ทำประกันภัย ประกันชีวิต อย่าลืมดูงบดุล

การลงทุนแบบเน้นคุณค่า เน้นที่ปัจจัยพื้นฐานเป็นหลัก

ล็อคหัวข้อ
นักดูดาว
Verified User
โพสต์: 2513
ผู้ติดตาม: 0

ทำประกันภัย ประกันชีวิต อย่าลืมดูงบดุล

โพสต์ที่ 1

โพสต์

เพื่อนๆครับ จากข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์ในช่วงระยะเวลาหนึ่งที่ผ่านมา
มีข่าวเกี่ยวกับการขาดสภาพคล่อง (เงินสด หรือสินทรัพย์ที่มีสภาพคล่อง) ของบริษัทประกันภัย เนื่องจากไปลงทุนและขาดทุนกับอสังหาริมทรัพย์

นับว่าเป็นเรื่องดี ที่บริษัทประกันภัยประกันชีวิต ทุกแห่ง ต้องเผยแพร่ งบดุล
เวบนี้เป็นการรวมงบดุลปี 46 โดยย่อของบริษัทประกันภัยและประกันชีวิตต่างๆ

http://www.doi.go.th/stat_data/balance- ... ompany.htm

เพื่อนๆสามารถสำรวจบริษัทประกันที่ใช้บริการอยู่ ว่ามีความเพียงพอของสภาพคล่องเพียงใด เพื่อความปลอดภัยของท่านครับ แน่นอนครับ ผมชอบบริษัทที่มีการลงทุนในหลักทรัพย์เยอะๆ อสังหาริมทรัพย์น้อยๆ เงินฝากธนาคารก็น่าจะมีบ้างพอสมควร นอกนั้นก็เป็นเรื่องการให้บริการอื่นๆ

ให้สังเกตบริษัทประกันรถยนต์ชื่อดังหลายๆบริษัท ดูงบแล้วไม่สู้ดีครับ
ดูงบบริษัทจดทะเบียนส่วนใหญ่แล้ว ดีกว่าบริษัทนอกตลาดมาก
(เว้นแต่ยักษ์ใหญ่อย่าง วิริยะ ไทยประกันชีวิต AIA) เพื่อนๆที่ถืออยู่ก็สบายใจได้ในความมั่นคงครับ
เสรีภาพก็เหมือนอากาศที่เราไม่อาจมองเห็นด้วยตา แต่จะรู้สึกได้ในทันทีหากมีมันอยู่เบาบางหรือขาดหายไป

-จีรนุช เปรมชัยพร
Dech
Verified User
โพสต์: 4596
ผู้ติดตาม: 0

ทำประกันภัย ประกันชีวิต อย่าลืมดูงบดุล

โพสต์ที่ 2

โพสต์

ขอบคุณครับ
dingding
Verified User
โพสต์: 329
ผู้ติดตาม: 0

ทำประกันภัย ประกันชีวิต อย่าลืมดูงบดุล

โพสต์ที่ 3

โพสต์

ขอบคุณค่ะ
นักดูดาว
Verified User
โพสต์: 2513
ผู้ติดตาม: 0

ทำประกันภัย ประกันชีวิต อย่าลืมดูงบดุล

โพสต์ที่ 4

โพสต์

สัญญาณเตือน 'สภาพคล่อง' ร่อยหรอ ประกันภัยไทยจะย่ำรอยอดีต หรือล้มตาม 'พี่ยุ่น'

