอย่างหนึ่ง
4) นักลงทุนต้องมีความอดทนมากกว่าปกติในการที่เราจะถือบริษัทนี้ไปตลอด เพราะนัก ลงทุนต้องทำใจ :'O ที่เห็นราคาหุ้นลดลงอย่างรวดเร็วในช่วงที่ตลาดผันผวนอย่างมาก เช่น ในขณะที่ดัชนีตลาดหุ้นลดลงจากการเทขายของรายใหญ่อย่าง กองทุนเฮดฟันด์ต่างประเทศ ราคาหุ้นที่ถืออยู่อาจลดลงเป็นอย่างมาก โดยที่พื้นฐานของบริษัทไม่ได้เปลี่ยนแปลง นักลงทุนต้องสามารถวิเคราะห์ให้อออกว่าราคาหุ้นที่ลดลงเกิดจากอารมณ์ของตลาด หรือพื้นฐานของบริษัท
5) ข้อสุดท้าย นักลงทุนต้องมีความ อดทนมากกว่าปกติ เวลาที่เห็นราคาหุ้นตัวอื่นๆพุ่งแซงหน้าหุ้นของบริษัทที่นักลงทุนถืออยู่
บาง ครั้งดัชนีตลาดหุ้นเพิ่มสูงขึ้นอย่างมาก แต่หุ้นที่นักลงทุนถืออยู่ ราคากลับนิ่งอยู่กัับที่ไม่กระเตื้องไปไหน นักลงทุนแบบเน้นคุณค่าต้องทำใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น เพราะหุ้นบางบริษัทไม่ได้ปรับตัวตามดัชนีตลาดหุ้น
ในกรณีนี้นักลงทุน อาจต้องอาศัยคำพูดของวอร์เรน บัฟเฟตที่บอกว่า ราคาหุ้นระยะสั้นไม่ได้เป็นตัวบอกมูลค่าที่แท้จริงของบริษัท ในระยะยาวราคาหุ้นจะเป็นไปตามผลประกอบการของบริษัท ดังนั้นในระยะสั้นราคาหุ้นอาจลดลง แต่ในระยะยาวถ้าผลประกอบการดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ราคาหุ้นจะสามารถปรับตัวขึ้นได้ :lol:
http://www.pantip.com/cafe/sinthorn/top ... 51877.html
- wpong
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1336
- ผู้ติดตาม: 0
ไม่เข้าใจ ดัชนีขึ้นมากขนาดนี้ หุ้นพื้นฐานดีๆ อนาคตดีๆไม่ขึ้น
โพสต์ที่ 45
เวลาที่หุ้นที่ผมถืออยู่มันไม่ค่อยขึ้น ผมมักจะบอกตัวเองว่าเราคงรู้ไม่จริง หรือมีสิ่งสำคัญบางอย่างที่เรายังไม่รู้ ...
สุดท้ายแล้วผมก็สรุปได้ว่า เอาเท่าที่รู้ก็แล้วกัน
สุดท้ายแล้วผมก็สรุปได้ว่า เอาเท่าที่รู้ก็แล้วกัน
- wpong
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1336
- ผู้ติดตาม: 0
ไม่เข้าใจ ดัชนีขึ้นมากขนาดนี้ หุ้นพื้นฐานดีๆ อนาคตดีๆไม่ขึ้น
โพสต์ที่ 46
- aviruth
- Verified User
- โพสต์: 334
- ผู้ติดตาม: 0
ไม่เข้าใจ ดัชนีขึ้นมากขนาดนี้ หุ้นพื้นฐานดีๆ อนาคตดีๆไม่ขึ้น
โพสต์ที่ 50
จะว่าไปหุ้น ที่โดนลากขึ้นไปช่วงนี้ สองปีที่แล้วตอนตลาดต่ำๆ มันก็เข้าเกณฑ์หุ้น vi เหมือนกัน จะว่าไปผมเคยมีหมด ทั้ง ptt, ktb,banpu,bbl,cpf,cpall แต่ผมขายหมูไปหมดแล้ว :D หุ้นที่ว่าแพงแล้วก็ยังแพงขึ้นไปได้อีกจริงๆ ไอ้ที่ถูกก็ยังถูกอยู่อย่างนั้น
อย่าคาดหวังผลลัพธ์ที่แตกต่างด้วยการทำแบบเดิม
-
- Verified User
- โพสต์: 1311
- ผู้ติดตาม: 0
My House
โพสต์ที่ 52
