เป็นไปได้ไหมว่า ต่อไปจะไม่มีหุ้นที่ต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง
-
- Verified User
- โพสต์: 455
- ผู้ติดตาม: 0
เป็นไปได้ไหมว่า ต่อไปจะไม่มีหุ้นที่ต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง
โพสต์ที่ 1
ตามที่ศึกษา พบว่าแนวทางการลงทุนแบบ vi การซื้อหุ้นที่ต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง แล้วขายเมื่อราคาขึ้นมาสูงกว่าหรือเท่ากับมูลค่าที่แท้จริง เป็นหลักสำคัญแนวหนึ่งของ การลงทุนแบบ vi ที่ไม่ได้หวังเฉพาะปันผล
แต่คิดไปคิดมาก็เพ้อเจ้อ สงสัยว่า
เป็นไปได้ไหมว่า ต่อไปจะไม่มีหุ้นที่ต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง
ใน อนาคตระยะยาว สมมติว่า
คนมีความรู้มากขึ้น การเข้าถึงข้อมูลได้ครบถ้วนมากขึ้น อ่านหนังสือ ดร. หรือ บัฟเฟต์ หรืออื่นๆ มากขึ้น
ดูและศึกษา web vi กันมากขึ้น
มีกองทุนรวมที่มีวิสัยทัศน์ดีเพิ่มมากขึ้น
ในระดับที่มีนัยยะสำคัญ จนทำให้ราคาหุ้นสะท้อนมูลค่าที่แท้จริง ในระยะสั้นกันได้หมด เกือบทุกตัว หรืออาจเหลือ mos น้อยมาก
ทำให้เหลือแต่หุ้นดี ในราคาที่เหมาะสมแล้ว พอจะลงทุนในระยะยาวเพื่อหวังปันผล หรือ cap.gain นิดๆ หน่อยๆ แค่นั้น
ถ้าจะมาแข่งกันตรงที่วิเคราะห์ อนาคตระยะยาว 3-4 ปี ความเป็นไปได้น้ำหนักจะออกไปในทางเดา(แบบมีหลักการ) และดวงมากกว่า
หรือไม่ก็ต้องรอโอกาสตอนวิกฤติซึ่งไม่มีใครอยากให้เกิด (หรือชาว vi อยาก :?: ) แค่นั้นเอง
จริงๆ ก็ไม่มีสาระอะไร post มาให้ ช่วยคิดกันเล่นๆ :P
แต่คิดไปคิดมาก็เพ้อเจ้อ สงสัยว่า
เป็นไปได้ไหมว่า ต่อไปจะไม่มีหุ้นที่ต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง
ใน อนาคตระยะยาว สมมติว่า
คนมีความรู้มากขึ้น การเข้าถึงข้อมูลได้ครบถ้วนมากขึ้น อ่านหนังสือ ดร. หรือ บัฟเฟต์ หรืออื่นๆ มากขึ้น
ดูและศึกษา web vi กันมากขึ้น
มีกองทุนรวมที่มีวิสัยทัศน์ดีเพิ่มมากขึ้น
ในระดับที่มีนัยยะสำคัญ จนทำให้ราคาหุ้นสะท้อนมูลค่าที่แท้จริง ในระยะสั้นกันได้หมด เกือบทุกตัว หรืออาจเหลือ mos น้อยมาก
ทำให้เหลือแต่หุ้นดี ในราคาที่เหมาะสมแล้ว พอจะลงทุนในระยะยาวเพื่อหวังปันผล หรือ cap.gain นิดๆ หน่อยๆ แค่นั้น
ถ้าจะมาแข่งกันตรงที่วิเคราะห์ อนาคตระยะยาว 3-4 ปี ความเป็นไปได้น้ำหนักจะออกไปในทางเดา(แบบมีหลักการ) และดวงมากกว่า
หรือไม่ก็ต้องรอโอกาสตอนวิกฤติซึ่งไม่มีใครอยากให้เกิด (หรือชาว vi อยาก :?: ) แค่นั้นเอง
จริงๆ ก็ไม่มีสาระอะไร post มาให้ ช่วยคิดกันเล่นๆ :P
เด็กฝึกงาน...
-
- Verified User
- โพสต์: 413
- ผู้ติดตาม: 0
เป็นไปได้ไหมว่า ต่อไปจะไม่มีหุ้นที่ต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง
โพสต์ที่ 3
ผมว่าเป็นไปได้นะ ถ้าฟองสบู่มันพองมากๆๆๆๆๆเข้า
แล้วถามว่าจะทำไง ....ก้อถือเงินสด ไว้เฉยๆ
แล้วตลาดcrash ฟองสบู่แตก หุ้นเริ่มต่ำกว่ามูลค่า ก็เข้าไปซื้อ
คุ้นๆว่าช่วงที่บัฟเฟต์ยังเป็นห้างหุ้นส่วนจำกัด(Buffett partnership) เค้าคืนเงินให้ผู้ถือหน่วยลงทุนแล้วเลิกกิจการ โดยให้เหตุผลว่าหาหุ้นดีราคาถูกซื้อไม่ได้ แล้วพอเกิดวิกฤตไรสักอย่าง เค้าก็กลับมา พร้อมกับมาซื้อเบิร์กไชร์
สรุป ความเห็นส่วนตัว คิดว่า เป็นไปได้ แต่คงไม่เป็นไปตลอด
แล้วถามว่าจะทำไง ....ก้อถือเงินสด ไว้เฉยๆ
แล้วตลาดcrash ฟองสบู่แตก หุ้นเริ่มต่ำกว่ามูลค่า ก็เข้าไปซื้อ
คุ้นๆว่าช่วงที่บัฟเฟต์ยังเป็นห้างหุ้นส่วนจำกัด(Buffett partnership) เค้าคืนเงินให้ผู้ถือหน่วยลงทุนแล้วเลิกกิจการ โดยให้เหตุผลว่าหาหุ้นดีราคาถูกซื้อไม่ได้ แล้วพอเกิดวิกฤตไรสักอย่าง เค้าก็กลับมา พร้อมกับมาซื้อเบิร์กไชร์
สรุป ความเห็นส่วนตัว คิดว่า เป็นไปได้ แต่คงไม่เป็นไปตลอด
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 3653
- ผู้ติดตาม: 0
เป็นไปได้ไหมว่า ต่อไปจะไม่มีหุ้นที่ต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง
โพสต์ที่ 4
มูลค่าแท้จริง มันก็คือเรื่องของคนฉลาดๆ เขาคิดกันครับ
ส่วนราคาตลาดผมว่ามันก็อีกเรื่องนึง
กิจการหนึ่งแห่ง คนฉลาดๆ แต่ละคนยังคำนวณมูลค่าแท้จริงได้ไม่เท่ากันเลยครับ
แล้วนับประสาอะไรกับราคาตลาด
ความจริง VI แต่ละคนลงทุนซื้อหุ้นตัวเดียวกัน
ยังใช้เหตุผลคนละเหตุผลเลยครับ ราคาเดียวกัน VI คนนี้บอกแพงแล้ว
ขายดีกว่า แต่ VI อีกกลับคนบอกว่าราคานี้น่าสนใจ ก็ซื้อรับช่วงจาก VI คนแรกก็มีนะ
ที่แน่นอนที่สุดก็คือความไม่แน่นอน นี่แหละครับ ธรรมดาโลก
เรื่องของราคาตลาด หรือมูลค่าแท้จริง ผมว่ามันก็ไม่ต่างกันหรอกครับ