ผู้จัดการ ออนไลน์ (16 พค 46) - เสียงหวอเตือนภัย "ธุรกิจประกันภัย" สภาพคล่องเริ่มร่อยหรอไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่มีที่มายาวนาน คนวงการยอมรับ "รอดตัว" มาได้ เพราะผู้หลักผู้ใหญ่ "คุ้มหัว" และประคับประคองแบบอะลุ่มอล่วยจนเป็นประเพณี เป็นเหตุให้ในรอบ 20 ปี มีที่จบชีวิตลงจริงเพียง 2 ราย จนกลายเป็นภาพลักษณ์ที่ขมขื่น นักวิชาการกรมการประกันภัยกังวลช่วงดอกเบี้ยดิ่งเหวยืดเยื้อ จะฉุด "ประกันชีวิต" ย่ำรอยเดียวกับประกันภัยในญี่ปุ่น ที่ล้มพับกันเป็นแถว "บลจ. กสิกร" เตือนดอกผลกรมธรรม์หากทำไม่ได้ตามสัญญาไทย เสี่ยงสูงเพียงพอล้มละลายได้
สภาพคล่องประกันภัย ต่างกับแบงก์พาณิชย์ตรงที่ สภาพคล่องแบงก์มีเงินกองท่วมสูงจนต้องรีดให้น้อยลง เพราะมันเป็นตัวการดึงให้ต้นทุนสูงเป็นเงาตามตัว ตรงกันข้ามกับฟากประกันภัยที่หากเมื่อใดก็ตามที่มันพร่องลงมากจนเกินกรอบทางการจำกัด บริษัทนั้นก็จะอยู่ในอาการล่อแหลม และกำลังส่งสัญญาณว่าเงินกองทุนเริ่มร่อยหรอ สุ่มเสี่ยงจะล้มได้เหมือนไฟแนนซ์และแบงก์ หากไม่ได้รับการบำบัดเยียวยา และแก้ไขให้กลับคืนสู่สภาพเดิม

เรื่องราวของ 2 บริษัทประกันภัยอื้อฉาว คือ สินสวัสดิ์ประกันภัยและรัตนโกสินทร์ประกันภัย ที่ล้มไปในรอบ 20 ปี ถือเป็นช่วงเวลาเลวร้ายและฝังแน่นในใจผู้คน และทำท่าจะชำระล้างออกไปได้ยาก ทั้งนี้ในภายหลังฝ่ายแรกถูกแปลงมาเป็นบัวหลวงประกันภัย ส่วนรายหลังสูญเสียชีวิตเพราะหมดหนทางช่วยเหลือ ปัจจุบันเรื่องยังอยู่ในกรมบังคับคดี บวกกับต้องขายสินทรัพย์เพื่อนำเงินสดมาจ่ายชดเชยพนักงาน และจัดการปัญหาเกี่ยวกับภาษีที่ค้างชำระกับกรมสรรพากร

เวลาราว 6 ปี เรื่องน่าจะเงียบ แต่กลายเป็นว่าปัญหาสภาพคล่องธุรกิจประกันภัยกลับมาฮือฮาอีกครั้ง ก็ตอนที่รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ วัฒนา เมืองสุข เปรยถึงบริษัท 1-2 ราย ที่มีเค้าลางเห็นปัญหา แต่ยืนยันยังไม่ถึงกับล้ม!! เพียงแค่นี้ก็พลอยเขย่าให้ทั้งอุตสาหกรรมมีอาการตื่นตระหนก ตกอกตกใจไปตาม ๆ กัน

ลักษณะอาการคนป่วยในสายไฟแนนซ์นั้น หากต้องล้มตายไปจริง ๆ อาการภายนอกจะปรากฏเลือดท่วมตัว สักพักก็จบชีวิต และประกันภัยนั้นต่างกันภาย นอกอาจดูดีแต่เนื้อในกลับช้ำเลือดช้ำหนอง เพียงแต่มีโอกาสได้เยียวยา จึงล้มตายไม่มาก ยกเว้นรายที่แย่หนักจริง ๆ เท่านั้น

บุคลากรระดับบริหารรายหนึ่ง ให้แง่คิดว่า สภาพคล่องร่อยหรอ เป็นเรื่องอันตรายสำหรับวงการ ประกันภัย ซึ่งการจัดการปัญหามักจะขึ้นกับ "รัฐมนตรี" หรือ "อธิบดี" ในสมัยนั้นว่ามีนโยบายแก้ปัญหาอย่างไร แต่หากมองภาพ รวมประกันภัยก็เหมือนธุรกิจอื่นคือ มีทั้งบริษัทดีและแย่ เหมือนนักการเมืองมีทั้งดีและชั่ว

