แล้วให้เขา หา circle กันเอง ยิ่งน้อยเท่าไหร่ ยิ่งมากเท่านั้น
-
- Verified User
- โพสต์: 1961
- ผู้ติดตาม: 0
แล้วให้เขา หา circle กันเอง ยิ่งน้อยเท่าไหร่ ยิ่งมากเท่านั้น
โพสต์ที่ 1
มี Pm มาถามผมว่า เขาจะฝึกมองแบบ reflexivity อย่างไรดี
ถามท่านริวเลยครับ ให้ลองสังเกตภาษาบาลีครับ ผมอ่านออก แต่ไม่รู้ความหมาย ต้องถามท่านริว ท่านอ่านบาลีออก ผมว่าบาลีฝึกใช้ทักษะจินตนาการมองสถานการณ์ที่คลุมเครือได้เป็นอย่างดี
.ทุกขํ วิปริณามธมฺมํ กลฺลํ นุ ตํ สมนุปสฺสิตุ เอตํ มม เอโสหมสฺมิ เอโส เม อตฺตาติ ?
ไม่จำเป้นค้องมีสระ ยิ่งน้อยเท่าไร ยิ่งมากเท่านั้น เราก็อ่านได้ ภาษากับลักาณะของคนในชนชาติแยกกันไม่ออก
พระพุทธเจ้า ท่านพุดภาษาบาลี ศาสนาพุทธเป็นศาสนาหลักเดียวในโลกที่ฝรั่งเป้นคนก่อตั้ง ทั้งคริส ทั้งอิสลาม ทั้งยิว เป็นคนเอเชียหมด มีแต่พุทธเท่านั้น พระพุทธเจ้าท่านเป็นชนเผ่าอารยัน อริยะ อารยันนั้นคือคนกรีก พระพุทธเจ้าท่านเป็นคนฝรั่ง นั่นเป็นสมมุติฐานของผม ท่านไม่ใช่คนอินเดีย ผมอาจผิด อะไรเป็นได้ทั้งนั้น
แตกร ฝกบบ คดยอนกลบ วล เขยน มนฝกสมอง ดด ตรยม พรอม น กร ลงทน สำหรบ นว rflxvty ดปน อยงด
ลองเอางานที่เขียนเก่าๆ ของใครก็ได้ ของ ดร.ก็ได้ครับ มาตัดสระ ตัดวรรณยุกต์ออก แล้วอ่านอีกครั้ง มันต้องเดา มันสนุกที่ต้องคิดล่วงหน้าว่าคำนี้หมายถึงอะไร ตัวอย่าง....ผมเอางานของผมมาตัด
สวสดครบ...
กลลวนครบ ตอนน pe ตลดสงสดนรอบ 8 ป
ผมมองวารยยอยรบไมตอปแล้ว ผมผดครบ อไรกเปนปด
หกคดตมปจจยพนฐน set ระดบ 640 น
invert ยอนกลบ GDP ปหนปรเทศทยตองตขนด 3 % ปนปดหมครบ
ผมมหนอไรชดจนตอนน ตลดอยบนควมคดหวง มนทำหตลดขนด
อกดน มนกทำหตลดลงรงด ควมชอมนตองมกอน
ดึงออกมานะครับ.....
อกดน มนกทำหตลดลงรงด ควมชอมนตองมกอน
อกดน มนกทำหตลดลงรงด ความเชื่อมันต้องมาก่อน
ลองผิด ลองถุก ไม่เสียตังค์ ลองเดาคำ เดาประโยค มองย้อนไปย้อนมา เหมือน invest first investigate later ลองอย่างนีไปนาน ๆ ลับสมอง ท่านจะได้ทักษะเพิ่ม ผมรับประกันได้ ลองจากคำง่ายๆ ไปยาก แล้วฝึก เขียน จากขวาไปซ้าย ข้อสังเกตประเด้นการเขียนจากขว_ไปซ้ายเป้นแบบทดสอบ ลองไป 3 ชม.ทุกวัน เมื่อเดาปรโยคถูกคำมกขึ้น มนจะกล_ยเป็นทักษ_ไปเอง ซื้อหุ้นถูกตัว ถูกจังวะ ถูกเวลา หลายๆ ครั้ง ความมั่นใจมันมาเอง ฝึกเขียนจากขวามาซ้าย เวลาเขียน จะบังคับให้เราต้อง invert คำนั้นก่อนเราจะเขียน ตัวอย่าง...
ผมกำลังเขียนจากซ้ายไปขวา
ซ้ายไปขวาจากเขียนกำลังผม
ภาษาไทยพัฒนาตัวอักษรมาให้เขียนจากซ้ายมาขวา บางคำเราต้องปรับหน่อยเท่านั้นเองครับ
เวลาเขียนลงกระดาษ ถ้าไม่คิดแบบ invert ในคำที่เขียน มันทำให้เราต้องเผื่อที่ว่างเอาไว้เสมอ เป้นฝึกการคิดแบบ margin of safety ไปในตัวครับ
ในอีก 10 ปีข้างหน้า ถึงจบตรี 2 ใบ โท 2 ใบ มันจะไม่มีความหมายอะไร ยุตอินเตอเนตทำ_ห้เด็กเรียนผ่านทางเนตเข้าหาความรู้กันได้ ทุกวิชาสาขา แต่สังคมแบบเนตจะทำให้สังคมไทยไม่ค้นคว้ากันอย่างจริงจัง คือจ_กลายเป็นสังคมเป็ดกัน การตอบกันในกระทู้ต่างๆ มีแนวโน้ม เอาแต่ตอบเร็วเข้าว่า _ม่คิดในลึกซึ้งในสิ่งที่ตอบ ตอบสั้น ๆ เท่านั้น นี่ไม่ใช่สังคมที่จะพัมนาไปถึงไหนได้ สังคมเว็บบอร์ดจะเป็นเนื้องอกให้กับเด็กรุ่นหลัง ถ้า 18 ยังไม่รู้ว่าตัวเองเก่งอะไร คือ ยัง_ม่มี circle of competence มันอาจสายไปแล้ว นั่นเป้นข้อสมุติฐานเท่านั้น เหมือนกับที่ผมเดาประโยคว่า ความเชื่อมันต้องมาก่อน
อกดน มนกทำหตลดลงรงด ความเชื่อมันต้องมาก่อน
ต้องคอยดูประโยคหน้าว่า มันสอดคล้องกับสิ่งที่เราตั้งสมมุติฐานหรือไม่ครับ
นั่คือเหตุลผที่เราต้องมีปรัชญาบางอย่างไว้ใช้มองสมมุติฐาน
---------------------
address ของ อ. เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์
ดังนั้น.....
ในอาชีพใดก็ต_ม ห_กคนๆนั้นมีความรู้จักอาชีพนั้นตั้ง_ต่เด็ก มีความมุ่งมั่นที่จะเป็นหนึ่งในอาชีพนั้น ไม่รอดแม้แต่คนเดียว คนๆนั้นต้องเป็นหนึ่งอย่างแน่นอน ประสบความสำเร็จ นี่คือสัจจธรรม นี่คือของจริง นี่คือความจริงที่เป็นไปได้ แต่มนุษย์พ่ายแพ้ต่อตัวมันเอง ความมุ่งมั่นและความอดทนของมันนั้นถูกเบี่ยงเบนด้วยอามิส เบี่ยงเบนด้วยอาชีพอื่น มันไม่อดทน ไม่ขยันหมั่นเพียร ความไม่รอคอย มนุษย์ที่ประสบความสำเร็จนั้น เขารู้จักรอคอย เขาไม่ใช่คนที่เห็นอะไรก็แ-ก กูเป็นสิงโต กูไม่ใช่หมาป่ากระจอก กูไม่กินตัวเล็กๆเสียเวลา กูรอคอยหลายวันก็ได้ ไม่ต้องกิน กูไม่ใช่หมาป่ากระจอก ไล่แ-กจิ้งหรีด ไม่มีอะไรจะแ-ก ไล่แ-กไส้เดือน เป็นคนโง่ ไม่มีสมอง คนที่เป็นสุดยอดนั้น เป็นสิงโตหมด รอจังหวะของการกิน รู้ว่าจะกินอย่างไร เหมือนตกปลาใหญ่กับปลาเล็ก คนโง่ก็ตกปลาเล็กน้ำตื้น คนฉลาดตกน้ำลึก วันหนึ่งได้ตัวเดียวพอ หรือ 3 วันได้ตัวเดียว เข้าใจไหม
ในวิธีคิดและการปฏิบัติ...
คิดแล้วต้องปฏิบัติ ตั้งเป้าแล้วต้องฏิบัติ ชีวิตไม่เคยมีอะไรที่เบี่ยงเบนตัวเอง แม้กระทั่งความตาย เป็นคนแข็งแรงมากดังนั้นจะไม่เบี่ยงเบน มนุษย์ผู้อื่นไม่มีสามารถบังคับใจกูได้ ต่อให้เป็นพ่อหรือแม่ ก็ไม่ได้ นี่คือมนุษย์ที่เกิดมาเพื่อเป้าหมายของตัวเอง ดังนั้นพ่อแม่เบี่ยงเบนลูกตลอดเวลา พ่อแม่ในสังคมไทยเป็นพ่อแม่ที่ใช้ไม่ได้ เป็นพ่อแม่ที่บล็อคความคิดสร้างสรรค์และจินตนาการของเด็ก สังคมไทยเป็นสังคมที่ยากที่จะเจริญก้าวหน้าเพราะไม่ให้อิสระในความคิดสร้างสรรค์ของเด็ก
ดังนั้น...
แม้พี่จะเป็นคนที่เกิดบ้านนอก เป็นครอบครัวเด็กต่างจังหวัด แต่เป็นคนที่ไม่เชื่อเลย กูไม่เคยเชื่อพ่อแม่เลย จะเป็นคนที่ไม่เชื่อเลย เพราะถือว่าชีวิตกูเดินทางด้วยตัวกูเอง ไม่ต้องมาชี้นำ และไม่สนใจในการชี้นำ เพราะไม่ใช่สิ่งที่ตัวเองชอบ ดังนั้นก็จะไม่เชื่อ เป้าหมายอะไรคือตรงนั้นเลย และเวลาที่ไม่ประสบความสำเร็จในชีวิต คนจะดูถูกเรา แต่ไม่เคยมีความเสียใจ ไม่เคยมีความพยาบาทอาฆาต หรืออยากจะกระทืบคนที่เคยดูถูก ไม่มี กูรู้อยู่แล้วว่าวันหนึ่งข้างหน้าพวกมึงต้องสยบ เพราะเวลาของกูยังมาไม่ถึง ดังนั้นกูเชื่อแน่ในความมุ่งมั่นของกูว่า กูไม่มีทางที่จะไม่ประสบความสำเร็จ แต่วันหนึ่งข้างหน้าเวลาของกูจะมาถึง
อันนี้คือสิ่งที่สังคมไทยไม่มี...
เด็กไทยไม่มี ล้มเหลวครั้งเดียวก็ถอดใจแล้ว ครั้งที่สองก็ไม่เอาแล้ว ครั้งที่สามหนีไปทำอาชีพอื่นแล้ว ไปไม่รอด นี่คือสิ่งที่ไร้เป้าหมาย คนที่มีเป้าหมายนั้นต้องหนักแน่นมั่นคงต่อเป้าหมายของตัวเอง พี่เป็นคนที่เข้าใจธรรมะดีตั้งแต่เด็ก รู้ดีว่าทุกอย่างในโลกนี้ มีความสำเร็จหมด มันมีความสำเร็จของมันเห็นอยู่แล้ว เป็นตัวอย่าง เป็นสัจจธรรมของความสำเร็จของผู้ที่มุ่งมั่น ในสายอาชีพของเราๆก็เห็นความสำเร็จของคนเก่ามันเดินรอเราอยู่ข้างหน้าแล้ว แล้วทำไมเราจะไม่ประสบความสำเร็จบ้าง หากในโลกนี้ไม่มีคนที่ประสบความสำเร็จเลย แล้วเราจะไปอย่างไร มนุษย์เราต้องเห็นสิ่งที่มนุษย์ทำอยู่ข้างหน้าแล้ว และทุกอาชีพมีความสำเร็จและทุกอาชีพมีเบอร์หนึ่ง
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Tra ... fault.aspx
----------------
ช่วงนั่งเครื่องบินกลับ เหมือนได้ฟัง พระคุยกันในวัด ผมกลับมาพร้อมคณะทัวที่ไปเที่ยว คนเหล่านี้ไปไหว้พระโดยเฉพาะ เป็นทัวมีอุดมการณ์ แต่มีเจตนารมณ์อันบริสุทธ์นาเลื่อมใสหรือปล่าว?
