|0 คอมเมนต์
(ขอโม้ต่อนะครับ):D หลังจากนั้นผมก็ค่อยๆศึกษาสิ่งที่ผมเคยสนใจ เรื่องเกี่ยวกับเศรษฐศาสตร์ เรื่องการเงิน
ผมว่า ผมสนุก และนำมาใช้ได้
ผมว่า สิ่งนี้สำคัญนะครับ
มีใครจำความรู้สึกสนุกในการลงทุน เพราะเราคิดเหมือนการทำธุรกิจอันหนึ่งไหมครับ
คนทำธุรกิจ ก็ต้องดู เศรษฐกิจ
แต่บางครั้ง เศรษฐกิจไม่ดี
ธุรกิจบางอันก็โตมาได้
อย่าง oishi ...ผมไม่ได้หมายถึงเชียร์หุ้นเค้านะครับ
แต่ผมชอบแนวคิดแบบก้างหน้าของคุณตัน ครับ
เคยอ่าน คัมภีร์หุ้น 3
คุณ โสภณ ก็พูดถึงเรื่อง การลงทุนอย่างมีความสุข
เพราะถ้าเราไม่มีความสุข เราก็จะเริ่มคิดอะไรไม่ออก
การลงทุนที่ออกมา เริ่มใช้อารมณ์ในการตัดสินใจมากขึ้น
เลยมีคนบอกว่า เราใช้ประโยชน์ จาก Mr.Market ได้
....แต่ก็มีคนเสียหาย จาก Mr.Market นะครับ(ผมเอง) :lol:
ผมว่า เราค่อยๆเรียนรู้ ค่อยๆปรับปรุง
และค่อยๆรู้จักกัน
ฮงอย่าคิดมากเรื่องการที่มครบอกว่า VI หรือไม่นะครับ
ผมเอง ...เพื่อนบางคนก็บอก VI ไม่เคยขายva
ไม่ต้องดู กระแสความสนุกทำให้ฝันดี (Fund flow)
แต่ผมว่า เราใช้หลักอะไรก็แล้วแต่
แต่เราต้องทำตามหลักนั้นๆ
ถ้ามัน over value มากๆ เราจะทำอย่างไร
กราฟ บอกให้ cut loss เราทำอย่างไร
บางคนดูหลายอย่าง
ถ้าเค้าประยุกต์ใช้ให้เข้ากับเค้าได้
แค่นี้ ก็ok และมีความสุขกับการลงทุนแล้วครับ
แต่บางคน เมาหมัด หลักการ กลายเป็นหลักเกิน
ไม่ต้องใครหรอกครับ
ผมเอง เมื่อปลายปี
ชอบกระทู้พี่ลูกอีสาน เลย ปรับ port
ไปๆมาๆ กลายเป็น ขายหมู และซื้อ... buff.... มาแทน
แต่เราก็ได้เรียนรู้ทุกครั้ง
และเราก็ได้สิ่งดีๆทุกครั้งกลับไปครับ
พี่วิบูลย์และพี่หมอ mprandyครับ
ผมขออนุญาติลง ข้อความทาง pm ที่ผมถามพี่เค้านะครับ
หลังอ่านข้อความนี้ ผมรู้ซึ้ง และเข้าใจตัวเองมากๆครับ
noooon010 wrote:
p'mparnady สวัสดีครับ
ว่าจะ pm มาคุยกับพี่หลายครั้งแล้วครับ จะโทรไปคุยก็เกรงใจครับ
งั้นขออนุญาติ คุยผ่าน pm แทนนะครับพี่ครับ
อยากทราบว่า จริงๆพี่ทราบว่าเศรษฐกิจที่อเมริกามันแย่ คนตกงานเยอะ สถิติอะไรก็แย่หมด
แต่ทำไมพี่ถึงยังลงทุนอยู่ และยังซื้อเพิ่มครับ
...ตามความคิดผม :สำหรับตัวผมเอง ผมลงทุนเพราะว่า ราคาหุ้นตอนนี้มันถูกกว่าราคาพื้นฐานค่อนข้างมาก
หลายตัวก็เป็นหุ้นที่ดีที่ไม่มีใครมาดูแลราคา
และผมเองก็อยากร่วมเป็นเจ้าของกิจการ ดังนั้นผมจึงลงทุนเท่าที่ผมพอใจ
(ผมจะแบ่งเงินไว้ใช้จ่าย และเหลือเก็บบ้าง แล้วจึงนำเงินส่วนที่เหลือมาลงทุนครับ)
ผมอ่านหนังสือ CEO ของ Buffett แล้ว ผมชอบลู ซิมสัน กับคุณนาย B มากๆครับพี่
ผมว่าเค้าทำให้รู้จักคำว่า "ลงทุนด้วยชีวิต"ครับ
ผมเบื่อที่จะตาม dow (ทั้งๆที่ผมก็ update ข่าว dow ที่ temple)
น้องฮงเอง เค้ามาคุยด้วย และเค้าบอกว่า ยังไม่เห็นตัวเลขอะไรดีสักอย่าง
เค้ารอได้ และรอจนกว่าข่าว(ที่เค้าเชื่อว่า)Hedge Fund จะแย่ จะปล่อยออกมาครับ
- พี่ mprandy แบ่งเวลาอย่างไรครับ
ไหนจะงานที่ รพ. ไหนจะดูแลสุขภาพ
พอดีกำลังพัฒนาตนเอง และแบ่งเวลาให้เป็นครับ
คิดว่า ดาราดีๆหลายคนเค้ายังแบ่งเวลาทำงาน เวลาเรียนได้เลยครับ
สู้ๆครับงานนี้
