ธรรมะ ธรรมชาติ

เชิญมาพักผ่อน คลายร้อนนั่งเล่น คุยกันเย็นๆ พร้อมเรื่องกีฬา สัพเพเหระ ทัศนะนานา ชีวิตชีวา สุขภาพทั่วไป บันเทิงขำขัน รอบเรื่องเมืองไทย ชวนเที่ยวที่ไหน อยากไปก็นัดมา ...โย่วๆ
ภาพประจำตัวสมาชิก
por_jai
Verified User
โพสต์: 14338
ผู้ติดตาม: 0

ธรรมะ ธรรมชาติ

โพสต์ที่ 871

โพสต์

nanchan เขียน:เหงาที่เมืองไทยนี่มันธรรมดานะ หนาวก็ไม่ค่อยหนาวเท่าไหร่

ผมว่าธรรมดามาก อยู่กับความเหงาไปเรื่อยๆแล้วจะชิน จนผ่านจุดนึงได้จะไม่เหงา

เมื่อใดเหงาจงอย่าโหยหา เพื่อคลายเหงา
ยิ่งโหยหายิ่งยังเหงา ได้แต่เหงา มีแต่เหงา
:lol:
:8) ถ้าหนุ่มครึกครื้น คึกคัก อย่างป๋านันเริ่มเหงา
     คนอื่นคงย่ำแย่ กันหมดแล้วครับ
กรูเก่ง กิเลสเก่งกว่า
RONNAPUM
Verified User
โพสต์: 1455
ผู้ติดตาม: 0

ธรรมะ ธรรมชาติ

โพสต์ที่ 872

โพสต์

[quote="por_jai"][quote="คนเรือ VI"][quote]หลวงพ่อเทศน์วันนี้พอดีว่า
อย่าทำตัวเป็นนักแสดง เป็นเพียงผู้ดูก็พอ..
smith_sanguan
Verified User
โพสต์: 3348
ผู้ติดตาม: 0

ธรรมะ ธรรมชาติ

โพสต์ที่ 873

โพสต์

อยากไปครับ แต่ก็ยังไม่ได้ไปครับ
ทุกสิ่งทุกอย่างบนโลก มันก็เป็นเช่นนั้นแล
ซากคน
Verified User
โพสต์: 1400
ผู้ติดตาม: 0

ธรรมะ ธรรมชาติ

โพสต์ที่ 874

โพสต์

หลงตัว หลงเชื่อ...คือหลงทาง
       ชีวิตของคนเราทุกคน เหมือนเดินทางกลางป่ากลางเขา น้อยคนที่จะสบายเหมือนเดินอยู่บนถนนหลวง ทางเดินในชีวิตส่วนใหญ่มักจะขรุขระมีหลุมมีบ่อ และพงหนาม มีทั้งขึ้นเขา เข้าถ้ำและลงห้วย ผลัดเปลี่ยนกันไป มีความลำบากมากบ้างน้อยบ้าง สุขบ้างทุกข์บ้างสลับกันไป ในแต่ละวัน

       ชีวิตของเรานั้น นอกจากจะเดินทางลำบากแล้วยังต้องเดินทางอย่างโดดเดี่ยวอีกด้วย ที่เป็นอย่างนี้ก็เพราะ ชีวิตคือการเดินทางคนเดียวมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว เรียกว่าเราเกิดมาตามกรรมของเราเอง อยู่ใช้กรรมเก่าและสร้างกรรมใหม่  แล้วก็ตายไปตามกรรมของเราเอง เป็นไปอย่างนี้ ไม่ว่าจะเกิดมากี่ครั้งหรือว่าตายไปกี่หนก็ตาม

       การที่เราทุกคนกลัวความเหงานั้น อาจจะต้องเข้าใจเสียใหม่ว่า อันที่จริงแล้วความเหงานั่นแหละคือชีวิตที่แท้จริงของเรานั่นเอง  เพราะไม่ว่าพ่อแม่ พี่น้อง ญาติ เพื่อนฝูง สามีภรรยา และลูก ถึงแม้ว่าจะเป็นเพื่อนร่วมทางแต่ก็เป็นเพื่อนร่วมทางที่ไม่ถาวร เพราะความสัมพันธ์กับคนใกล้ชิดนั้นล้วนเป็นสิ่งสมมุติทั้งนั้น  สมมุติเป็นพ่อแม่พี่น้องกัน และบทบาทที่แสดงต่อกันด้วยความผูกพันและหน้าที่ ผ่านมาแล้วก็ผ่านไปในช่วงชีวิตหนึ่งเท่านั้น   เรามาคนเดียวแล้วเราก็ไปคนเดียว จะไปทีเดียวกันหลาย ๆ คนไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นลูก เป็นสามี เป็นภรรยา พ่อแม่พี่น้องก็ไม่มีใครสักคนที่ตามเราไปได้  

       ต่างคนต่างมา ต่างคนต่างไป ต่างคนต่างเกิด เป็นอย่างนี้ ไม่มีอะไรสักอย่างที่จะเอาไปได้แม้แต่เงินบาทเดียว  ต้องปล่อยทิ้งไว้ทั้งหมด ไม่ว่าอะไร ไม่มีอะไรเป็นที่ยึดถือ เรือกสวนไร่นา ตึกรามบ้านช่อง ก่อนที่เราจะเกิดเขาก็มีอยู่อย่างนี้ ชายหญิงเขาก็มีกันอยู่อย่างนี้  ตอนเราเกิดก็มีอยู่อย่างนี้  เราตายไปแล้วมันก็มีอยู่อย่างนี้  เพราะฉะนั้นเราจะกลัวความเหงากันไปทำไม ทั้ง ๆที่ชีวิตคือการเดินทางคนเดียวอยู่แล้ว

       คนที่อยู่คนเดียวไม่ได้ ต้องหาเพื่อนแก้เหงาตลอดเวลา หรืออยู่ไม่ได้ถ้าขาดคนอื่น คนนั้นคือ..ผู้หลงทาง เพราะหารู้ไม่ว่า ยิ่งเราอยู่ในวงล้อมของคนอื่นมากเท่าไร เราจะยิ่งค้นหาตัวเองไม่เจอเท่านั้น เพราะเรามักจะยุ่งกับเรื่องของคนอื่นตลอดเวลา คอยแต่จะดูว่าคนนั้นดี..คนนี้ชั่ว..คนนั้นถูก..คนนี้ผิด...นั่นเรามองเห็นแต่คนอื่น เรามองออกไปข้างนอก มองรอบตัวแต่เราไม่เคยมองเห็นตัวของเราเองเลย นี่คือเราไม่รู้จักตัวเองดีพอ

       ผู้ฉลาดย่อมเห็นคุณค่าของการอยู่คนเดียว ผู้มีปัญญาย่อมจะแสวงหาความวิเวก แสวงหาความสงบ เพื่อทำความรู้จักกับตัวเอง รู้ใจตัวเอง เมื่อใจไม่วุ่นวาย ใจเกิดความสงบ ใจเกิดความสว่างเย็น แล้วเราก็จะเป็นสุข เราต้องดำเนินชีวิตด้วยตัวของเราเอง เลือกดีเลือกชั่วด้วยตัวของเราเอง จะถูกทางหรือหลงทางก็ด้วยปัญญาของเราเอง เหมือนดังที่พูดกันว่าตนเป็นที่พึ่งแห่งตน หมายถึงพุทธศาสนาเป็นเพียงแผนที่บอกทางให้เท่านั้น ส่วนการเลือกเส้นทางเดินไปทางไหนอย่างไร ก็อยู่ที่ตัวเราคนเดียว

       เมื่อรู้ว่าต้องเดินทางคนเดียวก็อย่าทำตัวเป็นคนเห็นแก่ตัว ให้รู้จักช่วยเหลือเกื้อกูลผู้อื่น ทำกรรมดี อยู่ในศีลในธรรม นั่นเป็นหนทางที่จะไปสู่จุดหมายปลายทางของการหลุดพ้นได้เร็วขึ้น เมื่อเราเกิดเป็นมนุษย์แล้วก็เท่ากับว่าเราโชคดีแล้ว และได้มาอยู่ในเส้นทางที่มีปลายทาง ที่มีทั้งแสงสว่างและความมืดมัวให้เราเลือก คราวนี้อยู่ที่ตัวของเราเองว่า จะเดินทางช้า เดินทางเร็ว หรือจะเดินหลงทางเท่านั้น

       ชีวิตคนเรานั้นแท้จริงแล้วก็คือการเดินทาง และยังคงเป็นการเดินทางเรื่อยไปอยู่นั่นเอง ก็ย่อมมีความระหกระเหินบอบช้ำเป็นธรรมดา ชีวิตที่ต้องการเดินทางไปสู่นิพพาน หรือการดับทุกข์ขั้นเด็ดขาดนี้ จะถึงช้าหรือเร็ว ก็ขึ้นอยู่กับปัญญาของแต่ละคน แต่การเดินทางนี้ ไม่ใช่เดินด้วยร่างกาย เพราะนิพพานไม่ใช่สถานที่ หากแต่ว่า เป็นภาวะอันบรมสุขของจิตใจ การเดินทางนี้จึงเป็นการเดินทางของจิตใจ จากสภาพที่มัวหมอง ไปสู่ความสะอาดสดใสที่ไม่มีกิเลส ตัวเราเองเดินทางทุกวัน เดินทางด้วยพาหนะชั้นดี มีเครื่องปรับอากาศเย็นสบาย พาให้เราไปสู่จุดหมายนับร้อยนับพันแห่ง แต่ใจของเราเดินทางด้วยหรือเปล่า         ความสวยงามของโลก อาจจะทำให้ใจของเรา ซัดส่ายไปมา ซ้ำซากวนเวียนอยู่กับสุขเดิม ๆ ทุกข์เดิม ๆ อยู่นั่นแหละ ไม่เคยแสวงหาสภาวะที่สุขจริง สุขแท้กว่านั้นเลย ชีวิตของเราชาติหนึ่ง ๆ ก็จบสิ้นไปโดยไม่ได้พัฒนา ไม่มีอะไรเป็นแก่นสาร  เป็นการเสียชาติเกิด เสียเวลาเปล่าๆ