คนมาทัวมากราบไหว้สิ่งศักสิทธิ์แท้จริงในใจมีเรื่องทีเกี่ยวข้อง อย่างไรตัดเรื่องส่วนตัวไม่ขาด ถ้าพูดตามภาษาจิตว่าง ต้องบอกว่ายังมี "ของกรู" อยู่นั่นเอง
ถึงแม้ทุกคนพุดถึงเรื่องแนวทางของพระพุทธเจ้าและพูดถึงเรื่องส่งเสริมจิตว่างกันแถบทุกคน แต่ยิ่งพูดมาก ยิ่งจับได้ว่าจิตไม่ยักว่างอย่างที่พูด เพราะไม่ว่างจึง ยิดแน่นจิตว่าง เอาไว้ กลายเป้น จิตว่างของกรู นั่นหนักเข้าไปอีก ผมหาหลักฐานเอามายืนยันในสมมุติฐานผมมากขึ้น ผมอาจผิด อะไรก็เป็นไปได้ทั้งนั้น
มีท่านหนึ่ง เอายาจีน ของกรู มาอธิบายสรรพคุณมาอวดบอกว่า สามีกรู กินแล้วหายเป็นเก๊า แต่ต้องใช้ สูตรกรู ในการหมักกับเหล้าจีนเอาไว้ใน ไหกรู ที่ซื้อมาจากจีนโดยเฉพาะ อีกท่านหยิบ หยกกรู มาอวดสรรพคุณสรรเสริญว่าแก้เรื่องร้ายให้เป็นดี ลูกสาวกรู สอบเข้ามหา ลัยได้เพราะใส่ แหวนหยกกรู เข้าไปสอบด้วย มาอวดกัน พักใหญ่มีอาหารมาบริการ ต่างคนต่างชี้ให้ดูว่าตัวเองสั่งอะไรมา อาหาร กรู อันนั้นไม่อร่อย เจ้านี้เจ้านั่น ที่เยาวราชอร่อย ชวนไปกินกัน
อาหารบนเครื่องไม่อร่อยอย่าบอกใครทีเดียวครับ เขาเอามาให้กินอิ่ม ไม่ให้กินเอาอร่อย
กิเลสคน ล้วนคนเราเหมือนต้นหญ้าวัชพืช ถอนตรงนี้ไปขึ้นตรงนั้น ถอนกันทุกวัน ถอนตรงนี้มันไปงอกใหม่ไม่มีวันจบ คนที่ถอนหญ้าจนหมดจากใจผมไม่เคยเห็นสักที คนที่ถอนหญ้าในใจจนเตียนโล่งจะไม่คุยเรื่องการถอนหญ้า ไม่คุยเรื่องความเตียน เมื่อใจเตียนเสียเอง จะมีอะไรให้คุยอีก ไม่ห่วงว่าใครจะเตียน ไม่เตียน คนที่บอกให้คนอื่นถอนหญ้า มักมีหญ้ารกในใจตนเองไปหมด มันอาจผิด อะไรเป็นไปได้ทั้งนั้น
นั่งฟัง พระ คนมีธรรมะในหัวใจคุยกัน ผมขอตัว สึก จากเก้าอี้ตรงนั้นไปหาที่นั่งที่คนจิตไม่ว่างอย่างผมนั่งจะเหมาะสมกว่า มานั่งคิดแล้วตั้งเป็นสมมุติฐาน คนที่เข้าใจเรื่องจิตว่างจริง จะต้องไม่พุดเรื่องความว่างอีกต่อไป เหมือนต้นหญ้าที่เป้นวัชพืชในสวน ถอนตรงนี้ไปขึ้นตรงนั้น ถอนทุกวัน ถอนตรงนี้มันไปงอกใหม่ ไม่มีวันจบ คนที่ถอนหญ้าจนหมดจากใจ ผมไม่เคยเห็นสักที คนที่ถอนหญ้าในใจจนเตียนโล่ง จะต้องไม่คุยเรื่องการถอนหญ้า ไม่คุยเรื่องความเตียน เมื่อใจเตียนเสียเอง จะมีอะไรให้คุยอีก ไม่ห่วงว่าใครจะเตียน ไม่เตียน คนที่บอกให้คนอื่นถอนหญ้า มักมีหญ้ารกในใจตนเองไปหมด ที่กล่าวมาเป็นสมมุติฐานเท่านั้น อะไรก็เป็นไปทั้งนั้น
จะว่าสายการบินเขาต้องการประหยัดค่าอาหาร เอาอะไรถูกๆ มาบริการให้เรากิน มันก็ไม่ใช่ อาหารบนเครืองดูดีนะครับ ดูราคาแพง แต่กินแล้วรสชาติมันราคาถูก นี่ถ้าไปบ่นให้แม่ผมฟังเรื่องอาหารบนเครื่อง แม่จะบอกว่า ผมนี่มีสมองเป็นทรัพสิน แต่มีปากเป้นหนี้สิน
เรืองนี้เห็นจะเข้าทางสุภาษิตฝรั่งที่ว่า ถ้ามีใจพอให้ทุกคน สุดท้ายจะ
ไม่มีใครพอใจ
ผมลองสมมุติฐานว่า ยิ่งน้อยเท่าไร ยิ่งมากเท่านั้น บอกว่า ผมเป็นมัง ไม่ใช่ Mungerism ครับ .แต่เป็น มังสวิรัติ คราวหน้าจะลองบอกว่าขออาหาร โคเชอร์ ลองดุ ๆ ยังไม่เคยลอง เหตุผลไม่มีอะไรมากครับ เราจำกัดตัวเอง เพื่อให้ได้มากกว่า
เมื่อเราจำกัดขอบข่ายตัวเราเอง นั่นบอกว่าเราเป็นคนพิเศษและอาหารก้มักจะพิเศษตามไปด้วย ไม่เชื่ออย่าหลบลุ่ครับ โดยเฉพาะอาหารมังนี้ ผมจะบอกให้ ผลไม้เยอะกว่าปกติมากๆ ความจริงคือ การ กินอาหารประเภทเนื่อ ประเภทแป้งบนเครื่องไม่เหมาะอย่างมาก เนื้อมันย่อยยาก บนเครื่องมันมีที่จำกัด ส่วนใหญ่ กินแล้วก็นั่งทับข้าว ท้องมันจะอืด อืดแล้วมันก็ชอบตด อยากให้บนเครืองเขาสริพแต่อาหารมัง จะได้ไม่เหม็นตดคนอื่น บางทีเหม็นมาก นั่งข้างๆ กัน ดันตดไม่บอก มีขยับก้นให้กลิ่นกระจายอีก แม่มอยากจะบอกให้ "ไปขี่เลยไป๊"
ตัวเลือกในการกินยิ่งน้อยเท่าไร คุณภาพอาหารมักจะมากยิ่งขึ้น
เรื่องนี้ ใช้อธิบายเรื่องน้องเอที่ทำงานเก่าผมได้เป๊ะเลย น้องอีกคนทำตัวให้ยึดหยุ่นน้อยที่สุด โดยให้เหตุผลว่า พิมพ์ดีดไม่เก่ง ใคร ๆ จึง ให้เธอไปทำข่าวงานข้างนอก น้องคนนี้เหตุผลเยอะ ช่วงมีข่าวที่ต้องทำกันจนดึก ตอนประชุมเอเชียนซัมมิท ต้องอยู่กันถึง 3-4 ทุ่ม เธอจะรีบบอกว่า นัดกับหมดฟันไว้แล้ว เลือนไมได้ซะด้วย สารพัดเหตุผลครับ ขอให้ได้งานสบายๆ เธอจะงัดมาหมด เรื่องกำจัดตัวเองไว้เฉพาะใน circle หรือ ข้ออ้าง ไม่รู้คล้าย circle of competence ของ บัฟเฟต อย่างไรบ้าง แต่การขีดเส้นตัวเองให้แคบเหมือนน้องเออย่างนี้ กลับเป้นการเพิ่มโอกาสให้เธอเพิ่มขึ้น
แต่บางคนไม่ได้ขีด circle นี้ เอง แต่พ่อแม่ขีดให้..
ลุกสาวผมทั้งคู่ ที่บ้าน ตั้งแต่ ปู่ ย่า แฟน พี่เลี้ยง นี่ ขีดเส้น circle ที่ว่านี้ไว้ให้ลุกสาวคนเล้กตั้งแต่แรก คนโตเลยต้องยอมเสียเปรียบคนเล้กตลอด แล้วบางครั้งเขาก้รับไม่ได้ เช่น คนโตเล่นอะไร คนเล้กก็จะไปแย่ง แล้วทุกคนก็จะบอกว่า ให้น้องไปเถอะ น้องยังเล้กอยู่ คนโตบางครั้งก็ไม่ยอม ก็เลยตีกันประจำ นี่เข้าข่าย ยิ่งน้อยเท่าไร ยิ่งมากเท่านั้น
ลองยก circle ที่พ่อแม่ขีดให้ ยก "สระ วรรณยกต์" ที่พ่อแม่เป็นคนเติมให้ออกจากตัวลุกให้หมด แล้วให้เขา หา circle กันเอง
ยิ่งน้อยเท่าไหร่ ยิ่งมากเท่านั้นครับ....
อะไรก็เป็นได้ทั้งนั้นครับ สวัสดีครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 1961
- ผู้ติดตาม: 0
แล้วให้เขา หา circle กันเอง ยิ่งน้อยเท่าไหร่ ยิ่งมากเท่านั้น
โพสต์ที่ 3
สวัสดีครับท่าน Voldtrest
ผมต้องขอโทษครับ
ผมคิดไม่รอบครอบ
ผมไม่ตั้งใจทำร้ายจิตใจใครครับ
ผมว่าเรามีกางเกงในตัวเองกำไรชีวิตแล้ว
วันแม่ที่ผ่านมา ผมเขียนบทความขั้นมาครับ
ผมพูดซึ้งไม่เป็น ผมเข้าไปกอดแม่ หอมแม่ แล้วขอโทษในปีที่ผ่านมาว่าผมทำอะไรให้แม่เสียใจบ้าง
ผมทำอย่างนี้ทุกปี เรื่องของแม่เป็นความรักที่ละเอียดอ่อนอย่างมาก
ผมมีความพยายามจะทำความเข้าใจกับทุกสิ่งทุกอย่าง ถ้ามันไม่ตรงกับสิ่งที่ผมคิด
แล้วผมจะคิดไปอีกทางในด้านตรงข้ามทันที ผมจะถามว่า
มันไม่ชอบมาพากลแล้ว มันผิดตรงไหน
การทำเข้าใจกับตัวเราเองต้องได้รับความสนใจก่อนอื่น
การทำความเข้าใจตนเองเป็นปัญหาสำคัญที่จำเป็นได้รับการทำความเข้าใจเช่นกัน
เพราะยิ่งเราตีความหมายในเชิงนามธรรมมากเท่าไร เราจะเอาไปใช้ในเชิงรุปธรรมมากเท่านั้น
วันแม่วันนี้ ผมอธิษฐานพระเจ้าให้แม่กับลูกทุกคุนมีความเข้าใจที่ดีต่อกัน
การทำความเข้าใจทฤษฎีความเป็นแม่อาจเริ่มต้นที่การรับรู้ของแม่ว่ามีที่มาที่ไปอย่างไร
ในวัยเด็ก แม่ถูกเลี้ยงมาอย่างไร เริ่มด้วยการเข้าใจชีวิตของแม่และสังคมที่แม่โตขึ้นมา
ชีวิตแม่คืออะไร?
เพียงถามแค่นี้ แม่ก็จำเป็นที่มองตัวเองในเชิงผูกพันธ์กับลูก
ปัญหาก็คือแม่มีทัศนะที่ไม่สามารถแยกตัวเองออกจากลูกได้เลย
นั่นเป็นสิ่งที่ค่อนข้างมหัศจรรย์
โดยพื้นฐานแล้ว ทัศนะเกี่ยวกับลูกของแม่คนใดคนหนึ่งอาจเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้องและบิดเบือน
ผมจำได้ว่า มีชายคนหนึ่งสั่งฆ่าคน ถูกจับเข้าคุก
ศาลตัดสินประหารชีวิต แต่เมื่อนักข่าวไปถามแม่ของเขา
แม่บอกว่า เป้นไปไมได้ ลุกของเขาเป็นคนดี จะทำอย่างนั้นได้อย่างไร
จุดที่ผมสนใจคือ ความบิดเบือนดังกล่าวจะมีผลต่อสถานการณ์ในอนาคตอย่างไร
หลังจากที่ทำความเข้าใจเรื่องแม่อย่างกว้างๆ คราวนี้ถึงเวลาที่จะพิจารณาตลาดหุ้นบ้าง
ปัญหาคือคนส่วนใหญ่ประเมิณความเป็นไปของราคาหุ้นด้วยตรรกะ
นักลงทุนมีความรู้เกี่ยวกับหุ้นที่ลงทุนเป็นอย่างดี
ราคาหุ้นได้รับการกำหนดมูลค่าอย่างถูกต้อง
ราคาหุ้นยังคงมีเหตุผลเมือ่เทียบกับกับการคิดลดรายได้ในอนาคต
นั่นคือสมมุติฐานที่ทรงพลังอย่างมาก
สมมุติฐานที่เชื่อว่าโลกใบนี้มีเหตุผลอย่างสมบูรณ์แบบ
ราคาจะสะท้อนให้เห้นถึงข้อมูลทั้งหมดในเวลาที่สมควร
ผมไม่ถนัดมองด้านนั้น ผมถัดมองในด้านที่ราคาตั้งอยู๋บนพื้นฐานของความคาดหวัง
เหมือนลูกที่ตั้งอยู่บนความคาดหวังของแม่
ไม่ใช่ตั้งอยู่บนความคาดหวังของตนเอง
ความบิดเบื่อนอยู๋ตรงนั้น และมันจะมีผลอย่างไรเป็นสิ่งที่ต้องพิจรณาเช่นกัน
การหยั่งรู้เรื่องต่างๆ เราตั้งคำถามว่าเหตุการณ์หนึ่งๆ มีอคติมาเกี่ยวข้องเสมอ
และบทบาทของอคติที่ทำให้โลกนี้ไม่สมบูรณืไปเสียทุกอย่างมีอิทธิพลต่อสิ่งใดอย่างไรบ้าง
วันแม่เป็นวันแห่งการพิจรณาอคติเหล่านั้น
อคติของแม่อาจส่งผลกับลูกคนหนึ่งไปตลอดทั้งชีวิตของเขาอย่างไรบ้าง
ความรักในครอบครัวอาจไร้ดุลยภาพมาตั้งนานแล้ว
วันนี้เป็นวันดีที่จะทำความเข้าใจกับกระบวนการที่ไร้ดุลยภาพอย่างนั้น
ความรักแม่ไม่ใช่วิทยาศาสตร์ ความรักแม่เป้นสังคมศาสตร์
ตลาดหุ้นก็ไม่ใช่วิทยาศาสตร์เช่นกัน
หากตลาดเป็นวิทยาศาสตร์ มันไม่ควรมีความผันผวนมากขนาดนั้น
เพราะคนเป้นหัวใจสำคัญทั้งหมดของตลาด
การคิดเรื่องอนาคตของตลาดเป็นสิ่งที่มีอคติและไม่เป็นกลาง
สิ่งที่ความเชื่อทำคือ การเปลี่ยนแปลงข้อเท็จจริง
จำวันเด็กได้ไหมครับ..
อภิสิทธิ์ มาร์ค อภิสิทธิ์ ครูเคยคิดใฝ่ฝัน อย่างมั่นเหมาะ
อยากได้ศิษย์เช่นเธอ เพ้อเฉพาะ เกินจักเสาะสืบหา กลับมาพบ
เธอมีแววแพรวเพริศ บรรเจิดจ้า คมความคิดแกล้วกล้า มาบรรจบ
กับปัญญาเข้มข้น ครันครบ ครูคงพบคนดี ศรีอยุธย์
ชาติต้องการผู้นำ มีอำนาจ ผู้เก่งกาจเกรียงไกร ใสพิสุทธิ์
ผู้ชนะกิเลสร้าย ลายมนุษย์ เพื่อช่วยฉุดชาติพ้น คนคิดร้าย
ครูจะหวังมากไป หรือไม่หนอ เพราะเธอก็ยังเยาว์ เกินเข้าข่าย
ขอเพียงจิตคิดระบุ วางอุบาย เริ่มมั่นหมายมุ่งตรง คงเป็นจริง..
