อ่านกันหรือยัง ดร. นิเวศน์ ลงทุนอย่างมีความสุข

การลงทุนแบบเน้นคุณค่า เน้นที่ปัจจัยพื้นฐานเป็นหลัก

ล็อคหัวข้อ
ภาพประจำตัวสมาชิก
suthepj
Verified User
โพสต์: 125
ผู้ติดตาม: 0

อ่านกันหรือยัง ดร. นิเวศน์ ลงทุนอย่างมีความสุข

โพสต์ที่ 1

โพสต์

ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

ลงทุนอย่างมีความสุข

ความผันผวนของราคาหุ้นในตลาดหลักทรัพย์นั้นรุนแรงมากโดยเฉพาะในช่วงเวลาสั้น ๆ สิ่งนี้ก่อให้เกิดกำไรหรือผลตอบแทนได้อย่างรวดเร็ว เช่นเดียวกับความเสียหายมากมายให้กับคนที่เข้ามาเล่นหุ้นในตลาดแบบเก็งกำไร

ความสุขแบบเพ้อฝันและความโศกเศร้าเสียใจดูเหมือนว่าจะเป็นวัฏจักรที่ไม่จบสิ้นในตลาดหลักทรัพย์ ชีวิตของคนเล่นหุ้นจำนวนมากผูกพันอยู่กับดัชนีตลาดหลักทรัพย์ นั่นก็คือเมื่อดัชนีปรับตัวขึ้นชีวิตเขาก็มีความสุข เมื่อดัชนีปรับตัวลงชีวิตเขาก็เป็นทุกข์

ความหวาดกลัวต่อการสูญเสียทำให้นักเล่นหุ้นมีความวิตกกังวลอยู่ตลอดเวลาตราบที่ยังมีหุ้นอยู่ในมือ การแก้ปัญหาสำหรับหลายคนก็คือการถือหุ้นให้สั้นลง โดยเฉพาะในช่วงที่หุ้นผันผวนสูงนั้นคนจำนวนมากไม่ยอมถือหุ้นข้ามวันด้วยซ้ำ นั่นเป็นเหตุที่ทำให้การซื้อขายแบบหักกลบลบหนี้ภายในวันเดียวกันหรือเรียกว่า Net Settlement หรือการซื้อหุ้นตอนเช้าแล้วขายตอนบ่ายมีมากถึง 20 30% ของการซื้อขายหุ้นทั้งตลาด

คนเล่นหุ้นจำนวนมากคงเห็นว่านั่นคือความสุขของการเล่นหุ้น คือเมื่อลงเงินแล้วก็อยากเห็นผลเร็วว่าได้หรือเสีย และคำว่าได้หรือเสียก็คือต้องเห็นเม็ดเงินในบัญชีว่ามีเพิ่มขึ้นหรือลดลง แน่นอน ถ้าเม็ดเงินเพิ่มขึ้นความสุขก็ตามมา แต่ถ้าเม็ดเงินลดลง ความสุขจากการเล่นหุ้นก็กลายเป็นความทุกข์

โดยเฉลี่ยแล้วคนที่เล่นหุ้นเก็งกำไรระยะสั้นซื้อ ๆ ขาย ๆ เป็นนิจสินในช่วงเกือบ 30 ปีที่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเปิดมานั้นผมคิดว่านอกจากจะไม่ได้ผลตอบแทนจากการลงทุนแล้ว ยังขาดทุนด้วย เพราะในช่วง 28 ปีของตลาดหลักทรัพย์นั้น การลงทุนให้ผลตอบแทนโดยเฉลี่ยประมาณปีละ 6 7% เท่านั้น ในขณะที่คนเล่นหุ้นระยะสั้นต้องจ่ายค่าคอมมิชชั่นในการซื้อขายปีหนึ่ง ๆ ผมคิดว่ามากกว่านั้น เพราะฉะนั้นข้อสรุปของผมก็คือ คนเล่นหุ้นในช่วงที่ผ่านมาเกือบ 30 ปี โดยเฉลี่ยแล้วมีความทุกข์มากกว่าความสุข และนั่นทำให้คนส่วนใหญ่ไม่อยากจะลงทุนในหุ้น
วิธีการลงทุนในหุ้นที่จะมีความสุขมากกว่าความทุกข์โดยเฉพาะสำหรับคนทั่ว ๆ ไปที่มีเงินออมระยะยาวนั้น ผมมีความเห็นว่าควรจะเป็นการลงทุนในแนว Value Investment ที่เน้นการลงทุนระยะยาวในหุ้นที่มีคุณภาพดีและราคาต่ำกว่ามูลค่าที่ควรเป็น โดยสูตรง่าย ๆ ที่ผมเสนอก็คือ