 
ที่มา :  หนังสือทางพ้นกรรม
ผู้เขียน คุณพัชราภา
ขออนุโมทนาขอบคุณ  คุณฉัตรชญา ในเมือง  [email protected] ที่เอื้อเฟื้อข้อมูลและพิมพ์เรื่องเพื่อเผยแพร่ทางเมลนี้
เราต่างตื่นขึ้นมาทุกวัน เพื่อสร้างผลงานให้ได้ เราควรรู้ว่า ในทุกวันมีอะไรที่ต้องทำเพื่อให้เกิดผลงาน หากการตื่นขึ้นมา ไม่ได้เป็นไปเพื่อผลงาน เราก็ไม่สมควรที่จะตื่นขึ้นมาให้รกหูรกตาคนรอบข้าง
ภาพประจำตัวสมาชิก
oatty
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 2444
ผู้ติดตาม: 0

ธรรมะ ธรรมชาติ

โพสต์ที่ 875

โพสต์

ตอนนี้กำลังดูจิตตัวเอง เรื่องการพลัดพลากจากสิ่งที่เรารัก และ อนิจจา วะตะ สังขารา อยู่ครับ เพราะมีของจริงให้ทำ
"ผู้ทรงธรรมนั่นแหละคือผู้ทรงเกียรติ ผู้มีความดีนั่นแหละคือผู้มีทรัพย์ ผู้รู้จักพอนั่นแหละคือมหาเศรษฐี" ว.วชิรเมธี
อร่อยล้ำลำ
Verified User
โพสต์: 4
ผู้ติดตาม: 0

ธรรมะ ธรรมชาติ

โพสต์ที่ 876

โพสต์

ขออนุโมทนาจ้ะ
ขอให้ทุกท่านเจริญในธรรมยิ่งๆขึ้นไป

ข้าน้อยก็มีข้อธรรมมาฝาก นิดๆหน่อยๆ
จากที่อ่านหนังสือชีวิตธุรกิจของเศรษฐีอเมริกาและอังกฤษหลายๆคน
พบจุดๆหนึ่งที่เกิดสังเวชใจ
ว่าคนเรามีเวลาน้อยเกินไปที่จะอยู่กับความสำเร็จทางโลก
เวลาเครียด เวลาเศร้า เวลาโมโห เวลาหมกมุ่นเรื่องไร้สาระ
รวมกับเวลาที่ฝ่าฟันธุรกิจต่างๆ ถ้าเกิดประสบความสำเร็จ แต่อายุ50ปีต้องตาย
โดยที่ชาติหน้าต้องเป็นคนอื่น ที่ลืมไปหมดแล้วว่าเคยทำอะไรไว้บ้าง
smith_sanguan
Verified User
โพสต์: 3348
ผู้ติดตาม: 0

ธรรมะ ธรรมชาติ

โพสต์ที่ 877

โพสต์

ขอโอกาศพี่พอใจครับ สองข้อครับ

1 ไตรลักษณ์ ไม่ค่อยเห็นครับ เห็นแต่เกิดดับ อันนี้น่าจะ อนัจจัง ทุขก็พอเห็นครับ แต่ อนัตตาจะแนะให้ รู้สึก หรือ ที่หลวงพ่อบอก ให้ นำทางนิดนึง คือยังไงครับ ให้รู้สึกยังไง ว่าไม่มีครับ

2 ถามอีกคำถามครับ ทุข สมุทัย นิโรธ มรรค จะรู้สึกยังไงครับ พร้อมฟังครับ

ขอบพระคุณครับ แม้นงานยุ่งก็ ฝึกเท่าที่มีโอกาศครับ วางก็ฟังหลวงพ่อตรับ
ทุกสิ่งทุกอย่างบนโลก มันก็เป็นเช่นนั้นแล
smith_sanguan
Verified User
โพสต์: 3348
ผู้ติดตาม: 0

ธรรมะ ธรรมชาติ

โพสต์ที่ 878

โพสต์

nanchan เขียน:เหงาที่เมืองไทยนี่มันธรรมดานะ หนาวก็ไม่ค่อยหนาวเท่าไหร่

ผมว่าธรรมดามาก อยู่กับความเหงาไปเรื่อยๆแล้วจะชิน จนผ่านจุดนึงได้จะไม่เหงา

เมื่อใดเหงาจงอย่าโหยหา เพื่อคลายเหงา
ยิ่งโหยหายิ่งยังเหงา ได้แต่เหงา มีแต่เหงา
:lol:
มันเป็นอนิจจัง ไปแล้วครับ สัญญามันตามมาหลอก หลอกเราสำเร็จ แต่เราก็รู้ว่าสัญญา แล้วมันก็หายครับ ถ้าอยากหายเหงามันจะไม่หายครับ เพิ่งรู้ พอรู้ว่าเหงา วันนึงก็หายไป

พี่พอใจ น้องหมอบอกผมเปลี่ยนไป ครับ เค้าเลยเริ่มฟังมั้ง บอก สงสัยฟังน้อยไป เลยไม่ทันผม ตอนนี้ผมดีใจครับ รู้ครับ ผมมีความสุขมากขึ้นมากครับพี่พอใจ ขอบคุณครับ รู้ปัจจุบันบ่อยๆครับ
ทุกสิ่งทุกอย่างบนโลก มันก็เป็นเช่นนั้นแล
ภาพประจำตัวสมาชิก
por_jai
Verified User
โพสต์: 14338
ผู้ติดตาม: 0

ธรรมะ ธรรมชาติ

โพสต์ที่ 879

โพสต์

smith_sanguan เขียน:ขอโอกาศพี่พอใจครับ สองข้อครับ

1 ไตรลักษณ์ ไม่ค่อยเห็นครับ เห็นแต่เกิดดับ อันนี้น่าจะ อนัจจัง ทุขก็พอเห็นครับ แต่ อนัตตาจะแนะให้ รู้สึก หรือ ที่หลวงพ่อบอก ให้ นำทางนิดนึง คือยังไงครับ ให้รู้สึกยังไง ว่าไม่มีครับ

2 ถามอีกคำถามครับ ทุข สมุทัย นิโรธ มรรค จะรู้สึกยังไงครับ พร้อมฟังครับ

ขอบพระคุณครับ แม้นงานยุ่งก็ ฝึกเท่าที่มีโอกาศครับ วางก็ฟังหลวงพ่อตรับ
พอดีผมไปเที่ยวระยองมา
เพิ่งเปิดจอนี่แหละ
มาตอบให้ช้าหน่อย

1.ไตรลักษณ์ เราจะเห็นเองได้ไง
กรูเก่ง กิเลสเก่งกว่า
smith_sanguan
Verified User
โพสต์: 3348
ผู้ติดตาม: 0

ธรรมะ ธรรมชาติ

โพสต์ที่ 880

โพสต์

ขอบคุณพี่พอใจครับ

พี่ ผมอยากรู้ จักรวาลเกิดได้ยังไงครับ หลวงพ่อบอก ในซีดี ว่า หลวงพ่ออะไรนะ จำไม่ได้สอนท่าน ว่าวันนึงจะมาตอบ พวกช่างคิด ไม่รู้ว่า มีไฟร์ไหนที่ หลวงพ่อบอกหรือยังครับ
ทุกสิ่งทุกอย่างบนโลก มันก็เป็นเช่นนั้นแล
smith_sanguan
Verified User
โพสต์: 3348
ผู้ติดตาม: 0