ด.ช มาร์ค คือ fundamental --------------> กลอนครู price
บางที...
reflex
กลอนครู ราคา ---------------> fundamental ท่านนายก
สิ่งที่เห็น.... ด.ช มาร์ค เป้นคนเดียวกันกับ ท่านนายก
สิ่งที่ แรบไบ Soros เห้น....ไม่ใช่คนคนเดียวกัน!
KEEP IN MIND:
-- พื้นฐาน กำหนด ราคา แต่บางที ราคาก็กำหนด พื้นฐาน สองสิ่งนี้ไม่เหมือนกัน และไม่เคยเหมือนกันเลย นั่นคือสิ่งที่ แรบไบ Soros ใช้เป็นเครื่องมือในการ trade
-- เหมือน กลอนที่ครูชม ดช.มาร์ค
เด็กชาย มาร์ค ถือคำชมครู เป็นกำลังใจในการดำเนินชีวิต และกลายเป็นสิ่งที่ครูชมในที่สุด
กลอนคือราคาที่ครูหามูลค่าให้ ดช.มาร์ค เพราะเห้น fundamental ของเด้กคนนี้คั้งแต่แรก
แต่บางที....คำกลอนอาจเป็นตัวกำหนดพื้นฐาน fundamental ของ ดช.มาร์ค ในอนาคต
สองสิ่งนี้....มีอยู่ทุกแห่งรอบตัวเรา และมันอยู่ในตลาดหุ้นด้วย
ถ้าเลี้ยงลูกแล้วพร่ำคำตำหนิ
มองดูสิผลเลิศประเสริฐไหม
ตรงกันข้ามกับบั่นทอนกำลังใจ
เด็กจะเลวเหลวไหลดั่งวาจา
xelfer
พร่ำตำหนิ <---------- > เหลวไหลดั่งวาจา
ถ้าเลี้ยงลูกปลูกนิสัยให้ก้าวร้าว
จะเป็นคนแข็งกร้าวมีปัญหา
ไร้เหตุผลดื้อรั้นขาดจรรยา
เด็กไม่มีสัมมาอ่อนน้อมคน
xelfer
ปลูกนิสัยให้ก้าวร้าว < -----------> ไม่มีสัมมาอ่อนน้อมคน
ถ้าเลี้ยงลูกแล้วดูถูกคอยเย้ยหยัน
เด็กจะขาดความเชื่อมั่นและสับสน
ทั้งยังขลาดไม่กล้ามาผจญ
อิทธิพลความเย้ยหยันหน้าพรั่นพรึง
ถ้าเลี้ยงลูกเกิดทุกข์ด้วยความอาย
เด็กจะกลายเป็นคนกังวลถึง
หวาดระแวงหมดสุขทุกข์ตราตรึง
เฝ้าคะนึงอยากอยู่เพียงผู้เดียว
xelfer
ทุกข์ด้วยความอาย <------------> อยากอยู่เพียงผู้เดียว
ถ้าเลี้ยงลูกทุกเวลาด้วยมานะ
จะอดทนเสียสละฉลาดเฉลียว
งานลำบากทำได้ทั่วตัวเป็นเกลียว
ด้วยชำนาญชาญเชี่ยวทุกขั้นตอน
xelfer
ด้วยมานะ < -----------> ชำนาญชาญเชี่ยว
ถ้าเลี้ยงลูกแบบให้กำลังใจ
เด็กจะสุขสดใสสโมสร
เมื่อเติบใหญ่สุดประเสริฐเลิศบวร
เกริกกำจรเป็นนักปราชญ์ชาติระบิล
xelfer
ให้กำลังใจ <-----------> นักปราชญ์ชาติระบิล
ถ้าเลี้ยงลูกตัวน้อยคอยชื่นชม
เด็กจะเริ่มสั่งสมคิดถวิล
ภาคภูมิใจในคุณค่าเป็นอาจิณ
ความสำเร็จในชีวินของตนเอง
xelfer
คอยชื่นชม <----------------> ความสำเร็จ
ถ้าเลี้ยงลูกด้วยรักที่อบอุ่น
เด็กจะนุ่มนวลละมุนไม่ข่มเหง
ศรัทธามีดุจดนตรีที่บรรเลง
เหมือนเสียงเพลงกล่อมโลกไม่โศกตรม
xelfer
อบอุ่น <-----------------> ไม่โศกตรม
ถ้าเลี้ยงลูกแบบให้การยอมรับ
เด็กจะงามพร้อมสรรพดูเหมาะสม
เป็นคนดีมีคุณค่าน่าชื่นชม
น่านิยมเชื่อถือระบือไกล
xelfer
ให้การยอมรับ <--------------> คนดีมีคุณค่าน่าชื่นชม
ถ้าเลี้ยงลูกแบบให้ความเป็นมิตร
เด็กจะมีดวงจิตผุดผ่องใส
คอยกอบเกื้อเอื้ออารีมีน้ำใจ
ทั้งรู้จักให้อภัยมีเมตตา
xelfer
ให้ความเป็นมิตร <---------------> รู้จักให้อภัยมีเมตตา
จะเลี้ยงลูกแบบไหนให้ตระหนัก
จะเลี้ยงแบบให้ความรักเสน่หา
หรือเลี้ยงแบบพร่ำบ่นจนระอา
ให้ก้าวร้าวหมดจรรยาหวาดระแวง
จะเลี้ยงลูกแบบใดได้อย่างนั้น
อยู่ที่พ่อแม่ปั้นดังแถลง
ยังไม่สายหากคิดจะเปลี่ยนแปลง
ลูกจะแกร่งอดทนเลิศ...ประเสริฐคุณ...
---------------------
ราคาหุ้นไม่ใช่สิ่งถูกต้องเสมอไป หากเป็นสิ่งที่มีอคติ
ผมคิดว่าวันนี้เรื่องของความรักของแม่ บางทีมีอคติอย่างนั้นเช่นกัน
แต่การบิดเบือนไปได้สองทิศทาง
ถ้าไปในด้านดีก็ดีไป ถ้าไปในด้านไม่ดีมันก็ไม่ดี
คนในครอบครัวไม่เพียงปฎิบัติอย่างมีอคติเท่านั้น แต่อคติของพวกเขายังมีอิทธิพลต่อวิถีทางของ
เด็กคนหนึ่งอีกด้วย ซึ่งอาจก่อให้เกิดความประทับใจที่ผิด ๆว่า
สถานการณ์พัฒนาของลูกเป็นไปอย่างถูกต้อง ซึ่งความจริงต้องมองอีกทีว่า.
มันไม่ใช่ความหวังปัจจุบันที่สอดคล้องกับอนาคต
แต่เหตุการณ์อนาคตอาจถุกกำหนดโดยความคาดหวังของแม่ในปัจจุบันหมดแล้ว
การรับรู้ในครอบครัว บางทีเป็นสิ่งไม่ถูกต้อง
ลุกฝืนใจตัวเองทำสิ่งที่แม่ชอบโดยที่แม่อาจไม่รู้เลยว่าลุกคิดอย่างไร
การรับรู้ที่ผิดพลาดและเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงส่งผลให้ขาดการสอดประสานอย่างถูกต้องตามความเป้นจริง
ความสัมพันธ์ระหว่างแม่กับลูกแบบสองทางนี้คือ...
"Reflexivity"
วันแม่วันนี้...
ผมพูดซึ้งไม่เป็น ผมเข้าไปกอดแม่ หอมแม่ แล้วขอโทษในปีที่ผ่านมาว่าผมทำอะไรให้แม่เสียใจบ้าง
ผมทำอย่างนี้ทุกปี เรื่องของแม่เป็นความรักที่ละเอียดอ่อนอย่างมาก
ผมอธิษฐานพระเจ้าให้แม่กับลูกทุกคุนมีความเข้าใจที่ดีต่อกันครับ
สวัสดีครับ....
ผมต้องขอโทษครับ
ผมคิดไม่รอบครอบ
ผมไม่ตั้งใจทำร้ายจิตใจใครครับ
ผมว่าเรามีกางเกงในตัวเองกำไรชีวิตแล้ว
วันแม่ที่ผ่านมา ผมเขียนบทความขั้นมาครับ
ผมพูดซึ้งไม่เป็น ผมเข้าไปกอดแม่ หอมแม่ แล้วขอโทษในปีที่ผ่านมาว่าผมทำอะไรให้แม่เสียใจบ้าง
ผมทำอย่างนี้ทุกปี เรื่องของแม่เป็นความรักที่ละเอียดอ่อนอย่างมาก
ผมมีความพยายามจะทำความเข้าใจกับทุกสิ่งทุกอย่าง ถ้ามันไม่ตรงกับสิ่งที่ผมคิด
แล้วผมจะคิดไปอีกทางในด้านตรงข้ามทันที ผมจะถามว่า
มันไม่ชอบมาพากลแล้ว มันผิดตรงไหน
การทำเข้าใจกับตัวเราเองต้องได้รับความสนใจก่อนอื่น
การทำความเข้าใจตนเองเป็นปัญหาสำคัญที่จำเป็นได้รับการทำความเข้าใจเช่นกัน
เพราะยิ่งเราตีความหมายในเชิงนามธรรมมากเท่าไร เราจะเอาไปใช้ในเชิงรุปธรรมมากเท่านั้น
วันแม่วันนี้ ผมอธิษฐานพระเจ้าให้แม่กับลูกทุกคุนมีความเข้าใจที่ดีต่อกัน
การทำความเข้าใจทฤษฎีความเป็นแม่อาจเริ่มต้นที่การรับรู้ของแม่ว่ามีที่มาที่ไปอย่างไร
ในวัยเด็ก แม่ถูกเลี้ยงมาอย่างไร เริ่มด้วยการเข้าใจชีวิตของแม่และสังคมที่แม่โตขึ้นมา
ชีวิตแม่คืออะไร?
เพียงถามแค่นี้ แม่ก็จำเป็นที่มองตัวเองในเชิงผูกพันธ์กับลูก
ปัญหาก็คือแม่มีทัศนะที่ไม่สามารถแยกตัวเองออกจากลูกได้เลย
นั่นเป็นสิ่งที่ค่อนข้างมหัศจรรย์
โดยพื้นฐานแล้ว ทัศนะเกี่ยวกับลูกของแม่คนใดคนหนึ่งอาจเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้องและบิดเบือน
ผมจำได้ว่า มีชายคนหนึ่งสั่งฆ่าคน ถูกจับเข้าคุก
ศาลตัดสินประหารชีวิต แต่เมื่อนักข่าวไปถามแม่ของเขา
แม่บอกว่า เป้นไปไมได้ ลุกของเขาเป็นคนดี จะทำอย่างนั้นได้อย่างไร
จุดที่ผมสนใจคือ ความบิดเบือนดังกล่าวจะมีผลต่อสถานการณ์ในอนาคตอย่างไร
หลังจากที่ทำความเข้าใจเรื่องแม่อย่างกว้างๆ คราวนี้ถึงเวลาที่จะพิจารณาตลาดหุ้นบ้าง
ปัญหาคือคนส่วนใหญ่ประเมิณความเป็นไปของราคาหุ้นด้วยตรรกะ
นักลงทุนมีความรู้เกี่ยวกับหุ้นที่ลงทุนเป็นอย่างดี
ราคาหุ้นได้รับการกำหนดมูลค่าอย่างถูกต้อง
ราคาหุ้นยังคงมีเหตุผลเมือ่เทียบกับกับการคิดลดรายได้ในอนาคต
นั่นคือสมมุติฐานที่ทรงพลังอย่างมาก
สมมุติฐานที่เชื่อว่าโลกใบนี้มีเหตุผลอย่างสมบูรณ์แบบ
ราคาจะสะท้อนให้เห้นถึงข้อมูลทั้งหมดในเวลาที่สมควร
ผมไม่ถนัดมองด้านนั้น ผมถัดมองในด้านที่ราคาตั้งอยู๋บนพื้นฐานของความคาดหวัง
เหมือนลูกที่ตั้งอยู่บนความคาดหวังของแม่
ไม่ใช่ตั้งอยู่บนความคาดหวังของตนเอง
ความบิดเบื่อนอยู๋ตรงนั้น และมันจะมีผลอย่างไรเป็นสิ่งที่ต้องพิจรณาเช่นกัน
การหยั่งรู้เรื่องต่างๆ เราตั้งคำถามว่าเหตุการณ์หนึ่งๆ มีอคติมาเกี่ยวข้องเสมอ
และบทบาทของอคติที่ทำให้โลกนี้ไม่สมบูรณืไปเสียทุกอย่างมีอิทธิพลต่อสิ่งใดอย่างไรบ้าง
วันแม่เป็นวันแห่งการพิจรณาอคติเหล่านั้น
อคติของแม่อาจส่งผลกับลูกคนหนึ่งไปตลอดทั้งชีวิตของเขาอย่างไรบ้าง
ความรักในครอบครัวอาจไร้ดุลยภาพมาตั้งนานแล้ว
วันนี้เป็นวันดีที่จะทำความเข้าใจกับกระบวนการที่ไร้ดุลยภาพอย่างนั้น
ความรักแม่ไม่ใช่วิทยาศาสตร์ ความรักแม่เป้นสังคมศาสตร์
ตลาดหุ้นก็ไม่ใช่วิทยาศาสตร์เช่นกัน
หากตลาดเป็นวิทยาศาสตร์ มันไม่ควรมีความผันผวนมากขนาดนั้น
เพราะคนเป้นหัวใจสำคัญทั้งหมดของตลาด
การคิดเรื่องอนาคตของตลาดเป็นสิ่งที่มีอคติและไม่เป็นกลาง
สิ่งที่ความเชื่อทำคือ การเปลี่ยนแปลงข้อเท็จจริง
จำวันเด็กได้ไหมครับ..
อภิสิทธิ์ มาร์ค อภิสิทธิ์ ครูเคยคิดใฝ่ฝัน อย่างมั่นเหมาะ
อยากได้ศิษย์เช่นเธอ เพ้อเฉพาะ เกินจักเสาะสืบหา กลับมาพบ
เธอมีแววแพรวเพริศ บรรเจิดจ้า คมความคิดแกล้วกล้า มาบรรจบ
กับปัญญาเข้มข้น ครันครบ ครูคงพบคนดี ศรีอยุธย์
ชาติต้องการผู้นำ มีอำนาจ ผู้เก่งกาจเกรียงไกร ใสพิสุทธิ์
ผู้ชนะกิเลสร้าย ลายมนุษย์ เพื่อช่วยฉุดชาติพ้น คนคิดร้าย
ครูจะหวังมากไป หรือไม่หนอ เพราะเธอก็ยังเยาว์ เกินเข้าข่าย
ขอเพียงจิตคิดระบุ วางอุบาย เริ่มมั่นหมายมุ่งตรง คงเป็นจริง..
