... คิดไงกับ HMPRO ครับ ...

[คัดท้าย]

กำไรเพิ่ม ดูดีเชียว .. ขยายสาขาด้วย ... แต่ ... หุ้นราคาลงเอา ลงเอา ลดราคากระหน่ำรับสิ้นปี 8)

น่าซื้อหรือไม่ครับ คิดยังไงกับ HMPRO กันบ้างครับ ?

[ลูกอิสาน]

เป็นหุ้นที่มีอัตราการเจริญเติบโตของยอดขายและกำไรที่น่าสนใจครับ
แต่มี margin of safety น้อย หากมีความผิดพลาด โครงการไม่เป็นไปตามที่คาด อาจจะมีความเสี่ยงครับ

หนี้สินต่อทุนค่อนข้างสูง หากยังเร่งขยายสาขา ผมคาดว่าไม่พ้นต้องเพิ่มทุนอีกรอบ แต่หากกำไรยังเพิ่มสูง ก็ยังน่าสนใจครับ

มีรายละเอียดในกระทู้ร้อยคนร้อยหุ้นของคุณ คนขายของ
เขียนได้ดี มีข้อมูลชัดเจน จัดเป็นกระทู้ตัวอย่างได้เลยครับ..

[คัดท้าย]

ทำ Link ให้ขอรับ สำหรับบทความ HMPRO ที่คุณขายของทำไว้ให้ครับ

http://www.thaivalueinvestor.com/webboa ... torder=asc

อ่านแล้วคิดเห็นยังไงบ้างครับ

[buglife]

โดยความรู้สึกส่วนตัวผม ไม่กล้าซื้อ hmpro ครับ
ใช้พื้นที่และค่าใช้จ่ายพอๆ กับห้าง
แต่ไม่รู้ยอดขายได้เท่าห้างหรือเปล่านะครับ
ต่อให้มีกำไรต่อหน่วยสูงกว่า
แต่สาขาส่วนใหญ่ คนเดินน้อยกว่าห้างเยอะนะครับ

พวกโครงการก่อสร้าง ก็คงซื้อกับ supplier โดยตรง คงไม่มาซื้อกับ hmpro นะครับ (อันนี้ไม่ทราบรายละเอียดนะครับ เพราะไม่เคยดูรายละเอียดบริษัทนี้นะครับ เขาอาจทำธุรกิจขายของล็อตใหญ่ๆ ให้พวกผู้รับเหมาด้วยก็ได้)

ผมดูจากลักษณะธุรกิจที่คนธรรมดาทั่วไปมองเห็นนะครับ

[sunrise]

รู้สึกว่าเค้าขยายเร็วเกินน่ะครับ

กลัวเรื่องเพิ่มทุนมากเลย ขอเวลาดูอีกนิด ก่อนตัดสินใจครับ

[ch_army]

ผมว่าระวังคู่แข่งไว้ก็ดีครับ และอีกอย่างช่วงนี้ผมวาคนอาจไม่แต่งบ้านมากนักแล้วมั้งครับ เห็นได้บ้านกันไปแล้วนี่
ผมว่าธุรกิจพวกนี้ จะตามหลังก่อสร้างบ้านเล็กน้อย

[Boring Stock Lover]

คุณคัดท้าย ตั้งใจว่าจะถือนานแค่ไหนละ ผมว่ายาวๆน่าสน สั้นๆไม่รู้เงินจะโดนแช่หรือเปล่า

[คนขายของ]

คุณคัดท้ายครับ ในเรื่องที่ราคาของ HMPRO ลงมาในช่วงนี้ในความเห็นส่วนตัวของผม ผมว่าก็สมควรอยู่ครับ เพราะ HMPRO จะมี W ที่หมดอายุถ่วงอยู่ประมาณ 25% ที่จะหมดอายุในเดือน JUL05 แต่ สาขาใหม่จะเปิดทำการประมาณ Q3 - Q4 ปี 05 ครับ ดังนั้นในระยะสั้น HMPRO คงไม่มีอะไรหวือหวา แบบก้าวกระโดด ในระยะสั้น ผมว่าคงมีบางส่วนที่คิดว่า HMPRO น่ะดี แต่ตัวที่ดีกว่ายังมีในระยะ 2-3Q นับจากนี้ และกว่า HMPRO จะรับผลพวงจากสาขา HOME PRO VILLAGE และ อานิสงค์จาก DC ที่เพิ่งเปิด อันนี้คงต้องใช้เวลาอีกพอสมควรครับ

[คัดท้าย]

