ระหว่างse-ed กะ aprint เพื่อนๆว่าตัวไหนมีอนาคตดีกว่ากันคะ
-
- Verified User
- โพสต์: 57
- ผู้ติดตาม: 0
ระหว่างse-ed กะ aprint เพื่อนๆว่าตัวไหนมีอนาคตดีกว่ากันคะ
โพสต์ที่ 1
เราชอบอ่านหนังสือ เลยสนใจสองตัวนี้เพราะจะมีความสุขเวลาได้อ่าน
รายงานประจำปี เพราะเป็นเรื่องที่เราชอบ
aprint มีcontent อื่นๆเยอะ ซึ่งเราก็ชอบเช่นจัดงานบ้านเเละสวนเเฟร์
(ไปติดต่อกันมาสามปีเเล้วชอบมากๆ)
se-ed ทำอะไรน้อยกว่าคือ มีสำนักพิมพ์เเละขาย
เนื่องจากเราเป็นนักลงทุนหน้าใหม่(ความจริงยังพอร์ตว่าง100% )
ตอนนี้อ่านหนังสือทุกวัน เรื่องหุ้น อ่านมาได้เป็นสิบๆเล่มเเล้ว
เเต่ยังมองอะไรไม่ขาดเลยค่ะ ว่าเมื่อมองไปในอนาคตเเล้ว
ตัวไหนดีกว่ากัน เพราะคงเลือกในsectorนี้ตัวเดียวค่ะ
โดยส่วนตัว ชอบaprint มากกว่านิดหน่อย
เเล้วเพื่อนๆล่ะคะ ชอบตัวไหนมากกว่ากันเพราะอะไร
รายงานประจำปี เพราะเป็นเรื่องที่เราชอบ
aprint มีcontent อื่นๆเยอะ ซึ่งเราก็ชอบเช่นจัดงานบ้านเเละสวนเเฟร์
(ไปติดต่อกันมาสามปีเเล้วชอบมากๆ)
se-ed ทำอะไรน้อยกว่าคือ มีสำนักพิมพ์เเละขาย
เนื่องจากเราเป็นนักลงทุนหน้าใหม่(ความจริงยังพอร์ตว่าง100% )
ตอนนี้อ่านหนังสือทุกวัน เรื่องหุ้น อ่านมาได้เป็นสิบๆเล่มเเล้ว
เเต่ยังมองอะไรไม่ขาดเลยค่ะ ว่าเมื่อมองไปในอนาคตเเล้ว
ตัวไหนดีกว่ากัน เพราะคงเลือกในsectorนี้ตัวเดียวค่ะ
โดยส่วนตัว ชอบaprint มากกว่านิดหน่อย
เเล้วเพื่อนๆล่ะคะ ชอบตัวไหนมากกว่ากันเพราะอะไร
-
- Verified User
- โพสต์: 1254
- ผู้ติดตาม: 0
ระหว่างse-ed กะ aprint เพื่อนๆว่าตัวไหนมีอนาคตดีกว่ากันคะ
โพสต์ที่ 2
ผมคิดว่าน่าสนใจทั้ง 2 บริษัทครับ ช่วงนี้se-edเองมีคู่แข่งทีเก่งกาจหลายรายครับ ส่วนaprintเป็นผู้ผลิตหนังสือเหมือนดั่งธุรกิจต้นน้ำของอุตสาหกรรมนี้ เมื่อกาลเวลาผันผ่านมูลค่าของแบรนด์ก็มีโอกาสเพิ่มพูนไปได้อีกมากและอื่น.... :)
-
- Verified User
- โพสต์: 1808
- ผู้ติดตาม: 0
ระหว่างse-ed กะ aprint เพื่อนๆว่าตัวไหนมีอนาคตดีกว่ากันคะ
โพสต์ที่ 4
ผมชอบ se-ed กับ B2S
SE-ED หนังสือลงทุนเยอะดีครับ
B2S จัดร้านสวย คนยืนอ่านฟรีเยอะ แต่ผมนั่งอ่าน :lol:
SE-ED หนังสือลงทุนเยอะดีครับ
B2S จัดร้านสวย คนยืนอ่านฟรีเยอะ แต่ผมนั่งอ่าน :lol:
"Risk comes from not knowing what you're doing" - Warren Buffet
สุดยอดของความซับซ้อนคือความเรียบง่าย
http://www.sarut-homesite.net/
สุดยอดของความซับซ้อนคือความเรียบง่าย
http://www.sarut-homesite.net/
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 3653
- ผู้ติดตาม: 0
ระหว่างse-ed กะ aprint เพื่อนๆว่าตัวไหนมีอนาคตดีกว่ากันคะ
โพสต์ที่ 8
เรื่องทำเยอะไม่เยอะนี่ ผมว่าอย่าเพิ่มไปใส่ใจนักครับ
เพราะหลายกรณีก็เป็นแค่การเสริม Core Business ให้แข็งโป๊ก
ประเด็นคือ เราต้องมองให้ออกว่า กิจการเขา ทำอะไรจริงๆ..?