ข้อแรก กันเงินประมาณ 30% ของทรัพย์สินที่มีสภาพคล่องหรือเงินในบัญชีที่คุณไม่จำเป็นที่จะต้องใช้อีกนานมาก(ไม่ต่ำกว่า 5 ปี) เอามาลงทุนในหุ้น โดยที่เงินนี้ถ้าเกิดต้องสูญเสียไปมาก คุณก็ยังไม่เดือดร้อน แต่อย่าเพิ่งห่วงไปว่าคุณจะสูญเสียมาก ผมพูดเผื่อไว้เท่านั้นเพราะโอกาสเกิดอย่างนั้นมีน้อยถ้าคุณปฏิบัติตามวิธีที่ผมจะพูดต่อไป

ข้อสอง เลือกหุ้น 5 6 ตัวในอุตสาหกรรมต่าง ๆ กันโดยหุ้นแต่ละตัวจะต้องเป็นกิจการที่มีคุณภาพดี นั่นก็คือเป็นธุรกิจที่อยู่มานานพอสมควร มีกำไรและจ่ายปันผลตลอดในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา เจ้าของไม่มีประวัติที่เสียหาย และถ้าจะให้ปลอดภัยขึ้นไปอีกก็ควรเป็นบริษัทที่เป็นผู้นำในอุตสาหกรรมของเขาก็จะยิ่งดี แต่นี่ก็ยังไม่พอจะต้องพิจารณาประกอบกับข้อสาม

ข้อสาม ราคาที่ซื้อหุ้นดังกล่าวในข้อสองจะต้องถูก และการที่จะดูว่าหุ้นถูกหรือแพงนั้นจะต้องดูที่ค่า PE, PB และ DP โดยเงื่อนไขง่าย ๆ ก็คือค่า PE ไม่ควรจะเกิน 10 เท่า ซึ่งแปลว่าการลงทุนจะให้ผลตอบแทนปีละไม่ต่ำกว่า 10% ค่า PB เป็นตัวประกอบว่าเราจ่ายเงินแพงกว่าผู้ถือหุ้นเดิมมากน้อยแค่ไหน พยายามอย่าให้เกิน 2 เท่า ค่า DP บอกว่าในแต่ละปีเราจะได้เงินปันผลคิดเป็นกี่เปอร์เซ็นต์ของเงินที่เราลงทุนไปซึ่งผมคิดว่าน่าจะไม่ต่ำกว่า 4% ในภาวะที่อัตราดอกเบี้ยเหลือเพียงปีละ 1%

ข้อสี่ เมื่อซื้อเสร็จแล้วก็ให้กอดหุ้นเหล่านั้นไว้อย่าไปขายเมื่อหุ้นขึ้นหรือลงในช่วงสั้น ๆ โดยเฉลี่ยแล้วผมคิดว่าควรถือหุ้นไว้สัก 5 ปี นั่นก็คือ ถ้าคุณมีเงินลงทุน 1 ล้านบาท ปีหนึ่งคุณควรขายออกไปโดยเฉลี่ยเพียง 200,000 บาท แต่เมื่อขายแล้วก็ต้องเอาเงินที่ได้ไปซื้อหุ้นตัวใหม่แทน โดยที่การตัดสินใจขายหุ้นและซื้อหุ้นตัวใหม่นั้นมาจากการวิเคราะห์และติดตามที่จะกล่าวถึงในข้อห้า

ข้อห้า เมื่อคุณซื้อหุ้นแล้วคุณก็คือเจ้าของบริษัทคนหนึ่ง ดังนั้นคุณจะต้องติดตามผลการดำเนินงานของกิจการในทุกไตรมาศ จะต้องติดตามข่าวคราวจากหน้าหนังสือพิมพ์แนวธุรกิจเป็นประจำ ติดตามการเคลื่อนไหวทางการตลาดของบริษัทซึ่งรวมถึงการโฆษณาประชาสัมพันธ์ต่าง ๆ และถ้าบริษัทเป็นผู้ขายสินค้าอุปโภคบริโภค คุณก็ควรจะลองใช้หรือคอยสังเกตว่าสินค้าหรือบริการของบริษัทเป็นอย่างไรด้วย

