รุ้งกินน้ำ

เชิญมาพักผ่อน คลายร้อนนั่งเล่น คุยกันเย็นๆ พร้อมเรื่องกีฬา สัพเพเหระ ทัศนะนานา ชีวิตชีวา สุขภาพทั่วไป บันเทิงขำขัน รอบเรื่องเมืองไทย ชวนเที่ยวที่ไหน อยากไปก็นัดมา ...โย่วๆ
ภาพประจำตัวสมาชิก
Ryuga
Verified User
โพสต์: 1771
ผู้ติดตาม: 0

รุ้งกินน้ำ

โพสต์ที่ 571

โพสต์

ขอยืนยันว่าคนอเมริกาไม่ได้ใส่ใจในเรื่องราวเหล่านี้มากนัก อย่างที่ยกตัวอย่างมาว่าบริษัทกู้หนี้ยืมสินมาซื้อหุ้นคืนจำนวนมากๆ นั้นเป็นเรื่องปกติ แม้จะกู้มาซื้อคืนจนส่วนของผู้ถือหุ้นติดลบก็ยังถือเป็นเรื่องปกติ สิ่งที่ค้ำจุนพวกเขาเอาไว้ได้คือกระแสเงินสดรับสุทธิที่มาจากธุรกิจที่ยังดำเนินไปได้อย่างราบรื่นและอัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับต่ำ

อเมริกานั้นไม่ได้มีวินัยในการเก็บสะสมสินทรัพย์สุทธิ ผมคาดว่ามันน่าจะมีการลงค่าความนิยมทับซ้อนเอาไว้เป็นจำนวนมาก หลายบริษัทที่ดูผมกลับไม่เห็นเขาตัดจำหน่ายค่าความนิยมอย่างที่ควรจะเป็นเลย อาจเป็นเพราะมาตรฐานทางบัญชี SFAS อะไรต่างๆ ของเขานั้นซึ่งผมก็ไม่รู้รายละเอียดยังไงก็ไม่ใช่นักบัญชีอยู่แล้วรู้ไปก็คงไม่ได้อะไรมากนัก (ใครรู้เอามาเล่าสู่กันฟังบ้างนะครับ) หลายบริษัทไปซื้อหุ้นบริษัทอื่นเข้ามาไว้ในเครือซึ่งแพงกว่าบุ๊ค ซึ่งบริษัทที่ซื้อมานั้นก็เคยไปซื้อบริษัทอื่นที่ราคาแพงกว่าบุ๊ค ก็เลยเป็นบุ๊คกลวงๆ ต่อกันหลายทอด เมื่อรวมกับวัฒนธรรมที่ไม่นิยมการสะสมสินทรัพย์สุทธิ เงินส่วนใหญ่จ่ายไปซื้อหุ้นคืนหมด พอเกิดวิกฤติขึ้นมา มูลค่าทางบัญชีซึ่งไปรวมเอาจากราคาตลาดกิจการที่ตัวเองซื้อมาลดฮวบก็เลยต้องมาตัดขาดทุนกันในที่สุดแบบพรวดเดียวทั้งๆ ที่ปกติกลับไม่ยอมตัดเลย

ผมเห็น Gannett ราคาหุ้นปีที่แล้ว 50-60 เหรียญ ปีนี้มาเห็นอีกทีเหลือ 6 เหรียญ ก็สงสัยว่ามันเกิดอะไรขึ้น เห็นว่าบริษัทเจอสรรพพราหมณ์เล่นงานราคาหุ้นบริษัทลูกร่วงก็เลยมาตัดค่าความนิยมกันดื้อๆ ในไตรมาสเดียวไป 2 พันกว่าล้าน ทั้งที่แต่ก่อนไม่ยอมทยอยตัด

