ธรรมะ ธรรมชาติ
-
- Verified User
- โพสต์: 1254
- ผู้ติดตาม: 0
ธรรมะ ธรรมชาติ
โพสต์ที่ 182
[quote="สถาปนิกต่างดาว"][quote="ศิษย์เซียน007"]ขอถามคุณพี่สถาปนิกต่างดาวหน่อยได้ไหมครับ ไม่ทราบว่าการค้าขายน้ำมันถือว่าเป็นการค้ายาพิษหรือเปล่าเพราะทำให้โลกเป็นพิษจนป่วยเป็นโรคโลกร้อนหรือโรคร้อนในนั่นเองครับ
- por_jai
- Verified User
- โพสต์: 14338
- ผู้ติดตาม: 0
ธรรมะ ธรรมชาติ
โพสต์ที่ 184
วันนี้ผมได้ไปไหว้ อ.สุรวัฒน์ เสรีวิวัฒนา ที่ห้องพระ บ้านอารีย์มา
ได้ไปฟังวิธีดูจิตที่ท่านยอมลำบากมาอธิบายให้ฟังละเอียดๆถึง2ชั่วโมงกว่า
ได้ประโยชน์มากเหลือเกินครับ
อ.สุรวัฒน์นี้หลวงพ่อให้คำรับรองมาครับว่าให้ไปฝากตัวเป็นศิษย์ได้
ท่านดูสว่างๆน่าเคารพมากทีเดียว
ตอนค่ำผมไปงานศพเพื่อนประถม/มัธยม
เพื่อนเป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลือง เดินทางไปก่อนซะแล้ว
แม้ไม่ค่อยสนิทกันแต่รู้จักกันมานานเหลือเกิน
ได้เห็นเพื่อนมันแสดงธรรมะ แห่งการเกิดแก่เจ็บตายให้ดู
แต่ก็อดหดหู่นิดๆไม่ได้เลย
เมื่อก่อนตอนหนุ่มๆไปงานศพ ก็มักเป็นญาติเพื่อน
ตอนนี้ก็เริ่มเป็นเพื่อนร่วมรุ่น
พุทธสอนว่า
อย่าประมาท
พระอาจารย์ที่สอนเล่นหุ้นก็สอนว่า
เวลาที่มั่นใจที่สุดคือเวลาที่อันตรายที่สุด
คิดแล้วมันใกล้ๆกันนะ
บ่นบ้าๆอย่าถือนะครับ จิตใจไม่ค่อยอยู่กะเนื้อกะตัวเลย
ได้ไปฟังวิธีดูจิตที่ท่านยอมลำบากมาอธิบายให้ฟังละเอียดๆถึง2ชั่วโมงกว่า
ได้ประโยชน์มากเหลือเกินครับ
อ.สุรวัฒน์นี้หลวงพ่อให้คำรับรองมาครับว่าให้ไปฝากตัวเป็นศิษย์ได้
ท่านดูสว่างๆน่าเคารพมากทีเดียว
ตอนค่ำผมไปงานศพเพื่อนประถม/มัธยม
เพื่อนเป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลือง เดินทางไปก่อนซะแล้ว
แม้ไม่ค่อยสนิทกันแต่รู้จักกันมานานเหลือเกิน
ได้เห็นเพื่อนมันแสดงธรรมะ แห่งการเกิดแก่เจ็บตายให้ดู
แต่ก็อดหดหู่นิดๆไม่ได้เลย
เมื่อก่อนตอนหนุ่มๆไปงานศพ ก็มักเป็นญาติเพื่อน
ตอนนี้ก็เริ่มเป็นเพื่อนร่วมรุ่น
พุทธสอนว่า
อย่าประมาท
พระอาจารย์ที่สอนเล่นหุ้นก็สอนว่า
เวลาที่มั่นใจที่สุดคือเวลาที่อันตรายที่สุด
คิดแล้วมันใกล้ๆกันนะ
บ่นบ้าๆอย่าถือนะครับ จิตใจไม่ค่อยอยู่กะเนื้อกะตัวเลย
กรูเก่ง กิเลสเก่งกว่า
- Ryuga
- Verified User
- โพสต์: 1771
- ผู้ติดตาม: 0
ธรรมะ ธรรมชาติ
โพสต์ที่ 185
พี่สถาปนิก Alien พูดถึงสสารแล้ว ไม่พูดเรื่องปฏิสสารบ้างละครับ เดี๋ยวเค้าน้อยใจนะ :D
โปรตอน 82 นี่ ตะกั่วนี่ครับ (พิมพ์หวิดไป 10 รึป่าวคับ :8) )
ผนฺทนํ จปลํ จิตฺตํ ทุรกฺขํ ทุนฺนิวารยํ
อุชุํ กโรติ เมธาวี อุสุกาโรว เตชนํ.
คนมีปัญญาทำจิตที่ดิ้นรน กวัดแกว่ง รักษายาก ห้ามยาก ให้ตรงได้ เหมือนช่างศรทำลูกศรให้ตรงได้ฉะนั้น
ขุททกนิกาย ธรรมบท ๒๕/๑๙. :8)
โปรตอน 82 นี่ ตะกั่วนี่ครับ (พิมพ์หวิดไป 10 รึป่าวคับ :8) )
ผนฺทนํ จปลํ จิตฺตํ ทุรกฺขํ ทุนฺนิวารยํ
อุชุํ กโรติ เมธาวี อุสุกาโรว เตชนํ.
