
สวัสดีครับ....
ช่วงนี้ ช่วงหน้า และคงอีกหลายช่วง ยอดขายธุรกิจอาจไม่แจ่ม เป้าหมายความสำเร็จในปีนี้จะเป็นอย่างไร เป็นคำถามทีดูยิ่งใหญ่สำหรับผม เอาเป้นว่า..ผมเชื่อเรื่องพระเจ้า ปน kiosk thoery เพราะฉะนั้นสิ่งเดียวที่ผมทำได้กับอนาคตก็คือ ผมไม่กลัวมัน
เป้าหมายธุรกิจคือกำไร เป้าหมายเราคือคุ้มราคา ของฟรีไม่มีราคา ใคร ๆ ก็อยากลองชิมทั้งนั้น ในสถานการณ์ปัจจุบันของคนที่อยู่ในกรุงเทพ โดนทั้งสื่อ ข้อมูล การเปลี่ยนแปลงปะทะตลอด ยิ่งทำให้เราไม่มีเวลามานั่งคิดว่าสิ่งนั้นหมายความว่าอย่างไร ไม่มีพื้นที่มาคิดมาค้นมาตีความ สถานการณ์มันเปลียนเร็ว
เมื่อเย็น
ไปเดินโลตัส เริ่มเห็น kiosk ต่าง ๆ มาวางแจกตัวอย่างให้ชิมฟรี คนมุงมากกว่าปกติ ผมสังเกตช่วงอารมณ์คนในเมืองหดหู่ ของแจกจะเยอะ บริษัทต้องการทำตลาดในช่วงยากลำบาก คนกินฟรีเหมือนได้เปรียบในสถานการณ์ที่เสียเปรียบกันอย่างนี้ มันเป็นจิตวิทยา แล้วมันใช้ได้ดี มันมีแต่ win-win แต่มองอีกมุม เราอาจเสียเปรียบและไม่ win อย่างที่คิดตั้งแต่แรก
อย่างนม ใครกินไม่ได้ เพราะมีปัญหาเรื่องท้องไม่ย่อย ท้องคนเอเชียมันไม่ย่อยแลคตอส กินแล้วท้องเสีย ระวังเขาแจกฟรี กินไปบ่อยๆ ท้องมันปรับไปเอง เดี๋ยวก้กินได้ เดี๋ยวได้เสียตัง..ฮ่า
ของฟรีมันมีต้นทุน เขาไม่ยอมเสียเปรียบหรอก เขาชั่งเรื่องยอดขายที่เพิ่มขึ้นกับค่าใช้จ่ายในการแจกให้กินฟรีเสร็จสรรพเรียบร้อย เขาไม่ใช่องกรการกุศล สินค้าบางอย่างแจกฟรีได้ บางอย่างไม่เหมาะ รสชาติอร่อยอย่างเดียวไม่พอ มันเกี่ยวกับการสร้างความจงรักภักดีกับสินค้า ที่คุณจะหันกลับมาซื้อของเขาอีกในระยะยาว เพื่อให้คุ้มกับค่าของที่เขาแจกคุณไปตั้งแต่แรก ภาษาธุรกิจเขาเรียก loyalty ภาษาจิตวิทยาเขาเรียกอีกแบบ เขาเรียกว่า อาการเสพติด เปลี่ยนพฤติกรรมของเราจากแค่ ต้องการ ให้เป็น จำเป็น ก็เท่านั้น..ฮ่า
ผมเคยติดแอลกอฮอ ยังติดกาแฟอยู่ โค๊กเลิกแล้ว เคยติดกินของหวาน แต่เลิกเพราะเบาหวานถามหา หลายคนติดผงชูรส คนไทยติดผงชูรสมากๆ ลุก ๆ ติดกินลุกอม ติดกินไอติม ติดน้ำตาล แต่ก่อนผมติดกินชีส มันมีโปรตีนนมเยอะ เพื่อนคนหนึ่งเรียน food science เคยบอกมันมีสารตัวหนึ่งที่ชื่อว่า casomorphines อยู่ด้วย สังเกตไอ้ตัวหลัง อ่านว่ามอฟีน เราเลยเลิกกิน เพราะไม่อยากติด ยังมีอะไรอีกเยอะที่เราไม่รู้ที่ทำให้เราติดได้ ถึงเขารู้เขาก็ไม่บอกหมด เดี๋ยวนี้กินอะไรก้ใส่ MSG ไปหมด ไก่ทอด ข้าวโพดคั่วยังใส่เจ้าผงนี้ น้ำสลัดยังมี ลิ้นเราเคลือบผงชูรสกันหมด คราวนี้คุณรู้แล้วว่า ของแจกให้ชิมฟรี คุณอาจเสียเปรียบได้ตลอดเวลา เพราะมันทำให้คุณติดได้ เรื่องนี้เกี่ยวกับ EQ .