คุณหมอครับ หลักการของ vi คือต้องไม่ขาดทุน หัวใจของ vi คือต้องอดทน
ขอเพียงคุณหมอไม่ขาดทุนและอดทน ผมตอบแทนทบต้นทบดอกมันจะแสดงออกมาเมื่อคุณหมอลงทุนเป็นระยะเวลาที่นานพอ (ไม่ได้หมายความว่าให้ทนถือหุ้นที่วิเคราะห์พลาดไปนานๆนะครับ)
เมื่อถึงจุดนั้นผมว่าคุณหมอคงลืมวันนี้ไปแล้วครับ เพราะระยะยาวแล้วคุณหมอคือผู้ชนะครับ
ส่วนตัวผมยังติดภาพความเป็นนักเก็งกำไรอยู่เลย เพียงแต่จะลงทุนในหุ้นที่เติบโตเท่านั้น พอกำไรได้ใจก็ ขายหมู 555
ขอเพียงคุณหมอไม่ขาดทุนและอดทน ผมตอบแทนทบต้นทบดอกมันจะแสดงออกมาเมื่อคุณหมอลงทุนเป็นระยะเวลาที่นานพอ (ไม่ได้หมายความว่าให้ทนถือหุ้นที่วิเคราะห์พลาดไปนานๆนะครับ)
เมื่อถึงจุดนั้นผมว่าคุณหมอคงลืมวันนี้ไปแล้วครับ เพราะระยะยาวแล้วคุณหมอคือผู้ชนะครับ
ส่วนตัวผมยังติดภาพความเป็นนักเก็งกำไรอยู่เลย เพียงแต่จะลงทุนในหุ้นที่เติบโตเท่านั้น พอกำไรได้ใจก็ ขายหมู 555
-
- Verified User
- โพสต์: 105
- ผู้ติดตาม: 0
ไม่เข้าใจ ดัชนีขึ้นมากขนาดนี้ หุ้นพื้นฐานดีๆ อนาคตดีๆไม่ขึ้น
โพสต์ที่ 54
ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำถูกหรือปล่าว ผมจะรองบออกครบทุกตัวก่อน แล้วค่อยมาดูหุ้นทุกตัวว่าจะปรับพอร์ตยังไง ระหว่างนั้นผมก็ขะไม่รู้การเคลื่อนไกวของราคาเลย แต่จะอ่านร้อยคนร้อยหุ้น ในหุ้นที่เราซื้อ เผื่อมีอะไรที่เปลี่ยนแปลงเราจะได้ทราบ นอกนั้นรู้ราคาแค่ปีละ 4 ครั้งครับ ดูเหมือนไม่สนใจการลงทุนของตัวเองยังไงก็ไม่รู้
-
- Verified User
- โพสต์: 1049
- ผู้ติดตาม: 0
ไม่เข้าใจ ดัชนีขึ้นมากขนาดนี้ หุ้นพื้นฐานดีๆ อนาคตดีๆไม่ขึ้น
โพสต์ที่ 57
เรามาแข่งอึดดำน้ำกันดีกว่า อิอิอิ
ผมมีความรู้สึกแบบนี้มานานหลายเดือนแหล่ะ
ก้อได้แต่ ทำใจ อย่างว่า ครับ
กรุงโรมไม่ได้สร้างเสร็จในวันเดียวนี้น่า
ก๊อปปี้มาเต็มๆๆ อิอิอิ
แข่งรถแข่งเรือแข่งได้ แต่แข่งวาสนาไม่ได้ หรอก
ยิ่งแข่งกับคนที่มีพรสวรรค์ยิ่งเป็นไปไม่ได้
ทุกวันนี้ ก้มหน้าก้มตา ทำมาหากินอย่างเดียว
เหนื่อยก้อพัก นอนเอาแรง
ผมชอบลอก ครับ
ผมมีความรู้สึกแบบนี้มานานหลายเดือนแหล่ะ
ก้อได้แต่ ทำใจ อย่างว่า ครับ
กรุงโรมไม่ได้สร้างเสร็จในวันเดียวนี้น่า
ก๊อปปี้มาเต็มๆๆ อิอิอิ
แข่งรถแข่งเรือแข่งได้ แต่แข่งวาสนาไม่ได้ หรอก
ยิ่งแข่งกับคนที่มีพรสวรรค์ยิ่งเป็นไปไม่ได้
ทุกวันนี้ ก้มหน้าก้มตา ทำมาหากินอย่างเดียว
เหนื่อยก้อพัก นอนเอาแรง
ผมชอบลอก ครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 224
- ผู้ติดตาม: 0
ไม่เข้าใจ ดัชนีขึ้นมากขนาดนี้ หุ้นพื้นฐานดีๆ อนาคตดีๆไม่ขึ้น
โพสต์ที่ 58