คิดว่าบริษัทที่เป็นเจ้าของหนังสือพิมพ์จำนวนมากกระจายทั่วอเมริกาอย่าง Gannett ไม่น่าจะมีวันนี้ได้ แม้จะตัดขาดทุนไป 2 พันกว่าล้าน เขาก็ยังมีมูลค่าทางบัญชีเหลืออยู่อีก 6 พันกว่าล้าน กำไรปกติก่อนหน้านี้ของ Gannett เยอะกว่าของ Washington Post อยู่ประมาณ 3-4 เท่า แต่วันนี้เขากลับถูกซื้อขายในราคาแค่ 0.2-0.3 เท่าของบุ๊ค มูลค่าตลาดต่ำกว่า Washington Post ครึ่งหนึ่ง รายได้หลักของ Gannett ยังคงอยู่ที่สื่อสิ่งพิมพ์ สื่อดิจิตอลยังเตาะแตะต้วมเตี้ยมอยู่ ท่ามกลางปัญหาเศรษฐกิจรายได้โฆษณาหดหาย (อาจเพราะโดน Google ดูด) กำไรปกติก็ลงมาเยอะนะครับซึ่งก็น่าจะดำเนินต่อไปอีกพอสมควร มันอาจจะมีลับ ลวง พราง อะไรอยู่อีกผมก็ไม่รู้เหมือนกันเพราะไม่ใช่คนติดตามข่าวสาร แต่ถ้ามันไม่มีอะไรในกอไผ่ เมื่ออะไรๆ ฟื้นแล้ว Gannett อาจได้เป็นหุ้น 10 เด้ง
ภาพประจำตัวสมาชิก
Ryuga
Verified User
โพสต์: 1771
ผู้ติดตาม: 0

รุ้งกินน้ำ

โพสต์ที่ 572

โพสต์

ยังไม่ยอมจบอีก  :mrgreen:  เพราะมันสะใจเรื่องตัดค่าความนิยมนี่แหละ ถ้าพูดถึงในอดีตที่ผมชอบมากคงเป็นกรณีที่ Time Warner ซื้อ AOL เพราะเขาไปเจรจาต้าอ้วยตกลงกันสมัย bubble.com ถือเป็น deal โอภาสวงการ เอ๊ย สะท้านวงการมากซึ่งได้รับการวิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็นการซื้อกิจการในราคาโง่ๆ และมันก็ไม่ได้ใช้เวลานานเลยที่จะพิสูจน์ว่าคนวิจารณ์เขาพูดถูกต้อง

ก่อนหน้านั้นก็รวมกับ Liberty Media มาแล้ว หลังจาก dot com แตก แล้วคอมโบต่อด้วย 9/11 และสงครามอิรัก Time Warner ต้องกลั้นใจตัดค่าความนิยมและอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องจากการซื้อกิจการราคาโง่ๆ พรวดเดียวร่วม 100 พันล้านเหรียญ สุทธิแล้วในปี 45 เลยขาดทุนไป 98.7 พันล้านเหรียญ ราคาหุ้นจากที่เคยเบ่งบานแถว 82 เหรียญ ร่วงมาเหลือ 8 เหรียญ การตัดขาดทุนค่าความนิยมของบริษัทเอกชนแห่งเดียวของอเมริกาสามารถทำให้ทุนสำรองระหว่างประเทศของไทยที่เก็บมายาวนาน ณ ขณะนี้หายไปได้ทั้งก้อนเลยทีเดียว  :8)
ภาพประจำตัวสมาชิก
Ryuga
Verified User
โพสต์: 1771
ผู้ติดตาม: 0

รุ้งกินน้ำ

โพสต์ที่ 573

โพสต์

หลังๆ มานี้ ชอบแซวพี่พอใจมากกว่าแซวคนอื่น แซวมากๆ ไม่รู้พี่พอใจจะงอนผมรึเปล่า  :oops:  พี่พอใจชวนไปเจ๊าะแจ๊ะออกรายการก็เอามาแซวอีก ตอนนี้เลยเอาของมาฝากให้พี่พอใจอ่านเล่นๆ วันหยุด ช่วยดันกระทู้พี่พอใจด้วย คนไม่เข้ามาก็ไม่ได้อ่านนะ  :8)