อย่างไรก็ตาม บริษัทที่มีเงินกองทุนไม่ครบตามกติกาของทางการในอดีต ผู้หลักผู้ใหญ่มักกลัวล้ม!! ก็อุ้มชูกันไว้ เพราะกลัวภาพพจน์เสียหาย พยายามให้โอกาสแก้ตัว และตลอดเวลาก็มักมี 4-10 บริษัทที่มีเงินกองทุนไม่ครบ

ตามหลักแล้ว หากขาดตกบกพร่องเรื่องเงินกองทุน บริษัทนั้น ๆ ต้องหยุดรับประกันภัยรายใหม่ ซึ่งความเป็นจริงมันทำให้รายได้บริษัทลดลง โอกาสเจ๊ง!! ก็สูง การรับประกันภัยรายใหม่เข้ามาจึงมักจะนำมาจ่ายเคลมเคสเก่า ๆ ลักษณะอย่างนี้มีมานานตลอดเวลา 20 ปี

สมัยเมื่อ "รัตนโกสินทร์ประกันภัย" มีปัญหา หลังจัดการเรื่องจนจบ ก็ยังปรากฏมีอีก 2-3 รายที่ส่ออาการ คล้ายคลึงกัน แต่รอดตัวไปได้เพราะมีต่างประเทศเข้ามาร่วมทุนด้วย ซึ่ง ณ วันนี้ เชื่อว่ามีอยู่อย่างน้อย 3-4 บริษัท ดังนั้นปัญหาคือ รัฐมนตรีที่กำกับดูแล จะหาวิธีจัดการอย่างไร

อัตราดอกเบี้ยที่รูดติดพื้น ก็เป็นอีกปัญหาหนึ่งที่ไม่ควรมองข้ามโดยเฉพาะในธุรกิจประกันชีวิต ดัยนา บุนนาค ที่ปรึกษาสมาคมบริษัทจัดการลงทุน ถึงกับบอกว่า ดอกเบี้ยที่ทรุดต่ำไปทั่วโลก เป็นผลกระทบโดยตรงต่อดอกผลกรมธรรม์ หลายบริษัทไม่สามารถ ทำรายได้จากการลงทุนได้ตามที่การันตีไว้ในระดับ 4-6% ขณะที่มองไปทางไหนดอกผลก็ไถลรูดทุกทิศทุกทาง แถมผลตอบแทนก็ผันผวนไม่หยุด ฉะนั้นประกันชีวิตก็เสี่ยงล้มละลายได้

การค้ำประกันที่ตัวเลข 4% ว่าต่ำก็หาได้ยากแล้ว ถ้าปล่อยให้เป็นอย่างนี้ต่อไป บางที่ประกันชีวิตในประเทศไทยอาจมีสภาพเหมือนในญี่ปุ่น ซึ่งล้มละลายไปกว่า 5 ราย จากสถานการณ์ดอกเบี้ยต่ำแตะพื้นยาวนานเรื้อรัง

อัตราดอกเบี้ยทรุดต่ำ จึงกลายมาเป็นดาบสองคม ด้านหนึ่งนั้นช่วยดึงดูดเจ้าของเงินออมให้หันมาสนใจเลือกซื้อกรมธรรม์ในช่วงที่ภาครัฐไฟเขียวให้นำเบี้ยประกันมาหักลดหย่อนภาษีได้ แต่คมอีกด้านกลับบาดเนื้อ เจ็บลึก จนเลือดท่วมตัว เพราะผลตอบแทน จากการลงทุนค่อย ๆ หายวับไปต่อหน้าต่อตา

อำนาจ วงศ์พินิจวโรดม นักวิชาการ จากกรมการประกันภัย กล่าวถึงประเด็นนี้ว่า การล้มตายไปของประกันภัยในญี่ปุ่น เป็นผลจากดอกเบี้ยรูดติดพื้นเป็นเวลากว่า 10 ปีประกอบกับในญี่ปุ่นส่วนใหญ่เป็นกรมธรรม์แบบบำนาญ ระยะเวลาออมยาวนาน และเป็นกรมธรรม์ประเภทซิงเกิล พรีเมี่ยม ซึ่งลูกค้าสามารถจ่ายเงินก้อนเดียวได้ ทำให้เงินไหลเข้า

