ใช้ DSM กับ VI นับเป็นการทรยศต่อสำนักหรือไม่
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 9795
- ผู้ติดตาม: 0
ใช้ DSM กับ VI นับเป็นการทรยศต่อสำนักหรือไม่
โพสต์ที่ 62
ใช่ครับ งานประจำคือเลี้ยงและเล่นกับลูกๆ (สุนัข) ครับ เล่นหุ้นเป็นงานอดิเรกโอ้โหคุณเด่นศรีถือ SET50 หรือไงครับ แล้วแกมีงานประจำไหมครับคุณ CK
เท่าที่เคยได้ยินมา ช่วงเทรดดิ้ง แกจะใช้เวลาส่วนใหญ่เล่นกับลูกๆ แว๊บมาดู
จอและจัดการขายหรือซื้อคืนตามแผนที่วางไว้ในคืนก่อน แล้วแว๊บกลับไปเล่น
ต่อ ประมาณว่าในช่วงเทรดดิ้ง 5 ชม. แกใช้เวลากับสุนัขประมาณ 4 เศษๆ
งานที่สำคัญที่สุดคือการวางแผนสำหรับวันรุ่งขึ้นเมื่อตลาดปิดแล้วครับ ใช้
เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง จะกำไรมากกำไรน้อยก็อยู่ตรงนี้ครับ แกจะทำการลง
บัญชีให้เสร็จสรรพ ดูว่าวันพรุ่งนี้ แต่ละตัวต้องทำอะไรบ้างที่ราคาไหน ฯลฯ
-
- Verified User
- โพสต์: 920
- ผู้ติดตาม: 0
ใช้ DSM กับ VI นับเป็นการทรยศต่อสำนักหรือไม่
โพสต์ที่ 63
ถ้าไม่มีงานประจำก็พอทำได้ครับ แต่ผมยังรักและสนุกกับงานประจำที่ทำอยู่ ต้องให้ว่างจริงๆ ถึงจะมาดูหุ้นครับ เรื่องจดบันทึกก็ไม่ค่อยได้ทำ จำด้วยสมองคร่าวๆ ตอนนี้เริ่มหันมาใช้ quicken ตามที่คุณ CK เคยแนะนำ
-
- Verified User
- โพสต์: 18
- ผู้ติดตาม: 0
ใช้ DSM กับ VI นับเป็นการทรยศต่อสำนักหรือไม่
โพสต์ที่ 65
ทุกกลยุทธ์ล้วนมีจุดดีจุดด้อย ไม่มีวิธีใดดีที่สุด
หรืออาจจะกล่าวอีกนัยหนึ่งคือไม่มีวิธีใดเหมาะสมกับคนทุกคน
จึงมีคำกล่าวว่าไม่มีสูตรสำเร็จในการเล่นหุ้นให้รวย
ปัญหาข้อนี้ผมขอขมวดสรุปรวมได้ว่า
- ต้องอ่านตัวเองให้ขาดก่อน
- ตามมาด้วยการอ่านตลาด(หรือหุ้น)ให้ขาด
- แล้วมาอ่านขาดวิธีต่างๆที่จะเล่นแล้วเหมาะกับตัวเอง
หากขาดข้อใดข้อหนึ่งไป จะมีกี่หมื่นวิธีก็ไร้ความหมาย
หรืออาจจะกล่าวอีกนัยหนึ่งคือไม่มีวิธีใดเหมาะสมกับคนทุกคน
จึงมีคำกล่าวว่าไม่มีสูตรสำเร็จในการเล่นหุ้นให้รวย
ปัญหาข้อนี้ผมขอขมวดสรุปรวมได้ว่า
- ต้องอ่านตัวเองให้ขาดก่อน
- ตามมาด้วยการอ่านตลาด(หรือหุ้น)ให้ขาด
- แล้วมาอ่านขาดวิธีต่างๆที่จะเล่นแล้วเหมาะกับตัวเอง
หากขาดข้อใดข้อหนึ่งไป จะมีกี่หมื่นวิธีก็ไร้ความหมาย
-
- Verified User
- โพสต์: 1435
- ผู้ติดตาม: 0
ใช้ DSM กับ VI นับเป็นการทรยศต่อสำนักหรือไม่
โพสต์ที่ 66
ด้วยจำนวนหุ้นที่มากแบบนั้น และรูปแบบที่ต้องใช้เวลาดูแลขนาดนั้น เวลาแค่นั้นเป็นไปได้หรือครับ ผมพอจะเข้าใจว่าหลักการดีนะครับ แต่เวลาปฏิบัติด้วยเวลาแค่นั้น น่าสงสัยอยู่นะครับCK เขียน: ใช่ครับ งานประจำคือเลี้ยงและเล่นกับลูกๆ (สุนัข) ครับ เล่นหุ้นเป็นงานอดิเรก
เท่าที่เคยได้ยินมา ช่วงเทรดดิ้ง แกจะใช้เวลาส่วนใหญ่เล่นกับลูกๆ แว๊บมาดู
จอและจัดการขายหรือซื้อคืนตามแผนที่วางไว้ในคืนก่อน แล้วแว๊บกลับไปเล่น
ต่อ ประมาณว่าในช่วงเทรดดิ้ง 5 ชม. แกใช้เวลากับสุนัขประมาณ 4 เศษๆ
งานที่สำคัญที่สุดคือการวางแผนสำหรับวันรุ่งขึ้นเมื่อตลาดปิดแล้วครับ ใช้
เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง จะกำไรมากกำไรน้อยก็อยู่ตรงนี้ครับ แกจะทำการลง
บัญชีให้เสร็จสรรพ ดูว่าวันพรุ่งนี้ แต่ละตัวต้องทำอะไรบ้างที่ราคาไหน ฯลฯ
ขอถามแฟนๆ คุณเด่นศรีหน่อยครับว่า
1. ถ้าเราได้จำนวนหุ้นมากขึ้นเรื่อยๆ จริง แต่เราต้องเลือกกิจการที่ดีจริงๆ และ มีปันผลรองรับด้วยใช่มั้ยครับ
2. ใครรู้จักคุณเด่นศรีตัวจริงบ้างครับ ว่าเค้าเล่น 50 ตัวแบบนั้นจริงป่าวครับ
ขอบคุณครับ
กฎข้อที่1 อย่ายอมขาดทุน กฎข้อที่2 กลับไปดูกฎข้อที่ 1
-
- Verified User
- โพสต์: 1688
- ผู้ติดตาม: 0
ใช้ DSM กับ VI นับเป็นการทรยศต่อสำนักหรือไม่
โพสต์ที่ 67
ผมไม่ถึงกับเป็นแฟนคุณเด่นศรีนะครับ
แกมีแฟนอยู่แล้ว (สวยด้วย)
เป็นเหมือนเพื่อนและลูกศิษย์ที่ไม่เคยเห็นหน้ามากกว่า
แต่พอสันนิษฐานได้ว่า
50ตัวจริง ไม่ใช่SET 50ทั้งหมด
SET50 30ตัว หุ้นเคลื่อนไหวเร็วอีก 20ตัว เช่น THLเป็นต้น
ที่ผมเชื่อเพราะว่าแกชี้แนะผมอยู่ช่วงหนึ่ง
จนผมทำเองถึงรู้ว่าควรมีหุ้นมากตัว
ไม่จำเป็นต้องมีปันผล
ปันผลเป็นโบนัส เมื่อถึงปันผลมีหุ้นอยู่เท่าไหร่ได้เท่านั้น
แต่อีกหน่อยได้หุ้นมากพอ เลิกทำ ก็รอรับปันผล
กล่าวคือ
ตัวแกมีหน้าที่เพิ่มหุ้น แล้วหุ้นก็ทำงานหนัก
แกมีแฟนอยู่แล้ว (สวยด้วย)
เป็นเหมือนเพื่อนและลูกศิษย์ที่ไม่เคยเห็นหน้ามากกว่า
แต่พอสันนิษฐานได้ว่า
50ตัวจริง ไม่ใช่SET 50ทั้งหมด
SET50 30ตัว หุ้นเคลื่อนไหวเร็วอีก 20ตัว เช่น THLเป็นต้น
ที่ผมเชื่อเพราะว่าแกชี้แนะผมอยู่ช่วงหนึ่ง
จนผมทำเองถึงรู้ว่าควรมีหุ้นมากตัว
ไม่จำเป็นต้องมีปันผล
ปันผลเป็นโบนัส เมื่อถึงปันผลมีหุ้นอยู่เท่าไหร่ได้เท่านั้น
แต่อีกหน่อยได้หุ้นมากพอ เลิกทำ ก็รอรับปันผล
กล่าวคือ
