
มี Pm มาถามผมว่า เขาจะฝึกมองแบบ reflexivity อย่างไรดี
ถามท่านริวเลยครับ ให้ลองสังเกตภาษาบาลีครับ ผมอ่านออก แต่ไม่รู้ความหมาย ต้องถามท่านริว ท่านอ่านบาลีออก ผมว่าบาลีฝึกใช้ทักษะจินตนาการมองสถานการณ์ที่คลุมเครือได้เป็นอย่างดี
.ทุกขํ วิปริณามธมฺมํ กลฺลํ นุ ตํ สมนุปสฺสิตุ เอตํ มม เอโสหมสฺมิ เอโส เม อตฺตาติ ?
ไม่จำเป้นค้องมีสระ ยิ่งน้อยเท่าไร ยิ่งมากเท่านั้น เราก็อ่านได้ ภาษากับลักาณะของคนในชนชาติแยกกันไม่ออก
พระพุทธเจ้า ท่านพุดภาษาบาลี ศาสนาพุทธเป็นศาสนาหลักเดียวในโลกที่ฝรั่งเป้นคนก่อตั้ง ทั้งคริส ทั้งอิสลาม ทั้งยิว เป็นคนเอเชียหมด มีแต่พุทธเท่านั้น พระพุทธเจ้าท่านเป็นชนเผ่าอารยัน อริยะ อารยันนั้นคือคนกรีก พระพุทธเจ้าท่านเป็นคนฝรั่ง นั่นเป็นสมมุติฐานของผม ท่านไม่ใช่คนอินเดีย ผมอาจผิด อะไรเป็นได้ทั้งนั้น
แตกร ฝกบบ คดยอนกลบ วล เขยน มนฝกสมอง ดด ตรยม พรอม น กร ลงทน สำหรบ นว rflxvty ดปน อยงด
ลองเอางานที่เขียนเก่าๆ ของใครก็ได้ ของ ดร.ก็ได้ครับ มาตัดสระ ตัดวรรณยุกต์ออก แล้วอ่านอีกครั้ง มันต้องเดา มันสนุกที่ต้องคิดล่วงหน้าว่าคำนี้หมายถึงอะไร ตัวอย่าง....ผมเอางานของผมมาตัด
สวสดครบ...
กลลวนครบ ตอนน pe ตลดสงสดนรอบ 8 ป
ผมมองวารยยอยรบไมตอปแล้ว ผมผดครบ อไรกเปนปด
หกคดตมปจจยพนฐน set ระดบ 640 น
invert ยอนกลบ GDP ปหนปรเทศทยตองตขนด 3 % ปนปดหมครบ
ผมมหนอไรชดจนตอนน ตลดอยบนควมคดหวง มนทำหตลดขนด
อกดน มนกทำหตลดลงรงด ควมชอมนตองมกอน
ดึงออกมานะครับ.....
อกดน มนกทำหตลดลงรงด ควมชอมนตองมกอน
อกดน มนกทำหตลดลงรงด ความเชื่อมันต้องมาก่อน
ลองผิด ลองถุก ไม่เสียตังค์ ลองเดาคำ เดาประโยค มองย้อนไปย้อนมา เหมือน invest first investigate later ลองอย่างนีไปนาน ๆ ลับสมอง ท่านจะได้ทักษะเพิ่ม ผมรับประกันได้ ลองจากคำง่ายๆ ไปยาก แล้วฝึก เขียน จากขวาไปซ้าย ข้อสังเกตประเด้นการเขียนจากขว_ไปซ้ายเป้นแบบทดสอบ ลองไป 3 ชม.ทุกวัน เมื่อเดาปรโยคถูกคำมกขึ้น มนจะกล_ยเป็นทักษ_ไปเอง ซื้อหุ้นถูกตัว ถูกจังวะ ถูกเวลา หลายๆ ครั้ง ความมั่นใจมันมาเอง ฝึกเขียนจากขวามาซ้าย เวลาเขียน จะบังคับให้เราต้อง invert คำนั้นก่อนเราจะเขียน ตัวอย่าง...
