บริษัทนี้มีคนเดียว
- konkaikong
- Verified User
- โพสต์: 82
- ผู้ติดตาม: 0
บริษัทนี้มีคนเดียว
โพสต์ที่ 1
การเป็นลูกจ้างอาชีพ ทำงานให้กับบริษัท ได้เงินเดือนเป็นการตอบแทน อย่างที่ผมทำอยู่ทุกวันนี้ ต้องเผชิญแรงกดดัน และ ต้องรับการเปลี่ยนแปลงในวงการธุรกิจอยู่เสมอ
ผมเคยคิดที่จะวางมือแล้วออกไปสร้างกิจการเอง เป็นเหตูให้ผมลองวิเคราะห์ตัวเองดูว่า ถ้าผมสร้างกิจการเอง บริษัทนี้อีกสิบปีข้างหน้าจะมีมูลค่าของกิจการเท่าไหร่ เมื่อเทียบกับการเป็นลูกจ้างตอนนี้ละ ตัวผม คนเดียวนี่ มีมูลค่าเท่าไหร่ จะทิ้งกิจการ "รับจ้าง" มาเปิดห้างเองดีไหม
ผมก็เลยลองเริ่มจาก กำไร ที่ผมได้รับ สำหรับการเป็นลูกจ้าง เอาว่าถ้าเงินเดือนสุทธิ 50,000 บาทปีนึงก็ 600,000 ให้โบนัสสุทธิสองเดือน 100,000 บาท รวมแล้วเป็น 700,000 บาท บริษัทมีกองทุนสำรองเลี้ยงชีพอีก 5%สมทบให้
รวมแล้วได้ประมาณ 735,000 บาท
ถ้าผมทำบริษัทเอง ให้ได้เงินมาใช้จ่าย 735,000 บาท นี่ต้องมีกำไรเท่าไหร่ คิดย้อนกลับโดยดูจาก Dividend Payout Ratio ของบริษัทในตลาดที่ประมาณ 50% จากกำไรโดยรวม แสดงว่าบริษัทผมต้องได้กำไร เป็นสองเท่า
ดังนั้นกำไร น่าจะอยู่ประมาณ 1,470,000 บาท
ถ้าให้ Net Profit Margin 10% ก็จะได้รายได้โดยประมาณที่ 15 ล้านบาท
แสดงว่าเดือนนึงต้องขายได้ 1.25 ล้านขึ้นไป
ให้ P/E ประมาณ 8 กิจการคนคนเดียวนี้ มีมูลค่าประมาณ 12 ล้านบาท
ถ้า ROE แบบที่ยอมรับได้ ประมาณ 15% แสดงว่าผมต้องลงเงิน 9,800,000
จึงสามารถสร้างกิจการทีทำกำไร 1.47 ล้านต่อปี มาทดแทนการเป็นลุกจ้างได้
คิดไปคิดมาก็มาก็ยังตัดใจไม่ได้สักที หรือว่าจริงๆแล้วผเองขี้เกียจ ก็เลยหาข้ออ้งไปเรื่อย
ถ้า Bill กับ Steve คิดมากแบบนี้ผมคงไม่มี iPhone กับ Window 7 ใช้
หรือว่าผมควรทำแบบ NIKE เขาว่าดีครับ........
JUST DO IT
ขอให้ทุกท่านโชคดีในการลงทุนครับ
新年快乐. 恭禧发财.
ผมเคยคิดที่จะวางมือแล้วออกไปสร้างกิจการเอง เป็นเหตูให้ผมลองวิเคราะห์ตัวเองดูว่า ถ้าผมสร้างกิจการเอง บริษัทนี้อีกสิบปีข้างหน้าจะมีมูลค่าของกิจการเท่าไหร่ เมื่อเทียบกับการเป็นลูกจ้างตอนนี้ละ ตัวผม คนเดียวนี่ มีมูลค่าเท่าไหร่ จะทิ้งกิจการ "รับจ้าง" มาเปิดห้างเองดีไหม
ผมก็เลยลองเริ่มจาก กำไร ที่ผมได้รับ สำหรับการเป็นลูกจ้าง เอาว่าถ้าเงินเดือนสุทธิ 50,000 บาทปีนึงก็ 600,000 ให้โบนัสสุทธิสองเดือน 100,000 บาท รวมแล้วเป็น 700,000 บาท บริษัทมีกองทุนสำรองเลี้ยงชีพอีก 5%สมทบให้
รวมแล้วได้ประมาณ 735,000 บาท
ถ้าผมทำบริษัทเอง ให้ได้เงินมาใช้จ่าย 735,000 บาท นี่ต้องมีกำไรเท่าไหร่ คิดย้อนกลับโดยดูจาก Dividend Payout Ratio ของบริษัทในตลาดที่ประมาณ 50% จากกำไรโดยรวม แสดงว่าบริษัทผมต้องได้กำไร เป็นสองเท่า
ดังนั้นกำไร น่าจะอยู่ประมาณ 1,470,000 บาท
ถ้าให้ Net Profit Margin 10% ก็จะได้รายได้โดยประมาณที่ 15 ล้านบาท
แสดงว่าเดือนนึงต้องขายได้ 1.25 ล้านขึ้นไป
ให้ P/E ประมาณ 8 กิจการคนคนเดียวนี้ มีมูลค่าประมาณ 12 ล้านบาท
ถ้า ROE แบบที่ยอมรับได้ ประมาณ 15% แสดงว่าผมต้องลงเงิน 9,800,000
จึงสามารถสร้างกิจการทีทำกำไร 1.47 ล้านต่อปี มาทดแทนการเป็นลุกจ้างได้
คิดไปคิดมาก็มาก็ยังตัดใจไม่ได้สักที หรือว่าจริงๆแล้วผเองขี้เกียจ ก็เลยหาข้ออ้งไปเรื่อย
ถ้า Bill กับ Steve คิดมากแบบนี้ผมคงไม่มี iPhone กับ Window 7 ใช้
หรือว่าผมควรทำแบบ NIKE เขาว่าดีครับ........