ธรรมะ ธรรมชาติ

โพสต์ที่ 881

โพสต์

หลวงปู่ดูลย์ อตุโล (พ.ศ. ๒๔๓๑ - ๒๕๒๖)
หลวงปู่ฝากไว้
บันทึกคติธรรม และธรรมเทศนา ของพระราชวุฒาจารย์ (หลวงปู่ดูลย์ อตุโล)
รวบรวมและบันทึกไว้โดยพระโพธินันทมุนี วัดบูรพาราม จังหวัดสุรินทร์  
   พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชปุจฉาว่า หลวงปู่การละกิเลสนั้นควรละกิเลสอะไรก่อน ฯลฯ
    กิเลสทั้งหมดเกิดรวมอยู่ที่จิต ให้เพ่งมองดูที่จิต อันไหนเกิดก่อนให้ละอันนั้นก่อน
    และทรงมีพระดำรัสคำสุดท้ายว่า ขออาราธนาหลวงปู่ดำรงขันธ์อยู่เกินร้อยปี เพื่อเป็นที่เคารพนับถือของปวงชนทั่วไป หลวงปู่ รับได้ไหม
   อาตมาภาพ รับไม่ได้หรอก แล้วแต่สังขารจะเป็นไปของเขาเอง ฯลฯ
   (เมื่อ ๑๘ ธันวาคม ๒๕๒๒)
   จิตที่ส่งออกนอก เป็นสมุทัย ผลอันเกิดจากจิตที่ส่งออกนอก เป็นทุกข์ จิตเห็นจิตเป็นมรรค ผลอันเกิดจากจิตเห็นจิต เป็นนิโรธ
    ผู้ที่เขาตรัสรู้แล้วเขาไม่พูดว่าเขารู้แล้วซึ่งอะไร เพราะสิ่งนั้นมันอยู่เหนือคำพูดทั้งหมด
    ภิกษุผู้อยู่ด้วยความประมาท คอยนับจำนวนศีลของตนแต่ในตำราคือมีความพอใจภูมิใจกับจำนวนศีลที่มีอยู่ในคัมภีร์ ว่าตนนั้นมีศีลถึง ๒๒๗ส่วนที่ตั้งใจปฏิบัติให้ได้นั้น จะมีสักกี่ข้อ
    ผู้ปฏิบัติกรรมฐานทำสมาธิภาวนาเห็นนิมิต เห็นนรกสวรรค์ วิมานเทวดา หรือองค์พระพุทธรูป สิ่งที่เห็นนั้นเขาเห็นจริง แต่สิ่งที่ถูกเห็นนั้นไม่จริงฯลฯ
    ๑๐๐ นิมิต บางอย่างมันก็สนุกดี น่าเพลิดเพลินอยู่หรอก แต่ถ้าติดอยู่แค่นั้น มันก็เสียเวลาเปล่า วิธีละได้ง่ายๆ ก็คือ อย่าไปดูสิ่งที่ถูกเห็นเหล่านั้นให้ดูผู้เห็น แล้วสิ่งที่อยากเห็น ก็จะหายไปเอง ฯลฯ
    สิ่งที่ปรากฏเห็นทั้งหมด นั้นยังเป็นของภายนอกทั้งสิ้น จะนำเอามาเป็นสาระที่พึ่งอะไรยังไม่ได้หรอก
    คิดเท่าไหร่ก็ไม่รู้ แต่เมื่อหยุดคิดจึงได้รู้ แต่ต้องอาศัยความคิดนั่นแหละ จึงรู้ ฯลฯ คนสมัยนี้เขาเป็นทุกข์เพราะความคิด
    ทั้งส่งเสริมทั้งทำลาย (โอวาทเตือนพระธรรมทูต เมื่อเดือนมีนาคม๒๕๐๗)
    ท่านทั้งหลาย การที่จะออกจาริกไปเพื่อเผยแผ่พระศาสนานั้น เป็นได้ทั้งส่งเสริมและทำลายพระศาสนา ที่ว่าเช่นนี้ เพราะองค์ธรรมทูตนั้นแหละตัวสำคัญ คือ เมื่อไปแล้วประพฤติตัวเหมาะสม มีสมณะสัญญาจริยาวัตรงดงามตามสมณวิสัย ผู้พบเห็นหากยังไม่เลื่อมใสก็จะเกิดความเลื่อมใสขึ้น ส่วนผู้ที่เลื่อมใสแล้ว ก็ยิ่งเพิ่มความเลื่อมใสยิ่งขึ้นเข้าไปอีก ส่วนองค์ที่มีความประพฤติและวางตัวตรงกันข้ามนี้ ย่อมทำลายผู้ที่เลื่อมใสแล้ว ให้ถอยศรัทธาลงสำหรับผู้ที่ยังไม่เลื่อมใส ก็ยิ่งถอยห่างออกไปอีก จึงขอให้ทุกท่าน จงเป็นผู้พร้อมไปด้วยความรู้และความประพฤติไม่ประมาท สอนเขาอย่างไร ตนเองต้องทำอย่างนั้นให้ได้เป็นตัวอย่างด้วย
    ที่เราสร้างโบสถ์ สร้างศาลาใหญ่โตนี้ ก็เพื่อประโยชน์ส่วนรวมประโยชน์สำหรับโลก สำหรับวัดวาศาสนาเท่านั้นแหละ ถ้าจะพูดถึงเอาบุญเราจะมาเอาบุญอะไรอย่างนี้
    ในทางโลกมีสิ่งที่มี ในทางธรรมมีสิ่งที่ไม่มี
    ฯลฯ อันโทษทัณฑ์ทางกาย อาจมีคนอื่นช่วยปลดปล่อยได้บ้างส่วนโทษทางใจ มีกิเลสตัณหา เป็นเครื่องรัดรึงไว้นั้น ต้องรู้จักปลดปล่อยตนด้วยตนเอง
   พระอริยเจ้าทั้งหลาย ท่านพ้นแล้วจากโทษทั้งสองทาง ความทุกข์จึงครอบงำไม่ได้
    การภาวนาต้องกำหนดดูที่ลมหายใจ ถ้ามีเวลาสำหรับหายใจ ก็ ต้องมีเวลาสำหรับภาวนา
   ไม่มีใครตัดความโกรธได้หรอก มีแต่รู้ทัน เมื่อรู้ทัน มันก็ดับไปเอง
    ให้ดูจิตที่จิต อย่าส่งจิตออกนอก
   เขี้ยวหมูตัน เขี้ยวเสือหรือนอแรด มันไม่มีดี ไม่มีวิเศษอะไรหรอกเป็นของสัตว์เดรัจฉานเหมือนกัน
    เรื่องของพระวินัยนั้น ให้ศึกษาอ่านตำรับตำราให้เข้าใจให้ถูกต้องทุกข้อมูล เพื่อปฏิบัติไม่ให้ผิด ส่วนธรรมะนั้น ถ้าอ่านมาก ก็จะมีวิตกวิจารณ์มากจึงไม่ต้องอ่านก็ได้ ขอให้ตั้งใจปฏิบัติเอา เพียงอย่างเดียวก็พอ
   ฯลฯ ตื่นอาจารย์ ฯลฯ การไปหลายสำนัก หลายอาจารย์ การปฏิบัติจะไม่ได้ผล เพราะการเดินหลายสำนักนี้ คล้ายกับการเริ่มต้นปฏิบัติใหม่ไปเรื่อยไม่ได้หลักธรรมแน่นอน บางทีเกิดความลังเล งวยงง จิตก็ไม่มั่นคง การปฏิบัติก็เสื่อม ไม่เจริญคืบหน้าต่อไป
    ผู้ใดหลงใหลในตำราและอาจารย์ ผู้นั้นไม่อาจพ้นจากทุกข์ได้ แต่ผู้ที่จะพ้นทุกข์ได้ ต้องอาศัยตำราและอาจารย์เหมือนกัน
    ถึงจิตไม่สงบ ก็ไม่ควรให้มันออกไปไกล ใช้สติระลึกไปแต่ในกายนี้ดูให้เห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา อสุภสัญญา หาสาระแก่นสารไม่ได้ เมื่อจิตมองเห็นชัดแล้ว จิตก็จะเกิดความสลด สังเวช เกิดนิพพิทา ความหน่ายคลายกำหนัด ย่อมตัดอุปาทานขันธ์ ได้เช่นเดียวกัน
   หลักธรรมที่แท้จริงนั้นคือ จิต ให้กำหนดดูจิต ให้เข้าใจจิตตัวเองให้ลึกซึ้ง เมื่อเข้าใจจิตตัวเองได้ลึกซึ้งแล้ว นั่นแหละ ได้แล้วซึ่งหลักธรรม
    คำสอนของพระพุทธองค์มีมากมายถึง ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ เป็นเพียงอุบาย ให้คนทั้งหลายหันมาดูจิตนั่นเอง เพราะกิเลสมีมากมาย แต่ทางดับทุกข์ได้ มีทางเดียวคือ พระนิพพาน
    ปัญญาภายนอก คือ ปัญญาสมมติ ไม่ทำจิตให้แจ้ง ฯลฯ ต้องอาศัยปัญญา อริยมรรค จึงจะเข้าถึงพระนิพพานได้
    ความรู้ของนักวิทยาศาสตร์ เช่น ไอน์สไตน์ มีความรู้มาก มีความสามารถมาก แยกปรมาณูที่เล็กที่สุด จนเข้าถึงมิติที่สี่แล้ว แต่ไอน์สไตน์ไม่รู้จักพระนิพพาน จึงเข้าถึงพระนิพพานไม่ได้
    บุคคลไม่ควรเศร้าโศก อาศัยอาวรณ์ถึงสิ่งนอกกายทั้งหลาย ที่มันผ่านพ้นไปแล้ว มันหมดไปแล้ว เพราะสิ่งเหล่านั้น มันได้ทำหน้าที่ของมันอย่างถูกต้องโดยสมบูรณ์ที่สุดแล้ว
   สัจธรรมทั้งหมดมีอยู่ประจำโลกอยู่แล้ว พระพุทธเจ้าตรัสรู้สัจธรรมนั้นแล้ว ก็นำมาสั่งสอนสัตว์โลก เพราะอัธยาศัยของสัตว์ไม่เหมือนกัน หยาบบ้าง ประณีตบ้าง พระองค์จึงเปลืองคำสอนไว้มาก ถึง ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ฯลฯ
   ฯลฯ เมื่อบำเพ็ญสมาธิภาวนาได้ จนจิตเข้าถึงอัปปนาสมาธิ ให้อาศัยพลังอัปปนาสมาธินั่นแหละ มาตรวจสอบจิต แล้วปล่อยวางอารมณ์ทั้งหมดอย่าให้เหลืออยู่
    ฯลฯ การปล่อยวางอารมณ์นั้น แม้ว่าปล่อยวางได้ชั่วขณะหนึ่งไม่นานนั้น ถ้าสังเกตจิตไม่ดีหรือสติไม่สมบูรณ์เต็มที่แล้ว ก็อาจเป็นไปได้ว่าละจากอารมณ์หยาบไปอยู่กับอารมณ์ละเอียดก็ได้ จึงต้องหยุดความคิดทั้งปวงเสีย แล้วตั้งจิตให้อยู่บนความไม่มีอะไรเลย)
    ถ้าบริโภคผัก จิตใจสงบเย็นดี ก็ดีทีเดียวแหละ ขออนุโมทนาด้วยส่วนท่านที่ยังฉันมังสะอยู่ หากมังสะเหล่านั้น เป็นของบริสุทธิ์ โดยส่วนสามคือไม่ได้เห็น ไม่ได้ยิน ไม่สงสัยว่าเขาฆ่าเพื่อเจาะจงให้เรา และได้มาด้วยความบริสุทธิ์ ก็ไม่ผิดธรรมวินัย ฯลฯ ที่ว่าจิตสงบเยือกเย็นดีนั้น ก็เป็นผลเกิดจากพลังของการตั้งใจปฏิบัติให้ถูกต้องตามพระธรรมวินัย ไม่เกี่ยวกับอาหารใหม่อาหารเก่า ที่อยู่ในท้องเลย
    อย่าให้จิตแล่นไปสู่อารมณ์ภายนอก ถ้าเผลอ เมื่อรู้ตัว ให้รีบดึงกลับมา อย่าปล่อยให้มันรู้อารมณ์ดี หรือชั่ว สุขหรือทุกข์ ไม่คล้อยตามและไม่หักหาญ
   ฯลฯ ที่ใจไม่สงบก็ให้รู้ว่ามันไม่สงบ เพราะอยากสงบ มันจึงไม่สงบให้พยายามภาวนาไปเรื่อยๆ ไปเถอะ สักวันหนึ่ง ก็จะได้สงบตามต้องการ
    ฯลฯ บอกให้หยุดคิด หยุดนึก กลับไปคิดที่จะหยุดคิดเสียอีกเล่าแล้วอาการหยุด จะอุบัติขึ้นได้อย่างไร เลิกล้มความคิดที่จะหยุดคิดเสียก็สิ้นเรื่อง    