ผมกำลังเขียนจากซ้ายไปขวา
ซ้ายไปขวาจากเขียนกำลังผม
ภาษาไทยพัฒนาตัวอักษรมาให้เขียนจากซ้ายมาขวา บางคำเราต้องปรับหน่อยเท่านั้นเองครับ
เวลาเขียนลงกระดาษ ถ้าไม่คิดแบบ invert ในคำที่เขียน มันทำให้เราต้องเผื่อที่ว่างเอาไว้เสมอ เป้นฝึกการคิดแบบ margin of safety ไปในตัวครับ
ในอีก 10 ปีข้างหน้า ถึงจบตรี 2 ใบ โท 2 ใบ มันจะไม่มีความหมายอะไร ยุตอินเตอเนตทำ_ห้เด็กเรียนผ่านทางเนตเข้าหาความรู้กันได้ ทุกวิชาสาขา แต่สังคมแบบเนตจะทำให้สังคมไทยไม่ค้นคว้ากันอย่างจริงจัง คือจ_กลายเป็นสังคมเป็ดกัน การตอบกันในกระทู้ต่างๆ มีแนวโน้ม เอาแต่ตอบเร็วเข้าว่า _ม่คิดในลึกซึ้งในสิ่งที่ตอบ ตอบสั้น ๆ เท่านั้น นี่ไม่ใช่สังคมที่จะพัมนาไปถึงไหนได้ สังคมเว็บบอร์ดจะเป็นเนื้องอกให้กับเด็กรุ่นหลัง ถ้า 18 ยังไม่รู้ว่าตัวเองเก่งอะไร คือ ยัง_ม่มี circle of competence มันอาจสายไปแล้ว นั่นเป้นข้อสมุติฐานเท่านั้น เหมือนกับที่ผมเดาประโยคว่า ความเชื่อมันต้องมาก่อน
อกดน มนกทำหตลดลงรงด ความเชื่อมันต้องมาก่อน
ต้องคอยดูประโยคหน้าว่า มันสอดคล้องกับสิ่งที่เราตั้งสมมุติฐานหรือไม่ครับ
นั่คือเหตุลผที่เราต้องมีปรัชญาบางอย่างไว้ใช้มองสมมุติฐาน
---------------------
address ของ อ. เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์
ดังนั้น.....
ในอาชีพใดก็ต_ม ห_กคนๆนั้นมีความรู้จักอาชีพนั้นตั้ง_ต่เด็ก มีความมุ่งมั่นที่จะเป็นหนึ่งในอาชีพนั้น ไม่รอดแม้แต่คนเดียว คนๆนั้นต้องเป็นหนึ่งอย่างแน่นอน ประสบความสำเร็จ นี่คือสัจจธรรม นี่คือของจริง นี่คือความจริงที่เป็นไปได้ แต่มนุษย์พ่ายแพ้ต่อตัวมันเอง ความมุ่งมั่นและความอดทนของมันนั้นถูกเบี่ยงเบนด้วยอามิส เบี่ยงเบนด้วยอาชีพอื่น มันไม่อดทน ไม่ขยันหมั่นเพียร ความไม่รอคอย มนุษย์ที่ประสบความสำเร็จนั้น เขารู้จักรอคอย เขาไม่ใช่คนที่เห็นอะไรก็แ-ก กูเป็นสิงโต กูไม่ใช่หมาป่ากระจอก กูไม่กินตัวเล็กๆเสียเวลา กูรอคอยหลายวันก็ได้ ไม่ต้องกิน กูไม่ใช่หมาป่ากระจอก ไล่แ-กจิ้งหรีด ไม่มีอะไรจะแ-ก ไล่แ-กไส้เดือน เป็นคนโง่ ไม่มีสมอง คนที่เป็นสุดยอดนั้น เป็นสิงโตหมด รอจังหวะของการกิน รู้ว่าจะกินอย่างไร เหมือนตกปลาใหญ่กับปลาเล็ก คนโง่ก็ตกปลาเล็กน้ำตื้น คนฉลาดตกน้ำลึก วันหนึ่งได้ตัวเดียวพอ หรือ 3 วันได้ตัวเดียว เข้าใจไหม
ในวิธีคิดและการปฏิบัติ...
คิดแล้วต้องปฏิบัติ ตั้งเป้าแล้วต้องฏิบัติ ชีวิตไม่เคยมีอะไรที่เบี่ยงเบนตัวเอง แม้กระทั่งความตาย เป็นคนแข็งแรงมากดังนั้นจะไม่เบี่ยงเบน มนุษย์ผู้อื่นไม่มีสามารถบังคับใจกูได้ ต่อให้เป็นพ่อหรือแม่ ก็ไม่ได้ นี่คือมนุษย์ที่เกิดมาเพื่อเป้าหมายของตัวเอง ดังนั้นพ่อแม่เบี่ยงเบนลูกตลอดเวลา พ่อแม่ในสังคมไทยเป็นพ่อแม่ที่ใช้ไม่ได้ เป็นพ่อแม่ที่บล็อคความคิดสร้างสรรค์และจินตนาการของเด็ก สังคมไทยเป็นสังคมที่ยากที่จะเจริญก้าวหน้าเพราะไม่ให้อิสระในความคิดสร้างสรรค์ของเด็ก
ดังนั้น...