JUST DO IT
ขอให้ทุกท่านโชคดีในการลงทุนครับ
新年快乐. 恭禧发财.
วันนี้คุณมีรองเท้าแล้วหรือยัง
-
- Verified User
- โพสต์: 807
- ผู้ติดตาม: 0
บริษัทนี้มีคนเดียว
โพสต์ที่ 2
ซื้อกิจการเอาแบบเบิร์กไชร์ฮาธาเวย์สิครับ :D
อย่ายอมแพ้
- K o S o L
- Verified User
- โพสต์: 451
- ผู้ติดตาม: 0
บริษัทนี้มีคนเดียว
โพสต์ที่ 4
ปกติถ้าเปิดบริษัทเอง ก็ต้องมีการจ่ายเงินเดือนให้กับตัวเองด้วยอะครับ
ซึ่งเงินเดือนดังกล่าวจะถือเป็นค่าใช้จ่าย ที่หักก่อนได้ตัวกำไรสุทธิ
เข้าใจว่าที่คิด net profit margin 10% โดยทั่วไปก็รวมค่าใช้จ่ายที่เป็นเงินเดือนเข้าไปแล้ว
ทำให้มันก็เป็นไปได้ที่บริษัทไม่มีกำไร แต่ก็ยังสามารถจ่ายเงินจำนวนดังกล่าวได้อยู่ :)
ซึ่งเงินเดือนดังกล่าวจะถือเป็นค่าใช้จ่าย ที่หักก่อนได้ตัวกำไรสุทธิ
เข้าใจว่าที่คิด net profit margin 10% โดยทั่วไปก็รวมค่าใช้จ่ายที่เป็นเงินเดือนเข้าไปแล้ว
ทำให้มันก็เป็นไปได้ที่บริษัทไม่มีกำไร แต่ก็ยังสามารถจ่ายเงินจำนวนดังกล่าวได้อยู่ :)
ผมมือใหม่ครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 95
- ผู้ติดตาม: 0
บริษัทนี้มีคนเดียว
โพสต์ที่ 5
ผมคิดว่า กว่าบริษัท จะให้ผลตอบแทนในระดับนั้นได้ มันต้องใช้เวลาคับ
ถ้าสมมติออกจากงานมาทำกิจการเป็นของตัวเอง
ช่วงก่อร่างสร้างฐาน แรกๆ ก็ต้องยอมลำบาก หน่อยแหละคับ
เงินเทียบไม่ได้กับงานปัจจุบัน
แต่มันได้ ความเป็นเจ้าของ การกำหนดอนาคตของตัวเองได้
ชีวิตในกำมือตัวเอง
ถ้าสมมติออกจากงานมาทำกิจการเป็นของตัวเอง
ช่วงก่อร่างสร้างฐาน แรกๆ ก็ต้องยอมลำบาก หน่อยแหละคับ
เงินเทียบไม่ได้กับงานปัจจุบัน
แต่มันได้ ความเป็นเจ้าของ การกำหนดอนาคตของตัวเองได้
ชีวิตในกำมือตัวเอง
- killyz
- Verified User
- โพสต์: 409
- ผู้ติดตาม: 0
บริษัทนี้มีคนเดียว
โพสต์ที่ 6
เหมือนให้เลือก ระหว่าง
นกในกรง ที่มีคนให้อาหารกินและปลอดภัย แต่ไม่มีอิสระ
นกในป่า ที่ต้องหาอาหารเอง อดมื๊อกินมื๊อ และไม่ปลอดภัย แต่มีอิสระ
คุณพร้อมหรือยังที่ต้องทำงานและอดทนมากขึ้นเพื่อแลกกับสิ่งนั่น
Freedom
นกในกรง ที่มีคนให้อาหารกินและปลอดภัย แต่ไม่มีอิสระ
นกในป่า ที่ต้องหาอาหารเอง อดมื๊อกินมื๊อ และไม่ปลอดภัย แต่มีอิสระ
คุณพร้อมหรือยังที่ต้องทำงานและอดทนมากขึ้นเพื่อแลกกับสิ่งนั่น
Freedom
การลงทุนมีความเสียว โปรดใช้วิจารณญาณในการลอก
- Tibular
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 522
- ผู้ติดตาม: 0
บริษัทนี้มีคนเดียว
โพสต์ที่ 7
นั่นก็แสดงว่า ถ้าจะเลือกเป็นนักลงทุน ต้องมีพอร์ตไม่ต่ำกว่าสิบล้าน
การทำงานเป็นพนักงานประจำ ก็มีอิสะได้ครับ ถ้าได้ทำงาน
ที่ชอบ มีโอกาสก้าวหน้า และเราสามารถแบ่งเวลาได้ถูกต้อง
ไม่เห็นจำเป็นเลยสำหรับคำว่า "อิสระภาพทางการเงิน" มีอิสระภาพ
แล้วไม่ต้องทำงานเหรอครับ คนที่ไม่ทำงานนี่ขี้เกียจนะครับ
ถึงมีอิสระภาพทางการเงินแล้วก็ต้องทำงานครับ ดูอย่างเจ้าสัวทั้งหลาย
มีความมั่งคั่งมากมาย แต่ก็ยังทำงานกันขยันขันแข็ง แม้เลยวัยเกษียณแล้ว
นี่แหละครับผมว่า ทำไมถึงรวยแล้วยังต้องทำงาน ผิดกับคนส่วนใหญ่
ที่คิดว่ารวยแล้วจะไม่ทำอะไรแล้ว อยู่เฉยๆ อันนี้มันผิดจุดประสงค์ของชีวิต
ครับ ผมว่าชีวิตคือการทำงานครับ ถ้าไม่ทำงานชีวิตคงจะว่างเปล่าน่าดู
