เงินเดือนน้อยๆ ก็มีเงินเป็นล้านกับเขาได้
- picklife
- Verified User
- โพสต์: 2565
- ผู้ติดตาม: 0
เงินเดือนน้อยๆ ก็มีเงินเป็นล้านกับเขาได้
โพสต์ที่ 31
......ผมว่าคนเรามี2ประเภทนะครับ
1.คนที่มองข้อจำกัดก่อนแล้วตั้งเป้าหมาย
2.คนที่ตั้งเป้าหมายก่อนแล้วมองข้อจำกัด
ผมบอกไม่ได้ว่าคนแบบไหนจะประสบความสำเร็จกว่ากัน....เพราะคนทั้งสองกลุ่มนี้น่าจะประสบความสำเร็จพอๆกัน
คนประเภทที่1มักจะทำๆๆๆๆ ไม่คิดอะไรมาก ตั้งเป้าต่ำ พอไปถึงเป้าก็ปรับเป้าใหม่เรื่อยๆ
คนประเภทสองตั้งเป้าสุงๆก่อนแล้วค่อยลุย ถ้าเจออุปสรรคหรือข้อจำกัดก็แก้ไขไปทีละเรื่อง
โดยส่วนตัวผมเป็นคนประเภทที่สองครับ การที่จะทำอะไรเป้าหมายต้องชัดเจนมากๆ ถึงจะทำ และเป้าหมายต้องสูง แต่ก็ไม่สุงมากเกินกว่าที่คนเดินดินจะทำได้ ซึ่งผมว่า จขกท เขียนบทความนี้เพื่อจูงใจคนประเภทผมครับ ซึ่งตรงกับพื้นฐานความคิดที่ผมมีมากๆ ซึ่งเป้าหมายผมนั้นสุงกว่าตัวอย่างที่เจ้าของกระทู้เขียนยกตัวอย่างไว้อีกนะครับ....
ผมเข้าวงการการลงทุนมาแค่1ปียังไม่เคยเจอช่วงวิกฤติโหดๆ สำหรับสายตาพี่ผมคงยังเด็กละอ่อนจริงๆครับ
แต่1ปีนี้ผมก็ศึกษามาพอสมควร ผมไม่รู้ว่าจริงแท้เป็นเช่นไร....แต่ผมมีความคิดเห็นดังนี้ครับ
1. 20%ถือว่าไม่มากไปครับ กำลังพอเป็นเป้าหมายที่ดี ไม่มากไป ไม่น้อยไป คนสามัญชนน่าจะทำได้
2. ผลตอบของกูรูต่างๆที่อยู่ที่20-40%นั้นจริงอยู่ แต่อย่าลืมเรื่องขนาดพอร์ทด้วยนะครับ อย่าลืมว่าถ้าพอร์ทใหญ่ๆระดับนั้นเขาไม่สามารถซื้อแล้วเข้าๆออกๆตามสภาวะวิกฤติใหญ่ๆได้เลย เพราะมูลค่ามันมากเกินกว่าที่อยู่ๆจะขายล้างพอร์ทได้ หรือซื้อทีละหมดพอร์ทได้ เพราะราคาจะวิ่งกระจาย จนเกิดการแตกตื่นของนักลงทุนอย่างมาก ดังนั้นผมว่าสาเหตหลักที่นักลงทุนกูรูระดับโลกทำได้ระดับประมาณนี้เพราะเหตุผลดังกล่าวซึ่งเกี่ยวกับความคล่องตัวของพอร์ท แต่ว่าสำหรับรายย่อยอย่างเรา เราไม่มีข้อจำกัดทางด้านนี้ครับ ดังนั้นการทำกำไรได้20%กว่า ไม่ใช่เรื่องที่เป้นไปไม่ได้สำหรับสามัญชนนะครับ
3.จากคำกล่าวที่ว่าผลตอบแทนของตลาดอยู่ที่10% แล้วเราจะทำได้เท่านี้ ผมไม่แน่ใจว่านิยามคำว่าผลตอบแทนนี้มากไหน มากจากค่าSETหรือปล่าว
ซึ่งผมมองว่าค่าSETใช้เพียงอ้างอิงเท่านั้นเพราะค่าSETไม่รวมปันผล และค่าSETรวมทั้งบริษัทเน่าๆและดีๆแต่เราสามารถเลือกบ.ดีๆได้ไม่ยาก ยิ่งถ้าสิงสถิตอยู่ในTVIนี้แล้วยิ่งไม่ยากเท่าไหร่ครับ.....และอย่าลืมว่ามีบริษัทจดทะเบียนเพิ่มขึ้นทุกปีซึ่งสิ่งนี้จะมีผลกับค่าSETอย่างไรครับ? และยังมีบริษัทที่ล้มละลายไปมากมายเช่นกันซึ่งคิดว่าก็น่าจะมีผลกับSETครับ
ดังนั้นหากจะดูว่าผลตอบแทนเท่าไหร่จริงๆ ผมคิดว่าไปดูที่ตัวหุ้นนั้นๆเลยน่าจะชัดเจนกว่าครับ เช่นตัวหลักๆ PTT ผลตอบแทนเฉลี่ยย้อนหลังซัก10ปีเท่าไหร่? หรือตัวอื่นๆเช่น SCC STANLY SCB etc. น่าจะชัวร์กว่าการมองจากSETนะครับ หรือยังไงครับช่วงวิจารณ์ด้วยนะครับ
4.กรณีที่มีคนโพสว่าหากปีหนึ่งขาดทุนซัก50%จะทำอย่างไร....ผมมองว่าคำว่าผลตอบแทนเฉลี่ยหลายถึงเอาทุกๆปีมารวมกัน ถ้าสมมุติปี2008ขาดทุน50% แล้วปี2009ที่ได้กำไร100%ละครับเอาไปไว้ไหน ผมเข้านะครับว่ามองสองด้านและมองในแง่ร้ายไว้ก่อน ซึ่งโดยส่วนตัวผมเป็นคนมองแง่ร้ายเผื่อไว้เสมอครับ....แต่ผมอยากให้คิดว่าคนส่วนใหญ่สามารถทำได้จะดีกว่านะครับ เพราะถ้าเราเกิดมองต่ำๆ บางคนได้10% หรือไม่ขาดทุนก็อ้างคนส่วนใหญ่ก็เป็นอย่างนี้ ถ้าอ้างอย่างนี้เขาจะไม่พัฒนาตัวเองครับ ผมอยากให้มองว่าคนปกติคือกำไร10%ต่อปีครับ ถ้าทำได้10%ต่อปีจะได้ไม่เหลิงคิดว่าเรามีความรู้ดีแล้ว แต่จริงๆแล้ว10%ถือว่าระดับปกติครับคุณไม่ได้เก่งเลยครับ ควรจะศึกษาเพิ่มหาสาเหตุและพัฒนาให้อย่างน้อยมากกว่า15%ก็ยังดี ถ้าใครได้20%ถือว่าอยู่ตัวครับ เก่งครับ
5.บางคนอ้างว่า70:10:20 คือ เสีย:เสมอตัว:ได้ และกล่าวว่าคนส่วนใหญ่ดังนั้นเราไม่เสียก็ถือว่าเก่งแล้ว ผมว่าผิดครับ ผิดอย่างมากครับ จะเรียกได้ว่าเก่งต้องทำได้10%ขึ้นเท่านั้นครับ แล้วยิ่งคนในTVIนี้ยิ่งแล้วใหญ่ครับ ผมว่าคนในTVIส่วนใหญ่ได้ด้วยซ้ำครับ.....
ผมมองและประเมินว่าสามเหตุที่มีคนเสียเยอะ เพราะคนที่เสียเหล่านั้นเป็นคนหน้าใหม่ๆที่เข้ามาครับไม่ใช่คนปัจจุบัน สมมุติเข้ามา2คน 1คนได้ 1คนเสีย 1ปีผ่านไปคนได้ยังอยู่แต่คนเสียออกไป คนใหม่เข้ามา เสียอีก แล้วออกไปอีก จะเห็นว่าสาเหตุที่คนเสียมากกว่าคนได้เพราะคนเสียไม่ใช่คนหน้าเดิมๆ แต่เป็นใหม่ที่เข้ามาเสียแล้วอ้างว่าเป้นเพราะตลาด(ไม่มองตัวเอง)แล้วออกไปคนใหม่เข้ามาอีกเจอกรณีเดียวกันเป็นวงจร ดังนั้นผมว่าสาเหตุที่คนเสียเบอะกว่าคนได้นั้นไม่แปลกครับ.....ผมเชื่อว่าหากเลือกคนที่ลงทุนในหุ้นมาเกิน5ปี มาโหวตกัน ผมว่าคนเล่นได้เยอะกว่าแน่นอนครับ
6.และ20%ของพี่vichit นี้เป็นกำไรทบต้นแบบคิดต่อปีนะครับ ไม่ใช่คิดรายวันส่วนผลตอบแทนของกูรูทั้งหลายเป้นแบบรายวันครับ เช่นดร.นิเวศน์
ผลตอบแทนคิดแบบรวบปีก็40% แต่ถ้าคิดทบต้นรายวันก็เหลือแค่35%ครับ
ดังนั้น20%แบบคิดหวะปีท้ายปีแบบพี่vichitนี้เท่ากับ18.25%เท่านั้นครับ
7.อ่านคห.หนึ่งบอกว่ากระทู้ขายฝัน....ฝันคือคิดในสิ่งที่เป้นไปไม่ได้ครับ แต่ถ้าคิดในสิ่งที่เป็นไปได้และทำมัน ผมเรียกว่าเป้าหมายครับ ผมมองว่ากระทุ้นี้ดีมากๆเป้นการกระตุ้นให้หลายๆคนมีเป้าหมายและเดินไปตามหลักPDCAผมเชื่อว่าถึงแน่ๆครับ และที่สำคัญมีคนทำมาแล้วครับ เยอะด้วย แถมวนๆเวียนๆอยู๋แถวนี้หลายคนครับอิอิ ซึ่งคิดดูนะครับว่าง่ายกว่าการตั้งเป้าหมายกับสิ่งที่ยังไม่มีใครเคยทำได้อีกนะครับแครื่องบิน หลอดไฟ และอีกหลายๆอย่าง เป็นการตั้งเป้ากับความฝันที่ยังไม่เคยมีใครในโลกทำได้ เขายังทำได้เลยครับ แล้วนี่เพื่อนๆแค่ตั้งเป้ากับสิ่งที่ชาวTVIทำกันได้...โอยยเกิน20%นี่ผมว่าเป้นพันคนนะครับ 555+
พอก่อนดีกว่าเดี่ยวพี่ๆจะดุเอา อิอิ
อันนี้เป็นความคิดเห็นส่วนตัวนะครับ อยากแชร์ความรู้กับพี่ๆ อยากให้ช่วยวิจารณ์สั้งสอนความคิดผมด้วยนะครับ สังคมTVIจะได้มีศัยภาพมากขึ้น....
ปล1.ฝากคำคมไว้2อันครับ น่าจะเหมาะกับกระทู้นี้ครับ
"ฝันให้ไกล ไปให้ถึง แม้นครึ่งทางก็ยังดี"
"ตีลูกให้ถึงดวงจันทร์ แม้นพลาดก็อยู๋ท่ามกลางดวงดาว"
ปล2.ขอบคุณพี่vichitมากๆๆๆครับ ผมหาสูตรเงินในอนาคตแบบลงทุนเพิ่มเรื่อยอย่างนี้มานานเนื่องจากเรียนแล้วลืมครับ555+ ส่วนใหญ่ที่เจอก็เป็นตารางนะครับ แต่ของพี่เป็นสูตรเลย ของคุณมากๆๆๆครับ
ปล3.ขอสรุปสูตรนะครับ สำหรับคนมีเงินลงทุน1ก้อน และเพิ่มทุนด้วย
สูตร
F=P*(1+i)^i กรณีลงทุนก้อนใหญ่ก้อนเดียว
AF=A*((1+i)^i)/i กรณีลงทุนเพิ่มทุกเดือน
ตัวอย่าง
สมมุตอนนี้ผมมี 3แสน จะลงทุนเพิ่มเดือนละ1หมื่นบาท
ด้วยผลตอบแทน20% เป็นระยะเวลา 26ปี
(คิดแบบตัวปีท้ายปีละกันครับจะได้ไม่ซับซ้อน)
F10ปี=300000*(1+0.2)^(26)+10000*12*(1+0.2)^(26)/0.2
=103ล้าน
1.คนที่มองข้อจำกัดก่อนแล้วตั้งเป้าหมาย
2.คนที่ตั้งเป้าหมายก่อนแล้วมองข้อจำกัด
ผมบอกไม่ได้ว่าคนแบบไหนจะประสบความสำเร็จกว่ากัน....เพราะคนทั้งสองกลุ่มนี้น่าจะประสบความสำเร็จพอๆกัน
คนประเภทที่1มักจะทำๆๆๆๆ ไม่คิดอะไรมาก ตั้งเป้าต่ำ พอไปถึงเป้าก็ปรับเป้าใหม่เรื่อยๆ
คนประเภทสองตั้งเป้าสุงๆก่อนแล้วค่อยลุย ถ้าเจออุปสรรคหรือข้อจำกัดก็แก้ไขไปทีละเรื่อง
โดยส่วนตัวผมเป็นคนประเภทที่สองครับ การที่จะทำอะไรเป้าหมายต้องชัดเจนมากๆ ถึงจะทำ และเป้าหมายต้องสูง แต่ก็ไม่สุงมากเกินกว่าที่คนเดินดินจะทำได้ ซึ่งผมว่า จขกท เขียนบทความนี้เพื่อจูงใจคนประเภทผมครับ ซึ่งตรงกับพื้นฐานความคิดที่ผมมีมากๆ ซึ่งเป้าหมายผมนั้นสุงกว่าตัวอย่างที่เจ้าของกระทู้เขียนยกตัวอย่างไว้อีกนะครับ....
