อ่านกันหรือยัง ดร. นิเวศน์ ลงทุนอย่างมีความสุข
- suthepj
- Verified User
- โพสต์: 125
- ผู้ติดตาม: 0
อ่านกันหรือยัง ดร. นิเวศน์ ลงทุนอย่างมีความสุข
โพสต์ที่ 1
ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
ลงทุนอย่างมีความสุข
ความผันผวนของราคาหุ้นในตลาดหลักทรัพย์นั้นรุนแรงมากโดยเฉพาะในช่วงเวลาสั้น ๆ สิ่งนี้ก่อให้เกิดกำไรหรือผลตอบแทนได้อย่างรวดเร็ว เช่นเดียวกับความเสียหายมากมายให้กับคนที่เข้ามาเล่นหุ้นในตลาดแบบเก็งกำไร
ความสุขแบบเพ้อฝันและความโศกเศร้าเสียใจดูเหมือนว่าจะเป็นวัฏจักรที่ไม่จบสิ้นในตลาดหลักทรัพย์ ชีวิตของคนเล่นหุ้นจำนวนมากผูกพันอยู่กับดัชนีตลาดหลักทรัพย์ นั่นก็คือเมื่อดัชนีปรับตัวขึ้นชีวิตเขาก็มีความสุข เมื่อดัชนีปรับตัวลงชีวิตเขาก็เป็นทุกข์
ความหวาดกลัวต่อการสูญเสียทำให้นักเล่นหุ้นมีความวิตกกังวลอยู่ตลอดเวลาตราบที่ยังมีหุ้นอยู่ในมือ การแก้ปัญหาสำหรับหลายคนก็คือการถือหุ้นให้สั้นลง โดยเฉพาะในช่วงที่หุ้นผันผวนสูงนั้นคนจำนวนมากไม่ยอมถือหุ้นข้ามวันด้วยซ้ำ นั่นเป็นเหตุที่ทำให้การซื้อขายแบบหักกลบลบหนี้ภายในวันเดียวกันหรือเรียกว่า Net Settlement หรือการซื้อหุ้นตอนเช้าแล้วขายตอนบ่ายมีมากถึง 20 30% ของการซื้อขายหุ้นทั้งตลาด
คนเล่นหุ้นจำนวนมากคงเห็นว่านั่นคือความสุขของการเล่นหุ้น คือเมื่อลงเงินแล้วก็อยากเห็นผลเร็วว่าได้หรือเสีย และคำว่าได้หรือเสียก็คือต้องเห็นเม็ดเงินในบัญชีว่ามีเพิ่มขึ้นหรือลดลง แน่นอน ถ้าเม็ดเงินเพิ่มขึ้นความสุขก็ตามมา แต่ถ้าเม็ดเงินลดลง ความสุขจากการเล่นหุ้นก็กลายเป็นความทุกข์
โดยเฉลี่ยแล้วคนที่เล่นหุ้นเก็งกำไรระยะสั้นซื้อ ๆ ขาย ๆ เป็นนิจสินในช่วงเกือบ 30 ปีที่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเปิดมานั้นผมคิดว่านอกจากจะไม่ได้ผลตอบแทนจากการลงทุนแล้ว ยังขาดทุนด้วย เพราะในช่วง 28 ปีของตลาดหลักทรัพย์นั้น การลงทุนให้ผลตอบแทนโดยเฉลี่ยประมาณปีละ 6 7% เท่านั้น ในขณะที่คนเล่นหุ้นระยะสั้นต้องจ่ายค่าคอมมิชชั่นในการซื้อขายปีหนึ่ง ๆ ผมคิดว่ามากกว่านั้น เพราะฉะนั้นข้อสรุปของผมก็คือ คนเล่นหุ้นในช่วงที่ผ่านมาเกือบ 30 ปี โดยเฉลี่ยแล้วมีความทุกข์มากกว่าความสุข และนั่นทำให้คนส่วนใหญ่ไม่อยากจะลงทุนในหุ้น
วิธีการลงทุนในหุ้นที่จะมีความสุขมากกว่าความทุกข์โดยเฉพาะสำหรับคนทั่ว ๆ ไปที่มีเงินออมระยะยาวนั้น ผมมีความเห็นว่าควรจะเป็นการลงทุนในแนว Value Investment ที่เน้นการลงทุนระยะยาวในหุ้นที่มีคุณภาพดีและราคาต่ำกว่ามูลค่าที่ควรเป็น โดยสูตรง่าย ๆ ที่ผมเสนอก็คือ
ข้อแรก กันเงินประมาณ 30% ของทรัพย์สินที่มีสภาพคล่องหรือเงินในบัญชีที่คุณไม่จำเป็นที่จะต้องใช้อีกนานมาก(ไม่ต่ำกว่า 5 ปี) เอามาลงทุนในหุ้น โดยที่เงินนี้ถ้าเกิดต้องสูญเสียไปมาก คุณก็ยังไม่เดือดร้อน แต่อย่าเพิ่งห่วงไปว่าคุณจะสูญเสียมาก ผมพูดเผื่อไว้เท่านั้นเพราะโอกาสเกิดอย่างนั้นมีน้อยถ้าคุณปฏิบัติตามวิธีที่ผมจะพูดต่อไป
ข้อสอง เลือกหุ้น 5 6 ตัวในอุตสาหกรรมต่าง ๆ กันโดยหุ้นแต่ละตัวจะต้องเป็นกิจการที่มีคุณภาพดี นั่นก็คือเป็นธุรกิจที่อยู่มานานพอสมควร มีกำไรและจ่ายปันผลตลอดในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา เจ้าของไม่มีประวัติที่เสียหาย และถ้าจะให้ปลอดภัยขึ้นไปอีกก็ควรเป็นบริษัทที่เป็นผู้นำในอุตสาหกรรมของเขาก็จะยิ่งดี แต่นี่ก็ยังไม่พอจะต้องพิจารณาประกอบกับข้อสาม
ข้อสาม ราคาที่ซื้อหุ้นดังกล่าวในข้อสองจะต้องถูก และการที่จะดูว่าหุ้นถูกหรือแพงนั้นจะต้องดูที่ค่า PE, PB และ DP โดยเงื่อนไขง่าย ๆ ก็คือค่า PE ไม่ควรจะเกิน 10 เท่า ซึ่งแปลว่าการลงทุนจะให้ผลตอบแทนปีละไม่ต่ำกว่า 10% ค่า PB เป็นตัวประกอบว่าเราจ่ายเงินแพงกว่าผู้ถือหุ้นเดิมมากน้อยแค่ไหน พยายามอย่าให้เกิน 2 เท่า ค่า DP บอกว่าในแต่ละปีเราจะได้เงินปันผลคิดเป็นกี่เปอร์เซ็นต์ของเงินที่เราลงทุนไปซึ่งผมคิดว่าน่าจะไม่ต่ำกว่า 4% ในภาวะที่อัตราดอกเบี้ยเหลือเพียงปีละ 1%
ข้อสี่ เมื่อซื้อเสร็จแล้วก็ให้กอดหุ้นเหล่านั้นไว้อย่าไปขายเมื่อหุ้นขึ้นหรือลงในช่วงสั้น ๆ โดยเฉลี่ยแล้วผมคิดว่าควรถือหุ้นไว้สัก 5 ปี นั่นก็คือ ถ้าคุณมีเงินลงทุน 1 ล้านบาท ปีหนึ่งคุณควรขายออกไปโดยเฉลี่ยเพียง 200,000 บาท แต่เมื่อขายแล้วก็ต้องเอาเงินที่ได้ไปซื้อหุ้นตัวใหม่แทน โดยที่การตัดสินใจขายหุ้นและซื้อหุ้นตัวใหม่นั้นมาจากการวิเคราะห์และติดตามที่จะกล่าวถึงในข้อห้า
ข้อห้า เมื่อคุณซื้อหุ้นแล้วคุณก็คือเจ้าของบริษัทคนหนึ่ง ดังนั้นคุณจะต้องติดตามผลการดำเนินงานของกิจการในทุกไตรมาศ จะต้องติดตามข่าวคราวจากหน้าหนังสือพิมพ์แนวธุรกิจเป็นประจำ ติดตามการเคลื่อนไหวทางการตลาดของบริษัทซึ่งรวมถึงการโฆษณาประชาสัมพันธ์ต่าง ๆ และถ้าบริษัทเป็นผู้ขายสินค้าอุปโภคบริโภค คุณก็ควรจะลองใช้หรือคอยสังเกตว่าสินค้าหรือบริการของบริษัทเป็นอย่างไรด้วย
ข้อหก ในส่วนของราคาหุ้นนั้นคุณจะต้องไม่ตื่นเต้นเมื่อหุ้นตัวใดตัวหนึ่งวิ่งขึ้นหรือลงอย่างรวดเร็วในบางช่วง คุณไม่มีความจำเป็นที่จะต้องรีบขาย สิ่งที่คุณควรสนใจมากกว่าก็คือมูลค่าของราคาหุ้นทั้งพอร์ตหรือของหุ้นทั้งหมดที่ถืออยู่ว่ามันปรับตัวขึ้นลงอย่างไร ถ้ามูลค่าปรับตัวขึ้นก็ถือว่าคุณมาถูกทาง และถ้ามันปรับตัวลงหลังจากลงทุนมานานพอสมควรแล้ว(เป็นบี) บางทีคุณอาจจะต้องทบทวนตัวหุ้นที่เลือกมา
ถ้าคุณทำอย่างที่กล่าวมาทั้ง 6 ข้อ อย่างมั่นคง ผมคิดว่าโอกาสที่คุณจะได้ผลตอบแทนเฉลี่ยปีละไม่ต่ำกว่า 10% โดยที่บางส่วนประมาณ 4 5% จะมาจากเงินปันผลและอีกส่วนหนึ่งมาจากการเพิ่มขึ้นของราคาหุ้นจะมีสูง นั่นหมายความว่าภายในเวลาประมาณ 7 ปี มูลค่าของพอร์ตลงทุนของคุณจะโตขึ้นเป็นเท่าตัว โดยที่คุณจะไม่ต้องกังวลว่าดัชนีตลาดหุ้นจะเป็นอย่างไร
คุณอาจจะกังวลบ้างในช่วงแรก ๆ ที่คุณเริ่มลงทุนตามแบบที่กล่าวโดยเฉพาะถ้าคุณเฝ้าตามดัชนีหรือราคาหุ้นในพอร์ตมากเกินไป หรือคุณไปฟังนักเล่นหุ้นหรือเพื่อน ผู้หวังดี มากเกินไป แต่ถ้าคุณผ่านช่วงเวลามาพอสมควรและพอร์ตคุณเริ่มโตขึ้นเรื่อย ๆ จนโอกาสที่คุณจะ ขาดทุน คือมูลค่าของพอร์ตลดลงต่ำกว่าต้นทุน มีน้อยลงมากแล้ว เมื่อนั้นคุณก็จะเลิกกังวล และจะรู้สึกว่าการลงทุนของคุณนั้นไม่เสี่ยง ความมั่นใจในการลงทุนจะเพิ่มขึ้น และที่สำคัญคุณจะได้รับผลตอบแทนที่สูงกว่าการเล่นหุ้นระยะสั้น ทั้งหมดนี้จะทำให้คุณเป็นนักลงทุนที่มีความสุข
ลงทุนอย่างมีความสุข
ความผันผวนของราคาหุ้นในตลาดหลักทรัพย์นั้นรุนแรงมากโดยเฉพาะในช่วงเวลาสั้น ๆ สิ่งนี้ก่อให้เกิดกำไรหรือผลตอบแทนได้อย่างรวดเร็ว เช่นเดียวกับความเสียหายมากมายให้กับคนที่เข้ามาเล่นหุ้นในตลาดแบบเก็งกำไร
ความสุขแบบเพ้อฝันและความโศกเศร้าเสียใจดูเหมือนว่าจะเป็นวัฏจักรที่ไม่จบสิ้นในตลาดหลักทรัพย์ ชีวิตของคนเล่นหุ้นจำนวนมากผูกพันอยู่กับดัชนีตลาดหลักทรัพย์ นั่นก็คือเมื่อดัชนีปรับตัวขึ้นชีวิตเขาก็มีความสุข เมื่อดัชนีปรับตัวลงชีวิตเขาก็เป็นทุกข์
ความหวาดกลัวต่อการสูญเสียทำให้นักเล่นหุ้นมีความวิตกกังวลอยู่ตลอดเวลาตราบที่ยังมีหุ้นอยู่ในมือ การแก้ปัญหาสำหรับหลายคนก็คือการถือหุ้นให้สั้นลง โดยเฉพาะในช่วงที่หุ้นผันผวนสูงนั้นคนจำนวนมากไม่ยอมถือหุ้นข้ามวันด้วยซ้ำ นั่นเป็นเหตุที่ทำให้การซื้อขายแบบหักกลบลบหนี้ภายในวันเดียวกันหรือเรียกว่า Net Settlement หรือการซื้อหุ้นตอนเช้าแล้วขายตอนบ่ายมีมากถึง 20 30% ของการซื้อขายหุ้นทั้งตลาด
คนเล่นหุ้นจำนวนมากคงเห็นว่านั่นคือความสุขของการเล่นหุ้น คือเมื่อลงเงินแล้วก็อยากเห็นผลเร็วว่าได้หรือเสีย และคำว่าได้หรือเสียก็คือต้องเห็นเม็ดเงินในบัญชีว่ามีเพิ่มขึ้นหรือลดลง แน่นอน ถ้าเม็ดเงินเพิ่มขึ้นความสุขก็ตามมา แต่ถ้าเม็ดเงินลดลง ความสุขจากการเล่นหุ้นก็กลายเป็นความทุกข์
โดยเฉลี่ยแล้วคนที่เล่นหุ้นเก็งกำไรระยะสั้นซื้อ ๆ ขาย ๆ เป็นนิจสินในช่วงเกือบ 30 ปีที่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเปิดมานั้นผมคิดว่านอกจากจะไม่ได้ผลตอบแทนจากการลงทุนแล้ว ยังขาดทุนด้วย เพราะในช่วง 28 ปีของตลาดหลักทรัพย์นั้น การลงทุนให้ผลตอบแทนโดยเฉลี่ยประมาณปีละ 6 7% เท่านั้น ในขณะที่คนเล่นหุ้นระยะสั้นต้องจ่ายค่าคอมมิชชั่นในการซื้อขายปีหนึ่ง ๆ ผมคิดว่ามากกว่านั้น เพราะฉะนั้นข้อสรุปของผมก็คือ คนเล่นหุ้นในช่วงที่ผ่านมาเกือบ 30 ปี โดยเฉลี่ยแล้วมีความทุกข์มากกว่าความสุข และนั่นทำให้คนส่วนใหญ่ไม่อยากจะลงทุนในหุ้น
วิธีการลงทุนในหุ้นที่จะมีความสุขมากกว่าความทุกข์โดยเฉพาะสำหรับคนทั่ว ๆ ไปที่มีเงินออมระยะยาวนั้น ผมมีความเห็นว่าควรจะเป็นการลงทุนในแนว Value Investment ที่เน้นการลงทุนระยะยาวในหุ้นที่มีคุณภาพดีและราคาต่ำกว่ามูลค่าที่ควรเป็น โดยสูตรง่าย ๆ ที่ผมเสนอก็คือ
ข้อแรก กันเงินประมาณ 30% ของทรัพย์สินที่มีสภาพคล่องหรือเงินในบัญชีที่คุณไม่จำเป็นที่จะต้องใช้อีกนานมาก(ไม่ต่ำกว่า 5 ปี) เอามาลงทุนในหุ้น โดยที่เงินนี้ถ้าเกิดต้องสูญเสียไปมาก คุณก็ยังไม่เดือดร้อน แต่อย่าเพิ่งห่วงไปว่าคุณจะสูญเสียมาก ผมพูดเผื่อไว้เท่านั้นเพราะโอกาสเกิดอย่างนั้นมีน้อยถ้าคุณปฏิบัติตามวิธีที่ผมจะพูดต่อไป
ข้อสอง เลือกหุ้น 5 6 ตัวในอุตสาหกรรมต่าง ๆ กันโดยหุ้นแต่ละตัวจะต้องเป็นกิจการที่มีคุณภาพดี นั่นก็คือเป็นธุรกิจที่อยู่มานานพอสมควร มีกำไรและจ่ายปันผลตลอดในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา เจ้าของไม่มีประวัติที่เสียหาย และถ้าจะให้ปลอดภัยขึ้นไปอีกก็ควรเป็นบริษัทที่เป็นผู้นำในอุตสาหกรรมของเขาก็จะยิ่งดี แต่นี่ก็ยังไม่พอจะต้องพิจารณาประกอบกับข้อสาม
ข้อสาม ราคาที่ซื้อหุ้นดังกล่าวในข้อสองจะต้องถูก และการที่จะดูว่าหุ้นถูกหรือแพงนั้นจะต้องดูที่ค่า PE, PB และ DP โดยเงื่อนไขง่าย ๆ ก็คือค่า PE ไม่ควรจะเกิน 10 เท่า ซึ่งแปลว่าการลงทุนจะให้ผลตอบแทนปีละไม่ต่ำกว่า 10% ค่า PB เป็นตัวประกอบว่าเราจ่ายเงินแพงกว่าผู้ถือหุ้นเดิมมากน้อยแค่ไหน พยายามอย่าให้เกิน 2 เท่า ค่า DP บอกว่าในแต่ละปีเราจะได้เงินปันผลคิดเป็นกี่เปอร์เซ็นต์ของเงินที่เราลงทุนไปซึ่งผมคิดว่าน่าจะไม่ต่ำกว่า 4% ในภาวะที่อัตราดอกเบี้ยเหลือเพียงปีละ 1%
ข้อสี่ เมื่อซื้อเสร็จแล้วก็ให้กอดหุ้นเหล่านั้นไว้อย่าไปขายเมื่อหุ้นขึ้นหรือลงในช่วงสั้น ๆ โดยเฉลี่ยแล้วผมคิดว่าควรถือหุ้นไว้สัก 5 ปี นั่นก็คือ ถ้าคุณมีเงินลงทุน 1 ล้านบาท ปีหนึ่งคุณควรขายออกไปโดยเฉลี่ยเพียง 200,000 บาท แต่เมื่อขายแล้วก็ต้องเอาเงินที่ได้ไปซื้อหุ้นตัวใหม่แทน โดยที่การตัดสินใจขายหุ้นและซื้อหุ้นตัวใหม่นั้นมาจากการวิเคราะห์และติดตามที่จะกล่าวถึงในข้อห้า
ข้อห้า เมื่อคุณซื้อหุ้นแล้วคุณก็คือเจ้าของบริษัทคนหนึ่ง ดังนั้นคุณจะต้องติดตามผลการดำเนินงานของกิจการในทุกไตรมาศ จะต้องติดตามข่าวคราวจากหน้าหนังสือพิมพ์แนวธุรกิจเป็นประจำ ติดตามการเคลื่อนไหวทางการตลาดของบริษัทซึ่งรวมถึงการโฆษณาประชาสัมพันธ์ต่าง ๆ และถ้าบริษัทเป็นผู้ขายสินค้าอุปโภคบริโภค คุณก็ควรจะลองใช้หรือคอยสังเกตว่าสินค้าหรือบริการของบริษัทเป็นอย่างไรด้วย
ข้อหก ในส่วนของราคาหุ้นนั้นคุณจะต้องไม่ตื่นเต้นเมื่อหุ้นตัวใดตัวหนึ่งวิ่งขึ้นหรือลงอย่างรวดเร็วในบางช่วง คุณไม่มีความจำเป็นที่จะต้องรีบขาย สิ่งที่คุณควรสนใจมากกว่าก็คือมูลค่าของราคาหุ้นทั้งพอร์ตหรือของหุ้นทั้งหมดที่ถืออยู่ว่ามันปรับตัวขึ้นลงอย่างไร ถ้ามูลค่าปรับตัวขึ้นก็ถือว่าคุณมาถูกทาง และถ้ามันปรับตัวลงหลังจากลงทุนมานานพอสมควรแล้ว(เป็นบี) บางทีคุณอาจจะต้องทบทวนตัวหุ้นที่เลือกมา
ถ้าคุณทำอย่างที่กล่าวมาทั้ง 6 ข้อ อย่างมั่นคง ผมคิดว่าโอกาสที่คุณจะได้ผลตอบแทนเฉลี่ยปีละไม่ต่ำกว่า 10% โดยที่บางส่วนประมาณ 4 5% จะมาจากเงินปันผลและอีกส่วนหนึ่งมาจากการเพิ่มขึ้นของราคาหุ้นจะมีสูง นั่นหมายความว่าภายในเวลาประมาณ 7 ปี มูลค่าของพอร์ตลงทุนของคุณจะโตขึ้นเป็นเท่าตัว โดยที่คุณจะไม่ต้องกังวลว่าดัชนีตลาดหุ้นจะเป็นอย่างไร
คุณอาจจะกังวลบ้างในช่วงแรก ๆ ที่คุณเริ่มลงทุนตามแบบที่กล่าวโดยเฉพาะถ้าคุณเฝ้าตามดัชนีหรือราคาหุ้นในพอร์ตมากเกินไป หรือคุณไปฟังนักเล่นหุ้นหรือเพื่อน ผู้หวังดี มากเกินไป แต่ถ้าคุณผ่านช่วงเวลามาพอสมควรและพอร์ตคุณเริ่มโตขึ้นเรื่อย ๆ จนโอกาสที่คุณจะ ขาดทุน คือมูลค่าของพอร์ตลดลงต่ำกว่าต้นทุน มีน้อยลงมากแล้ว เมื่อนั้นคุณก็จะเลิกกังวล และจะรู้สึกว่าการลงทุนของคุณนั้นไม่เสี่ยง ความมั่นใจในการลงทุนจะเพิ่มขึ้น และที่สำคัญคุณจะได้รับผลตอบแทนที่สูงกว่าการเล่นหุ้นระยะสั้น ทั้งหมดนี้จะทำให้คุณเป็นนักลงทุนที่มีความสุข
- ปรัชญา1
- Verified User
- โพสต์: 1092
- ผู้ติดตาม: 0
อ่านกันหรือยัง ดร. นิเวศน์ ลงทุนอย่างมีความสุข
โพสต์ที่ 3
suthepj เขียน:ปัญหาผมมี 2 ข้อ
1. อ.นิเวศน์มีหุ้นตัวไหนบ้างอยากศึกษาดู
2. หุ้นที่อ.นิเวศน์ แนะนำมันขึ้นไป 20-30% แถมซื้อยากอีกต่างหาก
จริงครับเรื่องหุ้นนั้นขึ้นไปแล้ว20-30%
ถ้าเราต้องการซื้อต้องจ่ายส่วนเกินครับ
- ครรชิต ไพศาล
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 4623
- ผู้ติดตาม: 1
อ่านกันหรือยัง ดร. นิเวศน์ ลงทุนอย่างมีความสุข
โพสต์ที่ 6
อย่างที่ ดร. พูดถูกต้องเลยครับ
เหมือนกับการ ยิงจรวดเพื่อส่งยานอวกาศขึ้นไปสู่โคจร
ช่วงที่นักวิทยาศาสตร์ กังวลที่สุด ก็ตอนที่จุดชนวนจรวด เพื่อเร่งความเร็วหนีแรงโน้มถ่วงของโลกขึ้นไป
เมื่อยานอวกาศ เข้าสู่วงโคจรแล้ว นักวิทยาศาสตร์ ถึงจะ ชัยโย ด้วยความโล้งใจ
แล้ว นักวิทยาศาสตร์ ก็ต้อง กังวลอีกครั้ง เมื่อยานอวกาศจะลงมาสู่โลก เข้ามาต่อสู้กับแรงโน้มถ่วงของโลกอีกครั้งหนึ่ง
เหมือนกับการ ยิงจรวดเพื่อส่งยานอวกาศขึ้นไปสู่โคจร
ช่วงที่นักวิทยาศาสตร์ กังวลที่สุด ก็ตอนที่จุดชนวนจรวด เพื่อเร่งความเร็วหนีแรงโน้มถ่วงของโลกขึ้นไป
เมื่อยานอวกาศ เข้าสู่วงโคจรแล้ว นักวิทยาศาสตร์ ถึงจะ ชัยโย ด้วยความโล้งใจ
แล้ว นักวิทยาศาสตร์ ก็ต้อง กังวลอีกครั้ง เมื่อยานอวกาศจะลงมาสู่โลก เข้ามาต่อสู้กับแรงโน้มถ่วงของโลกอีกครั้งหนึ่ง
- yoyo
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 4833
- ผู้ติดตาม: 0
อ่านกันหรือยัง ดร. นิเวศน์ ลงทุนอย่างมีความสุข
โพสต์ที่ 7
คุณ DIYB ลองไปที่หน้า home ของเวปดูสิครับ
จะมีบทความเกี่ยวกับเรื่องแบรนอยู่
เวปนี้ไม่ได้มีดีที่บอร์ดนะครับ
วันนี้เปิดหนังสือพิมพ์ผ่านๆ เห็นกระทิงแดงออกมาตอบโต้เรื่องโฆษณาที่รัฐห้าม ไม่รู้จะเข้าแก๊ปเดียวกับเรื่อง coke รึเปล่า
ส่วนบาวแดงตอนนี้ก็หลบทัพเตรียมไปลุยจีนเรียบร้อยแล้ว
ไม่รู้ว่าคุณวศินจะได้ไปลุยกะเค้าด้วยรึเปล่า
แอบฝันเล็กๆ
จะมีบทความเกี่ยวกับเรื่องแบรนอยู่
เวปนี้ไม่ได้มีดีที่บอร์ดนะครับ
วันนี้เปิดหนังสือพิมพ์ผ่านๆ เห็นกระทิงแดงออกมาตอบโต้เรื่องโฆษณาที่รัฐห้าม ไม่รู้จะเข้าแก๊ปเดียวกับเรื่อง coke รึเปล่า
ส่วนบาวแดงตอนนี้ก็หลบทัพเตรียมไปลุยจีนเรียบร้อยแล้ว
ไม่รู้ว่าคุณวศินจะได้ไปลุยกะเค้าด้วยรึเปล่า
แอบฝันเล็กๆ
-
- Verified User
- โพสต์: 2509
- ผู้ติดตาม: 0
อ่านกันหรือยัง ดร. นิเวศน์ ลงทุนอย่างมีความสุข
โพสต์ที่ 8
แค่อ่านบทความจบ ก็มีความสุขมาหน่อยนึงแล้ว 8)
-
- Verified User
- โพสต์: 304
- ผู้ติดตาม: 0
อ่านกันหรือยัง ดร. นิเวศน์ ลงทุนอย่างมีความสุข
โพสต์ที่ 9
ผมเห็นด้วยกับคุณfinancial engineering ครับว่าได้อ่านจบก็มีความสุขขึ้นมาระดับนึงแล้ว และถ้าเพื่อนๆลองลงทุนดูแนวviซักระยะจะพบความจริงอย่างที่อจ.นิเวศน์บอกไว้คือใหม่ๆอาจจะรู้สึกอึดอัด หาวเรอ แต่พอเวลาผ่านไปหุ้นในพอร์ตเริ่มวิ่งไปเรื่อยๆอย่างมั่นคง(ไม่แกว่งขึ้นๆลงๆ หรือเผลอๆวิ่งสวนตลาดเมื่อคนอื่นเค้าตกกัน) จนพอร์ตโตพอสมควรไม่น่าขาดทุนง่ายๆแล้วก็จะรู้สึกปล่อยวาง วางเฉยได้ ไม่ต้องเข้าไปดูทุกวันก็ได้ ตอนนี้แหละครับที่การลงทุนจะเริ่มมีความสุขอย่างแท้จริง
แต่ต้องเน้นว่าต้องลงทุนแบบviพันธ์แท้ครับ ไม่ใช้vs และอย่างที่เคยบอกแล้วว่าvi มีหลายแบบ ถ้าครบเครื่องแบบpeter lynch หุ้นโตเร็วๆแบบp.fisher ..... คุณต้องคอยติดตามว่าบริษัทที่คุณลงทุนมีผลการดำเนินงาน เป็นอย่างไรอย่างใกล้ชิดเพราะเผลอแพล๊บเดียว อาจมีการเปลี่ยนแปลงทำให้บริษัทที่คุณลงทุนแข่งขันกับเค้าไม่ได้ แต่ถ้าลงทุนแบบwarren buffett หรือniwettology ( คือมีแบรนด์ แข็งแกร่ง เป็นผู้นำกลุ่ม ไม่ค่อยได้เปลี่ยนแปลงผลิตภัณฑ์เลย(ลูกค้าติดใจในผลิตภัฑ์ดั้งเดิม) หรือมีeconomic franchise มีกำไรดีสม่ำเสมอระยะเวลายาวนานหลายๆๆๆปี ผู้บริหารซื่อสัตย์ มีความสามารถ หรือสรุปตามbuffettologyคือมีdurable compettitive advantage คุณสามารถถือยาวๆๆๆๆๆไปเรื่อยๆ) คือซื้อแล้วเก็บถือไปเรื่อยๆไม่คิดขาย ตกซื้อเพิ่ม แบบนี้แหละครับที่คุณจะพบว่าการลงทุนคือความสุขที่แท้จริง
แต่ต้องเน้นว่าต้องลงทุนแบบviพันธ์แท้ครับ ไม่ใช้vs และอย่างที่เคยบอกแล้วว่าvi มีหลายแบบ ถ้าครบเครื่องแบบpeter lynch หุ้นโตเร็วๆแบบp.fisher ..... คุณต้องคอยติดตามว่าบริษัทที่คุณลงทุนมีผลการดำเนินงาน เป็นอย่างไรอย่างใกล้ชิดเพราะเผลอแพล๊บเดียว อาจมีการเปลี่ยนแปลงทำให้บริษัทที่คุณลงทุนแข่งขันกับเค้าไม่ได้ แต่ถ้าลงทุนแบบwarren buffett หรือniwettology ( คือมีแบรนด์ แข็งแกร่ง เป็นผู้นำกลุ่ม ไม่ค่อยได้เปลี่ยนแปลงผลิตภัณฑ์เลย(ลูกค้าติดใจในผลิตภัฑ์ดั้งเดิม) หรือมีeconomic franchise มีกำไรดีสม่ำเสมอระยะเวลายาวนานหลายๆๆๆปี ผู้บริหารซื่อสัตย์ มีความสามารถ หรือสรุปตามbuffettologyคือมีdurable compettitive advantage คุณสามารถถือยาวๆๆๆๆๆไปเรื่อยๆ) คือซื้อแล้วเก็บถือไปเรื่อยๆไม่คิดขาย ตกซื้อเพิ่ม แบบนี้แหละครับที่คุณจะพบว่าการลงทุนคือความสุขที่แท้จริง
-
- ผู้ติดตาม: 0
อ่านกันหรือยัง ดร. นิเวศน์ ลงทุนอย่างมีความสุข
โพสต์ที่ 13
คิดคล้ายๆพี่ปรัชญาครับพี่ปรัชญา เขียน:จริงครับเรื่องหุ้นนั้นขึ้นไปแล้ว20-30%
ถ้าเราต้องการซื้อต้องจ่ายส่วนเกินครับ
คนแรกที่เห็น ทุน = 0
คนชุดสองที่รับข่าว ทุน +10-20%
คนชุดสามที่รับข่าว ทุน +20-40% อากาศเริ่มเย็น!
คนชุดสี่ที่รับข่าว ทุน +>40% ..... ติดดอย?
เป็นเหตุผลว่าเราต้องพยายามเป็นคนแรก
ถ้าเราไม่ได้เป็นคนแรก ต้องรู้ว่าเมื่อไหร่ควรจะหยุดตาม
อย่างนี้ เรียกว่านอนทับสมบัติ ป่วยก็ไม่กังวล แต่หายไวๆดีกว่านะครับ นั่งเฝ้าสมบัติสนุกกว่าเฺฮีย Mon เขียน:ผมน่ะไม่ได้ดูหุ้นของตัวเองมาหลายวันแล้ว
- moo
- Verified User
- โพสต์: 1150
- ผู้ติดตาม: 0
อ่านกันหรือยัง ดร. นิเวศน์ ลงทุนอย่างมีความสุข
โพสต์ที่ 14
จริงอย่างที่พี่ปรัชญาว่าครับ เราต้องจ่ายเพิ่มส่วนเกิน แต่ผมคิดว่าเมื่อเป็นหุ้นที่ดี ถึงแม้ว่าเราจ่ายส่วนเกิน ก็ไม่น่าจะเสียหายนะครับ เพราะว่ากิจการที่ดี ความเติบโตก็เพิ่มขึ้นตลอดเวลา ของผมเองคิดว่าต้นทุนเราแพงกว่า แต่เราต้องถือยาวๆๆๆๆ ระยะเวลาถือที่เพิ่มขึ้นก็สอดรับกับอัตราเติบโตของกิจการ ในระยะยาวแล้วผลตอบแทนก็น่าจะคุ้มค่าครับ ถ้าบังเอิญมีเหตุการไม่คาดฝัน เราก็สามารถซื้อเพิ่มได้อีก ที่สำคัญเราต้องเริ่มต้นก่อน พี่ๆทุกท่านคิดว่าอย่างไรบ้างครับ
โปรดชี้แนะด้วยครับ ขอบพระคุณครับ
โปรดชี้แนะด้วยครับ ขอบพระคุณครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 777
- ผู้ติดตาม: 0
อ่านกันหรือยัง ดร. นิเวศน์ ลงทุนอย่างมีความสุข
โพสต์ที่ 15
แต่ละช่วงเวลา เม็ดเงินในกระเป๋าของเรานี่มันมีค่าไม่เท่ากันนะครับ.....เงินนิดหน่อย เก็บของสมัยก่อน
ได้นิดเดียว แต่มาตอนนี้เงินเท่าๆกันเก็บของในตลาดได้มากขึ้น แต่คงจะลำบากสักหน่อยที่
จะวิเคราะห์มูลค่าหุ้น ที่เก็บไว้ในระยะยาว ว่ามันจะลดหรือเพิ่มขึ้นสักแค่ไหน....
ปกตินิยมเก็บใบหุ้นไว้เป็นที่ระลึกซะด้วย
หุ้นที่เก็บไว้ ถ้าต่อไปเดี๋ยวเพิ่มทุน ลดทุนดูแล้ววุ่นวายพิกล...
ได้นิดเดียว แต่มาตอนนี้เงินเท่าๆกันเก็บของในตลาดได้มากขึ้น แต่คงจะลำบากสักหน่อยที่
จะวิเคราะห์มูลค่าหุ้น ที่เก็บไว้ในระยะยาว ว่ามันจะลดหรือเพิ่มขึ้นสักแค่ไหน....
ปกตินิยมเก็บใบหุ้นไว้เป็นที่ระลึกซะด้วย
หุ้นที่เก็บไว้ ถ้าต่อไปเดี๋ยวเพิ่มทุน ลดทุนดูแล้ววุ่นวายพิกล...