การทำงานก็มีอยู่สองแบบ คือหนึ่ง บริหารจัดการตัวเอง ดูแลสุขภาพ
การใช้ชีวิตประจำวัน สองก็คือ การทำมาหากิน เพื่อเลี้ยงชีวิต เผอิญ
ในปัจจุบันก็ต้องทำงานหาเงิน เพื่อเป็นปัจจัยไปซื้อไปหาปัจจัยสี่ และ
สิ่งจำเป็นต่าง นอกเหนือจากนั้นแล้ว ก็ขึ้นกับความต้องการของแต่ละคน
แต่โดยส่วนใหญ่คนเราพอมีพอกินแล้ว ก็ต้องการความมั่นคง ความรัก
ความเป็นที่รู้จัก ความตระหนักรู้ในชีวิต มันเป็นธรรมชาติของคนเรา
อยากให้คิดว่าเราก็เป็นหุ้นส่วนคนนึงของบริษัท ที่เราทำงานเหมือนกัน
ถ้าเราทำงานดี ทำผลงานดีบริษัทก็ย่อมเจริญเติบโต ผลกำไรที่ได้มา
ก็มาเป็นเงินเดือนให้เราไงครับ ไมงั้นจะมีการปรับเงินเดือนเพิ่ม
มีโบนัสได้ไง ถ้ากิจการที่เราทำงานดีจริง ก็ต้องเจริญก้าวหน้าอยู่แล้ว
การเป็นเจ้าของธุรกิจ การทำงานให้ธุรกิจ การลงทุนในธุรกิจ ต่างก็มี
พื้นฐานไม่ต่างกันเลย ผมว่าอยู่ที่ความถนัด จังหวะ โอกาส ความรู้
ความเข้าใจตัวเอง ว่าอยากอยู่ในส่วนใหนของระบบ เพราะระบบเศรษฐกิจ
มันต้องเป็นไปในรูปแบบนี้ มนุษย์เราก็ต้องทำงานเพื่อแลกกับปัจจัยใน
การดำรงชีวิต แม้ว่าโลกมันจะลำเอียงไปบ้าง แต่ถ้าเราพอใจ และมีความสุข
กับสิ่งที่ทำ ก็สามารถอยู่ได้อย่างมีความสุขแล้วละครับ
อย่างสมัยก่อนมนุษย์ต้องออกป่า ล่าสัตว์กิน
หาผลหมากรากไม้ตามป่าเขา เสียงเป็นเสี่ยงตายเพื่อจะได้มีกิน ไม่อดตาย
เปรียบเทียบกับสมัยนี้แล้วสบายกว่ากันเยอะ
ถึงแม้ปัจจัยผลิดจะเป็นของนายทุนซะส่วนใหญ่ แต่มันก็พัฒนา
มามาก ความเอารัดเอาเปรียบคนทำงานถึงจะมีอยุ่ แต่มันก็น้อยลงไปมาก
กลับกลายเป็นการพึ่งพากันมากกว่า โอกาสในการทำมาหากิน
เปิดกว้างกว่ายุคไหนๆ
ทำงานให้สนุก เป็นสุขขณะทำงานครับ
การทำงานเป็นพนักงานประจำ ก็มีอิสะได้ครับ ถ้าได้ทำงาน
ที่ชอบ มีโอกาสก้าวหน้า และเราสามารถแบ่งเวลาได้ถูกต้อง
ไม่เห็นจำเป็นเลยสำหรับคำว่า "อิสระภาพทางการเงิน" มีอิสระภาพ
แล้วไม่ต้องทำงานเหรอครับ คนที่ไม่ทำงานนี่ขี้เกียจนะครับ
ถึงมีอิสระภาพทางการเงินแล้วก็ต้องทำงานครับ ดูอย่างเจ้าสัวทั้งหลาย
มีความมั่งคั่งมากมาย แต่ก็ยังทำงานกันขยันขันแข็ง แม้เลยวัยเกษียณแล้ว
นี่แหละครับผมว่า ทำไมถึงรวยแล้วยังต้องทำงาน ผิดกับคนส่วนใหญ่
ที่คิดว่ารวยแล้วจะไม่ทำอะไรแล้ว อยู่เฉยๆ อันนี้มันผิดจุดประสงค์ของชีวิต
ครับ ผมว่าชีวิตคือการทำงานครับ ถ้าไม่ทำงานชีวิตคงจะว่างเปล่าน่าดู
การทำงานก็มีอยู่สองแบบ คือหนึ่ง บริหารจัดการตัวเอง ดูแลสุขภาพ
การใช้ชีวิตประจำวัน สองก็คือ การทำมาหากิน เพื่อเลี้ยงชีวิต เผอิญ
ในปัจจุบันก็ต้องทำงานหาเงิน เพื่อเป็นปัจจัยไปซื้อไปหาปัจจัยสี่ และ
สิ่งจำเป็นต่าง นอกเหนือจากนั้นแล้ว ก็ขึ้นกับความต้องการของแต่ละคน
แต่โดยส่วนใหญ่คนเราพอมีพอกินแล้ว ก็ต้องการความมั่นคง ความรัก
ความเป็นที่รู้จัก ความตระหนักรู้ในชีวิต มันเป็นธรรมชาติของคนเรา
อยากให้คิดว่าเราก็เป็นหุ้นส่วนคนนึงของบริษัท ที่เราทำงานเหมือนกัน
ถ้าเราทำงานดี ทำผลงานดีบริษัทก็ย่อมเจริญเติบโต ผลกำไรที่ได้มา
ก็มาเป็นเงินเดือนให้เราไงครับ ไมงั้นจะมีการปรับเงินเดือนเพิ่ม
มีโบนัสได้ไง ถ้ากิจการที่เราทำงานดีจริง ก็ต้องเจริญก้าวหน้าอยู่แล้ว
การเป็นเจ้าของธุรกิจ การทำงานให้ธุรกิจ การลงทุนในธุรกิจ ต่างก็มี