ด.ช มาร์ค คือ fundamental --------------> กลอนครู price
บางที...
reflex
กลอนครู ราคา ---------------> fundamental ท่านนายก
สิ่งที่เห็น.... ด.ช มาร์ค เป้นคนเดียวกันกับ ท่านนายก
สิ่งที่ แรบไบ Soros เห้น....ไม่ใช่คนคนเดียวกัน!
KEEP IN MIND:
-- พื้นฐาน กำหนด ราคา แต่บางที ราคาก็กำหนด พื้นฐาน สองสิ่งนี้ไม่เหมือนกัน และไม่เคยเหมือนกันเลย นั่นคือสิ่งที่ แรบไบ Soros ใช้เป็นเครื่องมือในการ trade
-- เหมือน กลอนที่ครูชม ดช.มาร์ค
เด็กชาย มาร์ค ถือคำชมครู เป็นกำลังใจในการดำเนินชีวิต และกลายเป็นสิ่งที่ครูชมในที่สุด
กลอนคือราคาที่ครูหามูลค่าให้ ดช.มาร์ค เพราะเห้น fundamental ของเด้กคนนี้คั้งแต่แรก
แต่บางที....คำกลอนอาจเป็นตัวกำหนดพื้นฐาน fundamental ของ ดช.มาร์ค ในอนาคต
สองสิ่งนี้....มีอยู่ทุกแห่งรอบตัวเรา และมันอยู่ในตลาดหุ้นด้วย
ถ้าเลี้ยงลูกแล้วพร่ำคำตำหนิ
มองดูสิผลเลิศประเสริฐไหม
ตรงกันข้ามกับบั่นทอนกำลังใจ
เด็กจะเลวเหลวไหลดั่งวาจา
xelfer
พร่ำตำหนิ <---------- > เหลวไหลดั่งวาจา
ถ้าเลี้ยงลูกปลูกนิสัยให้ก้าวร้าว
จะเป็นคนแข็งกร้าวมีปัญหา
ไร้เหตุผลดื้อรั้นขาดจรรยา
เด็กไม่มีสัมมาอ่อนน้อมคน
xelfer
ปลูกนิสัยให้ก้าวร้าว < -----------> ไม่มีสัมมาอ่อนน้อมคน
ถ้าเลี้ยงลูกแล้วดูถูกคอยเย้ยหยัน
เด็กจะขาดความเชื่อมั่นและสับสน
ทั้งยังขลาดไม่กล้ามาผจญ
อิทธิพลความเย้ยหยันหน้าพรั่นพรึง
ถ้าเลี้ยงลูกเกิดทุกข์ด้วยความอาย
เด็กจะกลายเป็นคนกังวลถึง
หวาดระแวงหมดสุขทุกข์ตราตรึง
เฝ้าคะนึงอยากอยู่เพียงผู้เดียว
xelfer
ทุกข์ด้วยความอาย <------------> อยากอยู่เพียงผู้เดียว
ถ้าเลี้ยงลูกทุกเวลาด้วยมานะ
จะอดทนเสียสละฉลาดเฉลียว
งานลำบากทำได้ทั่วตัวเป็นเกลียว
ด้วยชำนาญชาญเชี่ยวทุกขั้นตอน
xelfer
ด้วยมานะ < -----------> ชำนาญชาญเชี่ยว
ถ้าเลี้ยงลูกแบบให้กำลังใจ
เด็กจะสุขสดใสสโมสร
เมื่อเติบใหญ่สุดประเสริฐเลิศบวร
เกริกกำจรเป็นนักปราชญ์ชาติระบิล
xelfer
ให้กำลังใจ <-----------> นักปราชญ์ชาติระบิล
ถ้าเลี้ยงลูกตัวน้อยคอยชื่นชม
เด็กจะเริ่มสั่งสมคิดถวิล
ภาคภูมิใจในคุณค่าเป็นอาจิณ
ความสำเร็จในชีวินของตนเอง
xelfer
คอยชื่นชม <----------------> ความสำเร็จ
ถ้าเลี้ยงลูกด้วยรักที่อบอุ่น
เด็กจะนุ่มนวลละมุนไม่ข่มเหง
ศรัทธามีดุจดนตรีที่บรรเลง
เหมือนเสียงเพลงกล่อมโลกไม่โศกตรม
xelfer
อบอุ่น <-----------------> ไม่โศกตรม
ถ้าเลี้ยงลูกแบบให้การยอมรับ
เด็กจะงามพร้อมสรรพดูเหมาะสม
เป็นคนดีมีคุณค่าน่าชื่นชม
น่านิยมเชื่อถือระบือไกล
xelfer
ให้การยอมรับ <--------------> คนดีมีคุณค่าน่าชื่นชม
ถ้าเลี้ยงลูกแบบให้ความเป็นมิตร
เด็กจะมีดวงจิตผุดผ่องใส
คอยกอบเกื้อเอื้ออารีมีน้ำใจ
ทั้งรู้จักให้อภัยมีเมตตา
xelfer
ให้ความเป็นมิตร <---------------> รู้จักให้อภัยมีเมตตา
จะเลี้ยงลูกแบบไหนให้ตระหนัก
จะเลี้ยงแบบให้ความรักเสน่หา
หรือเลี้ยงแบบพร่ำบ่นจนระอา
ให้ก้าวร้าวหมดจรรยาหวาดระแวง
จะเลี้ยงลูกแบบใดได้อย่างนั้น
อยู่ที่พ่อแม่ปั้นดังแถลง
ยังไม่สายหากคิดจะเปลี่ยนแปลง
ลูกจะแกร่งอดทนเลิศ...ประเสริฐคุณ...
---------------------
ราคาหุ้นไม่ใช่สิ่งถูกต้องเสมอไป หากเป็นสิ่งที่มีอคติ
ผมคิดว่าวันนี้เรื่องของความรักของแม่ บางทีมีอคติอย่างนั้นเช่นกัน
แต่การบิดเบือนไปได้สองทิศทาง
ถ้าไปในด้านดีก็ดีไป ถ้าไปในด้านไม่ดีมันก็ไม่ดี
คนในครอบครัวไม่เพียงปฎิบัติอย่างมีอคติเท่านั้น แต่อคติของพวกเขายังมีอิทธิพลต่อวิถีทางของ
เด็กคนหนึ่งอีกด้วย ซึ่งอาจก่อให้เกิดความประทับใจที่ผิด ๆว่า
สถานการณ์พัฒนาของลูกเป็นไปอย่างถูกต้อง ซึ่งความจริงต้องมองอีกทีว่า.
มันไม่ใช่ความหวังปัจจุบันที่สอดคล้องกับอนาคต
แต่เหตุการณ์อนาคตอาจถุกกำหนดโดยความคาดหวังของแม่ในปัจจุบันหมดแล้ว
การรับรู้ในครอบครัว บางทีเป็นสิ่งไม่ถูกต้อง
ลุกฝืนใจตัวเองทำสิ่งที่แม่ชอบโดยที่แม่อาจไม่รู้เลยว่าลุกคิดอย่างไร
การรับรู้ที่ผิดพลาดและเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงส่งผลให้ขาดการสอดประสานอย่างถูกต้องตามความเป้นจริง
ความสัมพันธ์ระหว่างแม่กับลูกแบบสองทางนี้คือ...
"Reflexivity"
วันแม่วันนี้...
ผมพูดซึ้งไม่เป็น ผมเข้าไปกอดแม่ หอมแม่ แล้วขอโทษในปีที่ผ่านมาว่าผมทำอะไรให้แม่เสียใจบ้าง
ผมทำอย่างนี้ทุกปี เรื่องของแม่เป็นความรักที่ละเอียดอ่อนอย่างมาก
ผมอธิษฐานพระเจ้าให้แม่กับลูกทุกคุนมีความเข้าใจที่ดีต่อกันครับ
สวัสดีครับ....
-
- Verified User
- โพสต์: 1400
- ผู้ติดตาม: 0
แล้วให้เขา หา circle กันเอง ยิ่งน้อยเท่าไหร่ ยิ่งมากเท่านั้น
โพสต์ที่ 4
สวัสดีครับพี่ humdrum
อ่านกระทู้นี้เรื่อง reflexivity แม่กับลูก แล้ว ภาพวันคืนเก่าๆที่สะท้อนแต่ความไม่พร้อมของตัวเองสมัยเด็กๆ ไม่มีลักษณะของคนที่จะทำอะไรได้สำเร็จ ปรากฏขึ้นต่อหน้าผมชัดเจน ไม่เลือนลาง
ผมเคยเข้าใจผิดว่า จะสามารถหนีความทรงจำไม่ดีไปได้ ด้วยการเปรียบเทียบ แข่งขันกับคนอื่น เคยได้ชัยชนะอย่างงดงามมาบ้าง แต่ก็ยังหนีความ
ทรงจำไปไม่พ้น เหมือนเงาตามตัว
มาจนวันนี้ ผมไม่คิดจะหนีมันแล้ว ผมกำลังตาม รากเหง้าของความล้มเหลว
ที่ยังส่งผลให้ผมเป็นอย่างเช่นวันนี้ ผมกำลังจะเจอมัน....
ผมจะหยุดมันให้ได้
อ่านกระทู้นี้เรื่อง reflexivity แม่กับลูก แล้ว ภาพวันคืนเก่าๆที่สะท้อนแต่ความไม่พร้อมของตัวเองสมัยเด็กๆ ไม่มีลักษณะของคนที่จะทำอะไรได้สำเร็จ ปรากฏขึ้นต่อหน้าผมชัดเจน ไม่เลือนลาง
ผมเคยเข้าใจผิดว่า จะสามารถหนีความทรงจำไม่ดีไปได้ ด้วยการเปรียบเทียบ แข่งขันกับคนอื่น เคยได้ชัยชนะอย่างงดงามมาบ้าง แต่ก็ยังหนีความ
ทรงจำไปไม่พ้น เหมือนเงาตามตัว
มาจนวันนี้ ผมไม่คิดจะหนีมันแล้ว ผมกำลังตาม รากเหง้าของความล้มเหลว
ที่ยังส่งผลให้ผมเป็นอย่างเช่นวันนี้ ผมกำลังจะเจอมัน....
ผมจะหยุดมันให้ได้
-
- Verified User
- โพสต์: 1961
- ผู้ติดตาม: 0
แล้วให้เขา หา circle กันเอง ยิ่งน้อยเท่าไหร่ ยิ่งมากเท่านั้น
โพสต์ที่ 5
ผมเป็นกำลังใจให้ครับ
ผมชอบอ่านที่ อ.วิกรมท่านเขียนมาก
โดยเฉพาะเรื่องของท่าน Richard Branson
http://www.vikrom.net/
ท่าน vOl มีคุณสมบัติที่จะประสบความสำเร็จอย่ามาก
เพราะท่านยอมรับตัวเอง นั่นคือสิ่งที่โซรอสทำทุกวันครับ
เวลาลงทุนก็เช่นเดียวกัย วันไหนผมทำได้ไม่ดี สมมุติฐานไม่ตรงกับที่คิด
ผมจะตัดขาดทุนทันที พอเริ่มใหม่ ผมจะเริ่มที่ละน้อย ๆ
เรื่องจิตวิทยาในการอยู๋ร่วมกันในตลาดเป็นเรื่องสำคัญมาก
แต่เราต้องทำความเข้าใจกับตนเองทุกวัน
เรื่องการหาเวลาว่างเอาไว้คิดนั้น จำเป้นต่อความสำเร็จอย่างมาก
ผมจมีเวลาปลีกวิเวกไปนั่งทบทวนตัวเอง ตี 3 ทุกเช้า ผมจะตื่นมาทำสมาธิ
ช่วงตลาดอย่างนี้นิ่งๆ แต่มีแนวโน้มอย่างนี้ เราต้องปรับกลยุทธฺของเราให้พร้อมเสมอ ท่าน VOL คิดว่า ผมควรใช้อะไรดีครับ ระหว่าง....
a. hardwork
b. knowledge
c. love
d. luck
e. attitude
แต่ถ้าเราใส่คะแนนลงไปโดยให้ A B C D E F G H I J K L M N O P Q R S T U V W
X Y Z มีค่าเท่ากับ 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 11 12 13 14 15 16 17 18 19 20
21 22 23 24 25 26 แล้วมานั่งเลือกดูใหม่ว่าอะไรสำคัญที่สุดทีเราควรจะเลือกใช้ในช่วงตลาดตกมากๆ อย่างนี้ แล้วมันเห้นคำตอบชัดขึ้น
a. hardwork
b. knowledge
c. love
d. luck
e. attitude
a) H+A+R+D+W+O+R+K = 8+1+18+4+23+15+18+11
HARD WORK หรือ ทำงานหนัก มีค่าเท่ากับ 98
b) K+N+O+W+L+E+D+G+E = 11+14+15+23+12+5+4+7+5
KNOWLEDGE หรือ ความรู้ มีค่าเท่ากับ 96
c) L+O+V+E=12+15+22+5
LOVE หรือ ความรัก มีค่าเท่ากับ 54
d) L+U+C+K = 12+21+3+11
LUCK หรือ โชค มีค่าเท่ากับ 47
e) A+T+T+I+T+U+D+E = 1+20+20+9+20+21+4+5
ATTITUDE หรือ ทัศนคติ ที่มีค่าเท่ากับ 100!