ขณะที่ดอกผลจากการลงทุนไม่ว่าทางไหนก็ร่วงรูด จึงเกิดภาระก้อนโตสะสมมาเรื่อย ๆ พอมาเจอเข้ากับการลงทุนในต่างประเทศที่มีดอกผลน้อยเข้าให้อีก ประกันภัยบนเกาะญี่ปุ่นจึงเดี้ยงกันเป็นแถว ประมาณว่าเจอเข้าไปเต็ม ๆ ถึง 3 เด้ง

สำหรับประกันภัยในประเทศมีเงินออมน้อยกว่า กรมธรรม์ระยะสั้นได้รับความนิยมมาก และหลายบริษัทก็ยกเลิกกรมธรรม์แบบ "ซิงเกิล พรีเมี่ยม" ไปบ้าง คงไม่น่าซ้ำรอยญี่ปุ่น

นอกเหนือจากอัตราดอกเบี้ย อุปสรรคสำคัญของ ธุรกิจประกันชีวิต ยังพบว่าบริษัทประกันชีวิตหลายแห่งมีการเพิ่มทุนค่อนข้างมาก โดยเม็ดเงินส่วนใหญ่มักนำไปทุ่มซื้อตัวแทนจากฝั่งคู่แข่ง บวกกับยอมควักเนื้อจ่ายคอมมิชชั่นตัวแทนขายในระดับที่น่าอิจฉา ทั้งหมดนี้ได้กลายเป็นวัฏจักรที่ไม่มีวันสิ้นสุด

สำคัญที่สุดคือ ไม่ใช่แค่ประกันภัยเท่านั้นที่ต้องแบกรับผลลบจากตัวแปรเหล่านี้ แต่เจ้าของเงินออมเองก็หอบเอาภาระนี้ไว้เต็มไม้เต็มมือพอกัน ประกันภัยล้มเป็นเรื่องที่เห็นไม่บ่อยครั้ง แต่เจ้าของเงินออมดูเหมือนจะล้มลุกคลุกคลานอยู่บ่อย ๆ ขณะเดียวกันหนทางสร้างดอกผลไว้ใช้จ่ายยามปัจฉิมวัยก็ตีบแคบขึ้นทุกวัน.
เสรีภาพก็เหมือนอากาศที่เราไม่อาจมองเห็นด้วยตา แต่จะรู้สึกได้ในทันทีหากมีมันอยู่เบาบางหรือขาดหายไป

-จีรนุช เปรมชัยพร
นักดูดาว
Verified User
โพสต์: 2513
ผู้ติดตาม: 0

ทำประกันภัย ประกันชีวิต อย่าลืมดูงบดุล

โพสต์ที่ 5

โพสต์

ทุกธุรกิจมักมีพวกเกเรอยู่กลุ่มหนึ่งเสมอ

ชัย โสภณพนิช ประธานกรรมการและกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ กรุงเทพประกันภัย (จำกัด) มหาชน ไม่กลัวที่จะบอกว่า แต่ละธุรกิจมี "กลุ่มเกเร" กลุ่มหนึ่งเสมอ ประกันภัยก็ไม่ต่างกัน

อาจเรียกว่าธุรกิจนี้ "โชคร้าย" ที่มีกลุ่มก้อนเหล่านี้ฝังตัวอยู่ โดยเฉพาะกลุ่มที่มีปัญหาเงินกองทุนไม่ครบตามกรอบกติกาทางการ โดยพวกนี้จะมีวิธีหลบเลี่ยงสายตาเจ้าหน้าที่และมีกระบวนวิชามารเพื่อประวิงเวลาเพื่อให้บริษัทยืนอยู่ได้หลายรูปแบบ