ผมเข้าวงการการลงทุนมาแค่1ปียังไม่เคยเจอช่วงวิกฤติโหดๆ สำหรับสายตาพี่ผมคงยังเด็กละอ่อนจริงๆครับ
แต่1ปีนี้ผมก็ศึกษามาพอสมควร ผมไม่รู้ว่าจริงแท้เป็นเช่นไร....แต่ผมมีความคิดเห็นดังนี้ครับ
1. 20%ถือว่าไม่มากไปครับ กำลังพอเป็นเป้าหมายที่ดี ไม่มากไป ไม่น้อยไป คนสามัญชนน่าจะทำได้
2. ผลตอบของกูรูต่างๆที่อยู่ที่20-40%นั้นจริงอยู่ แต่อย่าลืมเรื่องขนาดพอร์ทด้วยนะครับ อย่าลืมว่าถ้าพอร์ทใหญ่ๆระดับนั้นเขาไม่สามารถซื้อแล้วเข้าๆออกๆตามสภาวะวิกฤติใหญ่ๆได้เลย เพราะมูลค่ามันมากเกินกว่าที่อยู่ๆจะขายล้างพอร์ทได้ หรือซื้อทีละหมดพอร์ทได้ เพราะราคาจะวิ่งกระจาย จนเกิดการแตกตื่นของนักลงทุนอย่างมาก ดังนั้นผมว่าสาเหตหลักที่นักลงทุนกูรูระดับโลกทำได้ระดับประมาณนี้เพราะเหตุผลดังกล่าวซึ่งเกี่ยวกับความคล่องตัวของพอร์ท แต่ว่าสำหรับรายย่อยอย่างเรา เราไม่มีข้อจำกัดทางด้านนี้ครับ ดังนั้นการทำกำไรได้20%กว่า ไม่ใช่เรื่องที่เป้นไปไม่ได้สำหรับสามัญชนนะครับ
3.จากคำกล่าวที่ว่าผลตอบแทนของตลาดอยู่ที่10% แล้วเราจะทำได้เท่านี้ ผมไม่แน่ใจว่านิยามคำว่าผลตอบแทนนี้มากไหน มากจากค่าSETหรือปล่าว
ซึ่งผมมองว่าค่าSETใช้เพียงอ้างอิงเท่านั้นเพราะค่าSETไม่รวมปันผล และค่าSETรวมทั้งบริษัทเน่าๆและดีๆแต่เราสามารถเลือกบ.ดีๆได้ไม่ยาก ยิ่งถ้าสิงสถิตอยู่ในTVIนี้แล้วยิ่งไม่ยากเท่าไหร่ครับ.....และอย่าลืมว่ามีบริษัทจดทะเบียนเพิ่มขึ้นทุกปีซึ่งสิ่งนี้จะมีผลกับค่าSETอย่างไรครับ? และยังมีบริษัทที่ล้มละลายไปมากมายเช่นกันซึ่งคิดว่าก็น่าจะมีผลกับSETครับ
ดังนั้นหากจะดูว่าผลตอบแทนเท่าไหร่จริงๆ ผมคิดว่าไปดูที่ตัวหุ้นนั้นๆเลยน่าจะชัดเจนกว่าครับ เช่นตัวหลักๆ PTT ผลตอบแทนเฉลี่ยย้อนหลังซัก10ปีเท่าไหร่? หรือตัวอื่นๆเช่น SCC STANLY SCB etc. น่าจะชัวร์กว่าการมองจากSETนะครับ หรือยังไงครับช่วงวิจารณ์ด้วยนะครับ
4.กรณีที่มีคนโพสว่าหากปีหนึ่งขาดทุนซัก50%จะทำอย่างไร....ผมมองว่าคำว่าผลตอบแทนเฉลี่ยหลายถึงเอาทุกๆปีมารวมกัน ถ้าสมมุติปี2008ขาดทุน50% แล้วปี2009ที่ได้กำไร100%ละครับเอาไปไว้ไหน ผมเข้านะครับว่ามองสองด้านและมองในแง่ร้ายไว้ก่อน ซึ่งโดยส่วนตัวผมเป็นคนมองแง่ร้ายเผื่อไว้เสมอครับ....แต่ผมอยากให้คิดว่าคนส่วนใหญ่สามารถทำได้จะดีกว่านะครับ เพราะถ้าเราเกิดมองต่ำๆ บางคนได้10% หรือไม่ขาดทุนก็อ้างคนส่วนใหญ่ก็เป็นอย่างนี้ ถ้าอ้างอย่างนี้เขาจะไม่พัฒนาตัวเองครับ ผมอยากให้มองว่าคนปกติคือกำไร10%ต่อปีครับ ถ้าทำได้10%ต่อปีจะได้ไม่เหลิงคิดว่าเรามีความรู้ดีแล้ว แต่จริงๆแล้ว10%ถือว่าระดับปกติครับคุณไม่ได้เก่งเลยครับ ควรจะศึกษาเพิ่มหาสาเหตุและพัฒนาให้อย่างน้อยมากกว่า15%ก็ยังดี ถ้าใครได้20%ถือว่าอยู่ตัวครับ เก่งครับ
5.บางคนอ้างว่า70:10:20 คือ เสีย:เสมอตัว:ได้ และกล่าวว่าคนส่วนใหญ่ดังนั้นเราไม่เสียก็ถือว่าเก่งแล้ว ผมว่าผิดครับ ผิดอย่างมากครับ จะเรียกได้ว่าเก่งต้องทำได้10%ขึ้นเท่านั้นครับ แล้วยิ่งคนในTVIนี้ยิ่งแล้วใหญ่ครับ ผมว่าคนในTVIส่วนใหญ่ได้ด้วยซ้ำครับ.....
ผมมองและประเมินว่าสามเหตุที่มีคนเสียเยอะ เพราะคนที่เสียเหล่านั้นเป็นคนหน้าใหม่ๆที่เข้ามาครับไม่ใช่คนปัจจุบัน สมมุติเข้ามา2คน 1คนได้ 1คนเสีย 1ปีผ่านไปคนได้ยังอยู่แต่คนเสียออกไป คนใหม่เข้ามา เสียอีก แล้วออกไปอีก จะเห็นว่าสาเหตุที่คนเสียมากกว่าคนได้เพราะคนเสียไม่ใช่คนหน้าเดิมๆ แต่เป็นใหม่ที่เข้ามาเสียแล้วอ้างว่าเป้นเพราะตลาด(ไม่มองตัวเอง)แล้วออกไปคนใหม่เข้ามาอีกเจอกรณีเดียวกันเป็นวงจร ดังนั้นผมว่าสาเหตุที่คนเสียเบอะกว่าคนได้นั้นไม่แปลกครับ.....ผมเชื่อว่าหากเลือกคนที่ลงทุนในหุ้นมาเกิน5ปี มาโหวตกัน ผมว่าคนเล่นได้เยอะกว่าแน่นอนครับ
6.และ20%ของพี่vichit นี้เป็นกำไรทบต้นแบบคิดต่อปีนะครับ ไม่ใช่คิดรายวันส่วนผลตอบแทนของกูรูทั้งหลายเป้นแบบรายวันครับ เช่นดร.นิเวศน์
ผลตอบแทนคิดแบบรวบปีก็40% แต่ถ้าคิดทบต้นรายวันก็เหลือแค่35%ครับ
ดังนั้น20%แบบคิดหวะปีท้ายปีแบบพี่vichitนี้เท่ากับ18.25%เท่านั้นครับ
7.อ่านคห.หนึ่งบอกว่ากระทู้ขายฝัน....ฝันคือคิดในสิ่งที่เป้นไปไม่ได้ครับ แต่ถ้าคิดในสิ่งที่เป็นไปได้และทำมัน ผมเรียกว่าเป้าหมายครับ ผมมองว่ากระทุ้นี้ดีมากๆเป้นการกระตุ้นให้หลายๆคนมีเป้าหมายและเดินไปตามหลักPDCAผมเชื่อว่าถึงแน่ๆครับ และที่สำคัญมีคนทำมาแล้วครับ เยอะด้วย แถมวนๆเวียนๆอยู๋แถวนี้หลายคนครับอิอิ ซึ่งคิดดูนะครับว่าง่ายกว่าการตั้งเป้าหมายกับสิ่งที่ยังไม่มีใครเคยทำได้อีกนะครับแครื่องบิน หลอดไฟ และอีกหลายๆอย่าง เป็นการตั้งเป้ากับความฝันที่ยังไม่เคยมีใครในโลกทำได้ เขายังทำได้เลยครับ แล้วนี่เพื่อนๆแค่ตั้งเป้ากับสิ่งที่ชาวTVIทำกันได้...โอยยเกิน20%นี่ผมว่าเป้นพันคนนะครับ 555+
พอก่อนดีกว่าเดี่ยวพี่ๆจะดุเอา อิอิ
อันนี้เป็นความคิดเห็นส่วนตัวนะครับ อยากแชร์ความรู้กับพี่ๆ อยากให้ช่วยวิจารณ์สั้งสอนความคิดผมด้วยนะครับ สังคมTVIจะได้มีศัยภาพมากขึ้น....
ปล1.ฝากคำคมไว้2อันครับ น่าจะเหมาะกับกระทู้นี้ครับ
"ฝันให้ไกล ไปให้ถึง แม้นครึ่งทางก็ยังดี"
"ตีลูกให้ถึงดวงจันทร์ แม้นพลาดก็อยู๋ท่ามกลางดวงดาว"
ปล2.ขอบคุณพี่vichitมากๆๆๆครับ ผมหาสูตรเงินในอนาคตแบบลงทุนเพิ่มเรื่อยอย่างนี้มานานเนื่องจากเรียนแล้วลืมครับ555+ ส่วนใหญ่ที่เจอก็เป็นตารางนะครับ แต่ของพี่เป็นสูตรเลย ของคุณมากๆๆๆครับ
ปล3.ขอสรุปสูตรนะครับ สำหรับคนมีเงินลงทุน1ก้อน และเพิ่มทุนด้วย
สูตร
F=P*(1+i)^i กรณีลงทุนก้อนใหญ่ก้อนเดียว
AF=A*((1+i)^i)/i กรณีลงทุนเพิ่มทุกเดือน
ตัวอย่าง
สมมุตอนนี้ผมมี 3แสน จะลงทุนเพิ่มเดือนละ1หมื่นบาท
ด้วยผลตอบแทน20% เป็นระยะเวลา 26ปี
(คิดแบบตัวปีท้ายปีละกันครับจะได้ไม่ซับซ้อน)
F10ปี=300000*(1+0.2)^(26)+10000*12*(1+0.2)^(26)/0.2
=103ล้าน
-
- Verified User
- โพสต์: 1296
- ผู้ติดตาม: 1
เงินเดือนน้อยๆ ก็มีเงินเป็นล้านกับเขาได้
โพสต์ที่ 32
ผมว่าคุณ Picklife มองในแง่ดีเกินไปซะแล้ว
ถ้าคุณอยู่ในตลาดนานๆ คุณจะรู้ว่า กำไร 20%ต่อปี
โดยเฉลี่ยมันยากมากๆ
ถ้าปี 08 ขาดทุน 50% พอปี 09 กำไร 100%
เท่ากับว่า 2 ปีนี้ ( ปี 08+ ปี 09) เฉลี่ยแล้วคุณเท่าทุน
(เท่ากับว่าเสียเวลาไปฟรีๆ 2 ปี) ดังนั้นปี 10 และปีต่อๆ
ไปคุณต้องทำกำไรให้ได้มากกว่า 20%
ถ้าคุณอยู่ในตลาดนานๆ คุณจะรู้ว่า กำไร 20%ต่อปี
โดยเฉลี่ยมันยากมากๆ
ถ้าปี 08 ขาดทุน 50% พอปี 09 กำไร 100%
เท่ากับว่า 2 ปีนี้ ( ปี 08+ ปี 09) เฉลี่ยแล้วคุณเท่าทุน
(เท่ากับว่าเสียเวลาไปฟรีๆ 2 ปี) ดังนั้นปี 10 และปีต่อๆ
ไปคุณต้องทำกำไรให้ได้มากกว่า 20%
- picklife
- Verified User
- โพสต์: 2565
- ผู้ติดตาม: 0
เงินเดือนน้อยๆ ก็มีเงินเป็นล้านกับเขาได้
โพสต์ที่ 34
คุณ....ส.สลึง ครับ
พ่วงบาดแผลเต็มตัวด้วยนะครับ 555+
Radio say:
"ถ้าคุณอยู่ในตลาดนานๆ คุณจะรู้ว่า กำไร 20%ต่อปี โดยเฉลี่ยมันยากมากๆ"
ยากมากๆ แสดงว่ายังเป็นได้ใช่ไหมครับ.....ประเด็นนี้แหละครับ คือประเด็นที่ผมอยากรู้มากๆครับ ว่ามันยากขนาดไหน??? อันนี้ไม่ได้กวนนะครับพี่ แต่ผมอยากรู้จริงๆครับ....อยากรู้ว่าคนที่ได้เกิน20%เขาทำอย่างไร? มีชีวิตอยู่อย่างไร? ศึกษาหนักขนาดไหน? และมองว่า20%มันยากขนาดไหน?