ทุกปัญหามีทางออก
บางทีแค่เพียงแต่เราเปลี่ยน
"ทัศนคติ " ของเราเสียใหม่เท่านั้นเอง
มีเพียงแต่ ทัศนคติ ของเราเท่านั้น ที่จะเป็นตัวนำทาง
ไปสู่ความสำเร็จในชีวิต
สู้ ๆ ครับ ท่าน เกิดมามีกางเกงในตัวเดียว ชีวิตกฌกำไรแล้วครับ
ผมชอบอ่านที่ อ.วิกรมท่านเขียนมาก
โดยเฉพาะเรื่องของท่าน Richard Branson
http://www.vikrom.net/
ท่าน vOl มีคุณสมบัติที่จะประสบความสำเร็จอย่ามาก
เพราะท่านยอมรับตัวเอง นั่นคือสิ่งที่โซรอสทำทุกวันครับ
เวลาลงทุนก็เช่นเดียวกัย วันไหนผมทำได้ไม่ดี สมมุติฐานไม่ตรงกับที่คิด
ผมจะตัดขาดทุนทันที พอเริ่มใหม่ ผมจะเริ่มที่ละน้อย ๆ
เรื่องจิตวิทยาในการอยู๋ร่วมกันในตลาดเป็นเรื่องสำคัญมาก
แต่เราต้องทำความเข้าใจกับตนเองทุกวัน
เรื่องการหาเวลาว่างเอาไว้คิดนั้น จำเป้นต่อความสำเร็จอย่างมาก
ผมจมีเวลาปลีกวิเวกไปนั่งทบทวนตัวเอง ตี 3 ทุกเช้า ผมจะตื่นมาทำสมาธิ
ช่วงตลาดอย่างนี้นิ่งๆ แต่มีแนวโน้มอย่างนี้ เราต้องปรับกลยุทธฺของเราให้พร้อมเสมอ ท่าน VOL คิดว่า ผมควรใช้อะไรดีครับ ระหว่าง....
a. hardwork
b. knowledge
c. love
d. luck
e. attitude
แต่ถ้าเราใส่คะแนนลงไปโดยให้ A B C D E F G H I J K L M N O P Q R S T U V W
X Y Z มีค่าเท่ากับ 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 11 12 13 14 15 16 17 18 19 20
21 22 23 24 25 26 แล้วมานั่งเลือกดูใหม่ว่าอะไรสำคัญที่สุดทีเราควรจะเลือกใช้ในช่วงตลาดตกมากๆ อย่างนี้ แล้วมันเห้นคำตอบชัดขึ้น
a. hardwork
b. knowledge
c. love
d. luck
e. attitude
a) H+A+R+D+W+O+R+K = 8+1+18+4+23+15+18+11
HARD WORK หรือ ทำงานหนัก มีค่าเท่ากับ 98
b) K+N+O+W+L+E+D+G+E = 11+14+15+23+12+5+4+7+5
KNOWLEDGE หรือ ความรู้ มีค่าเท่ากับ 96
c) L+O+V+E=12+15+22+5
LOVE หรือ ความรัก มีค่าเท่ากับ 54
d) L+U+C+K = 12+21+3+11
LUCK หรือ โชค มีค่าเท่ากับ 47
e) A+T+T+I+T+U+D+E = 1+20+20+9+20+21+4+5
ATTITUDE หรือ ทัศนคติ ที่มีค่าเท่ากับ 100!
ทุกปัญหามีทางออก
บางทีแค่เพียงแต่เราเปลี่ยน
"ทัศนคติ " ของเราเสียใหม่เท่านั้นเอง
มีเพียงแต่ ทัศนคติ ของเราเท่านั้น ที่จะเป็นตัวนำทาง
ไปสู่ความสำเร็จในชีวิต
สู้ ๆ ครับ ท่าน เกิดมามีกางเกงในตัวเดียว ชีวิตกฌกำไรแล้วครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 1372
- ผู้ติดตาม: 0
แล้วให้เขา หา circle กันเอง ยิ่งน้อยเท่าไหร่ ยิ่งมากเท่านั้น
โพสต์ที่ 6
ลองคิดๆดูแล้วท่าจะจริงอย่างพี่โหน่งว่าพี่โหน่ง เขียน:ยิ่งน้อยเท่าไหร่ ยิ่งมากเท่านั้นครับ
ยิ่งพูดน้อยเท่าไร ยิ่งได้ฟังมากเท่านั้น
ยิ่งโง่น้อยเท่าไร ยิ่งฉลาดมากเท่านั้น
ยิ่งสกปรกน้อยเท่าไร ยิ่งสะอาดมากเท่านั้น
ยิ่งความไม่ว่างน้อยเท่าไร ยิ่งความว่างมากเท่านั้น
ยิ่งกิเลสน้อยเท่าไร ยิ่งสติปัญญามากเท่านั้น
ยิ่งความยึดมั่นถือมั่นน้อยเท่าไร ยิ่งใกล้นิพพานมากเท่านั้น
ตัวทัศนคตินี่น่ากลัวนะครับ มันปรับเปลี่ยนลื่นไหลได้ตลอดเวลา ถ้าไม่มีสติคอยจูงอันตรายนะครับ ความฉลาดผมยังน้อยอยู่ ฉะนั้นความโง่ของผมยังมีเต็มหัว พี่โหน่งคิดว่ายังไงพี่โหน่ง เขียน: ทุกปัญหามีทางออก
บางทีแค่เพียงแต่เราเปลี่ยน
"ทัศนคติ " ของเราเสียใหม่เท่านั้นเอง
มีเพียงแต่ ทัศนคติ ของเราเท่านั้น ที่จะเป็นตัวนำทาง
ไปสู่ความสำเร็จในชีวิต
สติมา ปัญญาเกิด
-
- Verified User
- โพสต์: 1961
- ผู้ติดตาม: 0
แล้วให้เขา หา circle กันเอง ยิ่งน้อยเท่าไหร่ ยิ่งมากเท่านั้น
โพสต์ที่ 7
แจ่มครับ
ไม่มีอะไรแน่นอน แม้กระทั่งตัวสติเองก็ยังเป้นสติที่ผิดได้
เพราะสติอาจตั้งอยู๋บนสมมุติฐานที่ผิด
ต่อให้มีสติ ก็เป็นสติที่ไม่สมประกอบ
เรื่องสติ กับ ส่วนเผื่อเพื่อความปอดภัยนั้น เห็นจะเกี่ยวข้องกันอย่างมากครับ
สมัยผม 22 คิดถึงการเรื่องการลงทุนอีกแบบ ไม่เหมือนตอนนี้ ตอนนั้นมันเป้นเรื่องของความตื่นเต้น ที่จะเอาชนะตลาด มันสนุกกว่าตอนนี้ ตอนนี้มันมีเรื่องวางแผนซื้อบ้าน วางอนาคตถึงเกษียนอายุ 50 มีเป้าหมายในการเก็บเงิน และเข้าใจเหตุผลของการเก็บเงินอีกด้วย คือมีเหตุผลเข้ามาเก่ยวข้องมากกว่า อย่างตอนนั้น จะเก็บเงินซื้อแหวนไว้หมั่นแฟน อย่างนี้เป็นเป้าหมาย เดี่ยวนี้ซื้อแหวนครบรอบแต่งานแต่ละปี ไม่ได้คิดถึงเป้าหมาย แต่คิดถึงเหตุผลที่อยากทำให้แฟนมีความสุข ฟังดุเหมือนต่างกันเล้กน้อย แต่มันเป้นเรื่องการแรงจูงใจที่มาเกี่ยวข้องด้วย และมันชัดกว่าถ้าเป็นเหตุผล ถ้าเราอยากทำอะไรเพราะแค่เอาชนะเป้าหมายเท่านั้น ถ้าเจอปัญหาหนัก ๆ นี่อาจท้อไปเลย แต่ถ้ามีเหตุผลด้วย เราก็ไม่ยอมง่ายๆ ผมเชื่อว่าทุกคนมีเป้าหมายในชีวิตอยู่ทั้งนั้น แต่ไม่พูดถึงเหตุผลที่แท้จริงของการมีเป้าหมายเหล่านั้น
สติแต่ละคนก็มีเป้าหมายเช่นกันครับ ไม่เหมือนกันด้วย
เรื่องของตอนเด้ก ๆ ผมซนตามประสาเด็กตลาด กลับบ้านเที่ยงคืน ไม่ได้คิดถึงความปลอดภัย ไม่เคยมีเป้าหมายที่จะอาบน้ำก่อนเที่ยงคืน วันหนึ่งอาม่า 74 เดินมาตามหาเกือยเที่ยงคืน แล้วตลาดมันเปลี่ยว เราเห็นแล้วตกใจ ตั้งแต่นั้น สงสารอาม่า เราก็เข้าบ้านเร็วหน่อย อาม่าก็ไม่ต้องเป้นห่วง
สามัญสำนึกอย่างนี้จำเป้นสำหรับโลกการลงทุนอย่างมาก โดยเพาะเรื่องเกี่ยวกับเงิน เป้าหมายที่ชัดเจนไม่พอ ต้องมีเหตุผลที่ชัดเจนด้วย ถ้าเรารู้ว่าเหตุผลที่เราใช้เงิน เราไม่ต้องวางแผนการใช้เงินด้วยซ้ำ ความรู้สึกมันไม่เหมือนกัน การมีเป้าหมายเหมือนต้นไม้ที่ไม่มีรากแก้ว มันไม่พอ
สติก็ต้องรากแก้ว สติบางคนเป้นเพียงรากฝอยเท่านั้น
ถ้าคุณมีคุณสมบัติต่อไปนี้ ลองแค่ปรับมาใช้กับเรื่องของเงินเท่านั้น เคยเก้บอาหารที่กินเหลือเข้าตู้เย็น เคยใช้มือถือบันทึกเหตุการณ์เพื่อไว้ดูภายหลัง เคย save หน้าเว็บไซค์ที่น่าสนใจไว้เพื่อไว้ดูทีหลัง ผมเชื่อว่าเคยทำกันหมดทุกคน เรามีเหตุผลที่ทำสิ่งเหล่านั้น ไม่ต้องมีใครบอก เรามีเหตุผลที่จะเก็บสิ่งดีๆ ในวันนี้เพืออนาคตในวันข้างหน้า สามัญสำนึกที่มีกันทุกคน แต่อยู่ที่ว่าเรามีแรงจูงใจพอที่ใช้มันหรือไม่
สติก็ต้องการแรงจูงใจที่จะมีสติ
เด็ก ๆ ก็เข้าใจเรื่องนี้แล้ว เขาเข้าใจเรื่องแรงจูงใจที่เกี่ยวกับการลงทุนตั้งแต่แรก ลองดูที่ลิงค์นี้น่าสนใจมากครับ
http://www.esplanner.com/Lectures/2007-01-20.swf
เขาลองเอาเค๊ก 25 ชิ้นให้ลูกชายกินและบอกว่าถ้าเขาอยากกินให้หมด ก็กินไปเลย เด็กพยักหน้า แล้วเริ่มกินไปเรื่อยๆ พอถึง 4 ชิ้น เด็กบอกว่าพอแล้ว และจะเก็บไว้กินทีทีหลังดีกว่า นี่เพราะความอิ่ม แต่ยังรู้จักเก็บเข้าตู้เย็นไว้กินพรุ่งนี้ นั่นเป็นพื้นฐานเรื่องการเงินเลย
ถ้าเป็นเศรษศาสตร์ เราเรียกเหตุผลอย่างนี้ว่า มันเกี่ยวข้องกับ utility ยิ่งมากยิ่งดี ความพอใจที่กินตอนนั้นกับความพอใจที่จะกินพรุ่งนี้ มันชั่งกันตลอด การใช้เงินวันนี้ การเก็บเงินไว้ใช้ในอนาคต มันช่างกันหมด ถ้าเราเข้าใจเรื่อง ความไม่แน่นอน ในชีวิตของเรา ว่าทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นอาชีพการงาน การลงทุน เหตุการณ์ไม่คาดคิดมันเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา
สติยิ้งใช้ยิ่งเพิ่ม เพียงแต่ถามว่าสติที่เรามีมันถูกต้องหรือปล่าวเท่านั้นเอง มาพาเราไปลงเหว หรือไปทางที่ถูกแล้ว
วันนี้ในตลาดคงได้ใช้แน่นอนครับ....