และที่สำคัญ VI ทั้งสองคน Happy ด้วยกันทั้งคู่ :lol:
ส่วนราคาตลาดผมว่ามันก็อีกเรื่องนึง
กิจการหนึ่งแห่ง คนฉลาดๆ แต่ละคนยังคำนวณมูลค่าแท้จริงได้ไม่เท่ากันเลยครับ
แล้วนับประสาอะไรกับราคาตลาด
ความจริง VI แต่ละคนลงทุนซื้อหุ้นตัวเดียวกัน
ยังใช้เหตุผลคนละเหตุผลเลยครับ ราคาเดียวกัน VI คนนี้บอกแพงแล้ว
ขายดีกว่า แต่ VI อีกกลับคนบอกว่าราคานี้น่าสนใจ ก็ซื้อรับช่วงจาก VI คนแรกก็มีนะ
ที่แน่นอนที่สุดก็คือความไม่แน่นอน นี่แหละครับ ธรรมดาโลก
เรื่องของราคาตลาด หรือมูลค่าแท้จริง ผมว่ามันก็ไม่ต่างกันหรอกครับ
และที่สำคัญ VI ทั้งสองคน Happy ด้วยกันทั้งคู่ :lol:
- sai
- Verified User
- โพสต์: 4090
- ผู้ติดตาม: 2
เป็นไปได้ไหมว่า ต่อไปจะไม่มีหุ้นที่ต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง
โพสต์ที่ 6
ถ้าเมื่อไรที่คนส่วนมากในตลาดใช้เหตุผลในการลงทุน สมมติฐานของ จขกท อาจเป็นไปได้ครับ แต่ถ้าคนส่วนมากในตลาดยังใช้อารมณ์ในการลงทุนอยู่ สมมติฐานของ จขกท จะเป็นไปได้บางจังหวะ เช่นตอนดัชนี 1700 จุดไงครับ :lol:
Small Details Make a Big Difference
- Linzhi
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1464
- ผู้ติดตาม: 1
เป็นไปได้ไหมว่า ต่อไปจะไม่มีหุ้นที่ต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง
โพสต์ที่ 7
มีบทวิจัยว่า การกินผัก ทำให้สุขภาพ แข็งแรง ก็ยังมีคนไม่กิน
หรือ เลือกที่จะกินผักแตกต่างชนิดกัน
กินเนื้อสัตว์ ของปิ้งย่าง ไม่ดีต่อสุขภาพ ก็ยังมีทั้งคนกิน
คนเลิกกิน หรือเลือกที่จะกินเวลาที่อยากจะกิน
การลงทุนก็ฉันใดฉันนั้น
หรือ เลือกที่จะกินผักแตกต่างชนิดกัน
กินเนื้อสัตว์ ของปิ้งย่าง ไม่ดีต่อสุขภาพ ก็ยังมีทั้งคนกิน
คนเลิกกิน หรือเลือกที่จะกินเวลาที่อยากจะกิน
การลงทุนก็ฉันใดฉันนั้น
ก้าวช้า ๆ และเชื่อในปาฎิหารย์ของหุ้นเปลี่ยนชีวิต
There is no secret ingredient. It's just you.
There is no secret ingredient. It's just you.
-
- Verified User
- โพสต์: 455
- ผู้ติดตาม: 0
เป็นไปได้ไหมว่า ต่อไปจะไม่มีหุ้นที่ต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง
โพสต์ที่ 8
สงสัยผมจะเป็นประเภทหลัง :lol:อืม.. ลืมอีกเรื่อง
ในตลาดมีนักลงทุนอยู่หลายประเภทครับ บางคนเป็น VI แต่...
อีกหลายๆ คนเป็นได้แค่อยากเป็น VI
มีบทวิจัยว่า การกินผัก ทำให้สุขภาพ แข็งแรง ก็ยังมีคนไม่กิน
หรือ เลือกที่จะกินผักแตกต่างชนิดกัน
กินเนื้อสัตว์ ของปิ้งย่าง ไม่ดีต่อสุขภาพ ก็ยังมีทั้งคนกิน
คนเลิกกิน หรือเลือกที่จะกินเวลาที่อยากจะกิน
การลงทุนก็ฉันใดฉันนั้น
...คือถ้าเป็นแนว หุ้นดีที่เราควรจะเลือกลงทุนแบบเป็นเจ้าของกิจการ แบบนั้นก็คงมีอยู่ตลอดเวลา ไม่มีปัญหา
แต่สงสัยกรณี หุ้นที่ต่ำกว่ามูลค่า มี mos มากๆ ซึ่งเราจะรอให้ตลาดสะท้อนราคาออกมา
แล้วมันสะท้อนราคาออกมาได้ใกล้เคียงหมดแล้ว
เพราะ ตามทฤษฎี mr.market ไม่ได้โง่ตลอดเวลา ประมาณนั้น
[/quote]
เด็กฝึกงาน...
- vi_tal signs
- Verified User
- โพสต์: 631
- ผู้ติดตาม: 0
เป็นไปได้ไหมว่า ต่อไปจะไม่มีหุ้นที่ต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง
โพสต์ที่ 10
:lol:
มันจะมีมูลค่าเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
-
- Verified User
- โพสต์: 1400
- ผู้ติดตาม: 0
เป็นไปได้ไหมว่า ต่อไปจะไม่มีหุ้นที่ต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง
โพสต์ที่ 11
นี่คือบททดสอบที่แบ่งแยก คนที่รู้จักตัวเอง ออกจาก คนที่ไม่รู้จักตนเอง
คนที่รู้จักตนเอง หลังจากทำเต็มที่แล้ว
" เจอก็บอกว่าเจอ....ไม่เจอก็บอกไม่เจอ "
จากนั้นก็จะหาอะไรทำเพื่อไม่ให้ตัวฟุ้งซ่าน...
ผมว่านะ ช่วงที่หุ้นแพง....เอาเวลามาอ่านหนังสือ+ออมเงินให้มากขึ้นดีกว่าไหม
ออมเงินในช่วงที่หุ้นแพงนี่แหละ...เสี่ยงน้อยกว่า+เผลอๆพอร์ตโตเร็วกว่า
คนที่ลุกลี้ลุกลน ขายตัวลงเยอะ ไปซื้อตัวลงมาก..
ผมอยากออมเงินในช่วงหุ้นแพงให้ได้ 90 % ของรายได้จริงๆ แต่ยังทำไม่ได้
ค่าใช้จ่ายปีนี้ บานตะไทเลย..พะย่ะค่ะ ได้ 65 % ก็หืดขึ้นคอแล้ว :lol:
คนที่รู้จักตนเอง หลังจากทำเต็มที่แล้ว
" เจอก็บอกว่าเจอ....ไม่เจอก็บอกไม่เจอ "
จากนั้นก็จะหาอะไรทำเพื่อไม่ให้ตัวฟุ้งซ่าน...
ผมว่านะ ช่วงที่หุ้นแพง....เอาเวลามาอ่านหนังสือ+ออมเงินให้มากขึ้นดีกว่าไหม
ออมเงินในช่วงที่หุ้นแพงนี่แหละ...เสี่ยงน้อยกว่า+เผลอๆพอร์ตโตเร็วกว่า
คนที่ลุกลี้ลุกลน ขายตัวลงเยอะ ไปซื้อตัวลงมาก..