คนมีปัญญาทำจิตที่ดิ้นรน กวัดแกว่ง รักษายาก ห้ามยาก ให้ตรงได้ เหมือนช่างศรทำลูกศรให้ตรงได้ฉะนั้น
ขุททกนิกาย ธรรมบท ๒๕/๑๙. :8)
โอ้ดีจังเลย มาฟังพี่พอใจต่อ :lol: :lol:พี่หมอ Eyore เขียน:อยากให้พี่พอใจเล่าถึงว่า
เป็นไงมาไงถึงได้เข้าหาพุทธศาสนาได้ครับ
เอาตั้งแต่ว่าเร่มรู้จักได้ยังไง
มีความคิดความรู้สึกยังไง
พี่เป็นคนเล่าเก่ง
น่าจะเป็นประโยชน์กับคนอื่นๆได้ครับ
Low Profile High Profit
หมากล้อมเย้ยยุทธจักร
หมากล้อมเย้ยยุทธจักร
- Ryuga
- Verified User
- โพสต์: 1771
- ผู้ติดตาม: 0
ธรรมะ ธรรมชาติ
โพสต์ที่ 186
สมัยก่อน ผมเคยไปอยู่วัดมาเดือนครึ่ง
พระป่าธรรมยุติครับ อยู่ในป่าในดอย ที่ไหนไม่บอกหรอก อิ อิ :8)
ธารน้ำใสไหลริน ร่มรื่นชื่นเย็น ลมพัดเย็นวู่วู่
หลับ 3 ทุ่ม ตื่นตี 3
พระท่านตีระฆังประชุมแล้ว
ทำธุระเสร็จมารวมกันตี 3 ครึ่ง
นั่งสมาธิไปครึ่งชั่วโมง(บางทีก็ยังสลึมสลืออยู่) ตีสี่สวดมนต์ทำวัตรเช้า
ถึงตีสี่ครึ่งทำสมาธิฟังพระธรรมเทศนา
ตีห้าได้เวลาพระท่านออกโปรดสัตว์
ญาติโยมก็ตามอัธยาศัย
สายๆ พระท่านฉันเช้าก่อน ค่อยกินตามหลังท่าน
กินมื้อเดียว พระท่านถือเอกาสนิกังคธุดงค์
รู้สึกสุขภาพดีมากเลยครับ แข็งแรง
ทานอาหารน้อย ไม่กินในยามวิกาล
อาหารมันไปกระตุ้นประสาทพาราซิมฯ แล้วก็มีหลั่งซีโรโทนิน
นอกจากฟุ้งซ่านแล้วก็ง่วงด้วย
ช่วงกลางวันจะทำอะไรก็ได้
ศึกษาธรรม สมาธิ จงกรมอะไรก็เชิญตามอัธยาศัย
มีแต่ศาลากับป่ากับเขา
ทีวีไม่มี พระท่านอ่านหนังสือพิมพ์อย่างเดียว (เอ หรือมีทีวีด้วยหว่า ไม่แน่ใจ)
ท่านตีระฆังประชุมอีกทีก็ทุ่ม
มาก่อนก็สมาธิรอไปก่อน
ทุ่มครึ่งสวดมนต์ทำวัตรเย็น
จากนั้นก็ทำสมาธิฟังพระธรรมเทศนา
3 ทุ่มก็แยกย้าย
สนุกดีครับ
ไปติดมหาสมยสูตรมาจากที่นี่แหละ
กิเลสก็ไม่ลดไม่หายไปไหนหรอก
ยิ่งอยู่นานยิ่งฟุ้งครับ
ท้ายๆ นี่เกิดอยากเล่นเกมคอมใจจะขาด
หุ้นก็ไม่มีให้ดูด้วยนะ
มีพระท่านนึงสนใจเรื่องการดูดวง ได้ไปคุยกับท่านอยู่
ชักจะไร้สาระแล้ว รอฟังพี่พอใจต่อดีกว่า
พี่พอใจไปนี่ไปกับพี่เจ๋งหรือเปล่าครับ :8)
พระป่าธรรมยุติครับ อยู่ในป่าในดอย ที่ไหนไม่บอกหรอก อิ อิ :8)
ธารน้ำใสไหลริน ร่มรื่นชื่นเย็น ลมพัดเย็นวู่วู่
หลับ 3 ทุ่ม ตื่นตี 3
พระท่านตีระฆังประชุมแล้ว
ทำธุระเสร็จมารวมกันตี 3 ครึ่ง
นั่งสมาธิไปครึ่งชั่วโมง(บางทีก็ยังสลึมสลืออยู่) ตีสี่สวดมนต์ทำวัตรเช้า
ถึงตีสี่ครึ่งทำสมาธิฟังพระธรรมเทศนา
ตีห้าได้เวลาพระท่านออกโปรดสัตว์
ญาติโยมก็ตามอัธยาศัย
สายๆ พระท่านฉันเช้าก่อน ค่อยกินตามหลังท่าน
กินมื้อเดียว พระท่านถือเอกาสนิกังคธุดงค์
รู้สึกสุขภาพดีมากเลยครับ แข็งแรง
ทานอาหารน้อย ไม่กินในยามวิกาล
อาหารมันไปกระตุ้นประสาทพาราซิมฯ แล้วก็มีหลั่งซีโรโทนิน
นอกจากฟุ้งซ่านแล้วก็ง่วงด้วย
ช่วงกลางวันจะทำอะไรก็ได้
ศึกษาธรรม สมาธิ จงกรมอะไรก็เชิญตามอัธยาศัย
มีแต่ศาลากับป่ากับเขา
ทีวีไม่มี พระท่านอ่านหนังสือพิมพ์อย่างเดียว (เอ หรือมีทีวีด้วยหว่า ไม่แน่ใจ)
ท่านตีระฆังประชุมอีกทีก็ทุ่ม
มาก่อนก็สมาธิรอไปก่อน
ทุ่มครึ่งสวดมนต์ทำวัตรเย็น
จากนั้นก็ทำสมาธิฟังพระธรรมเทศนา
3 ทุ่มก็แยกย้าย
สนุกดีครับ
ไปติดมหาสมยสูตรมาจากที่นี่แหละ
กิเลสก็ไม่ลดไม่หายไปไหนหรอก
ยิ่งอยู่นานยิ่งฟุ้งครับ
ท้ายๆ นี่เกิดอยากเล่นเกมคอมใจจะขาด
หุ้นก็ไม่มีให้ดูด้วยนะ
มีพระท่านนึงสนใจเรื่องการดูดวง ได้ไปคุยกับท่านอยู่
ชักจะไร้สาระแล้ว รอฟังพี่พอใจต่อดีกว่า
พี่พอใจไปนี่ไปกับพี่เจ๋งหรือเปล่าครับ :8)
Low Profile High Profit
หมากล้อมเย้ยยุทธจักร
หมากล้อมเย้ยยุทธจักร
- por_jai
- Verified User
- โพสต์: 14338
- ผู้ติดตาม: 0
ธรรมะ ธรรมชาติ
โพสต์ที่ 187
meee เขียน:
มารอฟังพี่เล่าต่อครับ
เหตุที่เข้ามาผูกพันกับพุทธน้องริว เขียน:โอ้ดีจังเลย มาฟังพี่พอใจต่อ
เล่าจบแล้วครับ
มีเรื่องอภิญญาที่ไม่อยากเล่า
หลวงพ่อคงเห็นว่าผมนั้นอายุมากแล้ว
กิเลสมันทั้งหนาทั้งหนัก
ไม่แสดงอะไรให้ดูหน่อย มันจะดื้อแพ่งเอา
ท่านก็เลยกำราบซะหน่อยก่อน
เรื่องนี้เจอตัวจึงจะเล่าให้ฟังได้ครับ
เจ๋งเขาชอบที่วัดมเหยงค์ อยูธยาครับน้องริว เขียน: พี่พอใจไปนี่ไปกับพี่เจ๋งหรือเปล่าครับ
เขาว่าผีดุกว่า
มีผีหัวขาดด้วยเพราะวัดเกิดมาตั้งแต่สมัยเสียกรุงโน่น
คงชอบ...ว่างั้น
กรูเก่ง กิเลสเก่งกว่า
-
- Verified User
- โพสต์: 1254
- ผู้ติดตาม: 0
ธรรมะ ธรรมชาติ
โพสต์ที่ 190
"ผนฺทนํ จปลํ จิตฺตํ ทุรกฺขํ ทุนฺนิวารยํ
อุชุํ กโรติ เมธาวี อุสุกาโรว เตชนํ.
คนมีปัญญาทำจิตที่ดิ้นรน กวัดแกว่ง รักษายาก ห้ามยาก ให้ตรงได้ เหมือนช่างศรทำลูกศรให้ตรงได้ฉะนั้น
ขุททกนิกาย ธรรมบท ๒๕/๑๙. " Ryuga
คุณริวละเอียดมากครับ ทำให้ผมนึกถึงหนังฝรั่งบางเรื่องเช่นหนังผี ตัวละครในเรื่องเมื่อจะกล่าวถึงบางส่วนจากพระคัมภรีไบเบิ้ลจะจดจำได้แม้แต่อยู่บรรทัดเท่าไรในพระคัมภีร์ได้ด้วยผมทึ่งมากเลยครับ ความจำของคนเราช่างมหัศจรรย์จริงๆ :lol:
เมื่อจิตตั้งตรง(จิตว่าง)ได้สักชั่วขณะจะรู้สึกเกิดปิติมากครับ
อุชุํ กโรติ เมธาวี อุสุกาโรว เตชนํ.