คิดถึงประโยคที่ วอเร็น บัฟเฟตเคยบอกประมาณว่า โลกของการลงทุน มันอยู่ที่ EQ ไม่ใช่ IQ แต่ดูเหมือนบัฟเฟตอธิบายไม่หมด ชาวยิวเขาเข้าใจข้อนีดี เขาเลยสอนให้รู้จัก หลักแห่งความไม่สะดวกสบาย ให้เรารู้จักว่าไม่ควรพอใจกับสภาพที่เป้นอยู่ แม้กระทั่งความสุข ความสะดวกสบายและความมั่นคงในการเงิน
คือถ้าเรารู้สึกสบาย เราจะยอมรับสิ่งต่างๆ เราจะหยุดคิด แล้วกลายเป้นส่วนหนึ่งของฝูงชน คล้อยตามคนส่วนใหญ่ แต่เพราะคุณลักษณะของชาวยิวที่ต้องระหกระเหินตลอดเวลา ทำให้พวกเขารู้อย่างท่องแท้ว่า ความเป้นอิสระจากความเชื่อในอดีต เป็นตัวขัดขวางให้เราคิดและสูญเสียความสามารถในการมองเห้นสิ่งต่างๆ การไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่คนส่วนใหญ่ทำจึงเป้นลักษณะของคนยิวที่เห้นได้ชัด และ การเข้าใจเรื่อง Mr.Market จึงเป้นคุณสมบัติที่มาค่ามากกว่าทองซะอีก
เมื่อประสาทสัมผัสเราเริ่มคุ้นเคยกับบางอย่าง เหมือนเรากำลังเสพติด ความคิดสร้างสรรค์มันเกิดได้ยาก ชาวยิวเขาสอนให้เปลี่ยนสถานที่คิด ไปเจอสิ่งแวดล้อมที่หลากหลาย ไปหาแรงกระตุ้นในสถานที่แห่งใหม่ ลองนึกถึงตอนเรากลับจากต่างประเทศ เรารู้สึกมองสิ่งที่บ้านเราต่างออกไป เหมือนขอบข่ายแห่งการรับรู้ของเราแตกต่างออกไป แล้วเราก็ดึงเอา ความสามารถ EQ ที่แท้จริงของเราออกมาใช้ได้ เพราะเราเป็นอิสระจากสภาพแวดล้อมที่เราเคยอยู่
EQ ที่บัฟเฟตบอกก็คือ การรู้จัก Mr.Market นั่นเอง
งานวิจัยชินหนึ่งบอกว่า สมองคนเราได้รับการออกแบบให้ชอบค้นหาแนวโน้ม หลังจากเหตุการณ์มีรุปแบบเกิดขึ้นบ่อยๆ สามครั้งติดต่อกัน สมองเราที่เรียกว่า Anterior cingulate และ Nucleus accumbens จะคากการณ์โดยอัตโนมัติว่า มันจะเกิดขึ้นอีก และถ้ามันเกิดจริงๆ สารเคมีที่มีชือว่า โดปามีน ก็จะรีบหลังออกมาทำให้เรามีความสุข วันไหนเห็นราคาหุ้นที่ตัวเองซื้อขึ้นไปเรื่อยๆ สารตัวนี้ละครับจะหลั่งออกมา เมื่อถึงตอนนั้น เราอาจจะเสพติดการคาดการณ์ของตัวเองเหมือนอาหารที่เรากิน
Shalom.