ปล.
อย่างกรณี Se-ed ผมว่าในอนาคตในใกล้ (แต่คงอีกหลายปี)
Se-ed อาจจะไม่ใช่ Retail ก็ได้ (อ่านความเห็นของคุณ picatos ประกอบ)
และผมก็... อาจจะคิดผิดก็ได้ :lol: (ถืออยู่ตัวนึง และเคยมีอีกตัวนึง)
เพราะหลายกรณีก็เป็นแค่การเสริม Core Business ให้แข็งโป๊ก
ประเด็นคือ เราต้องมองให้ออกว่า กิจการเขา ทำอะไรจริงๆ..?
ปล.
อย่างกรณี Se-ed ผมว่าในอนาคตในใกล้ (แต่คงอีกหลายปี)
Se-ed อาจจะไม่ใช่ Retail ก็ได้ (อ่านความเห็นของคุณ picatos ประกอบ)
และผมก็... อาจจะคิดผิดก็ได้ :lol: (ถืออยู่ตัวนึง และเคยมีอีกตัวนึง)
-
- Verified User
- โพสต์: 898
- ผู้ติดตาม: 0
ระหว่างse-ed กะ aprint เพื่อนๆว่าตัวไหนมีอนาคตดีกว่ากันคะ
โพสต์ที่ 9
ดูเทรนด์เทียบกับหุ้นขายหนังสือในต่างประเทศที่พัฒนาแล้ว
ธุรกิจนี้จะอยู่ในอาการหาเทรนด์ไม่เจอไปอีกนานนะครับ
จากบทบาทการเข้ามาของ internet
แต่จะถึงอาการเป๋จนต้องเลิกกิจการก็ไม่ใช่
เพราะการเปลี่ยนแปลงนิสัยของคนวัย30-35ปีขึ้นไป
ที่ติดกับการอ่านหนังสือจริงๆก็ยังคงอยู่
ผมคงไม่เลือกหุ้นทั้ง2ตัวนี้ครับ
แต่ถ้าบังคับต้องเลือก Se-ed น่าจะทำกำไรให้ผู้ถือได้มากกว่าในระยะสั้น
เพราะความสามารถของกิจการเอง
แต่ไม่ใช่มาจากการที่มันอยู่ในธุรกิจที่เติบโต
ธุรกิจนี้มี limit มากๆอยู่จากการเข้ามาของ internet
ทำให้ทั้งผู้ผลิต content และ distributor ไม่อาจจะโตมากๆได้
และสิ่งที่ทำให้ผมมั่นใจคือการมาของ online portable content provider
เช่น iphone และสารพัด จะทำให้การเติบโตของตลาดหนังสือ
ค่อนข้างมืดมน ครับ
ปล. ดูหุ้น3ตัวนี้นะครับ อยู่ใน NYSE
BKS หรือ Barnes&noble รูปแบบร้านจะค่อนข้างคล้าย B2S
BGP border group รูปแบบร้านจะคล้าย Se-ed
แต่การจัดการไม่ดีเท่า se-ed
MHP สำนักพิมพ์ McGraw Hill แต่ต้องดูในอดีตเพราะ business model
ปัจจุบันรายได้และกำไรไม่ได้อยู่ที่การได้ license พิมพ์หนังสืออีกแล้ว
ให้ดูช่วง ปี 80-85 ช่วงนั้น business model จะยังมีความคล้ายกับ
aprint ณ ตอนนี้ครับ ซึ่งตอนนั้น USก็อยู่ในช่วงที่ขยายตัวค่อนข้างมาก
และยังไม่มี internet เข้ามาแต่หุ้นก็ยังไม่ได้เติบโตมากนัก
สรุปคือธุรกิจรูปแบบนี้ที่จะยังอยู่ได้และ "มา" ในอนาคต
น่าจะเป็นผู้ถือ license ของ content ต่างๆที่จะเผยแพร่ทาง internet
ซึ่งทั้ง se-ed และ aprint ไม่ได้จัดรูปทัพ business model
ในลักษณะที่ว่ามาครับ
ธุรกิจนี้จะอยู่ในอาการหาเทรนด์ไม่เจอไปอีกนานนะครับ
จากบทบาทการเข้ามาของ internet
แต่จะถึงอาการเป๋จนต้องเลิกกิจการก็ไม่ใช่
เพราะการเปลี่ยนแปลงนิสัยของคนวัย30-35ปีขึ้นไป
ที่ติดกับการอ่านหนังสือจริงๆก็ยังคงอยู่
ผมคงไม่เลือกหุ้นทั้ง2ตัวนี้ครับ
แต่ถ้าบังคับต้องเลือก Se-ed น่าจะทำกำไรให้ผู้ถือได้มากกว่าในระยะสั้น