พี่หมอเคก็เหมือนกัน แซวมากๆ เดี๋ยวงอนผมแย่เลย  :oops:  เรื่องนี้เอามาฝากพี่หมอเคโดยเฉพาะเลยนะเนี่ย  :8)

ตอนนั้นเคยหลุดปากออกไปแล้วว่า หุ้นจะน่าซื้อที่สุดก็คือตอนที่อัตราเงินเฟ้อกำลังลด เคยยกตัวอย่างประกอบไปแล้วด้วย เอามาพูดเพิ่มอีกก็ไม่เป็นไร (ไม่เสียดุลยอดวิชา)

ถ้านับจากอดีต อัตราผลตอบแทนของดัชนีตลาดหลักทรัพย์ในรอบปีที่สูงพรวดพราดเคยเกิดขึ้นมาแล้ว 6 ครั้ง ในครั้งแรกน่าเสียดายที่เราไม่มีสถิติเงินเฟ้อที่เชื่อถือได้มาเทียบเคียง แต่ใน 5 ครั้งที่เหลือมันมีการลดลงของอัตราเงินเฟ้อนำหน้าทั้งสิ้น

สาเหตุว่าทำไมการที่เงินเฟ้อลดหุ้นจึงน่าซื้อนั้นได้กล่าวไปแล้ว เอามาซ้ำก็เซ็งเปล่าๆ ถ้าเราประมาณการจากทฤษฎี อาจเป็นได้ว่าเราจะเห็นการเด้งของดัชนีประมาณปลาย Q1 ต้น Q2 ของปีหน้า แต่จะไม่ยั่งยืน จากนั้นมันก็จะแกว่งลงจุดวกกลับใหญ่อาจอยู่ราวปลายปีประมาณพฤศจิกาธันวา ดัชนีจะดีดกลับอย่างแรงและอาจให้ผลตอบแทนจากนั้นเป็นร้อยเปอร์เซ็นต์ขึ้นไป

ขอย้ำว่าประมาณการจากทฤษฎีเงินเฟ้อแต่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น หากใครเคยอ่าน money game ของคุณ วิศิษฐ์ องค์พิพัฒนกุล คงจะทราบว่าอย่างน้อยเรายังมีข้อมูลเชิงมหภาคอีกจำนวนมากที่สามารถนำมาใช้ในการบ่งชี้จุดน่าซื้อหรือจุดวกกลับของดัชนีตลาดได้ เพื่อให้ได้ค่าที่แม่นยำก็อาจต้องอาศัยหลายๆ ยอดวิชาประกอบกัน ผลที่กล่าวไปก็ถือว่าตรงกับแนวคิดของอาจารย์นิเวศน์ที่ว่าหุ้นจะบวกแรงในปี 53 ซึ่งนับว่าตรงกันโดยมิได้นัดหมาย

พี่พอใจรู้เรื่องดีๆ ตั้งเยอะแต่ไม่เห็นถ่ายทอดยอดวิชาให้น้องๆ บ้างเลย มีแต่เอาลึงค์ เอ๊ย เอาลิ้งค์คนอื่นมาแปะ เอากระทู้เอารูคนอื่นมาแปะ น้องๆ เลยเรียกอาแปะ อาแปะ เดี๋ยวรอฟังพี่หมอเคถ่ายทอดยอดวิชาโรแมนติคดีกว่า  :8)  :8)  :8)
ภาพประจำตัวสมาชิก
Ryuga
Verified User
โพสต์: 1771
ผู้ติดตาม: 0