ผมอยากออมเงินในช่วงหุ้นแพงให้ได้ 90 % ของรายได้จริงๆ แต่ยังทำไม่ได้
ค่าใช้จ่ายปีนี้ บานตะไทเลย..พะย่ะค่ะ ได้ 65 % ก็หืดขึ้นคอแล้ว :lol:
- por_jai
- Verified User
- โพสต์: 14338
- ผู้ติดตาม: 0
เป็นไปได้ไหมว่า ต่อไปจะไม่มีหุ้นที่ต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง
โพสต์ที่ 12
[quote="sai"]ถ้าเมื่อไรที่คนส่วนมากในตลาดใช้เหตุผลในการลงทุน สมมติฐานของ จขกท อาจเป็นไปได้ครับ แต่ถ้าคนส่วนมากในตลาดยังใช้อารมณ์ในการลงทุนอยู่ สมมติฐานของ จขกท จะเป็นไปได้บางจังหวะ เช่นตอนดัชนี 1700 จุดไงครับ
กรูเก่ง กิเลสเก่งกว่า
- kurapica
- Verified User
- โพสต์: 587
- ผู้ติดตาม: 0
เป็นไปได้ไหมว่า ต่อไปจะไม่มีหุ้นที่ต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง
โพสต์ที่ 13
เป็นไปไม่ได้ครับ เพราะตราบใดที่ยังมีการเก็งกำไรระยะสั้น ยังมีการร้อนเงิน ยังมีหุ้นเน่า เขาก็ต้องขายหุ้นออกมา ทำให้ราคาตกอยู่ดี
ถ้าจะเป็นแบบที่ จขกท. พูด ก็น่าจะในกรณีทีแทบจะทุกคนลงทุนแบบบัฟเฟต คือซื้อแล้วยาวเลย คนจะมาซื้อต่อก็ต้องไล่ราคาขึ้นไป แล้วก็ต้องเป็นกับหุ้นทุกตัว อย่างนี้ราคาไม่ตกแน่ ซึ่งไม่น่าจะมีโอกาสเป็นไปได้ในตลาดไทย
ถ้าจะเป็นแบบที่ จขกท. พูด ก็น่าจะในกรณีทีแทบจะทุกคนลงทุนแบบบัฟเฟต คือซื้อแล้วยาวเลย คนจะมาซื้อต่อก็ต้องไล่ราคาขึ้นไป แล้วก็ต้องเป็นกับหุ้นทุกตัว อย่างนี้ราคาไม่ตกแน่ ซึ่งไม่น่าจะมีโอกาสเป็นไปได้ในตลาดไทย
ยอดดอยอยู่ไหนจ๊ะ ขึ้นมามากแล้วนะ
-
- Verified User
- โพสต์: 1036
- ผู้ติดตาม: 0
เป็นไปได้ไหมว่า ต่อไปจะไม่มีหุ้นที่ต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง
โพสต์ที่ 14
น่าจะมีหุ้นแบบนั้น ในตลาดบ้านเราบ้างเนอะ สัก 2-3 ตัวก็ยังดีkurapica เขียน:เป็นไปไม่ได้ครับ เพราะตราบใดที่ยังมีการเก็งกำไรระยะสั้น ยังมีการร้อนเงิน ยังมีหุ้นเน่า เขาก็ต้องขายหุ้นออกมา ทำให้ราคาตกอยู่ดี
ถ้าจะเป็นแบบที่ จขกท. พูด ก็น่าจะในกรณีทีแทบจะทุกคนลงทุนแบบบัฟเฟต คือซื้อแล้วยาวเลย คนจะมาซื้อต่อก็ต้องไล่ราคาขึ้นไป แล้วก็ต้องเป็นกับหุ้นทุกตัว อย่างนี้ราคาไม่ตกแน่ ซึ่งไม่น่าจะมีโอกาสเป็นไปได้ในตลาดไทย
แบบว่าคนถือก็ถือแน่น ไม่ยอมปล่อย
ส่วนคนซื้อก็เดือดพล่าน อยากได้บ้าง ก็เลยต้องไล่ซื้อในราคาที่สูงขึ้นเรื่อยๆ :shock:
อย่าโลภเกินความรู้ความสามารถของตัวเราเอง
-
- Verified User
- โพสต์: 1120
- ผู้ติดตาม: 0
เป็นไปได้ไหมว่า ต่อไปจะไม่มีหุ้นที่ต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง
โพสต์ที่ 15
อเมริกา คนมีการศึกษามากกว่าเรามากมาย ตลาดหุ้นก็มีอายุมากกว่าเราเป็นร้อยปี ทุกวันนี้ก็ไมได้พัฒนาไปมากกว่าเราเลยครับ
การที่ราคาตลาดจะสะท้อนมูลค่าที่แท้จริงของหุ้น ณ เวลาใดเวลาหนึ่งตลอดเวลานั้น เป็นไปได้แค่ในทฤษฏีครับ เพราะการที่ทุกคนจะเป็น rational invester นั้นคิดไม่ออกจริงๆว่าเป็นไปได้ยังไง ในเมื่อคนที่ลงทุนในตลาดยังเป็นคนอยู่ก็ยังต้องมีอารมณ์โลภและกลัวอยู่วันยังค่ำ ถ้าให้ดูตลาดอเมริกาเป็นตัวอย่าง คนว่าอารมณ์นี้มันมีมากกว่าเมื่อร้อยปีที่แล้วซะอีก
VI~ สบายใจได้ครับ :lol:
การที่ราคาตลาดจะสะท้อนมูลค่าที่แท้จริงของหุ้น ณ เวลาใดเวลาหนึ่งตลอดเวลานั้น เป็นไปได้แค่ในทฤษฏีครับ เพราะการที่ทุกคนจะเป็น rational invester นั้นคิดไม่ออกจริงๆว่าเป็นไปได้ยังไง ในเมื่อคนที่ลงทุนในตลาดยังเป็นคนอยู่ก็ยังต้องมีอารมณ์โลภและกลัวอยู่วันยังค่ำ ถ้าให้ดูตลาดอเมริกาเป็นตัวอย่าง คนว่าอารมณ์นี้มันมีมากกว่าเมื่อร้อยปีที่แล้วซะอีก
VI~ สบายใจได้ครับ :lol:
Financial Discipline + Value Investment + Time = Financial Independence
- picatos
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 3227
- ผู้ติดตาม: 4
เป็นไปได้ไหมว่า ต่อไปจะไม่มีหุ้นที่ต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง
โพสต์ที่ 16
[quote="sai"]ถ้าเมื่อไรที่คนส่วนมากในตลาดใช้เหตุผลในการลงทุน สมมติฐานของ จขกท อาจเป็นไปได้ครับ แต่ถ้าคนส่วนมากในตลาดยังใช้อารมณ์ในการลงทุนอยู่ สมมติฐานของ จขกท จะเป็นไปได้บางจังหวะ เช่นตอนดัชนี 1700 จุดไงครับ
- newbie_12
- Verified User
- โพสต์: 2904
- ผู้ติดตาม: 0
เป็นไปได้ไหมว่า ต่อไปจะไม่มีหุ้นที่ต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง
โพสต์ที่ 17
สั้นๆเหมือนกันครับ
เป็นไปไม่ได้
เมื่อก่อนผมก็คิดแบบนี้นะ
แต่ว่า พอหันไปมอง วิถี VI นี่ไม่ใช่ใครๆอ่านๆ แล้วก็จะทำได้ แล้วก็เข้าใจกันหมด ทั้งขาขึ้นและขาลง ราคามีผลต่อคนส่วนใหญ่มากกว่ามูลค่ากิจการครับ
เป็นไปไม่ได้
เมื่อก่อนผมก็คิดแบบนี้นะ
แต่ว่า พอหันไปมอง วิถี VI นี่ไม่ใช่ใครๆอ่านๆ แล้วก็จะทำได้ แล้วก็เข้าใจกันหมด ทั้งขาขึ้นและขาลง ราคามีผลต่อคนส่วนใหญ่มากกว่ามูลค่ากิจการครับ
.
.
อดีตอันรุ่งโรจน์ ไม่ได้การันตีอนาคตจะรุ่งเรือง
----------------------------
.