หลัก ๆ ก็คือ พยายามจ่ายเคลมสินไหมผู้เอาประกันภัยช้า ๆ เพื่อประวิงเวลานำเงินมาหมุน และอีกวิธีคือ การกวาดเอางานเข้ามา โดยไปแย่งเอางานจากคู่แข่งรายอื่น ลักษณะการทำตลาดแบบนี้รู้ได้โดยการหั่นเบี้ยประกันให้ต่ำกว่าใครอื่น แม้กรมการประกันภัยจะมีพิกัดกำหนดไว้ ก็จะพยายามหาวิธี ทั้งใต้โต๊ะ พาตัวแทนไปเที่ยวต่างประเทศ ทำให้ต้นทุนการดำเนินงานสูง

ฉะนั้นจึงมีโอกาสมากหากกดเบี้ยประกันต่ำมาก ๆ ก็จะทำให้บริษัทขาดทุนในระยะยาว แต่ที่ทำกันมาก ๆ ก็เพราะต้องยอมกวาดเก็บเอาเข้ามาก่อนเพื่อกันบริษัทขาดทุน และค่อย ๆ ทยอยแก้ปัญหาในภายหลัง อย่างไรก็ตามเชื่อว่ามีบริษัทประกันภัยเงินกองทุนไม่ครบ มาจากประเด็นหลักคือ บริหารงานไม่ถูก และรับความเสี่ยงมามากเกินควรจะรับได้

"จะว่าธุรกิจนี้ว่าแย่ก็ไม่ถูก ต้องหันไปดูช่วงฟองสบู่แตก ลูกหนี้หลายรายก็ยอมเก็บเงินสดไว้ โดยไม่จ่ายชำระหนี้แบงก์ บริษัทที่เดือดร้อนเหล่านี้ก็เหมือนกัน ถ้าเป็นไปได้ก็เลือกซื้อเวลา คือจ่ายเคลมช้า หรือไม่จ่ายเลยยิ่งดี เพื่อเอาตัวเองให้รอด จึงเดือดร้อนลูกค้า ช่วงหลังมีร้องเรียนเรื่องอย่างนี้เข้ามาเยอะมาก "

บริษัทประกันภัยหลายรายที่มีชื่อเสียงฉาวโฉ่ทำนองจ่ายเคลมช้าหรือไม่จ่ายเลยยิ่งดี เป็นมูลเหตุหนึ่งทำให้รัฐมนตรีกำกับดูแลกรมการประกันภัยยุคนี้ชักไม่พอใจ เพราะมีผู้คนร้องเรียนเข้ามามาก จะรู้ได้อย่างไรว่าบริษัทนั้นมีปัญหา ก็เช่น อู่อาจได้รับเช็คเด้ง หรือจ่ายเงินให้อู่ช้า รวมทั้งการหั่นเบี้ยให้ต่ำกว่าชาวบ้าน

ต้องบอกว่าทุกวันนี้ สมาคมประกันวินาศภัยยังไม่มีอำนาจจัดการ หรือปรับสมาชิก แต่ก็มีบางบริษัทที่ในวงการรู้กันว่าใครกำลังมีอาการ บริษัทนั้นพอถูกต่อว่า และถูกกรมการประกันภัยขู่เอามาก ๆ ก็เลือกจะถอนตัวจากสมาคมฯ

ระหว่างสถาบันการเงินด้วยกันเอง ประกันภัยถือว่าล้มน้อยที่สุด หากเทียบกับแบงก์พาณิชย์และไฟแนนซ์ โดยเฉพาะยุคฟองสบู่ลอยฟูฟ่อง แบงก์พาณิชย์นั้นหายหัวไปถึง 1 ใน 3 ส่วนไฟแนนซ์กว่า 100 แห่ง ถูกเด็ดหัวไป 56 แห่ง

ขณะที่ประกันภัยในรอบ 20 ปี ชื่อหายไปจากท้องตลาดน้อยรายก็เพราะมีการกระจายความเสี่ยงอยู่ตลอดเวลา เช่นรับเบี้ยเข้ามา 20-30 ล้าน ก็จะโยนไปให้กับประกันภัยต่อในประเทศและต่างประเทศ ตรงกันข้ามกับแบงก์พาณิชย์และไฟแนนซ์ที่มีปัญหา ทั้งจากลูกหนี้ ที่มีหนี้เอ็นพีแอล ลูกหนี้ล้มก็ล้มตาม ไม่มีการประกันความเสี่ยงอย่างเหมาะสม