รุ้งกินน้ำ

โพสต์ที่ 574

โพสต์

Ryuga เขียน:อันนี้ปกปิดชื่อไว้เพราะอยากเอามาถามเล่นๆ ถ้าพี่พอใจตอบถูกว่าเป็นหุ้นอะไรใน 24 ชั่วโมงนับจากลงโพสนี้ เดี๋ยวผมไปออกรายการอาจารย์ไพบูลย์ให้เลย  :wink:
อุ๊ย  ไม่เอาดีกว่า  :oops:  เกิดพี่พอใจมีอาถรรพ์ตอบถูกขึ้นมาหรือมีอาจารย์แพรนดี้ พี่เด็กใหม่ไฟแรง ฯลฯ มาแทคทีมช่วยต้องแย่แน่ เอาเปลี่ยนเป็นไปเจียร์บิบ-จิบเบียร์แทนละกันครับ  :oops:  :oops:
ภาพประจำตัวสมาชิก
Ryuga
Verified User
โพสต์: 1771
ผู้ติดตาม: 0

รุ้งกินน้ำ

โพสต์ที่ 575

โพสต์

อาจเคยมีคนตั้งสมมติฐานว่าอเมริกาต้องประสบภาวะยุ่งยากอย่างที่เป็นอยู่ในปัจจุบันนั้นมีสาเหตุจากหนังสือพ่อรวยของคุณคิโยซากิ จากที่ยกเรื่องมาเล่าผมเรียนว่าอเมริกาเป็นแบบนี้มาตั้งนานแล้ว ตัวหนังสือพ่อรวยนั้นผมมีความเห็นว่ามันเป็นหนึ่งของผลผลิตทางวัฒนธรรมอเมริกามากกว่าปัจจัยของวิกฤติ มันก็คงจะมีส่วนอยู่บ้างล่ะแต่รากฐานทางความคิดของเขาไม่ได้เน้นไปที่การออมอยู่แล้ว ผู้มีนิสัยการออมของโลกมันก็มากองๆ กันอยู่แถวเอเชียนี่แหละเราเรียกว่ารวยแต่ไม่ค่อยยอมใช้ บางทีก็บอกว่ามี ผบทบ. มาคุมเลยจะไม่ค่อยได้ใช้แล้ว (แอบแซวพี่หวี  :mrgreen: )

ประเทศไทยเราออม 14-17% ของ GDP นี่ก็ใช่ย่อยนะครับอย่าคิดว่าบ้านเราออมต่ำ สมัยก่อนนั้นบ้านเราถือว่ามีวินัยทางการคลังดีซึ่งเป็นผลสืบเนื่องมาจากรัฐบาลป๋าเปรม ภายหลังเศรษฐกิจเฟื่องฟูจนทำให้รัฐบาลมีรายรับเข้ามามากกว่ารายจ่ายตลอด ช่วงนั้นถือเป็นเวลาแห่งงบประมาณเกินดุล

และแล้วฟองสบู่ก็แตก การฟุบลงของเศรษฐกิจทำให้รัฐรายได้ลดลง นับแต่นั้นก็เป็นช่วงเวลางบประมาณขาดดุลยาวนานมาถึง 6 ปี การขาดดุลงบประมาณยาวๆ มันทำให้หนี้รัฐบาลสูงขึ้นเรื่อยๆ ระหว่างกลางของช่วงเวลานี้ประเทศไทยก็เข้าสู่ยุครัฐบาลเฮียเหลี่ยม ผู้พยายามบริหารประเทศในมุมมองบริษัทจำกัด

เศรษฐกิจส่อสัญญาณฟื้นมาแต่แรก รายได้รัฐที่สามารถเก็บได้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทำให้เราหมดยุคงบประมาณขาดดุลได้ในที่สุดเมื่อต้นปี 46 ตั้งแต่นั้นมาเราก็เข้าสู่ยุคงบประมาณสมดุล ถ้าเราประมาณการเรื่องนี้ล่วงหน้าจะเห็นว่าเรามีเวลาซื้อหุ้นทันถมถืดไปเพราะมีนา 46 นั้น SET อยู่แถว 360 เท่านั้น