อดีตอันรุ่งโรจน์ ไม่ได้การันตีอนาคตจะรุ่งเรือง
----------------------------
-
- Verified User
- โพสต์: 18134
- ผู้ติดตาม: 0
เป็นไปได้ไหมว่า ต่อไปจะไม่มีหุ้นที่ต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง
โพสต์ที่ 19
คำถามนี้ดีครับ
ดีมากๆด้วยครับ เป็นคำถามที่บ้างคนในที่นี้สงสัยว่า มีบ้างหรือเปล่าในอนาคตที่หุ้นทั้งหมดในโลกนี้ ไม่ต่ำว่ามูลค่าที่แท้จริง
ตอบเลยว่า ทุกวินาที โลกมีสองด้าน
คือ ด้านหนึ่งบอกว่า โลกนี้มีแต่หุ้นที่มีมูลค่ามากกว่ามูลค่าที่แท้จริง
อีกด้านบอกว่า โลกนี้มีแต่หุ้นมูลค่าต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง
แล้วอะไรถูกกันแน่นอน ในมุมมองของแต่ละคน
มันจึงต้องมีการตั้งวิธีการวัดขึ้นมาว่า อะไรเรียกว่ามูลค่าแท้จริง
อะไรที่เรียกว่า มูลค่าของหุ้นตัวไหน
อะไรคือการดูว่า ธุรกิจไหนดีหรือไม่ดี
อะไรคือ วิธีการรู้ได้ว่า ตอนนี้หุ้นตัวดังกล่าว ควรหลีกเลี่ยง ควรใส่ใจใส่เวลากับมัน ควรที่ไม่ต้องดูแลมันมากมายอะไร ควรที่รอคอยเวลา เหล่านี้ เกิดขึ้นไม่ได้หากไม่มีใครเกิดความถามในใจ และแสวงหาคำตอบของคำถามนั้นได้
ดีมากๆด้วยครับ เป็นคำถามที่บ้างคนในที่นี้สงสัยว่า มีบ้างหรือเปล่าในอนาคตที่หุ้นทั้งหมดในโลกนี้ ไม่ต่ำว่ามูลค่าที่แท้จริง
ตอบเลยว่า ทุกวินาที โลกมีสองด้าน
คือ ด้านหนึ่งบอกว่า โลกนี้มีแต่หุ้นที่มีมูลค่ามากกว่ามูลค่าที่แท้จริง
อีกด้านบอกว่า โลกนี้มีแต่หุ้นมูลค่าต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง
แล้วอะไรถูกกันแน่นอน ในมุมมองของแต่ละคน
มันจึงต้องมีการตั้งวิธีการวัดขึ้นมาว่า อะไรเรียกว่ามูลค่าแท้จริง
อะไรที่เรียกว่า มูลค่าของหุ้นตัวไหน
อะไรคือการดูว่า ธุรกิจไหนดีหรือไม่ดี
อะไรคือ วิธีการรู้ได้ว่า ตอนนี้หุ้นตัวดังกล่าว ควรหลีกเลี่ยง ควรใส่ใจใส่เวลากับมัน ควรที่ไม่ต้องดูแลมันมากมายอะไร ควรที่รอคอยเวลา เหล่านี้ เกิดขึ้นไม่ได้หากไม่มีใครเกิดความถามในใจ และแสวงหาคำตอบของคำถามนั้นได้
- Linzhi
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1464
- ผู้ติดตาม: 1
เป็นไปได้ไหมว่า ต่อไปจะไม่มีหุ้นที่ต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง
โพสต์ที่ 20
ขำโพสต์ของพี่พอใจ :lol:
ตลาดตอนนี้ผมยังเห็นหุ้นราคาต่ำกว่ามูลค่าอยู่เลย
ช่วงที่ผ่านมาก็เห็นอยู่ตลอด
แต่ขึ้นอยู่กับจะเอาต่ำแค่ไหนนะ
ถ้าอยากได้ MOS เยอะ ๆ เีราต้องมีอะไรไปแลกมันมาครับ
ตลาดตอนนี้ผมยังเห็นหุ้นราคาต่ำกว่ามูลค่าอยู่เลย
ช่วงที่ผ่านมาก็เห็นอยู่ตลอด
แต่ขึ้นอยู่กับจะเอาต่ำแค่ไหนนะ
ถ้าอยากได้ MOS เยอะ ๆ เีราต้องมีอะไรไปแลกมันมาครับ
ก้าวช้า ๆ และเชื่อในปาฎิหารย์ของหุ้นเปลี่ยนชีวิต
There is no secret ingredient. It's just you.
There is no secret ingredient. It's just you.
-
- Verified User
- โพสต์: 455
- ผู้ติดตาม: 0
เป็นไปได้ไหมว่า ต่อไปจะไม่มีหุ้นที่ต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง
โพสต์ที่ 21
:lol: ผมก็คิดว่ามันเป็นไปไม่ได้
.....แต่ถ้าเรามาสรุปให้เห็นกันชัดเจน ว่า
A "เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่มีหุ้นต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง"
มาเทียบ กับ หัวใจสำคัญของ vi
B "สักวันหุ้นจะต้องสะท้อนราคาออกมาตามมูลค่าที่แท้จริง"
ตรรกะมันจะขัดกัน ถูกไหมครับ
.....
คือที่มาของคำถามนี้ก็คือ ผมซื้อหุ้นที่คำนวณแล้วว่าราคายังต่ำกว่ามูลค่าที่ควรจะเป็น (ตัดประเด็นว่าคิดผิดคิดถูกนะ)
แล้วราคามันก็อยู่ที่เดิมตลอดมา ขณะที่ราคาตัวอื่นก็วิ่งกันไปโครมๆ ผมก็ไม่สนใจเพราะถือหลักว่าสักวัน...
แต่ทีนี้พอคิดเพ้อเจ้อต่อไปว่าถ้าหุ้นทุกตัวจะต้องมีวันสะท้อนราคาที่แท้จริง ต่อไปมันก็จะเป็นอย่างคำถามกระทู้ ซึ่งผมก็คิดว่ามันเป็นไปไม่ได้
ก็เลยตั้งคำถามมาถามความเห็นกันดู
ซึ่งจริงๆ แล้วผมตั้งคำถามผิด ผมควรต้องถามว่า
"เป็นไปได้ไหมว่าหุ้นที่มีราคาต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง บางตัว ตลาดจะไม่สะท้อนราคาที่แท้จริงออกมาให้"
หมายความว่า หุ้นที่เราจะลงทุน นอกจากจะต้องหามูลค่าที่ควรจะเป็นให้ได้แล้ว
เมื่อซื้อแล้วก็ต้อง ภาวนาให้ mr.market หรือ เจ้า มาให้ความสนใจด้วย :idea:
ถ้าเป็นอย่างนั้น น้ำหนักในการตัดสินใจลงทุน นอกจากการคำนวณหามูลค่า ดู mos แล้ว
....จะต้องพิจารณาให้น้ำหนักด้วยว่า หุ้นนั้นๆ mr.market หรือ เจ้า หรือ ฝรั่งชอบด้วยหรือปล่าว
.....แต่ถ้าเรามาสรุปให้เห็นกันชัดเจน ว่า
A "เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่มีหุ้นต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง"
มาเทียบ กับ หัวใจสำคัญของ vi
B "สักวันหุ้นจะต้องสะท้อนราคาออกมาตามมูลค่าที่แท้จริง"
ตรรกะมันจะขัดกัน ถูกไหมครับ
.....