   การศึกษาธรรม ด้วยการอ่านการฟัง สิ่งที่ได้คือ สัญญาความจำแต่การศึกษาด้วยการลงมือปฏิบัติ ผลของการปฏิบัติได้ คือ ภูมิธรรม
    ฯลฯ ทุกสิ่งทุกอย่างออกจากจิต อยากรู้อะไรค้นได้ที่จิต
    สิ่งใดที่สามารถรู้ได้ สิ่งนั้นเป็นของโลก สิ่งใดไม่มีอะไรจะรู้ได้สิ่งนั้นคือธรรม โลกมีของคู่อยู่เป็นนิจ แต่ธรรมเป็นของสิ่งเดียวรวด
   ฯลฯ นิพพาน คือการไม่มีอะไรจะถึง และไม่มีอะไรจะไม่ถึง
    การปฏิบัติทั้งหลาย ก็เพื่อเมื่อถึงการที่จะตาย ให้ทำจิตให้เป็นหนึ่งแล้วหยุดเพ่ง ปล่อยวางทั้งหมด
    มัวสนใจอะไรกับแสงเสียงอึกทึก ธรรมดาแสงย่อมสว่าง ธรรมดาเสียงย่อมดัง หน้าที่ของมัน เป็นเช่นนั้นเอง ไม่ใส่ใจฟังเสียก็หมดเรื่อง ฯลฯ
    เทวดาจะมาชุมนุมกันกี่ล้านโกฏิ ก็ไม่มีปัญหาอะไร เพราะหนึ่งปรมาณูเทวดาอยู่ได้ถึงแปดองค์
   ฯลฯ ไก่กับไข่ ก็เกิดพร้อมกันนั่นแหละ ฯลฯ
   ฯลฯ การปฏิบัติ ไม่ใช่ให้เห็นสวรรค์วิมาน หรือแม้แต่พระนิพพานเพราะพระนิพพานมันเป็นของว่าง ไม่มีตัวตน หาที่ตั้งไม่มี หาที่เปรียบไม่ได้ปฏิบัติไปจึงจะรู้เอง
   ฯลฯ พูดถึงความสุขในสมาธิ มันก็สุขจริงๆ จะเอาอะไรมาเปรียบไม่ได้ แต่ถึงคิดอยู่เท่านั้น มันก็ได้แค่นั้นแหละ ไม่เกิดปัญญา ตัดภพชาติตัณหาอุปาทาน ให้ละสุขนั้นเสียก่อน แล้วพิจารณาขันธ์ห้า ให้แจ่มแจ้งต่อไป
    จิตปุถุชนเดาเรื่องมรรคผลนิพพาน ก็ไม่ต่างอะไรกับปลา (ปลาถามเต่าว่า เอ..บนบกลึกไหม? มีคลื่นมากไหม?)
    พระบางองค์ มัวแต่ตั้งใจรักษาศีล ๒๒๗ จนลืมรักษาศีล ๕
    เรื่องพิธีกรรม หรือบุญกิริยาวัตถุต่างๆ ทั้งหลาย ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ยังให้เกิดกุศลได้อยู่ แต่นักปฏิบัติอาจถือได้ว่า เป็นไปเพื่อกุศลเพียงนิดหน่อยเท่านั้นเอง
    ฯลฯ สังขารร่างกาย เมื่ออาศัยมันไม่ได้ ก็ปล่อยทิ้งไปเลย เท่านั้นแหละ
    เวทนากับร่างกายนั้น มีอยู่ตามธรรมชาติของมัน แต่ไม่เสวยเวทนานั้นเลย
    มีเวลาเท่าไหร่ ให้ปฏิบัติเมื่อนั้น การฝึกจิต พิจารณาจิต เป็นวิธีลัดที่สุด
    ฯลฯ อันที่จริง พระอรหันต์ทั้งหลาย ท่านไม่ได้รู้อะไรมากมายเลยเพียงแต่เจริญจิตให้รู้ขันธ์ห้าแทงตลอด ในปฏิจจสมุปบาท หยุดการปรุงแต่งหยุดการแสวงหา หยุดกิริยาจิต มันก็จบแค่นั้น เหลือแต่บริสุทธิ์ สะอาด สว่างว่าง มหาสุญญตา ว่างมหาศาล ฯลฯ ไม่มีอะไรเสีย ไม่ยึดถืออะไรสักอย่าง
    ฯลฯ ภาวะอันนั้น จะเรียกว่า มหาสุญญตาหรือ จักรวาลเดิม หรือเรียกว่าพระนิพพาน อย่างใดอย่างหนึ่ง เราปฏิบัติมาก็เพื่อเข้าถึงภาวะอันนั้นเอง
   วจีสังขารคือวาจาของหลวงปู่ ก็สิ้นสุดลงเพียงแค่นี้ (หลวงปู่ปล่อยวางสังขาร เมื่อ ๓๐ ตุลาคม ๒๕๒๖ เวลา ๐๔.๑๓ น. อ
ทุกสิ่งทุกอย่างบนโลก มันก็เป็นเช่นนั้นแล
smith_sanguan
Verified User
โพสต์: 3348
ผู้ติดตาม: 0

ธรรมะ ธรรมชาติ

โพสต์ที่ 882

โพสต์

ไก่ กับ ไข่เกิดพร้อมกัน ครับ
ทุกสิ่งทุกอย่างบนโลก มันก็เป็นเช่นนั้นแล
smith_sanguan
Verified User
โพสต์: 3348
ผู้ติดตาม: 0

ธรรมะ ธรรมชาติ

โพสต์ที่ 883

โพสต์

วิธีเจริญจิตภาวนา
(หลวงปู่ดูลย์ อตุโล)  
   วิธีเจริญจิตภาวนาตามแนวการสอนของ หลวงปู่ดูลย์ อตุโล