ตัวแกมีหน้าที่เพิ่มหุ้น แล้วหุ้นก็ทำงานหนัก
- ch_army
- Verified User
- โพสต์: 1352
- ผู้ติดตาม: 0
ใช้ DSM กับ VI นับเป็นการทรยศต่อสำนักหรือไม่
โพสต์ที่ 68
ยาวมากอ่านไม่ไหวครับ
เค้าก็ว่า คิโยซดกิแรงเหมือนกันนะครับ หรือผมไม่เข้าใจวัฒนธรรมเค้าก็ไม่รู้
เค้าก็ว่า คิโยซดกิแรงเหมือนกันนะครับ หรือผมไม่เข้าใจวัฒนธรรมเค้าก็ไม่รู้
-
- Verified User
- โพสต์: 942
- ผู้ติดตาม: 0
ใช้ DSM กับ VI นับเป็นการทรยศต่อสำนักหรือไม่
โพสต์ที่ 69
นิ๊ดเดียวCK เขียน:ส่วนอย่างอื่น ถ้าไม่ใช่รู้อยู่แล้วก็คิดว่าไม่น่าจะทำ (เช่นเอาเปรียบคนอื่น)
แต่เห็นคนที่รวยที่สุดในประเทศ (แต่เงินอยู่ในชื่อคนอื่น) กำลังทำอยู่นะ
เป็นเทวดาเอาเงินคนอื่นชาวบ้าน ทั้งๆ ที่มืออีกข้างกำลังโกยเงินชาวบ้าน
เข้ากระเป๋าตัวเอง เป็นวิน-วิน
:lol: ก็เลยคิดได้ว่า สิ่งที่ Koyasaki เขียนน่าจะจริง
ตอนนี้บริษัทเครือชิน น่าจะปั้มเงินได้โดยไม่ต้องเข้าไปดูแลแบบใกล้ชิดแล้วกระมัง ถ้าไม่มีบริษัทเครือนี้ทำ จะมีบริษัทเครืออื่นทำไหมครับ
ผมว่า แกเป็นนายก+หัวหน้าพรรค
ก็แทบไม่มีเวลามาดูอย่างอื่นแล้วมัง
ยกเว้นจะมีกรณีแบบเรื่องพม่า อินเดีย หรือเปล่า
อันนี้ไม่ทราบได้
สุดท้าย ว่าแต่ว่า เลือกตั้งจะเลือกใครดีอ่ะ? :lol: :lol: :lol:
-
- Verified User
- โพสต์: 78
- ผู้ติดตาม: 0
ใช้ DSM กับ VI นับเป็นการทรยศต่อสำนักหรือไม่
โพสต์ที่ 72
ต้องขอบคุณพี่ CK ที่พยายามอย่างยิ่งที่นำวิธีวิธีการนี้มาเผยแพร่ที่นี่ ซึ่งผมเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง หากแต่ธรรมชาติของ DSM เองที่ไม่สามารถจัดเป็น technical ได้เต็มร้อยและแน่นอนว่าก็ไม่ได้เป็น value หรือ fundamental เต็มร้อย ดังนั้นการทำใจที่จะยอมรับนั้นก็มีข้อจำกัด ซึ่งมิใช่แต่ใน TVI เท่านั้น แม้แต่ในพันทิพย์ ก็เช่นเดียวกัน จนต้องแยกออกไปเพื่อความเป็นเอกเทศสำหรับผู้ที่สนใจจริงๆ ในทัศนะของผม ศาสตร์นี้ น่าจะเป็นแขนงหนึ่งอง technical ซึ่งเรียกว่า money management strategies หรือ trading system แบบหนึ่ง ที่ผมจัดอยู่ในพวกนี้ก็เนื่องจากแนวคิดนี้ มิได้คำนึงถึง value แต่หากมุ่งไปที่ Price เป็นหลักในการตัดสินใจ ข้อดีนั้นสามารถหาอ่านจากข้างบนได้ครับ
ข้อจำกัดที่ควรคำนึงถึง
1. Risk management เพราะเนื่องจากการไม่สนใจในพื้นฐานการสูญเสีย จากการล้มละลายของหุ้นเพราะถึงจะมีหุ้นมากมายมหาศาล ก็ไม่มีประโยชน์อันใด ซึ่งข้อนี้ VI ได้เปรียบอย่างมาก
2. วิธีนี้การปรับ port จะต้องทำอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้ได้กระแสเงินสดแฝง
3. การกระจายการลงทุนจำเป็นต้องมี ยิ่งมากก็ยิ่งดี เหตุผลก็จากข้อแรก อันนี้ขัดแย้งกับหลักการของ VI ชัดเจน ที่การไม่ถือหุ้นไม่ดี (แต่อาจจะดีในแง่มีความผันผวนสูงให้กระแสเงินสดแฝงเยอะ)
4.นอกจากนี้การลงทุนในหุ้นหลายตัวจะทำให้มีโอกาสมาก ในการจะได้ประโยชน์จากส่วนต่างราคามากกว่าจากมูลค่าที่แท้จริงของหุ้น อันนี้ก็ชัดเจนว่าแตกต่าง
5.การนำ DSM จะต้องทำอย่างต่อเนื่องทำแล้วห้ามเลิกใน(กรณีที่หุ้นตก) และการลงทุนจะเป็นไปอย่างต่อเนื่องและใช้เวลา มีระบบบัญชีบันทึกการซื้อขาย รวมไปถึงการจัดการกระแสเงินสดแฝงที่จะถูกนำไปลงทุนต่อและหักออกไปจากการลงทุน ต้องมีวินัยมาก อันนี้ VI น่าจะคุ้นเคย
6. DSM นอกจากจะไม่มีพื้นฐาน แล้วยังไม่สนใจ story อีกด้วยชีวิตอาจจะขาดสีสันไปบ้างเหมือนกัน
7.เหมือนกับคนใช้งาน trading system โดยทั่วไปครับ ก็มี ตกรถ(ซื้อคืนไม่ทัน) ขายหมู และติดดอย(เดาตลาด,โลภ,ใจร้อน etc.) ไม่มีความสุขทุกคนหรอกครับ หากละเมิดกฎ แต่ถ้าทำตามกฎได้ก็มีความสุข (ได้กระแสเงินสดแฝง) ระบบอื่นก็อาจจะเรียกกำไร
8. คนใช้ก็ไม่ได้มีอิสระภาพอย่างแท้จริง ยังคงต้องติดตามราคา วางแผน และทำบัญชี อยู่ในระดับวัน อยู่ดี และต้องใช้เวลาระดับปีจึงจะเห็นหนทางไปสู่อิสรภาพที่ว่า การอดทนจะต้องมีอย่างสูง ระบบนี้จะใช้ได้ดีหากระบบการ trade สามารถตั้งขายตั้งซื้อได้
9. ระบบ dsm มี criteria ยิ่งลงยิ่งขาย อาจจะก่อให้เกิด black monday รวมไปถึงการเกิดฟองสบุ่ในระบบ brokerage industry เนื่องจากความถี่บ่อยในการซื้อขาย
หากคิดออกจะนำมาเสนออีก ลองนำไปไตร่ตรองให้รอบคอบเพราะอันตรายมากทีเดียวหากไม่เข้าใจแล้วนำไปใช้
ข้อจำกัดที่ควรคำนึงถึง
1. Risk management เพราะเนื่องจากการไม่สนใจในพื้นฐานการสูญเสีย จากการล้มละลายของหุ้นเพราะถึงจะมีหุ้นมากมายมหาศาล ก็ไม่มีประโยชน์อันใด ซึ่งข้อนี้ VI ได้เปรียบอย่างมาก
2. วิธีนี้การปรับ port จะต้องทำอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้ได้กระแสเงินสดแฝง
3. การกระจายการลงทุนจำเป็นต้องมี ยิ่งมากก็ยิ่งดี เหตุผลก็จากข้อแรก อันนี้ขัดแย้งกับหลักการของ VI ชัดเจน ที่การไม่ถือหุ้นไม่ดี (แต่อาจจะดีในแง่มีความผันผวนสูงให้กระแสเงินสดแฝงเยอะ)