เพราะความสามารถของกิจการเอง
แต่ไม่ใช่มาจากการที่มันอยู่ในธุรกิจที่เติบโต
ธุรกิจนี้มี limit มากๆอยู่จากการเข้ามาของ internet
ทำให้ทั้งผู้ผลิต content และ distributor ไม่อาจจะโตมากๆได้
และสิ่งที่ทำให้ผมมั่นใจคือการมาของ online portable content provider
เช่น iphone และสารพัด จะทำให้การเติบโตของตลาดหนังสือ
ค่อนข้างมืดมน ครับ
ปล. ดูหุ้น3ตัวนี้นะครับ อยู่ใน NYSE
BKS หรือ Barnes&noble รูปแบบร้านจะค่อนข้างคล้าย B2S
BGP border group รูปแบบร้านจะคล้าย Se-ed
แต่การจัดการไม่ดีเท่า se-ed
MHP สำนักพิมพ์ McGraw Hill แต่ต้องดูในอดีตเพราะ business model
ปัจจุบันรายได้และกำไรไม่ได้อยู่ที่การได้ license พิมพ์หนังสืออีกแล้ว
ให้ดูช่วง ปี 80-85 ช่วงนั้น business model จะยังมีความคล้ายกับ
aprint ณ ตอนนี้ครับ ซึ่งตอนนั้น USก็อยู่ในช่วงที่ขยายตัวค่อนข้างมาก
และยังไม่มี internet เข้ามาแต่หุ้นก็ยังไม่ได้เติบโตมากนัก
สรุปคือธุรกิจรูปแบบนี้ที่จะยังอยู่ได้และ "มา" ในอนาคต
น่าจะเป็นผู้ถือ license ของ content ต่างๆที่จะเผยแพร่ทาง internet
ซึ่งทั้ง se-ed และ aprint ไม่ได้จัดรูปทัพ business model
ในลักษณะที่ว่ามาครับ
bid please!!
- charnengi
- Verified User
- โพสต์: 2388
- ผู้ติดตาม: 0
ระหว่างse-ed กะ aprint เพื่อนๆว่าตัวไหนมีอนาคตดีกว่ากันคะ
โพสต์ที่ 10
ขอถามผู้รู้นิดนึงครับ
1) ในอเมริกาตอนนี้ นักศึกษายังใช้ textbook กันอยู่รึเปล่าครับ หากมีการใช้ e-book นี่คิดเป็นประมาณกี่ % ของหนังสือเรียน
2) การซื้อหนังสือ e-book กับ หนังสือธรรมดา ในเรื่องเดียวกันราคาต่างกันเท่าไหร่
3) การซื้อหนังสือ e-book มาอ่านนั้นจะได้มาเป็นไฟล์สกุลใด และสามารถส่งต่อได้หรือไม่
1) ในอเมริกาตอนนี้ นักศึกษายังใช้ textbook กันอยู่รึเปล่าครับ หากมีการใช้ e-book นี่คิดเป็นประมาณกี่ % ของหนังสือเรียน
2) การซื้อหนังสือ e-book กับ หนังสือธรรมดา ในเรื่องเดียวกันราคาต่างกันเท่าไหร่
3) การซื้อหนังสือ e-book มาอ่านนั้นจะได้มาเป็นไฟล์สกุลใด และสามารถส่งต่อได้หรือไม่
-
- Verified User
- โพสต์: 898
- ผู้ติดตาม: 0
ระหว่างse-ed กะ aprint เพื่อนๆว่าตัวไหนมีอนาคตดีกว่ากันคะ
โพสต์ที่ 11
ตอบแต่ข้อ1 นะครับ เพราะยังไม่เป็นผู้รู้ :lol:
1. ก็ยังใช้ text book กันอยู่เยอะครับ
ebook มีการใช้บ้างในวงแคบ ลักษณะเนื้อหาเฉพาะของ class นั้นๆ
จริงๆไม่ควรเรียก ebook แต่เป็นเพียง file เนื้อหาที่เรียนมากกว่าครับ
1. ก็ยังใช้ text book กันอยู่เยอะครับ
ebook มีการใช้บ้างในวงแคบ ลักษณะเนื้อหาเฉพาะของ class นั้นๆ
จริงๆไม่ควรเรียก ebook แต่เป็นเพียง file เนื้อหาที่เรียนมากกว่าครับ
bid please!!