ข้อหก ในส่วนของราคาหุ้นนั้นคุณจะต้องไม่ตื่นเต้นเมื่อหุ้นตัวใดตัวหนึ่งวิ่งขึ้นหรือลงอย่างรวดเร็วในบางช่วง คุณไม่มีความจำเป็นที่จะต้องรีบขาย สิ่งที่คุณควรสนใจมากกว่าก็คือมูลค่าของราคาหุ้นทั้งพอร์ตหรือของหุ้นทั้งหมดที่ถืออยู่ว่ามันปรับตัวขึ้นลงอย่างไร ถ้ามูลค่าปรับตัวขึ้นก็ถือว่าคุณมาถูกทาง และถ้ามันปรับตัวลงหลังจากลงทุนมานานพอสมควรแล้ว(เป็นบี) บางทีคุณอาจจะต้องทบทวนตัวหุ้นที่เลือกมา

ถ้าคุณทำอย่างที่กล่าวมาทั้ง 6 ข้อ อย่างมั่นคง ผมคิดว่าโอกาสที่คุณจะได้ผลตอบแทนเฉลี่ยปีละไม่ต่ำกว่า 10% โดยที่บางส่วนประมาณ 4 5% จะมาจากเงินปันผลและอีกส่วนหนึ่งมาจากการเพิ่มขึ้นของราคาหุ้นจะมีสูง นั่นหมายความว่าภายในเวลาประมาณ 7 ปี มูลค่าของพอร์ตลงทุนของคุณจะโตขึ้นเป็นเท่าตัว โดยที่คุณจะไม่ต้องกังวลว่าดัชนีตลาดหุ้นจะเป็นอย่างไร

คุณอาจจะกังวลบ้างในช่วงแรก ๆ ที่คุณเริ่มลงทุนตามแบบที่กล่าวโดยเฉพาะถ้าคุณเฝ้าตามดัชนีหรือราคาหุ้นในพอร์ตมากเกินไป หรือคุณไปฟังนักเล่นหุ้นหรือเพื่อน ผู้หวังดี มากเกินไป แต่ถ้าคุณผ่านช่วงเวลามาพอสมควรและพอร์ตคุณเริ่มโตขึ้นเรื่อย ๆ จนโอกาสที่คุณจะ ขาดทุน คือมูลค่าของพอร์ตลดลงต่ำกว่าต้นทุน มีน้อยลงมากแล้ว เมื่อนั้นคุณก็จะเลิกกังวล และจะรู้สึกว่าการลงทุนของคุณนั้นไม่เสี่ยง ความมั่นใจในการลงทุนจะเพิ่มขึ้น และที่สำคัญคุณจะได้รับผลตอบแทนที่สูงกว่าการเล่นหุ้นระยะสั้น ทั้งหมดนี้จะทำให้คุณเป็นนักลงทุนที่มีความสุข
ภาพประจำตัวสมาชิก
suthepj
Verified User
โพสต์: 125
ผู้ติดตาม: 0

อ่านกันหรือยัง ดร. นิเวศน์ ลงทุนอย่างมีความสุข

โพสต์ที่ 2

โพสต์

ปัญหาผมมี 2 ข้อ

1. อ.นิเวศน์มีหุ้นตัวไหนบ้างอยากศึกษาดู

2. หุ้นที่อ.นิเวศน์ แนะนำมันขึ้นไป 20-30% แถมซื้อยากอีกต่างหาก
ภาพประจำตัวสมาชิก
ปรัชญา1
Verified User
โพสต์: 1092
ผู้ติดตาม: 0

อ่านกันหรือยัง ดร. นิเวศน์ ลงทุนอย่างมีความสุข

โพสต์ที่ 3

โพสต์

suthepj เขียน:ปัญหาผมมี 2 ข้อ

1. อ.นิเวศน์มีหุ้นตัวไหนบ้างอยากศึกษาดู

2. หุ้นที่อ.นิเวศน์ แนะนำมันขึ้นไป 20-30% แถมซื้อยากอีกต่างหาก

จริงครับเรื่องหุ้นนั้นขึ้นไปแล้ว20-30%
ถ้าเราต้องการซื้อต้องจ่ายส่วนเกินครับ
ภาพประจำตัวสมาชิก
yoyo
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 4833
ผู้ติดตาม: 0