4.นอกจากนี้การลงทุนในหุ้นหลายตัวจะทำให้มีโอกาสมาก ในการจะได้ประโยชน์จากส่วนต่างราคามากกว่าจากมูลค่าที่แท้จริงของหุ้น อันนี้ก็ชัดเจนว่าแตกต่าง
5.การนำ DSM จะต้องทำอย่างต่อเนื่องทำแล้วห้ามเลิกใน(กรณีที่หุ้นตก) และการลงทุนจะเป็นไปอย่างต่อเนื่องและใช้เวลา มีระบบบัญชีบันทึกการซื้อขาย รวมไปถึงการจัดการกระแสเงินสดแฝงที่จะถูกนำไปลงทุนต่อและหักออกไปจากการลงทุน ต้องมีวินัยมาก อันนี้ VI น่าจะคุ้นเคย
6. DSM นอกจากจะไม่มีพื้นฐาน แล้วยังไม่สนใจ story อีกด้วยชีวิตอาจจะขาดสีสันไปบ้างเหมือนกัน
7.เหมือนกับคนใช้งาน trading system โดยทั่วไปครับ ก็มี ตกรถ(ซื้อคืนไม่ทัน) ขายหมู และติดดอย(เดาตลาด,โลภ,ใจร้อน etc.) ไม่มีความสุขทุกคนหรอกครับ หากละเมิดกฎ แต่ถ้าทำตามกฎได้ก็มีความสุข (ได้กระแสเงินสดแฝง) ระบบอื่นก็อาจจะเรียกกำไร
8. คนใช้ก็ไม่ได้มีอิสระภาพอย่างแท้จริง ยังคงต้องติดตามราคา วางแผน และทำบัญชี อยู่ในระดับวัน อยู่ดี และต้องใช้เวลาระดับปีจึงจะเห็นหนทางไปสู่อิสรภาพที่ว่า การอดทนจะต้องมีอย่างสูง ระบบนี้จะใช้ได้ดีหากระบบการ trade สามารถตั้งขายตั้งซื้อได้
9. ระบบ dsm มี criteria ยิ่งลงยิ่งขาย อาจจะก่อให้เกิด black monday รวมไปถึงการเกิดฟองสบุ่ในระบบ brokerage industry เนื่องจากความถี่บ่อยในการซื้อขาย
หากคิดออกจะนำมาเสนออีก ลองนำไปไตร่ตรองให้รอบคอบเพราะอันตรายมากทีเดียวหากไม่เข้าใจแล้วนำไปใช้
-
- Verified User
- โพสต์: 1435
- ผู้ติดตาม: 0
ใช้ DSM กับ VI นับเป็นการทรยศต่อสำนักหรือไม่
โพสต์ที่ 73
ผมยังไม่เข้าใจอยู่ดีครับ ว่า เพิ่มจำนวนหุ้นให้มากๆ ไม่ต้องสนใจกิจการว่าดีจริงหรือไม่ในระยะยาว ไม่สนใจปันผล แถมเล่นหุ้นจำนวนมากตัว แล้ว ถ้าเกิดที่เราเลือกหุ้น swing ด้านราคามากๆ เพื่อได้กระแสเงินสดแฝงมากๆ แล้ว สมมติว่า เราเลือกหุ้นไม่ดี 80-90 เปอร์เซ็นต์ของพอร์ต แล้ว เราจะได้อะไรเป็นผลตอบแทนล่ะครับ ปันผลก็ไม่ได้ หุ้นก็มีที่เน่าบ้าง ดีบ้างคละกันไปต.หยวนเปียว เขียน: แต่พอสันนิษฐานได้ว่า
50ตัวจริง ไม่ใช่SET 50ทั้งหมด
SET50 30ตัว หุ้นเคลื่อนไหวเร็วอีก 20ตัว เช่น THLเป็นต้น
ที่ผมเชื่อเพราะว่าแกชี้แนะผมอยู่ช่วงหนึ่ง
จนผมทำเองถึงรู้ว่าควรมีหุ้นมากตัว
ไม่จำเป็นต้องมีปันผล
ปันผลเป็นโบนัส เมื่อถึงปันผลมีหุ้นอยู่เท่าไหร่ได้เท่านั้น
แต่อีกหน่อยได้หุ้นมากพอ เลิกทำ ก็รอรับปันผล
กล่าวคือ
ตัวแกมีหน้าที่เพิ่มหุ้น แล้วหุ้นก็ทำงานหนัก
แล้วที่บอกว่า ซื้อเฉพาะหุ้นที่อยากเป็นเจ้าของกิจการ มันตั้ง50ตัว ช่วยอธิบายให้ผมเข้าใจด้วยครับ เพราะ สนใจเหมือนกัน
แล้วใครทำแล้วได้ผลดีบ้าง ช่วยยกตัวอย่างจริงได้หรือไม่ครับ
กฎข้อที่1 อย่ายอมขาดทุน กฎข้อที่2 กลับไปดูกฎข้อที่ 1
- house
- Verified User
- โพสต์: 683
- ผู้ติดตาม: 0
ใช้ DSM กับ VI นับเป็นการทรยศต่อสำนักหรือไม่
โพสต์ที่ 74
ผมเข้าใจว่านีเป็นวิธีการแก้ไขจุดอ่อนของระบบ DSM เองครับ เนื่องจาก การไม่สนใจพื้นฐาน ทำให้มีความเสี่ยงในกรณี บ ล้มละลายจึงชดเชยโดยการถือหุ้นเป็นจำนวนมาก
ลักษณะนี้น่าจะคล้ายกับการลงทุนแบบดั้งเดิมของเกรแฮมที่ถือ หุ้นเกรด B ที่ซื้อในราคาถูก จำนวนมาก เพื่อชดเชยความเสี่ยงทางด้านคุณภาพ เกรแฮมอาศัยการวิเคราะห์งบเพื่อให้ได้ของถูก ส่วน DSM อาศัยระบบ ในการลดต้นทุนหุ้น ทำให้ได้หุ้นที่ถูก เช่นกัน
และเนื่องจากเน้นสะสมหุ้น ก็เลยไม่ค่อยได้สนใจปันผลเท่าไหร่มั้งครับ
ลักษณะนี้น่าจะคล้ายกับการลงทุนแบบดั้งเดิมของเกรแฮมที่ถือ หุ้นเกรด B ที่ซื้อในราคาถูก จำนวนมาก เพื่อชดเชยความเสี่ยงทางด้านคุณภาพ เกรแฮมอาศัยการวิเคราะห์งบเพื่อให้ได้ของถูก ส่วน DSM อาศัยระบบ ในการลดต้นทุนหุ้น ทำให้ได้หุ้นที่ถูก เช่นกัน
และเนื่องจากเน้นสะสมหุ้น ก็เลยไม่ค่อยได้สนใจปันผลเท่าไหร่มั้งครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 1608
- ผู้ติดตาม: 0
ใช้ DSM กับ VI นับเป็นการทรยศต่อสำนักหรือไม่
โพสต์ที่ 75
ตายแล้ว ไอ้เราก็นึกว่าตัว S คงย่อจาก stock หรือ share เห็นพูด ๆ กันในสินธรว่า DSM DSM ไม่คิดว่าจะเป็นคำไทย :lol: :lol: :lol:CK เขียน:Den-Sri Method ครับ บัญญัติโดยเฮียคลายเครียด
แต่ตอนหลังบรรดาศิษย์แปลงคำย่อใหม่ ผมจำไม่ได้ว่าอะไร
มนุษย์เห่อลูก :lol:
http://tyakon.multiply.com
http://tyakon.multiply.com
-
- Verified User
- โพสต์: 1688
- ผู้ติดตาม: 0
ใช้ DSM กับ VI นับเป็นการทรยศต่อสำนักหรือไม่
โพสต์ที่ 76
ในเบื้องต้นForrestGump เขียน: ผมยังไม่เข้าใจอยู่ดีครับ ว่า เพิ่มจำนวนหุ้นให้มากๆ ไม่ต้องสนใจกิจการว่าดีจริงหรือไม่ในระยะยาว ไม่สนใจปันผล แถมเล่นหุ้นจำนวนมากตัว แล้ว ถ้าเกิดที่เราเลือกหุ้น swing ด้านราคามากๆ เพื่อได้กระแสเงินสดแฝงมากๆ แล้ว สมมติว่า เราเลือกหุ้นไม่ดี 80-90 เปอร์เซ็นต์ของพอร์ต แล้ว เราจะได้อะไรเป็นผลตอบแทนล่ะครับ ปันผลก็ไม่ได้ หุ้นก็มีที่เน่าบ้าง ดีบ้างคละกันไป