อย่างที่ทราบกันว่าสมัยเฮียเหลี่ยมวินัยทางการคลังบ้านเราจะอยู่ในระดับต่ำ หลายเรื่องก็เป็นการก่อหนี้นอกงบประมาณคือไม่มีรายจ่ายให้เห็น เมื่อหนี้รัฐบาลสูงขึ้นมันต้องมีสินทรัพย์สูงขึ้นในอีกด้านหนึ่งเช่นกัน แต่สินทรัพย์รัฐบาลหรือสินทรัพย์ของทางราชการนั้นมันมากมายล้นหลามทั่วประเทศ เขาอาจจะทำงบดุลรัฐวิสาหกิจแต่งบดุลรัฐบาลเขาไม่ได้เผยแพร่ หนี้ภาครัฐที่เห็นบางทีก็ประมาณยากเมือนกันว่าสินทรัพย์อีกด้านหนึ่งนั้นมันด้อยค่าไปหมดแล้วหรือยัง

หนี้ที่สูงขึ้นเรื่อยๆ ก็ได้มาเป็นข้อครหาของนักวิชาการ จำได้ว่ามีพักหนึ่งที่เป็นข่าวเรื่องรัฐบาลถังแตก จากนั้นก็ปรากฏการณ์สนธิ ความวุ่นวายทางการเมือง ชิงยุบสภาและพรรคการเมืองอื่นนอกเหนือจากถิรไทย เอ๊ย ไทยรักไทยคว่ำบาตรการเลือกตั้ง เรื่องนี้ทำให้รายได้รัฐบาลสะดุดเลยกลายเป็นขาดดุลงบประมาณอยู่ช่วงหนึ่ง

เมื่อปฏิวัติการชะงักงันของการเบิกจ่ายงบประมาณก็มาเยือน มาจนกลางปี 50 เราจึงเหวี่ยงมาสู่การขาดดุลงบประมาณ รัฐบาล คมช. นั้นทำให้รายได้รัฐตกในภายหลังต่อมาด้วยทำให้การขาดดุลงบประมาณดำเนินมาอย่างต่อเนื่องจนเข้าสู่ปัจจุบันนี้

การเพิ่มหนี้ของรัฐบาลนอกเหนือจากผลการกระตุ้นเศรษฐกิจแล้วก็ถือเป็นการสนองต่ออุปสงค์ในการลงทุนตราสารหนี้ มันทำให้เกิดการขยายตัวของสินเชื่อของสถาบันการเงินและมันก็ไม่เลวร้ายนักเมื่อเทียบกับอดีตเพราะเกือบทั้งหมดมันเป็นหนี้ในประเทศ ถ้าเรามองการก่อหนี้ทั้งหมดเฮียเหลี่ยมแกจะได้เครดิตเรื่องนี้มากเป็นพิเศษเพราะหนี้มันพุ่งพรวดพราดในสมัยแก ที่ต้องก่อหนี้เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจนั้นก็เพราะตั้งแต่วิกฤติ 40 มา คนไทยทำมาหาได้ก็เอาเก็บเข้ากระเป๋าเกือบหมด ช่วงนั้นการออมของประเทศไทยพุ่งพรวดเลยนะครับเพราะใครๆ ก็ไม่กล้าลงทุน ความเชื่อมั่นหดหายมีเงินแต่ไม่กล้าใช้

จากสมัยก่อนรัฐบาลเคยมีดอกเบี้ยจ่ายเพียง 1% ของงบประมาณหรือต่ำกว่า ภายหลังวิกฤติ 40 มันก็เปลี่ยนไปหมด ทุกวันนี้งบประมาณ 7% ขึ้นไปเป็นค่าใช้จ่ายดอกเบี้ย ทั้งๆ ที่สมัยก่อนอัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับสูงกว่าแต่ว่าขณะนี้อัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับต่ำกว่า