คุณ Boring Stock Lover ครับ ผมเองไม่ใช่ลูกค้า HMPRO ครับ แล้วก็ยังไม่ได้ถือหุ้นด้วย เท่าที่ดูแล้ว HMPRO ราคามีโอกาสไปลงถึง 3.1-3.2 เลยนะครับ แต่ทั้งนี้ตัวนี้ ไม่แน่ว่าจะลงรึเปล่า เพราะจากที่ดูแล้วมัน ไม่แน่ไม่นอนครับ ไม่ได้แสดงอาการแจ่มแจ้งนักในกราฟ แต่ถ้าลงไปถึงน่าซื้อเก็งกำไรครับ ส่วนเรื่องพื้นฐานผมก็ยังกังขาบางข้อครับ

คุณ คนขายของ ครับ ผมยังสงสัยว่า รายได้ HMPRO มาจากลูกค้ากลุ่มไหนเป็นหลัก เพราะผมเองไม่เคยซื้อของ HMPRO เลยครับ เคยแต่ไปเดินเล่น 2-3 หนเท่านั้นเอง รู้สึกมันโล่งๆเหมือนกันนะครับ แต่ได้ยินว่า Margin สูง ?
HMPRO มีลูกค้าจากกลุ่มไหน และมีความเหนียวแน่นของลูกค้าแค่ไหนครับ อยากทราบความเห็นการวิเคราะห์เชิงคุณภาพครับ เพราะทราบว่าคุณ คนขายของตามมานาน

โดยความรู้สึกส่วนตัวผม ไม่กล้าซื้อ hmpro ครับ
ใช้พื้นที่และค่าใช้จ่ายพอๆ กับห้าง
แต่ไม่รู้ยอดขายได้เท่าห้างหรือเปล่านะครับ
ต่อให้มีกำไรต่อหน่วยสูงกว่า
แต่สาขาส่วนใหญ่ คนเดินน้อยกว่าห้างเยอะนะครับ

พวกโครงการก่อสร้าง ก็คงซื้อกับ supplier โดยตรง คงไม่มาซื้อกับ hmpro นะครับ (อันนี้ไม่ทราบรายละเอียดนะครับ เพราะไม่เคยดูรายละเอียดบริษัทนี้นะครับ เขาอาจทำธุรกิจขายของล็อตใหญ่ๆ ให้พวกผู้รับเหมาด้วยก็ได้)

ผมดูจากลักษณะธุรกิจที่คนธรรมดาทั่วไปมองเห็นนะครับ

นี่แหละ ผมก็ยังสงสัยเหมือนกันครับคุณ Buglife ว่ารายได้ที่มาที่ไปมันเป็นยังไงกันแน่

[Boring Stock Lover]

ก็ต้องพึ่งคุณคัดท้ายด้วยเรื่องกราฟ

ก็ขอช่วยตอบ

ก่อนหน้านี้ รายได้ 90% มาจากเงินสด 10% มาจาก LH+QH
q3นี้ ทางHmproคงเริ่มขายโครงการเพิ่มขึ้น โดยเห็นจากลูกหนี้สูงขึ้นแต่ไม่มาก สัดส่วน LH+QH ลดลงในแง่% ยอดขายหลักในช่วง 2 ปีเป็นส่วน Lighting

ผมเดาจากข้อมูลโดยรวมว่า ผู้บริโภคทั่วไป + ผู้รับเหมารายย่อย (โดยที่เจ้าของบ้านไปซื้อ) น่าจะเป็นผู้ซื้อหลัก

อีกเรื่องไม่ทราบ


ข้อหนึ่งที่ดีของ Hmpro คือการให้ข้อมูลทางบัญชี มีการแจกแจงในระดับกลุ่มสินค้า จริงๆอยากให้มี Management Analysis and Discussion แบบเดียวกับที่ปูนใหญ่และบริษัทใหญ่ๆทำ

ข้อเสียอีกข้อนอกจากวอร์ก็คือ ESOP จำนวน 15ล้านหุ้น



คุณคนขายของครับ พอทราบตารางการเปิกสาขาใหม่ของปีหน้าหรือเปล่าครับ เพราะถ้า H1 ไม่เปิดเลยปีหน้าคงเปิดไม่ครบ 4 แห่งตามที่ตั้งใจ

[big]

ผมขาย se-ed มาซื้อ hmpro แทนแล้ว pe ประมาณ 8 เท่าเอง
ผมว่ามีกดหุ้นแม่เพื่อเก็บ w ไว้แปลงหรือเปล่า

[คนขายของ]

คุณคัดท้าย และ คุณ BSL ครับผมขออนุญาติตอบเป็นข้อๆดังตามนี้ครับ ผิดถูก ช่วยแสดงความเห็นเพิ่มเติมด้วยครับ