แล้วที่บอกว่า ซื้อเฉพาะหุ้นที่อยากเป็นเจ้าของกิจการ มันตั้ง50ตัว ช่วยอธิบายให้ผมเข้าใจด้วยครับ เพราะ สนใจเหมือนกัน
แล้วใครทำแล้วได้ผลดีบ้าง ช่วยยกตัวอย่างจริงได้หรือไม่ครับ
เราไม่มีรายได้อื่นๆ มาซื้อหุ้นเพื่อให้มีจำนวนหุ้นมากพอ
ที่จะให้เงินปันผลมากเพียงพอกับเรา
ดังนั้นเหมือนการหมัก(fermentation)
ระยะแรกไม่สนผลผลิต(เงินปันผล)
มุ่งแต่เพิ่มจำนวนเชื้อจุลินทรีย์ (เพิ่มจำนวนหุ้น)
ระยะต่อไปเราเลือกได้ที่ไม่ต้องมาเฝ้าจอ
ไม่จำเป็นต้องเพิ่มหุ้นอย่างรวดเร็ว
เงินปันผลก็พอใช้จ่ายแล้ว
หุ้นดีๆบางตัวใน50ตัวเท่านั้นที่เลือกแล้วว่าจะถือยาว
ซึ่งการถือหุ้นที่ทั่วไปว่าดี (SET50) จำนวนมาก
ในระยะแรกนี้ จำเป็นอย่างยิ่ง
ซึ่งความลับนี้
ผมพยายามให้คุณเด่นศรี อธิบาย
ยังไงๆ ก็ไม่บอกตรงๆ พยายามให้ผมคิดเอง
เพราะถ้าคิด หรือปฏิบัติได้เอง จะไม่มีวันลืมและจะไม่
เกิดผลเสียหายจากการขาดความเข้าใจแล้วนำไปปฏิบัติ
นี่ผมก็บอกมากกว่าที่คุณเด่นศรีชี้แนะผมแล้ว
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 9795
- ผู้ติดตาม: 0
ใช้ DSM กับ VI นับเป็นการทรยศต่อสำนักหรือไม่
โพสต์ที่ 77
เรื่องหุ้น 50 ตัวนั้น คุณเด่นศรีเคยพูดทำนองว่า เล่นหุ้นหวือหวาแต่พื้นฐานไม่ค่อยดี
เพื่อเอาเงินสดแฝงไปซื้อหุ้นที่ไม่หวือหวา แต่พื้นฐานดีๆ ผมรู้มาแค่นี้ครับ แต่เอาไป
คิดต่อได้เยอะ
คุณ utto ตีตรงประเด็นหลายจุดครับ และอย่างที่คุณต.หยวนเปียวบอกไว้ว่า
คุณเด่นศรีเองก็ไม่ได้บอกวิธีการ "อย่างละเอียด" แต่เน้นไอเดียและให้ลองไป
สร้างระบบบัญชีและลองเทรดเอง จะได้เรียนรู้หลายอย่าง
ประเด็นที่สำคัญคือ "ระบบ" ครับ วิธีของคุณเด่นศรี ถ้าตลาดอนุญาตให้ต่อ
คอมฯของลูกค้าเข้ากับระบบของตลาดโดยตรง จะไม่เฝ้าจอเลยก็ได้ครับ
คีย์ criteria ในการซื้อขายไว้ตั้งแต่ตอนสิ้นวันแต่ละวัน พอตลาดเปิด ก็ดำเนินการ
ซื้อขายไปตาม criteria ที่ตั้งไว้
ผมได้ศึกษาและทดลองวิธีการลงทุนทั้งหมด 4 วิธีในสองปี พบว่า DSM เหมาะ
สำหรับรายย่อยที่ไร้อาวุธมากที่สุดครับ เป็นวิธีการจำกัดความเสี่ยงอย่างเป็นรูปธรรม
สำหรับคนที่ไม่สามารถหา "มูลค่าที่แท้จริง" ของกิจการ ไม่รู้ว่าราคาไหนควรซื้อ
ควรขาย ไม่สบายใจเวลาหุ้นตก กังวลใจเวลาหุ้นขึ้น
วิธีนี้ไม่เหมาะกับทุกคน และไม่เหมาะกับผมด้วย แต่เป็นวิธีที่ดีอย่างไม่ต้องสงสัย
ผมศึกษาการลงทุน 4 วิธีที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิงในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา พอจะบอก
ได้เลยครับว่าวิธีนี้ใช้ "พรสวรรค์" น้อยที่สุด ใช้ "ความอดทน" มากที่สุด (มากกว่า
VI เสียอีก) แต่เป็นวิธีที่สร้างผลตอบแทนได้แน่นอน และไม่เครียดถ้าคุณสามารถ
ทำตามระบบอย่างเป็นรูปธรรม
สำหรับนักลงทุนมือใหม่หลายคนที่คิดว่า VI เป็นคำตอบสุดท้าย มันไม่ง่ายขนาดนั้น
หรอกครับ
บทเรียนความสำเร็จของคุณฉัตรชัยและคุณวิบูลย์ อาจจะทำให้นักลงทุนมือใหม่
อยากแสวงหา "หุ้นตัวเดียว" และ "ถือมันให้เต็มปอด" และรอเวลาเก็บเกี่ยว
แต่หุ้นตัวเดียวอาจจะกลายเป็นจุดจบของเงินเก็บทั้งหมดของคุณก็ได้ ถ้าคุณไม่
เข้าใจความเสี่ยง
ถามจริงๆ ว่าตัวเองมีความสามารถอ่านงบกระแสเงินสดขาดแบบคุณฉัตรชัยหรือไม่
มีความสามารถในการศึกษา DCA ของกิจการอย่างลึกซึ้ง (ขนาดสามารถบริหาร
บริษัทได้เองเลย) ระดับคุณวิบูลย์หรือเปล่า หรือสามารถหาก้นบุหรี่ได้เก่งกาจเท่า
คุณมนตรีหรือไม่
ผมคิดว่า ในประเทศไทยเอง มีน้อยคนที่ทำได้ระดับนี้
ถ้ามีเวลา ผมจะสรุปผลการศึกษาและทดลองวิธีการลงทุนทั้งสี่แบบไว้สำหรับคน
ที่ชอบศึกษาอะไรใหม่ๆ นะครับ
เพื่อเอาเงินสดแฝงไปซื้อหุ้นที่ไม่หวือหวา แต่พื้นฐานดีๆ ผมรู้มาแค่นี้ครับ แต่เอาไป
คิดต่อได้เยอะ
คุณ utto ตีตรงประเด็นหลายจุดครับ และอย่างที่คุณต.หยวนเปียวบอกไว้ว่า
คุณเด่นศรีเองก็ไม่ได้บอกวิธีการ "อย่างละเอียด" แต่เน้นไอเดียและให้ลองไป
สร้างระบบบัญชีและลองเทรดเอง จะได้เรียนรู้หลายอย่าง
ประเด็นที่สำคัญคือ "ระบบ" ครับ วิธีของคุณเด่นศรี ถ้าตลาดอนุญาตให้ต่อ
คอมฯของลูกค้าเข้ากับระบบของตลาดโดยตรง จะไม่เฝ้าจอเลยก็ได้ครับ
คีย์ criteria ในการซื้อขายไว้ตั้งแต่ตอนสิ้นวันแต่ละวัน พอตลาดเปิด ก็ดำเนินการ
ซื้อขายไปตาม criteria ที่ตั้งไว้
ผมได้ศึกษาและทดลองวิธีการลงทุนทั้งหมด 4 วิธีในสองปี พบว่า DSM เหมาะ
สำหรับรายย่อยที่ไร้อาวุธมากที่สุดครับ เป็นวิธีการจำกัดความเสี่ยงอย่างเป็นรูปธรรม
สำหรับคนที่ไม่สามารถหา "มูลค่าที่แท้จริง" ของกิจการ ไม่รู้ว่าราคาไหนควรซื้อ
ควรขาย ไม่สบายใจเวลาหุ้นตก กังวลใจเวลาหุ้นขึ้น