อยากสร้างทำเนียบประวัติรวมของคนที่ทำกำไรเกิน20%จังเลยครับ....อยากรู้ว่าการจะไปถึงจุดนั้นจะต้องอ่านหนังสือเยอะขนาดไหน ดูหน้าจอมากขนาดไหน หรือเรียนอะไรมา หรือไม่ได้ขึ้นอยู๋กับความรู้แต่เป็นทัศนคติ เรื่องความรู้ผมว่าถ้าแค่รู้แล้วไปถึงได้ มันก็ง่ายเกินไปแล้วครับ ไม่งั้นคนจบสายการเงินก็รวยกันหมดแล้ว....หรือคนที่จบสายบัญชีก็น่าจะรวยกันหมดแล้ว....
แสดงว่ามันจะต้องมีอะไรมากกว่านั้นครับ....ดังนั้นพี่ๆช่วยแนะหน่อยซิครับว่าสิ่งนั้นคืออะไรครับ???? พี่Radioและพี่ๆท่านอื่นช่วยกันแนะหน่อยซิครับ....
พ่วงบาดแผลเต็มตัวด้วยนะครับ 555+
Radio say:
"ถ้าคุณอยู่ในตลาดนานๆ คุณจะรู้ว่า กำไร 20%ต่อปี โดยเฉลี่ยมันยากมากๆ"
ยากมากๆ แสดงว่ายังเป็นได้ใช่ไหมครับ.....ประเด็นนี้แหละครับ คือประเด็นที่ผมอยากรู้มากๆครับ ว่ามันยากขนาดไหน??? อันนี้ไม่ได้กวนนะครับพี่ แต่ผมอยากรู้จริงๆครับ....อยากรู้ว่าคนที่ได้เกิน20%เขาทำอย่างไร? มีชีวิตอยู่อย่างไร? ศึกษาหนักขนาดไหน? และมองว่า20%มันยากขนาดไหน?
อยากสร้างทำเนียบประวัติรวมของคนที่ทำกำไรเกิน20%จังเลยครับ....อยากรู้ว่าการจะไปถึงจุดนั้นจะต้องอ่านหนังสือเยอะขนาดไหน ดูหน้าจอมากขนาดไหน หรือเรียนอะไรมา หรือไม่ได้ขึ้นอยู๋กับความรู้แต่เป็นทัศนคติ เรื่องความรู้ผมว่าถ้าแค่รู้แล้วไปถึงได้ มันก็ง่ายเกินไปแล้วครับ ไม่งั้นคนจบสายการเงินก็รวยกันหมดแล้ว....หรือคนที่จบสายบัญชีก็น่าจะรวยกันหมดแล้ว....
แสดงว่ามันจะต้องมีอะไรมากกว่านั้นครับ....ดังนั้นพี่ๆช่วยแนะหน่อยซิครับว่าสิ่งนั้นคืออะไรครับ???? พี่Radioและพี่ๆท่านอื่นช่วยกันแนะหน่อยซิครับ....
- Joga Bonito
- Verified User
- โพสต์: 278
- ผู้ติดตาม: 0
เงินเดือนน้อยๆ ก็มีเงินเป็นล้านกับเขาได้
โพสต์ที่ 35
ตามไปดูในเว็บ เห็นเขาโพสต์ reply มาแบบนี้ครับ :D
marilyn409
Oct 3 2007, 09:40 AM
กุมีทุน แต่ความรู้ไม่ถึง เมิงเล่นแทนกุได้มั้ยละ 555+
- newbie_12
- Verified User
- โพสต์: 2904
- ผู้ติดตาม: 0
เงินเดือนน้อยๆ ก็มีเงินเป็นล้านกับเขาได้
โพสต์ที่ 36
ต้องเจอวิกฤติหนักๆซักรอบ น่าจะเข้าใจโลกมากขึ้น
ปี 2551 ที่ตลาดตกหนัก มันยังดีนะครับ ที่ปี 2552 มันดีดกลับขึ้นมาเร็ว ถ้าเจอตลาดหมีต่อเนื่องยาวนาน แบบคราวก่อนๆ
มันเศร้ากว่าปี 2551 มากมายครับ
ปี 2551 ที่ตลาดตกหนัก มันยังดีนะครับ ที่ปี 2552 มันดีดกลับขึ้นมาเร็ว ถ้าเจอตลาดหมีต่อเนื่องยาวนาน แบบคราวก่อนๆ
มันเศร้ากว่าปี 2551 มากมายครับ
.
.
อดีตอันรุ่งโรจน์ ไม่ได้การันตีอนาคตจะรุ่งเรือง
----------------------------
.
อดีตอันรุ่งโรจน์ ไม่ได้การันตีอนาคตจะรุ่งเรือง
----------------------------
-
- Verified User
- โพสต์: 1400
- ผู้ติดตาม: 0
เงินเดือนน้อยๆ ก็มีเงินเป็นล้านกับเขาได้
โพสต์ที่ 37
จะไปให้ถึง เป้าหมายทางการเงินส่วนตัว ที่วางไว้
ไม่มีใครบอกให้ไปได้วิธีเดียวนี่ครับ
วิธีนี้ไม่พอ ก็เสริมวิธีอื่นเข้าไป
ตั้งเป้าหมายให้สูงเข้าไว้
จิตจะได้เดิน สมองจะได้ทำงาน
ไม่มาสงสัยก่อนตายว่า สุดๆแล้วนี่ ตรูวิ่งได้ไกลแค่ไหนกัน
ไม่มีใครบอกให้ไปได้วิธีเดียวนี่ครับ
วิธีนี้ไม่พอ ก็เสริมวิธีอื่นเข้าไป
ตั้งเป้าหมายให้สูงเข้าไว้
จิตจะได้เดิน สมองจะได้ทำงาน
ไม่มาสงสัยก่อนตายว่า สุดๆแล้วนี่ ตรูวิ่งได้ไกลแค่ไหนกัน
เราต่างตื่นขึ้นมาทุกวัน เพื่อสร้างผลงานให้ได้ เราควรรู้ว่า ในทุกวันมีอะไรที่ต้องทำเพื่อให้เกิดผลงาน หากการตื่นขึ้นมา ไม่ได้เป็นไปเพื่อผลงาน เราก็ไม่สมควรที่จะตื่นขึ้นมาให้รกหูรกตาคนรอบข้าง
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 3653
- ผู้ติดตาม: 0
เงินเดือนน้อยๆ ก็มีเงินเป็นล้านกับเขาได้
โพสต์ที่ 39
ไม่หรอกครับ ปี 51 ปีเดียว พอร์ตผมหดไปประมาณ 50%picklife เขียน:คุณ....ส.สลึง ครับ
พ่วงบาดแผลเต็มตัวด้วยนะครับ 555+
แต่ความจริง ตั้งแต่ลงทุนมา
พอร์ตของผมหดจนจมทุนไปนิดหน่อย ...
ต้องขอบคุณประสบการณ์ที่ได้มาในครั้งนี้ครับ
นับว่าคุ้มค่ามาก
มากกว่าผลตอบแทนที่ได้รับ
- picatos
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 3227
- ผู้ติดตาม: 4
เงินเดือนน้อยๆ ก็มีเงินเป็นล้านกับเขาได้
โพสต์ที่ 40
ลงทุนมาแค่ 1 ปี แต่ความคิดคมมากๆ... ถ้าคุณ picklife เป็นสาว เอ๊ย คนประเภท 2 จริง ผมขอแนะนำให้คุณ picklife ไปฝึกวิชากับคุณ winkung กระบวนท่าpicklife เขียน:...
ผมเข้าวงการการลงทุนมาแค่1ปียังไม่เคยเจอช่วงวิกฤติโหดๆ สำหรับสายตาพี่ผมคงยังเด็กละอ่อนจริงๆครับ
...
:wall: :wall:
ตั้งเป้าให้สูง แล้วกระแทกมันเข้าไป อุปสรรคมีไว้กระแทก...
(แต่ก็อย่าอัดมาร์จิ้นโดน force sell ซะจนหนี้สินล้นพ้นตัวซะก่อนล่ะ)
ผมว่าคนคมๆ อย่างคุณ picklife นี่ฝึกวิชาสักระยะ ถ้าไม่ท้อ หรือฝ่อไปซะก่อน นี่อาจจะกลายร่างเป็นเทพได้เลย... ยังไงเอาใจช่วยครับ
- หมักเตา
- Verified User
- โพสต์: 232
- ผู้ติดตาม: 0
เงินเดือนน้อยๆ ก็มีเงินเป็นล้านกับเขาได้
โพสต์ที่ 41
เอี๊ยดดดดดด...... เอาตัวเข้ามารายงาน :D
มีใครเคยไปทำ MLM มั๊ยครับ คติพจน์เค้าคือ ดูว่าใครเป็นผู้ที่ทำสำเร็จ ให้เค้ามาสอนว่าทำยังไง แล้วก็ทำตามนั้น
ถามว่าให้ผมเปิดบริษัท โดยบริหารตามแนวทางของ CEO เก่งๆ โอกาสสำเร็จก็คงมีสูงกว่าไปงูๆ ปลาๆ จัดระบบเอง
ปัญหาคือมันเหนื่อยและเครียด ผมเลยเลือกเป็นแค่ผู้ถือหุ้นของบริษัทดีๆ ให้ CEO เก่งๆ เป็นคนบริหารดีกว่า
ทีนี้จะเลือกหุ้นยังไงไม่ให้เหนื่อยและเครียด ก็สูตรเดิม คือให้คนที่ทำสำเร็จเป็นผู้เลือกหุ้นให้และบริหารพอร์ทให้ดีกว่า เอ๊ยยย... ไม่ช่ายยย...
ให้ไปดูว่าใครเป็นผู้สำเร็จแล้วก็เลียน เอ้อ... เรียนรู้จากเขา ผมว่าผลตอบแทนดีๆ ต่อปีในระยะยาวน่าจะมีโอกาสเป็นไปได้เหมือนกันครับ
มีใครเคยไปทำ MLM มั๊ยครับ คติพจน์เค้าคือ ดูว่าใครเป็นผู้ที่ทำสำเร็จ ให้เค้ามาสอนว่าทำยังไง แล้วก็ทำตามนั้น
ถามว่าให้ผมเปิดบริษัท โดยบริหารตามแนวทางของ CEO เก่งๆ โอกาสสำเร็จก็คงมีสูงกว่าไปงูๆ ปลาๆ จัดระบบเอง
ปัญหาคือมันเหนื่อยและเครียด ผมเลยเลือกเป็นแค่ผู้ถือหุ้นของบริษัทดีๆ ให้ CEO เก่งๆ เป็นคนบริหารดีกว่า
ทีนี้จะเลือกหุ้นยังไงไม่ให้เหนื่อยและเครียด ก็สูตรเดิม คือให้คนที่ทำสำเร็จเป็นผู้เลือกหุ้นให้และบริหารพอร์ทให้ดีกว่า เอ๊ยยย... ไม่ช่ายยย...
ให้ไปดูว่าใครเป็นผู้สำเร็จแล้วก็เลียน เอ้อ... เรียนรู้จากเขา ผมว่าผลตอบแทนดีๆ ต่อปีในระยะยาวน่าจะมีโอกาสเป็นไปได้เหมือนกันครับ
- Linzhi
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1464
- ผู้ติดตาม: 1
เงินเดือนน้อยๆ ก็มีเงินเป็นล้านกับเขาได้
โพสต์ที่ 42
คุณ picklife โพสต์มีประเด็นน่าสนใจดีครับ
ผลตอบแทน 10, 15, 20% ที่ต่างกันในระยะยาวก็ส่งผลมหาศาล
เอาแค่ 10 กับ 11 ก็ต่างกันแล้วครับ
ผลตอบแทน 10% 30 ปี ต่อ 1 ล้าน = 17.45 ล้าน
ผลตอบแทน 11% 30 ปี ต่อ 1 ล้าน = 22.89 ล้าน
ผลตอบแทน 12% 30 ปี ต่อ 1 ล้าน = 29.96 ล้าน
ผลตอบแทน 13% 30 ปี ต่อ 1 ล้าน = 39.12 ล้าน
ผลตอบแทน 14% 30 ปี ต่อ 1 ล้าน = 50.95 ล้าน
ระยะสั้นมันจะต่างกันมาก แต่เฉลี่ยไปหลาย ๆ ปี มันก็เขยิบเข้าสู่ค่าเฉลี่ยเอง
สำหรับ 10% พอรึเปล่า ถ้าได้ต่อเนื่อง ผมว่าโอเคนะ ถ้าคุณลงทุนหุ้น bluechip พอร์ตใหญ่ และมีจำนวนหุ้นกระจายตัว
ถ้าเป็นหุ้นเล็ก หรือเสี่ยง ก็ควรจะได้มากกว่านี้ สำหรับตลาดหุ้นเกิดใหม่อย่างตลาดหุ้นไทย
ที่สำคัญคือต้องรู้ความเสี่ยงคร่าว ๆ ของตัวเอง เช่น จำนวนหุ้นที่ถือ และคุณภาพหุ้นที่ถือ
ถ้าจำนวนน้อย ควรจะคาดหวังผลตอบแทนสูง เพราะเสี่ยงมาก
คุณภาพหุ้น หุ้นมีขนาดเล็ก ก็ควรจะคาดหวังผลตอบแทนสูงเช่นกัน
ผลตอบแทน 10, 15, 20% ที่ต่างกันในระยะยาวก็ส่งผลมหาศาล
เอาแค่ 10 กับ 11 ก็ต่างกันแล้วครับ
ผลตอบแทน 10% 30 ปี ต่อ 1 ล้าน = 17.45 ล้าน
ผลตอบแทน 11% 30 ปี ต่อ 1 ล้าน = 22.89 ล้าน
ผลตอบแทน 12% 30 ปี ต่อ 1 ล้าน = 29.96 ล้าน
ผลตอบแทน 13% 30 ปี ต่อ 1 ล้าน = 39.12 ล้าน
ผลตอบแทน 14% 30 ปี ต่อ 1 ล้าน = 50.95 ล้าน
ระยะสั้นมันจะต่างกันมาก แต่เฉลี่ยไปหลาย ๆ ปี มันก็เขยิบเข้าสู่ค่าเฉลี่ยเอง
สำหรับ 10% พอรึเปล่า ถ้าได้ต่อเนื่อง ผมว่าโอเคนะ ถ้าคุณลงทุนหุ้น bluechip พอร์ตใหญ่ และมีจำนวนหุ้นกระจายตัว
ถ้าเป็นหุ้นเล็ก หรือเสี่ยง ก็ควรจะได้มากกว่านี้ สำหรับตลาดหุ้นเกิดใหม่อย่างตลาดหุ้นไทย
ที่สำคัญคือต้องรู้ความเสี่ยงคร่าว ๆ ของตัวเอง เช่น จำนวนหุ้นที่ถือ และคุณภาพหุ้นที่ถือ
ถ้าจำนวนน้อย ควรจะคาดหวังผลตอบแทนสูง เพราะเสี่ยงมาก
คุณภาพหุ้น หุ้นมีขนาดเล็ก ก็ควรจะคาดหวังผลตอบแทนสูงเช่นกัน
ก้าวช้า ๆ และเชื่อในปาฎิหารย์ของหุ้นเปลี่ยนชีวิต
There is no secret ingredient. It's just you.