คนมีปัญญาทำจิตที่ดิ้นรน กวัดแกว่ง รักษายาก ห้ามยาก ให้ตรงได้ เหมือนช่างศรทำลูกศรให้ตรงได้ฉะนั้น
ขุททกนิกาย ธรรมบท ๒๕/๑๙. " Ryuga
คุณริวละเอียดมากครับ ทำให้ผมนึกถึงหนังฝรั่งบางเรื่องเช่นหนังผี ตัวละครในเรื่องเมื่อจะกล่าวถึงบางส่วนจากพระคัมภรีไบเบิ้ลจะจดจำได้แม้แต่อยู่บรรทัดเท่าไรในพระคัมภีร์ได้ด้วยผมทึ่งมากเลยครับ ความจำของคนเราช่างมหัศจรรย์จริงๆ :lol:
เมื่อจิตตั้งตรง(จิตว่าง)ได้สักชั่วขณะจะรู้สึกเกิดปิติมากครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 1254
- ผู้ติดตาม: 0
ธรรมะ ธรรมชาติ
โพสต์ที่ 191
ทางคนคับแคบ
ทางผีเลวร้าย
ทางมนุษย์ประเสริฐล้ำ
ทางธรรมพานพบอิสระแท้
ทางผีเลวร้าย
ทางมนุษย์ประเสริฐล้ำ
ทางธรรมพานพบอิสระแท้
- por_jai
- Verified User
- โพสต์: 14338
- ผู้ติดตาม: 0
ธรรมะ ธรรมชาติ
โพสต์ที่ 192
มีหลวงพ่อวัดป่าอยู่ท่านนึง
หลวงพ่อปราโมทย์เล่าให้ฟังว่า
ตอนที่ท่านบวชแล้วท่านไปเรียนปริยัติก่อนได้9ประโยคเต็มๆ
ระหว่างปฏิบัติ
ท่านพยายามท่องจำคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้ง84000พระธรรมขันธ์
เนื่องจากในไตรปิฎกบอกว่า
พระอานนท์สามารถจำคำสอนทั้ง84000พระธรรมขันธ์ได้
ท่านว่าคนยุคนี้ก็ควรทำได้เช่นกัน
หลวงพ่อไม่ได้เล่าต่อว่าสำเร็จหรือไม่
แต่หลวงพ่อว่าขอให้มีความตั้งใจในสิ่งที่อธิษฐาน
คนเราทำได้ทุกอย่างตามนั้น
หลวงพ่อปราโมทย์เล่าให้ฟังว่า
ตอนที่ท่านบวชแล้วท่านไปเรียนปริยัติก่อนได้9ประโยคเต็มๆ
ระหว่างปฏิบัติ
ท่านพยายามท่องจำคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้ง84000พระธรรมขันธ์
เนื่องจากในไตรปิฎกบอกว่า
พระอานนท์สามารถจำคำสอนทั้ง84000พระธรรมขันธ์ได้
ท่านว่าคนยุคนี้ก็ควรทำได้เช่นกัน
หลวงพ่อไม่ได้เล่าต่อว่าสำเร็จหรือไม่
แต่หลวงพ่อว่าขอให้มีความตั้งใจในสิ่งที่อธิษฐาน
คนเราทำได้ทุกอย่างตามนั้น
กรูเก่ง กิเลสเก่งกว่า
- por_jai
- Verified User
- โพสต์: 14338
- ผู้ติดตาม: 0
ธรรมะ ธรรมชาติ
โพสต์ที่ 194
มีคำถามๆพี่น้องในกระทู้นี้ครับ
-สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม
-ทุกอย่างในโลกนี้ล้วนเข้ากฏไตรลักษณ์ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
กรรมกับอนัตตา ขัดแย้งกันเองหรือเปล่าครับ
ปัญหาดังกล่าวมีคนเขียนไปถามพระดีพระวิเศษรูปหนึ่งในเมืองไทยนี่แหละ
-สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม
-ทุกอย่างในโลกนี้ล้วนเข้ากฏไตรลักษณ์ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
กรรมกับอนัตตา ขัดแย้งกันเองหรือเปล่าครับ
ปัญหาดังกล่าวมีคนเขียนไปถามพระดีพระวิเศษรูปหนึ่งในเมืองไทยนี่แหละ
กรูเก่ง กิเลสเก่งกว่า
-
- Verified User
- โพสต์: 4596
- ผู้ติดตาม: 0
ธรรมะ ธรรมชาติ
โพสต์ที่ 195
ผมว่าเรื่องแบบนี้น่าจะจัดอยู่ใน อจินไตย ๔ ครับpor_jai เขียน: มีคำถามๆพี่น้องในกระทู้นี้ครับ
-สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม
-ทุกอย่างในโลกนี้ล้วนเข้ากฏไตรลักษณ์ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
กรรมกับอนัตตา ขัดแย้งกันเองหรือเปล่าครับ
ปัญหาดังกล่าวมีคนเขียนไปถามพระดีพระวิเศษรูปหนึ่งในเมืองไทยนี่แหละ
มีคนเขียนไว้ให้อ่านที่นี่ http://www.geocities.com/easydharma/dm004018.html
อจินไตย ๔ - สิ่งที่ไม่ควรคิด ๔ ประการ
"จตฺตารีมานิ ภิกขฺเว อจินเตยยานิ น จินเตตพฺพานิ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย สิ่งที่ไม่ควรคิด ๔ อย่างนี้คือ
๑. พุทธวิสัย วิสัยของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ใครๆ อย่าคิด ถ้าใครคิด เป็นผู้มีส่วนแห่งความเป็นบ้า
๒. ฌาณวิสัย วิสัยของผู้ได้ฌาณ
๓. กัมมวิบาก กรรมและผลกรรม
๔. โลกจินตา คิดเรื่องโลก
อันนี้ ครูบาอาจารย์อธิบายขยายความไว้ดังนี้ครับทั้ง ๔ ข้อนี้ ก็เหมือนกัน ใครๆ อย่าคิด ถ้าใครขืนคิด เป็นผู้มีส่วน แห่งความเป็นบ้า มีส่วนแห่งความคับแค้นใจฯ ตามนัยนี้ แสดง ให้เห็นว่า ถึงจะคิดจะวิพากษ์วิจารณ์สักเท่าไรๆ ก็ไม่มีที่สิ้นสุดได้ และไม่ทำให้ผู้นั้นหายสงสัยได้ ถ้าลงมือทำเอง (คือ ลงมือเจริญสติ ตามแนวสติปัฏฐานสี่ ลงมือปฏิบัติกายและใจตามแนวไตรสิกขา คือ ศีล-สมาธิและปัญญา เพื่อให้เกิดปัญญาเห็นโลกเห็นธรรม ตามความเป็นจริง) จึงจะหายข้องใจเช่น ผู้ที่จะหยั่งทราบ พุทธวิสัย (= ความสามารถในการหยั่งรู้ของพระพุทธเจ้า) ต้องบำเพ็ญคุณธรรมคือ บารมี ๓๐ ทัศ ให้เต็มเปี่ยมอย่างพระพุทธเจ้า จึงจะวิพากษ์วิจารณ์ได้ ผู้ที่จะหยั่งทราบเรื่องการเข้าฌาณ เข้าผลสมาบัติ ตนเองก็จะต้องปฏิบัติธรรมจนได้ผลถึงขั้นเดียวกันก่อน ... จึงจะรู้ได้เช่น เดียวกับท่าน จึงจะรู้กันได้เรียกว่าเดินทางถึงขั้นเดียวกัน การที่จะหยั่ง ทราบผลกรรมของบุคคลและสัตว์ต่างๆ ก็ดี การที่จะหยั่งทราบเรื่องโลก ก็ดีเป็นวิสัยของพระพุทธเจ้า ถ้าจะพากันขืนคิดไปก็ตายเปล่า ไม่มีอันสิ้นสุดยุติลงได้....