วิธีนี้ไม่เหมาะกับทุกคน และไม่เหมาะกับผมด้วย แต่เป็นวิธีที่ดีอย่างไม่ต้องสงสัย
ผมศึกษาการลงทุน 4 วิธีที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิงในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา พอจะบอก
ได้เลยครับว่าวิธีนี้ใช้ "พรสวรรค์" น้อยที่สุด ใช้ "ความอดทน" มากที่สุด (มากกว่า
VI เสียอีก) แต่เป็นวิธีที่สร้างผลตอบแทนได้แน่นอน และไม่เครียดถ้าคุณสามารถ
ทำตามระบบอย่างเป็นรูปธรรม
สำหรับนักลงทุนมือใหม่หลายคนที่คิดว่า VI เป็นคำตอบสุดท้าย มันไม่ง่ายขนาดนั้น
หรอกครับ
บทเรียนความสำเร็จของคุณฉัตรชัยและคุณวิบูลย์ อาจจะทำให้นักลงทุนมือใหม่
อยากแสวงหา "หุ้นตัวเดียว" และ "ถือมันให้เต็มปอด" และรอเวลาเก็บเกี่ยว
แต่หุ้นตัวเดียวอาจจะกลายเป็นจุดจบของเงินเก็บทั้งหมดของคุณก็ได้ ถ้าคุณไม่
เข้าใจความเสี่ยง
ถามจริงๆ ว่าตัวเองมีความสามารถอ่านงบกระแสเงินสดขาดแบบคุณฉัตรชัยหรือไม่
มีความสามารถในการศึกษา DCA ของกิจการอย่างลึกซึ้ง (ขนาดสามารถบริหาร
บริษัทได้เองเลย) ระดับคุณวิบูลย์หรือเปล่า หรือสามารถหาก้นบุหรี่ได้เก่งกาจเท่า
คุณมนตรีหรือไม่
ผมคิดว่า ในประเทศไทยเอง มีน้อยคนที่ทำได้ระดับนี้
ถ้ามีเวลา ผมจะสรุปผลการศึกษาและทดลองวิธีการลงทุนทั้งสี่แบบไว้สำหรับคน
ที่ชอบศึกษาอะไรใหม่ๆ นะครับ
- moo
- Verified User
- โพสต์: 1150
- ผู้ติดตาม: 0
ใช้ DSM กับ VI นับเป็นการทรยศต่อสำนักหรือไม่
โพสต์ที่ 78
ขอบคุณพี่ CK มากครับ
รออ่านผลการศึกษาการลงทุน 4 วิธีของพี่อย่างใจจดใจจ่อครับ
จากความที่คิดว่าไม่ค่อยเหมาะกับตัวเอง สำหรับ DSM ครับ
อ่านและคิดมาตั้งแต่คุณเด่นศรีโพสแนะนำไว้ที่พันทิพตั้งแต่แรกๆแล้ว
แต่เนื่องจากต้องทำการค้าทั้งวัน บางวันแทบไม่ได้ดูหุ้นด้วยซ้ำไป
สรุป ไม่มีเวลาเฝ้าหน้าจอครับ
รออ่านผลการศึกษาการลงทุน 4 วิธีของพี่อย่างใจจดใจจ่อครับ
จากความที่คิดว่าไม่ค่อยเหมาะกับตัวเอง สำหรับ DSM ครับ
อ่านและคิดมาตั้งแต่คุณเด่นศรีโพสแนะนำไว้ที่พันทิพตั้งแต่แรกๆแล้ว
แต่เนื่องจากต้องทำการค้าทั้งวัน บางวันแทบไม่ได้ดูหุ้นด้วยซ้ำไป
สรุป ไม่มีเวลาเฝ้าหน้าจอครับ
- house
- Verified User
- โพสต์: 683
- ผู้ติดตาม: 0
ใช้ DSM กับ VI นับเป็นการทรยศต่อสำนักหรือไม่
โพสต์ที่ 79
ฮ่าๆๆ ผมมั่นใจมากครับว่า "ไม่มี" ซักอย่างเดียว เรื่องถือหุ้นตัวเดียวในพอร์ตไม่เคยคิดเลยครับ ผมเข้าใจขีดจำกัดความสามารถตัวเองดีถามจริงๆ ว่าตัวเองมีความสามารถอ่านงบกระแสเงินสดขาดแบบคุณฉัตรชัยหรือไม่
มีความสามารถในการศึกษา DCA ของกิจการอย่างลึกซึ้ง (ขนาดสามารถบริหาร
บริษัทได้เองเลย) ระดับคุณวิบูลย์หรือเปล่า หรือสามารถหาก้นบุหรี่ได้เก่งกาจเท่า
คุณมนตรีหรือไม่
ที่ผมรู้คือ ผมต้อง "พัฒนา" อีกเยอะ "เรียนรู้" อีกเยอะ และหนทางยัง "ยาวไกล" ครับ
แต่ผมไม่เหมาะกับ DSM ครับ ไม่ว่างเฝ้าหน้าจอ
หลังจากอ่านในหลายๆเว็ป หลายๆกระทู้สิ่งที่ผมสรุปได้คือ
1. สิ่งที่เหมาะกับคนหนึ่งอาจไม่เหมาะกับคนอื่น
2. ศัตรูที่อันตรายที่สุดคือตัวเอง
3. ยอมน้ำลายหก ดีกว่าน้ำตาตก
4. สิ่งสำคัญที่สุด ในหลายปีถัดจากนี้ไปคือพัฒนาตัวเอง
ข้อสุดท้ายนี้จะรุนแรงเป็นพิเศษเวลา อ่านข้อมูลวิเคราะห์ของ พี่ๆ หลายๆคน จะเกิดอาการประมาณว่า "อีกกี่ปีจะทำได้ยังงี้เนี่ย" แล้วก็เอาหนังสือคุณเว็ปมา อ่านๆๆ เข้าไปแก้เจ็บใจที่มันไม่ยอมเก่งซักที
ทำให้เต็มที่ เพื่อจะไม่เสียใจภายหลัง
-
- Verified User
- โพสต์: 2513
- ผู้ติดตาม: 0
ใช้ DSM กับ VI นับเป็นการทรยศต่อสำนักหรือไม่
โพสต์ที่ 80
ถ้าจะมีหุ้นตัวเดียวในพอร์ต ผมจะต้องเป็นกรรมการในบริษัทนั้นครับ
ที่เปรียบว่าเอาไข่ทุกใบใส่ในตระกร้าแล้วดูแลให้ดีที่สุด ไม่ใช่แค่ติดตามข่าว
และดูงบการเงิน
แน่นอน ผมคาดหวังการมีส่วนร่วมในการดำเนินงานด้วยครับ
ที่เปรียบว่าเอาไข่ทุกใบใส่ในตระกร้าแล้วดูแลให้ดีที่สุด ไม่ใช่แค่ติดตามข่าว
และดูงบการเงิน
แน่นอน ผมคาดหวังการมีส่วนร่วมในการดำเนินงานด้วยครับ
เสรีภาพก็เหมือนอากาศที่เราไม่อาจมองเห็นด้วยตา แต่จะรู้สึกได้ในทันทีหากมีมันอยู่เบาบางหรือขาดหายไป
-จีรนุช เปรมชัยพร
-จีรนุช เปรมชัยพร
-
- Verified User
- โพสต์: 213
- ผู้ติดตาม: 0
ใช้ DSM กับ VI นับเป็นการทรยศต่อสำนักหรือไม่
โพสต์ที่ 81
ยังงงอยู่ครับ
สมมติซื้อ ที่ 20 บาท
ขายที่ 19.70, 19.40, 19.10
แล้วดันขึ้นไปที่ 20 บาท
แล้วไม่ขึ้นไม่ลงอีก จะทำยังไง ดีครับ
แล้วถ้าไปที่ 20 บาท แล้วลงมาต่ำกว่า 19.10 ก็ซื้อคืนสามช่องที่แล้วถูกมั้ยครับ
สมมติซื้อ ที่ 20 บาท
ขายที่ 19.70, 19.40, 19.10
แล้วดันขึ้นไปที่ 20 บาท
แล้วไม่ขึ้นไม่ลงอีก จะทำยังไง ดีครับ
แล้วถ้าไปที่ 20 บาท แล้วลงมาต่ำกว่า 19.10 ก็ซื้อคืนสามช่องที่แล้วถูกมั้ยครับ
to be the best professional golfer.