1) เรื่องรายได้มาจากกลุ่มไหนเป็นหลัก HMPRO มีรายได้ประมาณ 90% มาจากการขายตรงกับรายย่อยครับ อีก 10% เป็นการขายผ่าน project อย่างที่คุณ BLS ว่าไว้ครับ และ ประมาณ 60% ขายเข้า existing market คือบ้านที่มีอยู่แล้ว และอีก 40% ขายให้กับลูกค้าที่เป็นบ้านใหม่ พอดีผมเห็นใน classified section เมื่อเร็วๆนี้ว่าทาง HMPRO กำลังรับสมัคร AVP Project Sales ก็เลยว่าเขาคงหันมาทำตลาดทางนี้เพิ่มด้วยเพื่อเพิ่มยอดขาย ซึ่งก็มีดีมีเสีย ตามลักษณะการขายของแบบ Project แต่จากกลยุทธ์ขยายสาขา ก็แสดงให้เห็นว่า ยังไง HMPRO ก็ยังชอบเงินสดๆ อยู่ดี

2) เรื่อง margin ที่ว่าสูงยังเป็นเรื่องของอนาคตครับ เพราะตอนนี้ก็ยังใกล้เคียงกับ Super Stores ทั่งไป คือประมาณ 3.7% แต่ก็แซง BIGC แล้วครับในปีนี้ ปีก่อนยังใกล้เคียงกันครับคือ 3% ส่วน ROE นี่โดดเด่นมากในกลุ่ม commerce เมื่อเทียบกับ Super Stores ซึ่งอันนี้ต้องติดตามดูต่อไปครับ จากการสร้าง DC และ ขยายสาขา เพิ่ม sales area ซึ่งโอกาสก็มาพร้อมความเสี่ยงเรื่องสภาพคล่อง จะเห็นได้จาก CASH ไม่ค่อยมากเนื่องจากเอาไปขยายงาน ต้องมีการกู้เงินมาเพิ่ม

3) ความเหนียวแน่นของลูกค้า HMPRO ใช้แผน Stamp แลกของ เหมือนที่ ROBINS เคยใช้นานมาแล้วครับ เหตุผลหนึ่งคงเพราะผู้บริหารบางท่านมาจาก ROBINS นั่นเอง มีการสร้าง customer base ผ่านบัตรเครดิต Home Pro แต่ตัวเลขสมาชิก ยังน้อยอยู่ครับ ถ้าจำไม่ผิดไม่น่าเกิน 50,000 ราย กลยุทธ์ stamp นี่รายอื่นก็เอาไปใช้กันครับ ซึ่งคงไม่แตกต่างกันแล้วตอนนี้ ส่วนตัวผมว่าต่อไปธุรกิจ DIY ไม่ได้แข่งเรื่องราคาอย่างเดียวเหมือน Super Store ทั่วไปครับ เพราะสินค้าตกแต่ง ต่อเติมบ้านนี้ คงต้องมีเรื่อง service มาเกี่ยวข้องด้วย เหมือนที่วงการ IT ชอบพูดเรื่อง solutions ครับ HMPRO คงต้องมาเน้นการขาย solution ให้กับลูกค้าเพื่อที่จะเพิ่ม margin เพราะถ้าว่ากันแบบคร่าวๆ solution ก็คือการขาย final products ให้ลูกค้าครับ เช่น ขายพื้นไม้ รวม ออกแบบ + ขนส่ง + จัดหาช่าง + รับประกัน ซึ่งก็คือ ขายความสะดวกลด transaction cost ของลูกค้าครับ

4) เรื่องลงทุนน่าจะใกล้กัน แต่คนเดินน้อยไม่น่าขายได้มาก
อันนี้เป็นคำถามที่ดีทีเดียวครับ ผมเองก็เคยติดตรงนี้เหมือนกัน เลยได้ถกกับคุณ IH ที่กระทิงเขียว คุณ IH เลยเทียบ Sales / Fixed Asset ให้ดูครับ แล้วพบว่า MAKRO มากสุด ตามมาด้วย HMPRO และ BIGC ครับ แต่จากข้อมูลใน Q3 ที่ผ่านมา HMPRO มี same store sales มากขึ้นถึง 20% นะครับ ในขณะที่ Super Store เจอแผนการเปิด ปิดห้าง เลยรวนไปเล็กน้อยครับ โดยปกติ sales per head ของ Super Store อยู่ที่ 550 บาท ต่อ คน ครับ ในขณะที่ HMPRO ทำได้ 2200 บาทต่อคนครับ และเนื่องจากที่เห็น Super Store ขายดีเป็นเทน้ำเทท่านั้น เป็นในส่วนของ อาหารแห้ง และ personal care นะครับ ถ้าไปดู section เสื้อผ้า หรือ เครื่องนอน นี่คนก็โหรงเหรงใช้ได้เหมือนกัน