    ๑. เริ่มต้นอิริยาบถที่สบาย ยืน เดิน นั่ง นอน ได้ตามสะดวกทำความรู้ตัวเต็มที่ และรู้อยู่กับที่ โดยไม่ต้องรู้อะไร คือรู้ตัวอย่างเดียว
    รักษาจิตเช่นนี้ไว้เรื่อยๆให้ รู้อยู่เฉยๆ ไม่ต้องไปจำแนกแยกแยะอย่าบังคับ อย่าพยายาม อย่าปล่อยล่องลอยตามยถากรรม
    เมื่อรักษาได้สักครู่ จิตจะคิดแส่ไปในอารมณ์ต่าง ๆ โดยไม่มีทางรู้ทันก่อน เป็นธรรมดาสำหรับผู้ฝึกใหม่ ต่อเมื่อจิตแล่นไปในอารมณ์นั้นๆ จนอิ่มแล้วก็จะรู้สึกตัวขึ้นมาเอง เมื่อรู้สึกตัวแล้ว ให้พิจารณาเปรียบเทียบภาวะของตนเองระหว่างที่มีความรู้อยู่กับที่ และระหว่างที่จิตคิดไปในอารมณ์ ว่ามีความแตกต่างกันอย่างไร เพื่อเป็นอุบายสอนจิตให้จดจำ
    จากนั้นค่อยรักษาจิตให้อยู่ในสภาวะรู้อยู่กับที่ต่อไป ครั้นพลั้งเผลอรักษาไม่ดีพอ จิตก็จะแล่นไปเสวยอารมณ์ข้างนอกอีก จนอิ่มแล้วก็จะกลับรู้ตัวรู้ตัวแล้วก็พิจารณาและรักษาจิตต่อไป
    ด้วยอุบายอย่างนี้ไม่นานนักก็จะสามารถควบคุมจิตได้และบรรลุสมาธิในที่สุด และจะเป็นผู้ฉลาดใน พฤติแห่งจิต โดยไม่ต้องไปปรึกษาหารือใคร
    ข้อห้าม ในเวลาที่จิตฟุ้งเต็มที่ อย่าทำเพราะไม่มีประโยชน์ และยังทำให้บั่นทอนพลังความเพียร ไม่มีกำลังใจ ในการเจริญจิตครั้งต่อไป
    ในกรณีที่ไม่สามารถทำเช่นนี้ ให้ลองนึกคำว่า พุทโธ หรือคำอะไรก็ได้ที่ไม่เป็นเหตุเย้ายวน หรือเป็นเหตุขัดเคืองใจ นึกไปเรื่อยๆ แล้วสังเกตดูว่า คำที่นึกนั้นชัดที่สุดที่ตรงไหน ที่ตรงนั้นหละคือฐานแห่งจิต
   พึงสังเกตว่า ฐานนี้ไม่อยู่คงที่ตลอดกาล บางวันอยู่ที่หนึ่งบางวันอยู่อีกที่หนึ่ง
    ฐานแห่งจิตที่คำนึงพุทโธปรากฏชัดที่สุดนี้ ย่อมไม่อยู่ภายนอกกายแน่นอน ต้องอยู่ภายในกายแน่ แต่เมื่อพิจารณาดูให้ดีแล้ว จะเห็นว่าฐานนี้จะว่าอยู่ที่ส่วนไหนของร่างกายก็ไม่ถูก ดังนั้น จะว่าอยู่ภายนอกก็ไม่ใช่ จะว่าอยู่ภายในก็ไม่เชิง เมื่อเป็นเช่นนี้ แสดงว่าได้กำหนดถูกฐานแห่งจิตแล้ว
    เมื่อกำหนดถูก และพุทโธปรากฏในมโนนึกชัดเจนดี ก็ให้กำหนดนึกไปเรื่อย อย่าให้ขาดสายได้ ถ้าขาดสายเมื่อใดจิตก็จะแล่นสู่อารมณ์ทันที
    เมื่อเสวยอารมณ์อิ่มแล้ว จึงจะรู้สึกตัวเองก็ค่อยๆ นึกพุทโธต่อไปด้วยอุบายวิธีในทำนองเดียวกับที่กล่าวไว้เบื้องต้นในที่สุดก็จะค่อยๆ ควบคุมจิตให้อยู่ในอำนาจกได้เอง
    ข้อควรจำ : ในการกำหนดจิตนั้น ต้องมีเจตจำนงแน่วแน่ ในอันที่จะเจริญจิตให้อยู่ในสภาวะที่ต้องการ
    เจตจำนงนี้คือตัว ศีล
    การบริกรรม พุทโธ เปล่าๆ โดยไร้เจตจำนงไม่เกิดประโยชน์อะไรเลย กลับเป็นเครื่องบั่นทอนความเพียร ทำลายกำลังใจในการเจริญจิตในคราวต่อๆ ไป
    แต่ถ้าเจตจำนงมั่นคง การเจริญจิตจะปรากฏผลทุกครั้งไม่มากก็น้อยอย่างแน่นอน
    ดังนั้น ในการนึก พุทโธ การเพ่งเล็ง สอดส่องถึงความชัดเจนและความไม่ขาดสายของพุทโธ จะต้องเป็นไปด้วยความไม่ลดละ
    เจตจำนงที่มีอยู่อย่างไม่ลดละนี้ หลวงปู่เคยเปรียบไว้ว่ามีลักษณะการประหนึ่งบุรุษหนึ่งจดจ้องสายตาอยู่ที่คมดาบที่ข้าศึกเงื้อขึ้นสุดแขนพร้อมที่จะฟันลงมา บุรุษผู้นั้นจดจ้องคอยทีอยู่ว่า ถ้าคมดาบนั้นฟาดฟันลงมา ตนจะหลบหนีประการใดจึงจะพ้นอันตราย
    เจตจำนงต้องแน่วแน่เห็นปานนี้ จึงจะยังสมาธิให้บังเกิดได้ ไม่เช่นนั้นอย่าทำให้เสียเวลา และบั่นทอนความศรัทธาตนเองเลย
    เมื่อจิตค่อยๆ หยั่งลงสู่ความสงบทีละน้อยๆ อาการที่จิตแล่นไปสู่อารมณ์ภายนอก ก็ค่อยๆ ลดความรุนแรงลง ถึงไปก็ไปประเดี๋ยวประด๋าว ก็รู้สึกตัวได้เร็ว ถึงตอนนี้คำบริกรรมพุทโธก็จะขาดไปเอง เพราะคำบริกรรมนั้นเป็นอารมณ์หยาบ เมื่อจิตล่วงพ้นอารมณ์หยาบและคำบริกรรมขาดไปแล้ว ไม่ต้องย้อนถอยมาบริกรรมอีก เพียงรักษาจิตไว้ในฐานที่กำหนดเดิมไปเรื่อยๆและสังเกตดูความรู้สึกและ พฤติแห่งจิต ที่ฐานนั้นๆ
    บริกรรมเพื่อรวมจิตให้เป็นหนึ่ง สังเกตดูว่า ใครเป็นผู้บริกรรมพุทโธ
    ๒. ดูจิตเมื่ออารมณ์สงบแล้ว ให้สติจดจ่ออยู่ที่ฐานเดิมเช่นนั้น เมื่อมีอารมณ์อะไรเกิดขึ้น ก็ให้ละอารมณ์นั้นทิ้งไป มาดูที่จิตต่อไปอีก ไม่ต้องกังวลใจพยายามประคับประคองรักษาให้จิตอยู่ในฐานที่ตั้งเสมอๆ สติคอยกำหนดควบคุมอยู่อย่างเงียบๆ (รู้อยู่) ไม่ต้องวิจารณ์กิริยาจิตใดๆ ที่เกิดขึ้น เพียงกำหนดรู้แล้วละไปเท่านั้น เป็นไปเช่นนี้เรื่อยๆ ก็จะค่อยๆ เข้าใจกิริยาหรือพฤติแห่งจิตได้เอง (จิตปรุงกิเลส หรือกิเลสปรุงจิต)
   ทำความเข้าใจในอารมณ์ความนึกคิด สังเกตอารมณ์ทั้งสาม คือราคะ โทสะ โมหะ
   ๓. อย่าส่งจิตออกนอก กำหนดรู้อยู่ในอารมณ์เดียวเท่านั้น อย่าให้ซัดส่ายไปในอารมณ์ภายนอก เมื่อจิตเผลอคิดไปก็ให้ตั้งสติระลึกถึงฐานกำหนดเดิม รักษาสัมปชัญญะให้สมบูรณ์อยู่เสมอ (รูปนิมิตให้ยกไว้ ส่วนนามนิมิตทั้งหลายอย่าได้ใส่ใจกับมัน)
    ระวังจิตไม่ให้คิดเรื่องภายนอก สังเกตการณ์หวั่นไหวของจิตตามอารมณ์ที่รับมาทางอายตนะ ๖
   ๔. จงทำญาณให้เห็นจิต เหมือนดั่งตาเห็นรูป เมื่อเราสังเกตกิริยาจิตไปเรื่อยๆ จนเข้าใจถึงเหตุปัจจัยของอารมณ์ความนึกคิดต่างๆ ได้แล้ว จิตก็จะค่อยๆ นึกเท่าทันการเกิดของอารมณ์ต่างๆ อารมณ์ความนึกคิดต่างๆก็จะค่อยๆ ดับไปเรื่อยๆ จนจิตว่างจากอารมณ์ แล้วจิตก็จะเป็นอิสระ อยู่ต่างหากจากเวทนาของรูปกาย อยู่ที่ฐานกำหนดเดิมนั่นเอง การเห็นนี้เป็นการเห็นด้วยปัญญาจักษุ
    คิดเท่าไหร่ก็ไม่รู้ ต่อเมื่อหยุดคิดจึงรู้ แต่ต้องอาศัยการคิด
   ๕. แยกรูปถอด ด้วยวิชชา มรรคจิต เมื่อสามารถเข้าใจได้ว่า จิตกับ กาย อยู่คนละส่วนได้แล้ว ให้ดูที่จิตต่อไปว่า ยังมีอะไรหลงเหลืออยู่ที่ฐานกำหนด (จิต) อีกหรือไม่ พยายามให้สติสังเกตดูที่ จิต ทำความสงบอยู่ในจิตไปเรื่อยๆ จนสามารถเข้าใจ พฤติของจิต ได้อย่างละเอียดลออตามขั้นตอน เข้าใจในความเป็นเหตุเป็นผลกันว่า เกิดจากความคิดมันออกไป จากจิตนี้เอง ไปหาปรุงหาแต่ง หาก่อ หาเกิด ไม่มีที่สิ้นสุด มันเป็นมายาหลอกลวงให้คนหลง แล้วจิตก็จะเพิกถอนสิ่งที่มีอยู่ในจิตไปเรื่อยๆ จนหมด หมายถึงเจริญจิตจนสามารถเพิกรูปปรมาณูวิญญาณที่เล็กที่สุดภายในจิตได้
   คำว่า แยกรูปถอด นั้น หมายความถึงแยกรูปวิญญาณ นั่นเอง
    ๖. เหตุต้องละ ผลต้องละ เมื่อเจริญจิตจนปราศจากความคิดปรุงแต่งได้แล้ว (ว่าง) ก็ไม่ต้องอิงอาศัยกับกฎเกณฑ์แห่งความเป็นเหตุเป็นผลใดๆ ทั้งสิ้น จิตก็อยู่เหนือภาวะแห่งคลองความนึกคิดต่างๆ อยู่เป็นอิสระจากสิ่งใด ๆ ครอบงำอำพรางทั้งสิ้น เรียกว่า สมุจเฉทธรรมทั้งปวง
   ๗. ใช้หนี้ ก็หมด พ้นเหตุเกิด เมื่อเพิกรูปปรมาณูที่เล็กที่สุดเสียได้ กรรมชั่วที่ประทับ บรรจุ บันทึก ถ่ายภาพติดอยู่กับรูปปรมาณูนั้น ก็หมดโอกาสที่จะให้ผลต่อไปในเบื้องหน้า การเพิ่มหนี้ก็เป็นอันสะดุดหยุดลง เหตุปัจจัยภายนอกภายในที่มากระทบ ก็เป็นสักแต่ว่ามากระทบ ไม่มีผลสืบเนื่องต่อไป หนี้กรรมชั่วที่ได้ทำไว้ตั้งแต่ชาติแรก ก็เป็นอันได้รับการชดใช้หมดสิ้น หมดเรื่องหมดราวหมดพันธะผูกพันที่ต้องเกิดมาใช้หนี้กรรมกันอีกเพราะกรรมชั่วอันเป็นเหตุให้ต้องเกิดอีกไม่อาจให้ผลต่อไปได้ เรียกว่าพ้นเหตุเกิด
   ๘. ผู้ที่ตรัสรู้แล้ว เขาไม่พูดหรอกว่า เขารู้อะไร เมื่อธรรมทั้งหลายได้ถูกถ่ายทอดไปแล้ว สิ่งที่เรียกว่า ธรรม จะเป็นธรรมไปได้อย่างไร สิ่งที่ว่าไม่มีธรรม นั่นแหละมันเป็นธรรมของมันในตัว (ผู้รู้น่ะจริง แต่สิ่งที่รู้ทั้งหลายนั้นไม่จริง)
 