คือที่มาของคำถามนี้ก็คือ ผมซื้อหุ้นที่คำนวณแล้วว่าราคายังต่ำกว่ามูลค่าที่ควรจะเป็น (ตัดประเด็นว่าคิดผิดคิดถูกนะ)
แล้วราคามันก็อยู่ที่เดิมตลอดมา ขณะที่ราคาตัวอื่นก็วิ่งกันไปโครมๆ ผมก็ไม่สนใจเพราะถือหลักว่าสักวัน...
แต่ทีนี้พอคิดเพ้อเจ้อต่อไปว่าถ้าหุ้นทุกตัวจะต้องมีวันสะท้อนราคาที่แท้จริง ต่อไปมันก็จะเป็นอย่างคำถามกระทู้ ซึ่งผมก็คิดว่ามันเป็นไปไม่ได้
ก็เลยตั้งคำถามมาถามความเห็นกันดู
ซึ่งจริงๆ แล้วผมตั้งคำถามผิด ผมควรต้องถามว่า
"เป็นไปได้ไหมว่าหุ้นที่มีราคาต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง บางตัว ตลาดจะไม่สะท้อนราคาที่แท้จริงออกมาให้"
หมายความว่า หุ้นที่เราจะลงทุน นอกจากจะต้องหามูลค่าที่ควรจะเป็นให้ได้แล้ว
เมื่อซื้อแล้วก็ต้อง ภาวนาให้ mr.market หรือ เจ้า มาให้ความสนใจด้วย :idea:
ถ้าเป็นอย่างนั้น น้ำหนักในการตัดสินใจลงทุน นอกจากการคำนวณหามูลค่า ดู mos แล้ว
....จะต้องพิจารณาให้น้ำหนักด้วยว่า หุ้นนั้นๆ mr.market หรือ เจ้า หรือ ฝรั่งชอบด้วยหรือปล่าว
เด็กฝึกงาน...
- yoyo
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 4833
- ผู้ติดตาม: 0
เป็นไปได้ไหมว่า ต่อไปจะไม่มีหุ้นที่ต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง
โพสต์ที่ 23
ไอ้หย่า... หรือไปเล่นหนังแบบเปรมดี...por_jai เขียน:ที่แย่เกือบสุดคือเจ้าโยนี่แหละ
จบวิศวะจบโทมายังไม่เคยมีประสบการณ์ทำงานเลย
เล่นหุ้นหากินมาอย่างเดียวเลย
ต่อไปนี้คงต้องไปไหว้พ่อบอกให้หาครูมาสอนชกมวยหน่อย
เพราะไปสมัครงานที่ไหนเขาก็ไม่รับ
ไม่มีประสบการณ์ในการทำงานเลย จบมาตั้งหลายปีแล้ว
การลงทุนที่มีค่าที่สุด คือการลงทุนในความรู้
http://www.yoyoway.com
http://www.yoyoway.com
- SunShine@Night
- Verified User
- โพสต์: 2196
- ผู้ติดตาม: 0
เป็นไปได้ไหมว่า ต่อไปจะไม่มีหุ้นที่ต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง
โพสต์ที่ 24
จะให้ไปสมัคร Super Star ก็ไม่ทันแล้วครับ เพิ่งเปิดตัวรุ่น 2 ไปเมื่อวันเสาร์เองpor_jai wrote:
ที่แย่เกือบสุดคือเจ้าโยนี่แหละ
จบวิศวะจบโทมายังไม่เคยมีประสบการณ์ทำงานเลย
เล่นหุ้นหากินมาอย่างเดียวเลย
ต่อไปนี้คงต้องไปไหว้พ่อบอกให้หาครูมาสอนชกมวยหน่อย
เพราะไปสมัครงานที่ไหนเขาก็ไม่รับ
ไม่มีประสบการณ์ในการทำงานเลย จบมาตั้งหลายปีแล้ว
ไอ้หย่า... หรือไปเล่นหนังแบบเปรมดี...
รอรุ่น 3 แล้วกันนะครับ
VI ฝึกหัด สำนักปีเตอร์ ลินช์
หวังผลต่อแทนทบต้นมากกว่า 15% ต่อปี
หวังผลต่อแทนทบต้นมากกว่า 15% ต่อปี
-
- Verified User
- โพสต์: 1734
- ผู้ติดตาม: 0
เป็นไปได้ไหมว่า ต่อไปจะไม่มีหุ้นที่ต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง
โพสต์ที่ 25
เป็นไปได้หรือเป็นไปไม่ได้
ขึ้นอยู่กับแรงกรรมของคนในตลาดหุ้นในแต่ละเวลาครับ
หุ้นดีๆ หุ้นเน่าๆ เกิดจากการกระทำของคนในบริษัทจดทะเบียน
ราคาหุ้นดีๆ ราคาหุ้นเน่าๆ เกิดจากการกระทำของคนในตลาดหลักทรัพย์
เวลาไหนที่มันเป็นไปได้ ก็คงได้เวลาที่จะล้างพอร์ต
อย่างเช่น
ตอนราชาเงินทุน
ตอนปลายอีเมอร์จิ๊งมาร์เก็ตรอบแรกปี ๒๕๓๐
ตอนเมกะฟันด์โฟลว์ ปี ๒๕๓๖
ตอนซุปเปอร์พันด์โพลว์ ปี ๒๕๔๕
ครั้งต่อไปคือปี..................
สรุปตามความเห็นส่วนตัวของผม
คนที่จะเสียหายหนักๆในทุกรอบก็คือ
เงินสะสมของชนชั้นกลาง
ซึ่งไม่สามารถควบคุมความโลภและความกลัวของตัวเองได้
:lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol:
ขึ้นอยู่กับแรงกรรมของคนในตลาดหุ้นในแต่ละเวลาครับ
หุ้นดีๆ หุ้นเน่าๆ เกิดจากการกระทำของคนในบริษัทจดทะเบียน
ราคาหุ้นดีๆ ราคาหุ้นเน่าๆ เกิดจากการกระทำของคนในตลาดหลักทรัพย์
เวลาไหนที่มันเป็นไปได้ ก็คงได้เวลาที่จะล้างพอร์ต
อย่างเช่น
ตอนราชาเงินทุน
ตอนปลายอีเมอร์จิ๊งมาร์เก็ตรอบแรกปี ๒๕๓๐
ตอนเมกะฟันด์โฟลว์ ปี ๒๕๓๖
ตอนซุปเปอร์พันด์โพลว์ ปี ๒๕๔๕
ครั้งต่อไปคือปี..................