ไม่มีอะไรแน่นอน แม้กระทั่งตัวสติเองก็ยังเป้นสติที่ผิดได้
เพราะสติอาจตั้งอยู๋บนสมมุติฐานที่ผิด
ต่อให้มีสติ ก็เป็นสติที่ไม่สมประกอบ
เรื่องสติ กับ ส่วนเผื่อเพื่อความปอดภัยนั้น เห็นจะเกี่ยวข้องกันอย่างมากครับ
สมัยผม 22 คิดถึงการเรื่องการลงทุนอีกแบบ ไม่เหมือนตอนนี้ ตอนนั้นมันเป้นเรื่องของความตื่นเต้น ที่จะเอาชนะตลาด มันสนุกกว่าตอนนี้ ตอนนี้มันมีเรื่องวางแผนซื้อบ้าน วางอนาคตถึงเกษียนอายุ 50 มีเป้าหมายในการเก็บเงิน และเข้าใจเหตุผลของการเก็บเงินอีกด้วย คือมีเหตุผลเข้ามาเก่ยวข้องมากกว่า อย่างตอนนั้น จะเก็บเงินซื้อแหวนไว้หมั่นแฟน อย่างนี้เป็นเป้าหมาย เดี่ยวนี้ซื้อแหวนครบรอบแต่งานแต่ละปี ไม่ได้คิดถึงเป้าหมาย แต่คิดถึงเหตุผลที่อยากทำให้แฟนมีความสุข ฟังดุเหมือนต่างกันเล้กน้อย แต่มันเป้นเรื่องการแรงจูงใจที่มาเกี่ยวข้องด้วย และมันชัดกว่าถ้าเป็นเหตุผล ถ้าเราอยากทำอะไรเพราะแค่เอาชนะเป้าหมายเท่านั้น ถ้าเจอปัญหาหนัก ๆ นี่อาจท้อไปเลย แต่ถ้ามีเหตุผลด้วย เราก็ไม่ยอมง่ายๆ ผมเชื่อว่าทุกคนมีเป้าหมายในชีวิตอยู่ทั้งนั้น แต่ไม่พูดถึงเหตุผลที่แท้จริงของการมีเป้าหมายเหล่านั้น
สติแต่ละคนก็มีเป้าหมายเช่นกันครับ ไม่เหมือนกันด้วย
เรื่องของตอนเด้ก ๆ ผมซนตามประสาเด็กตลาด กลับบ้านเที่ยงคืน ไม่ได้คิดถึงความปลอดภัย ไม่เคยมีเป้าหมายที่จะอาบน้ำก่อนเที่ยงคืน วันหนึ่งอาม่า 74 เดินมาตามหาเกือยเที่ยงคืน แล้วตลาดมันเปลี่ยว เราเห็นแล้วตกใจ ตั้งแต่นั้น สงสารอาม่า เราก็เข้าบ้านเร็วหน่อย อาม่าก็ไม่ต้องเป้นห่วง
สามัญสำนึกอย่างนี้จำเป้นสำหรับโลกการลงทุนอย่างมาก โดยเพาะเรื่องเกี่ยวกับเงิน เป้าหมายที่ชัดเจนไม่พอ ต้องมีเหตุผลที่ชัดเจนด้วย ถ้าเรารู้ว่าเหตุผลที่เราใช้เงิน เราไม่ต้องวางแผนการใช้เงินด้วยซ้ำ ความรู้สึกมันไม่เหมือนกัน การมีเป้าหมายเหมือนต้นไม้ที่ไม่มีรากแก้ว มันไม่พอ
สติก็ต้องรากแก้ว สติบางคนเป้นเพียงรากฝอยเท่านั้น
ถ้าคุณมีคุณสมบัติต่อไปนี้ ลองแค่ปรับมาใช้กับเรื่องของเงินเท่านั้น เคยเก้บอาหารที่กินเหลือเข้าตู้เย็น เคยใช้มือถือบันทึกเหตุการณ์เพื่อไว้ดูภายหลัง เคย save หน้าเว็บไซค์ที่น่าสนใจไว้เพื่อไว้ดูทีหลัง ผมเชื่อว่าเคยทำกันหมดทุกคน เรามีเหตุผลที่ทำสิ่งเหล่านั้น ไม่ต้องมีใครบอก เรามีเหตุผลที่จะเก็บสิ่งดีๆ ในวันนี้เพืออนาคตในวันข้างหน้า สามัญสำนึกที่มีกันทุกคน แต่อยู่ที่ว่าเรามีแรงจูงใจพอที่ใช้มันหรือไม่
สติก็ต้องการแรงจูงใจที่จะมีสติ
เด็ก ๆ ก็เข้าใจเรื่องนี้แล้ว เขาเข้าใจเรื่องแรงจูงใจที่เกี่ยวกับการลงทุนตั้งแต่แรก ลองดูที่ลิงค์นี้น่าสนใจมากครับ
http://www.esplanner.com/Lectures/2007-01-20.swf
เขาลองเอาเค๊ก 25 ชิ้นให้ลูกชายกินและบอกว่าถ้าเขาอยากกินให้หมด ก็กินไปเลย เด็กพยักหน้า แล้วเริ่มกินไปเรื่อยๆ พอถึง 4 ชิ้น เด็กบอกว่าพอแล้ว และจะเก็บไว้กินทีทีหลังดีกว่า นี่เพราะความอิ่ม แต่ยังรู้จักเก็บเข้าตู้เย็นไว้กินพรุ่งนี้ นั่นเป็นพื้นฐานเรื่องการเงินเลย
ถ้าเป็นเศรษศาสตร์ เราเรียกเหตุผลอย่างนี้ว่า มันเกี่ยวข้องกับ utility ยิ่งมากยิ่งดี ความพอใจที่กินตอนนั้นกับความพอใจที่จะกินพรุ่งนี้ มันชั่งกันตลอด การใช้เงินวันนี้ การเก็บเงินไว้ใช้ในอนาคต มันช่างกันหมด ถ้าเราเข้าใจเรื่อง ความไม่แน่นอน ในชีวิตของเรา ว่าทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นอาชีพการงาน การลงทุน เหตุการณ์ไม่คาดคิดมันเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา
สติยิ้งใช้ยิ่งเพิ่ม เพียงแต่ถามว่าสติที่เรามีมันถูกต้องหรือปล่าวเท่านั้นเอง มาพาเราไปลงเหว หรือไปทางที่ถูกแล้ว
วันนี้ในตลาดคงได้ใช้แน่นอนครับ....
-
- Verified User
- โพสต์: 1400
- ผู้ติดตาม: 0
แล้วให้เขา หา circle กันเอง ยิ่งน้อยเท่าไหร่ ยิ่งมากเท่านั้น
โพสต์ที่ 8
ผมยังตอบคำถามพี่ humdrum ที่ให้มา a. ถึง e. ว่าทำอันไหนก่อนหลัง
เรียงให้พี่ไม่ถูกจริงๆครับ เพราะผมไม่รู้จักพี่ดีพอ มิกล้าครับ :oops:
แต่ถ้าใช้ความรู้สึกล้วนๆๆ แล้วให้ผมเลือกสำหรับตัวเอง
ผมขอ e. attitude > b. knowledge = c.love > a. hardwork = d.luck
ปมที่ผมกลบไว้นาน เริ่มจากการตีความสิ่งแวดล้อมรอบข้างผิดไปหมดเลย
ตั้งแต่เด็ก เช่น
คนดูทีวีแล้วหัวเราะ ก็คิดไปเองว่า เขาหัวเราะเยาะเรา
เพื่อน แซวเรา ก็ตัดสินไปก่อนว่า เพื่อนไม่ชอบขี้หน้า เห็นเราเป็นตัวตลก
ความโกรธที่สั่งสมจากการตีความแบบนี้ ผลักให้ผม ชอบการแข่งขัน
ทุกอย่างที่ตัวเองแข่งได้ ทั้งเรื่องเรียน เรื่องกีฬา เกมส์ ฯลฯ
จนมาวันนึง..ที่มีโอกาสได้คุยกับเพื่อนที่แกล้งเราเป็นประจำ แล้วถึงได้รู้ว่า
เราคิดไปเอง ความโกรธอันเป็นขุมพลังมืดที่เคยผลักดันผมขึ้นที่สูง ก็มอดลง สมาธิ ความขยันทำงานหนัก มลายสิ้น
สำหรับผมวันนี้ ผมต้องหาขุมพลังสว่างให้เจอโดยเร็ว
เรียงให้พี่ไม่ถูกจริงๆครับ เพราะผมไม่รู้จักพี่ดีพอ มิกล้าครับ :oops:
แต่ถ้าใช้ความรู้สึกล้วนๆๆ แล้วให้ผมเลือกสำหรับตัวเอง
ผมขอ e. attitude > b. knowledge = c.love > a. hardwork = d.luck
ปมที่ผมกลบไว้นาน เริ่มจากการตีความสิ่งแวดล้อมรอบข้างผิดไปหมดเลย
ตั้งแต่เด็ก เช่น
คนดูทีวีแล้วหัวเราะ ก็คิดไปเองว่า เขาหัวเราะเยาะเรา
เพื่อน แซวเรา ก็ตัดสินไปก่อนว่า เพื่อนไม่ชอบขี้หน้า เห็นเราเป็นตัวตลก
ความโกรธที่สั่งสมจากการตีความแบบนี้ ผลักให้ผม ชอบการแข่งขัน
ทุกอย่างที่ตัวเองแข่งได้ ทั้งเรื่องเรียน เรื่องกีฬา เกมส์ ฯลฯ
จนมาวันนึง..ที่มีโอกาสได้คุยกับเพื่อนที่แกล้งเราเป็นประจำ แล้วถึงได้รู้ว่า
เราคิดไปเอง ความโกรธอันเป็นขุมพลังมืดที่เคยผลักดันผมขึ้นที่สูง ก็มอดลง สมาธิ ความขยันทำงานหนัก มลายสิ้น
สำหรับผมวันนี้ ผมต้องหาขุมพลังสว่างให้เจอโดยเร็ว
-
- Verified User
- โพสต์: 1961
- ผู้ติดตาม: 0
แล้วให้เขา หา circle กันเอง ยิ่งน้อยเท่าไหร่ ยิ่งมากเท่านั้น
โพสต์ที่ 9
สรรพสิ่งทั้งหลายในโลกกลม หมุนอย่างไรก็กลม ไม่เคยมีการกล่าวว่าโลกเปนสี่เหลี่ยม ไหนเลยคนเราถึงไม่อยากเปลี่ยนแปลง บางท่านขอพรพระคนละสองนาที แล้วคาดหวังว่าทุกอย่างจะเปนไปตามที่คาดหวัง แค่นั้นเขาจะพอใจ เพราะเขาจะได้ไม่ต้องเปลี่ยนแปลงอะไรเลย
สมมุติฐานยังเปลี่ยนแปลงได้ คุณสมบัติเฉพาะตัวคนก็เปลี่ยนได้เช่นกัน หากเราผ่านพบ ทดลอง หากเราซื่อสัตย์ที่จะยอมรับ เมื่อเวลาผ่านไป เราจะรู้ถึงคุณสมบัติเหล่านั้นตามความเป็นจริง ตัวตนที่ท่านทำหล่นหายไปนานแล้ว ท่านพยายามค้นหามันที่ไหน ในตลาดหลักทรัพย์ ในเกมกอล์ฟ ในสนามฟุตบอล เราทำมันหายไปในโลกภายในของเราเอง แต่เรากลับมาค้นหากันข้างนอก.....
ผทติดบทความม่ฝากท่าน VOL ครับ
ตอน....Ben Stiller
"ช่วงภาวะแห่งความยากลำบาก คนที่มีศัทธา จะเป็นผู้รอดชีวิตในที่สุด"
จากหนังเรื่อง Keeping the Faith
Stiller was born in New York City. Stiller's father Jerry Stiller is Jewish and his mother Anne Meara, who is of Irish Catholic background, converted to Judaism after marrying his father.
credit: http://en.wikipedia.org/wiki/Ben_Stiller
รู้จัก Ben Stiller จากเรื่อง Keeping the Faith แล้วก็ประทับใจนักแสดงชายคนนี้ตลอดมา จนกลายเป็นนักแสดงชายที่ชอบที่สุด ตามไปดู There's Something About Mary หัวเราะจนตกเก้าอี้ กับตอนที่เขาช่วยตัวเองในห้องน้ำ แล้วหาน้ำอสุกะไม่เจอ เพราะมันกระเด็นไปติดข้าง ๆ หู พอนางเอกมาเห็น เขาก็บอกว่าเป้นเยลใส่ผม นางเอกก็เอาไปใส่ผม ฉากนี้คิดถึงทีไร ได้อมยิ้มทุกครั้งไปครับ ^ ^
พูดถึง "ความศัทธา"....
คิดถึงบทความ อ. นิเวศน์ ที่ยังจดจำได้เป็นอย่างดี ทั้งๆ ที่อ่านเมื่อหลายปีก่อน แต่อ่านทีไรยังประทับใจในบทความชิ้นคลาสสิคนี้เหลือเกิน อ่านแล้วเหมือนเป็นยาชูกำลังและเติมเต็มกำลังใจที่มีอยู่ให้เพิ่มพูนทุกครั้งไปครับ
พลังแห่งศรัทธา
ในช่วงชีวิตของคนคนหนึ่ง....
ผมเชื่อว่าเขาต้องมีความศรัทธาในสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ผมเองในช่วงแรกของการทำงานหลังจากจบการศึกษาแล้ว ผมต้องทำงานเป็นวิศวกรโรงงานของบริษัทแห่งหนึ่ง ผมต้องควบคุมดูแลผู้ใต้บังคับบัญชาทั้งสิ้นสองกะจำนวนกว่า30คน กับโรงงานผลิตกระแสไฟฟ้าที่จะยอมให้ไฟดับไม่ได้อีกหนึ่งโรง ถ้าไฟดับมันไม่ใช่แค่โรงไฟฟ้ามีปัญหา แต่ปัญหามันจะเกิดกับโรงงานในกลุ่มที่รับเอากระแสไฟฟ้าไปใช้ มันทำให้เกิดความสูญเสียตามมามากครับ ความกลัวของผมเกิดขึ้นทันทีที่รู้ว่าต้องรับหน้าที่นี้ในตอนที่เราเรียนจบใหม่ๆ ไม่เคยต้องรับผิดชอบอะไรที่ใหญ่ๆอย่างนี้มาก่อนเลยก็ว่าได้
หลังจากความกลัวเกิดขึ้น สมองก็ต้องทำงานอย่างหนักเพราะเราต้องพยายามหาเหตุผลหักล้างความกลัวเพื่อให้เกิดความกล้าและเริ่มวางแผนการทำงานให้ดี ตรงนี้แหละครับมันเป็นจุดเริ่มต้นของการที่ต้องเลิกเป็นเด็กเสียที ต้องสร้างศรัทราให้เกิดขึ้นให้ได้ และนั่นคือรา และมันเป็นราในตัวเองครับ
ผมเริ่มงานนั้นอย่างขลุกขลัก วันแรกที่เดินเข้าโรงงานมันก็เริ่มลองของผมทันที โรงงานขัดข้องจ่ายไฟฟ้าไม่ได้ไปหนึ่งวันเต็มๆ ลองนึกดูซิว่านายช่างมือใหม่อย่างผมจะทำอย่างไร มันกะทันหันจริง ผมคิดได้ว่ามันต้องเริ่มที่หัวหน้างานที่ชินงาน ถามไปพร้อมๆกับเปิดคู่มือเดินเครื่อง ค่อยๆแก้ไปตามขั้นตอน จนในที่สุดมันก็กลับมาเดินเครื่องได้เป็นปกติ ถ้าผมขาดสติ ขาดความเชื่อมั่นในตัวเองเวลานั้นผมคงต้องเดินออกจากโรงงานในเวลาไม่นานแน่ๆ ด้วยเหตุผลที่ให้กับตัวเองว่า มันเป็นงานที่ไม่เหมาะกับผม
แต่วันนั้นผมไม่ยอมแพ้ ผมสู้กับปัญหาตั้งแต่วันแรกและผมทำได้ ผมได้สร้างศรัทราในตัวเองขึ้นมาได้ มันทำให้ผมมั่นใจว่าเมื่อไม้โทราในตัวเองและเชื่อมั่นว่าผมทำได้ ผมจะต้องทำให้ได้ มันเป็นไปตามคำพูดที่ว่า ความลับสามารถเคลื่อนขุนเขาได้
ในโลกของการลงทุนเองก็เช่นกัน ผมใช้ราในตัวเองมาควบคุมจิตใจสร้างเป้าหมายการลงทุน เป็นขั้นเป็นตอนตลอดเวลา ผมเริ่มต้นจากเงินเก็บที่ได้จากการทำงานตลอดเวลาหลายปีหลักแสนบาท หลังจากพลาดท่านายตลาดเกือบย่อยยับ แต่ผมไม่เลิก ผมพยายามหาแนวทางที่จะเอาชนะนายตลาดให้จงได้ และในที่สุดผมก็พบ ผมอ่านมากศึกษามาก ทดลองมาก ผมไม่เคยอ่านหนังสือภาษาอังกฤษได้นานเกินสามหน้าครับ ตอนที่ผมตั้งใจว่ามันไม่มีอะไรที่ได้มาง่ายๆ ผมจึงเริ่มต้นอ่านและอ่านได้จนจบเล่ม และอีกหลายๆเล่มตามมา มันเป็นความลับราในตัวเองจริงๆครับที่ผมไม่เคยทำได้มาก่อนเลยแต่ผมก็ทำได้ จนทุกวันนี้มันกลายเป็นส่วนหนึ่งของการดำรงชีวิตประจำวันของผมไปแล้วครับ
ผมเริ่มกลับมาลงทุนใหม่โดยใช้แนวทางใหม่ แต่ปัญหาก็ยังไม่หมด ผมยังควบคุมอารมณ์บางช่วงบางตอนได้ไม่ดีเท่าที่ควรจะเป็น ทั้งๆที่ผมได้ปฏิบัติทุกขั้นตอนมาครบถ้วนแล้ว สุดท้ายผมต้องเริ่มต้นสร้างศรัทราให้เกิดขึ้นใหม่อีกรอบ จนทุกวันนี้ก็ยังมีบ้างแต่ผมเชื่อว่าผมควบคุมมันได้มากขึ้นในระดับที่ดีทีเดียว
มาถึงเวลานี้แล้วผมเห็นเพื่อนๆหลายๆคน พยายามที่จะสร้างอุปนิสัยในการเป็นนักลงทุนที่ชาญฉลาด หลายๆคนลงมือไปแล้วแต่พบว่าหุ้นหลายบริษัทที่ลงไปมันไม่ขยับขึ้นแต่กลับลงมานิดหน่อย ก็เลยคิดว่าเราคิดผิด กังวลวุ่นวายไปหมด สุดท้ายผมเห็นว่าทนไม่ไหวเพราะตลาดขึ้นเอาขึ้นเอา ขายหุ้นที่มีอยู่ออกไปและเข้าไปมั่วกับเขาด้วย ตอนนี้กลับมานั่งคุยกันว่ารู้อย่างนี้อยู่เฉยๆดีกว่า ผมได้ยินบ่อยครับ แม้แต่มาจากจิตใต้สำนึกของผมเองก็ตาม
การเป็นนักลงทุนที่ชาญฉลาดนั้นไม่ได้เป็นได้เพราะเป็นบุคคลที่ฉลาด IQสูง การศึกษาสูง แต่เป็นได้เพราะเป็นบุคลที่มีอุปนิสัยดังที่ผมได้กล่าวไว้ และการที่จะเป็นนักลงทุนที่ชาญฉลาดได้นั้นท่านต้องกันราในตัวเอง ศรัทราในสิ่งที่ท่านวางแผนและทำลงไป ให้เวลามันทิรสุทธ์ทุกอย่างที่ท่านได้ตัดสินใจทำลงไปด้วยการใช้สติปัญญาอย่างรอบคอบ อย่าให้ความโง่เขลามาทำลายศรัทราที่ท่านสร้างมาอย่างดีแล้วลงไปอย่างง่ายดาย
ถ้าท่านทำลายศรัทราของท่าน เท่ากับท่านทำลายความเป็นตัวเองของท่านนะครับ....