ตอนนี้เศรษฐกิจก็เป็นอย่างที่ทราบ เราจะขาดดุลงบประมาณต่อเนื่องต่อไปซึ่งไม่แน่ใจว่ารอบนี้จะนานสักเท่าไหร่ แต่สถานการณ์ของประเทศไทยยังไงก็ดูดีกว่าสหรัฐอเมริกาเป็นกระตั้ก การก่อหนี้ของเรายังอยู่ในเขตปลอดภัยมากเมื่อเทียบกับเขา ที่จริงผมมีทฤษฎี Black Swan ทางการเงินโลกอันมีสาเหตุมาจากสหรัฐฯ ด้วยแต่ยังไม่แน่ใจนัก ผมเห็นว่าโอบามามีความสามารถที่จะเลี้ยงไข้สหรัฐฯ ไปได้อีกเป็นเวลานานยังไงๆ ก็ต้องรอดูต่อไปก่อน
ภาพประจำตัวสมาชิก
Ryuga
Verified User
โพสต์: 1771
ผู้ติดตาม: 0

รุ้งกินน้ำ

โพสต์ที่ 576

โพสต์

หุ้นโภคภัณฑ์โลหะธาตุ บ้านเรามีผาแดง-สังกะสี กับคาทุ่ง-ทุ่งขี้ (ไม่ต้องเอานิ้วไปจิ้มมาดมดูก็ได้  :8) ) ที่อเมริกามี Alcoa อลูมิเนียม (อยู่ใน DJIA) Freeport-McMoRan ทองแดง เงิน ทอง เป็นต้น ธุรกิจสัญชาติอเมริกาในกลุ่มนี้ถือว่ายังดูน่ารักน่าชังกว่า BHP Billiton, Vale, Rio Tinto ฯลฯ อะไรเหล่านั้นอยู่บ้าง แต่น้องแอร์สามใบเถาบ้านเราก็ใช้ทองแดง อลูมิเนียม รู้จักไว้เลยไม่เสียหาย

มันทำให้เห็นภาพการโตแบบอ้วนๆ ชัดเจนขึ้นในระหว่างขาขึ้นของโภคภัณฑ์ที่ผ่านมา ผมลองดูง่ายๆ จากปลายปี 44 ซึ่ง ปตท. เข้าตลาดไปจนถึงจุดสูงสุดปีที่แล้ว คนถือหุ้น Freeport ยาวมาก็จะได้อัตราผลตอบแทนพอๆ กันเลยทีเดียว แต่ถ้าลงลึกไปข้างใน ปตท. ยังมีโตแบบสูงแต่ Freeport ส่วนใหญ่เป็นโตแบบอ้วน หลังจากที่เขารวมกับ Phelps Dodge แล้วก็มีมูลค่าตลาดแซง Alcoa ขึ้นเป็นอันดับ 1 พอโภคภัณฑ์แตกโป๊ะ ทั้ง Alcoa Freeport ก็กอดคอม้วนต้วนลงมาแบบหมดท่าด้วยกันทั้งคู่ Alcoa P/E อยู่แถว 4 เท่า Freeport P/E อยู่แถว 2 เท่า P/E ดูไม่ต่างจากโภคภัณฑ์แถวบ้านเราเท่าไหร่ ผาแดงยัง P/E เยอะกว่าอีก

จะโยงเข้าเรื่องรถยนต์ (เผอิญความรู้น้อยสู้อาจารย์แพรนดี้ไม่ได้ เอามาเล่าแอบๆ ไว้แถวนี้แหละ  :oops: ) ในปี 48 ที่ทั้งราคาเหล็กราคาน้ำมันเริ่มกระหน่ำ ผู้ผลิตรถยนต์อเมริกาก็พากันแสดงออกให้เห็นถึงความด้อยศักยภาพชัดเจน

ขออนุญาตยกอดีตมาพาดพิงนิดหน่อยครับ
คุณ มนตรี ศรไพศาล เขียน:ผมนึกถึงภาพยนตร์ 2 เรื่อง คือ
       1. เรื่อง Gang Ho เป็นเรื่องของคนงานโรงงานผลิตรถยนต์ ในยุคประมาณปี 1980 ในช่วงที่เศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาตกต่ำ ธุรกิจญี่ปุ่นรุ่งเรื่อง ถึงขั้นเข้าซื้อกิจการในสหรัฐอเมริกา มีผู้บริหารญี่ปุ่นเข้าบริหารธุรกิจโรงงานรถยนต์ และบอกกับสหภาพแรงงาน ว่าโรงงานนี้ ผลิตรถได้เพียงประมาณ 12,000 คันต่อเดือน แต่ที่ญี่ปุ่น เขาทำได้อย่างน้อย 15,000 คัน เขาขอให้โรงงานนี้ ทำงานมากขึ้นให้ได้อย่างน้อย 15,000 คัน มิเช่นนั้น โรงงานนี้จะอยู่ไม่ได้ ขาดทุน และต้องปิดกิจการ
     
      กลุ่มผู้ใช้แรงงานไม่ยอม ขอให้ผู้นำสหภาพไปต่อรอง เพื่อให้พนักงานทำงานได้สบายขึ้น ขอทำเพียง 13,000 คัน แต่ผู้บริหารญี่ปุ่นก็ไม่ยอม
     
       ในวันที่พนักงานโรงงานนี้ทำได้เป้า 13,000 คัน พนักงานก็คิดว่าสำเร็จแล้ว แต่ผู้นำสหภาพขึ้นกล่าวไฮปาร์คกับเพื่อนๆ พนักงาน เริ่มต้นว่า พี่น้องที่รัก เราเคยภูมิใจในความยิ่งใหญ่ของเรา เราเคยภูมิใจว่า คนอย่างเราทำงานไม่เคยแพ้ใคร ขอบอกให้พวกเราภูมิใจว่า เราเป็นที่ 2 แล้ว ไม่เป็นหนึ่งแล้วครับ ญี่ปุ่นเขาสามารถทำงานได้กว่า 15,000 คัน ผมไปต่อรองแล้ว ไม่สำเร็จครับ เราคงน่าจะไปทำต่อ เหลืออีก 2 วัน ให้เราช่วยกันทำให้ได้ 15,000 คัน เพื่อนพนักงานโห่ไล่เขา และไม่ยอมรับเขาเป็นผู้นำสหภาพต่อไป
     
       วันรุ่งขึ้น กลุ่มพนักงานชุมนุมกันประท้วง ไม่ทำงานต่อไป เพื่อเรียกร้องให้นายจ้างจ้างเขาต่อ และยอมรับเงื่อนไขทำรถเพียง 13,000 คัน ผู้นำสหภาพ ร่วมกับวิศวกรญี่ปุ่น เดินถือค้อนคนละอันเข้าโรงงานไป
     
       เพื่อนๆ ดู และแซวเขาว่า ผู้นำเรากำลังรักษาตัวเอง รักษาเก้าอี้โดยทอดทิ้งเพื่อน แต่ผู้นำก็ไม่สนใจ เข้าไปทำงานอย่างเต็มที่ เท่าที่ทำได้
     
      เพื่อนๆ บางคนเริ่มบอกว่า จะว่าไป เขากำลังพยายามช่วยรักษาโรงงานนี้ไว้
      อีกคนบอกว่า เขากำลังรักษาอาชีพของพวกเรา
     
      อีกคนมองไปที่คนทำร้านค้ารอบๆ โรงงาน ซึ่งมีมากมาย ที่ค้าขายอาหารสินค้า หากินกับชุมชนชาวโรงงาน แล้วก็ได้คิด และบอกว่า เขากำลังรักษาเมืองๆ นี้
     
      ผมมีความประทับใจอย่างมาก ถึงการคิดอย่างสร้างสรรค์ ไม่ย่อท้อ มุ่งพัฒนาตนเอง เพื่อความก้าวหน้าของตนเอง ขององค์กร และย่อมเป็นผลต่อความก้าวหน้าของประเทศชาติส่วนรวม บางคนอาจบอกว่าเป็นภาพยนตร์ จะให้เรื่องเป็นอย่างไรก็ได้
     