"ก่อนเงินบาทลอยตัว แบงก์ ไฟแนนซ์ มักถือว่าค่าเงินบาทตายตัว ไม่เผื่อว่าสักวันหนึ่งจะลอยตัว แล้วจะแก้ปัญหาอย่างไร แถมยัง ส่งเสริมลูกค้ากู้เงินดอลลาร์จำนวนมาก ๆ ก็แย่ไปตาม ๆ กัน".
เสรีภาพก็เหมือนอากาศที่เราไม่อาจมองเห็นด้วยตา แต่จะรู้สึกได้ในทันทีหากมีมันอยู่เบาบางหรือขาดหายไป

-จีรนุช เปรมชัยพร
นักดูดาว
Verified User
โพสต์: 2513
ผู้ติดตาม: 0

ทำประกันภัย ประกันชีวิต อย่าลืมดูงบดุล

โพสต์ที่ 6

โพสต์

พอจะเดาออกแล้วใช่มั้ยครับ ทำไมผลประกอบการณ์บริษัทประกันภัยหลายแห่งถึงได้ก้าวกระโดด ทั้งที่พอร์ตลงทุนไม่ดีนัก

ท่านใดมี forward email บริษัทประกันต้องห้าม กรุณาโพสต์ด้วยครับ
เสรีภาพก็เหมือนอากาศที่เราไม่อาจมองเห็นด้วยตา แต่จะรู้สึกได้ในทันทีหากมีมันอยู่เบาบางหรือขาดหายไป

-จีรนุช เปรมชัยพร
ภาพประจำตัวสมาชิก
ปรัชญา
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 18252
ผู้ติดตาม: 0

ทำประกันภัย ประกันชีวิต อย่าลืมดูงบดุล

โพสต์ที่ 7

โพสต์

อ่านแล้วครับ ผู้เชี่ยวชาญด้านประกันภัย

บริษัทไหนจ่ายอู่ซ่อมรถช้า ลองถามดู จะรู้ว่าบริษัทไหนดีไม่ดี
เป็นวิธีง่ายๆสำหรับผู้เอาประกันภัยรถยนต์
เมื่อ2ปีก่อนผมทำประกันภัย รถชนกันผมทำประกันกับสัมพัน...
ซ่อม4เดือนกว่าจะได้รถมาขายทิ้ง
เลยต้องออกรถใหม่

พอชนเสร็จ ตัวแทนประกันเอาออกจากโรงพักวันต่อมา
ถึงอู่ซ่อมรถ เขาถอดทั้งคันออกมากอง 1 อาทิตย์
บอกราคาค่าซ่อมกับ บริษัทประกัน 1 แสน 9 หมื่นกว่าบาท
เปลี่ยนประตูรถกะบะ แก้มรถก็ต้องเปลี่ยน
ฝากระโปรงต้องเปลี่ยน
ตาไฟรถอีซูซุ
กระจกรถด้านหน้า ด้านข้าง ด้านหลัง
แบ๊ตเตอรี่
กะทะล้อแม็กแตก2 ยางรถ4เส้น เพลากลางหัก
หม้อน้ำแตก ตัวถังดัดใหม่ ชัดซีต้องดึงเพราะคด
ซ่อม70%ขึ้น

อาทิตย์ที่2 ผู้ตรวจสอบจากสำนักงานใหญ่ลงมาดู
รับใบราคากลับไป ต่อมาครบ1เดือนเริ่มต่อรองราคากับอู่ซ่อม
ต่อรองกันครึ่งเดือน อนุมัติซ่อม รออะไหล่ รอทำสี ฯ
ผมทนไม่ไหวไ ปกวนพนักงานเคลมประกัน7-9เที่ยว
เลยหมดความอดทนเอาเดือนที่3