    เมื่อจิตว่างจาก พฤติ ต่างๆ แล้ว จิตก็จะถึงความว่างที่แท้จริงไม่มีอะไรให้สังเกตได้อีกต่อไป จึงทราบได้ว่าแท้ที่จริงแล้ว จิตนั้นไม่มีรูปร่างมันรวมอยู่กับาความว่าง ในความว่างนั้น ไม่มีขอบเขต ไม่มีประมาณ ซาบซึมอยู่ในสิ่งทุกๆ สิ่ง และจิตกับผู้รู้เป็นสิ่งเดียวกัน
   เมื่อจิตกับผู้รู้เป็นสิ่งเดียวกัน และเป็นความว่าง ก็ย่อมไม่มีอะไรที่จะให้อะไรหรือให้ใครรู้ถึง ไม่มีความเป็นอะไรจะไปรู้สภาวะของอะไรไม่มีสภาวะของใคร จะไปรู้ความมีความเป็นของอะไร
   เมื่อเจริญจิตจนเข้าถึงสภาวะเดิมแท้ของมันได้ดังนี้แล้ว จิตเห็นจิตอย่างแจ่มแจ้ง จิตก็จะอยู่เหนือสภาวะสมมุติบัญญัติทั้งปวง เหนือความมีความเป็นทั้งปวง มันอยู่เหนือคำพูด และพ้นไปจากการกล่าวอ้างใดๆ ทั้งสิ้นเป็นธรรมชาติอันบริสุทธิ์และสว่าง รวมกันเข้ากับความว่างอันบริสุทธิ์และสว่างของจักรวาล เดินเข้าเป็นหนึ่งเรียกว่า นิพพาน
   โดยปกติ คำสอนธรรมะของ หลวงปู่ดูลย์ อตุโล นั้นเป็นแบบปริศนาธรรม มิใช่เป็นการบรรยายธรรม ฉะนั้นคำสอนของท่านจึงสั้น จำกัดในความหมายของธรรม เพื่อไม่ให้เฝือหรือฟุ่มเฟือยมากนัก เพราะจะทำให้สับสน เมื่อผู้ใดเป็นผู้ปฏิบัติธรรม เขาย่อมเข้าใจได้เอง กิริยาอาการของจิตที่เกิดขึ้นนั้นมีมากมายหลายอย่าง ยากที่จะอธิบายให้ได้หมด ด้วยเหตุนั้นหลวงปู่ท่านจึงใช้คำว่า พฤติของจิต แทนกิริยาทั้งหลายเหล่านั้น
    คำว่า ดูจิต อย่าส่งจิตออกนอก ทำญาณให้เห็นจิต เหล่านี้ย่อมมีความหมายครอบคลุมไปทั้งหมดตลอดองค์ภาวนา แต่เพื่ออธิบายให้เป็นขั้นตอน จึงจัดเรียงให้ดูง่ายเท่านั้น หาได้จัดเรียงไปตามลำดับกระแสการเจริญจิตแต่อย่างใดไม่
   ท่านผู้มีจิตศรัทธาในทางปฏิบัติเมื่อเจริญจิตภาวนาตามคำสอนแล้วตามธรรมดาการปฏิบัติในแนวนี้ ผู้ปฏิบัติจะค่อยๆ มีความรู้ความเข้าใจได้ด้วยตนเองเป็นลำดับๆ ไป เพราะมีการใส่ใจสังเกตและกำหนดรู้ พฤติของจิตอยู่ตลอดเวลา แต่ถ้าหากเกิดปัญหาในระหว่างการปฏิบัติ ควรรีบเข้าหาครูบาอาจารย์ฝ่ายวิปัสสนาธุระโดยเร็ว หากประมาทแล้วอาจผิดพลาดเป็นปัญหาตามมาภายหลัง เพราะคำว่า มรรคปฏิปทา นั้น จะต้องอยู่ใน มรรคจิต เท่านั้น มิใช่มรรคภายนอกต่างๆ นานาเลย
    การเจริญจิตเข้าสู่ที่สุดแห่งทุกข์นั้น จะต้องถึงพร้อมด้วยวิสุทธิศีลวิสุทธิธรรม พร้อมทั้ง ๓ ทวาร คือ กาย วาจา ใจ จึงจะยังกิจให้ลุล่วงถึงที่สุดแห่งทุกข์ได้
อเหตุกจิต ๓ ประการ
หลวงปู่ดูลย์ อตุโล
   ๑. ปัญจทวารวัชนจิต คือ กิริยาที่แฝงอยู่ตามอายตนะ หรือทวารทั้ง๕ มีดังนี้
   ตา ไปกระทบกับรูป เกิด จักษุวิญญาณ คือการเห็น จะห้ามไม่ให้ตาเห็นรูปไม่ได้
    หู ไปกระทบกับเสียง เกิด โสตวิญญาณ คือการได้ยิน จะห้ามไม่ให้หูได้ยินเสียงไม่ได้
   ลิ้น ไปกระทบกับรส เกิด ชิวหาวิญญาณ คือการได้รส จะห้ามไม่ให้ลิ้นรับรู้รสไม่ได้
    จมูก ไปกระทบกับกลิ่น เกิด ฆานะวิญญาณ คือการได้กลิ่นจะห้ามไม่ให้จมูกรับกลิ่นไม่ได้
    กาย ไปกระทบกับโผฏฐัพพะ เกิด กายวิญญาณ คือการสัมผัส จะห้ามไม่ให้กายรับสัมผัสไม่ได้
    วิญญาณทั้ง ๕ อย่างนี้ เป็นกิริยาที่แฝงอยู่ในกายตามทวาร ทำหน้าที่รับรู้สิ่งต่างๆ ที่มากระทบ เป็นสภาวะแห่งธรรมชาติของมันเป็นเช่นนั้น
    ก็แต่ว่าเมื่อจิตอาศัยทวารทั้ง ๕ เพื่อเชื่อมต่อรับรู้เหตุการณ์ภายนอกที่เข้ามากระทบแล้วส่งไปยังสำนักงานจิตกลางเพื่อรับรู้ เราจะห้ามมิให้เกิดมีเป็น เช่นนั้น ย่อมกระทำไม่ได้
    การป้องกันทุกข์ที่จะเกิดจากทวารทั้ง ๕ นั้น เราจะต้องสำรวมอินทรีย์ทั้ง ๕ ไม่เพลิดเพลินในอายตนะเหล่านั้น หากจำเป็นต้องอาศัยอายตนะทั้ง ๕ นั้นประกอบการงานทางกาย ก็ควรจะกำหนดจิตให้ตั้งอยู่ในจิต เช่น เมื่อเห็นก็สักแต่ว่าเห็น ไม่คิดปรุง ได้ยินก็สักแต่ว่าได้ยิน ไม่คิดปรุงดังนี้ เป็นต้น (ไม่คิดปรุง หมายความว่า ไม่ให้จิตเอนเอียงไปในความเห็นดีชั่ว)
    ๒. มโนทวารวัชนจิต คือ กิริยาจิตที่แฝงอยู่ที่มโนทวาร มีหน้าที่ผลิตความคิดนึกต่างๆ นานา คอยรับเหตุการณ์ภายในภายนอกมากระทบจะดีหรือชั่วก็สะสมเอาไว้ จะห้ามจิตไม่ให้คิดในทุกๆ กรณี ย่อมไม่ได้
    ก็แต่ว่าเมื่อจิตคิดปรุงไปในเรื่องราวใดๆ ถึงวัตถุ สิ่งของ บุคคลอย่างไร ก็ให้กำหนดรู้ว่า จิตคิดถึงเรื่องเหล่านั้น ก็สักแต่ว่าความคิด ไม่ใช่สัตว์บุคคล เราเขา ไม่ยึดถือวิจารณ์ความคิดเหล่านั้น ทำความเห็นให้เป็นปกติ ไม่ยึดถือความเห็นใดๆ ทั้งสิ้น จิตย่อมไม่ไหลตามกระแสอารมณ์เหล่านั้น ไม่เป็นทุกข์
   ๓. หสิตุปบาท คือ กิริยาที่จิตยิ้มเอง โดยปราศจากเจตนาที่จะยิ้มหมายความว่าไม่อยากยิ้มมันก็ยิ้มของมันเอง กิริยาจิตอันนี้ มีเฉพาะเหล่าพระอริยเจ้าเท่านั้น ในสามัญชนไม่มี
    สำหรับ อเหตุกจิต ข้อ ๑ และ ๒ มีเท่ากันในพระอริยเจ้าและในสามัญชน นักปฏิบัติธรรมทั้งหลาย เมื่อตั้งใจปฏิบัติตนออกจากกองทุกข์ควรพิจารณา อเหตุกจิต นี้ให้เข้าใจด้วย เพื่อความไม่ผิดพลาดในการบำเพ็ญปฏิบัติธรรม
    อเหตุกจิตนี้ นักปฏิบัติทั้งหลายควรทำความเข้าใจให้ได้ เพราะถ้าไม่เช่นนั้นแล้ว เราจะพยายามบังคับสังขารไปหมด ซึ่งเป็นอันตรายต่อการปฏิบัติธรรมมาก เพราะความไม่เข้าใจในอเหตุกจิต ข้อ ๑ และ ๒ นี้เอง
   อเหตุกจิต ข้อ ๓ เป็นกิริยาจิตที่ยิ้มเองโดยปราศจากเจตนาที่จะยิ้ม เกิดในจิตของเหล่าพระอริยเจ้าเท่านั้น ในสามัญชนไม่มี เพราะกิริยาจิตนี้เป็นผลของการเจริญจิตจนอยู่เหนือมายาสังขารได้แล้ว จิตไม่ต้องติดข้องในโลกมายา เพราะความรู้เท่าทันเหตุปัจจัยแห่งการปรุงแต่งได้แล้ว เป็นอิสระด้วยตัวมันเอง
ทุกสิ่งทุกอย่างบนโลก มันก็เป็นเช่นนั้นแล
smith_sanguan
Verified User
โพสต์: 3348
ผู้ติดตาม: 0