อ่านกันหรือยัง ดร. นิเวศน์ ลงทุนอย่างมีความสุข

โพสต์ที่ 4

โพสต์

อ่านแล้วครับ เวปนี้ไวกว่า settrade หลายขุมเลยเรื่องบทความ
แล้วก็เรื่อง brand ยา ไทลินอลก็ชอบนะ ชอบสุดๆ
อยากส่งบทความนี้ไปให้คนที่ FE กับ p-fcb อ่านจัง
ภาพประจำตัวสมาชิก
DIYB
Verified User
โพสต์: 47
ผู้ติดตาม: 0

อ่านกันหรือยัง ดร. นิเวศน์ ลงทุนอย่างมีความสุข

โพสต์ที่ 5

โพสต์

เคยเข้าฟังสัมมนาที่ไบเทค วิทยากรท่านหนึ่งพูดว่า "...อย่างหุ้นวาโก้้ของดร.นิเวศน์ .."
(ดร.นิเวศน์ เป็นวิทยากรอยู่ด้วย) :D :D :D

คุณ yoyo ครับ เรื่องไทลินอลเป็นยังไงครับ ใช่ที่อเมริกาหรือเปล่า :D :D :D
ภาพประจำตัวสมาชิก
ครรชิต ไพศาล
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 4623
ผู้ติดตาม: 1

อ่านกันหรือยัง ดร. นิเวศน์ ลงทุนอย่างมีความสุข

โพสต์ที่ 6

โพสต์

อย่างที่ ดร. พูดถูกต้องเลยครับ

เหมือนกับการ ยิงจรวดเพื่อส่งยานอวกาศขึ้นไปสู่โคจร

ช่วงที่นักวิทยาศาสตร์ กังวลที่สุด ก็ตอนที่จุดชนวนจรวด เพื่อเร่งความเร็วหนีแรงโน้มถ่วงของโลกขึ้นไป

เมื่อยานอวกาศ เข้าสู่วงโคจรแล้ว นักวิทยาศาสตร์ ถึงจะ ชัยโย ด้วยความโล้งใจ

แล้ว นักวิทยาศาสตร์ ก็ต้อง กังวลอีกครั้ง เมื่อยานอวกาศจะลงมาสู่โลก เข้ามาต่อสู้กับแรงโน้มถ่วงของโลกอีกครั้งหนึ่ง
ภาพประจำตัวสมาชิก
yoyo
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 4833
ผู้ติดตาม: 0

อ่านกันหรือยัง ดร. นิเวศน์ ลงทุนอย่างมีความสุข

โพสต์ที่ 7

โพสต์

คุณ DIYB ลองไปที่หน้า home ของเวปดูสิครับ
จะมีบทความเกี่ยวกับเรื่องแบรนอยู่
เวปนี้ไม่ได้มีดีที่บอร์ดนะครับ
วันนี้เปิดหนังสือพิมพ์ผ่านๆ เห็นกระทิงแดงออกมาตอบโต้เรื่องโฆษณาที่รัฐห้าม ไม่รู้จะเข้าแก๊ปเดียวกับเรื่อง coke รึเปล่า
ส่วนบาวแดงตอนนี้ก็หลบทัพเตรียมไปลุยจีนเรียบร้อยแล้ว
ไม่รู้ว่าคุณวศินจะได้ไปลุยกะเค้าด้วยรึเปล่า
แอบฝันเล็กๆ
Stock Broker
Verified User
โพสต์: 2509
ผู้ติดตาม: 0

อ่านกันหรือยัง ดร. นิเวศน์ ลงทุนอย่างมีความสุข

โพสต์ที่ 8

โพสต์

แค่อ่านบทความจบ ก็มีความสุขมาหน่อยนึงแล้ว 8)
ประจวบ
Verified User
โพสต์: 304
ผู้ติดตาม: 0