พื้นฐานไม่ต่างกันเลย ผมว่าอยู่ที่ความถนัด จังหวะ โอกาส ความรู้
ความเข้าใจตัวเอง ว่าอยากอยู่ในส่วนใหนของระบบ เพราะระบบเศรษฐกิจ
มันต้องเป็นไปในรูปแบบนี้ มนุษย์เราก็ต้องทำงานเพื่อแลกกับปัจจัยใน
การดำรงชีวิต แม้ว่าโลกมันจะลำเอียงไปบ้าง แต่ถ้าเราพอใจ และมีความสุข
กับสิ่งที่ทำ ก็สามารถอยู่ได้อย่างมีความสุขแล้วละครับ
อย่างสมัยก่อนมนุษย์ต้องออกป่า ล่าสัตว์กิน
หาผลหมากรากไม้ตามป่าเขา เสียงเป็นเสี่ยงตายเพื่อจะได้มีกิน ไม่อดตาย
เปรียบเทียบกับสมัยนี้แล้วสบายกว่ากันเยอะ
ถึงแม้ปัจจัยผลิดจะเป็นของนายทุนซะส่วนใหญ่ แต่มันก็พัฒนา
มามาก ความเอารัดเอาเปรียบคนทำงานถึงจะมีอยุ่ แต่มันก็น้อยลงไปมาก
กลับกลายเป็นการพึ่งพากันมากกว่า โอกาสในการทำมาหากิน
เปิดกว้างกว่ายุคไหนๆ
ทำงานให้สนุก เป็นสุขขณะทำงานครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 447
- ผู้ติดตาม: 0
Re: บริษัทนี้มีคนเดียว
โพสต์ที่ 8
อย่าลืมครับว่า Divident 50% นั้นคุณเป็นผู้ถือหุ้นคนเดียว (หรือเปล่า)konkaikong เขียน:
Dividend Payout Ratio ของบริษัทในตลาดที่ประมาณ 50% จากกำไรโดยรวม แสดงว่าบริษัทผมต้องได้กำไร เป็นสองเท่า
ดังนั้นกำไร น่าจะอยู่ประมาณ 1,470,000 บาท
新年快乐. 恭禧发财.
ถ้าคุณคนเดียวก็รับเต็มๆ ฉะนั้น ยอดขายหรือกำไรก็ไม่จำเป็นต้องมาก
ขนาดนั้นก็ได้ จริงไหมครับ
การเริ่มต้นทำบริษัทต้องอยู่อย่างพอเพียงไปก่อนครับ อะไรลดได้ก็ลดหรือต้องรัดเข็มขัดกันเลยทีเดียว บางครั้งถ้าเราคิดละเอียดเกินไปมันจะทำให้
เรากลัว ไม่กล้าทำอะไรสักอย่าง ผมว่าอิสระภาพนั้นสำคัญที่สุด สำหรับคน
ที่รักอิสระ การเป็นลูกจ้างไม่ใช่ไม่ดี เพราะถ้าไม่มีลูกจ้าง บริษัททั้งหลาย
จะอยู่ได้ไง
การเป็นเจ้าของบริษัทนั้นไม่ยาก แต่ที่ยากกว่าคือ
ต้องทำยังไงให้มันเติบโตอย่างยั่งยืน
ลงมือทำเสียแต่วันนี้ ถ้าอายุเกิน 35 แล้วทั้งร่างกายและจิตใจมันเริ่ม
แผ่วลงแล้ว
จิตที่ฝึกดีแล้ว ย่อมนำสุขมาให้
- โว้กว้าก
- Verified User
- โพสต์: 430
- ผู้ติดตาม: 0
บริษัทนี้มีคนเดียว
โพสต์ที่ 9
[quote="Tibular"]นั่นก็แสดงว่า ถ้าจะเลือกเป็นนักลงทุน ต้องมีพอร์ตไม่ต่ำกว่าสิบล้าน
การทำงานเป็นพนักงานประจำ ก็มีอิสะได้ครับ ถ้าได้ทำงาน
ที่ชอบ มีโอกาสก้าวหน้า และเราสามารถแบ่งเวลาได้ถูกต้อง
ไม่เห็นจำเป็นเลยสำหรับคำว่า "อิสระภาพทางการเงิน"
การทำงานเป็นพนักงานประจำ ก็มีอิสะได้ครับ ถ้าได้ทำงาน
ที่ชอบ มีโอกาสก้าวหน้า และเราสามารถแบ่งเวลาได้ถูกต้อง
ไม่เห็นจำเป็นเลยสำหรับคำว่า "อิสระภาพทางการเงิน"
- por_jai
- Verified User
- โพสต์: 14338
- ผู้ติดตาม: 0
บริษัทนี้มีคนเดียว
โพสต์ที่ 10
[quote="โว้กว้าก"][quote="Tibular"]นั่นก็แสดงว่า ถ้าจะเลือกเป็นนักลงทุน ต้องมีพอร์ตไม่ต่ำกว่าสิบล้าน
การทำงานเป็นพนักงานประจำ ก็มีอิสะได้ครับ ถ้าได้ทำงาน
ที่ชอบ มีโอกาสก้าวหน้า และเราสามารถแบ่งเวลาได้ถูกต้อง
ไม่เห็นจำเป็นเลยสำหรับคำว่า "อิสระภาพทางการเงิน"
การทำงานเป็นพนักงานประจำ ก็มีอิสะได้ครับ ถ้าได้ทำงาน
ที่ชอบ มีโอกาสก้าวหน้า และเราสามารถแบ่งเวลาได้ถูกต้อง
ไม่เห็นจำเป็นเลยสำหรับคำว่า "อิสระภาพทางการเงิน"
กรูเก่ง กิเลสเก่งกว่า
- Linzhi
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1464