สรุปตามความเห็นส่วนตัวของผม
คนที่จะเสียหายหนักๆในทุกรอบก็คือ
เงินสะสมของชนชั้นกลาง
ซึ่งไม่สามารถควบคุมความโลภและความกลัวของตัวเองได้
:lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol:
-
- Verified User
- โพสต์: 1734
- ผู้ติดตาม: 0
เป็นไปได้ไหมว่า ต่อไปจะไม่มีหุ้นที่ต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง
โพสต์ที่ 27
นักดูดาว เขียน: ผมขอค้านครับท่านประธาน
หากเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นจริงๆ ท่านทั้งหลายที่ว่ามาคงจะระดมกำลังมา short TFEX เป็นแน่แท้ครับ
- por_jai
- Verified User
- โพสต์: 14338
- ผู้ติดตาม: 0
เป็นไปได้ไหมว่า ต่อไปจะไม่มีหุ้นที่ต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง
โพสต์ที่ 28
พูดได้แต่ทำไม่ใช่ง่ายๆนะนักดูดาว เขียน: ผมขอค้านครับท่านประธาน
หากเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นจริงๆ ท่านทั้งหลายที่ว่ามาคงจะระดมกำลังมา short TFEX เป็นแน่แท้ครับ
ผมเคยย้อนภาพไปดูวันที่หุ้นตกต่ำสุด
คนเล่นหุ้นมักลืมง่าย
วันนั้นถ้าผมจำไม่ผิด cut out ทำงานนะครับ
หุ้นแดงเดือดยังกะเลือดท่วมท้องน้ำ
ผมเอารูปมาให้ดูนะ
หลายๆคนมาดูตอนนี้บอก"รู้เงี้ย"
ตรูซื้อไว้ตอนนั้น ตอนนี้ก็รวยไม่รู้เรื่องแล้ว
อยากให้นึกดูดีๆ
ตอนนี้ของวันนั้นนั่งกลัว อุจจาระแตก อุจจาระแตนอยู่(หมายถึงผมเองนะ)
ถ้าเล่นหุ้นมันง่ายอย่างนั้น
เซียนคงเต็มตลาดแล้ว ฮ่า...มองตัวเองในกระจก
โอย แมงเม่าเหาฉลามโดยแท้
(ดูรูปแล้วเพิ่งเห็นว่าผ่านมาได้ปีนึงพอดี
น้องๆคนไหนที่ผ่านมาเห็นรูปนี้
จำไว้ให้ดีๆนะครับ
ถ้าน้องเล่นหุ้นจนเก่งแล้วก็แล้วไป
แต่ถ้าเล่นเท่าไหร่ก็ไม่เก่งซักกะที
จำรูปนี้ไว้ให้แม่นๆ
แต่มันจะนานขนาด4-6ปีจะมีให้ดูซักครั้ง
มันมาอย่างนี้อีกให้สวนให้แรงๆครับ
แล้วมันจะดีเอง...ฮ่า....)
แก้ไขล่าสุดโดย por_jai เมื่อ จันทร์ ต.ค. 12, 2009 9:40 am, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
กรูเก่ง กิเลสเก่งกว่า
- por_jai
- Verified User
- โพสต์: 14338
- ผู้ติดตาม: 0
เป็นไปได้ไหมว่า ต่อไปจะไม่มีหุ้นที่ต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง
โพสต์ที่ 29
แถวๆวันนั้นท่านอาจารย์ออกบทความนี้ครับ
"วิกฤติหรือโอกาส"
ผมขอกราบคารวะความเป็นเซียนระดับเทพของท่านอย่างยิ่งจริงๆ
โลกในมุมมองของ Value Investor 7 ตุลาคม 2551
วิกฤติการเงินของสหรัฐอเมริกาในช่วงนี้ทำให้นักลงทุนเสียหายหนักมากและคน จำนวนมากต่างก็ “หนีตาย” หรือถอนตัวจากตลาดหุ้นกันเป็นแถว แต่ดูเหมือนว่า วอเร็น บัฟเฟตต์ กำลังยุ่งอยู่กับการลงทุนในบริษัทหลาย ๆ แห่ง ที่โดดเด่นก็คือ โกลด์แมนซาคและจีอี ที่เขาจ่ายเงินไปรวมกัน 8,000 ล้านเหรียญสหรัฐ จากเม็ดเงินจำนวนกว่า 30,000 ล้านเหรียญที่มีอยู่ในมือ สำหรับบัฟเฟตต์แล้ว ช่วงนี้คือ “โอกาสทอง” ที่เขาจะได้ลงทุนในหุ้นของกิจการที่ดีเยี่ยมในราคาที่ถูกมาก คำถามที่ตามมาก็คือ วอเร็น บัฟเฟตต์ มีมุมมองหรือกลยุทธ์การลงทุนอย่างไรในภาวะวิกฤติ และต่อไปนี้ก็คือความคิดของเขาที่ถูกนำเสนอโดย Alice Schroeder ผู้เขียนหนังสือชื่อ Snowball ซึ่งเล่าประวัติชีวิตของ วอเร็น บัฟเฟตต์ ที่กำลังขายดีอยู่ในขณะนี้
บัฟเฟตต์คิดว่า
1) ในช่วงวิกฤตินั้น ถ้าคุณมีเงินสด และ มีความกล้าหาญเพียงพอที่จะลงทุน นี่คือสวรรค์และเป็นสิ่งที่ไม่อาจประเมินค่าได้ สิ่งที่ผมอยากอธิบายเพิ่มเติมก็คือ คนส่วนมากนั้นอาจจะมีเงินสด แต่ในยามที่เกิดวิกฤติ คนเหล่านั้นมักไม่กล้าลงทุนเนื่องจากพวกเขามักจะกลัวว่าเงินลงทุนจะสูญหาย ไปกับภาวะวิกฤติ บัฟเฟตต์บอกว่า ในยามที่คนกลัว เราจะต้องพยายามที่จะกล้าหรือ “โลภ” เพื่อที่จะได้กล้าเสี่ยงลงทุนในยามที่ “เลวร้ายที่สุด” และนี่มักจะกลายเป็นโอกาสที่ดีที่สุดที่จะทำเงินได้เป็นกอบเป็นกำถ้าเราทำ ได้ถูกต้อง
2) ในการที่จะลงทุนได้อย่างถูกต้องนั้น บัฟเฟตต์บอกว่า จงอย่าลงทุนในสิ่งที่คุณไม่เข้าใจ นั่นหมายความว่า เวลาเกิดวิกฤติ ราคาหุ้นตกลงมามากก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะเข้าไปซื้อเพียงเพราะราคามันลง มา แต่จะซื้อเพราะเราดูแล้วว่าเรารู้จักและเข้าใจธุรกิจดี และรู้ว่าราคาที่เราเห็นนั้นต่ำกว่ามูลค่าของมันมาก สิ่งที่ผมอยากจะเพิ่มเติมก็คือ ในช่วงที่เกิดวิกฤติหุ้นไฮเท็คในช่วงปี 2000 นั้น หุ้นไฮเท็คจำนวนมากมีราคาตกลงมา หลาย ๆ ตัวตกลงมา 80-90% แต่บัฟเฟตต์ก็ไม่ได้เข้าไปซื้อลงทุนเลย เพราะเขาไม่เข้าใจธุรกิจเหล่านั้นพอ และก็ต้องบอกว่าบัฟเฟตต์คิดถูกที่ไม่ได้เข้าเล่นหุ้นไฮเท็ค เพราะหุ้นส่วนมากที่ตกลงมานั้น ไม่ได้มีโอกาสกลับขึ้นมาอีกเลย
3 ) อย่าพยายามรับมีดที่กำลังร่วงลงมาจนกว่าคุณจะเข้าใจและจัดการกับความเสี่ยง ได้ นี่ก็เป็นเรื่องที่บัฟเฟตต์ระมัดระวังเสมอ จากประวัติของบัฟเฟตต์นั้น แทบทุกครั้งที่เขาเข้าไปลงทุนในหุ้นที่กำลัง “วิกฤติ” ก็คือ นอกจากโอกาสที่จะทำกำไรมหาศาลแล้ว เขาจะมองหา “ตาข่าย” รองรับเสมอถ้าสิ่งที่เขาคิดไว้ผิดพลาด กลยุทธ์อย่างหนึ่งที่เขาใช้เป็นประจำก็คือ แทนที่จะเข้าไปซื้อหุ้นโดยตรง เขามักจะเสนอซื้อหุ้นบุริมสิทธ์ที่บริษัทสัญญาว่าจะจ่ายปันผลแน่นอน เช่นในกรณีของโกลด์แมนซาคและจีอีที่จ่ายปันผล 10% ต่อปี และเขามีสิทธ์ที่จะได้เงินคืนก่อนผู้ถือหุ้นสามัญในกรณีที่บริษัทล้มละลาย แต่ที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือ เขาจะขออ็อปชั่นหรือวอแรนต์ที่จะซื้อหุ้นสามัญในอนาคตในราคาที่กำหนดล่วง หน้าซึ่งจะทำให้เขาได้กำไรมหาศาลถ้าบริษัทฟื้นตัวและรอดจากภาวะวิกฤติไปได้ อย่างในกรณีของโกลด์แมนซาคและจีอี เขาก็ได้วอแรนต์ที่จะซื้อหุ้นสามัญจำนวนเท่ากับหุ้นบุริมสิทธ์ภายในเวลา 5 ปีในราคาพอ ๆ กับราคาตลาดในช่วงที่เขาตัดสินใจลงทุน
สถิติการลงทุนในยาม “วิกฤติ” ของบัฟเฟตต์ นั้น ไม่ต้องสงสัยเลยว่ายอดเยี่ยมและต้องถือเป็นตำนาน ในครั้งนี้เราก็คงต้องดูกันต่อไปว่าเขาจะทำสำเร็จหรือไม่ อย่างไรก็ตาม การตอบรับจากตลาดหุ้นดูเหมือนว่าจะเป็นในทางบวกตั้งแต่เขาเข้าไปลงทุนแล้ว แต่ประเด็นของเราก็คือ การตกลงมาของตลาดหุ้นบ้านเราในวันนี้ถือเป็นวิกฤติหรือโอกาสที่เราจะเข้าไปทำเงิน?