- saun
- Verified User
- โพสต์: 27
- ผู้ติดตาม: 0
ใช้ DSM กับ VI นับเป็นการทรยศต่อสำนักหรือไม่
โพสต์ที่ 83
หลักการนี้เป็นแบบ FSFB (First Sell First Buy) ถูกต้องไหมครับ คือการจับคู่หว่างการขายครั้งแรกกับการซื้อครั้งแรกก่อน และไล่เรียงลำดับไปเป็นคู่ๆ
อาจจะไม่สามารถซื้อในราคาที่ต่ำกว่าราคาขายต่ำสุด แต่ผลเฉลี่ยรวมจะมา cover ที่ติดไว้เอง
อาจจะไม่สามารถซื้อในราคาที่ต่ำกว่าราคาขายต่ำสุด แต่ผลเฉลี่ยรวมจะมา cover ที่ติดไว้เอง
" ซ็อน " ครับผม!..
-
- Verified User
- โพสต์: 20
- ผู้ติดตาม: 0
ใช้ DSM กับ VI นับเป็นการทรยศต่อสำนักหรือไม่
โพสต์ที่ 84
เอาแบบง่ายๆนะครับ คือJoJotaro เขียน:ยังงงอยู่ครับ
สมมติซื้อ ที่ 20 บาท
ขายที่ 19.70, 19.40, 19.10
แล้วดันขึ้นไปที่ 20 บาท
แล้วไม่ขึ้นไม่ลงอีก จะทำยังไง ดีครับ
แล้วถ้าไปที่ 20 บาท แล้วลงมาต่ำกว่า 19.10 ก็ซื้อคืนสามช่องที่แล้วถูกมั้ยครับ
ต้องกำหนดจุดซื้อคืนไว้ก่อนครับ เช่น ซื้อคืนเมื่อขึ้นจากจุดต่ำสุด 3 ช่อง
ในกรณีนี้ ต่ำสุด 19.10 ขึ้นมา 19.40 ก้อซิ้อคืนที่ได้ 1 ไม้ที่ขายไป 19.70
จากนั้นไม่ต่ำกว่า 19.10 ก็ไม่ต้องขายครับ และกำหนดจุดล็อคขายใหม่ให้ห่าง
จาก 19.40 มาสัก 10-15 ช่อง เพื่อให้เลยช่วง sideway ครับ ถ้าลงมา 2-3 ช่องก็เริ่มปล่อยอีก 10% ของหุ้นที่เหลือในมือ
แนะนำว่าถ้าอยากจะใช้ ต้องมาอ่านกระทู้ในคลับในหมดก่อนครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 2266
- ผู้ติดตาม: 0
ใช้ DSM กับ VI นับเป็นการทรยศต่อสำนักหรือไม่
โพสต์ที่ 86
dsm เป็นวิธีที่ต้องใช้เวลาครับ
แล้วผลจะเห็นเองเมื่อเวลาผ่านไป
หุ้นที่มีการสวิงเยอะๆ จะเหมาะกับ dsm มาก
จริงๆ นโยบายมีอย่างเดียวครับ
คุณ ck พูดบ่อยๆ
อย่าขายขาดทุน
แล้วผลจะเห็นเองเมื่อเวลาผ่านไป
หุ้นที่มีการสวิงเยอะๆ จะเหมาะกับ dsm มาก
จริงๆ นโยบายมีอย่างเดียวครับ
คุณ ck พูดบ่อยๆ
อย่าขายขาดทุน
การลงทุนคือความเสี่ยง
แต่ความเสี่ยงสูงคือ ไม่รุ้ว่าอะไรคือจุดชี้เป็นชี้ตายของบริษัท
ความเสียงสุงที่สุด คือ ไม่รู้ว่าเลยว่าตัวเองทำอะไรอยู่
แต่ความเสี่ยงสูงคือ ไม่รุ้ว่าอะไรคือจุดชี้เป็นชี้ตายของบริษัท
ความเสียงสุงที่สุด คือ ไม่รู้ว่าเลยว่าตัวเองทำอะไรอยู่
-
- Verified User
- โพสต์: 1150
- ผู้ติดตาม: 0
ใช้ DSM กับ VI นับเป็นการทรยศต่อสำนักหรือไม่
โพสต์ที่ 88
มันขึ้นอยู่กับว่าเราเข้าใจสิ่งที่คุณเด่นศรีบอกแค่ไหนและอดทนแค่ไหน
ไม่ได้วัดผลกันแค่วัน 2 วัน ผมก็ได้ลองดูแล้วถือว่า OK ทีเดียว เมื่อก่อน
เวลาจะซื้อหุ้นผมจะค่อยๆซื้อ (เชื่อว่าหลายคนก็เป็น) เวลาขึ้นไม่กล้าซื้อเพิ่ม
ได้กำไรนิดหน่อยเพราะซื้อน้อย แต่พอลงก็ซื้อเฉลี่ยไปเรื่อยๆจนกลัวไม่กล้าซื้อเฉลี่ยต่อมันลงไปพอมันวนกลับเราก็มักจะขายตอนขาดทุนน้อยๆ หรือ กำไรนิดหน่อย (หลายคนคงคุ้นเคย) พอใช้วิธีคุณเด่นศรีคือซื้อทีเดียวเยอะๆเลยแล้วตั้งขายตามสูตร ตอนแล้วก็ฝืนใจเหมือนกันว่าเพิ่งซื้อมาลงแค่ 2 ช่องดันขายซะแล้ว เช่น ผมซื้อ CENTEL 16 บาท 40,000 หุ้น พอมันลงมา 15.8 ก็ขายไป 4,000 หุ้น แรกๆก็เอะเราทำอะไรนี่ แต่มันกลับวิ่งต่อไป 20 บาทก็ขายไปตามสูตร ถึงได้เข้าใจว่า เราอาจขายไป 1 ส่วน แต่ถ้าหุ้นมันกลับมาขึ้น
เราก็ยังได้ 9 ส่วน ทีเป็นปริมาณมากกว่าที่เราจะซื้อทีละน้อยๆ แล้วก็อย่างที่พี่ CK บอกนั่นแหละคือผมรู้ว่ามันหุ้นดี แต่ก็ไม่รู้ว่าราคาจริงๆมันควรเป็นเท่าไร
วิธีนี้ทำให้เราขายไปบ้าง จริงๆแล้วผมก็ยังทำไม่ได้ตามคุณ เด่นศรี เป๊ะๆ แต่ก็รุ้สึกว่าถ้า 3 เดือนที่ผ่านมาผมทำตามวิธีการจริงๆแล้วผมคงได้กำไรมากกว่านี้เยอะ
ไม่ได้วัดผลกันแค่วัน 2 วัน ผมก็ได้ลองดูแล้วถือว่า OK ทีเดียว เมื่อก่อน
เวลาจะซื้อหุ้นผมจะค่อยๆซื้อ (เชื่อว่าหลายคนก็เป็น) เวลาขึ้นไม่กล้าซื้อเพิ่ม
ได้กำไรนิดหน่อยเพราะซื้อน้อย แต่พอลงก็ซื้อเฉลี่ยไปเรื่อยๆจนกลัวไม่กล้าซื้อเฉลี่ยต่อมันลงไปพอมันวนกลับเราก็มักจะขายตอนขาดทุนน้อยๆ หรือ กำไรนิดหน่อย (หลายคนคงคุ้นเคย) พอใช้วิธีคุณเด่นศรีคือซื้อทีเดียวเยอะๆเลยแล้วตั้งขายตามสูตร ตอนแล้วก็ฝืนใจเหมือนกันว่าเพิ่งซื้อมาลงแค่ 2 ช่องดันขายซะแล้ว เช่น ผมซื้อ CENTEL 16 บาท 40,000 หุ้น พอมันลงมา 15.8 ก็ขายไป 4,000 หุ้น แรกๆก็เอะเราทำอะไรนี่ แต่มันกลับวิ่งต่อไป 20 บาทก็ขายไปตามสูตร ถึงได้เข้าใจว่า เราอาจขายไป 1 ส่วน แต่ถ้าหุ้นมันกลับมาขึ้น