- poppo
- Verified User
- โพสต์: 1356
- ผู้ติดตาม: 0
ระหว่างse-ed กะ aprint เพื่อนๆว่าตัวไหนมีอนาคตดีกว่ากันคะ
โพสต์ที่ 12
พูดถึงร้านหนังสือที่อเมริกา
ชอบทั้ง Barnes Noble กับ Border มาก
ไปเยี่ยมภรรยาที่อเมริกา 3 ครั้ง ตอนกลางวันที่เขาไปเรียน ที่ๆผมไปอยู่มากกที่สุดก็คือร้านหนังสือ
วิ่งไปทุกวัน อ่านๆ แล้วก็กลับ ไม่ค่อยได้ซื้อ
แต่เห็นร้านหนังสือที่เมืองนอกแล้ว อิจฉามาก อยากให้เมืองไทยมีบ้าง
เรื่องธุรกิจ เผอิญถือ se-ed อยู่
ผมว่า se-ed ใช้เงินลงทุนน้อยกว่าร้านในเมืองนอกนะ เพราะไม่ได้เปิด stand alone ถ้าสาขาไหนไม่สำเร็จ ก็ปิดได้ ไม่เจ็บตัวมาก
การเติบโต คงมีไปได้เรื่อยๆ ถ้าmodern trade ยังขยายอยู่
market growth ก็คงมีได้เรื่อยๆ เพราะคนไทยคงอ่านหนังสือน้อยกว่านี้ไม่ได้แล้ว เพราะเท่าที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ สังคมก็แย่พอแล้ว ที่เราชอบฟังและเชื่อความคิดเห็นของคนอื่นมากกว่าแสวงหาข้อเท็จจริงด้วยตนเอง
ที่น่าเป็นห่วงก็เรื่อง mkt share เพราะ คู่แข่งแต่ละรายค่อนข้างน่ากลัว ทั้ง book smile และ B2S
ไม่แน่ cpall รวยมากๆ มีเงินสดเหลือเยอะๆ อาจมา take over se-ed ก็ได้นะ
ชอบทั้ง Barnes Noble กับ Border มาก
ไปเยี่ยมภรรยาที่อเมริกา 3 ครั้ง ตอนกลางวันที่เขาไปเรียน ที่ๆผมไปอยู่มากกที่สุดก็คือร้านหนังสือ
วิ่งไปทุกวัน อ่านๆ แล้วก็กลับ ไม่ค่อยได้ซื้อ
แต่เห็นร้านหนังสือที่เมืองนอกแล้ว อิจฉามาก อยากให้เมืองไทยมีบ้าง
เรื่องธุรกิจ เผอิญถือ se-ed อยู่
ผมว่า se-ed ใช้เงินลงทุนน้อยกว่าร้านในเมืองนอกนะ เพราะไม่ได้เปิด stand alone ถ้าสาขาไหนไม่สำเร็จ ก็ปิดได้ ไม่เจ็บตัวมาก
การเติบโต คงมีไปได้เรื่อยๆ ถ้าmodern trade ยังขยายอยู่
market growth ก็คงมีได้เรื่อยๆ เพราะคนไทยคงอ่านหนังสือน้อยกว่านี้ไม่ได้แล้ว เพราะเท่าที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ สังคมก็แย่พอแล้ว ที่เราชอบฟังและเชื่อความคิดเห็นของคนอื่นมากกว่าแสวงหาข้อเท็จจริงด้วยตนเอง
ที่น่าเป็นห่วงก็เรื่อง mkt share เพราะ คู่แข่งแต่ละรายค่อนข้างน่ากลัว ทั้ง book smile และ B2S
ไม่แน่ cpall รวยมากๆ มีเงินสดเหลือเยอะๆ อาจมา take over se-ed ก็ได้นะ
จงทนอด และอดทน
- poppo
- Verified User
- โพสต์: 1356
- ผู้ติดตาม: 0