แม้พี่จะเป็นคนที่เกิดบ้านนอก เป็นครอบครัวเด็กต่างจังหวัด แต่เป็นคนที่ไม่เชื่อเลย กูไม่เคยเชื่อพ่อแม่เลย จะเป็นคนที่ไม่เชื่อเลย เพราะถือว่าชีวิตกูเดินทางด้วยตัวกูเอง ไม่ต้องมาชี้นำ และไม่สนใจในการชี้นำ เพราะไม่ใช่สิ่งที่ตัวเองชอบ ดังนั้นก็จะไม่เชื่อ เป้าหมายอะไรคือตรงนั้นเลย และเวลาที่ไม่ประสบความสำเร็จในชีวิต คนจะดูถูกเรา แต่ไม่เคยมีความเสียใจ ไม่เคยมีความพยาบาทอาฆาต หรืออยากจะกระทืบคนที่เคยดูถูก ไม่มี กูรู้อยู่แล้วว่าวันหนึ่งข้างหน้าพวกมึงต้องสยบ เพราะเวลาของกูยังมาไม่ถึง ดังนั้นกูเชื่อแน่ในความมุ่งมั่นของกูว่า กูไม่มีทางที่จะไม่ประสบความสำเร็จ แต่วันหนึ่งข้างหน้าเวลาของกูจะมาถึง
อันนี้คือสิ่งที่สังคมไทยไม่มี...
เด็กไทยไม่มี ล้มเหลวครั้งเดียวก็ถอดใจแล้ว ครั้งที่สองก็ไม่เอาแล้ว ครั้งที่สามหนีไปทำอาชีพอื่นแล้ว ไปไม่รอด นี่คือสิ่งที่ไร้เป้าหมาย คนที่มีเป้าหมายนั้นต้องหนักแน่นมั่นคงต่อเป้าหมายของตัวเอง พี่เป็นคนที่เข้าใจธรรมะดีตั้งแต่เด็ก รู้ดีว่าทุกอย่างในโลกนี้ มีความสำเร็จหมด มันมีความสำเร็จของมันเห็นอยู่แล้ว เป็นตัวอย่าง เป็นสัจจธรรมของความสำเร็จของผู้ที่มุ่งมั่น ในสายอาชีพของเราๆก็เห็นความสำเร็จของคนเก่ามันเดินรอเราอยู่ข้างหน้าแล้ว แล้วทำไมเราจะไม่ประสบความสำเร็จบ้าง หากในโลกนี้ไม่มีคนที่ประสบความสำเร็จเลย แล้วเราจะไปอย่างไร มนุษย์เราต้องเห็นสิ่งที่มนุษย์ทำอยู่ข้างหน้าแล้ว และทุกอาชีพมีความสำเร็จและทุกอาชีพมีเบอร์หนึ่ง
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Tra ... fault.aspx
----------------
ช่วงนั่งเครื่องบินกลับ เหมือนได้ฟัง พระคุยกันในวัด ผมกลับมาพร้อมคณะทัวที่ไปเที่ยว คนเหล่านี้ไปไหว้พระโดยเฉพาะ เป็นทัวมีอุดมการณ์ แต่มีเจตนารมณ์อันบริสุทธ์นาเลื่อมใสหรือปล่าว?