สมมุติฐานยังเปลี่ยนแปลงได้ คุณสมบัติเฉพาะตัวคนก็เปลี่ยนได้เช่นกัน หากเราผ่านพบ ทดลอง หากเราซื่อสัตย์ที่จะยอมรับ เมื่อเวลาผ่านไป เราจะรู้ถึงคุณสมบัติเหล่านั้นตามความเป็นจริง ตัวตนที่ท่านทำหล่นหายไปนานแล้ว ท่านพยายามค้นหามันที่ไหน ในตลาดหลักทรัพย์ ในเกมกอล์ฟ ในสนามฟุตบอล เราทำมันหายไปในโลกภายในของเราเอง แต่เรากลับมาค้นหากันข้างนอก.....
ผทติดบทความม่ฝากท่าน VOL ครับ
ตอน....Ben Stiller
"ช่วงภาวะแห่งความยากลำบาก คนที่มีศัทธา จะเป็นผู้รอดชีวิตในที่สุด"
จากหนังเรื่อง Keeping the Faith
Stiller was born in New York City. Stiller's father Jerry Stiller is Jewish and his mother Anne Meara, who is of Irish Catholic background, converted to Judaism after marrying his father.
credit: http://en.wikipedia.org/wiki/Ben_Stiller
รู้จัก Ben Stiller จากเรื่อง Keeping the Faith แล้วก็ประทับใจนักแสดงชายคนนี้ตลอดมา จนกลายเป็นนักแสดงชายที่ชอบที่สุด ตามไปดู There's Something About Mary หัวเราะจนตกเก้าอี้ กับตอนที่เขาช่วยตัวเองในห้องน้ำ แล้วหาน้ำอสุกะไม่เจอ เพราะมันกระเด็นไปติดข้าง ๆ หู พอนางเอกมาเห็น เขาก็บอกว่าเป้นเยลใส่ผม นางเอกก็เอาไปใส่ผม ฉากนี้คิดถึงทีไร ได้อมยิ้มทุกครั้งไปครับ ^ ^
พูดถึง "ความศัทธา"....
คิดถึงบทความ อ. นิเวศน์ ที่ยังจดจำได้เป็นอย่างดี ทั้งๆ ที่อ่านเมื่อหลายปีก่อน แต่อ่านทีไรยังประทับใจในบทความชิ้นคลาสสิคนี้เหลือเกิน อ่านแล้วเหมือนเป็นยาชูกำลังและเติมเต็มกำลังใจที่มีอยู่ให้เพิ่มพูนทุกครั้งไปครับ
พลังแห่งศรัทธา
ในช่วงชีวิตของคนคนหนึ่ง....
ผมเชื่อว่าเขาต้องมีความศรัทธาในสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ผมเองในช่วงแรกของการทำงานหลังจากจบการศึกษาแล้ว ผมต้องทำงานเป็นวิศวกรโรงงานของบริษัทแห่งหนึ่ง ผมต้องควบคุมดูแลผู้ใต้บังคับบัญชาทั้งสิ้นสองกะจำนวนกว่า30คน กับโรงงานผลิตกระแสไฟฟ้าที่จะยอมให้ไฟดับไม่ได้อีกหนึ่งโรง ถ้าไฟดับมันไม่ใช่แค่โรงไฟฟ้ามีปัญหา แต่ปัญหามันจะเกิดกับโรงงานในกลุ่มที่รับเอากระแสไฟฟ้าไปใช้ มันทำให้เกิดความสูญเสียตามมามากครับ ความกลัวของผมเกิดขึ้นทันทีที่รู้ว่าต้องรับหน้าที่นี้ในตอนที่เราเรียนจบใหม่ๆ ไม่เคยต้องรับผิดชอบอะไรที่ใหญ่ๆอย่างนี้มาก่อนเลยก็ว่าได้
หลังจากความกลัวเกิดขึ้น สมองก็ต้องทำงานอย่างหนักเพราะเราต้องพยายามหาเหตุผลหักล้างความกลัวเพื่อให้เกิดความกล้าและเริ่มวางแผนการทำงานให้ดี ตรงนี้แหละครับมันเป็นจุดเริ่มต้นของการที่ต้องเลิกเป็นเด็กเสียที ต้องสร้างศรัทราให้เกิดขึ้นให้ได้ และนั่นคือรา และมันเป็นราในตัวเองครับ
ผมเริ่มงานนั้นอย่างขลุกขลัก วันแรกที่เดินเข้าโรงงานมันก็เริ่มลองของผมทันที โรงงานขัดข้องจ่ายไฟฟ้าไม่ได้ไปหนึ่งวันเต็มๆ ลองนึกดูซิว่านายช่างมือใหม่อย่างผมจะทำอย่างไร มันกะทันหันจริง ผมคิดได้ว่ามันต้องเริ่มที่หัวหน้างานที่ชินงาน ถามไปพร้อมๆกับเปิดคู่มือเดินเครื่อง ค่อยๆแก้ไปตามขั้นตอน จนในที่สุดมันก็กลับมาเดินเครื่องได้เป็นปกติ ถ้าผมขาดสติ ขาดความเชื่อมั่นในตัวเองเวลานั้นผมคงต้องเดินออกจากโรงงานในเวลาไม่นานแน่ๆ ด้วยเหตุผลที่ให้กับตัวเองว่า มันเป็นงานที่ไม่เหมาะกับผม
แต่วันนั้นผมไม่ยอมแพ้ ผมสู้กับปัญหาตั้งแต่วันแรกและผมทำได้ ผมได้สร้างศรัทราในตัวเองขึ้นมาได้ มันทำให้ผมมั่นใจว่าเมื่อไม้โทราในตัวเองและเชื่อมั่นว่าผมทำได้ ผมจะต้องทำให้ได้ มันเป็นไปตามคำพูดที่ว่า ความลับสามารถเคลื่อนขุนเขาได้
ในโลกของการลงทุนเองก็เช่นกัน ผมใช้ราในตัวเองมาควบคุมจิตใจสร้างเป้าหมายการลงทุน เป็นขั้นเป็นตอนตลอดเวลา ผมเริ่มต้นจากเงินเก็บที่ได้จากการทำงานตลอดเวลาหลายปีหลักแสนบาท หลังจากพลาดท่านายตลาดเกือบย่อยยับ แต่ผมไม่เลิก ผมพยายามหาแนวทางที่จะเอาชนะนายตลาดให้จงได้ และในที่สุดผมก็พบ ผมอ่านมากศึกษามาก ทดลองมาก ผมไม่เคยอ่านหนังสือภาษาอังกฤษได้นานเกินสามหน้าครับ ตอนที่ผมตั้งใจว่ามันไม่มีอะไรที่ได้มาง่ายๆ ผมจึงเริ่มต้นอ่านและอ่านได้จนจบเล่ม และอีกหลายๆเล่มตามมา มันเป็นความลับราในตัวเองจริงๆครับที่ผมไม่เคยทำได้มาก่อนเลยแต่ผมก็ทำได้ จนทุกวันนี้มันกลายเป็นส่วนหนึ่งของการดำรงชีวิตประจำวันของผมไปแล้วครับ
ผมเริ่มกลับมาลงทุนใหม่โดยใช้แนวทางใหม่ แต่ปัญหาก็ยังไม่หมด ผมยังควบคุมอารมณ์บางช่วงบางตอนได้ไม่ดีเท่าที่ควรจะเป็น ทั้งๆที่ผมได้ปฏิบัติทุกขั้นตอนมาครบถ้วนแล้ว สุดท้ายผมต้องเริ่มต้นสร้างศรัทราให้เกิดขึ้นใหม่อีกรอบ จนทุกวันนี้ก็ยังมีบ้างแต่ผมเชื่อว่าผมควบคุมมันได้มากขึ้นในระดับที่ดีทีเดียว
มาถึงเวลานี้แล้วผมเห็นเพื่อนๆหลายๆคน พยายามที่จะสร้างอุปนิสัยในการเป็นนักลงทุนที่ชาญฉลาด หลายๆคนลงมือไปแล้วแต่พบว่าหุ้นหลายบริษัทที่ลงไปมันไม่ขยับขึ้นแต่กลับลงมานิดหน่อย ก็เลยคิดว่าเราคิดผิด กังวลวุ่นวายไปหมด สุดท้ายผมเห็นว่าทนไม่ไหวเพราะตลาดขึ้นเอาขึ้นเอา ขายหุ้นที่มีอยู่ออกไปและเข้าไปมั่วกับเขาด้วย ตอนนี้กลับมานั่งคุยกันว่ารู้อย่างนี้อยู่เฉยๆดีกว่า ผมได้ยินบ่อยครับ แม้แต่มาจากจิตใต้สำนึกของผมเองก็ตาม
การเป็นนักลงทุนที่ชาญฉลาดนั้นไม่ได้เป็นได้เพราะเป็นบุคคลที่ฉลาด IQสูง การศึกษาสูง แต่เป็นได้เพราะเป็นบุคลที่มีอุปนิสัยดังที่ผมได้กล่าวไว้ และการที่จะเป็นนักลงทุนที่ชาญฉลาดได้นั้นท่านต้องกันราในตัวเอง ศรัทราในสิ่งที่ท่านวางแผนและทำลงไป ให้เวลามันทิรสุทธ์ทุกอย่างที่ท่านได้ตัดสินใจทำลงไปด้วยการใช้สติปัญญาอย่างรอบคอบ อย่าให้ความโง่เขลามาทำลายศรัทราที่ท่านสร้างมาอย่างดีแล้วลงไปอย่างง่ายดาย
ถ้าท่านทำลายศรัทราของท่าน เท่ากับท่านทำลายความเป็นตัวเองของท่านนะครับ....
- dome@perth
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 4740
- ผู้ติดตาม: 0
แล้วให้เขา หา circle กันเอง ยิ่งน้อยเท่าไหร่ ยิ่งมากเท่านั้น
โพสต์ที่ 11
[quote="por_jai"]
"ไม่มีสุตรสำเร็จ ไม่มีทางลัด ไม่ใช่แค่โชค
หนทางจะได้มาซึ่ง อิสระภาพทางการเงิน
มันมาจาก ความขยัน การไขว่คว้า หาความรู้
เชื่อและตั้งมั้นในหลักการลงทุนที่ถูกต้อง"
หนทางจะได้มาซึ่ง อิสระภาพทางการเงิน
มันมาจาก ความขยัน การไขว่คว้า หาความรู้
เชื่อและตั้งมั้นในหลักการลงทุนที่ถูกต้อง"
-
- Verified User
- โพสต์: 1961
- ผู้ติดตาม: 0
แล้วให้เขา หา circle กันเอง ยิ่งน้อยเท่าไหร่ ยิ่งมากเท่านั้น
โพสต์ที่ 12
ถ้าทำให้คนอ่านมีความสุขในช่วงตลาดอย่างนี้ได้
ผมก็ดีใจที่สุดแล้ว
ต้องขอขอบคุณป๋าเช่นเดียวกันครับ
ผมติด เรื่อง Mr. Market มาฝาก
เพราะเกี่ยวกับจิตวิทยาล้วน ๆ และสำคัญมากทีเดียวในช่วงนี้
Mr. market
เวลาที่ผ่านไปนำมาซึ่งสถานการณ์ใหม่ อันทำให้สูตรเก่าไม่มีความเหมาะสมอีกต่อไป
เมื่อความนิยมในทฤษฎีบางอย่างมากขึ้น มันจะมีอิทธิพลกับพฤติกรรมตลาด จะทำให้โอกาสหากำไรจากทฤษฎีดังกล่าวลดน้อยลง
ซื้อตลาดหมี/ขายตลาดกระทิง
-
การที่นักลงทุนสามารถคาดการณ์ความเคลื่อนไหวของตลาดได้เก่งกว่าคนส่วนใหญ่ ทั้งๆที่ตัวเขาเองเป้นส่วนหนึ่งในนั้น เป็นเรื่องที่เป้นไปได้ยาก
พฤติกรรมของตลาดได้เปลี่ยนรุปแบบอยู่ตลอดเวลาตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน
-
จงเปลี่ยนข้อได้เสียเปรียบให้เป็นข้อได้เปรียบ
จงคิดเสมอว่าการตัดสินใจแต่ละครั้ง ทำให้เราได้เปรียบหรือไม่
อย่าสนใจขนาดการขึ้นลง แต่คิดเป็นเปอร์เซ็นต์การเปลี่ยนแปลงเสมอ
-
เราจะรู้สึกควบคลุมสถานการณืได้ดีขึ้น หากเราตะหนักว่ามีอะไรอีกมากมายบนโลกที่เราควบคลุมไม่ได้
การลงทุนไม่ใช่การเอาชนะคนอื่นในเกมของพวกเขา มันเป้นเรื่องของการชนะตัวเองในเกมของเราเอง
จงฝึกฝนอยู่เสมอที่จะป้องกันไม่ให้ตัวเองเป้นศัตรูที่ร้ายกาจที่สุดของตัวเอง
-------------
โดยทั่วไปคนเห็นว่าเวลาเดินไปข้างหน้า อนาคตอยู่ข้างหน้า อดีตอยู่ข้างหลัง แต่ผมเห็นว่าอดีตอยู่ข้างหน้า เนื่องจากเรามองเห้น และอนาคตอยู่ข้างหลัง เนื่องจากเรามองไม่เห็น
----------------------
ขอให้ทุกท่านประสบความสำเร็จในการลงทุนครับ
Shalom.