อ่านกันหรือยัง ดร. นิเวศน์ ลงทุนอย่างมีความสุข

โพสต์ที่ 9

โพสต์

ผมเห็นด้วยกับคุณfinancial engineering ครับว่าได้อ่านจบก็มีความสุขขึ้นมาระดับนึงแล้ว และถ้าเพื่อนๆลองลงทุนดูแนวviซักระยะจะพบความจริงอย่างที่อจ.นิเวศน์บอกไว้คือใหม่ๆอาจจะรู้สึกอึดอัด หาวเรอ แต่พอเวลาผ่านไปหุ้นในพอร์ตเริ่มวิ่งไปเรื่อยๆอย่างมั่นคง(ไม่แกว่งขึ้นๆลงๆ หรือเผลอๆวิ่งสวนตลาดเมื่อคนอื่นเค้าตกกัน) จนพอร์ตโตพอสมควรไม่น่าขาดทุนง่ายๆแล้วก็จะรู้สึกปล่อยวาง วางเฉยได้ ไม่ต้องเข้าไปดูทุกวันก็ได้ ตอนนี้แหละครับที่การลงทุนจะเริ่มมีความสุขอย่างแท้จริง
แต่ต้องเน้นว่าต้องลงทุนแบบviพันธ์แท้ครับ ไม่ใช้vs และอย่างที่เคยบอกแล้วว่าvi มีหลายแบบ ถ้าครบเครื่องแบบpeter lynch หุ้นโตเร็วๆแบบp.fisher ..... คุณต้องคอยติดตามว่าบริษัทที่คุณลงทุนมีผลการดำเนินงาน เป็นอย่างไรอย่างใกล้ชิดเพราะเผลอแพล๊บเดียว อาจมีการเปลี่ยนแปลงทำให้บริษัทที่คุณลงทุนแข่งขันกับเค้าไม่ได้ แต่ถ้าลงทุนแบบwarren buffett หรือniwettology ( คือมีแบรนด์ แข็งแกร่ง เป็นผู้นำกลุ่ม ไม่ค่อยได้เปลี่ยนแปลงผลิตภัณฑ์เลย(ลูกค้าติดใจในผลิตภัฑ์ดั้งเดิม) หรือมีeconomic franchise มีกำไรดีสม่ำเสมอระยะเวลายาวนานหลายๆๆๆปี ผู้บริหารซื่อสัตย์ มีความสามารถ หรือสรุปตามbuffettologyคือมีdurable compettitive advantage คุณสามารถถือยาวๆๆๆๆๆไปเรื่อยๆ) คือซื้อแล้วเก็บถือไปเรื่อยๆไม่คิดขาย ตกซื้อเพิ่ม แบบนี้แหละครับที่คุณจะพบว่าการลงทุนคือความสุขที่แท้จริง
ภาพประจำตัวสมาชิก
DIYB
Verified User
โพสต์: 47
ผู้ติดตาม: 0

อ่านกันหรือยัง ดร. นิเวศน์ ลงทุนอย่างมีความสุข

โพสต์ที่ 10

โพสต์

ขอบคุณครับคุณ yoyo
ขอโทษที่เข้ามาอ่านช้า ผมไม่ได้มาหลายวัน :D :D :D
Jeng
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 14783
ผู้ติดตาม: 0

อ่านกันหรือยัง ดร. นิเวศน์ ลงทุนอย่างมีความสุข

โพสต์ที่ 11

โพสต์

วันนี้ผมยังไม่ได้ดูราคาหุ้นเลย แต่เข้ามาโพสก่อนเลยครับ อย่างนี้น่าจะใกล้ๆที่คุณประจวบพูดไว้ ว่าไม่ต้องไปดูราคาขึ้นลงมาก
ภาพประจำตัวสมาชิก
Mon money
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 3134
ผู้ติดตาม: 0

อ่านกันหรือยัง ดร. นิเวศน์ ลงทุนอย่างมีความสุข

โพสต์ที่ 12

โพสต์

สนุกกันใหญ่เลยนะครับ ผมน่ะไม่ได้ดูหุ้นของตัวเองมาหลายวันแล้ว ก็นอนป่วยเอาแรงมานานมากเลยครับ หุ้นที่มีอยู่ก็ถือยาวมานานพอควรแล้วด้วย
_THiNK_
ผู้ติดตาม: 0

อ่านกันหรือยัง ดร. นิเวศน์ ลงทุนอย่างมีความสุข

โพสต์ที่ 13

โพสต์

พี่ปรัชญา เขียน:จริงครับเรื่องหุ้นนั้นขึ้นไปแล้ว20-30%
ถ้าเราต้องการซื้อต้องจ่ายส่วนเกินครับ
คิดคล้ายๆพี่ปรัชญาครับ

คนแรกที่เห็น ทุน = 0
คนชุดสองที่รับข่าว ทุน +10-20%
คนชุดสามที่รับข่าว ทุน +20-40% อากาศเริ่มเย็น!
คนชุดสี่ที่รับข่าว ทุน +>40% ..... ติดดอย?