There is no secret ingredient. It's just you.
- picklife
- Verified User
- โพสต์: 2565
- ผู้ติดตาม: 0
เงินเดือนน้อยๆ ก็มีเงินเป็นล้านกับเขาได้
โพสต์ที่ 45
คุณ ส.สลึง บอกว่าได้ประสบการณ์ซึ่งถือว่าคุ้มมากๆ ถ้าหลายๆคนคิดอย่างนี้ตลาดหุ้นบ้านเราน่าจะเจริญรุ่งเรื่อง(กว่านี้)นะครับ555+
สรุปได้ว่าการเล่นหุ้นมีแต่ได้กับได้...แต่ขึ้นอยู่กับว่าจะได้ตังหรือได้ประสบการณ์....แต่หากไม่ท้อและถอยไปซักก่อนก็น่าจะได้ทั้งสองอย่างใช่ไหมครับ 555+
คุณpicatosครับ คุณwinkung คือใครครับ? เหอะๆ อยู่ในTVIหรอครับ? เป็นคนแบบไหนครับ? อยากรู้จังครับ อิอิ
ดาบที่คมไปมักจะบางนะครับแฮ๊ะๆ ขอบคุณครับที่ให้กำลังใจ....ผมแน่วแน่จริงๆกับด้านนี้ จะตั้งใจมากๆ และจะไม่หนีไปไหนเด็ดขาด เพราะผมว่าที่นี่แหละคือสุดยอดแหล่งรวมโอกาส....มีคุณค่าและมีความหมายมากๆ แม้นวันหนึ่งผมอาจจะเจ็บตัวจากที่นี่ก็ไม่เคยคิดถอย เพราะหากผมเจ็บตัวแสดงว่าผมทำตัวเอง ไม่ได้หมายความว่าตลาดด้วยคุณค่าลงไปเลย....
คุณ หมักเตา ผมครับผม ผมทำครับ555+ ทำมา3-4เดือน เรื่อยๆไม่ได้ซีเรียสอะไร ไปดูโอกาส ไปดูเรื่องราว จะได้เก็บไว้เป็นประสบการณ์ชีวิตครับ อิอิ
แต่อย่างที่คุณหมักเตา บอกว่าเลียบแบบคนเก่งๆก็สำเร็จอันนั้นใช้ได้สำหรับMLMครับ แต่สำหรับตลาดหุ้นผมว่าต้องใช้เยอะกว่านั้น เพราะว่าปัจจัยในตลาดหุ้นนั้นมีมากมายเหลือเกิน ไม่ว่าจะเป็นผลประกอบการบริษัท ช่วงรอบธุรกิจ เศรษฐกิจไทย,เอเซีย,โลก และแม้นกระทั้งอารมณ์ ผมเชื่อว่ากูรูสามารถถ่ายทอดความรู้ที่มีได้ไม่เกิน50%ของที่กูรูผุ้นั้นมีครับเพราะมันยังมีความรู้ที่มองไม่เห็นอีกเยอะ และใน50%นั้นเราสามารถรับมาได้เท่าไหร่? สมมุติรับมาได้80%ของ50%ของกูรู ก็เท่ากับว่าคุณได้ความรู้มาแค่40%ของกูรู ยังไม่พอมีความรู้แล้ว แต่ความรู้ที่คนคนนั้นสามารถนำมาใช้ประโยชน์ไจริงมีเท่าไหร่? ผมว่าเผลอๆอาจจะแค่ครึ่งเดียวครับ...นั่นก็เท่ากับว่าคุณมีความรู้เพียง20%ของกูรู ซึ่งโดยส่วนตัวผมว่าไม่พอครับ ดังนั้นผมขอแนะน้องๆ(พี่ๆคงไม่ต้องเพราะพี่ๆในนี้เทพๆทั้งนั้นครับอิอิ)
.....ว่าแค่อ่านหรือดูดความรู้และความคิดของกูรูมายังไม่พอ คุณจะต้องประเมินและวิเคราะห์ความรู้ที่มีใหม่ทั้งหมดทั้งหมดและคิดต่อยอดเป็นความรู้ในรูปแบบของคุณเอง คุณได้มา20%แต่อีก80%ต้องคิดเอง สิ่งหนึ่งที่แนะนำง่ายนะครับว่า คุณอ่าน1คุณต้องคิด2 ต้องคิดให้มากกว่าที่อ่านครับ....เพราะถ้าอ่านมากกว่าคิดเมื่อไหร่คุณก็จะกลายเป้นกลุ่มลัทธินิยม เช่นกูรูท่านโน้นบอกอย่างนี้เราต้องทำนะ กูรูท่านนี้บอกอย่างนี้แต่คุณทำต่างไปคุณกำลังผิดนะ ผมว่าการเล่นหุ้นไม่ต่างกับการใช้ชีวิตไม่มีสูตรสำเร็จตายตัว อาจจะใช้กับคนนี้แต่อาจใช้ไม่ได้สำหรับเราครับ.....(จบดีกว่าเดี๋ยวเปลืองพื้นที่ ที่พี่ๆเทพจะสอนน้องๆอิอิ)
อ่านจากคุณLinzhi ทำให้ผมนึกมาได้ประเด็นหนึ่งครับ...นั่นคือเรื่องความเสี่ยงที่ไม่เท่ากัน ทำให้ผมคิดได้ว่าสมมุติกูรูระดับโลกทำได้20% แต่พี่เทพTVIทำได้40-50% ก็ไม่ได้หมายถึงเหล่าเทพTVIจะเก่งกว่า เพราะกูรูระดับโลกได้20%นี้อาจจะถือหุ้นที่ความเสี่ยงต่ำมากๆเอาแบบช้าแต่ชัวร์ แต่เทพTVI40-50%นี้อาจจะมีความเสี่ยงมากกว่า ซึ่งหากค่าความเสี่ยงนี้สามารดวัดได้เป็นตัวเลข แล้วนำกำไร-ความเสี่ยง มาเทียบกันอาจจะพบว่าค่าของกูรูระดับโลกนั้นสูงกว่ามากๆก็ได้ แต่น่าเสียดายที่ค่าความเสี่ยงนี้ไม่มีใครมองเห็นและไม่มีใครเอามาบอกกันเช่น ปีนี้พี่บัฟกำไร30%โดยมีดีกรีความเสี่ยง10% พี่TVIกำไร40%โดยมีดีกรีความเสี่ยง30% แต่โดยมากเราก็จะรู้กันแค่ว่าพี่บัพ+30% พี่TVI+40% ดังนั้นพี่TVIเก่งกว่าครับ555+ เมื่อก่อนผมก็เป็นคนหนึ่งที่คิดอย่างนี้จริงๆครับ แม้นพี่บัฟจะลงทุนมายาวนานมากๆ เมื่อเทียบTVIก็ตามแต่หากพี่TVIเคยลงทุนมาก่อนปี2540ก็น่าจะวัดผลได้แล้วเพราะผ่านศึกมาเยอะแล้วเห็นเส้นแนวโน้มการเติบโตที่คงที่และชัดเจนเกิน10ปีไม่ต้องรอให้พอสูจน์เท่าๆพี่บัๆก็ได้.....แต่แท้จริงใครจะรู้ว่าแม้นพี่บัฟจะ+20%แต่ความเสี่ยงอาจเทียบเท่าพันธบัตร(เทพจริงๆ555+)
ปล1.อันนี้มองในมุมมองความเสี่ยงนะครับ แต่อย่าลืมปัจจัยในเรื่องขนาดพอร์ทด้วยนะครับ อิอิ
ปล2.แต่แม้นพี่ๆTVIอาจจะเก่งน้อยกว่าพี่บัฟ แต่ผมก็ชอบความเก่งแบบพี่ๆมากกว่าครับ....ทำไปได้...40-50% เทพจริงๆๆๆ สอนผมบ้างน๊าT^T
สรุปได้ว่าการเล่นหุ้นมีแต่ได้กับได้...แต่ขึ้นอยู่กับว่าจะได้ตังหรือได้ประสบการณ์....แต่หากไม่ท้อและถอยไปซักก่อนก็น่าจะได้ทั้งสองอย่างใช่ไหมครับ 555+
คุณpicatosครับ คุณwinkung คือใครครับ? เหอะๆ อยู่ในTVIหรอครับ? เป็นคนแบบไหนครับ? อยากรู้จังครับ อิอิ
ดาบที่คมไปมักจะบางนะครับแฮ๊ะๆ ขอบคุณครับที่ให้กำลังใจ....ผมแน่วแน่จริงๆกับด้านนี้ จะตั้งใจมากๆ และจะไม่หนีไปไหนเด็ดขาด เพราะผมว่าที่นี่แหละคือสุดยอดแหล่งรวมโอกาส....มีคุณค่าและมีความหมายมากๆ แม้นวันหนึ่งผมอาจจะเจ็บตัวจากที่นี่ก็ไม่เคยคิดถอย เพราะหากผมเจ็บตัวแสดงว่าผมทำตัวเอง ไม่ได้หมายความว่าตลาดด้วยคุณค่าลงไปเลย....