ไปแจ้งความดำเนินคดีที่สถานีตำรวจ
เอาเจ้าของอู่ซ่อม ขึ้นโรงพัก
แต่เขาให้เสมียนไปแทน ตำรวจไกล่เกลี่ย
เสมียนขอความเห็นใจว่า...
ต้องซ่อมรถทั่วไปก่อนเพื่อเอาเงินสดมาจ่ายคนงาน
รถคุณประกันบริษัทนี้เก็บเงินยาก3เดือนยังเก็บไม่ได้
เลยทางอู่ต้องซ่อมเงินสดก่อนรถประกันบริษัทนี้ทีหลัง
หากเป็นการชนไม่เกิน2หมื่นบาทค่าซ่อมต่อคัน
ซ่อมได้เลย แต่นี่ชนแล้วเสียหายเท่ากับซื้อรถมือสองได้
บริษัทประกันเขาจะดึงเรื่อง
อนุมัติการซ่อมช้า
อู่ซ่อมก็ต้องรอ
บริษัทประกันแข็งมาก
เขาจะไปสอบราคาอะไหล่ สอบค่าแรง
ที่อื่นๆก่อนจะมาต่อรอง แล้วเก็บเงินได้ช้า
ครั้งหน้าคุณเปลี่ยนเป็นทำประกันรถยนต์กับ

บริษัทไทยประกันภัย

จะอนุมัติการซ่อมได้เร็วกว่านี้เพราะเก็บเงินง่าย
ทางอู่ซ่อมเสร็จถ่ายรูปไปเก็บเงินได้เลย

ผมถึงรู้ปัญหา
และได้เข้าไปซื้อหุ้นบริษัทนี้ไว้ครับท่านนักดูดาว
แก้ไขล่าสุดโดย ปรัชญา เมื่อ อังคาร พ.ย. 16, 2004 9:21 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
นักดูดาว
Verified User
โพสต์: 2513
ผู้ติดตาม: 0

ทำประกันภัย ประกันชีวิต อย่าลืมดูงบดุล

โพสต์ที่ 8

โพสต์

อ่านแล้วก็ระวังครับ เข้าตลาดมาจะได้รู้ทันเน้อ
กำรี้กำไรเทียบกับบริษัทขนาดเดียวกันในตลาดไม่ได้เลยครับ นี่เพิ่มทุนอีกรอบแล้ว

สัมพันธ์ประกันภัย เพิ่มทุนอีก 200 ล้าน

ทุนพุ่งเป็น 1.1 พันล้าน สูงเกินมาตรฐานรัฐ อีก 3 ปี นำเข้าตลาดหลักทรัพย์
หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์ รายงานว่า : สัมพันธ์ประกันภัย เพิ่มทุนอีก 200 ล้านบาท สร้างความแข็งแกร่งด้านการเงินรองรับการขยายงาน เกินมาตรฐานกรมการประกันภัยกำหนด
นายศรีศักดิ์ ณ นคร กรรมการผู้จัดการ บริษัทสัมพันธ์ประกันภัย เปิดเผยว่า บริษัทจะเพิ่มทุนจดทะเบียนอีก 200 ล้านบาท เพื่อให้เป็น 1,100 ล้านบาทภายในสิ้นปีนี้ ซึ่งจะทำให้ฐานะการเงินกองทุนของบริษัทมีความแข็งแกร่งมากขึ้น และเกินมาตรฐานใหม่ที่กรมการประกันภัยกำหนดให้บริษัทประกันวินาศภัยต้องมีทุนจดทะเบียน 300 ล้านบาท และยังเป็นการรองรับงานที่จะเติบโตขึ้นเป็นพิเศษถึง 3 เท่า ในช่วงเดือนธันวาคมของทุกปีด้วย
ทั้งนี้ การที่เงินกองทุนของบริษัทติดลบ 179 ล้านบาท เมื่อเดือนธันวาคม 2546 ส่วนหนึ่งก็เป็นผลมาจากงานที่เพิ่มขึ้นเป็น 3
เท่าในช่วงเดือนธันวาคมของทุกปี ซึ่งเป็นการติดลบทางด้านเทคนิคทางบัญชีเท่านั้น ไม่ได้เกี่ยวกับฐานะความมั่นคงของบริษัทแต่
อย่างใด ซึ่งความมั่นคงของบริษัทประกัน ควรดูเรื่องของสภาพคล่องทางการเงินเป็นหลัก โดยปัจจุบันบริษัทมีสภาพคล่องส่วนเกิน
ประมาณ 200% หรือ ประมาณ 200 ล้านบาท เป็นทรัพย์สินที่สามารถแปลงเป็นเงินสดได้ทันที และไม่มีปัญหาในการจ่ายเงินชดเชย
สินไหมให้ กับลูกค้าแต่อย่างใด