ระหว่างse-ed กะ aprint เพื่อนๆว่าตัวไหนมีอนาคตดีกว่ากันคะ
โพสต์ที่ 13
ส่วนว่าลงทุนตอนนี้ดีไหม ที่ราคาตอนนี้ PE ประมาณ 11 div 8%+creditภาษี ก็ได้ 10+ ต่อปี
ผมว่า ลงทุนได้ กินปันผลไปเรื่อยๆ แต่คงไม่หวือหวา อย่าหวัง capital gain
และก็ตามเรื่องยอดขาย และการแข่งขันในธุรกิจดีๆ ดูแนวโน้ม
ธุรกิจนี้ ไม่เปลี่ยนแปลงเร็วหรอก มันไม่ได้เปลี่ยนจาก กำไรเป็นขาดทุนภายในไตรมาสเดียวหรอก ผมว่านะ
ถ้า คู่แข่งแกร่งจนทำให้ se-ed แย่จริงๆ ผมว่าเราก็พอหนีได้ทัน
ผมว่า ลงทุนได้ กินปันผลไปเรื่อยๆ แต่คงไม่หวือหวา อย่าหวัง capital gain
และก็ตามเรื่องยอดขาย และการแข่งขันในธุรกิจดีๆ ดูแนวโน้ม
ธุรกิจนี้ ไม่เปลี่ยนแปลงเร็วหรอก มันไม่ได้เปลี่ยนจาก กำไรเป็นขาดทุนภายในไตรมาสเดียวหรอก ผมว่านะ
ถ้า คู่แข่งแกร่งจนทำให้ se-ed แย่จริงๆ ผมว่าเราก็พอหนีได้ทัน
จงทนอด และอดทน
-
- Verified User
- โพสต์: 393
- ผู้ติดตาม: 0
ระหว่างse-ed กะ aprint เพื่อนๆว่าตัวไหนมีอนาคตดีกว่ากันคะ
โพสต์ที่ 14
poppo เขียน:คนไทยคงอ่านหนังสือน้อยกว่านี้ไม่ได้แล้ว เพราะเท่าที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ สังคมก็แย่พอแล้ว ที่เราชอบฟังและเชื่อความคิดเห็นของคนอื่นมากกว่าแสวงหาข้อเท็จจริงด้วยตนเอง
คารวะหมดหัวใจครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 1254
- ผู้ติดตาม: 0
ระหว่างse-ed กะ aprint เพื่อนๆว่าตัวไหนมีอนาคตดีกว่ากันคะ
โพสต์ที่ 16
หนังสือนั้นคงมีอะไรมาทดแทนได้ยากครับ e-bookก็คงเป็นสิ่งที่ช่วยเสริมกันเท่านั้นครับ เพราะอรรครสที่ได้จากการอ่านหนังสือนั้นคงไม่มีสิ่งใดเลียนแบบได้ครับ เหมือนดั่งการรับประทานอาหารที่ชอบกับการทานอาหารเสริมที่อยู่ในรูปแคปซูลหรือเม็ดครับคนเราคงจะไม่เลือกการทานอาหารที่เหมือนเม็ดยาแทนการรับประทานอาหารเพราะขาดสิ่งสำคัญไปนั่นก็คือรสชาติแม้ว่าจะให้คุณค่าทางอาหารที่ดีมากเพียงใดก็ตามครับ ที่สำคัญคือหนังสือนั้นพกไปที่ใดก็สามารถอ่านได้ไม่มีแบตหมด ตกก็ไม่พัง เปียกน้ำก็ตากให้แห้งได้ด้วยครับ :)
-
- Verified User
- โพสต์: 141
- ผู้ติดตาม: 0
ระหว่างse-ed กะ aprint เพื่อนๆว่าตัวไหนมีอนาคตดีกว่ากันคะ
โพสต์ที่ 19