เราก็ยังได้ 9 ส่วน ทีเป็นปริมาณมากกว่าที่เราจะซื้อทีละน้อยๆ แล้วก็อย่างที่พี่ CK บอกนั่นแหละคือผมรู้ว่ามันหุ้นดี แต่ก็ไม่รู้ว่าราคาจริงๆมันควรเป็นเท่าไร
วิธีนี้ทำให้เราขายไปบ้าง จริงๆแล้วผมก็ยังทำไม่ได้ตามคุณ เด่นศรี เป๊ะๆ แต่ก็รุ้สึกว่าถ้า 3 เดือนที่ผ่านมาผมทำตามวิธีการจริงๆแล้วผมคงได้กำไรมากกว่านี้เยอะ
- สามัญชน
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 5162
- ผู้ติดตาม: 0
ใช้ DSM กับ VI นับเป็นการทรยศต่อสำนักหรือไม่
โพสต์ที่ 89
:lol: :lol: :lol: :lol:
ผมคิดว่าสถานการณ์ที่เหมาะกับ DSM คือช่วงหุ้นเป็นขาลง ทำให้เราได้หุ้นมากขึ้น แต่ถ้าหุ้นเป็นขาขึ้น DSM ไม่ค่อยเหมาะ ยิ่งถ้าเราขายไปแล้วๆราคาหุ้นไม่เปิดโอกาสให้เราซื้อเพิ่ม ( บางจังหวะ ) เราก็จะเสียโอกาสไปเลย
และถึงแม้ช่วงหุ้นขาลงเองทำไมเราไม่ขาย gap บนทั้งหมด แล้วซื้อ gap ล่างทั้งหมด จะได้หุ้นมากกว่าวิธี DSM เยอะเลยหละ คำตอบของคุณเด่นศรีบอกว่า เพราะว่าเราไม่รู้ว่าหุ้นมันจะเป็นขาลงหรือขาขึ้นและที่จริงไม่ต้องสนใจหรอกเพราะเรามีวิธีรับมือทั้งขาขึ้นและขาลง
แต่ผมยังติดใจว่าในกรณีที่ เราไม่รู้ เราจะมีวิธีบริหารความไม่รู้อย่างไร ผมคิดว่าเรามีทางเลือกที่ดีๆอยู่ 2 ทางครับ
1. ยอมรับความไม่รู้และไม่ต้องแก้ไขความไม่รู้นี้ แต่ไปปรับกระบวนการอื่นที่เรารู้มาชดเชยความไม่รู้ของเรา
2. ไม่ยอมรับและพยายามหาคำตอบต่อสิ่งที่เราไม่รู้ แม้จะลำบากมากเพียงใดก็ตาม ผลลัพธ์ออกมาอาจจะได้ว่า ไม่รู้เหมือนเดิม หรือรู้มากขึ้นบ้างแม้จะไม่ทั้งหมด หรือรู้เกือบทั้งหมด
ผมชอบข้อ 2. มากกว่า เหตุผลคือ มันตรงประเด็นมากกว่าเพราะเป็นการแก้ที่ต้นเหตุ และเมื่อเราแก้ได้ มันสามารถขยายผลไปสู่สิ่งที่ดีๆ ใหม่ๆ ได้ขึ้นอีก
ยกตัวอย่าง สมัยลูกชายผมเรียนชั้น ป. 1 คุณครูสอนวิธีบวกเลข ปรากฎว่าลูกชายผมบวกเลขได้เก่งมาก ผมเลยลองภูมิเขาโดยให้เขาคูณเลขบ้าง ( ครูยังไม่สอนการคูณ ) ลูกชายผมมีทางเลือก 2 ทางเหมือนกัน
1. ไม่ต้องขวนขวายเรียนรู้วิธีการคูณ แต่ประยุกต์วิธีการบวกเอามาใช้ เช่นผมให้เขาทำโจทย์ 2546*15 = ? เขาก็เอา 2546 มาบวกกัน 15 ครั้ง ก็ได้คำตอบเหมือนกัน
2. พยายามเรียนรู้วิธีการคูณ ซึ่งแม้จะลำบากค่อนข้างมาก จะต้องไปฝึกท่องสูตรคูณให้ได้ อาจจะจำได้บ้าง ไม่ได้บ้างตามประสาเด็ก ป. 1 และสุดท้ายไปจำได้ตอน ป. 2
ผมชอบวิธีที่ 2. มากกว่า เพราะเป็นวิธีแก้ปัญหาที่ตรงประเด็นมากกว่า และใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่า ในขณะที่วิธีที่ 1. เป็นวิธีที่พอแก้ขัดได้บ้างเท่านั้นและใช้เวลานานกว่า ลองนึกภาพดูว่าถ้าโจทย์เปลี่ยนเป็นตัวคูณที่มากกว่านี้เขาต้องบวกเลขเป็นร้อยๆครั้งหรือหมื่นๆครั้ง การบวกผิดครั้งใดครั้งหนึ่งจะทำให้คำตอบผิดหมดเลย และบางปัญหาก็แก้ขัดไม่ได้เลย อย่างเช่นถ้าผมเปลี่ยนโจทย์เป็น 2546*15.13 วิธีที่ 1. จะทำไม่ได้ แต่ถ้าเขาใช้วิธีที่ 2. เขาทำได้และสามารถพัฒนาไปสู่การหารได้ ถอดสแควร์รูทได้และได้อย่างอื่นอีกมากมาย
:lol: :lol: :lol: :lol:
ผมคิดว่าสถานการณ์ที่เหมาะกับ DSM คือช่วงหุ้นเป็นขาลง ทำให้เราได้หุ้นมากขึ้น แต่ถ้าหุ้นเป็นขาขึ้น DSM ไม่ค่อยเหมาะ ยิ่งถ้าเราขายไปแล้วๆราคาหุ้นไม่เปิดโอกาสให้เราซื้อเพิ่ม ( บางจังหวะ ) เราก็จะเสียโอกาสไปเลย
และถึงแม้ช่วงหุ้นขาลงเองทำไมเราไม่ขาย gap บนทั้งหมด แล้วซื้อ gap ล่างทั้งหมด จะได้หุ้นมากกว่าวิธี DSM เยอะเลยหละ คำตอบของคุณเด่นศรีบอกว่า เพราะว่าเราไม่รู้ว่าหุ้นมันจะเป็นขาลงหรือขาขึ้นและที่จริงไม่ต้องสนใจหรอกเพราะเรามีวิธีรับมือทั้งขาขึ้นและขาลง
แต่ผมยังติดใจว่าในกรณีที่ เราไม่รู้ เราจะมีวิธีบริหารความไม่รู้อย่างไร ผมคิดว่าเรามีทางเลือกที่ดีๆอยู่ 2 ทางครับ
1. ยอมรับความไม่รู้และไม่ต้องแก้ไขความไม่รู้นี้ แต่ไปปรับกระบวนการอื่นที่เรารู้มาชดเชยความไม่รู้ของเรา
2. ไม่ยอมรับและพยายามหาคำตอบต่อสิ่งที่เราไม่รู้ แม้จะลำบากมากเพียงใดก็ตาม ผลลัพธ์ออกมาอาจจะได้ว่า ไม่รู้เหมือนเดิม หรือรู้มากขึ้นบ้างแม้จะไม่ทั้งหมด หรือรู้เกือบทั้งหมด