สีลํ พลํ อปฺปฏิมํ สีลํ อาวุธมุตฺตมํ
สีลํ อาภรณํ เสฏฺฐํ สีลํ กวจมพฺภุตํ
ศีลเป็นกำลังไม่มีที่เปรียบ ศีลเป็นอาวุธสูงสุด
ศีลเป็นเครื่องประดับอย่างประเสริฐสุด ศีลเป็นเกราะอย่างอัศจรรย์
สีลํ อาภรณํ เสฏฺฐํ สีลํ กวจมพฺภุตํ
ศีลเป็นกำลังไม่มีที่เปรียบ ศีลเป็นอาวุธสูงสุด
ศีลเป็นเครื่องประดับอย่างประเสริฐสุด ศีลเป็นเกราะอย่างอัศจรรย์
-
- Verified User
- โพสต์: 4596
- ผู้ติดตาม: 0
ธรรมะ ธรรมชาติ
โพสต์ที่ 196
เพิ่มเติม เอามาจาก http://www.84000.org/tipitaka/book/nana.php?q=25
---------------------
๒๕. ปัญหาของอจินไตย ๔ ข้อ
ถาม ๑. สิ่งที่เป็นอจินไตย นี่เป็นวิสัยของพระพุทธเจ้าเท่านั้นที่จะรู้ได้ ไม่ใช่วิสัยของปุถุชนคนธรรมดาหรือพระอรหันต์ธรรมดาจะรู้ได้ใช่ไหม
ตอบ สิ่งที่เป็นอจินไตยนั้นมี ๔ อย่าง คือ
๑. พุทธวิสัย วิสัยของพระพุทธเจ้า
๒. ฌานวิสัย วิสัยของผู้ได้ฌาน
๓. กัมมวิบาก ผลจากกรรม
๔. โลกจินดา ความคิดเรื่องโลก
ทั้ง ๔ อย่างนี้พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่าไม่ควรคิดผู้ที่คิดจะพึงมีส่วนแห่งความเป็นบ้า ได้รับความลำบากโดยเปล่าประโยชน์
ในอจินไตย ๔ อย่างนี้ อย่างแรกคือ พุทธวิสัย คือวิสัยของพระพุทธเจ้านั้น ผู้ที่ไม่ใช่พระพุทธเจ้าคิดอย่างไร ก็เข้าไปไม่ถึงวิสัยของพระพุทธเจ้า มีอานุภาพของพระพุทธคุณและพระสัพพัญญุตญาณเป็นต้น
อย่างที่ ๒ ฌานวิสัย วิสัยของผู้ที่ได้ฌานอภิญญา ผู้ที่ไม่ได้ฌานคิดเท่าไรก็คิดไม่ออกว่า ทำไมผู้ที่ได้ฌานอภิญญาจึงสามารถแสดงฤทธิ์ต่างๆ มีเหาะได้ หายตัวได้ ดำดินได้ เป็นต้น ผู้ที่ได้อภิญญาประเภทนั้นๆ เท่านั้นจึงจะรู้ได้
อย่างที่ ๓ กัมมวิบาก ผลของกรรม คือคนธรรมดาๆ ย่อมไม่อาจรู้ว่า ผลของกรรมที่ตนได้รับอยู่ในปัจจุบันนี้มาจากกรรมอะไร ทำไว้แต่เมื่อใด คิดไปเท่าไรก็คิดไม่ออก คิดมากไปจะเป็นบ้าไปเสียเปล่าๆ ผู้ที่รู้ผลของกรรมได้อย่างถ่องแท้ต้องเป็นผู้ที่ระลึกชาติก่อนๆ นับย้อนหลังไปได้โดยไม่จำกัดอย่างพระพุทธเจ้า จึงสามารถจะทราบได้ถูกต้องแท้จริงไม่ผิดพลาด ท่านที่ระลึกชาติได้จำกัด เช่นระลึกได้ ๕๐๐ ชาติ แต่กรรมที่ทำไว้ ทำไว้เมื่อชาติที่ ๕๕๐ ผู้ที่ระลึกชาติได้ ๕๐๐ ชาติก็ไม่สามารถระลึกได้ เพราะฉะนั้น พระพุทธเจ้าเท่านั้นที่สามารถจะรู้กรรมและผลของกรรมได้ถูกต้องตามความเป็นจริง เพราะพระองค์ทรงมีบุพเพนิวาสานุสสติญาณ ที่ระลึกชาติย้อนหลังได้โดยไม่จำกัด มียถากัมมูปคญาณ ญาณที่เข้าถึงกรรมของสัตว์ตามความเป็นจริง พระพระสัพพัญญุตญาณ ญาณที่ทรงรอบรู้ทุกสิ่งทุกอย่างที่คนอื่นไม่มี ทั้งยังมีพระอนาวรณญาณ ญาณที่ไม่มีอะไรมาปิดกั้น ที่คนอื่นที่ไม่ใช่พระพุทธเจ้าไม่มี เพราะฉะนั้น ป่วยการคิดเรื่องผลของกรรมว่ามาจากกรรมไหน เมื่อใด เป็นต้น คิดมากไป อาจเป็นบ้าได้
อย่างที่ ๔ โลกจินดา ความคิดเกี่ยวกับเรื่องโลก เช่นคิดว่าใครสร้างพระจันทร์-พระอาทิตย์ ใครสร้างภูเขา ต้นไม้ เป็นต้น คิดมากไปไร้ประโยชน์เพราะไม่อาจจะรู้ได้
ด้วยเหตุนี้ อจินไตยทั้ง ๔ อย่างนี้ บางท่านอาจจะคิดว่าตนเองคิดแล้วรู้ได้ ซึ่งก็รู้ได้เพียงวิสัยของตนเท่านั้น พระอรหันต์ก็รู้เท่าวิสัยของพระอรหันต์ จะรู้เท่าความรู้ของพระพุทธเจ้านั้นเป็นไปไม่ได้เลย เพราะฉะนั้น ท่านจึงเตือนว่า สิ่งทั้ง ๔ นี้ไม่ควรคิด คิดไปอาจเป็นบ้า ลำบากโดยเปล่าประโยชน์ ทั้งนี้เพราะท่านเหล่านั้นไม่ได้สั่งสมสติปัญญาบารมีความรู้มาเสมอด้วยพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งต้องอบรมมาอย่างน้อยถึง ๔ อสงไขยแสนกัปป์ทีเดียว
------------
ยังมีต่อนะครับ ถาม link ไปดูเองละกันครับ
และก็ยังมีอีกหลาย link เช่น http://www.dmc.tv/forum/index.php?showtopic=5669
---------------------
๒๕. ปัญหาของอจินไตย ๔ ข้อ
ถาม ๑. สิ่งที่เป็นอจินไตย นี่เป็นวิสัยของพระพุทธเจ้าเท่านั้นที่จะรู้ได้ ไม่ใช่วิสัยของปุถุชนคนธรรมดาหรือพระอรหันต์ธรรมดาจะรู้ได้ใช่ไหม
ตอบ สิ่งที่เป็นอจินไตยนั้นมี ๔ อย่าง คือ
๑. พุทธวิสัย วิสัยของพระพุทธเจ้า
๒. ฌานวิสัย วิสัยของผู้ได้ฌาน
๓. กัมมวิบาก ผลจากกรรม
๔. โลกจินดา ความคิดเรื่องโลก