นอกจากนี้ บริษัทยังมีแผนนำบริษัทเข้าไปจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยให้ได้ภายใน ปี 2550 ซึ่งต้องทำ
ตามเงื่อนไขที่กำหนดโดยต้องทำกำไรติดต่อกันเป็นเวลา 3 ปี ซึ่งเริ่มนับตั้งแต่ปี 2546 ที่มีกำไร 28 ล้านบาท
โดยตั้งเป้าผลิต
เบี้ยประกันภัยทุกประเภทไว้ที่ 3,000 ล้านบาท โดยเดือนกันยายน ที่ผ่านมา บริษัทมีเบี้ยประกันภัยทุกประเภทแล้ว 2,637 ล้านบาท
เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปี 2546 ถึง 28% ดังนั้น คาดว่าสิ้นปีเบี้ยประกันภัยรับจะสูงกว่าเป้าหมายอยู่ที่ 3,500 ล้านบาท นอกจาก
นี้ในปี 2548 คาดว่ามีกำไร 80-100 ล้านบาท ซึ่งจะเข้าเกณฑ์ที่ตลาดหลักทรัพย์กำหนด นายศรีศักดิ์ กล่าวว่า การที่บริษัทต้องการ
เข้าไปจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เพื่อเป็นการยกระดับสู่สากล และการเปิดการค้าเสรี รองรับกับการแข่งขันที่จะมีขึ้นในอนาคต

นอกจากนี้ บริษัทลงทุนด้านบริการโดยจัดหารถใช้ระหว่างซ่อมเพิ่มอีก 100 คัน รวมเป็น 600 คัน ลงทุนด้านระบบ
เทคโนโลยีสารสนเทศอีก 100 ล้านบาท เพื่อขยายงานระบบออนไลน์ของงานรับประกัน และงานบริการหลังการยายไปทั่วประเทศ
ทั้งในส่วนสำนักงานตัวแทน และสำนักงานสาขาทั้งหมด และยังมีแผนขยายสำนักงานตัวแทนให้ครบ 795 อำเภอทั่วประเทศอีกด้วย
จากปัจจุบันที่มีอยู่ 243 อำเภอ ทั้งนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการยังได้อนุมัติงบประมาณอีก 100 ล้านบาท เพื่อให้ขยายการลงทุนในส่วน
เพิ่มเติมได้ ไม่ว่าจะเป็นสวัสดิการพนักงาน ฝ่ายการตลาด การสนับสนุนแหล่งเงินทุนให้กับอู่พันธมิตรได้มีอุปกรณ์เครื่องมือในการ
ซ่อมรถที่ทันสมัย ซึ่งจะทำให้ลูกค้ายังคงใช้บริการบริษัทอย่างต่อเนื่อง

นายศรีศักดิ์ ณ นคร กรรมการผู้จัดการบริษัท สัมพันธ์ประกันภัย แถลงข่าวเพิ่มทุนจดทะเบียนบริษัทฯ จากเดิม 600 ล้านบาท
เป็น 900 ล้านบาท โดยตั้งเป้าจะเพิ่มทุนจดทะเบียนเป็น 1,100 ล้านบาท ภายในปี 2547 ที่บริษัทสัมพันธ์ประกันภัย
เมื่อวันที่ 8 ตุลาคม 2547

ที่มา : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์ ฉบับวันที่ 11 ต.ค. 47
เสรีภาพก็เหมือนอากาศที่เราไม่อาจมองเห็นด้วยตา แต่จะรู้สึกได้ในทันทีหากมีมันอยู่เบาบางหรือขาดหายไป

-จีรนุช เปรมชัยพร
ล็อคหัวข้อ