ไว้คุยกันใหม่ครับพี่ครับ ^^
พี่ mprandy wrote
เหตุที่ผมอาจจะมีลักษณะการลงทุนต่างจากสมาชิกท่านอื่นใน TVI ก็เพราะว่าผมไม่ใช่ full time investor หมายถึงว่าผมไม่ได้อาศัยรายได้หลักเลี้ยงปากท้องจากการลงทุน แถมเป้าหมายหลักของผมคือ financial freedom ที่ 14 ปีครับ
การมองเป้าหมายยาว หมายความว่าอย่างน้อย 5 ปีนี้ (หรือมากกว่า) ผมเป็น net buyer ครับ ไม่มีเจตนาจะขาย (ยกเว้นว่าพื้นฐานกิจการเปลี่ยน มองผิด วิเคราะห์ผิด) เมื่อเราเป็นผู้ืซื้อ ไม่ใช่ผู้ขาย ก็ควรจะดีใจที่ราคาหุ้นมันถูก ๆ (คนเสียใจที่หุ้นถูก คือคนที่ตั้งใจจะขายออก จริงไหม) ผมบอกไม่ได้ว่าหุ้นที่ผมถือจะราคาตกลงไปกว่านี้หรือไม่ในอีก 1 ปีหรือ 2 ปีจากนี้ แต่ผมบอกได้ว่ากิจการที่ผมถือแข็งแกร่งเพียงพอที่จะผ่านพ้นวิกฤตนี้ได้แน่นอน และจะเติบโตไปเรื่อย ๆ และถ้ากิจการมันเติบโตไปเรื่อย ๆ 5 ปี 7 ปี หรือ 10 ปี ในที่สุดราคาหุ้นจะสะท้อนพื้นฐานของมันออกมาเอง
จริง ๆ คนรู้มาก มองโน่นวิเคราะห์นั่น ก็ไม่ได้ผลดีนักหรอก ไม่งั้นคงมีพวกเล่นรอบร่ำรวยน้อง ๆ Buffett ไปแล้ว แต่เท่าที่เห็นมาก็ยังไม่มีใครเทียบได้ (เทียบห่าง ๆ ก็ยังไม่ได้)
หรือตัวอย่างแม่ผมเอง ไม่มีความรู้เรื่องหุ้นอะไรทั้งนั้น แต่เขาอยากซื้อหุ้น BBL ตั้งแต่สมัยก่อนวิกฤตเศรษฐกิจปี 40 อีก แล้วก็ถือมาเรื่อย ๆ แบบไม่เคยรู้เรื่อง ไม่สนใจ
จากหุ้นละ 307 บาท (พาร์ 100) แล้วก็ได้ลูกหุ้นเพิ่มทุนที่พาร์อีกหลายหน ตอนนี้ต้นทุนไม่มีแล้วครับ คืนทุนมาเป็นปันผลหมดแล้ว ณ ตอนนี้ตลาดให้ BBL ราคาเท่าไหร่ก็ไม่สนครับ ตราบใดที่มันยังไม่เจ๊ง ปันผลได้ทุกปีก็พอใจแ้ล้ว
แต่ผมก็ไม่ criticize คนที่ลงทุนแบบอื่นนะครับ จะเป็น VI แท้ VI เทียม เล่นรอบ หรือเด็กเทคนิค ผมเห็นว่าทุกคนคือนักลงทุนหมด แต่ละคนมีเป้าหมายและวิธีต่างกัน ตราบใดที่ไม่ทำชั่ว ทำผิด (แบบ SECC) ผมโอเคหมด และในเมื่อวิธีต่างกัน คงจะเอามาเปรียบเทียบกันไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นผลตอบแทน ที่เวลาใดเวลาหนึ่ง หรือแม้กระทั่งระดับความเครียด
การเป็นหมอ แล้วเป็น part time investor นี่ดีหลายอย่างนะ ดูไปดูมาเหมือน Berkshire เลย เพราะบริษัทนี้มีรายได้สม่ำเสมอจากกิจการประกันภัย แต่สร้างความมั่งคั่งจากพอร์ทหลักทรัพย์ เหมือนหมอ มี constant cash flow จากการประกอบวิชาชีพ แล้วแบ่งเิิงินส่วนเหลือไปสร้างความมั่งคั่ง
เรื่องข่าวทั้งหลายแหล่ ก็ติดตามครับ แต่ผมไม่ใช้ข่าวมาเป็นปัจจัยหลักในการวิเคราะห์กิจการ ยกเว้นว่าข่าวนั้นมีผลกระทบจำเพาะกับกิจการที่เราลงทุน เพราะดูจากข่าวที่เห็น ๆ อยู่ มันมีผลกระทบไปทั่วทุกกิจการ ถือเป็นเรื่องที่ปกติ และเราควบคุมอะไรไม่ได้ กิจการที่ดีและแข็งแกร่งจะถือโอกาสนี้เป็นประโยชน์มากกว่า (ปรับปรุงระบบการทำงาน, ลดค่าใช้จ่าย, ระมัดระวังในการดำเนินกิจการ แล้วรอให้คู่แข่งล้มหายตายจาก)
เรื่องแบ่งเวลา ผมก็ไม่ได้แบ่งอะไรชัดเจน ก็ทำ ๆ ไปด้วยกันทั้งทำงาน วิชาการ บริการ ลงทุน ค้นคว้าหาความรู้ บำรุงรักษาสุขภาพ พักผ่อนหย่อนใจ (อันหลังนี่น้อยหน่อย) ดู ๆ ให้มันเหมาะสมครับ