คุณ หมักเตา ผมครับผม ผมทำครับ555+ ทำมา3-4เดือน เรื่อยๆไม่ได้ซีเรียสอะไร ไปดูโอกาส ไปดูเรื่องราว จะได้เก็บไว้เป็นประสบการณ์ชีวิตครับ อิอิ
แต่อย่างที่คุณหมักเตา บอกว่าเลียบแบบคนเก่งๆก็สำเร็จอันนั้นใช้ได้สำหรับMLMครับ แต่สำหรับตลาดหุ้นผมว่าต้องใช้เยอะกว่านั้น เพราะว่าปัจจัยในตลาดหุ้นนั้นมีมากมายเหลือเกิน ไม่ว่าจะเป็นผลประกอบการบริษัท ช่วงรอบธุรกิจ เศรษฐกิจไทย,เอเซีย,โลก และแม้นกระทั้งอารมณ์ ผมเชื่อว่ากูรูสามารถถ่ายทอดความรู้ที่มีได้ไม่เกิน50%ของที่กูรูผุ้นั้นมีครับเพราะมันยังมีความรู้ที่มองไม่เห็นอีกเยอะ และใน50%นั้นเราสามารถรับมาได้เท่าไหร่? สมมุติรับมาได้80%ของ50%ของกูรู ก็เท่ากับว่าคุณได้ความรู้มาแค่40%ของกูรู ยังไม่พอมีความรู้แล้ว แต่ความรู้ที่คนคนนั้นสามารถนำมาใช้ประโยชน์ไจริงมีเท่าไหร่? ผมว่าเผลอๆอาจจะแค่ครึ่งเดียวครับ...นั่นก็เท่ากับว่าคุณมีความรู้เพียง20%ของกูรู ซึ่งโดยส่วนตัวผมว่าไม่พอครับ ดังนั้นผมขอแนะน้องๆ(พี่ๆคงไม่ต้องเพราะพี่ๆในนี้เทพๆทั้งนั้นครับอิอิ)
.....ว่าแค่อ่านหรือดูดความรู้และความคิดของกูรูมายังไม่พอ คุณจะต้องประเมินและวิเคราะห์ความรู้ที่มีใหม่ทั้งหมดทั้งหมดและคิดต่อยอดเป็นความรู้ในรูปแบบของคุณเอง คุณได้มา20%แต่อีก80%ต้องคิดเอง สิ่งหนึ่งที่แนะนำง่ายนะครับว่า คุณอ่าน1คุณต้องคิด2 ต้องคิดให้มากกว่าที่อ่านครับ....เพราะถ้าอ่านมากกว่าคิดเมื่อไหร่คุณก็จะกลายเป้นกลุ่มลัทธินิยม เช่นกูรูท่านโน้นบอกอย่างนี้เราต้องทำนะ กูรูท่านนี้บอกอย่างนี้แต่คุณทำต่างไปคุณกำลังผิดนะ ผมว่าการเล่นหุ้นไม่ต่างกับการใช้ชีวิตไม่มีสูตรสำเร็จตายตัว อาจจะใช้กับคนนี้แต่อาจใช้ไม่ได้สำหรับเราครับ.....(จบดีกว่าเดี๋ยวเปลืองพื้นที่ ที่พี่ๆเทพจะสอนน้องๆอิอิ)
อ่านจากคุณLinzhi ทำให้ผมนึกมาได้ประเด็นหนึ่งครับ...นั่นคือเรื่องความเสี่ยงที่ไม่เท่ากัน ทำให้ผมคิดได้ว่าสมมุติกูรูระดับโลกทำได้20% แต่พี่เทพTVIทำได้40-50% ก็ไม่ได้หมายถึงเหล่าเทพTVIจะเก่งกว่า เพราะกูรูระดับโลกได้20%นี้อาจจะถือหุ้นที่ความเสี่ยงต่ำมากๆเอาแบบช้าแต่ชัวร์ แต่เทพTVI40-50%นี้อาจจะมีความเสี่ยงมากกว่า ซึ่งหากค่าความเสี่ยงนี้สามารดวัดได้เป็นตัวเลข แล้วนำกำไร-ความเสี่ยง มาเทียบกันอาจจะพบว่าค่าของกูรูระดับโลกนั้นสูงกว่ามากๆก็ได้ แต่น่าเสียดายที่ค่าความเสี่ยงนี้ไม่มีใครมองเห็นและไม่มีใครเอามาบอกกันเช่น ปีนี้พี่บัฟกำไร30%โดยมีดีกรีความเสี่ยง10% พี่TVIกำไร40%โดยมีดีกรีความเสี่ยง30% แต่โดยมากเราก็จะรู้กันแค่ว่าพี่บัพ+30% พี่TVI+40% ดังนั้นพี่TVIเก่งกว่าครับ555+ เมื่อก่อนผมก็เป็นคนหนึ่งที่คิดอย่างนี้จริงๆครับ แม้นพี่บัฟจะลงทุนมายาวนานมากๆ เมื่อเทียบTVIก็ตามแต่หากพี่TVIเคยลงทุนมาก่อนปี2540ก็น่าจะวัดผลได้แล้วเพราะผ่านศึกมาเยอะแล้วเห็นเส้นแนวโน้มการเติบโตที่คงที่และชัดเจนเกิน10ปีไม่ต้องรอให้พอสูจน์เท่าๆพี่บัๆก็ได้.....แต่แท้จริงใครจะรู้ว่าแม้นพี่บัฟจะ+20%แต่ความเสี่ยงอาจเทียบเท่าพันธบัตร(เทพจริงๆ555+)
ปล1.อันนี้มองในมุมมองความเสี่ยงนะครับ แต่อย่าลืมปัจจัยในเรื่องขนาดพอร์ทด้วยนะครับ อิอิ
ปล2.แต่แม้นพี่ๆTVIอาจจะเก่งน้อยกว่าพี่บัฟ แต่ผมก็ชอบความเก่งแบบพี่ๆมากกว่าครับ....ทำไปได้...40-50% เทพจริงๆๆๆ สอนผมบ้างน๊าT^T
- killyz
- Verified User
- โพสต์: 409
- ผู้ติดตาม: 0
เงินเดือนน้อยๆ ก็มีเงินเป็นล้านกับเขาได้
โพสต์ที่ 46
ผมหมายความว่า ระวังการมองปันผลเป็นหลักเพราะจะติดกับดักหุ้นวัฏจักรได้[v] เขียน:
หรือถ้าเทียบกับปันผลย้อนหลังก็ยังให้ผลตอบแทนที่น่าพอใจอยู่ดี
ปัญหาคือ ถ้าคุณคิดว่ามันรอดคุณก็จะซื้อแต่ถ้าไม่เชื่อว่ามันจะทำได้คุณก็ไม่ซื้อ
กลุ่มอสังหาริมทรัพย์หลายตัวทำกำไรมากที่สุดเป็นประวัติการณ์ ทั้งๆที่อยู่ในช่วงอเมริกาโดนเล่นงาน แล้วก็มีการกระทบไปทั่วโลก พอดีว่าผมเชื่อว่ามันจะรอดผมก็ซื้อ อย่ามองข้ามพวกบริษัทสร้างบ้าน ที่รอดตายจากวิกฤติปี 40 นะครับ
เพราะเคยสนใจปันผลและ p/e ที่ต่ำจากกลุ่มปิโตรเคมีและกลุ่มเรือ
โดยดูปันผลในอดีตหารู้ไม่มันเป็นกับดัก สิ่งที่ผมจะสื่อมีเท่านี้ครับ
สิ่งที่สำคัญในการวิเคราะห์คือความรู้ในบริษัทและอุตสาหกรรมที่คุณจะลงทุน
ถ้ามองปันผลและค่า ratio ไว้ก่อน ก็ได้ครับ
หวังว่าท่านไม่เจอขาลงพอดี
การลงทุนมีความเสียว โปรดใช้วิจารณญาณในการลอก
-
- Verified User
- โพสต์: 1296
- ผู้ติดตาม: 1
เงินเดือนน้อยๆ ก็มีเงินเป็นล้านกับเขาได้
โพสต์ที่ 47
ยังไงก็ตามผมก้ยังคิดว่าผู้ที่ทำได้ 20% ทบต้นในระยะ
เวลายาวนานเป็น 10-20ปีขึ้นไปต้องมีฝีมือเป็นเซียน
แน่นอน ยกตัอย่างคือ
ปี 08 มีเงิน 100 บาท กำไร 20% ดังนั้นต้นปี 09
จะมีเงิน 120 บาท
ปี 09 ปลายปีจะมีเงิน= (120X120)/100=144 บาท
แต่ถ้าปี08 ขาดทุน 10% ดังนั้นต้นปี 09 จะมีเงิน
90 บาทดังนั้นจะทำให้ได้ 144 บาทจะต้องทำกำไรถึง
( 144-90)X100/90=60% เลยทีเดียว ไม่ต้องพูดถึง
เลยถ้าขาดทุนมากกว่า 10% เพราะต้องเหนื่อยหนักทีเดียว และถ้าเศรษฐกิจตกหลายปียิ่งแย่ใหญ่
แต่วีธีแก้ไขคือ
1 ต้องมีหุ้นที่ราคาตกน้อยกว่าตลาด หรือไม่ตกเลย
(ซึ่งหายากมาก)
2 ต้องหาเงินใหม่มาซื้อหุ้นเพิ่ม
3 มีความสามารถ เปลี่ยนจากหุ้นตัวหนึ่งไปเป็นอีก
ตัวหนึ่ง โดยที่คิดว่าเมื่อเศรษฐกิจฟื้นหุ้นตัวใหม่
จะเป็นจรวดวิ่งจู๊ด (วิธีนี้ทำได้ยากอีเช่นกัน)
เวลายาวนานเป็น 10-20ปีขึ้นไปต้องมีฝีมือเป็นเซียน
แน่นอน ยกตัอย่างคือ
ปี 08 มีเงิน 100 บาท กำไร 20% ดังนั้นต้นปี 09
จะมีเงิน 120 บาท
ปี 09 ปลายปีจะมีเงิน= (120X120)/100=144 บาท
แต่ถ้าปี08 ขาดทุน 10% ดังนั้นต้นปี 09 จะมีเงิน
90 บาทดังนั้นจะทำให้ได้ 144 บาทจะต้องทำกำไรถึง
( 144-90)X100/90=60% เลยทีเดียว ไม่ต้องพูดถึง
เลยถ้าขาดทุนมากกว่า 10% เพราะต้องเหนื่อยหนักทีเดียว และถ้าเศรษฐกิจตกหลายปียิ่งแย่ใหญ่
แต่วีธีแก้ไขคือ
1 ต้องมีหุ้นที่ราคาตกน้อยกว่าตลาด หรือไม่ตกเลย
(ซึ่งหายากมาก)
2 ต้องหาเงินใหม่มาซื้อหุ้นเพิ่ม
3 มีความสามารถ เปลี่ยนจากหุ้นตัวหนึ่งไปเป็นอีก
ตัวหนึ่ง โดยที่คิดว่าเมื่อเศรษฐกิจฟื้นหุ้นตัวใหม่
จะเป็นจรวดวิ่งจู๊ด (วิธีนี้ทำได้ยากอีเช่นกัน)
- picklife
- Verified User
- โพสต์: 2565
- ผู้ติดตาม: 0
เงินเดือนน้อยๆ ก็มีเงินเป็นล้านกับเขาได้
โพสต์ที่ 48
กรณี1กำไร
ต้นปี 2008 ลงทุน 100 บาท (SET100)
ต้นปี 2009 =100*1.2=120บาท (SET110)
ต้นปี 2010 =120*1.2=144บาท (SET121)
กรณี2ขาดทุน
ต้นปี 2008 ลงทุน 100 บาท (SET100)
ต้นปี 2009 =100*.9=90บาท (SET90)
ต้นปี 2010 =90*1.6=144บาท (SET121)
ดูแล้วหากพลาดในปี2009 10% จะต้องเอาคืน60% ดูแล้วน่าตกใจมากๆครับ
แต่......
1.อย่าลืมนะครับ-10% กับ+60% ตัวหารคนละฐานกัน
สมมุติSET100 มาเป็น 50 คือ -50%
แต่ถ้าจะเอาคืน ต้อง+100%
อ่าวแล้วทำไมเสียนิดเดียว แต่เอาคืนต้องมากกว่าละครับ???
ซึ่งมันเป็นภาพลวงตาทาง%ครับ เพราะการทำไร100%คือการแค่SETกลับไปจุดเดิมเท่านั้น.....ไม่ได้ใหญ่โตอะไร
2.ปี2009ที่SET=90 อย่าลืมนะครับถ้าผมตัวอย่างกรณีว่าSETเติบโต10%คงที่ แสดงว่าการที่SET=90 ราคามันต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริงอยู่=110-90=20%นะครับ......
ดังนั้น
การทำกำไร60%ในปี2009 จากกรณีที่1(ยากมากๆๆๆ)
กับ
การทำกำไร60%ในปี2009 จากกรณีที่2(เป็นไปได้)
มันคนละเรื่องกันเลยนะครับ....
ต้นปี 2008 ลงทุน 100 บาท (SET100)
ต้นปี 2009 =100*1.2=120บาท (SET110)
ต้นปี 2010 =120*1.2=144บาท (SET121)
กรณี2ขาดทุน
ต้นปี 2008 ลงทุน 100 บาท (SET100)
ต้นปี 2009 =100*.9=90บาท (SET90)
ต้นปี 2010 =90*1.6=144บาท (SET121)
ดูแล้วหากพลาดในปี2009 10% จะต้องเอาคืน60% ดูแล้วน่าตกใจมากๆครับ
แต่......
1.อย่าลืมนะครับ-10% กับ+60% ตัวหารคนละฐานกัน
สมมุติSET100 มาเป็น 50 คือ -50%
แต่ถ้าจะเอาคืน ต้อง+100%
อ่าวแล้วทำไมเสียนิดเดียว แต่เอาคืนต้องมากกว่าละครับ???
ซึ่งมันเป็นภาพลวงตาทาง%ครับ เพราะการทำไร100%คือการแค่SETกลับไปจุดเดิมเท่านั้น.....ไม่ได้ใหญ่โตอะไร
2.ปี2009ที่SET=90 อย่าลืมนะครับถ้าผมตัวอย่างกรณีว่าSETเติบโต10%คงที่ แสดงว่าการที่SET=90 ราคามันต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริงอยู่=110-90=20%นะครับ......
ดังนั้น
การทำกำไร60%ในปี2009 จากกรณีที่1(ยากมากๆๆๆ)
กับ
การทำกำไร60%ในปี2009 จากกรณีที่2(เป็นไปได้)
มันคนละเรื่องกันเลยนะครับ....