วิเคราะห์ดูแล้ว ผมเห็นว่าภาวะของเศรษฐกิจและตลาดการเงินของเราจริง ๆ ไม่ได้ถูกกระทบมากเพราะเราได้รับบทเรียนจากวิกฤติปี 2540 ที่ทำให้กิจการทั้งหลายในประเทศไทยมีความระมัดระวังมาก รวมไปถึงสถาบันการเงินต่าง ๆ ก็ไม่ได้มีการปล่อยเงินกู้ออกไปง่าย ๆ อย่างในสมัยก่อน และนี่ทำให้การกู้เงินของบริษัทต่าง ๆ มีสัดส่วนน้อยลงไปมากทำให้ฐานะการเงินของบริษัทส่วนใหญ่ค่อนข้างเข้มแข็ง ดังนั้น ภาวะวิกฤติที่กระทบกับไทยโดยตรงจริง ๆ จึงอยู่ที่ตลาดหุ้นที่นักลงทุนต่างชาติต่างก็เทขายหุ้นเพื่อนำเงินกลับไป ดูแลตนเองในต่างประเทศ ผลก็คือ ราคาหุ้นลดลงเรื่อย ๆ โดยที่ผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนยังดีอยู่ แน่นอน ผลการดำเนินงานในอนาคตอาจจะถดถอยลงบ้างแต่ก็คงไม่มากนักเมื่อเทียบกับการลด ลงของราคาหุ้นโดยเฉพาะอย่างยิ่งบริษัทจดทะเบียนส่วนใหญ่ที่พึ่งพิงกับการใช้ จ่ายเงินในประเทศเป็นหลัก ดังนั้น ข้อสรุปของผมก็คือ นี่น่าจะเป็นโอกาสที่เราจะซื้อหุ้นลงทุน
การลงทุนใน “ภาวะวิกฤติ” ในช่วงนี้ แน่นอน มีความเสี่ยง โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าภาวะวิกฤติของอเมริกาลามไปและทำให้เศรษฐกิจตกต่ำไป ทั่วโลก อย่างไรก็ตาม ถ้าเรายึดหลัก 3 ข้อ ของบัฟเฟตต์ข้างต้น ผมคิดว่ามีโอกาสสูงที่เราจะได้รับผลตอบแทนที่ดี พูดถึงเรื่องนี้ ผมลองนึกย้อนหลังไปในช่วงประมาณ 12 ปีที่ผมลงทุนเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์และเก็บข้อมูลอย่างละเอียดก็พบว่า ผมผ่าน “ภาวะวิกฤติ” มาถึง 2 ครั้งแล้วคือในปี 2540 และ 2543 ทั้งสองครั้งดัชนีตลาดตกลงมากว่า 40% ซึ่งมากกว่าภาวะในขณะนี้ แต่ผมก็รอดมาได้ ดังนั้น ผมจึงไม่เห็นเหตุผลว่าทำไมครั้งนี้ผมจะรอดไม่ได้โดยเฉพาะเมื่อคำนึงถึงว่า ใน 2 ครั้งก่อนนั้น ภาวะเศรษฐกิจจริงเลวร้ายกว่าในปัจจุบันมาก เพราะฉะนั้น สำหรับนักลงทุนที่ไม่ได้ลงทุนร้อยเปอร์เซ็นต์อยู่แล้ว การเข้ามาลงทุนในช่วงนี้ก็ต้องถือว่าได้เปรียบมาก อย่าปล่อย “โอกาสทอง” ให้หลุดไปนะครับ
"วิกฤติหรือโอกาส"
ผมขอกราบคารวะความเป็นเซียนระดับเทพของท่านอย่างยิ่งจริงๆ
โลกในมุมมองของ Value Investor 7 ตุลาคม 2551
วิกฤติการเงินของสหรัฐอเมริกาในช่วงนี้ทำให้นักลงทุนเสียหายหนักมากและคน จำนวนมากต่างก็ “หนีตาย” หรือถอนตัวจากตลาดหุ้นกันเป็นแถว แต่ดูเหมือนว่า วอเร็น บัฟเฟตต์ กำลังยุ่งอยู่กับการลงทุนในบริษัทหลาย ๆ แห่ง ที่โดดเด่นก็คือ โกลด์แมนซาคและจีอี ที่เขาจ่ายเงินไปรวมกัน 8,000 ล้านเหรียญสหรัฐ จากเม็ดเงินจำนวนกว่า 30,000 ล้านเหรียญที่มีอยู่ในมือ สำหรับบัฟเฟตต์แล้ว ช่วงนี้คือ “โอกาสทอง” ที่เขาจะได้ลงทุนในหุ้นของกิจการที่ดีเยี่ยมในราคาที่ถูกมาก คำถามที่ตามมาก็คือ วอเร็น บัฟเฟตต์ มีมุมมองหรือกลยุทธ์การลงทุนอย่างไรในภาวะวิกฤติ และต่อไปนี้ก็คือความคิดของเขาที่ถูกนำเสนอโดย Alice Schroeder ผู้เขียนหนังสือชื่อ Snowball ซึ่งเล่าประวัติชีวิตของ วอเร็น บัฟเฟตต์ ที่กำลังขายดีอยู่ในขณะนี้
บัฟเฟตต์คิดว่า
1) ในช่วงวิกฤตินั้น ถ้าคุณมีเงินสด และ มีความกล้าหาญเพียงพอที่จะลงทุน นี่คือสวรรค์และเป็นสิ่งที่ไม่อาจประเมินค่าได้ สิ่งที่ผมอยากอธิบายเพิ่มเติมก็คือ คนส่วนมากนั้นอาจจะมีเงินสด แต่ในยามที่เกิดวิกฤติ คนเหล่านั้นมักไม่กล้าลงทุนเนื่องจากพวกเขามักจะกลัวว่าเงินลงทุนจะสูญหาย ไปกับภาวะวิกฤติ บัฟเฟตต์บอกว่า ในยามที่คนกลัว เราจะต้องพยายามที่จะกล้าหรือ “โลภ” เพื่อที่จะได้กล้าเสี่ยงลงทุนในยามที่ “เลวร้ายที่สุด” และนี่มักจะกลายเป็นโอกาสที่ดีที่สุดที่จะทำเงินได้เป็นกอบเป็นกำถ้าเราทำ ได้ถูกต้อง