ผมก็ดีใจที่สุดแล้ว
ต้องขอขอบคุณป๋าเช่นเดียวกันครับ
ผมติด เรื่อง Mr. Market มาฝาก
เพราะเกี่ยวกับจิตวิทยาล้วน ๆ และสำคัญมากทีเดียวในช่วงนี้
Mr. market
เวลาที่ผ่านไปนำมาซึ่งสถานการณ์ใหม่ อันทำให้สูตรเก่าไม่มีความเหมาะสมอีกต่อไป
เมื่อความนิยมในทฤษฎีบางอย่างมากขึ้น มันจะมีอิทธิพลกับพฤติกรรมตลาด จะทำให้โอกาสหากำไรจากทฤษฎีดังกล่าวลดน้อยลง
ซื้อตลาดหมี/ขายตลาดกระทิง
-
การที่นักลงทุนสามารถคาดการณ์ความเคลื่อนไหวของตลาดได้เก่งกว่าคนส่วนใหญ่ ทั้งๆที่ตัวเขาเองเป้นส่วนหนึ่งในนั้น เป็นเรื่องที่เป้นไปได้ยาก
พฤติกรรมของตลาดได้เปลี่ยนรุปแบบอยู่ตลอดเวลาตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน
-
จงเปลี่ยนข้อได้เสียเปรียบให้เป็นข้อได้เปรียบ
จงคิดเสมอว่าการตัดสินใจแต่ละครั้ง ทำให้เราได้เปรียบหรือไม่
อย่าสนใจขนาดการขึ้นลง แต่คิดเป็นเปอร์เซ็นต์การเปลี่ยนแปลงเสมอ
-
เราจะรู้สึกควบคลุมสถานการณืได้ดีขึ้น หากเราตะหนักว่ามีอะไรอีกมากมายบนโลกที่เราควบคลุมไม่ได้
การลงทุนไม่ใช่การเอาชนะคนอื่นในเกมของพวกเขา มันเป้นเรื่องของการชนะตัวเองในเกมของเราเอง
จงฝึกฝนอยู่เสมอที่จะป้องกันไม่ให้ตัวเองเป้นศัตรูที่ร้ายกาจที่สุดของตัวเอง
-------------
โดยทั่วไปคนเห็นว่าเวลาเดินไปข้างหน้า อนาคตอยู่ข้างหน้า อดีตอยู่ข้างหลัง แต่ผมเห็นว่าอดีตอยู่ข้างหน้า เนื่องจากเรามองเห้น และอนาคตอยู่ข้างหลัง เนื่องจากเรามองไม่เห็น
----------------------
ขอให้ทุกท่านประสบความสำเร็จในการลงทุนครับ
Shalom.
- กล้วยไม้ขาว
- Verified User
- โพสต์: 1074
- ผู้ติดตาม: 0
แล้วให้เขา หา circle กันเอง ยิ่งน้อยเท่าไหร่ ยิ่งมากเท่านั้น
โพสต์ที่ 13
[quote="humdrum"]
-------------
-------------
-
- Verified User
- โพสต์: 1961
- ผู้ติดตาม: 0
แล้วให้เขา หา circle กันเอง ยิ่งน้อยเท่าไหร่ ยิ่งมากเท่านั้น
โพสต์ที่ 14
ถ้าคิดอย่างนี้ ท่านกล้วยน่าจะคิดถึงความตายทุกวันเหมือนผม
ไม่ค่อยเจอคนอย่างน้เท่าไรหรอกครับ
ผมหมายถึงว่า เราคิดไปถึงเวลาเราตาย แล้วเราก็ย้อนกลับมาปัจจุบัน
ผมชอบคิดถึงเวลาผมตายอย่างมีความสุขว่าจะมีคนมากล่าวต่อหน้าหลุมศพผมอย่างไรบ้าง มากล่าวถึงความดีที่ผมทำให้โลกนี้อย่างไรบ้าง หรืออาจมีคนมากล่าวสิ่งที่ไม่ดีในชีวิตที่ผมทำซะมากกว่า
ผมชอบจินตานาการอย่างนี้ทุกคืนครับ
ผมคิดไว้แล้วจะเขียนคำว่า
"อย่าลองแบบผม" ไว้หน้าหลุมศพ
หรือไม่ก็เขียนว่าหน้าหลุมศพผมว่า
"ตอนนี้ผมไม่อยู๋ ไปตลาดหลักทรัพย์"
ตอนนี้ ผมนับถอยหลังเท่านั้นเอง
ผมน่าจะมีชีวิตอีก 12775 วันครับ
อะไรก้เป้นไปได้ทั้งนั้น
อย่าประมาทในชีวิต
จดทุกอย่างที่เราทำ ความดีอยู่ข้างหนึ่ง / ความชั่วอยู่ด้านหนึ่ง
เรื่องการจดนี้สำตัญอย่างมาก มันจะทำให้เราคิดทุกอย่างก่อนที่จะทำอะไรลงไปครับ
เรื่องการจดบันทึกนี้ ผมติดบทความมาฝากครับ
ตอน....คำแนะนำจากคนที่รวยที่สุดในอเมริกา
สืบเนื่องจากการจัดลำดับของ Fortune คนที่รวยที่สุดในอเมริกา คือ John D Rockefeller เขาเป็น the richest American
http://money.cnn.com/galleries/2007/for ... index.html
ไปอ่านแล้ว ถึงเข้าใจครับ เพราะเขาเอา wealth ของ Rockefeller ไปเปรียบเทียบกับ U.S. GDP ในตอนที่เขาจากโลกไปเมื่อปี 1937 โดยมี Wealth at death ที่ $1,400,000,000 คิดเป้นอัตราส่วนของ Wealth/GDP เท่ากับ 1/65
The richest Americans
Wealth is relative, and the value of the dollar is far from fixed. So this ranking of American plutocrats measures their total wealth as a fraction of U.S. GDP at their time of death (or for Gates, 2006).
1. (1839-1937)
John D. Rockefeller
Industrialist and philanthropist who played an important role in the establishment of the oil industry.
Industry: Oil
Wealth at death: $1,400,000,000
Wealth/GDP: 1/65
ระหว่างที่นั่งค้นหาข้อมูลของท่านไปเรื่อยๆ ผมไปเจอบทความที่ว่าด้วยคำแนะนำของท่าน John D. Rockefeller เมื่อ 111 ปีที่แล้วโน้น ที่ให้ไว้กับเด็ก ๆ เกี่ยวกับเรื่อง การออมเงิน อ่านเรืองราวของท่านเพิ่มเติม หรือ ฟัง speech ของท่าน ได้ที่ http://www.rockarch.org/
ผมชอบตอนที่ท่านบอกว่า....
" money alone makes you numb."
Quote
Numb Meaning and Definition
(v. t.) To make numb; to deprive of the power of sensation or motion; to render senseless or inert; to deaden; to benumb; to stupefy.
ท่านยังบอกต่อว่า คนที่จนที่สุดในโลก คือ คนที่มีแต่เงินเท่านั้น ซึ่งความร่ำรวยที่แท้จริงในความคิดของท่านเป็นเรื่องของ purpose เพราะว่า money is good if you know how to use it.
Rockefeller ท่านจดประวัติการใช้เงินของท่านตลอด ตอนที่ท่านไปสอนเด็ก ๆ ท่านหยิบสมุดเล่มหนึ่งขึ้นมา มันดูเก่ามาก ๆ แล้วท่านก็เปิดออกแล้วอ่านให้เด็ก ๆ ฟังว่าท่านใช้เงินอย่างไรบ้างในวันวันหนึ่ง แต่วันที่ท่านยกตัวอย่างมาอ่านให้ฟัง คือ เมื่อ 40 ปีที่แล้วโน้น ท่านจดทุกอย่างที่ท่านใช้เงินในวันวันหนึ่งตลอด 40 ปีที่ผ่านมา ขนาดที่ท่านสามารถกลับไปอ่านได้ตลอดเวลาเมื่อท่านต้องการ
"จดสิ่งที่เราจ่ายไป ไม่ว่าจะอายุเท่าไรก็ตาม"
สวัสดีครับ........
ไม่ค่อยเจอคนอย่างน้เท่าไรหรอกครับ
ผมหมายถึงว่า เราคิดไปถึงเวลาเราตาย แล้วเราก็ย้อนกลับมาปัจจุบัน
ผมชอบคิดถึงเวลาผมตายอย่างมีความสุขว่าจะมีคนมากล่าวต่อหน้าหลุมศพผมอย่างไรบ้าง มากล่าวถึงความดีที่ผมทำให้โลกนี้อย่างไรบ้าง หรืออาจมีคนมากล่าวสิ่งที่ไม่ดีในชีวิตที่ผมทำซะมากกว่า
ผมชอบจินตานาการอย่างนี้ทุกคืนครับ
ผมคิดไว้แล้วจะเขียนคำว่า
"อย่าลองแบบผม" ไว้หน้าหลุมศพ
หรือไม่ก็เขียนว่าหน้าหลุมศพผมว่า
"ตอนนี้ผมไม่อยู๋ ไปตลาดหลักทรัพย์"
ตอนนี้ ผมนับถอยหลังเท่านั้นเอง
ผมน่าจะมีชีวิตอีก 12775 วันครับ
อะไรก้เป้นไปได้ทั้งนั้น
อย่าประมาทในชีวิต
จดทุกอย่างที่เราทำ ความดีอยู่ข้างหนึ่ง / ความชั่วอยู่ด้านหนึ่ง
เรื่องการจดนี้สำตัญอย่างมาก มันจะทำให้เราคิดทุกอย่างก่อนที่จะทำอะไรลงไปครับ
เรื่องการจดบันทึกนี้ ผมติดบทความมาฝากครับ
ตอน....คำแนะนำจากคนที่รวยที่สุดในอเมริกา
สืบเนื่องจากการจัดลำดับของ Fortune คนที่รวยที่สุดในอเมริกา คือ John D Rockefeller เขาเป็น the richest American
http://money.cnn.com/galleries/2007/for ... index.html
ไปอ่านแล้ว ถึงเข้าใจครับ เพราะเขาเอา wealth ของ Rockefeller ไปเปรียบเทียบกับ U.S. GDP ในตอนที่เขาจากโลกไปเมื่อปี 1937 โดยมี Wealth at death ที่ $1,400,000,000 คิดเป้นอัตราส่วนของ Wealth/GDP เท่ากับ 1/65
The richest Americans
Wealth is relative, and the value of the dollar is far from fixed. So this ranking of American plutocrats measures their total wealth as a fraction of U.S. GDP at their time of death (or for Gates, 2006).
1. (1839-1937)
John D. Rockefeller
Industrialist and philanthropist who played an important role in the establishment of the oil industry.
Industry: Oil
Wealth at death: $1,400,000,000
Wealth/GDP: 1/65
ระหว่างที่นั่งค้นหาข้อมูลของท่านไปเรื่อยๆ ผมไปเจอบทความที่ว่าด้วยคำแนะนำของท่าน John D. Rockefeller เมื่อ 111 ปีที่แล้วโน้น ที่ให้ไว้กับเด็ก ๆ เกี่ยวกับเรื่อง การออมเงิน อ่านเรืองราวของท่านเพิ่มเติม หรือ ฟัง speech ของท่าน ได้ที่ http://www.rockarch.org/
ผมชอบตอนที่ท่านบอกว่า....
" money alone makes you numb."
Quote
Numb Meaning and Definition
(v. t.) To make numb; to deprive of the power of sensation or motion; to render senseless or inert; to deaden; to benumb; to stupefy.
ท่านยังบอกต่อว่า คนที่จนที่สุดในโลก คือ คนที่มีแต่เงินเท่านั้น ซึ่งความร่ำรวยที่แท้จริงในความคิดของท่านเป็นเรื่องของ purpose เพราะว่า money is good if you know how to use it.
Rockefeller ท่านจดประวัติการใช้เงินของท่านตลอด ตอนที่ท่านไปสอนเด็ก ๆ ท่านหยิบสมุดเล่มหนึ่งขึ้นมา มันดูเก่ามาก ๆ แล้วท่านก็เปิดออกแล้วอ่านให้เด็ก ๆ ฟังว่าท่านใช้เงินอย่างไรบ้างในวันวันหนึ่ง แต่วันที่ท่านยกตัวอย่างมาอ่านให้ฟัง คือ เมื่อ 40 ปีที่แล้วโน้น ท่านจดทุกอย่างที่ท่านใช้เงินในวันวันหนึ่งตลอด 40 ปีที่ผ่านมา ขนาดที่ท่านสามารถกลับไปอ่านได้ตลอดเวลาเมื่อท่านต้องการ
"จดสิ่งที่เราจ่ายไป ไม่ว่าจะอายุเท่าไรก็ตาม"
สวัสดีครับ........