-
- Verified User
- โพสต์: 1296
- ผู้ติดตาม: 1
เงินเดือนน้อยๆ ก็มีเงินเป็นล้านกับเขาได้
โพสต์ที่ 49
ในชีวิตจริงเราสนใจว่า Port เราจะโตปีละ 20% ทบต้น
เราไม่ได้สนใจว่า SET จะบวกหรือจะลบ
จาก Port ของผมในความเป็นจริง หุ้นหลายๆตัวที่ราคา
ลดลงไปแล้ว จนกระทั่งบัดนี้ยังไม่กลับมาเท่าราคาเดิม
เลย (แม้ว่าหลายตัวใน Port จะกลับมามากกว่าราคาเดิม
แล้วก็ตาม) ผมต้องเพิ่มเงินใหม่เข้าไปจำนวนพอสมควร
เพื่อซื้อหุ้นที่คิดว่ามีอนาคต ถึงแม้ตอนนี้ Port จะโตกว่า
ต้นปี 08 แล้วก็ตาม แต่ก็ยังไม่ได้ 20% ทบต้นเลย
แหะๆ ก็เลยรู้ว่าการได้ 20% ทบต้นมันยากมากๆ
และเราก็ไม่ใช่เซียน
เราไม่ได้สนใจว่า SET จะบวกหรือจะลบ
จาก Port ของผมในความเป็นจริง หุ้นหลายๆตัวที่ราคา
ลดลงไปแล้ว จนกระทั่งบัดนี้ยังไม่กลับมาเท่าราคาเดิม
เลย (แม้ว่าหลายตัวใน Port จะกลับมามากกว่าราคาเดิม
แล้วก็ตาม) ผมต้องเพิ่มเงินใหม่เข้าไปจำนวนพอสมควร
เพื่อซื้อหุ้นที่คิดว่ามีอนาคต ถึงแม้ตอนนี้ Port จะโตกว่า
ต้นปี 08 แล้วก็ตาม แต่ก็ยังไม่ได้ 20% ทบต้นเลย
แหะๆ ก็เลยรู้ว่าการได้ 20% ทบต้นมันยากมากๆ
และเราก็ไม่ใช่เซียน
- picklife
- Verified User
- โพสต์: 2565
- ผู้ติดตาม: 0
เงินเดือนน้อยๆ ก็มีเงินเป็นล้านกับเขาได้
โพสต์ที่ 50
เพิ่มเติมข้อคิดเห็นพิเศษนะครับ อยากให้พี่ๆช่วยกันวิจารณ์ด้วยนะครับ
สมมุติผมมองในเรื่องการเก็งกำไร ผมแบ่งเงินไป10%
เจอในกรณี-50%กับ+100% ซึ่งเปรียบเสมือน SET800กับSET400
โอกาสร่วงจาก800เป็น400เพราะคนตกใจสุดๆ
กลับโอกาสที่SETจะวิ่งกลับขึ้นไปขาก400เป็น800 น่าจะพอๆกัน
ถือว่าเป็นการแกว่งตัวรอบใหญ่ของSETเพราะSETไม่ได้วิ่งเลยแค่อยู่จุดเดิม
ผมนำเงิน10%นี้ไปเข้าผิดช่วง จาก10บาทเป็น5บาท ขาดทุน5บาท
ผมนำเงิน10%นี้ไปเข้าถูกช่วง จาก10บาทเป็น20บาท กำไร10บาท
กลายเป้นมีโอกาสขาดทุน5บาท แต่โอกาสกำไร10บาท
ตัวเลขนี้มันบ่งบอกอะไรเราครับช่วยกันวิจารณ์หน่อยนะครับ
แต่สำหรับผมว่ามันบ่งบอกว่า "สุดยอดวิกฤติคือสุดยอดโอกาส"
ปลายปี2008 สมมุติผมมี100 จะเหลือ50ทันที
ปลายปี2009 ผมถือต่อ50 จะใกล้เคียงกับ100ทันที
แต่หลายคนจะบอกว่างั้น2ปีนี้คุณก็หายไป20*2=40%ซิ.......
จริงครับ มันหายไป20% เพราะไม่งั้นก็ 100*1.2*1.2=144 ควรจะเป็นเท่านี้
แต่กลับมีแค่100 ดังนั้นการทำได้20%ยากสุดๆๆๆๆๆ
ถูกครับไม่ได้เถียงเลยครับ เหรียญมีสองด้านเสมอ แต่กรณีคือกรณีที่เลวร้ายครับ เลวร้ายคุณไม่ได้กำไร แต่ที่เลวร้ายนี้เพราะคุณพลาดครับ พลาดโอกาสที่ยิ่งใหญ่ไป......ผมว่าคุ้มมากๆนะครับอยากให้เจอวิกฤติบ่อยด้วยซ้ำ เพราะวิกฤติมักสร้างสุดยอดโอกาสให้คุณเช่นเดียวกัน ได้สุดยอดโอกาสมาแลกกับไม่ได้กำไร2ปี ผมว่าโครตจะคุ้มครับ....
เพราะถ้าสมมุติคุณสามารถคว้าโอกาสนั้นมาได้
ปลายปี2008 สมมุติผมมี100 คว้าโอกาสได้รอดพ้นจากวิกฤติ
ปลายปี2009 ผมถือต่อ100 จะใกล้เคียงกับ200ทันที
ซึ่ง200นี้ถ้าลงทุน20%ปกติต้องใช้เวลา100*1.2^4=207 นั่นก็คือ4ปี
ดังนั้นเมื่อมี1วิกฤติเข้ามาจะมีโอกาสเข้ามาหาคุณเสมอ ว่าจะถอยหลังไป2ปี หรือจะเดินหน้าขึ้น2ปี และผมเชื่อว่าวิกฤติต้องเข้ามาบ่อยๆชัวร์ แต่หากว่าคุณจะคว้าโอกาสไม่ได้ทุกๆครั้งที่เจอวิกฤติเลยหรือ??? อย่างน้อยผมพอตัวไม่เก่งก็ขอคว้าได้ครั้งไม่ได้ครั้งคละๆกันไปก็ยังดีครับ.....
และอีกเรื่องที่สำคัญคือการปรับ%เงินลงทุนในพอร์ท ดังที่ผมยกตัวไปข้างต้นว่าผมแบ่ง10%(ผมจะเรียกว่า10เฉยๆละกันเดี๋ยวจะงงอิอิ)ไปวัดดวงว่าจะ-50%หรือ+100% ถ้า+100%ผมนิ่งเพราะได้กำไรมา10 ครั้งแต่ไปก็ลงอีก10ถ้า-50%แสดงว่าตอนนั้นราคาต่อกว่าความเป็นจริงแล้ว เห็นโอกาสจาก10เหลือ5แทนที่ผมจะทิ้งไว้ที่5ผมซัดเข้าไปอีก20 พอกลับมาจะเดิม+100% เท่ากับผมได้มา50 เท่ากับกำไร40 พอรอบต่อมาก็กลับไป10เช่นเดิม.....
อันนี้เป็นการใช้ประโยชน์จากหลักสถิติ ดังนั้นผมไม่แปลกใจว่าทำไมคนเก่งๆบางคนถึงล้มละลายเพราะหุ้น....เพราะเขาทำตรงกันข้าม
กลุ่มที่1 ลง10เสีย-50% ขาดทุน5ตกใจหนีไปเลยทิ้งโอกาสงามๆ(รับไม่ได้เพราะเขาคิดว่าเขาเก่ง แต่เจองี๊แสดงว่าตลาดห่วย)
กลุ่มที่2 ลง10กำไร100% กำไร10รวมเป็น20 ดีใจจังมั่นใจมากๆ ลงซัดเพิ่มอีก20 รวมเป้น40 ผลคือ-50% จาก40เหลือ20 แต่ลงทุนไป30 ก็ขาดทุน
ทั้งที่เกมนี้+-เท่าๆกัน แต่เขาไม่เพียงไม่คว้าโอกาส แต่กลับเอาโอกาสมาทิ่มแทงตัวเอง
สรุป
เท่าที่ผมดูจากพอร์ทระดับกูรูทั้งหลาย ถ้าดูราคาหุ้นไม่น่าจะกำไร30-40%ได้ เพราะราคาหุ้นเพิ่มขึ้นมาจากเดิมไม่มากเท่าไหร่ แต่กลับมีเงินปริษณาก้อนหนึ่งเพิ่มขึ้นมาซื้อหุ้นได้.......เงินก้อนนี้ผมว่าไม่ได้มาจากการลงทุนเพิ่มครับ แต่มาจากการคว้าโอกาสได้ หรือที่ดร.เรียกว่าตีแตก ซึ่งถ้าไม่มีการตีแตกแล้วนั้นการทำกำไร20%นั้นอาจจะยากจริงๆครับ แต่การตีแตกผมแบ่งเป็น2กรณี
1.การตีแตกหุ้น อันนี้ต้องใช้ฝีมือจริงๆครับ อย่างที่ท่าน ดร.ซัดกับCPALL ซึ่งผมการรันตรีว่าสามัญชนปกติจะตีแตกอย่างนี้ได้ยากครับ ยากมากๆ แม้นแต่ตัวดร.เองยังทำได้ไม่กี่ตัว และทำไม่ได้ทุกปี แต่ถ้าตีร้าวๆก็น่าจะพอทำได้นะครับกำไร20-30%ก็ยังดี
2.การตีแตกสภาพตลาด สิ่งนี้ผมว่าคนสามัญชนสามารถทำได้นะครับไม่เกินตัวมากจนเกินไป.....และรายได้ส่วนใหญ่ของกูรูก็มาจากการตีแตกตลาดนี่แหละครับ ยกตัวอย่างนะครับ
ขณะที่SETวิ่งไป1400ผมถามจริงๆว่าคุณคิดว่ามันแพงไหม????ถ้าแพงแล้วทำไมไม่ขายยย
แล้วขณะที่SETวิ่งมาที่200คุณว่ามันถูกไหม?ถ้าถูกแล้วทำไมไม่ซื้อ
แล้วในขณะที่SET800กว่าๆ+ศก.ทำท่าจะร่วง ที่ปลายปี2008 เข้าใจครับว่าไม่มีใครคิดว่าว่าร่วงต่ออีก แต่อย่างน้อยที่สุดทำไมไม่ลดพอร์ท?????
แล้วในขณะที่SET400คุณคิดว่ามันถูกไหมครับ.....แล้วทำไม่ไม่ซื้อหมดหน้าตัก....ได้ยินว่ากูรูหลายท่านซัดมาร์มากมายในช่วงนี้.....
ที่พูดมาหลายคนอาจจะบอกว่าแหมม...ตอนนี้ผ่านมาแล้วก็พูดได้....ก็จริงครับแฮ๊ๆ เป็นผมผมก็คงหัวทิ่มหัวตำเหมือนกัน....แต่ผมก็เชื่อว่าหากเรามีฐานความรู้ที่ดี(ยิ่งคนในTVIยิ่งมีสุง) อย่างน้อยก็ซัดกันมันส์พอตัวเลยนะครับ ก็น่าจะมีอะไรติดไม้ติดมือมาบ้าง ซึ่งผมว่าคงไม่ถึงขนาดเมาหมัดไม่ได้อะไรมาเลย หรือถ้าไม่ได้อะไรมาเลยอย่างน้อยก็ไม่เสียนิครับ แถมได้สุดยอดประสบการณ์ด้วย ดังนั้นรอบหน้าเราน่าจะคว้ามันได้ครับ
ซึ่งโดยส่วนตัวผมก็ยังเชื่อว่า
1.ขาดทุนอันนี้ต้องไปเข้าป่าแล้วหาตัวตนตัวเองให้เจอให้ได้ว่าเพราะอะไร
2.10% ไม่เก่ง ไม่อ่อน
3.20% ถือว่าเก่งใช้ได้เลย(แต่ยังไม่เก่งมากๆ และยังไม่เทพ)
4.30% ถือว่าเก่งมากๆ
5.40% ถือว่าเทพครับ
ปล.สำหรับพอร์ทไม่เกิน100ล้านนะครับ
เพราะ จขกท ตั้งไว้เพื่อสร้างแรงบันดาลใจให้คนเดินดินก้าวไปสู่ร้อยล้าน
ไม่ใช่คนร้อยล้านไปพันล้านนะครับ หุ๊ๆ เพราะระดับพันล้านนี่30%นี่ก็โครตเทพแล้วครับ555+
โหยยยยตายแล้วเขียนเพลินๆไม่นึกว่าจะเยอะอย่างนี้T^T เปลีองหน้าให้พวกพี่เทพถ่ายทอดความรู้หมด ขอโทษคร๊าบบบน้ำเยอะไปหน่อยT^T
สมมุติผมมองในเรื่องการเก็งกำไร ผมแบ่งเงินไป10%
เจอในกรณี-50%กับ+100% ซึ่งเปรียบเสมือน SET800กับSET400
โอกาสร่วงจาก800เป็น400เพราะคนตกใจสุดๆ
กลับโอกาสที่SETจะวิ่งกลับขึ้นไปขาก400เป็น800 น่าจะพอๆกัน
ถือว่าเป็นการแกว่งตัวรอบใหญ่ของSETเพราะSETไม่ได้วิ่งเลยแค่อยู่จุดเดิม
ผมนำเงิน10%นี้ไปเข้าผิดช่วง จาก10บาทเป็น5บาท ขาดทุน5บาท
ผมนำเงิน10%นี้ไปเข้าถูกช่วง จาก10บาทเป็น20บาท กำไร10บาท
กลายเป้นมีโอกาสขาดทุน5บาท แต่โอกาสกำไร10บาท
ตัวเลขนี้มันบ่งบอกอะไรเราครับช่วยกันวิจารณ์หน่อยนะครับ
แต่สำหรับผมว่ามันบ่งบอกว่า "สุดยอดวิกฤติคือสุดยอดโอกาส"
ปลายปี2008 สมมุติผมมี100 จะเหลือ50ทันที
ปลายปี2009 ผมถือต่อ50 จะใกล้เคียงกับ100ทันที
แต่หลายคนจะบอกว่างั้น2ปีนี้คุณก็หายไป20*2=40%ซิ.......
จริงครับ มันหายไป20% เพราะไม่งั้นก็ 100*1.2*1.2=144 ควรจะเป็นเท่านี้
แต่กลับมีแค่100 ดังนั้นการทำได้20%ยากสุดๆๆๆๆๆ
ถูกครับไม่ได้เถียงเลยครับ เหรียญมีสองด้านเสมอ แต่กรณีคือกรณีที่เลวร้ายครับ เลวร้ายคุณไม่ได้กำไร แต่ที่เลวร้ายนี้เพราะคุณพลาดครับ พลาดโอกาสที่ยิ่งใหญ่ไป......ผมว่าคุ้มมากๆนะครับอยากให้เจอวิกฤติบ่อยด้วยซ้ำ เพราะวิกฤติมักสร้างสุดยอดโอกาสให้คุณเช่นเดียวกัน ได้สุดยอดโอกาสมาแลกกับไม่ได้กำไร2ปี ผมว่าโครตจะคุ้มครับ....