2) ในการที่จะลงทุนได้อย่างถูกต้องนั้น บัฟเฟตต์บอกว่า จงอย่าลงทุนในสิ่งที่คุณไม่เข้าใจ นั่นหมายความว่า เวลาเกิดวิกฤติ ราคาหุ้นตกลงมามากก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะเข้าไปซื้อเพียงเพราะราคามันลง มา แต่จะซื้อเพราะเราดูแล้วว่าเรารู้จักและเข้าใจธุรกิจดี และรู้ว่าราคาที่เราเห็นนั้นต่ำกว่ามูลค่าของมันมาก สิ่งที่ผมอยากจะเพิ่มเติมก็คือ ในช่วงที่เกิดวิกฤติหุ้นไฮเท็คในช่วงปี 2000 นั้น หุ้นไฮเท็คจำนวนมากมีราคาตกลงมา หลาย ๆ ตัวตกลงมา 80-90% แต่บัฟเฟตต์ก็ไม่ได้เข้าไปซื้อลงทุนเลย เพราะเขาไม่เข้าใจธุรกิจเหล่านั้นพอ และก็ต้องบอกว่าบัฟเฟตต์คิดถูกที่ไม่ได้เข้าเล่นหุ้นไฮเท็ค เพราะหุ้นส่วนมากที่ตกลงมานั้น ไม่ได้มีโอกาสกลับขึ้นมาอีกเลย
3 ) อย่าพยายามรับมีดที่กำลังร่วงลงมาจนกว่าคุณจะเข้าใจและจัดการกับความเสี่ยง ได้ นี่ก็เป็นเรื่องที่บัฟเฟตต์ระมัดระวังเสมอ จากประวัติของบัฟเฟตต์นั้น แทบทุกครั้งที่เขาเข้าไปลงทุนในหุ้นที่กำลัง “วิกฤติ” ก็คือ นอกจากโอกาสที่จะทำกำไรมหาศาลแล้ว เขาจะมองหา “ตาข่าย” รองรับเสมอถ้าสิ่งที่เขาคิดไว้ผิดพลาด กลยุทธ์อย่างหนึ่งที่เขาใช้เป็นประจำก็คือ แทนที่จะเข้าไปซื้อหุ้นโดยตรง เขามักจะเสนอซื้อหุ้นบุริมสิทธ์ที่บริษัทสัญญาว่าจะจ่ายปันผลแน่นอน เช่นในกรณีของโกลด์แมนซาคและจีอีที่จ่ายปันผล 10% ต่อปี และเขามีสิทธ์ที่จะได้เงินคืนก่อนผู้ถือหุ้นสามัญในกรณีที่บริษัทล้มละลาย แต่ที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือ เขาจะขออ็อปชั่นหรือวอแรนต์ที่จะซื้อหุ้นสามัญในอนาคตในราคาที่กำหนดล่วง หน้าซึ่งจะทำให้เขาได้กำไรมหาศาลถ้าบริษัทฟื้นตัวและรอดจากภาวะวิกฤติไปได้ อย่างในกรณีของโกลด์แมนซาคและจีอี เขาก็ได้วอแรนต์ที่จะซื้อหุ้นสามัญจำนวนเท่ากับหุ้นบุริมสิทธ์ภายในเวลา 5 ปีในราคาพอ ๆ กับราคาตลาดในช่วงที่เขาตัดสินใจลงทุน
สถิติการลงทุนในยาม “วิกฤติ” ของบัฟเฟตต์ นั้น ไม่ต้องสงสัยเลยว่ายอดเยี่ยมและต้องถือเป็นตำนาน ในครั้งนี้เราก็คงต้องดูกันต่อไปว่าเขาจะทำสำเร็จหรือไม่ อย่างไรก็ตาม การตอบรับจากตลาดหุ้นดูเหมือนว่าจะเป็นในทางบวกตั้งแต่เขาเข้าไปลงทุนแล้ว แต่ประเด็นของเราก็คือ การตกลงมาของตลาดหุ้นบ้านเราในวันนี้ถือเป็นวิกฤติหรือโอกาสที่เราจะเข้าไปทำเงิน?
วิเคราะห์ดูแล้ว ผมเห็นว่าภาวะของเศรษฐกิจและตลาดการเงินของเราจริง ๆ ไม่ได้ถูกกระทบมากเพราะเราได้รับบทเรียนจากวิกฤติปี 2540 ที่ทำให้กิจการทั้งหลายในประเทศไทยมีความระมัดระวังมาก รวมไปถึงสถาบันการเงินต่าง ๆ ก็ไม่ได้มีการปล่อยเงินกู้ออกไปง่าย ๆ อย่างในสมัยก่อน และนี่ทำให้การกู้เงินของบริษัทต่าง ๆ มีสัดส่วนน้อยลงไปมากทำให้ฐานะการเงินของบริษัทส่วนใหญ่ค่อนข้างเข้มแข็ง ดังนั้น ภาวะวิกฤติที่กระทบกับไทยโดยตรงจริง ๆ จึงอยู่ที่ตลาดหุ้นที่นักลงทุนต่างชาติต่างก็เทขายหุ้นเพื่อนำเงินกลับไป ดูแลตนเองในต่างประเทศ ผลก็คือ ราคาหุ้นลดลงเรื่อย ๆ โดยที่ผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนยังดีอยู่ แน่นอน ผลการดำเนินงานในอนาคตอาจจะถดถอยลงบ้างแต่ก็คงไม่มากนักเมื่อเทียบกับการลด ลงของราคาหุ้นโดยเฉพาะอย่างยิ่งบริษัทจดทะเบียนส่วนใหญ่ที่พึ่งพิงกับการใช้ จ่ายเงินในประเทศเป็นหลัก ดังนั้น ข้อสรุปของผมก็คือ นี่น่าจะเป็นโอกาสที่เราจะซื้อหุ้นลงทุน
การลงทุนใน “ภาวะวิกฤติ” ในช่วงนี้ แน่นอน มีความเสี่ยง โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าภาวะวิกฤติของอเมริกาลามไปและทำให้เศรษฐกิจตกต่ำไป ทั่วโลก อย่างไรก็ตาม ถ้าเรายึดหลัก 3 ข้อ ของบัฟเฟตต์ข้างต้น ผมคิดว่ามีโอกาสสูงที่เราจะได้รับผลตอบแทนที่ดี พูดถึงเรื่องนี้ ผมลองนึกย้อนหลังไปในช่วงประมาณ 12 ปีที่ผมลงทุนเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์และเก็บข้อมูลอย่างละเอียดก็พบว่า ผมผ่าน “ภาวะวิกฤติ” มาถึง 2 ครั้งแล้วคือในปี 2540 และ 2543 ทั้งสองครั้งดัชนีตลาดตกลงมากว่า 40% ซึ่งมากกว่าภาวะในขณะนี้ แต่ผมก็รอดมาได้ ดังนั้น ผมจึงไม่เห็นเหตุผลว่าทำไมครั้งนี้ผมจะรอดไม่ได้โดยเฉพาะเมื่อคำนึงถึงว่า ใน 2 ครั้งก่อนนั้น ภาวะเศรษฐกิจจริงเลวร้ายกว่าในปัจจุบันมาก เพราะฉะนั้น สำหรับนักลงทุนที่ไม่ได้ลงทุนร้อยเปอร์เซ็นต์อยู่แล้ว การเข้ามาลงทุนในช่วงนี้ก็ต้องถือว่าได้เปรียบมาก อย่าปล่อย “โอกาสทอง” ให้หลุดไปนะครับ
กรูเก่ง กิเลสเก่งกว่า