คนมาทัวมากราบไหว้สิ่งศักสิทธิ์แท้จริงในใจมีเรื่องทีเกี่ยวข้อง อย่างไรตัดเรื่องส่วนตัวไม่ขาด ถ้าพูดตามภาษาจิตว่าง ต้องบอกว่ายังมี "ของกรู" อยู่นั่นเอง
ถึงแม้ทุกคนพุดถึงเรื่องแนวทางของพระพุทธเจ้าและพูดถึงเรื่องส่งเสริมจิตว่างกันแถบทุกคน แต่ยิ่งพูดมาก ยิ่งจับได้ว่าจิตไม่ยักว่างอย่างที่พูด เพราะไม่ว่างจึง ยิดแน่นจิตว่าง เอาไว้ กลายเป้น จิตว่างของกรู นั่นหนักเข้าไปอีก ผมหาหลักฐานเอามายืนยันในสมมุติฐานผมมากขึ้น ผมอาจผิด อะไรก็เป็นไปได้ทั้งนั้น
มีท่านหนึ่ง เอายาจีน ของกรู มาอธิบายสรรพคุณมาอวดบอกว่า สามีกรู กินแล้วหายเป็นเก๊า แต่ต้องใช้ สูตรกรู ในการหมักกับเหล้าจีนเอาไว้ใน ไหกรู ที่ซื้อมาจากจีนโดยเฉพาะ อีกท่านหยิบ หยกกรู มาอวดสรรพคุณสรรเสริญว่าแก้เรื่องร้ายให้เป็นดี ลูกสาวกรู สอบเข้ามหา ลัยได้เพราะใส่ แหวนหยกกรู เข้าไปสอบด้วย มาอวดกัน พักใหญ่มีอาหารมาบริการ ต่างคนต่างชี้ให้ดูว่าตัวเองสั่งอะไรมา อาหาร กรู อันนั้นไม่อร่อย เจ้านี้เจ้านั่น ที่เยาวราชอร่อย ชวนไปกินกัน
อาหารบนเครื่องไม่อร่อยอย่าบอกใครทีเดียวครับ เขาเอามาให้กินอิ่ม ไม่ให้กินเอาอร่อย
กิเลสคน ล้วนคนเราเหมือนต้นหญ้าวัชพืช ถอนตรงนี้ไปขึ้นตรงนั้น ถอนกันทุกวัน ถอนตรงนี้มันไปงอกใหม่ไม่มีวันจบ คนที่ถอนหญ้าจนหมดจากใจผมไม่เคยเห็นสักที คนที่ถอนหญ้าในใจจนเตียนโล่งจะไม่คุยเรื่องการถอนหญ้า ไม่คุยเรื่องความเตียน เมื่อใจเตียนเสียเอง จะมีอะไรให้คุยอีก ไม่ห่วงว่าใครจะเตียน ไม่เตียน คนที่บอกให้คนอื่นถอนหญ้า มักมีหญ้ารกในใจตนเองไปหมด มันอาจผิด อะไรเป็นไปได้ทั้งนั้น
นั่งฟัง พระ คนมีธรรมะในหัวใจคุยกัน ผมขอตัว สึก จากเก้าอี้ตรงนั้นไปหาที่นั่งที่คนจิตไม่ว่างอย่างผมนั่งจะเหมาะสมกว่า มานั่งคิดแล้วตั้งเป็นสมมุติฐาน คนที่เข้าใจเรื่องจิตว่างจริง จะต้องไม่พุดเรื่องความว่างอีกต่อไป เหมือนต้นหญ้าที่เป้นวัชพืชในสวน ถอนตรงนี้ไปขึ้นตรงนั้น ถอนทุกวัน ถอนตรงนี้มันไปงอกใหม่ ไม่มีวันจบ คนที่ถอนหญ้าจนหมดจากใจ ผมไม่เคยเห็นสักที คนที่ถอนหญ้าในใจจนเตียนโล่ง จะต้องไม่คุยเรื่องการถอนหญ้า ไม่คุยเรื่องความเตียน เมื่อใจเตียนเสียเอง จะมีอะไรให้คุยอีก ไม่ห่วงว่าใครจะเตียน ไม่เตียน คนที่บอกให้คนอื่นถอนหญ้า มักมีหญ้ารกในใจตนเองไปหมด ที่กล่าวมาเป็นสมมุติฐานเท่านั้น อะไรก็เป็นไปทั้งนั้น
จะว่าสายการบินเขาต้องการประหยัดค่าอาหาร เอาอะไรถูกๆ มาบริการให้เรากิน มันก็ไม่ใช่ อาหารบนเครืองดูดีนะครับ ดูราคาแพง แต่กินแล้วรสชาติมันราคาถูก นี่ถ้าไปบ่นให้แม่ผมฟังเรื่องอาหารบนเครื่อง แม่จะบอกว่า ผมนี่มีสมองเป็นทรัพสิน แต่มีปากเป้นหนี้สิน