ในอดีต HMPRO มีเนื้อที่ของ Store น้อยกว่า Super Stores ครับ อย่าง LOTUS นี่สาขานึงก็ตก 10,000 ตารางเมตร ขึ้นไป แต่ HMPRO นี่สาขาจะอยู่ในช่วง 5000 - 10000 ตรม ซึ่งน้อยกว่าและ มีบางสาขาซึ่งผูกกับ The Mall หรือ Carrefour ครับ

5) เรื่องแผนการขยายสาขาครับ เห็นว่า Q3 จะเปิด 1 สาขาที่ หนองแขม และ Q4 จะเปิดอีก 2 สาขาครับที่หัวหิน และ บางนา ส่วนสาขาที่ 4 ทางบริษัทยังไม่ได้แจ้งครับว่าจะเปิดที่ไหน ผมเดาว่าเป็นสาขาขนาดเล็ก ครับ ส่วน 05Q1 กับ 05Q2 ยังไม่มีข่าวว่าจะเปิดที่ไหนเพิ่มครับ เห็นมีแต่จะเพิ่ม sales area ของสาขาเดิมซึ่งกำลังดำเนินงานอยู่ครับ


อย่างไรก็ตามสิ่งที่ยังไม่เกิดก็มีความเสี่ยงเสมอ คงต้องจับตาดูสภาพคล่อง และ การขยายสาขาใหม่ต่อไปครับ

[นักลงทุน]

เกรงจะเหมือน se-ed ครับพอขยายสาขามากๆ ต้นทุนสูงขึ้นในขณะที่รายได้ยังไม่เข้ามาทำให้มี margin ต่ำ hmpro ได้เปรียบตรงที่การเติบโตดีกว่ามากๆ แต่ก็เสี่ยงตรงที่หากรายได้ไม่ได้ตามที่คาดก็อาจจะเจ็บเหมือน se-ed เหมือนกัน บวกกับ hmpro มีปันผลต่ำด้วย ไม่เหมือน se-ed ที่ยังปันผลดีทุกไตรมาส แต่ราคาตรงนี้ก็นับว่าปลอดภัยกว่า se-ed ละครับ

[คนขายของ]

ผมมาขอเสริมเรื่องการแข่งขันในธุรกิจ Modern Trade ที่หลายคนคงกังวลว่า จะมีการสู้รบกันอย่างหนัก ว่าในเมืองไทย Modern Trade ยังมีการขยายตัวอย่างสูงมากในรอบ 7 ปีที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นในรูปแบบของ Super Store หรือ Specialty Store และยังมีแนวโน้มเติบโตไปได้อีก เช่น ยอดขายของ BIGC โตจาก 18,000 ล้านในปี 40 มาเป็น ประมาณ 50,000 ล้านในปี 47 LOTUS ในปี 47 น่าจะทำได้ประมาณ 70,000 ล้าน ในขณะที่เมื่อ 7 ปีก่อน ตัวเลขของโลตัส น่าจะอยู่ประมาณ 20,000 ล้านบาท

จะเห็นได้ว่า Modern Trade แย่ง Share มาจากร้านค้าปลีกขนาดเล็ก และ ตลาดสด มาเป็นปริมาณมหาศาล โดยไม่มีผู้ใดล้มหายตายจากไปยังอยู่กันครบทั้ง LOTUS, BIGC และ Carrefour แม้แต่ TOPS ก็ยังอยู่ได้ และถ้าไม่มีปัญหา AHOLD ที่บ้านเกิด AHOLD คงไม่ขาย TOPS คืนให้ CRC (Central Retail Corp) หรอกครับ MAKRO เองในที่สุดก็ปรับตัวหาจุดยืนได้ อยู่รอดปลอดภัย มีแต่ Food Lion ของ Belgium ที่พ่ายไปเพราะขนาด และ ทำเล

แต่โดยรวม ลองดูสิครับ ขนาด WATSON ยังขาย แชมพู สบู่ อยู่ที่เดียวกับ LOTUS ได้ SE-ED ขายหนังสือ BIGC ก็ขายหนังสือ MANGPONG ขาย CD BIGC ก็ ขาย CD แต่อยู่รวมกันอย่างมีความสุข แต่ถ้าคุณสังเกตุจะพบว่า แผงหนังสือ, แผงเทป ค่อยๆ หายไป

ผมว่าธุรกิจ DIY และ ของตกแต่งบ้าน แบบ MODERN TRADE ก็ยังอยู่ในช่วงขยายตัวครับ ในระยะสั้นไม่น่าห่วงเรื่องแข่งขัน เพราะ Cycle ของธุรกิจนี้เพิ่งเริ่มอย่างจริงจังในไทยไม่กี่ปีหลังวิกฤตค่าเงินบาทนี่เองครับ