ทั้ง ๔ อย่างนี้พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่าไม่ควรคิดผู้ที่คิดจะพึงมีส่วนแห่งความเป็นบ้า ได้รับความลำบากโดยเปล่าประโยชน์
ในอจินไตย ๔ อย่างนี้ อย่างแรกคือ พุทธวิสัย คือวิสัยของพระพุทธเจ้านั้น ผู้ที่ไม่ใช่พระพุทธเจ้าคิดอย่างไร ก็เข้าไปไม่ถึงวิสัยของพระพุทธเจ้า มีอานุภาพของพระพุทธคุณและพระสัพพัญญุตญาณเป็นต้น
อย่างที่ ๒ ฌานวิสัย วิสัยของผู้ที่ได้ฌานอภิญญา ผู้ที่ไม่ได้ฌานคิดเท่าไรก็คิดไม่ออกว่า ทำไมผู้ที่ได้ฌานอภิญญาจึงสามารถแสดงฤทธิ์ต่างๆ มีเหาะได้ หายตัวได้ ดำดินได้ เป็นต้น ผู้ที่ได้อภิญญาประเภทนั้นๆ เท่านั้นจึงจะรู้ได้
อย่างที่ ๓ กัมมวิบาก ผลของกรรม คือคนธรรมดาๆ ย่อมไม่อาจรู้ว่า ผลของกรรมที่ตนได้รับอยู่ในปัจจุบันนี้มาจากกรรมอะไร ทำไว้แต่เมื่อใด คิดไปเท่าไรก็คิดไม่ออก คิดมากไปจะเป็นบ้าไปเสียเปล่าๆ ผู้ที่รู้ผลของกรรมได้อย่างถ่องแท้ต้องเป็นผู้ที่ระลึกชาติก่อนๆ นับย้อนหลังไปได้โดยไม่จำกัดอย่างพระพุทธเจ้า จึงสามารถจะทราบได้ถูกต้องแท้จริงไม่ผิดพลาด ท่านที่ระลึกชาติได้จำกัด เช่นระลึกได้ ๕๐๐ ชาติ แต่กรรมที่ทำไว้ ทำไว้เมื่อชาติที่ ๕๕๐ ผู้ที่ระลึกชาติได้ ๕๐๐ ชาติก็ไม่สามารถระลึกได้ เพราะฉะนั้น พระพุทธเจ้าเท่านั้นที่สามารถจะรู้กรรมและผลของกรรมได้ถูกต้องตามความเป็นจริง เพราะพระองค์ทรงมีบุพเพนิวาสานุสสติญาณ ที่ระลึกชาติย้อนหลังได้โดยไม่จำกัด มียถากัมมูปคญาณ ญาณที่เข้าถึงกรรมของสัตว์ตามความเป็นจริง พระพระสัพพัญญุตญาณ ญาณที่ทรงรอบรู้ทุกสิ่งทุกอย่างที่คนอื่นไม่มี ทั้งยังมีพระอนาวรณญาณ ญาณที่ไม่มีอะไรมาปิดกั้น ที่คนอื่นที่ไม่ใช่พระพุทธเจ้าไม่มี เพราะฉะนั้น ป่วยการคิดเรื่องผลของกรรมว่ามาจากกรรมไหน เมื่อใด เป็นต้น คิดมากไป อาจเป็นบ้าได้
อย่างที่ ๔ โลกจินดา ความคิดเกี่ยวกับเรื่องโลก เช่นคิดว่าใครสร้างพระจันทร์-พระอาทิตย์ ใครสร้างภูเขา ต้นไม้ เป็นต้น คิดมากไปไร้ประโยชน์เพราะไม่อาจจะรู้ได้
ด้วยเหตุนี้ อจินไตยทั้ง ๔ อย่างนี้ บางท่านอาจจะคิดว่าตนเองคิดแล้วรู้ได้ ซึ่งก็รู้ได้เพียงวิสัยของตนเท่านั้น พระอรหันต์ก็รู้เท่าวิสัยของพระอรหันต์ จะรู้เท่าความรู้ของพระพุทธเจ้านั้นเป็นไปไม่ได้เลย เพราะฉะนั้น ท่านจึงเตือนว่า สิ่งทั้ง ๔ นี้ไม่ควรคิด คิดไปอาจเป็นบ้า ลำบากโดยเปล่าประโยชน์ ทั้งนี้เพราะท่านเหล่านั้นไม่ได้สั่งสมสติปัญญาบารมีความรู้มาเสมอด้วยพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งต้องอบรมมาอย่างน้อยถึง ๔ อสงไขยแสนกัปป์ทีเดียว
------------
ยังมีต่อนะครับ ถาม link ไปดูเองละกันครับ
และก็ยังมีอีกหลาย link เช่น http://www.dmc.tv/forum/index.php?showtopic=5669
สีลํ พลํ อปฺปฏิมํ สีลํ อาวุธมุตฺตมํ
สีลํ อาภรณํ เสฏฺฐํ สีลํ กวจมพฺภุตํ
ศีลเป็นกำลังไม่มีที่เปรียบ ศีลเป็นอาวุธสูงสุด
ศีลเป็นเครื่องประดับอย่างประเสริฐสุด ศีลเป็นเกราะอย่างอัศจรรย์
สีลํ อาภรณํ เสฏฺฐํ สีลํ กวจมพฺภุตํ
ศีลเป็นกำลังไม่มีที่เปรียบ ศีลเป็นอาวุธสูงสุด
ศีลเป็นเครื่องประดับอย่างประเสริฐสุด ศีลเป็นเกราะอย่างอัศจรรย์
-
- Verified User
- โพสต์: 4596
- ผู้ติดตาม: 0
ธรรมะ ธรรมชาติ
โพสต์ที่ 198
[quote="por_jai"] น้องก๊อปปี้ พระดีพระวิเศษรูปนั้นมีคำตอบให้นะ
สีลํ พลํ อปฺปฏิมํ สีลํ อาวุธมุตฺตมํ
สีลํ อาภรณํ เสฏฺฐํ สีลํ กวจมพฺภุตํ
ศีลเป็นกำลังไม่มีที่เปรียบ ศีลเป็นอาวุธสูงสุด
ศีลเป็นเครื่องประดับอย่างประเสริฐสุด ศีลเป็นเกราะอย่างอัศจรรย์
สีลํ อาภรณํ เสฏฺฐํ สีลํ กวจมพฺภุตํ
ศีลเป็นกำลังไม่มีที่เปรียบ ศีลเป็นอาวุธสูงสุด
ศีลเป็นเครื่องประดับอย่างประเสริฐสุด ศีลเป็นเกราะอย่างอัศจรรย์
- por_jai
- Verified User
- โพสต์: 14338
- ผู้ติดตาม: 0
ธรรมะ ธรรมชาติ
โพสต์ที่ 199
พระดีพระวิเศษรูปนั้นท่านว่า
คนถามน่าจะถามว่า
อนัตตา ทุกอย่างแล้วเราจะทำดีทำไม
นอนหรือฆ่าตัวตายเสียเลยไม่ดีกว่าหรือ
ท่านว่าท่านอยากตอบคำตอบนี้ให้ฟังกัน
แต่ไม่มีคนถามก็เลยไม่ได้ตอบ
ตอนนี้ท่านก็ไม่ได้อยู่ตอบซะแล้วด้วย
คนถามน่าจะถามว่า
อนัตตา ทุกอย่างแล้วเราจะทำดีทำไม