เป็นเหตุผลว่าเราต้องพยายามเป็นคนแรก
ถ้าเราไม่ได้เป็นคนแรก ต้องรู้ว่าเมื่อไหร่ควรจะหยุดตาม
เฺฮีย Mon เขียน:ผมน่ะไม่ได้ดูหุ้นของตัวเองมาหลายวันแล้ว
อย่างนี้ เรียกว่านอนทับสมบัติ ป่วยก็ไม่กังวล แต่หายไวๆดีกว่านะครับ นั่งเฝ้าสมบัติสนุกกว่า :)
ภาพประจำตัวสมาชิก
moo
Verified User
โพสต์: 1150
ผู้ติดตาม: 0

อ่านกันหรือยัง ดร. นิเวศน์ ลงทุนอย่างมีความสุข

โพสต์ที่ 14

โพสต์

จริงอย่างที่พี่ปรัชญาว่าครับ เราต้องจ่ายเพิ่มส่วนเกิน แต่ผมคิดว่าเมื่อเป็นหุ้นที่ดี ถึงแม้ว่าเราจ่ายส่วนเกิน ก็ไม่น่าจะเสียหายนะครับ เพราะว่ากิจการที่ดี ความเติบโตก็เพิ่มขึ้นตลอดเวลา ของผมเองคิดว่าต้นทุนเราแพงกว่า แต่เราต้องถือยาวๆๆๆๆ ระยะเวลาถือที่เพิ่มขึ้นก็สอดรับกับอัตราเติบโตของกิจการ ในระยะยาวแล้วผลตอบแทนก็น่าจะคุ้มค่าครับ ถ้าบังเอิญมีเหตุการไม่คาดฝัน เราก็สามารถซื้อเพิ่มได้อีก ที่สำคัญเราต้องเริ่มต้นก่อน พี่ๆทุกท่านคิดว่าอย่างไรบ้างครับ

โปรดชี้แนะด้วยครับ ขอบพระคุณครับ
นายสต็อก
Verified User
โพสต์: 777
ผู้ติดตาม: 0

อ่านกันหรือยัง ดร. นิเวศน์ ลงทุนอย่างมีความสุข

โพสต์ที่ 15

โพสต์

แต่ละช่วงเวลา เม็ดเงินในกระเป๋าของเรานี่มันมีค่าไม่เท่ากันนะครับ.....เงินนิดหน่อย เก็บของสมัยก่อน
ได้นิดเดียว แต่มาตอนนี้เงินเท่าๆกันเก็บของในตลาดได้มากขึ้น แต่คงจะลำบากสักหน่อยที่
จะวิเคราะห์มูลค่าหุ้น ที่เก็บไว้ในระยะยาว ว่ามันจะลดหรือเพิ่มขึ้นสักแค่ไหน....
ปกตินิยมเก็บใบหุ้นไว้เป็นที่ระลึกซะด้วย :?

หุ้นที่เก็บไว้ ถ้าต่อไปเดี๋ยวเพิ่มทุน ลดทุนดูแล้ววุ่นวายพิกล... :!:
ภาพประจำตัวสมาชิก
มดง่าม
Verified User
โพสต์: 584
ผู้ติดตาม: 0

อ่านกันหรือยัง ดร. นิเวศน์ ลงทุนอย่างมีความสุข

โพสต์ที่ 16

โพสต์

ผมเองก็ได้อาศัยแนวทางของดร.นิเวศน์เป็นหลักสำคัญครับ
เหงาให้ตาย ถ้าไม่ใช่เธอ(หุ้นดี) ไม่เอา
ขอให้โชคดีในการลงทุนครับ
TOMOKI
Verified User
โพสต์: 285
ผู้ติดตาม: 0

อ่านกันหรือยัง ดร. นิเวศน์ ลงทุนอย่างมีความสุข

โพสต์ที่ 17

โพสต์

ใครพอทราบบ้างครับว่าดร.นิเวศน์ ลงอย่างเดียว หรือร่วมบริหารหรือมีส่วนตัดสินใจด้วยในบางบริษัทที่ลงทุน
ล็อคหัวข้อ