เป็นกำลังใจให้คุณหมอนะครับ.way เขียน:ผมว่าจะทำอะไร ก็ควรมีความรู้ความเข้าใจ ในตัวเองให้ดี และในสิ่งที่ตัวเองจะทำให้ดี
โดยส่วนตัวนะครับ ผมว่าความเสี่ยงของนักลงทุน (หรือนักเก็งกำไร)
ล้วนเกิดจาก ความไม่รู้ของตัวเอง ซะมากกว่า
คนส่วนใหญ่มักจะพยายามวิเคราะห์บริษัท วิเคราะห์หุ้น วิเคราะห์สถานการณ์ วิเคราะห์กราฟ
แต่ดันลืมวิเคราะห์ตัวเอง
ทั้งๆที่จริงๆแล้ว สิ่งที่ทำให้เกิดความเสี่ยงมากที่สุดในการลงทุน แต่ละครั้ง ล้วนมาจากการตัดสินใจของตัวเองทั้งนั้น
ใครอยากทำอะไร คงไม่ว่ากัน แต่ก่อนจะลงมือทำ
ขอให้วิเคราะห์ตัวเองให้กระจ่างซะก่อน
คนแต่ละคนล้วนมีข้อจำกัดที่แตกต่าง จุดแข็งที่แตกต่าง
ความสามารถในการรับความเสี่ยงก็แตกต่าง
จุดยืนที่เหมาะสมของแต่ละคนจึงแตกต่างกันไปด้วย
โปรดจงอย่าทำอะไรตามตามกัน ด้วยเพียงแค่กิเลสหรืออารมณ์ นะครับ
ด้วยความหวังดี
ไม่มีแนวทางใดที่มีความสมบรูณ์ครับ เพราะฉะนั้นอย่าไปยึดติดความสมบรูณ์
แนวทางที่เราคิดว่าถูกมันก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะได้กำไรตลอด
แนวทางที่เราคิดว่าผิดมันก็ไม่ได้ความความว่าเราจะไม่มีโอกาสได้กำไร
สุดท้ายเวลาก็จะเป็นเครื่องตัดสินครับ
อย่าวัดกันที่ผลตอบแทนระยะสั้นเลยครับ แต่ให้มองถึงผลตอบแทนระยะยาว
เขายิ้มได้ในวันนี้ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะยิ้มได้ในวันข้างหน้า เราเครียดวันนี้ก็ไม่ได้หมายความว่าวันข้างหน้าเราจะยิ้มไม่ได้นะครับ
"สุดท้ายหากเราอยู่รอด ในตอนที่คนอื่นตาย เราก็คืออัศวินคนหนึ่งครับ"
-
- Verified User
- โพสต์: 1291
- ผู้ติดตาม: 0
ไม่เข้าใจ ดัชนีขึ้นมากขนาดนี้ หุ้นพื้นฐานดีๆ อนาคตดีๆไม่ขึ้น
โพสต์ที่ 59
รู้นะคิดไรอยู่ ผ๋มก็รอคอยอยู่เหมือนกัน อดทนอดทน เเต่ไม่ได้ทนอดนะsuperboy เขียน:เรามาแข่งอึดดำน้ำกันดีกว่า อิอิอิ
ผมมีความรู้สึกแบบนี้มานานหลายเดือนแหล่ะ
ก้อได้แต่ ทำใจ อย่างว่า ครับ
กรุงโรมไม่ได้สร้างเสร็จในวันเดียวนี้น่า
ก๊อปปี้มาเต็มๆๆ อิอิอิ
แข่งรถแข่งเรือแข่งได้ แต่แข่งวาสนาไม่ได้ หรอก
ยิ่งแข่งกับคนที่มีพรสวรรค์ยิ่งเป็นไปไม่ได้
ทุกวันนี้ ก้มหน้าก้มตา ทำมาหากินอย่างเดียว
เหนื่อยก้อพัก นอนเอาแรง
ผมชอบลอก ครับ
VI Robot The Great
-
- Verified User
- โพสต์: 942
- ผู้ติดตาม: 0
ไม่เข้าใจ ดัชนีขึ้นมากขนาดนี้ หุ้นพื้นฐานดีๆ อนาคตดีๆไม่ขึ้น
โพสต์ที่ 60
หุ้นดี แต่ราคาไม่ดี สักวันราคาก็จะดี
หุ้นไม่ดี แต่ราคาดี สักวันราคาก็จะไม่ดี
เป็นกำลังใจให้คุณหมอ (และตัวเอง) ครับ
เมื่อถึงวันนั้น เราจะ :D พร้อมกัน
หุ้นไม่ดี แต่ราคาดี สักวันราคาก็จะไม่ดี
เป็นกำลังใจให้คุณหมอ (และตัวเอง) ครับ
เมื่อถึงวันนั้น เราจะ :D พร้อมกัน