เพราะถ้าสมมุติคุณสามารถคว้าโอกาสนั้นมาได้
ปลายปี2008 สมมุติผมมี100 คว้าโอกาสได้รอดพ้นจากวิกฤติ
ปลายปี2009 ผมถือต่อ100 จะใกล้เคียงกับ200ทันที
ซึ่ง200นี้ถ้าลงทุน20%ปกติต้องใช้เวลา100*1.2^4=207 นั่นก็คือ4ปี
ดังนั้นเมื่อมี1วิกฤติเข้ามาจะมีโอกาสเข้ามาหาคุณเสมอ ว่าจะถอยหลังไป2ปี หรือจะเดินหน้าขึ้น2ปี และผมเชื่อว่าวิกฤติต้องเข้ามาบ่อยๆชัวร์ แต่หากว่าคุณจะคว้าโอกาสไม่ได้ทุกๆครั้งที่เจอวิกฤติเลยหรือ??? อย่างน้อยผมพอตัวไม่เก่งก็ขอคว้าได้ครั้งไม่ได้ครั้งคละๆกันไปก็ยังดีครับ.....
และอีกเรื่องที่สำคัญคือการปรับ%เงินลงทุนในพอร์ท ดังที่ผมยกตัวไปข้างต้นว่าผมแบ่ง10%(ผมจะเรียกว่า10เฉยๆละกันเดี๋ยวจะงงอิอิ)ไปวัดดวงว่าจะ-50%หรือ+100% ถ้า+100%ผมนิ่งเพราะได้กำไรมา10 ครั้งแต่ไปก็ลงอีก10ถ้า-50%แสดงว่าตอนนั้นราคาต่อกว่าความเป็นจริงแล้ว เห็นโอกาสจาก10เหลือ5แทนที่ผมจะทิ้งไว้ที่5ผมซัดเข้าไปอีก20 พอกลับมาจะเดิม+100% เท่ากับผมได้มา50 เท่ากับกำไร40 พอรอบต่อมาก็กลับไป10เช่นเดิม.....
อันนี้เป็นการใช้ประโยชน์จากหลักสถิติ ดังนั้นผมไม่แปลกใจว่าทำไมคนเก่งๆบางคนถึงล้มละลายเพราะหุ้น....เพราะเขาทำตรงกันข้าม
กลุ่มที่1 ลง10เสีย-50% ขาดทุน5ตกใจหนีไปเลยทิ้งโอกาสงามๆ(รับไม่ได้เพราะเขาคิดว่าเขาเก่ง แต่เจองี๊แสดงว่าตลาดห่วย)
กลุ่มที่2 ลง10กำไร100% กำไร10รวมเป็น20 ดีใจจังมั่นใจมากๆ ลงซัดเพิ่มอีก20 รวมเป้น40 ผลคือ-50% จาก40เหลือ20 แต่ลงทุนไป30 ก็ขาดทุน
ทั้งที่เกมนี้+-เท่าๆกัน แต่เขาไม่เพียงไม่คว้าโอกาส แต่กลับเอาโอกาสมาทิ่มแทงตัวเอง
สรุป
เท่าที่ผมดูจากพอร์ทระดับกูรูทั้งหลาย ถ้าดูราคาหุ้นไม่น่าจะกำไร30-40%ได้ เพราะราคาหุ้นเพิ่มขึ้นมาจากเดิมไม่มากเท่าไหร่ แต่กลับมีเงินปริษณาก้อนหนึ่งเพิ่มขึ้นมาซื้อหุ้นได้.......เงินก้อนนี้ผมว่าไม่ได้มาจากการลงทุนเพิ่มครับ แต่มาจากการคว้าโอกาสได้ หรือที่ดร.เรียกว่าตีแตก ซึ่งถ้าไม่มีการตีแตกแล้วนั้นการทำกำไร20%นั้นอาจจะยากจริงๆครับ แต่การตีแตกผมแบ่งเป็น2กรณี
1.การตีแตกหุ้น อันนี้ต้องใช้ฝีมือจริงๆครับ อย่างที่ท่าน ดร.ซัดกับCPALL ซึ่งผมการรันตรีว่าสามัญชนปกติจะตีแตกอย่างนี้ได้ยากครับ ยากมากๆ แม้นแต่ตัวดร.เองยังทำได้ไม่กี่ตัว และทำไม่ได้ทุกปี แต่ถ้าตีร้าวๆก็น่าจะพอทำได้นะครับกำไร20-30%ก็ยังดี
2.การตีแตกสภาพตลาด สิ่งนี้ผมว่าคนสามัญชนสามารถทำได้นะครับไม่เกินตัวมากจนเกินไป.....และรายได้ส่วนใหญ่ของกูรูก็มาจากการตีแตกตลาดนี่แหละครับ ยกตัวอย่างนะครับ
ขณะที่SETวิ่งไป1400ผมถามจริงๆว่าคุณคิดว่ามันแพงไหม????ถ้าแพงแล้วทำไมไม่ขายยย
แล้วขณะที่SETวิ่งมาที่200คุณว่ามันถูกไหม?ถ้าถูกแล้วทำไมไม่ซื้อ
แล้วในขณะที่SET800กว่าๆ+ศก.ทำท่าจะร่วง ที่ปลายปี2008 เข้าใจครับว่าไม่มีใครคิดว่าว่าร่วงต่ออีก แต่อย่างน้อยที่สุดทำไมไม่ลดพอร์ท?????
แล้วในขณะที่SET400คุณคิดว่ามันถูกไหมครับ.....แล้วทำไม่ไม่ซื้อหมดหน้าตัก....ได้ยินว่ากูรูหลายท่านซัดมาร์มากมายในช่วงนี้.....
ที่พูดมาหลายคนอาจจะบอกว่าแหมม...ตอนนี้ผ่านมาแล้วก็พูดได้....ก็จริงครับแฮ๊ๆ เป็นผมผมก็คงหัวทิ่มหัวตำเหมือนกัน....แต่ผมก็เชื่อว่าหากเรามีฐานความรู้ที่ดี(ยิ่งคนในTVIยิ่งมีสุง) อย่างน้อยก็ซัดกันมันส์พอตัวเลยนะครับ ก็น่าจะมีอะไรติดไม้ติดมือมาบ้าง ซึ่งผมว่าคงไม่ถึงขนาดเมาหมัดไม่ได้อะไรมาเลย หรือถ้าไม่ได้อะไรมาเลยอย่างน้อยก็ไม่เสียนิครับ แถมได้สุดยอดประสบการณ์ด้วย ดังนั้นรอบหน้าเราน่าจะคว้ามันได้ครับ
ซึ่งโดยส่วนตัวผมก็ยังเชื่อว่า
1.ขาดทุนอันนี้ต้องไปเข้าป่าแล้วหาตัวตนตัวเองให้เจอให้ได้ว่าเพราะอะไร
2.10% ไม่เก่ง ไม่อ่อน
3.20% ถือว่าเก่งใช้ได้เลย(แต่ยังไม่เก่งมากๆ และยังไม่เทพ)
4.30% ถือว่าเก่งมากๆ
5.40% ถือว่าเทพครับ
ปล.สำหรับพอร์ทไม่เกิน100ล้านนะครับ
เพราะ จขกท ตั้งไว้เพื่อสร้างแรงบันดาลใจให้คนเดินดินก้าวไปสู่ร้อยล้าน
ไม่ใช่คนร้อยล้านไปพันล้านนะครับ หุ๊ๆ เพราะระดับพันล้านนี่30%นี่ก็โครตเทพแล้วครับ555+
โหยยยยตายแล้วเขียนเพลินๆไม่นึกว่าจะเยอะอย่างนี้T^T เปลีองหน้าให้พวกพี่เทพถ่ายทอดความรู้หมด ขอโทษคร๊าบบบน้ำเยอะไปหน่อยT^T
- McDull
- Verified User
- โพสต์: 313
- ผู้ติดตาม: 0
เงินเดือนน้อยๆ ก็มีเงินเป็นล้านกับเขาได้
โพสต์ที่ 51
ขอแจมด้วยคนนะครับ เห็นคุยเรื่องกี่เปอร์เซ็นต์ แล้วยากไม่ยาก :D
Anthony Robbins เล่าเรื่องนี้ให้ผมฟัง(ผ่านทางตัวหนังสือ)ครับ เคยมีความเชื่อว่า มนุษย์ไม่สามารถวิ่งระยะทาง 400 เมตร ได้ภายในเวลาต่ำกว่าหนึ่งนาที ในอดีตเป็นเวลาหลายสิบปี ไม่เคยมีใครทำได้เลย อยู่มาวันหนึ่งกระทาชายนายหนึ่งเกิดทำได้สำเร็จ ปีถัดมาจากนั้นก็มีนักกีฬาหลายสิบคนพร้อมใจกันฝ่ากำแพงนั้นได้ตามไปด้วย
ลองนึกถึงสถิติโลกต่างๆ ในวงการกีฬานะครับ ประเภทที่เราเคยฮู่ฮ่าฮู่ฮ่าเมื่อหลายปีก่อนว่าสุดยอด แล้วก็ให้นึกถึงสองชื่อนี้ Usain Bolt และ Michael Phelps
เรื่องใกล้ตัวเข้ามาหน่อย จำนวนคนที่กลายเป็น millionare หน้าใหม่ ที่นับวันจะมีจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ และในช่วงอายุที่เด็กลงเรื่อยๆ
สถิติของปรมาจารย์ Buffett หลายสิบปีแรก เกิดในช่วงที่โลกยังไม่มีอินเตอร์เน็ท การเข้าถึงข้อมูลยังมีจำกัด ก็ไม่รู้ว่านี่เป็นข้อได้เปรียบหรือข้อเสียเปรียบสำหรับเค้า
แต่ผมว่าในช่วงสิบปีจากนี้ไป สถิติหลายอันอาจจะถูกทำลายลงอย่างราบคาบ เรามีการเข้าถึงข้อมูลที่รวดเร็วขึ้นมาก และมีกลยุทธ์ทางการเงินแปลกๆ ใหม่ๆ ออกมาอีกเยอะ
พูดก็พูดเถอะ ผมว่าเผลอๆ ปรมาจารย์ Buffett เองนั่นแหละที่จะทำลายสถิติเก่าของตัวเอง มาพนันกันมั๊ยครับ
Anthony Robbins เล่าเรื่องนี้ให้ผมฟัง(ผ่านทางตัวหนังสือ)ครับ เคยมีความเชื่อว่า มนุษย์ไม่สามารถวิ่งระยะทาง 400 เมตร ได้ภายในเวลาต่ำกว่าหนึ่งนาที ในอดีตเป็นเวลาหลายสิบปี ไม่เคยมีใครทำได้เลย อยู่มาวันหนึ่งกระทาชายนายหนึ่งเกิดทำได้สำเร็จ ปีถัดมาจากนั้นก็มีนักกีฬาหลายสิบคนพร้อมใจกันฝ่ากำแพงนั้นได้ตามไปด้วย
ลองนึกถึงสถิติโลกต่างๆ ในวงการกีฬานะครับ ประเภทที่เราเคยฮู่ฮ่าฮู่ฮ่าเมื่อหลายปีก่อนว่าสุดยอด แล้วก็ให้นึกถึงสองชื่อนี้ Usain Bolt และ Michael Phelps
เรื่องใกล้ตัวเข้ามาหน่อย จำนวนคนที่กลายเป็น millionare หน้าใหม่ ที่นับวันจะมีจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ และในช่วงอายุที่เด็กลงเรื่อยๆ
สถิติของปรมาจารย์ Buffett หลายสิบปีแรก เกิดในช่วงที่โลกยังไม่มีอินเตอร์เน็ท การเข้าถึงข้อมูลยังมีจำกัด ก็ไม่รู้ว่านี่เป็นข้อได้เปรียบหรือข้อเสียเปรียบสำหรับเค้า
แต่ผมว่าในช่วงสิบปีจากนี้ไป สถิติหลายอันอาจจะถูกทำลายลงอย่างราบคาบ เรามีการเข้าถึงข้อมูลที่รวดเร็วขึ้นมาก และมีกลยุทธ์ทางการเงินแปลกๆ ใหม่ๆ ออกมาอีกเยอะ
พูดก็พูดเถอะ ผมว่าเผลอๆ ปรมาจารย์ Buffett เองนั่นแหละที่จะทำลายสถิติเก่าของตัวเอง มาพนันกันมั๊ยครับ
"It is in your moments of decision that your destiny is shaped." --- ANTHONY ROBBINS
http://en.wikipedia.org/wiki/McDull
http://en.wikipedia.org/wiki/McDull
-
- Verified User
- โพสต์: 1296
- ผู้ติดตาม: 1
เงินเดือนน้อยๆ ก็มีเงินเป็นล้านกับเขาได้
โพสต์ที่ 52
ถูกต้องแล้วคุณ Picklife ช่วงวิกฤตก็คือโอกาส ถึงตอนนั้น
หุ้นดีหรือไม่ดีลงหมดทุกตัว ถ้าเรามีเงินก็ซื้อเพิ่มเลย
อย่าหนีออกไป แต่ข้อสำคัญคือตอนนั้นเงินจะจมอยู่ใน
หุ้นเกือบหมด (ชาว VI มักจะถือหุ้นเต็มPort) เราจะหา
เงินจากที่ใดละ (บางคนใช้ Margin)
สำหรับผมโชคดีที่นโยบายลงทุนในหุ้นแค่ 20%
ของเงินลงทุนทั้งหมด จึงพอหาเงินจากส่วนอื่นมาลงทุน
เพิ่มได้ (หลังจากต้องตอบกระทู้ของแม่เสือที่บ้านจน
อ่อนใจกว่าจะได้รับการอนุมัติงบเพิ่ม )
หุ้นดีหรือไม่ดีลงหมดทุกตัว ถ้าเรามีเงินก็ซื้อเพิ่มเลย
อย่าหนีออกไป แต่ข้อสำคัญคือตอนนั้นเงินจะจมอยู่ใน
หุ้นเกือบหมด (ชาว VI มักจะถือหุ้นเต็มPort) เราจะหา
เงินจากที่ใดละ (บางคนใช้ Margin)
สำหรับผมโชคดีที่นโยบายลงทุนในหุ้นแค่ 20%
ของเงินลงทุนทั้งหมด จึงพอหาเงินจากส่วนอื่นมาลงทุน
เพิ่มได้ (หลังจากต้องตอบกระทู้ของแม่เสือที่บ้านจน
อ่อนใจกว่าจะได้รับการอนุมัติงบเพิ่ม )
-
- Verified User
- โพสต์: 355
- ผู้ติดตาม: 0
เงินเดือนน้อยๆ ก็มีเงินเป็นล้านกับเขาได้
โพสต์ที่ 53
แต่ละบอร์ดมีธรรมชาติของกลุ่มจริง ๆ
ข้อความเดียวกันโพสท์ที่ pantip กับที่นี่ ได้ผลตอบรับคนละเรื่องเลยครับ
ที่โน่นมีคนบอกว่า เดือนละ 14000 เดี๋ยวมี 100 ล้าน เมาเบียร์เปล่า ฮาาา :lol:
ข้อความเดียวกันโพสท์ที่ pantip กับที่นี่ ได้ผลตอบรับคนละเรื่องเลยครับ
ที่โน่นมีคนบอกว่า เดือนละ 14000 เดี๋ยวมี 100 ล้าน เมาเบียร์เปล่า ฮาาา :lol:
- picklife
- Verified User
- โพสต์: 2565
- ผู้ติดตาม: 0
เงินเดือนน้อยๆ ก็มีเงินเป็นล้านกับเขาได้
โพสต์ที่ 58
ผมเคยฟังมาเรื่องหนึ่งครับคล้ายๆกันแต่จำรายละเอียดไม่ได้จำได้แต่โครงเรื่องนะครับ
เมื่อหลายสิบปีก่อนมีการจัดแข่งวิ่ง100m.ขึ้น
คนก็วิ่งแข่งกัน 20วิ 15วิ 12วิ และมีการทำลายสถิติจนมาถึงที่10วินาที
ก็ไม่มีใครสามารถทำลายได้อีกทิ้งระยะเวลาหลายปี
จนมีการทำวิจัยขึ้นโดยดร.กูรูทั้งหลาย จนวงการแพทย์ออกมาประกาศว่า
ด้วยสรีระมนุษย์ เราไม่สามารถวิ่งเร้วกว่า10วินาทีได้.....