เรืองนี้เห็นจะเข้าทางสุภาษิตฝรั่งที่ว่า ถ้ามีใจพอให้ทุกคน สุดท้ายจะ
ไม่มีใครพอใจ
ผมลองสมมุติฐานว่า ยิ่งน้อยเท่าไร ยิ่งมากเท่านั้น บอกว่า ผมเป็นมัง ไม่ใช่ Mungerism ครับ .แต่เป็น มังสวิรัติ คราวหน้าจะลองบอกว่าขออาหาร โคเชอร์ ลองดุ ๆ ยังไม่เคยลอง เหตุผลไม่มีอะไรมากครับ เราจำกัดตัวเอง เพื่อให้ได้มากกว่า
เมื่อเราจำกัดขอบข่ายตัวเราเอง นั่นบอกว่าเราเป็นคนพิเศษและอาหารก้มักจะพิเศษตามไปด้วย ไม่เชื่ออย่าหลบลุ่ครับ โดยเฉพาะอาหารมังนี้ ผมจะบอกให้ ผลไม้เยอะกว่าปกติมากๆ ความจริงคือ การ กินอาหารประเภทเนื่อ ประเภทแป้งบนเครื่องไม่เหมาะอย่างมาก เนื้อมันย่อยยาก บนเครื่องมันมีที่จำกัด ส่วนใหญ่ กินแล้วก็นั่งทับข้าว ท้องมันจะอืด อืดแล้วมันก็ชอบตด อยากให้บนเครืองเขาสริพแต่อาหารมัง จะได้ไม่เหม็นตดคนอื่น บางทีเหม็นมาก นั่งข้างๆ กัน ดันตดไม่บอก มีขยับก้นให้กลิ่นกระจายอีก แม่มอยากจะบอกให้ "ไปขี่เลยไป๊"
ตัวเลือกในการกินยิ่งน้อยเท่าไร คุณภาพอาหารมักจะมากยิ่งขึ้น
เรื่องนี้ ใช้อธิบายเรื่องน้องเอที่ทำงานเก่าผมได้เป๊ะเลย น้องอีกคนทำตัวให้ยึดหยุ่นน้อยที่สุด โดยให้เหตุผลว่า พิมพ์ดีดไม่เก่ง ใคร ๆ จึง ให้เธอไปทำข่าวงานข้างนอก น้องคนนี้เหตุผลเยอะ ช่วงมีข่าวที่ต้องทำกันจนดึก ตอนประชุมเอเชียนซัมมิท ต้องอยู่กันถึง 3-4 ทุ่ม เธอจะรีบบอกว่า นัดกับหมดฟันไว้แล้ว เลือนไมได้ซะด้วย สารพัดเหตุผลครับ ขอให้ได้งานสบายๆ เธอจะงัดมาหมด เรื่องกำจัดตัวเองไว้เฉพาะใน circle หรือ ข้ออ้าง ไม่รู้คล้าย circle of competence ของ บัฟเฟต อย่างไรบ้าง แต่การขีดเส้นตัวเองให้แคบเหมือนน้องเออย่างนี้ กลับเป้นการเพิ่มโอกาสให้เธอเพิ่มขึ้น
แต่บางคนไม่ได้ขีด circle นี้ เอง แต่พ่อแม่ขีดให้..
ลุกสาวผมทั้งคู่ ที่บ้าน ตั้งแต่ ปู่ ย่า แฟน พี่เลี้ยง นี่ ขีดเส้น circle ที่ว่านี้ไว้ให้ลุกสาวคนเล้กตั้งแต่แรก คนโตเลยต้องยอมเสียเปรียบคนเล้กตลอด แล้วบางครั้งเขาก้รับไม่ได้ เช่น คนโตเล่นอะไร คนเล้กก็จะไปแย่ง แล้วทุกคนก็จะบอกว่า ให้น้องไปเถอะ น้องยังเล้กอยู่ คนโตบางครั้งก็ไม่ยอม ก็เลยตีกันประจำ นี่เข้าข่าย ยิ่งน้อยเท่าไร ยิ่งมากเท่านั้น
ลองยก circle ที่พ่อแม่ขีดให้ ยก "สระ วรรณยกต์" ที่พ่อแม่เป็นคนเติมให้ออกจากตัวลุกให้หมด แล้วให้เขา หา circle กันเอง
ยิ่งน้อยเท่าไหร่ ยิ่งมากเท่านั้นครับ....
อะไรก็เป็นได้ทั้งนั้นครับ สวัสดีครับ