- ผู้ติดตาม: 1
บริษัทนี้มีคนเดียว
โพสต์ที่ 11
ถ้าบริษัทเล็ก ๆ NPM 10% นี่หมายถึง อีก 20-30% ซื้อรถ ซื้อโน่น ซื้อนี่ (ส่วนมากเข้าซื้อให้เจ้าของบริษัท)
ถ้าบริษัทเล็ก ๆ Gross Profit Margin คงใกล้เคียงกับรายได้ของเจ้าของมากกว่า
ถ้าบริษัทใหญ่ขึ้น 20-30% มันจะกลายเป็นค่าจ้างพนักงานเก่ง ๆ แต่ 10% NPM บนฐานรายได้ที่สูงขึ้น
ก็จะทำให้กำไรสุทธิมากขึ้นชดเชยกันไปเอง
คนกินเงินเดือน มาเป็นเจ้าของกิจการที่ประสบความสำเร็จมีเพียงนิด แต่ก็ไม่น้อยครับ
ถ้าบริษัทเล็ก ๆ Gross Profit Margin คงใกล้เคียงกับรายได้ของเจ้าของมากกว่า
ถ้าบริษัทใหญ่ขึ้น 20-30% มันจะกลายเป็นค่าจ้างพนักงานเก่ง ๆ แต่ 10% NPM บนฐานรายได้ที่สูงขึ้น
ก็จะทำให้กำไรสุทธิมากขึ้นชดเชยกันไปเอง
คนกินเงินเดือน มาเป็นเจ้าของกิจการที่ประสบความสำเร็จมีเพียงนิด แต่ก็ไม่น้อยครับ
ก้าวช้า ๆ และเชื่อในปาฎิหารย์ของหุ้นเปลี่ยนชีวิต
There is no secret ingredient. It's just you.
There is no secret ingredient. It's just you.
- picklife
- Verified User
- โพสต์: 2565
- ผู้ติดตาม: 0
Re: บริษัทนี้มีคนเดียว
โพสต์ที่ 13
ผมว่าผิดครับ แล้ว50%ที่เหลือคุณไม่ได้เอาไปลงทุนต่อหรือครับ ส่วนนั่นไม่ใช่ส่วนของเจ้าของกิจการหรอครับ? ดังนั้นกำไรที่ต้องทำจริงๆคือ735000ครับkonkaikong เขียน: ถ้าผมทำบริษัทเอง ให้ได้เงินมาใช้จ่าย 735,000 บาท นี่ต้องมีกำไรเท่าไหร่ คิดย้อนกลับโดยดูจาก Dividend Payout Ratio ของบริษัทในตลาดที่ประมาณ 50% จากกำไรโดยรวม แสดงว่าบริษัทผมต้องได้กำไร เป็นสองเท่า
ดังนั้นกำไร น่าจะอยู่ประมาณ 1,470,000 บาท
สมมุติผมใช้อัตราส่วนทางการเงินเท่ากับที่เขียนมาละกันนะครับkonkaikong เขียน: ถ้าให้ Net Profit Margin 10% ก็จะได้รายได้โดยประมาณที่ 15 ล้านบาท
แสดงว่าเดือนนึงต้องขายได้ 1.25 ล้านขึ้นไป
กำไร735000/0.1=7.35ล้าน/ปี =6แสน/เดือน
แต่อย่าลืมค่าOverheadของคุณนะครับ ผมสมมุติที่10% ดังนั้นรายได้ต้องเป้น6*.9=5.4แสน/เดือน
ผมอ่านตรงนี้แล้วแปลกๆครับ คุณคงเล่นหุ้นมากไป....ในมุมมองเจ้าของกิจการต้องเทียบกับBVนะครับ ไม่ใช่PE ส่วนในเรื่องROE=15%ถ้าผมมองในมุมนี้จะพบว่าเงินลงทุนควรจะเป็น (735000*.9(overhead))/0.15 = 4.4ล้าน......ซึ่งผมว่าก็ไม่มากนะครับ แล้วยิ่งใช้เงินกู้ก็อาจจะเหลือเพียง3ล้าน และยิ่งใช้ระบบเช่า รู้จักระบบเช่าไหมครับ ระบบเช่า ค่าเช่าเสมือนเงินดอกของการกู้ ดังนั้นมูลค่าที่ลงทุนจริงจะต่ำมากๆ คุณสามารถเห็น ROE100%ได้สบายๆkonkaikong เขียน: ให้ P/E ประมาณ 8 กิจการคนคนเดียวนี้ มีมูลค่าประมาณ 12 ล้านบาท
ถ้า ROE แบบที่ยอมรับได้ ประมาณ 15% แสดงว่าผมต้องลงเงิน 9,800,000
จึงสามารถสร้างกิจการทีทำกำไร 1.47 ล้านต่อปี มาทดแทนการเป็นลุกจ้างได้
เช่นร้านก๋วยเตี๋ยว ลงทุน3หมื่น รายได้เดือนละ2หมื่น ปีละ240000 ROE=800% เป็นต้นครับ....กิจการมีหลายแบบมากครับ อย่าเอาตัวเลขทางการเงินของหุ้นมาทำให้เขวในการทำกิจการนะครับ ซึ่งROEนี้จะมากหรือน้อยส่วนหนึ่งก็แปรผันตามขนาดของกิจการด้วยนะครับ แล้วยิ่งกิจการเล็กๆ มุลค่า4ล้านกว่า การเห้นROEที่200%เป็นไปได้ครับ ซึ่งสมมุติROEที่200%
เงินลงทุนคุณก็จะเป้น 735000/2= 3แสนกว่าเท่านั้นนะครับ?????
ลงทุน3แสนก็สามารถมีรายได้ปีละ7แสน มันคือความเป้นไปได้ครับ นี่คือกิจการครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 1400
- ผู้ติดตาม: 0
Re: บริษัทนี้มีคนเดียว
โพสต์ที่ 14
ผมว่าผิดครับpicklife เขียน:
เราต่างตื่นขึ้นมาทุกวัน เพื่อสร้างผลงานให้ได้ เราควรรู้ว่า ในทุกวันมีอะไรที่ต้องทำเพื่อให้เกิดผลงาน หากการตื่นขึ้นมา ไม่ได้เป็นไปเพื่อผลงาน เราก็ไม่สมควรที่จะตื่นขึ้นมาให้รกหูรกตาคนรอบข้าง
- konkaikong
- Verified User
- โพสต์: 82
- ผู้ติดตาม: 0
บริษัทนี้มีคนเดียว
โพสต์ที่ 16
ขอขอบคุณทุกๆท่านที่ช่วยมาออกความเห็นนะครับ
ถ้าข้อความใดที่ผมโพสต์ ไม่ถูกต้องก็ต้องขออภัยท่านผู้รู้ทั้งหลายด้วย
ความรู้ด้านการลงทุนของผมยังน้อย ยังคงต้องเรียนรู้อีกเยอะ
ผมตั้งกระทู้นี้ขึ้นมาเพื่อ อยากให้น้องหลายคนที่ทำงานประจำลองตระหนักดู
ถึงมูลค่าของการเป็นลูกจ้างดูก่อนที่จะทิ้งมันไป
จริงๆแล้วนอกเหนือจากเงินเดือนยังมีความรู้ที่หาเรียนได้ยากตามมหาวิทยาลัย
หลายท่านลงเรียน MBA เสียเงินแล้วยังต้องทำรายงาน ทำวิทยานิพนธ์ส่งอีก
ทำงานบริษัทต้องทำรายงาน และ ได้เรียนรู้ และก็ได้เงินด้วย
การหาเลี้ยงชีพแบบผู้ครองเรือน ผมว่าหลักๆ ก็มีอยู่สามอย่าง
หนึ่ง เป็นลูกจ้าง หรือ รับจ้าง
สอง เป็นเจ้าของกิจการ เป็นเจ้าของฟาร์ม เจ้าของนา
สาม เป็นนักลงทุน โดยไม่ได้มีส่วนในการบริหาร
จะเลือกสวมหมวกทั้งสามใบก็ได้ สองใบก็ได้ ใบเดียวก็ได้
แต่ขอให้ทำอะไรทำจริง
ถ้าสักวันเงินเดือนได้ประมาณ สองแสน โบนัส อีกสามเดือน และยังมี
เป้าพิเศษ และ เบี้ยเลี้ยงประจำตำแหน่งด้วย มูลค่าการเป็นลูกจ้างคงอาจ
เทียบได้กับ SME บางบริษัทเลยทีเดียว
ขอให้ทุกท่านโชคดีในการลงทุนครับ :D
ถ้าข้อความใดที่ผมโพสต์ ไม่ถูกต้องก็ต้องขออภัยท่านผู้รู้ทั้งหลายด้วย
ความรู้ด้านการลงทุนของผมยังน้อย ยังคงต้องเรียนรู้อีกเยอะ
ผมตั้งกระทู้นี้ขึ้นมาเพื่อ อยากให้น้องหลายคนที่ทำงานประจำลองตระหนักดู
ถึงมูลค่าของการเป็นลูกจ้างดูก่อนที่จะทิ้งมันไป
จริงๆแล้วนอกเหนือจากเงินเดือนยังมีความรู้ที่หาเรียนได้ยากตามมหาวิทยาลัย
หลายท่านลงเรียน MBA เสียเงินแล้วยังต้องทำรายงาน ทำวิทยานิพนธ์ส่งอีก
ทำงานบริษัทต้องทำรายงาน และ ได้เรียนรู้ และก็ได้เงินด้วย
การหาเลี้ยงชีพแบบผู้ครองเรือน ผมว่าหลักๆ ก็มีอยู่สามอย่าง
หนึ่ง เป็นลูกจ้าง หรือ รับจ้าง
สอง เป็นเจ้าของกิจการ เป็นเจ้าของฟาร์ม เจ้าของนา
สาม เป็นนักลงทุน โดยไม่ได้มีส่วนในการบริหาร
จะเลือกสวมหมวกทั้งสามใบก็ได้ สองใบก็ได้ ใบเดียวก็ได้
แต่ขอให้ทำอะไรทำจริง
ถ้าสักวันเงินเดือนได้ประมาณ สองแสน โบนัส อีกสามเดือน และยังมี
เป้าพิเศษ และ เบี้ยเลี้ยงประจำตำแหน่งด้วย มูลค่าการเป็นลูกจ้างคงอาจ
เทียบได้กับ SME บางบริษัทเลยทีเดียว
ขอให้ทุกท่านโชคดีในการลงทุนครับ :D
วันนี้คุณมีรองเท้าแล้วหรือยัง
-
- Verified User
- โพสต์: 1400
- ผู้ติดตาม: 0
บริษัทนี้มีคนเดียว
โพสต์ที่ 18
[quote="konkaikong"]
ผมตั้งกระทู้นี้ขึ้นมาเพื่อ อยากให้น้องหลายคนที่ทำงานประจำลองตระหนักดู
ถึงมูลค่าของการเป็นลูกจ้างดูก่อนที่จะทิ้งมันไป
จริงๆแล้วนอกเหนือจากเงินเดือนยังมีความรู้ที่หาเรียนได้ยากตามมหาวิทยาลัย
หลายท่านลงเรียน MBA เสียเงินแล้วยังต้องทำรายงาน ทำวิทยานิพนธ์ส่งอีก
กว่าจะจบป. ตรี เหมือนโดนรีดเลือดปูทุกวัน ทำเอาไม่อยากเรียนต่อในระบบมาจนถึงทุกวันนี้
ทำงานบริษัทต้องทำรายงาน และ ได้เรียนรู้ และก็ได้เงินด้วย
ได้แต่เงิน ทำไงดี :oops:
จะกระตุ้นให้สนใจกับสิ่งที่ไม่เคยสนใจมาก่อน
มันก็ทำได้ไม่กี่วัน....จากนั้นก็ เช้าครึ่งชาม เย็นครึ่งชาม
เฮ้อ...ไม่รู้ว่ารอดมาจนถึงทุกวันนี้ได้ยังไง :lol:
การหาเลี้ยงชีพแบบผู้ครองเรือน ผมว่าหลักๆ ก็มีอยู่สามอย่าง
หนึ่ง เป็นลูกจ้าง หรือ รับจ้าง
สอง เป็นเจ้าของกิจการ เป็นเจ้าของฟาร์ม เจ้าของนา
สาม เป็นนักลงทุน โดยไม่ได้มีส่วนในการบริหาร
จะเลือกสวมหมวกทั้งสามใบก็ได้ สองใบก็ได้ ใบเดียวก็ได้
แต่ขอให้ทำอะไรทำจริง
จะทำได้ไปตลอดรอดฝั่งต้องมี อิทธิบาท 4 ครับ
ถ้าสักวันเงินเดือนได้ประมาณ สองแสน โบนัส อีกสามเดือน และยังมี
เป้าพิเศษ และ เบี้ยเลี้ยงประจำตำแหน่งด้วย มูลค่าการเป็นลูกจ้างคงอาจ
เทียบได้กับ SME บางบริษัทเลยทีเดียว
- ต้องจบ U TOP TEN แล้วไปทำงานเป็นที่ปรึกษาในสถาบันการเงินใหญ่ๆใน
USA (พวกฝรั่งหัวแดง มันจ้างคนหัวดำแค่ไหนกันนะ... )
- ต้องเป็น CEO ในบริษัทข้ามชาติใหญ่ๆในไทย (รอคนเก่าลาออก/ตายไป/ ผูกมิตรกับเพื่อนเยอะๆ จะได้มีคนโหวต เหอ เหอ...)
- หรือไม่ก็ต้อง เป็น top pin ในธุรกิจเครือข่าย ( มีupline ที่ดีชี้แนะ)
ฯลฯ
ถ้าผิดแล้วชี้แนะด้วยนะครับ หัวผมมันคิดได้แค่นี้จริงๆ
ขอให้ทุกท่านโชคดีในการลงทุนครับ
ผมตั้งกระทู้นี้ขึ้นมาเพื่อ อยากให้น้องหลายคนที่ทำงานประจำลองตระหนักดู
ถึงมูลค่าของการเป็นลูกจ้างดูก่อนที่จะทิ้งมันไป
จริงๆแล้วนอกเหนือจากเงินเดือนยังมีความรู้ที่หาเรียนได้ยากตามมหาวิทยาลัย
หลายท่านลงเรียน MBA เสียเงินแล้วยังต้องทำรายงาน ทำวิทยานิพนธ์ส่งอีก
กว่าจะจบป. ตรี เหมือนโดนรีดเลือดปูทุกวัน ทำเอาไม่อยากเรียนต่อในระบบมาจนถึงทุกวันนี้
ทำงานบริษัทต้องทำรายงาน และ ได้เรียนรู้ และก็ได้เงินด้วย
ได้แต่เงิน ทำไงดี :oops:
จะกระตุ้นให้สนใจกับสิ่งที่ไม่เคยสนใจมาก่อน
มันก็ทำได้ไม่กี่วัน....จากนั้นก็ เช้าครึ่งชาม เย็นครึ่งชาม
เฮ้อ...ไม่รู้ว่ารอดมาจนถึงทุกวันนี้ได้ยังไง :lol:
การหาเลี้ยงชีพแบบผู้ครองเรือน ผมว่าหลักๆ ก็มีอยู่สามอย่าง
หนึ่ง เป็นลูกจ้าง หรือ รับจ้าง
สอง เป็นเจ้าของกิจการ เป็นเจ้าของฟาร์ม เจ้าของนา
สาม เป็นนักลงทุน โดยไม่ได้มีส่วนในการบริหาร
จะเลือกสวมหมวกทั้งสามใบก็ได้ สองใบก็ได้ ใบเดียวก็ได้
แต่ขอให้ทำอะไรทำจริง
จะทำได้ไปตลอดรอดฝั่งต้องมี อิทธิบาท 4 ครับ
ถ้าสักวันเงินเดือนได้ประมาณ สองแสน โบนัส อีกสามเดือน และยังมี
เป้าพิเศษ และ เบี้ยเลี้ยงประจำตำแหน่งด้วย มูลค่าการเป็นลูกจ้างคงอาจ
เทียบได้กับ SME บางบริษัทเลยทีเดียว
- ต้องจบ U TOP TEN แล้วไปทำงานเป็นที่ปรึกษาในสถาบันการเงินใหญ่ๆใน
USA (พวกฝรั่งหัวแดง มันจ้างคนหัวดำแค่ไหนกันนะ... )
- ต้องเป็น CEO ในบริษัทข้ามชาติใหญ่ๆในไทย (รอคนเก่าลาออก/ตายไป/ ผูกมิตรกับเพื่อนเยอะๆ จะได้มีคนโหวต เหอ เหอ...)
- หรือไม่ก็ต้อง เป็น top pin ในธุรกิจเครือข่าย ( มีupline ที่ดีชี้แนะ)
ฯลฯ
ถ้าผิดแล้วชี้แนะด้วยนะครับ หัวผมมันคิดได้แค่นี้จริงๆ
ขอให้ทุกท่านโชคดีในการลงทุนครับ
เราต่างตื่นขึ้นมาทุกวัน เพื่อสร้างผลงานให้ได้ เราควรรู้ว่า ในทุกวันมีอะไรที่ต้องทำเพื่อให้เกิดผลงาน หากการตื่นขึ้นมา ไม่ได้เป็นไปเพื่อผลงาน เราก็ไม่สมควรที่จะตื่นขึ้นมาให้รกหูรกตาคนรอบข้าง
- san
- Verified User
- โพสต์: 1675
- ผู้ติดตาม: 0
บริษัทนี้มีคนเดียว
โพสต์ที่ 19
[quote="konkaikong"]ขอขอบคุณทุกๆท่านที่ช่วยมาออกความเห็นนะครับ
ถ้าข้อความใดที่ผมโพสต์ ไม่ถูกต้องก็ต้องขออภัยท่านผู้รู้ทั้งหลายด้วย
ความรู้ด้านการลงทุนของผมยังน้อย ยังคงต้องเรียนรู้อีกเยอะ
ผมตั้งกระทู้นี้ขึ้นมาเพื่อ อยากให้น้องหลายคนที่ทำงานประจำลองตระหนักดู
ถึงมูลค่าของการเป็นลูกจ้างดูก่อนที่จะทิ้งมันไป
จริงๆแล้วนอกเหนือจากเงินเดือนยังมีความรู้ที่หาเรียนได้ยากตามมหาวิทยาลัย
หลายท่านลงเรียน MBA เสียเงินแล้วยังต้องทำรายงาน ทำวิทยานิพนธ์ส่งอีก
ทำงานบริษัทต้องทำรายงาน และ ได้เรียนรู้ และก็ได้เงินด้วย
การหาเลี้ยงชีพแบบผู้ครองเรือน ผมว่าหลักๆ ก็มีอยู่สามอย่าง
หนึ่ง เป็นลูกจ้าง หรือ รับจ้าง
สอง เป็นเจ้าของกิจการ เป็นเจ้าของฟาร์ม เจ้าของนา
สาม เป็นนักลงทุน โดยไม่ได้มีส่วนในการบริหาร
จะเลือกสวมหมวกทั้งสามใบก็ได้ สองใบก็ได้ ใบเดียวก็ได้
แต่ขอให้ทำอะไรทำจริง
ถ้าสักวันเงินเดือนได้ประมาณ สองแสน โบนัส อีกสามเดือน และยังมี
เป้าพิเศษ และ เบี้ยเลี้ยงประจำตำแหน่งด้วย มูลค่าการเป็นลูกจ้างคงอาจ
เทียบได้กับ SME บางบริษัทเลยทีเดียว
ขอให้ทุกท่านโชคดีในการลงทุนครับ
ถ้าข้อความใดที่ผมโพสต์ ไม่ถูกต้องก็ต้องขออภัยท่านผู้รู้ทั้งหลายด้วย
ความรู้ด้านการลงทุนของผมยังน้อย ยังคงต้องเรียนรู้อีกเยอะ
ผมตั้งกระทู้นี้ขึ้นมาเพื่อ อยากให้น้องหลายคนที่ทำงานประจำลองตระหนักดู
ถึงมูลค่าของการเป็นลูกจ้างดูก่อนที่จะทิ้งมันไป
จริงๆแล้วนอกเหนือจากเงินเดือนยังมีความรู้ที่หาเรียนได้ยากตามมหาวิทยาลัย
หลายท่านลงเรียน MBA เสียเงินแล้วยังต้องทำรายงาน ทำวิทยานิพนธ์ส่งอีก
ทำงานบริษัทต้องทำรายงาน และ ได้เรียนรู้ และก็ได้เงินด้วย
การหาเลี้ยงชีพแบบผู้ครองเรือน ผมว่าหลักๆ ก็มีอยู่สามอย่าง
หนึ่ง เป็นลูกจ้าง หรือ รับจ้าง
สอง เป็นเจ้าของกิจการ เป็นเจ้าของฟาร์ม เจ้าของนา
สาม เป็นนักลงทุน โดยไม่ได้มีส่วนในการบริหาร
จะเลือกสวมหมวกทั้งสามใบก็ได้ สองใบก็ได้ ใบเดียวก็ได้
แต่ขอให้ทำอะไรทำจริง
ถ้าสักวันเงินเดือนได้ประมาณ สองแสน โบนัส อีกสามเดือน และยังมี
เป้าพิเศษ และ เบี้ยเลี้ยงประจำตำแหน่งด้วย มูลค่าการเป็นลูกจ้างคงอาจ
เทียบได้กับ SME บางบริษัทเลยทีเดียว
ขอให้ทุกท่านโชคดีในการลงทุนครับ
ขอบคุณ รุ่นพี่ๆ รุ่นน้องๆ ครูบา อาจารย์ ในนี้ ที่แนะนำเรื่อง วิธีการลงทุนที่ดี นะครับ
อ. โจ กับ พี่พอใจ ยังเป็นขวัญใจ เสมอครับ
วันนี้ อ. โจ ได้ลง นสพ ด้วย .....อิอิอิ
อ. โจ กับ พี่พอใจ ยังเป็นขวัญใจ เสมอครับ
วันนี้ อ. โจ ได้ลง นสพ ด้วย .....อิอิอิ