Aprint นั้นเริ่มเน้นมาทางด้าน content หรือเนื้อหาสาระ ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เป็นเพราะว่า การมีเนื้อหาสาระนั้น สามารถต่อยอดไปสู่ธุรกิจอื่นๆ เช่น อบรม สัมนา รายการทีวี อย่างที่ทำอยู่ในปัจจุบัน และจากคำสัมภาษณ์คุณเมตตา ก็ย้ำว่าจะทำในสิ่งที่ถนัดเท่านั้น ไม่ทำในสิ่งที่ไม่ถนัด ส่วนร้านหนังสือนายอินทร์ aprint ถือหุ้น 19% เท่านั้น เพื่อให้มีช่องทางจำหน่ายของตัวเองบ้าง สรุปคือ Aprint นั้นเน้นทางด้านต้นทาง
Se-ed นั้นมีทั้ง สำนักพิมพ์ สายส่ง และร้านหนังสือ แต่ดูเหมือนจะเน้นไปทางร้านหนังสือ แต่ทั้ง 3 ส่วนก็สนับสนุน ซึ่งกันและกัน แต่การที่มีสาขาร้านที่มาก และขยายสาขาอย่างต่อเนื่อง ทำให้ se-ed ดูเหมือนจะเป็นผู้ครอบครองช่องทางการจัดจำหน่ายในขณะนี้ สรุปคือ Se-ed เน้นที่ปลายทาง
ตราบใดที่เทคโนโลยียังไม่สามารถทดแทนหนังสือได้อย่างสมบูรณ์ หนังสือก็คงยังขายได้ครับ แต่เห็นเทคโนโลยีจอม้วน อันนี้น่าสนใจครับ ถ้าหากอนาคตเจ้าจอม้วนนี้ พกสะดวก และโหลดเก็บเนื้อหา ข้อมูล ไว้อยากอ่านเมื่อไหร่ก็เปิด อันนี้คงน่าจะแทนที่หนังสือได้ แต่คงอีกหลายไปครับ
แต่ตอนนี้ผมคิดว่า 2 ตัวนี้ตามชอบครับ แต่ดูราคาด้วยละกัน
Se-ed นั้นมีทั้ง สำนักพิมพ์ สายส่ง และร้านหนังสือ แต่ดูเหมือนจะเน้นไปทางร้านหนังสือ แต่ทั้ง 3 ส่วนก็สนับสนุน ซึ่งกันและกัน แต่การที่มีสาขาร้านที่มาก และขยายสาขาอย่างต่อเนื่อง ทำให้ se-ed ดูเหมือนจะเป็นผู้ครอบครองช่องทางการจัดจำหน่ายในขณะนี้ สรุปคือ Se-ed เน้นที่ปลายทาง
ตราบใดที่เทคโนโลยียังไม่สามารถทดแทนหนังสือได้อย่างสมบูรณ์ หนังสือก็คงยังขายได้ครับ แต่เห็นเทคโนโลยีจอม้วน อันนี้น่าสนใจครับ ถ้าหากอนาคตเจ้าจอม้วนนี้ พกสะดวก และโหลดเก็บเนื้อหา ข้อมูล ไว้อยากอ่านเมื่อไหร่ก็เปิด อันนี้คงน่าจะแทนที่หนังสือได้ แต่คงอีกหลายไปครับ
แต่ตอนนี้ผมคิดว่า 2 ตัวนี้ตามชอบครับ แต่ดูราคาด้วยละกัน
Outside Investor
- atsu
- Verified User
- โพสต์: 1218
- ผู้ติดตาม: 0
ระหว่างse-ed กะ aprint เพื่อนๆว่าตัวไหนมีอนาคตดีกว่ากันคะ
โพสต์ที่ 21
ผมชอบประโยคนี้จังได้มุมมองทั้งด้านธุรกิจและชีวิต คลาสสิคมากครับหมอpoppo เขียน:market growth ก็คงมีได้เรื่อยๆ เพราะคนไทยคงอ่านหนังสือน้อยกว่านี้ไม่ได้แล้ว เพราะเท่าที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ สังคมก็แย่พอแล้ว ที่เราชอบฟังและเชื่อความคิดเห็นของคนอื่นมากกว่าแสวงหาข้อเท็จจริงด้วยตนเอง