ธรรมะ ธรรมชาติ

โพสต์ที่ 884

โพสต์

อ่านแล้วมึนครับ แต่เอามาฝากครับ
ทุกสิ่งทุกอย่างบนโลก มันก็เป็นเช่นนั้นแล
ภาพประจำตัวสมาชิก
por_jai
Verified User
โพสต์: 14338
ผู้ติดตาม: 0

ธรรมะ ธรรมชาติ

โพสต์ที่ 885

โพสต์

พี่ ผมอยากรู้ จักรวาลเกิดได้ยังไงครับ หลวงพ่อบอก ในซีดี ว่า หลวงพ่ออะไรนะ จำไม่ได้สอนท่าน ว่าวันนึงจะมาตอบ พวกช่างคิด ไม่รู้ว่า มีไฟร์ไหนที่ หลวงพ่อบอกหรือยังครับ
หลวงปู่ดุลย์สอนหลวงพ่อครับ
36วันก่อนท่านละสังขารหรือสังขารละท่านไป
เป็นการสอนครั้งสุดท้ายที่หลวงปู่ทิ้งทวนสอนแก่หลวงพ่อ
ตั้งแต่บ่ายๆยันหัวค่ำ
ดีว่าหลวงพ่อหลบทวนนั้นได้จึงไม่เป็นไร
และยังคงภาวนาต่อมา
จนมาสอนพวกนวชาติศิษย์อย่างผมอีกทอดนึง
ผมเองเวลาไปวัดก็ยังต้องระวังตัวแจอยู่เหมือนกัน
กลัวโดนทวน
เรื่องจักรวาลเิกิดได้อย่างไร
หลวงพ่อไม่เคยเล่าต่อครับ
จบแต่นั้น
แต่ที่สมิทธิยกมาโพสนั้น
อ่านหมดหรือเปล่าครับ
หลวงปู่มีพูดถึงไอสไตน์ด้วยนา
ถ้าสมิทธิอยากรู้คงต้องไปไล่ๆเอาจากที่อีตาไอสไตน์นี่สอนไว้ละม้าง

ผมเคยอ่านมา...ฟังมาว่า
พรหมบางชั้นนั้น
แต่ละภพของท่าน
อยู่นานขนาดจักรวาลเกิดแล้วดับ ดับแล้วเกิด แล้วเกิดแล้วดับ นับไม่ถ้วนเชียว
กรูเก่ง กิเลสเก่งกว่า
smith_sanguan
Verified User
โพสต์: 3348
ผู้ติดตาม: 0

ธรรมะ ธรรมชาติ

โพสต์ที่ 886

โพสต์

อ่านหมดครับ แต่สงสัย รู้ไปก็ไม่ประโยชน์ครับ

ที่หลวงปู่สอน บางอันก้ไม่เข้าใจครับ วันนึงคงจะเข้าใจครับ
ทุกสิ่งทุกอย่างบนโลก มันก็เป็นเช่นนั้นแล
ภาพประจำตัวสมาชิก
vi_tal signs
Verified User
โพสต์: 631
ผู้ติดตาม: 0

ธรรมะ ธรรมชาติ

โพสต์ที่ 887

โพสต์

:)
มันจะมีมูลค่าเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
ภาพประจำตัวสมาชิก
por_jai
Verified User
โพสต์: 14338
ผู้ติดตาม: 0

ธรรมะ ธรรมชาติ

โพสต์ที่ 888

โพสต์

:8) วันนี้มีธรรมมาให้ดาวน์โหลด
     ในส่วนที่หลวงพ่อรับนิมนต์ไปแสดงธรรมนอกวัด
     ล่าสุดเลยครับที่ยุวพุทธิกสมาคม
     ผมโหลดมาฟังแล้ว
     เรียบง่้ายและเป็นขั้นเป็นตอนจากก.ไก่ไปฮ.นกฮูก
     น่าดาวน์โหลดมาฟังมากมายครับผม...
     ใครที่คิดจะทำซีดีแจกพรรคพวก เพื่อนสนิท มิตรสหาย
     แนะนำไฟล์นี้ได้เลยครับ
     ง่ายเป็นขั้นตอนและครบถ้วนขบวนความ
     ฟังแล้วจับใจหลายๆ

http://www.wimutti.net/pramote/
กรูเก่ง กิเลสเก่งกว่า
RONNAPUM
Verified User
โพสต์: 1455
ผู้ติดตาม: 0

ธรรมะ ธรรมชาติ

โพสต์ที่ 889

โพสต์

วันนี้ผม ผมฝึกสมาธิเป็นแล้ว
หาวิหารธรรมเจอแล้ว 55555
แต่ตอนนี้ดี ไม่รู้ พรุ่งนี้จะดีปล่าว 5555

ปล.. ไม่มีไรที่เป็นสาระ แค่ฝึกมาเป็นปี พึ่งหาเจอ  555555
อย่าทำตัวเป็นนักแสดง เป็นเพียงผู้ดูก็พอ..
miracle
Verified User
โพสต์: 18134
ผู้ติดตาม: 0

ธรรมะ ธรรมชาติ

โพสต์ที่ 890

โพสต์

[quote="RONNAPUM"]วันนี้ผม ผมฝึกสมาธิเป็นแล้ว
หาวิหารธรรมเจอแล้ว 55555
แต่ตอนนี้ดี ไม่รู้ พรุ่งนี้จะดีปล่าว 5555

ปล.. ไม่มีไรที่เป็นสาระ แค่ฝึกมาเป็นปี พึ่งหาเจอ
:)
RONNAPUM
Verified User
โพสต์: 1455
ผู้ติดตาม: 0

ธรรมะ ธรรมชาติ

โพสต์ที่ 891

โพสต์

สังเกตปีนี้เป็นปีที่สองแล้ว ปีที่แล้ว อากาศเย็นประมาณเดือนนิดหน่อย ระหว่าง ธันวาคม ถึงมกราคม ช่วงนั้น เป็นช่วงที่สบายๆมาที่สุด
เมื่ออาทิตย์ที่แล้วก็เกิดเหมือนเดิมเลย ซึ่งแปลกมากๆ
งั้นพี่ต้องไปอยู่ญี่ปุ่นนะ  อากาศประมาณนี้  จะได้ภาวนาได้ดี  :D
อย่าทำตัวเป็นนักแสดง เป็นเพียงผู้ดูก็พอ..
miracle
Verified User
โพสต์: 18134
ผู้ติดตาม: 0

ธรรมะ ธรรมชาติ

โพสต์ที่ 892

โพสต์

RONNAPUM เขียน:
งั้นพี่ต้องไปอยู่ญี่ปุ่นนะ
:)
ภาพประจำตัวสมาชิก
กล้วยไม้ขาว
Verified User
โพสต์: 1074
ผู้ติดตาม: 0

ธรรมะ ธรรมชาติ

โพสต์ที่ 893

โพสต์

miracle เขียน:
งั้นพี่ต้องไปอยู่ญี่ปุ่นนะ
f.escape
Verified User
โพสต์: 439
ผู้ติดตาม: 0

ธรรมะ ธรรมชาติ

โพสต์ที่ 894

โพสต์

พรุ่งนี้ วันอาทิตย์ที่ 22 หลวงพ่อปราโมทย์จะมาเทศน์ที่บ้านอารีย์ 9 โมงเช้า ฟังสดได้ที่ www.baanaree.net ค่ะ
ซากคน
Verified User
โพสต์: 1400
ผู้ติดตาม: 0

ธรรมะ ธรรมชาติ

โพสต์ที่ 895

โพสต์

f.escape เขียน:
คำเหล่านี้ น่าขยายความนะ
เราต่างตื่นขึ้นมาทุกวัน เพื่อสร้างผลงานให้ได้ เราควรรู้ว่า ในทุกวันมีอะไรที่ต้องทำเพื่อให้เกิดผลงาน หากการตื่นขึ้นมา ไม่ได้เป็นไปเพื่อผลงาน เราก็ไม่สมควรที่จะตื่นขึ้นมาให้รกหูรกตาคนรอบข้าง
คนเรือ VI
Verified User
โพสต์: 1647
ผู้ติดตาม: 0