นับแต่นั้นมาเป็นสิบปีก็ไม่เคยมีใครทำลายสถิติได้เลย
เพราะนักวิ่งทุกคนคิดว่า10วิคือขีดจำกับของความเป้นมนุษย์
จนสุดท้ายนักวิ่งจากประเทศยากจนที่ไม่มีทางเลือกมากนักคนหนึ่ง
กลับดันวิ่งได้เร็วกว่า10วิ แล้วตลกร้ายก็คือ รู้ไหมครัยว่าเกิดอะไรขึ้น
ในปีถัดๆมาก็มีคนทำลายได้เรื่อยๆ จนกลายเป็นเรื่องปกติที่นักวิ่ง100m
จะสามารถวิ่งเร็วกว่า10วิได้555+
555+สาเหตุเพราะนักวิ่งเพิ่งถึงบางอ้อว่าอ๋อขีดจำกัดเราไม่ได้อยู่ที่10วินะ
เหอะๆ หลงโง่มาตั้งนาน.....
ตร่าวๆนะครับใครมีฉบับเต็มโปรดแสดงตัวนะครับ อิอิ
เมื่อหลายสิบปีก่อนมีการจัดแข่งวิ่ง100m.ขึ้น
คนก็วิ่งแข่งกัน 20วิ 15วิ 12วิ และมีการทำลายสถิติจนมาถึงที่10วินาที
ก็ไม่มีใครสามารถทำลายได้อีกทิ้งระยะเวลาหลายปี
จนมีการทำวิจัยขึ้นโดยดร.กูรูทั้งหลาย จนวงการแพทย์ออกมาประกาศว่า
ด้วยสรีระมนุษย์ เราไม่สามารถวิ่งเร้วกว่า10วินาทีได้.....
นับแต่นั้นมาเป็นสิบปีก็ไม่เคยมีใครทำลายสถิติได้เลย
เพราะนักวิ่งทุกคนคิดว่า10วิคือขีดจำกับของความเป้นมนุษย์
จนสุดท้ายนักวิ่งจากประเทศยากจนที่ไม่มีทางเลือกมากนักคนหนึ่ง
กลับดันวิ่งได้เร็วกว่า10วิ แล้วตลกร้ายก็คือ รู้ไหมครัยว่าเกิดอะไรขึ้น
ในปีถัดๆมาก็มีคนทำลายได้เรื่อยๆ จนกลายเป็นเรื่องปกติที่นักวิ่ง100m
จะสามารถวิ่งเร็วกว่า10วิได้555+
555+สาเหตุเพราะนักวิ่งเพิ่งถึงบางอ้อว่าอ๋อขีดจำกัดเราไม่ได้อยู่ที่10วินะ
เหอะๆ หลงโง่มาตั้งนาน.....
ตร่าวๆนะครับใครมีฉบับเต็มโปรดแสดงตัวนะครับ อิอิ
- GERRARD007
- Verified User
- โพสต์: 32
- ผู้ติดตาม: 0
เงินเดือนน้อยๆ ก็มีเงินเป็นล้านกับเขาได้
โพสต์ที่ 59
ผมคิดว่าเราควรที่จะทำงานไปด้วย...และก็ลงทุนไปด้วยน่าจะดีกว่า
เพราะเราไม่ใช่ DAY TRADE ที่จะนั่งเฝ้าหน้าจอทั้งวัน...
เราต้องหาทุนมาลงทุนเรื่อยๆจะดีกว่า...
ถ้าหากเรามานั่งหน้าจอทุกวัน...มันจะทำให้เราไขว้เขว...เห็นหุ้นตัวนั้นขึ้น..ตัวนี้ขึ้น..งอดใจม่ไหว...กลายเป็นเล่นเก็งกำไรไปซะงั้น
ข้อคิดเห็นเพิ่มเติม...
http://www.kewell007.blogspot.com/
เพราะเราไม่ใช่ DAY TRADE ที่จะนั่งเฝ้าหน้าจอทั้งวัน...
เราต้องหาทุนมาลงทุนเรื่อยๆจะดีกว่า...
ถ้าหากเรามานั่งหน้าจอทุกวัน...มันจะทำให้เราไขว้เขว...เห็นหุ้นตัวนั้นขึ้น..ตัวนี้ขึ้น..งอดใจม่ไหว...กลายเป็นเล่นเก็งกำไรไปซะงั้น
ข้อคิดเห็นเพิ่มเติม...
http://www.kewell007.blogspot.com/
- [v]
- Verified User
- โพสต์: 1402
- ผู้ติดตาม: 0
เงินเดือนน้อยๆ ก็มีเงินเป็นล้านกับเขาได้
โพสต์ที่ 60
จากความเหลื่อมล้ำของโลกและระบบการเงิน
เพราะคนเราไม่ได้เทรดหุ้นด้วยศีล 5 กันทุกคน และในสมองของเราก็จะมีซีกหนึ่งที่ควบคุมส่วนอารมณ์ ส่วนอีกซีกนึงตัดสินด้วยเหตุผล ตรงนี้จะทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำ
เช่นช่วงเวลาที่หุ้นดีเกินไป และ แย่เกินไป เมื่อเทียบกับพื้นฐาน จนเกิดเป็นช่องว่างชัดเจน อย่างช่วงวิกฤติทีเกิดขึ้น หุ้นตกอย่างชัดเจน
ถ้าเราแยกได้ออกว่าอะไรคือ ชัดเจน แล้วให้น้ำหนักได้ถูกต้องถูกจังหว่ะ ผมว่าเราน่าจะทำอะไรได้มากขึ้น
เช่น ในพอร์ตถ้าเป็นนักลงทุนระยะยาว ก็ควรจะมี เงินลงทุนในหุ้น 50% เงินลงทุนในTFEX ,SBL 30% เงินสด 20%
แต่เราควรใช้ เงินลงทุนในTFEX ,SBL 30% เมื่อเกิดวิกฤติทางเศรษฐกิจอย่างชัดเจน เพราะเป็นอุปกรณ์เดียวที่ทำกำไรได้ตอนขาลง ที่ต้องชัดเจนเพื่อลดความเสี่ยง แต่คนที่จะใช้พวกนี้ได้ต้องดูพื้นฐานเศรษฐกิจกับกราฟเทคนิคเป็น
แต่คนที่ถือหุ้นอยู่เต็มพอร์ตตลอดเวลา แล้วหุ้นมันตก แต่ก็ไม่คิดที่จะขาย ผมก็คิดว่า เขาควรเอาหุ้นเขาไปปล่อยให้คนอื่นเช่า เรียกง่ายๆก็คือให้คนอื่นไปทำ SBL แล้วเอากินดอกเบี้ย
หรือหากเราไม่ถนัด TFEX ,SBL จริงๆก็ ให้ฝากเงินให้มืออาชีพกองทุนระดับโลกที่ ถนัดการลงทุนใน สภาวะเศรษฐกิจ ดีเกินไป เมื่อเรามองเห็นว่ามันดีเวอร์จนเกินไป หรือ หุ้นเริ่มตกจากวิกฤติทางเศรษฐกิจช่วงต้น
ตราบใดที่เรามีเงินสดเราก็จะมีโอกาสเสมอ จึงต้องมีเงินสดติดพอร์ตไว้ 20%
เป็นไอเดียนึงนะครับ มันอาจจะไม่ Value Invester แท้ๆนะครับ
อย่างต่อไปจะเปิดเขตการค้าเสรี ผมก็กำลังพยายามศึกษาว่า ผมสามารถทำ SBL หรือ TFEX ในประเทศที่เสี่ยงต่อสภาวะฟองสบู่แตกได้รึไม่ เช่น เวียดนาม เป็นต้น โดยเข้าทำในจังหว่ะระยะเริ่มต้นของวิกฤติ
เพราะคนเราไม่ได้เทรดหุ้นด้วยศีล 5 กันทุกคน และในสมองของเราก็จะมีซีกหนึ่งที่ควบคุมส่วนอารมณ์ ส่วนอีกซีกนึงตัดสินด้วยเหตุผล ตรงนี้จะทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำ
เช่นช่วงเวลาที่หุ้นดีเกินไป และ แย่เกินไป เมื่อเทียบกับพื้นฐาน จนเกิดเป็นช่องว่างชัดเจน อย่างช่วงวิกฤติทีเกิดขึ้น หุ้นตกอย่างชัดเจน
ถ้าเราแยกได้ออกว่าอะไรคือ ชัดเจน แล้วให้น้ำหนักได้ถูกต้องถูกจังหว่ะ ผมว่าเราน่าจะทำอะไรได้มากขึ้น
เช่น ในพอร์ตถ้าเป็นนักลงทุนระยะยาว ก็ควรจะมี เงินลงทุนในหุ้น 50% เงินลงทุนในTFEX ,SBL 30% เงินสด 20%
แต่เราควรใช้ เงินลงทุนในTFEX ,SBL 30% เมื่อเกิดวิกฤติทางเศรษฐกิจอย่างชัดเจน เพราะเป็นอุปกรณ์เดียวที่ทำกำไรได้ตอนขาลง ที่ต้องชัดเจนเพื่อลดความเสี่ยง แต่คนที่จะใช้พวกนี้ได้ต้องดูพื้นฐานเศรษฐกิจกับกราฟเทคนิคเป็น
แต่คนที่ถือหุ้นอยู่เต็มพอร์ตตลอดเวลา แล้วหุ้นมันตก แต่ก็ไม่คิดที่จะขาย ผมก็คิดว่า เขาควรเอาหุ้นเขาไปปล่อยให้คนอื่นเช่า เรียกง่ายๆก็คือให้คนอื่นไปทำ SBL แล้วเอากินดอกเบี้ย
หรือหากเราไม่ถนัด TFEX ,SBL จริงๆก็ ให้ฝากเงินให้มืออาชีพกองทุนระดับโลกที่ ถนัดการลงทุนใน สภาวะเศรษฐกิจ ดีเกินไป เมื่อเรามองเห็นว่ามันดีเวอร์จนเกินไป หรือ หุ้นเริ่มตกจากวิกฤติทางเศรษฐกิจช่วงต้น
ตราบใดที่เรามีเงินสดเราก็จะมีโอกาสเสมอ จึงต้องมีเงินสดติดพอร์ตไว้ 20%
เป็นไอเดียนึงนะครับ มันอาจจะไม่ Value Invester แท้ๆนะครับ
อย่างต่อไปจะเปิดเขตการค้าเสรี ผมก็กำลังพยายามศึกษาว่า ผมสามารถทำ SBL หรือ TFEX ในประเทศที่เสี่ยงต่อสภาวะฟองสบู่แตกได้รึไม่ เช่น เวียดนาม เป็นต้น โดยเข้าทำในจังหว่ะระยะเริ่มต้นของวิกฤติ