นอนหรือฆ่าตัวตายเสียเลยไม่ดีกว่าหรือ
ท่านว่าท่านอยากตอบคำตอบนี้ให้ฟังกัน
แต่ไม่มีคนถามก็เลยไม่ได้ตอบ
ตอนนี้ท่านก็ไม่ได้อยู่ตอบซะแล้วด้วย
กรูเก่ง กิเลสเก่งกว่า
- Eyore
- Verified User
- โพสต์: 606
- ผู้ติดตาม: 0
ธรรมะ ธรรมชาติ
โพสต์ที่ 200
ทำไมอ่ะครับpor_jai เขียน: มีคำถามๆพี่น้องในกระทู้นี้ครับ
-สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม
-ทุกอย่างในโลกนี้ล้วนเข้ากฏไตรลักษณ์ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
กรรมกับอนัตตา ขัดแย้งกันเองหรือเปล่าครับ
ผมว่ามันลงกันได้อย่างที่สุด
ไม่มีข้อขัดแย้งตรงไหนเลย
- por_jai
- Verified User
- โพสต์: 14338
- ผู้ติดตาม: 0
ธรรมะ ธรรมชาติ
โพสต์ที่ 201
ผมอาจเข้าใจผิดก็ได้นะ
ลองขยายความดูว่าคิดเรื่องนี้อย่างไร
สัตว์โลกต้องเป็นไปตามกรรม
ก็คือทำกรรมอะไรไว้ต้องไปเจอกรรมนั้นอีกรอบแน่ๆ
แต่ในเมื่อทุกอย่างเป็นอนัตตา
อยากเกิดก็เกิด อยากดับก็ดับ ไม่มีอะไรควบคุมได้
อย่างนี้เราก็ทำชั่วได้สบายมากสิครับ
เพราะถ้ากรรมชั่วมันก็เป็นอนัตตา
มันก็อาจกลับมาเกิดกับเราหรือไม่เกิดก็ได้
ไม่มีหลักตายตัวแน่นอน
ลองขยายความดูว่าคิดเรื่องนี้อย่างไร
สัตว์โลกต้องเป็นไปตามกรรม
ก็คือทำกรรมอะไรไว้ต้องไปเจอกรรมนั้นอีกรอบแน่ๆ
แต่ในเมื่อทุกอย่างเป็นอนัตตา
อยากเกิดก็เกิด อยากดับก็ดับ ไม่มีอะไรควบคุมได้
อย่างนี้เราก็ทำชั่วได้สบายมากสิครับ
เพราะถ้ากรรมชั่วมันก็เป็นอนัตตา
มันก็อาจกลับมาเกิดกับเราหรือไม่เกิดก็ได้
ไม่มีหลักตายตัวแน่นอน
กรูเก่ง กิเลสเก่งกว่า
-
- Verified User
- โพสต์: 86
- ผู้ติดตาม: 0
ธรรมะ ธรรมชาติ
โพสต์ที่ 202
โลกในความหมายทางพุทธศาสนาท่านเน้นหมายถึง กายกับใจหรือขันธ์ห้านั่นเองครับ กายกับใจตกอยู่ภายใต้por_jai เขียน: มีคำถามๆพี่น้องในกระทู้นี้ครับ
-สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม
-ทุกอย่างในโลกนี้ล้วนเข้ากฏไตรลักษณ์ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
กรรมกับอนัตตา ขัดแย้งกันเองหรือเปล่าครับ
ปัญหาดังกล่าวมีคนเขียนไปถามพระดีพระวิเศษรูปหนึ่งในเมืองไทยนี่แหละ
กฏของไตรลักษณ์หรือสามัญญลักษณะ คืออนิจจัง ความไม่เที่ยง ไม่คงที่ คือสภาวะที่ทีแรกมันไม่มี แล้วเกิดมีขึ้น
มีแล้วก็ไม่มี ทุกขังคือสภาวะที่มีขึ้นมาแล้วมันทนอยู่ไม่ได้ มันถูกเสียดแทงต้องเสื่อมสลายไป อนัตตาคือสภาวะที่
มันเกิดขึ้นมา โดยที่เราสั่งให้มันเกิดก็ไม่ได้ ห้ามไม่ให้มันเกิดก็ไม่ได้ เกิดขึ้นมาแล้วสั่งให้มันไปก็ไม่ได้ บังคับมัน
ไม่ได้ สภาวะธรรมทุกอย่างเกิดขึ้นจากเหตุ หมดเหตุมันก็ดับไปเอง ดังนั้นอนัตตาหรือที่เรียกกันว่าความไม่มีตัว
ตนก็คือการบังคับไม่ได้นั่นเอง แต่คนส่วนใหญ่ที่ยังไม่บรรลุอรหันต์ จิตยังไม่เข้าใจธรรมะหรือธรรมชาติอย่างแท้
จริง จึงยังมีความหลงผิดอยู่ว่า กายกับใจนั้นเป็นตัวเรา เป็นของเรา เกิดเป็นตัวตนขึ้นมา เมื่อจิตยังมีอวิชชา จิตย่อม
มีการกระทำหรือการดิ้นรนขึ้นมาทางใจ เรียกว่ามีเจตนาทางใจ เมื่อมีเจตนากระทำทางใจขึ้นมาย่อมเกิดการกระทำ
กรรมขึ้นมา เมื่อมีการทำกรรมก็ย่อมมีวิบากหรือผลของกรรม คือกรรมดีก็ได้วิบากที่ดี กรรมไม่ดีก็ได้วิบากที่ไม่ดี
และเมื่อมีการกระทำทางใจ เมล็ดพันธุ์แห่งการเกิดก็ย่อมมีอยู่ในจิต ถ้าตายไปก็ย่อมจะต้องไปเกิดใหม่ตามวิบาก
ที่ทำไว้ ผมก็เลยเห็นว่ากรรมกับอนัตตานั้นมันไม่ขัดกันครับคุณพอใจ
-
- Verified User
- โพสต์: 4596
- ผู้ติดตาม: 0
ธรรมะ ธรรมชาติ
โพสต์ที่ 203
[quote="por_jai"] พระดีพระวิเศษรูปนั้นท่านว่า
สีลํ พลํ อปฺปฏิมํ สีลํ อาวุธมุตฺตมํ
สีลํ อาภรณํ เสฏฺฐํ สีลํ กวจมพฺภุตํ
ศีลเป็นกำลังไม่มีที่เปรียบ ศีลเป็นอาวุธสูงสุด
ศีลเป็นเครื่องประดับอย่างประเสริฐสุด ศีลเป็นเกราะอย่างอัศจรรย์
สีลํ อาภรณํ เสฏฺฐํ สีลํ กวจมพฺภุตํ
ศีลเป็นกำลังไม่มีที่เปรียบ ศีลเป็นอาวุธสูงสุด
ศีลเป็นเครื่องประดับอย่างประเสริฐสุด ศีลเป็นเกราะอย่างอัศจรรย์
-
- Verified User
- โพสต์: 1254
- ผู้ติดตาม: 0
ธรรมะ ธรรมชาติ
โพสต์ที่ 204
กรรมชั่วและกรรมดีของแต่ล่ะคนได้ทำไว้ถ้าหากยังไม่ได้ให้ผลแม้ผ่านกาล เวลาไปกี่ภพกี่ชาติแล้วก็ตามย่อมต้องให้ผลเข้าสักวันครับ ถ้าลองอ่านชีวิตของพระในสมัยพุทธกาลจากพระไตรปิฎกจะเห็นได้อย่างชัดเจนครับ :8)
เช่น พระบางองค์ที่ผมจำนามไม่ดีท่านต้องรับผลกรรมอันเผ็ดร้อนจากการกระทำของท่านเองหลายเมือ่หลายร้อยชาติที่แล้ว :)
เช่น พระบางองค์ที่ผมจำนามไม่ดีท่านต้องรับผลกรรมอันเผ็ดร้อนจากการกระทำของท่านเองหลายเมือ่หลายร้อยชาติที่แล้ว :)
- Eyore
- Verified User
- โพสต์: 606
- ผู้ติดตาม: 0
ธรรมะ ธรรมชาติ
โพสต์ที่ 205
อนัตตานั้นคือมัน "ไม่เป็นอย่างใจเราต้องการ"
ทำไมไม่เป็นอย่างใจเรา
ก็เพราะมันมีเหตุมีผลของมันเอง
มีเหตุก็เกิด หมดเหตุมันก็ดับ
กรรมก็เหมือนกัน
มันมีเหตุของมันคือการกระทำได้เกิดขึ้นแล้ว
รอว่าผลจะเกิดเมื่อไร อย่างไร เท่านั้น
เราไปแทรกแซงไม่ได้ บังคับไม่ได้
แต่มันเกิดแน่ๆ ไม่ได้เกิดแบบ random
แต่เกิดตามเหตุปัจจัย
เหมือนแรงโน้มถ่วงเกิดตลอดเวลา
ไม่ได้เกิดมั่งไม่เกิดมั่ง
เราบังคับมันไม่ได้ ไม่ได้ตามใจเรา
โดดตึกเมื่อไร
ก็ร่วงลงพื้นแน่ๆ
มีกรรม ย่อมมีวิบากเสมอ
อนัตตาแปลว่า "เรา"บังคับไม่ได้
ไม่ได้แปลว่าผลของกรรมอาจจะเกิดหรือไม่เกิดก็ได้
การที่คนถามแบบนี้เป็นการคิดแบบจับแพะชนแกะ
ไม่ได้เป็นตามหลักเหตุผลครับ
ทำไมไม่เป็นอย่างใจเรา
ก็เพราะมันมีเหตุมีผลของมันเอง
มีเหตุก็เกิด หมดเหตุมันก็ดับ
กรรมก็เหมือนกัน
มันมีเหตุของมันคือการกระทำได้เกิดขึ้นแล้ว
รอว่าผลจะเกิดเมื่อไร อย่างไร เท่านั้น
เราไปแทรกแซงไม่ได้ บังคับไม่ได้
แต่มันเกิดแน่ๆ ไม่ได้เกิดแบบ random
แต่เกิดตามเหตุปัจจัย
เหมือนแรงโน้มถ่วงเกิดตลอดเวลา
ไม่ได้เกิดมั่งไม่เกิดมั่ง
เราบังคับมันไม่ได้ ไม่ได้ตามใจเรา
โดดตึกเมื่อไร
ก็ร่วงลงพื้นแน่ๆ
มีกรรม ย่อมมีวิบากเสมอ
อนัตตาแปลว่า "เรา"บังคับไม่ได้
ไม่ได้แปลว่าผลของกรรมอาจจะเกิดหรือไม่เกิดก็ได้
การที่คนถามแบบนี้เป็นการคิดแบบจับแพะชนแกะ
ไม่ได้เป็นตามหลักเหตุผลครับ
- Eyore
- Verified User
- โพสต์: 606
- ผู้ติดตาม: 0
ธรรมะ ธรรมชาติ
โพสต์ที่ 206
พูดถึงเรื่องจับแพะชนแกะ
ผมอ่านเรื่องของทันตแพทย์ชื่อดังที่พี่พูดถึงแล้ว
(อ่านบางส่วน มีคนเอามาโพสต์)
ผมว่าจับแพะชนแกะนะ
เอามาเป็นสาระอ้างอิงไม่ได้
เพียงแต่ว่าท่านเขียนด้วยเจตนาดี
ต้องการให้คนสมัยนี้สนใจธรรมะ
ก็ดีระดับหนึ่ง
แต่ถ้ายึดตามนั้น
ผมว่ามั่วเกิน มีเรื่องให้ค้านได้เยอะมาก
พวกที่มีความคิดเป็นวิทยาศาสตร์จริงๆ
(หมายถึงเรียนจบฟิสิกส์มา อะไรแบบนี้)
อ่านแล้วไม่ชอบ พาลเกลียดศาสนาไปเลยก็เยอะ
ก็ดาบสองคมนะ
เสียดายแทนคนที่ไม่ชอบศาสนาพุทธเพราะอ่านหนังสือของท่านนี้เขียน
ผมอ่านเรื่องของทันตแพทย์ชื่อดังที่พี่พูดถึงแล้ว
(อ่านบางส่วน มีคนเอามาโพสต์)
ผมว่าจับแพะชนแกะนะ
เอามาเป็นสาระอ้างอิงไม่ได้
เพียงแต่ว่าท่านเขียนด้วยเจตนาดี
ต้องการให้คนสมัยนี้สนใจธรรมะ
ก็ดีระดับหนึ่ง
แต่ถ้ายึดตามนั้น
ผมว่ามั่วเกิน มีเรื่องให้ค้านได้เยอะมาก
พวกที่มีความคิดเป็นวิทยาศาสตร์จริงๆ
(หมายถึงเรียนจบฟิสิกส์มา อะไรแบบนี้)
อ่านแล้วไม่ชอบ พาลเกลียดศาสนาไปเลยก็เยอะ
ก็ดาบสองคมนะ
เสียดายแทนคนที่ไม่ชอบศาสนาพุทธเพราะอ่านหนังสือของท่านนี้เขียน
- por_jai
- Verified User
- โพสต์: 14338
- ผู้ติดตาม: 0
ธรรมะ ธรรมชาติ
โพสต์ที่ 207
ผมมาเล่าให้ฟังนะ พอมีคนตอบมาบ้าง
พระวิเศษรูปนั้นคือท่านพุทธทาส
ท่านวิสัชนาว่า
กรรมเป็นโลกียะ
อนัตตาเป็นโลกุตตระ
คนที่อยู่ในโลกียะ ก็ต้องเจอกรรมอย่างแน่นอน
สำหรับคนที่อยู่ในอีกฟากคือโลกุตตระ
ก็จะเข้ากฏอนัตตาละครับทีนี้
คือกรรมก็ทำอะไรบ่ได้แล้ว
ที่โพสนี่ไม่แน่ว่าจะจับใจความผิดหรือเปล่า
ถือเป็นความผิดพลาดของผมคนเดียวล้วนๆ
ใครอยากทราบคำตอบที่ท่านพุทธทาสตอบยาวๆ
หาหนังสือชุดถาม-ตอบ กับท่านพุทธทาส อ่านดูเองนะครับ
พระวิเศษรูปนั้นคือท่านพุทธทาส
ท่านวิสัชนาว่า
กรรมเป็นโลกียะ
อนัตตาเป็นโลกุตตระ
คนที่อยู่ในโลกียะ ก็ต้องเจอกรรมอย่างแน่นอน
สำหรับคนที่อยู่ในอีกฟากคือโลกุตตระ
ก็จะเข้ากฏอนัตตาละครับทีนี้
คือกรรมก็ทำอะไรบ่ได้แล้ว
ที่โพสนี่ไม่แน่ว่าจะจับใจความผิดหรือเปล่า
ถือเป็นความผิดพลาดของผมคนเดียวล้วนๆ
ใครอยากทราบคำตอบที่ท่านพุทธทาสตอบยาวๆ
หาหนังสือชุดถาม-ตอบ กับท่านพุทธทาส อ่านดูเองนะครับ
กรูเก่ง กิเลสเก่งกว่า
- Eyore
- Verified User
- โพสต์: 606
- ผู้ติดตาม: 0
ธรรมะ ธรรมชาติ
โพสต์ที่ 208
เป็นพระอรหันต์ก็ยังต้องรับกรรมเก่าอยู่ครับ
เช่นพระโมคคัลลานะ
ยังโดนโจรรุมตีจนมรณภาพ
หรือพระพุทธเจ้าเองท่านก็ยังเล่าบ่อยๆ ว่าเหตุที่เกิดเป็นผลของกรรมเก่าส่งผล
ท่านองคุลีมาลก็เช่นเดียวกัน
แต่หลังจากท่านเป็นพระอรหันต์แล้ว
สิ่งที่กระทำ กลายเป็นกริยาแทน
เพราะกรรมต้องมาจาก กิเลส
(กิเลส -> กรรม -> วิบาก)
จะไม่ต้องรับกรรมเก่าก็ต่อเมื่อดับขันธ์นิพพานแล้วเท่านั้นครับ
เช่นพระโมคคัลลานะ
ยังโดนโจรรุมตีจนมรณภาพ
หรือพระพุทธเจ้าเองท่านก็ยังเล่าบ่อยๆ ว่าเหตุที่เกิดเป็นผลของกรรมเก่าส่งผล
ท่านองคุลีมาลก็เช่นเดียวกัน
แต่หลังจากท่านเป็นพระอรหันต์แล้ว
สิ่งที่กระทำ กลายเป็นกริยาแทน
เพราะกรรมต้องมาจาก กิเลส
(กิเลส -> กรรม -> วิบาก)
จะไม่ต้องรับกรรมเก่าก็ต่อเมื่อดับขันธ์นิพพานแล้วเท่านั้นครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 1254
- ผู้ติดตาม: 0
ธรรมะ ธรรมชาติ
โพสต์ที่ 209
เรื่องกรรมนั้นอย่างที่คุณพี่ Eyore กล่าวไว้ครับ กรรมที่ได้กระทำไว้ไม่มีผู้ใดจะหลีกเลี่ยงเพราะเป็นกฎของธรรมชาติที่มองไม่เห็นด้วยตาเหมือนพระอาทืตย์ขึ้นยามเช้าพระจันทร์ขึ้นยามค่ำ ถ้าพิสูจณ์จนสิ้นสงสัยยอมรับด้วยใจถึงจะมองเห็น ตัวอย่างที่ดีสำหรับผมก็คือท่านองคุลีมารเมื่อบรรลุธรรมเป็นเพราะอรหันต์แล้วท่านก็ยังคงต้องรับผลกรรมที่ทำไว้ครับ
อนัตตา สำหรับผมคือ ความไม่ใช่ตัวใช่ตน ไม่มีสิ่งใดที่เป็นตัวกูของกูความยึดมั่นถือมั่นทำให้ตัวกูของกูเกิดขึ้นมา อนันตาทำให้ผู้ปฏิบัติธรรมรู้เท่าทันตัณหาอุปทาน นั่นก็คือให้ทำด้วยปัญญาให้พ้นไปจากการกระทำด้วยความอยากหรือความไม่อยาก ถ้าคิดว่าการทำร้ายผู้อื่นแล้วไม่ผิดเพราะทุกอย่างเป็นอนันตาท่านกำลังสันสนด้วยความหลงเพราะว่าการทำร้ายผู้อื่นแท้จริงท่านทำเพื่อสนองความอยากของตนเองหรือความโลภนั่นเอง :8)
อนัตตา สำหรับผมคือ ความไม่ใช่ตัวใช่ตน ไม่มีสิ่งใดที่เป็นตัวกูของกูความยึดมั่นถือมั่นทำให้ตัวกูของกูเกิดขึ้นมา อนันตาทำให้ผู้ปฏิบัติธรรมรู้เท่าทันตัณหาอุปทาน นั่นก็คือให้ทำด้วยปัญญาให้พ้นไปจากการกระทำด้วยความอยากหรือความไม่อยาก ถ้าคิดว่าการทำร้ายผู้อื่นแล้วไม่ผิดเพราะทุกอย่างเป็นอนันตาท่านกำลังสันสนด้วยความหลงเพราะว่าการทำร้ายผู้อื่นแท้จริงท่านทำเพื่อสนองความอยากของตนเองหรือความโลภนั่นเอง :8)
-
- Verified User
- โพสต์: 1254
- ผู้ติดตาม: 0
ธรรมะ ธรรมชาติ
โพสต์ที่ 210
พิมพ์ตกหล่นเป็นประจำเลยครับขอแก้ไขหน่อยครับ
อนัตตา สำหรับผมคือ ความไม่ใช่ตัวใช่ตน ไม่มีสิ่งใดที่เป็นตัวกูของกูความยึดมั่นถือมั่นทำให้ตัวกูของกูเกิดขึ้นมา อนันตาทำให้ผู้ปฏิบัติธรรมรู้เท่าทันตัณหาอุปทาน นั่นก็คือให้ทำด้วยปัญญาให้พ้นไปจากการกระทำด้วยความอยากหรือความไม่อยาก เช่น ถ้าคิดว่าการทำร้ายผู้อื่นแล้วไม่ผิดเพราะทุกอย่างเป็นอนันตาท่านกำลังสันสนด้วยความหลงเพราะว่าการทำร้ายผู้อื่นแท้จริงท่านทำเพื่อสนองความอยากของตนเองหรือความโลภนั่นเอง หรือ
ถ้าคิดว่าการทำความชั่วแล้วไม่ผิดเพราะทุกอย่างเป็นอนันตาท่านกำลังสันสนด้วยความหลงเพราะว่าการทำความชั่วแท้จริงท่านทำเพื่อสนองความอยากของตนเองหรือความโลภนั่นเอง
อนัตตา สำหรับผมคือ ความไม่ใช่ตัวใช่ตน ไม่มีสิ่งใดที่เป็นตัวกูของกูความยึดมั่นถือมั่นทำให้ตัวกูของกูเกิดขึ้นมา อนันตาทำให้ผู้ปฏิบัติธรรมรู้เท่าทันตัณหาอุปทาน นั่นก็คือให้ทำด้วยปัญญาให้พ้นไปจากการกระทำด้วยความอยากหรือความไม่อยาก เช่น ถ้าคิดว่าการทำร้ายผู้อื่นแล้วไม่ผิดเพราะทุกอย่างเป็นอนันตาท่านกำลังสันสนด้วยความหลงเพราะว่าการทำร้ายผู้อื่นแท้จริงท่านทำเพื่อสนองความอยากของตนเองหรือความโลภนั่นเอง หรือ
ถ้าคิดว่าการทำความชั่วแล้วไม่ผิดเพราะทุกอย่างเป็นอนันตาท่านกำลังสันสนด้วยความหลงเพราะว่าการทำความชั่วแท้จริงท่านทำเพื่อสนองความอยากของตนเองหรือความโลภนั่นเอง