ผมชอบข้อ 2. มากกว่า เหตุผลคือ มันตรงประเด็นมากกว่าเพราะเป็นการแก้ที่ต้นเหตุ และเมื่อเราแก้ได้ มันสามารถขยายผลไปสู่สิ่งที่ดีๆ ใหม่ๆ ได้ขึ้นอีก
ยกตัวอย่าง สมัยลูกชายผมเรียนชั้น ป. 1 คุณครูสอนวิธีบวกเลข ปรากฎว่าลูกชายผมบวกเลขได้เก่งมาก ผมเลยลองภูมิเขาโดยให้เขาคูณเลขบ้าง ( ครูยังไม่สอนการคูณ ) ลูกชายผมมีทางเลือก 2 ทางเหมือนกัน
1. ไม่ต้องขวนขวายเรียนรู้วิธีการคูณ แต่ประยุกต์วิธีการบวกเอามาใช้ เช่นผมให้เขาทำโจทย์ 2546*15 = ? เขาก็เอา 2546 มาบวกกัน 15 ครั้ง ก็ได้คำตอบเหมือนกัน
2. พยายามเรียนรู้วิธีการคูณ ซึ่งแม้จะลำบากค่อนข้างมาก จะต้องไปฝึกท่องสูตรคูณให้ได้ อาจจะจำได้บ้าง ไม่ได้บ้างตามประสาเด็ก ป. 1 และสุดท้ายไปจำได้ตอน ป. 2
ผมชอบวิธีที่ 2. มากกว่า เพราะเป็นวิธีแก้ปัญหาที่ตรงประเด็นมากกว่า และใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่า ในขณะที่วิธีที่ 1. เป็นวิธีที่พอแก้ขัดได้บ้างเท่านั้นและใช้เวลานานกว่า ลองนึกภาพดูว่าถ้าโจทย์เปลี่ยนเป็นตัวคูณที่มากกว่านี้เขาต้องบวกเลขเป็นร้อยๆครั้งหรือหมื่นๆครั้ง การบวกผิดครั้งใดครั้งหนึ่งจะทำให้คำตอบผิดหมดเลย และบางปัญหาก็แก้ขัดไม่ได้เลย อย่างเช่นถ้าผมเปลี่ยนโจทย์เป็น 2546*15.13 วิธีที่ 1. จะทำไม่ได้ แต่ถ้าเขาใช้วิธีที่ 2. เขาทำได้และสามารถพัฒนาไปสู่การหารได้ ถอดสแควร์รูทได้และได้อย่างอื่นอีกมากมาย
:lol: :lol: :lol: :lol:
- สามัญชน
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 5162
- ผู้ติดตาม: 0
ใช้ DSM กับ VI นับเป็นการทรยศต่อสำนักหรือไม่
โพสต์ที่ 90
:lol: :lol: :lol: :lol:
เรื่องที่สองคือ ผมคิดว่าการแก้ปัญหาใดๆก็ตามควรจะเลือกการแก้ปัญหาด้วยเครื่องมือที่ตรงประเด็นมากกว่า
อย่างเช่นถ้าเราเป็นผู้บริหาร เราต้องเลือกการบริหารที่ตรงกับสิ่งที่เราเป็น สมมติว่าเราเป็นผู้บริหารของทหาร เราต้องเรียนรู้วิธีที่จะบริหารแบบทหาร เราจะประยุดต์ใช้วิธีการบริหารหมอมาใช้กับทหารแก้ขัดไปก่อนก็ไม่น่าจะได้ ใช้วิธีบริหารนักการเมืองมาใช้กับทหารก็ไม่น่าจะได้ หรือสมมติถ้าเราเป็นผู้บริหารของหมอ แน่นอนว่าถ้าใช้วิธีของทหารมาใช้กับหมอก็คงต้องเตรียมเก็บกระเป๋ากลับบ้านได้เลย
ย้อนมาเรื่องการลงทุน เรามีเครื่องมือมากมายในการวิเคราะห์ เช่น technical analysis fundamental analysis insider analysis วิเคราะห์จิตวิทยามวลชน วิเคราะห์ประเภทนักลงทุน ( ต่างชาติเข้าหรือออก หรือว่าสถาบันกำลังเก็บหุ้นตัวนี้ ) และอีกมากมายแตกแขนงออกไปไม่สิ้นสุด จนกระทั่งมาถึง densri method แต่ละเครื่องมือต่างก็มีดีมีด้อยของตัวเอง แต่ผมชอบเครื่องมือที่ตรงประเด็นกับการลงทุนมากที่สุด คือ คิดเหมือนว่าเราจะต้องลงทุนทำธุรกิจจริงๆ และเครื่องมือที่ใช้ควรจะตอบคำถามถ้าเราทำธุรกิจจริงๆได้มากที่สุด และในราคาที่เหมาะสมที่สุดครับ
:lol: :lol: :lol: :lol:
เรื่องที่สองคือ ผมคิดว่าการแก้ปัญหาใดๆก็ตามควรจะเลือกการแก้ปัญหาด้วยเครื่องมือที่ตรงประเด็นมากกว่า
อย่างเช่นถ้าเราเป็นผู้บริหาร เราต้องเลือกการบริหารที่ตรงกับสิ่งที่เราเป็น สมมติว่าเราเป็นผู้บริหารของทหาร เราต้องเรียนรู้วิธีที่จะบริหารแบบทหาร เราจะประยุดต์ใช้วิธีการบริหารหมอมาใช้กับทหารแก้ขัดไปก่อนก็ไม่น่าจะได้ ใช้วิธีบริหารนักการเมืองมาใช้กับทหารก็ไม่น่าจะได้ หรือสมมติถ้าเราเป็นผู้บริหารของหมอ แน่นอนว่าถ้าใช้วิธีของทหารมาใช้กับหมอก็คงต้องเตรียมเก็บกระเป๋ากลับบ้านได้เลย
ย้อนมาเรื่องการลงทุน เรามีเครื่องมือมากมายในการวิเคราะห์ เช่น technical analysis fundamental analysis insider analysis วิเคราะห์จิตวิทยามวลชน วิเคราะห์ประเภทนักลงทุน ( ต่างชาติเข้าหรือออก หรือว่าสถาบันกำลังเก็บหุ้นตัวนี้ ) และอีกมากมายแตกแขนงออกไปไม่สิ้นสุด จนกระทั่งมาถึง densri method แต่ละเครื่องมือต่างก็มีดีมีด้อยของตัวเอง แต่ผมชอบเครื่องมือที่ตรงประเด็นกับการลงทุนมากที่สุด คือ คิดเหมือนว่าเราจะต้องลงทุนทำธุรกิจจริงๆ และเครื่องมือที่ใช้ควรจะตอบคำถามถ้าเราทำธุรกิจจริงๆได้มากที่สุด และในราคาที่เหมาะสมที่สุดครับ
:lol: :lol: :lol: :lol: