ธรรมะ ธรรมชาติ
-
- Verified User
- โพสต์: 18134
- ผู้ติดตาม: 0
ธรรมะ ธรรมชาติ
โพสต์ที่ 1261
วันนี้ไปวัดระฆังให้พระอาจารย์สอนเพิ่มเติม
วันนี้สอนเรื่อง
จุดประสงค์ในการมา ถ้าตั้งผิด มันก็ทำให้ผิดกันเป็นระบบ
ถ้าถูกก็ทำให้ดีขึ้นกว่าปัจจุบัน
อีกเรื่องคือ ตัวตูของตู
ท่านตั้งข้อสังเกตว่า ผู้ที่ปฏิบัติส่วนใหญ่ คุยกันไม่รู้เรื่อง
เพราะว่า ตัวตูของตู เพิ่มขึ้น คิดว่าข้าทำถูกต้อง ข้าทำแล้วดี
แบบนี้มันทำให้เกิดอาการเกาเหลาและคุยคนละเรื่องเดียวกัน
วันนี้สอนเรื่อง
จุดประสงค์ในการมา ถ้าตั้งผิด มันก็ทำให้ผิดกันเป็นระบบ
ถ้าถูกก็ทำให้ดีขึ้นกว่าปัจจุบัน
อีกเรื่องคือ ตัวตูของตู
ท่านตั้งข้อสังเกตว่า ผู้ที่ปฏิบัติส่วนใหญ่ คุยกันไม่รู้เรื่อง
เพราะว่า ตัวตูของตู เพิ่มขึ้น คิดว่าข้าทำถูกต้อง ข้าทำแล้วดี
แบบนี้มันทำให้เกิดอาการเกาเหลาและคุยคนละเรื่องเดียวกัน
- Paul VI
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 10538
- ผู้ติดตาม: 0
ธรรมะ ธรรมชาติ
โพสต์ที่ 1262
จริงครับmiracle เขียน:วันนี้ไปวัดระฆังให้พระอาจารย์สอนเพิ่มเติม
วันนี้สอนเรื่อง
จุดประสงค์ในการมา ถ้าตั้งผิด มันก็ทำให้ผิดกันเป็นระบบ
ถ้าถูกก็ทำให้ดีขึ้นกว่าปัจจุบัน
อีกเรื่องคือ ตัวตูของตู
ท่านตั้งข้อสังเกตว่า ผู้ที่ปฏิบัติส่วนใหญ่ คุยกันไม่รู้เรื่อง
เพราะว่า ตัวตูของตู เพิ่มขึ้น คิดว่าข้าทำถูกต้อง ข้าทำแล้วดี
แบบนี้มันทำให้เกิดอาการเกาเหลาและคุยคนละเรื่องเดียวกัน
-
- Verified User
- โพสต์: 3348
- ผู้ติดตาม: 0
ธรรมะ ธรรมชาติ
โพสต์ที่ 1263
ก็ไม่ต้องคุยมากสิครับ ปฏิบัติใคร ปฎิบัติมัน ตัวใครก็ตัวมัน เวลาติดค่อยมาถาม
คุยกับพี่ป้อม ท่านก็แนะนำผมตลอด ครับ ไม่มีปัญหาครับ :lol:
พี่ๆในนี้ คุยกันก็ได้ประโยชน์ดีครับ
คุยกับพี่ป้อม ท่านก็แนะนำผมตลอด ครับ ไม่มีปัญหาครับ :lol:
พี่ๆในนี้ คุยกันก็ได้ประโยชน์ดีครับ
ทุกสิ่งทุกอย่างบนโลก มันก็เป็นเช่นนั้นแล
- por_jai
- Verified User
- โพสต์: 14338
- ผู้ติดตาม: 0
ธรรมะ ธรรมชาติ
โพสต์ที่ 1264
หลวงพ่อว่าในซีดีมีทุกคำตอบครับsmith_sanguan เขียน:ก็ไม่ต้องคุยมากสิครับ ปฏิบัติใคร ปฎิบัติมัน ตัวใครก็ตัวมัน เวลาติดค่อยมาถาม
คุยกับพี่ป้อม ท่านก็แนะนำผมตลอด ครับ ไม่มีปัญหาครับ :lol:
พี่ๆในนี้ คุยกันก็ได้ประโยชน์ดีครับ
ผมนั้นถ้าเปรียบความรู้ทางธรรมที่มีอยู่
ก็คงพอๆกับหางอึ่ง
ที่คุยๆกับสมิทธิพอได้บ้างนั้น
เพราะรู้ัจักหน้าค่าตากัน เป็นพี่เป็นน้องกัน
หนักนิดเบาหน่อยก็ฟังความเห็นกันไว้ก่อน
ที่พี่มิบอกน่ะเรื่องจริงนะครับ
ส่วนใหญ่ยิ่งภาวนายิ่งอัตตาเยอะ...ฮ่า...
กรูเก่ง กิเลสเก่งกว่า
-
- Verified User
- โพสต์: 1455
- ผู้ติดตาม: 0
ธรรมะ ธรรมชาติ
โพสต์ที่ 1265
ความสงสัยเกี่ยวกับสวรรค์นั้นมีมาช้านาน
นับจากประเด็นร้อนคือสวรรค์มีหรือไม่มี
แค่นี้ก็ยากแล้วที่จะผ่านความสงสัย
หรือหาข้อยุติลงตัวสำหรับคนทั่วโลกไปได้
ต่อให้ผ่านความสงสัย
กลายเป็นปักใจเชื่อแน่ว่ามีจริง
ก็อาจเกิดข้อสงสัยต่ออีกว่าสวรรค์เป็นอย่างไร
สถาปัตยกรรมจะเป็นไทยๆหรือของฝรั่ง?
ถ้าเป็นไทย จะไทยเดิมหรือไทยประยุกต์?
แล้วหน้าตาเทวดานางฟ้าล่ะ
มีเทวดาไทย จีน แขก ฝรั่ง แยกเป็นพวกๆไหม?
สิ่งที่ไม่รู้ว่ามีจริงหรือไม่มีจริง
ทำให้คุณเกิดคำถามเพื่อชวนตีกันไม่รู้จบมากกว่าอย่างอื่น
สมมุติว่าคุณได้คำตอบข้างต้นหมดแล้ว
และมาสนใจศาสนาพุทธจริงจัง
ถึงขั้นเจริญสติคาดหวังมรรคผล
ก็อาจเกิดข้อสงสัยใหม่ตามมาอีกนะครับ
นั่นคือถ้าชาตินี้คุณไปไม่รอด
เจริญสติได้แค่ "ปิดอบายชาติเดียว"
ตายเมื่อไรไปพักบนสวรรค์เมื่อนั้น
คำถามคือ "บนสวรรค์เจริญสติต่อได้หรือเปล่า?"
คำตอบที่มักได้ยินกันคือมีสิทธิ์เจริญสติต่อบนสวรรค์ได้
ถ้าเมื่อครั้งเป็นมนุษย์เจริญสติ
จนสามารถรู้ลมหายใจเข้าออกโดยความเป็นอนิจจังได้
หรือสามารถรู้สุขทุกข์ ความจำได้หมายรู้ เจตนาดีชั่ว
หรือการรับรู้ทางอายตนะต่างๆ
โดยความเป็นอนิจจัง หรือโดยความเป็นอนัตตาได้
พูดง่ายๆคือต้องมีดีติดตัวมาเป็นทุน
มีความสามารถเห็นความไม่เที่ยงและความไม่ใช่ตัวตน
ถึงจะไปรู้ลมหายใจทิพย์
ตลอดจนสุขทุกข์ทางใจ ความทรงจำ เจตนา
และการรับรู้ผ่านอายตนะต่างๆ
โดยความเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาไหว
แต่ในความเป็นจริง
คัมภีร์ก็บอกอยู่นะครับว่า
ถ้าเจริญสติได้จริงจะไม่อยากพัก
ไม่อยากหลงสวรรค์นาน
จะอธิษฐาน "ฆ่าตัวตาย" เพื่อลงมาเกิดเป็นมนุษย์
บำเพ็ญบารมีเอามรรคเอาผลต่อไปเลย
นั่นเพราะอะไร? เพราะสวรรค์ยิ่งกว่าสิ่งเสพติด
เป็นเครื่องหน่วงเหนี่ยวไม่ให้ "อยาก" ถึงมรรคถึงผลกัน
จิตที่ถูกย้อมให้เมาในรสสัมผัส
อาจผูกยึดหรือเกิดอุปาทานได้ขนาดไหนก็คิดดูแล้วกัน
ปัจจุบันฆ่าตัวตายหวังสวรรค์ก็มีให้เกลื่อน
พระราชาในอดีตฝันเห็นสวรรค์
แล้วเต็มใจบูชายัญลูกเมียเพื่อให้ได้ไปสวรรค์ก็มีในชาดก
เราสามารถอนุมานได้ว่าสวรรค์น่าติดใจขนาดไหน
ก็จากเทคโนโลยีที่เริ่มจำลองสวรรค์ได้ใกล้เคียงเข้าไปทุกที
คือหลอกหูหลอกตา หลอกอายตนะหยาบให้ปรุงแต่งไป
จนยึดมั่นรุนแรงไม่ต่างจากขึ้นสวรรค์ทั้งเป็นมาแล้ว
ตัวอย่างล่าสุดที่คงทำให้หลายคนร่วมรับรู้
คงได้แก่ข่าวที่มีแฟนคลับหนังเรื่องอวตาร
ซึ่งสร้างทำโดยเจมส์ คาเมรอน
บางคนคลั่งไคล้ขนาดอยากฆ่าตัวตาย
เพื่อให้ได้ไปอยู่บนดาวแพนดอร่าแบบในหนัง
CNN ถึงขนาดเอามาตีเป็นข่าวใหญ่
http://edition.cnn.com/2010/SHOWBIZ/Mov ... index.html
คนที่ไม่เข้าใจก็จะถากถางทันทีว่าเป็นพวกบ้องตื้น
แต่ถ้าอ่านรายละเอียดให้ดีก็จะพบว่าพวกที่ชั่งใจแบบนี้จริงๆ
ที่แท้มีแนวโน้มอยาก "เปลี่ยนชีวิตที่น่าเบื่อให้สดใสขึ้น"
หรือ "จบชีวิตเส็งเคร็งให้พ้นๆไปที" อยู่ก่อนหน้า
พอมาเจอสภาพความเป็นอยู่ที่มีสีสันน่าตื่นตาตื่นใจ
แถมสมจริงด้วยระบบสามมิติใหม่ล่าสุด
ก็เลยเกิดอาการแบบเดียวกับพวกที่พร้อมทิ้งชีวิตเก่าไปหาชีวิตใหม่
ไม่ใช่เรื่องน่าประหลาดใจอันใดเลย
ประเด็นที่น่าสนใจคือ
ถ้าสมมุติว่าดาวแพนดอร่าในหนังอวตาร
ให้ความรู้สึกใกล้เคียงกับสวรรค์ยิ่งกว่าประสบการณ์ไหนๆที่ผ่านมา
สวรรค์จริงๆจะเป็นสิ่งที่เรายอมทิ้งขว้างเพื่อเอามรรคเอาผลกันไหม?
ลองพิจารณาว่าหนังเรื่องอวตารนั้น
เหมือนเหมารวมเอาแฟนตาซีทั้งหมดมาอยู่ในเรื่องเดียว
ไม่ว่าจะเป็นนิยายวิทยาศาสตร์บนดินแดนอื่นในห้วงอวกาศลึก
สัตว์ใหญ่ยุคดึกดำบรรพ์แบบไดโนเสาร์
หมู่ไม้สีสันวิจิตรที่เรืองแสงได้เหมือนในเทพนิยาย
ตลอดจนสิ่งมีชีวิตครึ่งคนครึ่งสัตว์
ที่มีทั้งความวิจิตรและความน่าพรั่นในตัวเอง
เหตุแห่งความสำเร็จในเชิงลึก
ก็คือความสมจริงของชาวนาวีในหนัง
ที่คาเมรอนจ้างนักภาษาศาสตร์ให้สร้างภาษานาวีขึ้นมาจริงๆ
http://www.learnnavi.org/
พอดูแล้วจึง "เหมือนจริง" เสียจนทำลายความตระหนัก
ว่ากำลังดูหนังอยู่ ให้กลายเป็นหลายวูบ
แห่งความเชื่อว่าเป็นเรื่องจริงอย่างไรอย่างนั้นเลยทีเดียว
สำหรับผู้ที่เคยอ่านเรื่องบนสวรรค์
ที่ปรากฏอยู่ในพระไตรปิฎก
ก็คงบอกได้ว่าดาวแพนดอร่ายังห่างชั้นจากความเป็นสวรรค์มากนัก
แต่ห่างชั้นแล้วยังทำให้คนติดหลงขนาดนี้
สวรรค์จริงจะมิยิ่งกระชากใจ
ให้ปักดิ่งลงไปลึกกว่ากันหลายร้อยเท่าหรอกหรือ?
คราวนี้คงนึกออกนะครับว่าบนสวรรค์
เป็นที่ที่เหมาะกับผู้ปรารถนาการเข้าสู่นิพพานไหม
แฟนคลับของอวตารทุกคนรู้ว่าอวตารไม่ใช่เรื่องจริง
เป็นฝีมือของพ่อมดยักษ์แห่งแดนฮอลลีวู้ด
แต่ก็ห้ามใจไม่ให้ยึดติดอยู่กับมันไม่ได้
นี่ก็คงเปรียบเหมือนกับนักเจริญสติที่เข้าใกล้มรรคผล
หรือแม้กระทั่งโสดาบันบุคคล
ผู้รู้ชัดเจนแจ่มแจ้งว่ากายใจเป็นแค่เรื่องหลอกให้หลงยึดติด
แต่ก็ยังอดติดใจอยู่ไม่ได้
เพราะยังประหารกิเลสข้อราคะ โทสะ โมหะไม่ขาด
ต้องเรียนรู้ที่จะถอดกิเลสต่อทีละเปลาะ
จิตที่ยึดมั่นนั้น
จะยึดมั่นแน่นเหนียวได้แค่ไหน
ต้องขึ้นอยู่กับแรงดึงดูดของแม่เหล็กด้วย
ถ้าเลือกที่จะสละ เลือกที่ผละออก
ก็จำเป็นต้องอยู่ในที่ที่แรงดึงดูดของแม่เหล็ก
ไม่ทรงพลังกล้าแข็งจนเกินแรงต้านไป
สำหรับบรรดานักเจริญสติทั้งหลาย
ถ้าพบความทุกข์ในโลกนี้บ้าง
ก็เห็นค่าของมันเถิดครับ
เห็นมันเป็นแรงช่วยผลักออก
ให้เราอยากผละหนี ไม่เอาแต่มัวเมาและติดอยู่
ถ้าไปอยู่ได้พร้อมกันทั้งบนสวรรค์และในโลก
คุณจะทราบว่าสถานีต้นทางสู่นิพพานนั้น
ไม่มีที่ใดใกล้กว่าโลกมนุษย์นี้อีกแล้ว
ดังตฤณ
กุมภาพันธ์ ๕๓
นับจากประเด็นร้อนคือสวรรค์มีหรือไม่มี
แค่นี้ก็ยากแล้วที่จะผ่านความสงสัย
หรือหาข้อยุติลงตัวสำหรับคนทั่วโลกไปได้
ต่อให้ผ่านความสงสัย
กลายเป็นปักใจเชื่อแน่ว่ามีจริง
ก็อาจเกิดข้อสงสัยต่ออีกว่าสวรรค์เป็นอย่างไร
สถาปัตยกรรมจะเป็นไทยๆหรือของฝรั่ง?
ถ้าเป็นไทย จะไทยเดิมหรือไทยประยุกต์?
แล้วหน้าตาเทวดานางฟ้าล่ะ
มีเทวดาไทย จีน แขก ฝรั่ง แยกเป็นพวกๆไหม?
สิ่งที่ไม่รู้ว่ามีจริงหรือไม่มีจริง
ทำให้คุณเกิดคำถามเพื่อชวนตีกันไม่รู้จบมากกว่าอย่างอื่น
สมมุติว่าคุณได้คำตอบข้างต้นหมดแล้ว
และมาสนใจศาสนาพุทธจริงจัง
ถึงขั้นเจริญสติคาดหวังมรรคผล
ก็อาจเกิดข้อสงสัยใหม่ตามมาอีกนะครับ
นั่นคือถ้าชาตินี้คุณไปไม่รอด
เจริญสติได้แค่ "ปิดอบายชาติเดียว"
ตายเมื่อไรไปพักบนสวรรค์เมื่อนั้น
คำถามคือ "บนสวรรค์เจริญสติต่อได้หรือเปล่า?"
คำตอบที่มักได้ยินกันคือมีสิทธิ์เจริญสติต่อบนสวรรค์ได้
ถ้าเมื่อครั้งเป็นมนุษย์เจริญสติ
จนสามารถรู้ลมหายใจเข้าออกโดยความเป็นอนิจจังได้
หรือสามารถรู้สุขทุกข์ ความจำได้หมายรู้ เจตนาดีชั่ว
หรือการรับรู้ทางอายตนะต่างๆ
โดยความเป็นอนิจจัง หรือโดยความเป็นอนัตตาได้
พูดง่ายๆคือต้องมีดีติดตัวมาเป็นทุน
มีความสามารถเห็นความไม่เที่ยงและความไม่ใช่ตัวตน
ถึงจะไปรู้ลมหายใจทิพย์
ตลอดจนสุขทุกข์ทางใจ ความทรงจำ เจตนา
และการรับรู้ผ่านอายตนะต่างๆ
โดยความเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาไหว
แต่ในความเป็นจริง
คัมภีร์ก็บอกอยู่นะครับว่า
ถ้าเจริญสติได้จริงจะไม่อยากพัก
ไม่อยากหลงสวรรค์นาน
จะอธิษฐาน "ฆ่าตัวตาย" เพื่อลงมาเกิดเป็นมนุษย์
บำเพ็ญบารมีเอามรรคเอาผลต่อไปเลย
นั่นเพราะอะไร? เพราะสวรรค์ยิ่งกว่าสิ่งเสพติด
เป็นเครื่องหน่วงเหนี่ยวไม่ให้ "อยาก" ถึงมรรคถึงผลกัน
จิตที่ถูกย้อมให้เมาในรสสัมผัส
อาจผูกยึดหรือเกิดอุปาทานได้ขนาดไหนก็คิดดูแล้วกัน
ปัจจุบันฆ่าตัวตายหวังสวรรค์ก็มีให้เกลื่อน
พระราชาในอดีตฝันเห็นสวรรค์
แล้วเต็มใจบูชายัญลูกเมียเพื่อให้ได้ไปสวรรค์ก็มีในชาดก
เราสามารถอนุมานได้ว่าสวรรค์น่าติดใจขนาดไหน
ก็จากเทคโนโลยีที่เริ่มจำลองสวรรค์ได้ใกล้เคียงเข้าไปทุกที
คือหลอกหูหลอกตา หลอกอายตนะหยาบให้ปรุงแต่งไป
จนยึดมั่นรุนแรงไม่ต่างจากขึ้นสวรรค์ทั้งเป็นมาแล้ว
ตัวอย่างล่าสุดที่คงทำให้หลายคนร่วมรับรู้
คงได้แก่ข่าวที่มีแฟนคลับหนังเรื่องอวตาร
ซึ่งสร้างทำโดยเจมส์ คาเมรอน
บางคนคลั่งไคล้ขนาดอยากฆ่าตัวตาย
เพื่อให้ได้ไปอยู่บนดาวแพนดอร่าแบบในหนัง
CNN ถึงขนาดเอามาตีเป็นข่าวใหญ่
http://edition.cnn.com/2010/SHOWBIZ/Mov ... index.html
คนที่ไม่เข้าใจก็จะถากถางทันทีว่าเป็นพวกบ้องตื้น
แต่ถ้าอ่านรายละเอียดให้ดีก็จะพบว่าพวกที่ชั่งใจแบบนี้จริงๆ
ที่แท้มีแนวโน้มอยาก "เปลี่ยนชีวิตที่น่าเบื่อให้สดใสขึ้น"
หรือ "จบชีวิตเส็งเคร็งให้พ้นๆไปที" อยู่ก่อนหน้า
พอมาเจอสภาพความเป็นอยู่ที่มีสีสันน่าตื่นตาตื่นใจ
แถมสมจริงด้วยระบบสามมิติใหม่ล่าสุด
ก็เลยเกิดอาการแบบเดียวกับพวกที่พร้อมทิ้งชีวิตเก่าไปหาชีวิตใหม่
ไม่ใช่เรื่องน่าประหลาดใจอันใดเลย
ประเด็นที่น่าสนใจคือ
ถ้าสมมุติว่าดาวแพนดอร่าในหนังอวตาร
ให้ความรู้สึกใกล้เคียงกับสวรรค์ยิ่งกว่าประสบการณ์ไหนๆที่ผ่านมา
สวรรค์จริงๆจะเป็นสิ่งที่เรายอมทิ้งขว้างเพื่อเอามรรคเอาผลกันไหม?
ลองพิจารณาว่าหนังเรื่องอวตารนั้น
เหมือนเหมารวมเอาแฟนตาซีทั้งหมดมาอยู่ในเรื่องเดียว
ไม่ว่าจะเป็นนิยายวิทยาศาสตร์บนดินแดนอื่นในห้วงอวกาศลึก
สัตว์ใหญ่ยุคดึกดำบรรพ์แบบไดโนเสาร์
หมู่ไม้สีสันวิจิตรที่เรืองแสงได้เหมือนในเทพนิยาย
ตลอดจนสิ่งมีชีวิตครึ่งคนครึ่งสัตว์
ที่มีทั้งความวิจิตรและความน่าพรั่นในตัวเอง
เหตุแห่งความสำเร็จในเชิงลึก
ก็คือความสมจริงของชาวนาวีในหนัง
ที่คาเมรอนจ้างนักภาษาศาสตร์ให้สร้างภาษานาวีขึ้นมาจริงๆ
http://www.learnnavi.org/
พอดูแล้วจึง "เหมือนจริง" เสียจนทำลายความตระหนัก
ว่ากำลังดูหนังอยู่ ให้กลายเป็นหลายวูบ
แห่งความเชื่อว่าเป็นเรื่องจริงอย่างไรอย่างนั้นเลยทีเดียว
สำหรับผู้ที่เคยอ่านเรื่องบนสวรรค์
ที่ปรากฏอยู่ในพระไตรปิฎก
ก็คงบอกได้ว่าดาวแพนดอร่ายังห่างชั้นจากความเป็นสวรรค์มากนัก
แต่ห่างชั้นแล้วยังทำให้คนติดหลงขนาดนี้
สวรรค์จริงจะมิยิ่งกระชากใจ
ให้ปักดิ่งลงไปลึกกว่ากันหลายร้อยเท่าหรอกหรือ?
คราวนี้คงนึกออกนะครับว่าบนสวรรค์
เป็นที่ที่เหมาะกับผู้ปรารถนาการเข้าสู่นิพพานไหม
แฟนคลับของอวตารทุกคนรู้ว่าอวตารไม่ใช่เรื่องจริง
เป็นฝีมือของพ่อมดยักษ์แห่งแดนฮอลลีวู้ด
แต่ก็ห้ามใจไม่ให้ยึดติดอยู่กับมันไม่ได้
นี่ก็คงเปรียบเหมือนกับนักเจริญสติที่เข้าใกล้มรรคผล
หรือแม้กระทั่งโสดาบันบุคคล
ผู้รู้ชัดเจนแจ่มแจ้งว่ากายใจเป็นแค่เรื่องหลอกให้หลงยึดติด
แต่ก็ยังอดติดใจอยู่ไม่ได้
เพราะยังประหารกิเลสข้อราคะ โทสะ โมหะไม่ขาด
ต้องเรียนรู้ที่จะถอดกิเลสต่อทีละเปลาะ
จิตที่ยึดมั่นนั้น
จะยึดมั่นแน่นเหนียวได้แค่ไหน
ต้องขึ้นอยู่กับแรงดึงดูดของแม่เหล็กด้วย
ถ้าเลือกที่จะสละ เลือกที่ผละออก
ก็จำเป็นต้องอยู่ในที่ที่แรงดึงดูดของแม่เหล็ก
ไม่ทรงพลังกล้าแข็งจนเกินแรงต้านไป
สำหรับบรรดานักเจริญสติทั้งหลาย
ถ้าพบความทุกข์ในโลกนี้บ้าง
ก็เห็นค่าของมันเถิดครับ
เห็นมันเป็นแรงช่วยผลักออก
ให้เราอยากผละหนี ไม่เอาแต่มัวเมาและติดอยู่
ถ้าไปอยู่ได้พร้อมกันทั้งบนสวรรค์และในโลก
คุณจะทราบว่าสถานีต้นทางสู่นิพพานนั้น
ไม่มีที่ใดใกล้กว่าโลกมนุษย์นี้อีกแล้ว
ดังตฤณ
กุมภาพันธ์ ๕๓
อย่าทำตัวเป็นนักแสดง เป็นเพียงผู้ดูก็พอ..
- por_jai
- Verified User
- โพสต์: 14338
- ผู้ติดตาม: 0
ธรรมะ ธรรมชาติ
โพสต์ที่ 1266
หนุ่มสุราษฎร์ส่งมาให้อ่าน
ต้องมาแบ่งกันอ่านจึงจะถูก
มีเนื้อหาน่าอ่านมากมายจริงๆครับ
หลวงปู่ทวด วัดช้างให้ จ.ปัตตานี
ท่านเป็นพระมหาเถระที่รู้จักกันทั่วประเทศ ในนาม " หลวงปู่ทวด เหยียบน้ำทะเลจืด "
คาถาบูชาท่าน คือ นะโม โพธิสัตโต อาคันติมายะ อิติภะคะวา
ชาติกาล 3 มีนาคม พ.ศ. 2125
ชาติภูมิ บ้านเลียบ ต.ดีหลวง อ.สทิงพระ จ.สงขลา
บรรพชา เมื่ออายุได้ 15 ปี
อุปสมบท เมื่ออายุ 20 ปี
มรณภาพ 6 มีนาคม พ.ศ. 2225
สิริรวมอายุได้ 99 ปี
คติธรรมคำสอน ของ หลวงปู่ทวด
ธรรมประจำใจ
พูดมาก เสียมาก พูดน้อย เสียน้อย ไม่พูด ไม่เสีย นิ่งเสีย โพธิสัตว์
ละได้ย่อมสงบ
ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ ล้วนแต่เคลื่อนที่ไปสู่ความเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
ทุกอย่างในโลกนี้ เคลื่อนไปสู่การสลายตัวทั้งสิ้น ไม่ยึด ไม่ทุกข์ ไม่สุข ละได้ย่อมสงบ
สันดาน
ภูเขาถูกมนุษย์ทำลายลงมาได ้
แต่สันดานของคนเราที่นอนนิ่งอยู่ในก้นบึ้ง
ซึ่งไม่เหมือนกันย่อมขัดเกลาให้ดีเหมือนกันได้ยาก
ชีวิตทุกข์
การเกิดมาเป็นมนุษย์ชาติหนึ่ง จะว่าประเสริฐก็ประเสริฐ จะว่าไม่ประเสริฐก็ไม่ประเสริฐ
จะเห็นได้ว่า ตื่นเช้าก็มีความทุกข์เข้าครอบงำ
จะต้องล้างหน้า ล้างปาก ล้งฟัน ล้างมือ
เสร็จแล้วจะต้องกินต้องถ่าย นี่คือความทุกข์แห่งกายเนื้อ
เมื่อเราจะออกจากบ้าน
ก็จะประสบความทุกข์ในหมู่คณะ ในการงาน ในสัมมาอาชีวะ การเลี้ยงตนชอบ
นี่คือ ความทุกข์ในการแสวงหาปัจจัย
บรรเทาทุกข์
การที่เราจะไม่ต้องทุกข์มากนั้น
เราจะต้องรู้ว่า เรานี้จะต้องไม่เอาชีวิตไปฝากสังคม เราต้องเป็นตัวของเราเอง
และเราจะต้องวินิจฉัยในเหตุการณ์ที่จะเข้ามาเกี่ยวข้องกับตัวเราว่า สิ่งใดเราควรทำ สิ่งใดไม่ควรทำ
ยากกว่าการเกิด
ในการที่เราเกิดมา ชีวิตแห่งการเกิดนั้นง่าย แต่ชีวิตแห่งการอยู่นั้นสิยาก
เราจะทำอย่างไรให้อยู่ได้อย่างสุขสบาย
ไม่สิ้นสุด
แม่น้ำทะเล และมหาสมุทร ไม่มีที่สิ้นสุดของน้ำ ฉันใด
กิเลสตัณหาของมนุษย์ก็ย่อมไม่มีที่สิ้นสุด ฉันนั้น
ยึดจึงเดือดร้อน
ทุกวันนี้ เกิดความทุกข์ ความเดือดร้อน ก็เพราะมนุษย์ไปยึดโนน่ ยึดนี่
ยึดพวกยึดพ้อง ยึดหมู่ยึดคณะยึดประเทศเป็นสรณะ โดยไม่คำนึงถึงธรรมสากล
จักรวาลโลกมนุษยนี้ ทุกคนมีกรรมจึงเกิดมาเป็นสัตว์โลก
สัตว์โลกทุกคนต้องใช้กรรมตามวาระ ตามกรรม
ถ้าทุกคนยึดถือเป็นอารมณ์ ก็จะเกิดการเข่นฆ่ากัน เกิดการฆ่าฟันกัน
เพราะอารมณ์แห่งการยึดถืออายตนะ ฉะนั้น ต้องพิจารณาให้ถ่องแท้ว่า
สิ่งใดทำแล้ว สัตว์โลกมีความสุข สิ่งนั้นควรทำ นี่คือ หลักความจริงของธรรมะ
อยู่ให้สบาย
ในภาวะแห่งการที่จะอยู่อย่างสบายนั้น
เราต้องอยู่กันอย่างไม่ยึด อยู่กันอย่างไม่ยินดี อยู่กันอย่างไม่ยินร้าย
อยู่กันอย่างพยายามให้จิตวิญญาณของนามธรรมนั้นเหนืออารมณ์
เหนือคำสรรเสริญ เหนือนินทา เหนือความผิดหวัง เหนือความสำเร็จ เหนือรัก เหนือชัง
ธรรมารมณ์
การอยู่อย่างมีธรรมารมณ์ คือ การอยู่เหนือความรู้สึกทั้งปวง
อยู่อย่างรู้หน้าที่การเป็นคน และรู้หน้าที่ในการงาน คือ รู้ว่าสิ่งที่เราทำนั้น เป็นสิ่งที่เราต้องทำ
ไม่ใช่ทำเพื่อหวังผลตอบแทน เพราะถ้าเราทำงานเพื่อหวังผลตอบแทนต่างๆ แล้ว
ถ้าสิ่งต่างๆไม่สัมฤทธิ์ผลตามความหวังนั้น เราย่อมเกิดความโทมนัส เสียใจน้อยใจ เป็นทุกข์
กรรม
ถ้าเรามีชีวิตอยู่อย่างทีว่า
เกิดเพราะกรรม อยู่เพื่อกรรม ทำเพราะกรรม ตายเพราะกรรมแล้ว
ชีวิตการเป็นมนุษย์ย่อมมีความภิรมย์ มีความรื่นเริง
มารยาทของผู้เป็นใหญ่
ผู้ใหญ่ไม่ใช่อยู่ที่เกิดก่อน ผู้ดีไม่ใช่อยู่ที่เรียนสูง
มารยาทจรรยาของการเป็นผู้ใหญ่ ก็คือต้องสุขุมรอบคอบ และไม่ยึดติดเสียงเป็นหลัก
คือ ต้องไม่หวั่นไหวกับคำนินทาและสรรเสริญ
โลกิยะ หรือ โลกุตระ
คนที่เดินทางโลกุตระ ย่อมไปดีทางโลกิยะไม่ได้
คนที่เดินทางโลกิยะ ย่อมสำเร็จทางโลกุตระได้ยาก เพราะอะไร ?
ถ้าคนหนึ่งสำเร็จได้ทั้งโลกิยะ และโลกุตระง่ายแล้ว
ทำไม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธโคดม ต้องสละราชบัลลังก์แห่งจักรพรรดิไปเป็นธรรมราชาเล่า ?
ถ้าเป็นไปได้ พระองค์เป็นมหาจักรพรรดิพร้อมทั้งธรรมราชา ไม่ดีหรือ ?
แต่มันเป็นไปไม่ได้ เพราะโลกของโลกิยะและโลกุตระเดินคู่ขนานกัน
เราต้องตัดสินใจ ต้องมีความเด็ดเดี่ยวและกล้าหาญในการที่จะเลือกทางใดทางหนึ่ง
ศิษย์แท้
พิจารณากายในกาย พิจารณาธรรมในธรรม พิจารณาวิญญาณ ในวิญญาณ
นั่นแหละ คือ สานุศิษย์อันแท้จริงของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
รู้ซึ้ง
ทุกอย่างจะต้องมีเหตุ เมื่อมีเหตุจึงจะมีผล ผลนั้นเกิดจากเหตุ
เราได้วินิจฉัยข้อนี้แล้ว เราจึงรู้ซึ้งถึงพุทธศาสนา
ใจสำคัญ
การทำบุญนั้น จะต้องทำด้วยจิตใจบริสุทธิ์
จะต้องทำด้วยความศรัทธา
ผลสะท้อนมันจะเกิดขึ้นเกินความคาดหมาย
หยุดพิจารณา
คนเรานี้ ถ้าไม่มีอะไรทำอยู่ในที่วิเวกคนเดียว จิตมันจะฟุ้งซ่าน
และถ้าภาวะนั้น ตนไม่ปล่อยให้จิตฟุ้งซ่านไปเรื่อยๆ คือ หยุดพิจารณา
แล้วค้นสัจจะของ ศีล สมาธิ ปัญญา ย่อมที่จะค้นหาสัจจะในธรรมะได้
บริจาค
ทำบุญสังฆทานเป็นจาคะ จาคะเป็นการบริจาคโภคทรัพย์ภายนอก
การสวดมนต์เป็นการภาวนา การภาวนาเป็นการบริจาคภายใน
เพราะฉะนั้น ถ้านับในด้านทิพย์อำนาจ
การบริจาคภายในย่อมได้กุศล มากว่า การบริจาคภายนอก
นี่คือเรื่องของนามธรรม
ทำด้วยใจสงบ
เราจะทำบุญก็ดี เราจะทำอะไรก็ดี จงทำด้วยความสงบ
อย่าทำด้วยอารมณ์แห่งความร้อน เพราะการทำด้วยอารมณ์ร้อนนั้น มันจะพาเราไปสู่หายนะ
เมื่อเกิดอารมณ์ร้อน เราจะทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง จงอย่าทำ
นั่งให้จิตใจมันสบายเสียก่อน เมื่อจิตใจสบายแล้ว ปัญญาก็เกิด
เมื่อเกิดปัญญาแล้ว จะทำสิ่งใดก็เป็นไปโดยความสะดวก
มีสติพร้อม
จะทำสิ่งใดก็ตาม เราต้องมีสติพร้อม
คือ อย่าให้มีโทสะ อย่าให้อารมณ์เข้ามาควบคุมสติ
อย่าให้เรื่องส่วนตัวและขาดเหตุผล มาอยู่เหนือความจริง
เตือนมนุษย์
มนุษย์ผู้ใด เห็นแก่งานส่วนตัว มนุษย์ผู้นั้น จะไม่มีง านทำในไม่ช้า
มนุษย์ผู้ใด เห็นแก่ทรัพย์ส่วนตัว มนุษย์ผู้นั้น จะไม่มีทรัพย์ครองในไม่ช้า
มนุษย์ผู้ใด เห็นแก่นอนมาก มนุษย์ผู้นั้น จะไม่ได้นอนในไม่ช้า
พิจารณาตัวเอง
คืนหนึ่งก็ดี วันหนึ่งก็ดี ควรให้มีเวลาว่างสัก 5 นาที หรือ 10 นาที ไม่ติดต่อกับใคร
ให้นั่งเฉยๆ คิดถึงเหตุการณ์ที่เราทำไปแต่ละวันๆ ว่า ที่เราทำไปนั้นเป็นอย่างไร
คือให้ปลีกตัวมีเวลาเป็นของตัวเองบ้าง คิดเอาแต่เรื่องของตัว อย่าไปคิดเรื่องของคนอื่น
เพราะมนุษย์เราส่วนมากทุกวันนี้ มักเอาแต่เรื่องของคนอื่นมาคิด ไม่ค่อยคิดเรื่องของตัวเอง
คัดลอกจากหนังสือ เรียนธรรมะบูชาพระสุปฏิปันโน เล่มของหลวงปู่ทวด
ขอให้ทุกท่านเจริญในธรรม
ธรรมะของหลวงปู่ทวด
ต้องมาแบ่งกันอ่านจึงจะถูก
มีเนื้อหาน่าอ่านมากมายจริงๆครับ
หลวงปู่ทวด วัดช้างให้ จ.ปัตตานี
ท่านเป็นพระมหาเถระที่รู้จักกันทั่วประเทศ ในนาม " หลวงปู่ทวด เหยียบน้ำทะเลจืด "
คาถาบูชาท่าน คือ นะโม โพธิสัตโต อาคันติมายะ อิติภะคะวา
ชาติกาล 3 มีนาคม พ.ศ. 2125
ชาติภูมิ บ้านเลียบ ต.ดีหลวง อ.สทิงพระ จ.สงขลา
บรรพชา เมื่ออายุได้ 15 ปี
อุปสมบท เมื่ออายุ 20 ปี
มรณภาพ 6 มีนาคม พ.ศ. 2225
สิริรวมอายุได้ 99 ปี
คติธรรมคำสอน ของ หลวงปู่ทวด
ธรรมประจำใจ
พูดมาก เสียมาก พูดน้อย เสียน้อย ไม่พูด ไม่เสีย นิ่งเสีย โพธิสัตว์
ละได้ย่อมสงบ
ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ ล้วนแต่เคลื่อนที่ไปสู่ความเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
ทุกอย่างในโลกนี้ เคลื่อนไปสู่การสลายตัวทั้งสิ้น ไม่ยึด ไม่ทุกข์ ไม่สุข ละได้ย่อมสงบ
สันดาน
ภูเขาถูกมนุษย์ทำลายลงมาได ้
แต่สันดานของคนเราที่นอนนิ่งอยู่ในก้นบึ้ง
ซึ่งไม่เหมือนกันย่อมขัดเกลาให้ดีเหมือนกันได้ยาก
ชีวิตทุกข์
การเกิดมาเป็นมนุษย์ชาติหนึ่ง จะว่าประเสริฐก็ประเสริฐ จะว่าไม่ประเสริฐก็ไม่ประเสริฐ
จะเห็นได้ว่า ตื่นเช้าก็มีความทุกข์เข้าครอบงำ
จะต้องล้างหน้า ล้างปาก ล้งฟัน ล้างมือ
เสร็จแล้วจะต้องกินต้องถ่าย นี่คือความทุกข์แห่งกายเนื้อ
เมื่อเราจะออกจากบ้าน
ก็จะประสบความทุกข์ในหมู่คณะ ในการงาน ในสัมมาอาชีวะ การเลี้ยงตนชอบ
นี่คือ ความทุกข์ในการแสวงหาปัจจัย
บรรเทาทุกข์
การที่เราจะไม่ต้องทุกข์มากนั้น
เราจะต้องรู้ว่า เรานี้จะต้องไม่เอาชีวิตไปฝากสังคม เราต้องเป็นตัวของเราเอง
และเราจะต้องวินิจฉัยในเหตุการณ์ที่จะเข้ามาเกี่ยวข้องกับตัวเราว่า สิ่งใดเราควรทำ สิ่งใดไม่ควรทำ
ยากกว่าการเกิด
ในการที่เราเกิดมา ชีวิตแห่งการเกิดนั้นง่าย แต่ชีวิตแห่งการอยู่นั้นสิยาก
เราจะทำอย่างไรให้อยู่ได้อย่างสุขสบาย
ไม่สิ้นสุด
แม่น้ำทะเล และมหาสมุทร ไม่มีที่สิ้นสุดของน้ำ ฉันใด
กิเลสตัณหาของมนุษย์ก็ย่อมไม่มีที่สิ้นสุด ฉันนั้น
ยึดจึงเดือดร้อน
ทุกวันนี้ เกิดความทุกข์ ความเดือดร้อน ก็เพราะมนุษย์ไปยึดโนน่ ยึดนี่
ยึดพวกยึดพ้อง ยึดหมู่ยึดคณะยึดประเทศเป็นสรณะ โดยไม่คำนึงถึงธรรมสากล
จักรวาลโลกมนุษยนี้ ทุกคนมีกรรมจึงเกิดมาเป็นสัตว์โลก
สัตว์โลกทุกคนต้องใช้กรรมตามวาระ ตามกรรม
ถ้าทุกคนยึดถือเป็นอารมณ์ ก็จะเกิดการเข่นฆ่ากัน เกิดการฆ่าฟันกัน
เพราะอารมณ์แห่งการยึดถืออายตนะ ฉะนั้น ต้องพิจารณาให้ถ่องแท้ว่า
สิ่งใดทำแล้ว สัตว์โลกมีความสุข สิ่งนั้นควรทำ นี่คือ หลักความจริงของธรรมะ
อยู่ให้สบาย
ในภาวะแห่งการที่จะอยู่อย่างสบายนั้น
เราต้องอยู่กันอย่างไม่ยึด อยู่กันอย่างไม่ยินดี อยู่กันอย่างไม่ยินร้าย
อยู่กันอย่างพยายามให้จิตวิญญาณของนามธรรมนั้นเหนืออารมณ์
เหนือคำสรรเสริญ เหนือนินทา เหนือความผิดหวัง เหนือความสำเร็จ เหนือรัก เหนือชัง
ธรรมารมณ์
การอยู่อย่างมีธรรมารมณ์ คือ การอยู่เหนือความรู้สึกทั้งปวง
อยู่อย่างรู้หน้าที่การเป็นคน และรู้หน้าที่ในการงาน คือ รู้ว่าสิ่งที่เราทำนั้น เป็นสิ่งที่เราต้องทำ
ไม่ใช่ทำเพื่อหวังผลตอบแทน เพราะถ้าเราทำงานเพื่อหวังผลตอบแทนต่างๆ แล้ว
ถ้าสิ่งต่างๆไม่สัมฤทธิ์ผลตามความหวังนั้น เราย่อมเกิดความโทมนัส เสียใจน้อยใจ เป็นทุกข์
กรรม
ถ้าเรามีชีวิตอยู่อย่างทีว่า
เกิดเพราะกรรม อยู่เพื่อกรรม ทำเพราะกรรม ตายเพราะกรรมแล้ว
ชีวิตการเป็นมนุษย์ย่อมมีความภิรมย์ มีความรื่นเริง
มารยาทของผู้เป็นใหญ่
ผู้ใหญ่ไม่ใช่อยู่ที่เกิดก่อน ผู้ดีไม่ใช่อยู่ที่เรียนสูง
มารยาทจรรยาของการเป็นผู้ใหญ่ ก็คือต้องสุขุมรอบคอบ และไม่ยึดติดเสียงเป็นหลัก
คือ ต้องไม่หวั่นไหวกับคำนินทาและสรรเสริญ
โลกิยะ หรือ โลกุตระ
คนที่เดินทางโลกุตระ ย่อมไปดีทางโลกิยะไม่ได้
คนที่เดินทางโลกิยะ ย่อมสำเร็จทางโลกุตระได้ยาก เพราะอะไร ?
ถ้าคนหนึ่งสำเร็จได้ทั้งโลกิยะ และโลกุตระง่ายแล้ว
ทำไม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธโคดม ต้องสละราชบัลลังก์แห่งจักรพรรดิไปเป็นธรรมราชาเล่า ?
ถ้าเป็นไปได้ พระองค์เป็นมหาจักรพรรดิพร้อมทั้งธรรมราชา ไม่ดีหรือ ?
แต่มันเป็นไปไม่ได้ เพราะโลกของโลกิยะและโลกุตระเดินคู่ขนานกัน
เราต้องตัดสินใจ ต้องมีความเด็ดเดี่ยวและกล้าหาญในการที่จะเลือกทางใดทางหนึ่ง
ศิษย์แท้
พิจารณากายในกาย พิจารณาธรรมในธรรม พิจารณาวิญญาณ ในวิญญาณ
นั่นแหละ คือ สานุศิษย์อันแท้จริงของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
รู้ซึ้ง
ทุกอย่างจะต้องมีเหตุ เมื่อมีเหตุจึงจะมีผล ผลนั้นเกิดจากเหตุ
เราได้วินิจฉัยข้อนี้แล้ว เราจึงรู้ซึ้งถึงพุทธศาสนา
ใจสำคัญ
การทำบุญนั้น จะต้องทำด้วยจิตใจบริสุทธิ์
จะต้องทำด้วยความศรัทธา
ผลสะท้อนมันจะเกิดขึ้นเกินความคาดหมาย
หยุดพิจารณา
คนเรานี้ ถ้าไม่มีอะไรทำอยู่ในที่วิเวกคนเดียว จิตมันจะฟุ้งซ่าน
และถ้าภาวะนั้น ตนไม่ปล่อยให้จิตฟุ้งซ่านไปเรื่อยๆ คือ หยุดพิจารณา
แล้วค้นสัจจะของ ศีล สมาธิ ปัญญา ย่อมที่จะค้นหาสัจจะในธรรมะได้
บริจาค
ทำบุญสังฆทานเป็นจาคะ จาคะเป็นการบริจาคโภคทรัพย์ภายนอก
การสวดมนต์เป็นการภาวนา การภาวนาเป็นการบริจาคภายใน
เพราะฉะนั้น ถ้านับในด้านทิพย์อำนาจ
การบริจาคภายในย่อมได้กุศล มากว่า การบริจาคภายนอก
นี่คือเรื่องของนามธรรม
ทำด้วยใจสงบ
เราจะทำบุญก็ดี เราจะทำอะไรก็ดี จงทำด้วยความสงบ
อย่าทำด้วยอารมณ์แห่งความร้อน เพราะการทำด้วยอารมณ์ร้อนนั้น มันจะพาเราไปสู่หายนะ
เมื่อเกิดอารมณ์ร้อน เราจะทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง จงอย่าทำ
นั่งให้จิตใจมันสบายเสียก่อน เมื่อจิตใจสบายแล้ว ปัญญาก็เกิด
เมื่อเกิดปัญญาแล้ว จะทำสิ่งใดก็เป็นไปโดยความสะดวก
มีสติพร้อม
จะทำสิ่งใดก็ตาม เราต้องมีสติพร้อม
คือ อย่าให้มีโทสะ อย่าให้อารมณ์เข้ามาควบคุมสติ
อย่าให้เรื่องส่วนตัวและขาดเหตุผล มาอยู่เหนือความจริง
เตือนมนุษย์
มนุษย์ผู้ใด เห็นแก่งานส่วนตัว มนุษย์ผู้นั้น จะไม่มีง านทำในไม่ช้า
มนุษย์ผู้ใด เห็นแก่ทรัพย์ส่วนตัว มนุษย์ผู้นั้น จะไม่มีทรัพย์ครองในไม่ช้า
มนุษย์ผู้ใด เห็นแก่นอนมาก มนุษย์ผู้นั้น จะไม่ได้นอนในไม่ช้า
พิจารณาตัวเอง
คืนหนึ่งก็ดี วันหนึ่งก็ดี ควรให้มีเวลาว่างสัก 5 นาที หรือ 10 นาที ไม่ติดต่อกับใคร
ให้นั่งเฉยๆ คิดถึงเหตุการณ์ที่เราทำไปแต่ละวันๆ ว่า ที่เราทำไปนั้นเป็นอย่างไร
คือให้ปลีกตัวมีเวลาเป็นของตัวเองบ้าง คิดเอาแต่เรื่องของตัว อย่าไปคิดเรื่องของคนอื่น
เพราะมนุษย์เราส่วนมากทุกวันนี้ มักเอาแต่เรื่องของคนอื่นมาคิด ไม่ค่อยคิดเรื่องของตัวเอง
คัดลอกจากหนังสือ เรียนธรรมะบูชาพระสุปฏิปันโน เล่มของหลวงปู่ทวด
ขอให้ทุกท่านเจริญในธรรม
ธรรมะของหลวงปู่ทวด
กรูเก่ง กิเลสเก่งกว่า
-
- Verified User
- โพสต์: 463
- ผู้ติดตาม: 0
ธรรมะ ธรรมชาติ
โพสต์ที่ 1267
พระธรรมปิฎก ได้บรรยายเรื่อง "นรกสวรรค์ในพระไตรปิฎก" ให้แก่คณะอาจารย์และนักศึกษา วิทยาลัยครูสวนดุสิต ไว้
....ครบทุกแง่คิด....ลองเสริชหาอ่านกันดูนะครับ
(จะเอามาลงก็กลัวว่าจะยาวเกิน)
ลงทุนแบบ อาร์ตๆ
- por_jai
- Verified User
- โพสต์: 14338
- ผู้ติดตาม: 0
ธรรมะ ธรรมชาติ
โพสต์ที่ 1268
วันก่อนโปรหนึ่งมาถาม
ผมตอบม่ายล่ายชัดเจน
แต่หลวงปู่ตอบไว้ชัดเจนมากครับ
บริจาค
ทำบุญสังฆทานเป็นจาคะ จาคะเป็นการบริจาคโภคทรัพย์ภายนอก
การสวดมนต์เป็นการภาวนา การภาวนาเป็นการบริจาคภายใน
เพราะฉะนั้น ถ้านับในด้านทิพย์อำนาจ
การบริจาคภายในย่อมได้กุศล มากว่า การบริจาคภายนอก
นี่คือเรื่องของนามธรรม
ผมตอบม่ายล่ายชัดเจน
แต่หลวงปู่ตอบไว้ชัดเจนมากครับ
บริจาค
ทำบุญสังฆทานเป็นจาคะ จาคะเป็นการบริจาคโภคทรัพย์ภายนอก
การสวดมนต์เป็นการภาวนา การภาวนาเป็นการบริจาคภายใน
เพราะฉะนั้น ถ้านับในด้านทิพย์อำนาจ
การบริจาคภายในย่อมได้กุศล มากว่า การบริจาคภายนอก
นี่คือเรื่องของนามธรรม
กรูเก่ง กิเลสเก่งกว่า
- por_jai
- Verified User
- โพสต์: 14338
- ผู้ติดตาม: 0
ธรรมะ ธรรมชาติ
โพสต์ที่ 1270
อ่านแล้วครับสถาปนิกต่างดาว เขียน: พระธรรมปิฎก ได้บรรยายเรื่อง "นรกสวรรค์ในพระไตรปิฎก" ให้แก่คณะอาจารย์และนักศึกษา วิทยาลัยครูสวนดุสิต ไว้
....ครบทุกแง่คิด....ลองเสริชหาอ่านกันดูนะครับ
(จะเอามาลงก็กลัวว่าจะยาวเกิน)
ยาวจริงครับ
ชอบตอนถาม-ตอบ
พระธรรมปิฏกเฉลยสิ่งที่ท่านรู้ไว้เยอะเชียวครับ
ขอบคุณมากๆครับผม
กรูเก่ง กิเลสเก่งกว่า
- por_jai
- Verified User
- โพสต์: 14338
- ผู้ติดตาม: 0
ธรรมะ ธรรมชาติ
โพสต์ที่ 1271
วันนี้มีน้องรักพีเอ็มมาคุยด้วย
คุยกันสารพัดเรื่อง
สุดท้ายก็มาติ่งอยู่วาเลนไทน์
น้องเขาว่างี้ครับ
ผมขออนุญาตินำมาตอบออนแอร์ซะัเลย
จึงได้มาเจอ มาอยู่ด้วยกัน
รักเธอให้มากๆ
เอาใจเธอมาใส่ใจเราให้มากๆ
อีกกี่ปีกี่ชาติหรืออาจจะไม่มีทางแล้ว
ที่จะได้มาเจอกัน อยู่ด้วยกัน เหมือนชาตินี้อีก
คิดแค่นี้
กิเลสเรื่องหนีเที่ยวก็จะค่อยๆจางหายไปเองครับ
เหงาก็ฟังธรรมไปภาวนาไป
เรื่องภาวนาฟังแล้วหรู ดูว่าจะทำยาก
แต่จริตอย่างบางคน แค่ตามดูความรู้สึกที่เปลี่ยนไปทั้งวัน
นี่ก็ถือเป็นการภาวนาที่ดีแล้ว
เราโชคดีที่เกิดมาเป็นมนุษย์ชาตินี้แล้ว
ก็ต้องหาหนทางของตัวเองเช่นกัน
เรื่องพวกนี้เป็นความลับของฟ้าที่ทำได้ง่ายๆ
เห็นผลเร็วจริง
แต่คนไม่ค่อยทำหรอก
หนึ่งเพราะกรรมมันบัง
สองความคุ้นเคยที่มักเอาวิทยาศาสตร์ไปวัด
วิทยาศาสตร์นี่เป็นแค่ซับเซทจิ๋วๆของธรรมะเท่านั้นเอง
สามก็เจ้ากิเลส อวิชชาที่มันเป็นเจ้าโลกสั่งให้เราทำโน่นอยากนี่
ตามที่มันต้องการ
แล้วเราก็ไม่มีวันเอาชนะมันได้
ถ้าไม่ได้เรียนรู้วิธีเจริญสติ
วันก่อนก็นำที่หลวงปู่ทวดสอนไว้
อ่านไม่สังเกตุก็ผ่านๆไป
ท่านว่า
เตือนมนุษย์
มนุษย์ผู้ใด เห็นแก่งานส่วนตัว มนุษย์ผู้นั้น จะไม่มีงานทำในไม่ช้า
มนุษย์ผู้ใด เห็นแก่ทรัพย์ส่วนตัว มนุษย์ผู้นั้น จะไม่มีทรัพย์ครองในไม่ช้า
มนุษย์ผู้ใด เห็นแก่นอนมาก มนุษย์ผู้นั้น จะไม่ได้นอนในไม่ช้า
ผมว่าคนที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมาเยอะๆ
อ่านแล้วไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ
เมื่อคิดทบทวนเรื่องราวในชีวิตที่ผ่านมาแล้วผ่านมาอีก
เอ...ไหงไม่ได้อ่านเรื่องที่หลวงปู่สอนไว้ตั้งแต่หนุ่มๆน๊า
ผมเองก็ได้อ่านครับ
แต่ไม่เข้าใจหรอก
มันเป็นโศกนาฏกรรมของมนุษย์เรานี่แหละ
ที่่ประสบการณ์จากคนรุ่นนึงมักไม่สามารถถ่ายทอดไปสู่คนอีกรุ่นนึงได้
มีเรื่องนึงแนะนำนะน่่าอ่านเชียว
เืรื่องนรกสวรรค์ที่พี่สถาปนิกต่างดาวโพสไว้ให้ไปเซิร์จอ่าน
ผมตามไปอ่านแล้ว
เข้าใจอะไรขึ้นเยอะเชียวครับ
ความจริงเรื่องพวกนี้ไม่เกี่ยวกับการหลุดพ้นเท่าไร
แต่เป็นเรื่องที่มนุษย์สนใจอยากไปอยู่(สวรรค์)และกลัวเกรง(นรก)
พี่ป้อม
คุยกันสารพัดเรื่อง
สุดท้ายก็มาติ่งอยู่วาเลนไทน์
น้องเขาว่างี้ครับ
ผมขออนุญาตินำมาตอบออนแอร์ซะัเลย
แฟนเรานี้คงทำบุญทำกรรมร่วมกันมามากทีเดียวนักร้อง เขียน: สำหรับวาเลนไทน์ปีนี้แฟนผมไปดูงานโรงงานในเครือแถวภาคกลางครับ
เลยต้องหงอยๆอยู่บ้านคนเดียว จะหนีเที่ยวก็กระไรอยู่ 555+
นอนเล่นเฉยๆดีกว่า
จึงได้มาเจอ มาอยู่ด้วยกัน
รักเธอให้มากๆ
เอาใจเธอมาใส่ใจเราให้มากๆ
อีกกี่ปีกี่ชาติหรืออาจจะไม่มีทางแล้ว
ที่จะได้มาเจอกัน อยู่ด้วยกัน เหมือนชาตินี้อีก
คิดแค่นี้
กิเลสเรื่องหนีเที่ยวก็จะค่อยๆจางหายไปเองครับ
เหงาก็ฟังธรรมไปภาวนาไป
เรื่องภาวนาฟังแล้วหรู ดูว่าจะทำยาก
แต่จริตอย่างบางคน แค่ตามดูความรู้สึกที่เปลี่ยนไปทั้งวัน
นี่ก็ถือเป็นการภาวนาที่ดีแล้ว
เราโชคดีที่เกิดมาเป็นมนุษย์ชาตินี้แล้ว
ก็ต้องหาหนทางของตัวเองเช่นกัน
เรื่องพวกนี้เป็นความลับของฟ้าที่ทำได้ง่ายๆ
เห็นผลเร็วจริง
แต่คนไม่ค่อยทำหรอก
หนึ่งเพราะกรรมมันบัง
สองความคุ้นเคยที่มักเอาวิทยาศาสตร์ไปวัด
วิทยาศาสตร์นี่เป็นแค่ซับเซทจิ๋วๆของธรรมะเท่านั้นเอง
สามก็เจ้ากิเลส อวิชชาที่มันเป็นเจ้าโลกสั่งให้เราทำโน่นอยากนี่
ตามที่มันต้องการ
แล้วเราก็ไม่มีวันเอาชนะมันได้
ถ้าไม่ได้เรียนรู้วิธีเจริญสติ
วันก่อนก็นำที่หลวงปู่ทวดสอนไว้
อ่านไม่สังเกตุก็ผ่านๆไป
ท่านว่า
เตือนมนุษย์
มนุษย์ผู้ใด เห็นแก่งานส่วนตัว มนุษย์ผู้นั้น จะไม่มีงานทำในไม่ช้า
มนุษย์ผู้ใด เห็นแก่ทรัพย์ส่วนตัว มนุษย์ผู้นั้น จะไม่มีทรัพย์ครองในไม่ช้า
มนุษย์ผู้ใด เห็นแก่นอนมาก มนุษย์ผู้นั้น จะไม่ได้นอนในไม่ช้า
ผมว่าคนที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมาเยอะๆ
อ่านแล้วไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ
เมื่อคิดทบทวนเรื่องราวในชีวิตที่ผ่านมาแล้วผ่านมาอีก
เอ...ไหงไม่ได้อ่านเรื่องที่หลวงปู่สอนไว้ตั้งแต่หนุ่มๆน๊า
ผมเองก็ได้อ่านครับ
แต่ไม่เข้าใจหรอก
มันเป็นโศกนาฏกรรมของมนุษย์เรานี่แหละ
ที่่ประสบการณ์จากคนรุ่นนึงมักไม่สามารถถ่ายทอดไปสู่คนอีกรุ่นนึงได้
มีเรื่องนึงแนะนำนะน่่าอ่านเชียว
เืรื่องนรกสวรรค์ที่พี่สถาปนิกต่างดาวโพสไว้ให้ไปเซิร์จอ่าน
ผมตามไปอ่านแล้ว
เข้าใจอะไรขึ้นเยอะเชียวครับ
ความจริงเรื่องพวกนี้ไม่เกี่ยวกับการหลุดพ้นเท่าไร
แต่เป็นเรื่องที่มนุษย์สนใจอยากไปอยู่(สวรรค์)และกลัวเกรง(นรก)
พี่ป้อม
กรูเก่ง กิเลสเก่งกว่า
-
- Verified User
- โพสต์: 1036
- ผู้ติดตาม: 0
ธรรมะ ธรรมชาติ
โพสต์ที่ 1273
พี่พอใจ สวัสดีครับ
เห็นพี่เข้าถึงแก่นของธรรมมะ แล้วผมก็อายตัวเองจริงๆ :(
ผมมันคนห่างวัด หนังสือธรรมมะไม่เคยคิดที่จะหยิบขึ้นมาอ่าน
(แม้กระทั่งกระทู้ของพี่วิบูลย์ ผมก็ยังอ่านไม่จบสักรอบ)
พี่คงพบเจอคนประเภทผมมาเยอะ
พี่พอใจอยากจะฝากอะไรถึงคนประเภทผม บ้างไหมครับ :roll:
เห็นพี่เข้าถึงแก่นของธรรมมะ แล้วผมก็อายตัวเองจริงๆ :(
ผมมันคนห่างวัด หนังสือธรรมมะไม่เคยคิดที่จะหยิบขึ้นมาอ่าน
(แม้กระทั่งกระทู้ของพี่วิบูลย์ ผมก็ยังอ่านไม่จบสักรอบ)
พี่คงพบเจอคนประเภทผมมาเยอะ
พี่พอใจอยากจะฝากอะไรถึงคนประเภทผม บ้างไหมครับ :roll:
อย่าโลภเกินความรู้ความสามารถของตัวเราเอง
-
- Verified User
- โพสต์: 1036
- ผู้ติดตาม: 0
ธรรมะ ธรรมชาติ
โพสต์ที่ 1275
อ่านความเห็นนี้ของพี่พอใจ แล้วรู้สึกเจ็บจี๊ดดีจัง ...ฮ่า...
สงสัยต้่องเข้ามาติดตามอ่านความเห็นของพี่พอใจที่กระทู้นี้บ่อยๆซะแล้วมั้ง จะได้ปลงๆเป็นกับเขาสักที อิอิ
ปล. ใกล้ตรุษจีนแล้ว เลยถือโอกาสขอซองอั่งเปาจากพี่พอใจด้วยครับ (ในซองต้องมีตังค์ด้วยนะ ไม่ใช่ให้ซองน้องอย่างเดียว) :lovl:
ปล2. ผมนี่ก็แปลกคน จะเขียนความเห็นให้ไม่ไร้สาระสักความเห็น นี่ทำไมมันทำยากจริงๆ(โว้ย) :wall:
สงสัยต้่องเข้ามาติดตามอ่านความเห็นของพี่พอใจที่กระทู้นี้บ่อยๆซะแล้วมั้ง จะได้ปลงๆเป็นกับเขาสักที อิอิ
ปล. ใกล้ตรุษจีนแล้ว เลยถือโอกาสขอซองอั่งเปาจากพี่พอใจด้วยครับ (ในซองต้องมีตังค์ด้วยนะ ไม่ใช่ให้ซองน้องอย่างเดียว) :lovl:
ปล2. ผมนี่ก็แปลกคน จะเขียนความเห็นให้ไม่ไร้สาระสักความเห็น นี่ทำไมมันทำยากจริงๆ(โว้ย) :wall:
อย่าโลภเกินความรู้ความสามารถของตัวเราเอง
-
- Verified User
- โพสต์: 463
- ผู้ติดตาม: 0
ธรรมะ ธรรมชาติ
โพสต์ที่ 1276
[quote="por_jai[/quote][/quote]มันเป็นโศกนาฏกรรมของมนุษย์เรานี่แหละ
ที่่ประสบการณ์จากคนรุ่นนึงมักไม่สามารถถ่ายทอดไปสู่คนอีกรุ่นนึงได้
พี่ป้อม
ขอคารวะท่านพี่
ผมมีข้อคิด ฝากรุ่นหนุ่มสาว
เรื่องบางเรื่อง ที่ปราชญ์เขาบอกว่า ดี แต่เรา ไม่ชอบ ไม่เห็นด้วย ไม่เข้าใจ
ไม่ถึงเวลา ไม่อยากรู้ อย่างเช่น เรื่อง ธรรมะ(mind) เรื่องสุขภาพ (body) นั้น
ขอให้
อ่านไว้ก่อน ถ้าชอบอ่าน
ฟังไว้ก่อน ถ้าชอบฟัง
ถามไว้ก่อน ถ้าชอบถาม
แม้ว่าจะมีข้อแม้ต่างๆ ข้างต้น
สักวันหนึ่ง.......เมื่อถึงเวลา เราจะอยากทำความเข้าใจกับมัน และมันจะเป็นประโยชน์อย่างเหลือคณาต่อชีวิต
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากวันที่ว่า มันมาเร็ว
(พี่พอใจ คงจะแนะนำได้ดีกว่า สาเหตุหนึ่งคือพี่พอใจคงจะต้องแนะนำ "ลูก" ที่จะต้องเจอโศกนาฏกรรมนี้ด้วยเหมือนกัน)
ลงทุนแบบ อาร์ตๆ
-
- Verified User
- โพสต์: 3348
- ผู้ติดตาม: 0
ธรรมะ ธรรมชาติ
โพสต์ที่ 1277
ขอบคุณพี่ๆทุกคนครับ
ทุกสิ่งทุกอย่างบนโลก มันก็เป็นเช่นนั้นแล
-
- Verified User
- โพสต์: 3348
- ผู้ติดตาม: 0
ธรรมะ ธรรมชาติ
โพสต์ที่ 1278
แซวพี่ป้อม วันนั้น ยังบอกให้ผมตีกอล์ฟ อีกสิบห้านาที ค่อยไปรับ ให้แฟนรอไปก่อน พี่แม็กบอกไปเถอะ เดี๋ยวแฟนรอ พี่ป้อมก็บอก อุตสาบอกทางลัด อยากให้ผมอยู่ น้องมาไกล ให้แฟนรอไปก่อน ฮิฮิฮิ
แซวเล่นครับพี่ป้อม ขอบคุณสำหรับทางลัดครับ เร็วดีครับ แต่ติดตรงที่ จาก สนาม กลับรถไปขึ้น โทลเวย์ โครตติดเลยครับ พี่ป้อม ถ้าไม่ติด ผมว่า ตีต่อได้ สิบห้านาที พอติด ก็ไปรับพอดี สองทุ่มครับ ผมก็คุยกับ พี่ป้อม กับ พี่แม็ก และ พี่โปรนึงเป็นหลัก ที่เหลือ ยังไม่ค่อยสนิท
แซวเล่นครับพี่ป้อม ขอบคุณสำหรับทางลัดครับ เร็วดีครับ แต่ติดตรงที่ จาก สนาม กลับรถไปขึ้น โทลเวย์ โครตติดเลยครับ พี่ป้อม ถ้าไม่ติด ผมว่า ตีต่อได้ สิบห้านาที พอติด ก็ไปรับพอดี สองทุ่มครับ ผมก็คุยกับ พี่ป้อม กับ พี่แม็ก และ พี่โปรนึงเป็นหลัก ที่เหลือ ยังไม่ค่อยสนิท
ทุกสิ่งทุกอย่างบนโลก มันก็เป็นเช่นนั้นแล
-
- Verified User
- โพสต์: 463
- ผู้ติดตาม: 0
ธรรมะ ธรรมชาติ
โพสต์ที่ 1280
stillness speaks
when you lose touch with inner stillness, you lose touch with yourself
when you lose touch with yourself, you lose yourself in the world
your innermost sense of self, of who you are, it is inseparable from stillness.
this is the ''i am'' that is deeper than name and form
stillness is your essential nature. what is stillness?
the inner space or awareness in which the words on this page are being perceived and become thoughts. withouth that awaerness,
there would be no perception,
no thoughts,
no world.
you are that awareness, disguide as a person
จาก stillness speaks โดย eckhart tolle
when you lose touch with inner stillness, you lose touch with yourself
when you lose touch with yourself, you lose yourself in the world
your innermost sense of self, of who you are, it is inseparable from stillness.
this is the ''i am'' that is deeper than name and form
stillness is your essential nature. what is stillness?
the inner space or awareness in which the words on this page are being perceived and become thoughts. withouth that awaerness,
there would be no perception,
no thoughts,
no world.
you are that awareness, disguide as a person
จาก stillness speaks โดย eckhart tolle
ลงทุนแบบ อาร์ตๆ
-
- Verified User
- โพสต์: 463
- ผู้ติดตาม: 0
ธรรมะ ธรรมชาติ
โพสต์ที่ 1284
"................."
ข้างบนนั่นคือ คำตอบครับ
eckhart tolle คนเขียนนั้น เท่าที่ผมอ่าน เขาได้รับอิทธิพลจาก พุทธ เซ็น เต๋า เยอะ
เขาเคยบอกว่า เคยพบกับสถาวะ"......" อยู่ ๒ เดือน
แล้วก็ใช้ชีวิตอยู่ตามพาร์ค ไม่ทำงาน ปิติกับสิ่งที่เขาได้พบอยู่ ๒ ปี
เซ็น เต๋า นั้น พยายามหลีกเลี่ยง "ภาษา" หลบเลี่ยง"คำ"
(เป็นวิวัฒนาการของมนุษย์ที่ทำให้ห่างไกล ความจริงสูงสุด)
เวลาเราเห็น กุหลาบ สวยๆหอมๆ ......ภาวะ"ปิติ"อย่างนั้น
คงไม่ต้องการภาษามาอธิบาย หรืออธิบายอย่างไรก็ไม่ได้ตามความรู้สึก หรือยิ่งอธิบายยิ่งห่างไกล "ความจริง"
เหมือนที่ผมกำลังทำอยู่เนี่ย :lol:
ถ้าจากเซ็น
อาจใช้คำว่า "พุทธะ" หรือ พุทธภาวะ
ถ้าแนวท่านพุทธทาส น่าจะคือ "ความว่าง"
เอางี้ดีกว่า
เดี๋ยวผมส่งไปให้พี่พอใจ "........." ด้วยตัวเองเลย
ข้างบนนั่นคือ คำตอบครับ
eckhart tolle คนเขียนนั้น เท่าที่ผมอ่าน เขาได้รับอิทธิพลจาก พุทธ เซ็น เต๋า เยอะ
เขาเคยบอกว่า เคยพบกับสถาวะ"......" อยู่ ๒ เดือน
แล้วก็ใช้ชีวิตอยู่ตามพาร์ค ไม่ทำงาน ปิติกับสิ่งที่เขาได้พบอยู่ ๒ ปี
เซ็น เต๋า นั้น พยายามหลีกเลี่ยง "ภาษา" หลบเลี่ยง"คำ"
(เป็นวิวัฒนาการของมนุษย์ที่ทำให้ห่างไกล ความจริงสูงสุด)
เวลาเราเห็น กุหลาบ สวยๆหอมๆ ......ภาวะ"ปิติ"อย่างนั้น
คงไม่ต้องการภาษามาอธิบาย หรืออธิบายอย่างไรก็ไม่ได้ตามความรู้สึก หรือยิ่งอธิบายยิ่งห่างไกล "ความจริง"
เหมือนที่ผมกำลังทำอยู่เนี่ย :lol:
ถ้าจากเซ็น
อาจใช้คำว่า "พุทธะ" หรือ พุทธภาวะ
ถ้าแนวท่านพุทธทาส น่าจะคือ "ความว่าง"
เอางี้ดีกว่า
เดี๋ยวผมส่งไปให้พี่พอใจ "........." ด้วยตัวเองเลย
ลงทุนแบบ อาร์ตๆ
-
- Verified User
- โพสต์: 3348
- ผู้ติดตาม: 0
ธรรมะ ธรรมชาติ
โพสต์ที่ 1286
ผมยังปฎิบัติในรูปแบบอยู่เรื่อยๆ ทุกวันครับ
ทุกสิ่งทุกอย่างบนโลก มันก็เป็นเช่นนั้นแล
- por_jai
- Verified User
- โพสต์: 14338
- ผู้ติดตาม: 0
ธรรมะ ธรรมชาติ
โพสต์ที่ 1287
แฮ่...อย่าส่งมาเลยครับสถาปนิกต่างดาว เขียน:
เอางี้ดีกว่า
เดี๋ยวผมส่งไปให้พี่พอใจ "........." ด้วยตัวเองเลย
หนังสือภาษาอังกฤษที่เคยส่งมาให้
ผมไม่เคยอ่านซักเล่มเดียว
(ยกเว้นเรื่องวิ่งของมูราคามิ)
ยกให้พี่ๆน้องๆไปซะหมดเลยครับ
ไม่อยากวางบนชั้นหนังสือเฉยๆ เสียของเปล่าๆ
กรูเก่ง กิเลสเก่งกว่า
-
- Verified User
- โพสต์: 463
- ผู้ติดตาม: 0
ธรรมะ ธรรมชาติ
โพสต์ที่ 1289
เมื่อคืนตอนเช้ามืด
นึกได้อีกคำ
(ผมถนัดแนว...นอนสมาธิ :lol: )
สุญญตา
ท่านพุทธทาสเคยกล่าวถึง "วิหารสุญญตา"
นึกได้อีกคำ
(ผมถนัดแนว...นอนสมาธิ :lol: )
สุญญตา
ท่านพุทธทาสเคยกล่าวถึง "วิหารสุญญตา"
ลงทุนแบบ อาร์ตๆ
-
- Verified User
- โพสต์: 463
- ผู้ติดตาม: 0
ธรรมะ ธรรมชาติ
โพสต์ที่ 1290
ถ้าเป็นเมื่อก่อน ผมจะขับฟอร์ดเอสเคปสีดำของผมไปส่งf.escape เขียน:สงสัยว่าท่านสถาปนิกจะส่ง ".............." ให้ด้วยวิธีใด
ลงทุนแบบ อาร์ตๆ