ธรรมะ ธรรมชาติ

โพสต์ที่ 896

โพสต์

คำถามว่าเกิดมาทำไม  ตอนสาวมากๆถามตัวเองบ่อย  แต่ไม่ได้คำตอบ เลยได้แต่ถามตัวเองว่าเกิดมาแล้วทำอะไรดีกว่า ได้คำตอบแค่ว่า "ทำงาน"  วันนี้ได้คำตอบแล้วว่าเกิดมาทำไม  เกิดมาทำธุรกิจข้าม (ภพ) ชาติ
ขอสวัสดีเพื่อนร่วมธุรกิจครับ
ขอให้ประสพความสำเร็จในธุรกิจนี้ครับ
คำเหล่านี้เขียนจากความรู้สึกลำดับแรกๆ อยากขยายความเหมือนกัน
ตัวอย่างที่เกิดขึ้นจริงกับตนเอง และสัมพันธ์กับคำเหล่านี้  มีน้อยจนนับครั้งได้
ขอสะสมประสบการณ์ชีวิตมากกว่านี้        

แค่ ไม่กังขา--เป้าหมาย   นี่แค่สะดุดเพียงตัวเดียว
ตัวอื่นๆก็ม้วนเสื่อได้เลย  

ไม่เคยกังขาในเรื่องใดๆเลยคงเป็นไปไม่ได้  ไม่อย่างนั้น หลายคนที่คิดว่า
บินได้อย่างนก ทั้งที่ไม่มีอะไรเลย ต้องพร้อมใจกันโดดหน้าผาเป็นแน่แท้

แต่เรื่องเกิดมาทำไมนี่ ยังตอบเหมือนเดิมว่า ไม่กังขา ครับ

สุดท้ายขอบคุณอาการไข้หวัด 3 วันที่เข้ามารุมเร้าทำให้ผมรักตัวเองมากขึ้น  
คำถามน้อง Voldtest ไม่สามารถหาคำตอบได้ด้วยการคิด หรือ การถกเถียงกันทางปราชญ์ครับ พี่รับประกันได้

พี่เคยเป็นเหมือนน้องนะครับ พี่เคยเป็นคนมีอัตตาสูงมากๆ มีคนชื่นชมเต็มไปหมด ตั้งแต่เรียนจนทำงาน สุดท้ายที่เหลือ คือ อัตตา ไม่มีสุขที่แท้เลย

อัตลักษณ์ สัญญลักษณ์ หรือแม้แต่ อภิชาตบุตร (ที่เราคิดว่าเป็นเป้าหมาย หรือ เพื่อให้คนอื่นนิยมชมชอบเราในคำนั้น) ทุกอย่างเพื่อเสริมสร้าง อัตตา ตัวตน (อัตตลักษณ์ หรือ สัญญลักษณ์ ก็เป็นคำที่เสริมสร้างอัตตาทั้งนั้น)

พี่เริ่มเข้าใจชีวิตก็ไม่นานนี้ เมื่อเริ่มมาเจริญสติ เจริญปัญญา แล้วนี่เอง
ความจริงไม่ได้อยู่ที่ความคิดและความเห็นครับ

ฝากน้อง Voldtest นะครับ พี่อ่านpostของน้องมานานแล้วเหมือนกัน อยากจะ share ประสบการณ์ครับ
. . .
ซากคน
Verified User
โพสต์: 1400
ผู้ติดตาม: 0

ธรรมะ ธรรมชาติ

โพสต์ที่ 897

โพสต์

คนเรือ VI เขียน:
คำถามน้อง Voldtest ไม่สามารถหาคำตอบได้ด้วยการคิด หรือ การถกเถียงกันทางปราชญ์ครับ พี่รับประกันได้

เห็นด้วยครับ  คิดอย่างเดียวแต่ไม่มีแนวทาง ก็เป็นแค่ฝันลมๆแล้งๆ

ผมเพิ่งทำตามแนวทางที่เขียนเสร็จไปไม่กี่สิบวันเอง แค่ 2 ข้อแรกนี่ยังไม่ครบถ้วนเลย  :lol:


พี่เคยเป็นเหมือนน้องนะครับ พี่เคยเป็นคนมีอัตตาสูงมากๆ มีคนชื่นชมเต็มไปหมด ตั้งแต่เรียนจนทำงาน สุดท้ายที่เหลือ คือ อัตตา ไม่มีสุขที่แท้เลย

ถือว่าแชร์ล่ะกันครับ  ตั้งแต่เรียนจนทำงาน รอบข้างเต็มไปด้วยการไม่ยอมรับจากคนรอบข้าง  เพิ่งคิดได้ไม่นานครับว่า ไม่สำเร็จ/สำเร็จ เป็นเรื่องของเรา ไม่เกี่ยวกับคนอื่น

มีคำพูดนึงที่ผมฟังมาและคิดว่ามีเหตุผลพอสมควร
คนที่ไม่รู้จักทุกข์ ก็ไม่น่าจะมีสุขที่แท้ได้
ในเมื่อในกำมือไม่มีอะไรอยู่เลย แล้วจะปล่อยวางได้อย่างไร

อัตลักษณ์ สัญญลักษณ์ หรือแม้แต่ อภิชาตบุตร (ที่เราคิดว่าเป็นเป้าหมาย หรือ เพื่อให้คนอื่นนิยมชมชอบเราในคำนั้น) ทุกอย่างเพื่อเสริมสร้าง อัตตา ตัวตน (อัตตลักษณ์ หรือ สัญญลักษณ์ ก็เป็นคำที่เสริมสร้างอัตตาทั้งนั้น)

ถูกต้องครับ  

พี่เริ่มเข้าใจชีวิตก็ไม่นานนี้ เมื่อเริ่มมาเจริญสติ เจริญปัญญา แล้วนี่เอง
ความจริงไม่ได้อยู่ที่ความคิดและความเห็นครับ

หากการเจริญสติ/ปัญญา  สามารถช่วยให้ผมไปสู่เป้าหมายได้ถูกต้อง แม่นยำขึ้น ผมยินดีครับ  เกิดมาทั้งทีต้องมีความสุข+ความสำเร็จ
ความจริงเป็นผลหลังจากลงมือทำอย่างเต็มที่


ฝากน้อง Voldtest นะครับ พี่อ่านpostของน้องมานานแล้วเหมือนกัน อยากจะ share ประสบการณ์ครับ
ขอบคุณครับ  มานึกดูอีกที ครั้งที่เราทำสำเร็จที่สุด  นั้นจะไม่มีอะไรมาตะขิดตะขวงใจ  ทำให้รู้ว่าได้แน่ๆแบบฟันธง   ในขณะที่สำเร็จแบบธรรมดา/พอเอาตัวรอดได้  มันจะไม่ใช่แบบนี้
เราต่างตื่นขึ้นมาทุกวัน เพื่อสร้างผลงานให้ได้ เราควรรู้ว่า ในทุกวันมีอะไรที่ต้องทำเพื่อให้เกิดผลงาน หากการตื่นขึ้นมา ไม่ได้เป็นไปเพื่อผลงาน เราก็ไม่สมควรที่จะตื่นขึ้นมาให้รกหูรกตาคนรอบข้าง
ภาพประจำตัวสมาชิก
กล้วยไม้ขาว
Verified User
โพสต์: 1074
ผู้ติดตาม: 0

ธรรมะ ธรรมชาติ

โพสต์ที่ 898

โพสต์

Voldtrest เขียน:
แล้วคนที่ใขว่คว้าทุกข์จะเป็นสุขได้อย่างไรครับ  :?:
smith_sanguan
Verified User
โพสต์: 3348
ผู้ติดตาม: 0

ธรรมะ ธรรมชาติ

โพสต์ที่ 899

โพสต์

พี่พอใจ รูปนามแยกยังไงครับ
ทุกสิ่งทุกอย่างบนโลก มันก็เป็นเช่นนั้นแล
miracle
Verified User
โพสต์: 18134
ผู้ติดตาม: 0

ธรรมะ ธรรมชาติ

โพสต์ที่ 900

โพสต์

เหตุการณ์แปลก ไม่ได้เป็นแบบนี้มานานพอควร
คือเมื่อคืนวันศุกร์ นั่งทำงานตั้งแต่เช้ายันตีสามกลับมานอน
ตื่นสายตอนวันเสาร์ง่วนหาวนอน กินชาไปขวดก็ยังไม่ตื่นไปทำงานต่อ
แบบว่า เอาร่างไปทำงาน สมองยังต้องการพักผ่อน
เที่ยงไปนั่งเรียนอะไรเพิ่มเติมนิดหน่อย แต่ตอนที่เรียนดังไม่ง่วนหาวเลย
แถมเกิดสมาธิ แบบว่านิ่งสงบสยบความเคลื่อนไหว รู้หมดว่าอะไรเกิด
สมาธิแบบนี้เกิดจากการเพ่ง เพราะอะไรหรือ มีความรู้สึกถึง ว่าอะไรหนัก กดที่ส่วนหน้าผากและส่วนท้ายทอยเอาไว้ (กลางหัว)
แบบว่าเกิดสติเป็นช่วงๆ มีการรู้และเหลือ
นิ่งแบบนี้ถึงประมาณสองทุ่ม พอออกจากสมาธิแล้ว หมดแรงเลย
ง่วนหาวนอน ตลอดเลย

แบบนี้นานเกินที

ไม่พอ วันอาทิตย์เป็นอีก แต่รอบนี้ผลพลอย
ได้คือ นอนไม่หลับ
อาการแบบนี้ไม่เกิดขึ้นมาเป็นเวลานานนับปีแล้ว
แสดงว่าต้องมีอะไรผิดปกติ ต้องหาก่อนว่าเกิดเพราะอะไร

ทำไมถึงได้เกิดขึ้น สวดมนต์ก็ไม่ค่อยได้สวด นั่งสมาธิก็ไม่ค่อยได้นั่ง
แต่อ่านนิยายกำลังภายในอย่างเดียว

นี้คือสิ่งที่ต้องระวังในการทำสมาธิล่ะครับ

:)
:)