      แต่หากดูวิธีคิดของคนทำภาพยนตร์ ผมว่าน่าสนใจอย่างยิ่ง ในขณะที่ชาวอเมริกันเริ่มหย่อนยาน ทำงานสู้ชาวญี่ปุ่นไม่ได้ เขากลับยอมรับ และชวนให้ชาวอเมริกันยอมรับอย่างสร้างสรรค์ ว่าจะไม่มองดูโลกภายนอก อยากทำอะไรแบบไหนก็ทำ ก็จะทำให้ไม่พัฒนา และสู้คนอื่นเขาไม่ได้
     
      ในเรื่อง ถึงกับสะท้อนให้เห็นว่า คนงานโรงงานญี่ปุ่นออกกำลังกายตอนเช้าอย่างกระฉับกระเฉง ไม่ขี้เกียจ โอ้เอ้เหมือนชาวโรงงานอเมริกัน มีฉากชาววิศวกรญี่ปุ่นตัวเล็กๆ เล่นเบสบอลชนะทีมงานตัวใหญ่อย่างชาวอเมริกัน เพราะทีมงานรักกัน มีวินัย ทุ่มเทให้กัน ไม่กินแรงกัน และมีฉากวิศวกรญี่ปุ่น ยืนขึ้นบนโต๊ะทำงาน ชี้หน้าคนอเมริกัน และพูดทำนองว่า ยังไม่เห็นหรือ ที่พวกคุณแพ้ ก็เพราะขาดวินัย ขาดพลัง สู้ชาวญี่ปุ่นไม่ได้
ผมไม่เคยดูหนังเรื่องนี้นะ แต่คุณมนตรีเขียนในเวลาเดียวกันกับช่วงปีที่กำไร GM ร่วง 26.6% ก่อนที่ปีถัดมาจะขาดทุนหมื่นกว่าล้านเหรียญ
ภาพประจำตัวสมาชิก
Ryuga
Verified User
โพสต์: 1771
ผู้ติดตาม: 0

รุ้งกินน้ำ

โพสต์ที่ 577

โพสต์

ในปีที่แล้วส่วนแบ่งตลาดรถในอเมริกาเป็นแบบนี้

1. GM     23.4%
2. Toyota      15.9%
3. Ford      15.6%
4. Chrysler      12.6%
5. Honda      9.4%
6. Nissan      6.5%
อื่นๆ (ยุโรป เกาหีล ญี่ปุ่นอื่นๆ )     16.6%

GDP ของสหรัฐฯ 4 ใน 5 เป็นภาคบริการ มีแค่ 1 ใน 5 ที่เป็นภาคการผลิต ผมไม่เคยดูข้อมูลของ Chrysler แต่เฉพาะรายรับของ GM กับ Ford รวมกันก็ราว 2.6% ของ GDP สหรัฐฯ แล้ว ยอดขายหลักๆ ก็อยู่ในบ้านเขานั่นแหละเพราะทำตลาดต่างประเทศสู้ญี่ปุ่นไม่ได้ ถ้าเขาล้มละลายอะไรจะเกิดขึ้น  :8)

เอาเรื่องราคาโภคภัณฑ์มากล่าวพาดพิงเพราะมันมีผลมากกับอุตสาหกรรมรถยนต์ของเขา เนื่องจากประสิทธิภาพการผลิตที่อยู่ในระดับห่วยทำให้อัตรากำไรขั้นต้นเขาเบาบางกว่าค่ายรถญี่ปุ่น เมื่อเกิดการพุ่งสูงขึ้นของต้นทุนกิจการเขาจึงถึงขั้นกระอักโลหิต

รู้สึกว่าสหภาพเขาแข็งดี อย่าง GM นั้น เค้าลางหายนะอยู่ในช่วง 48 ที่โภคภัณฑ์เริ่มจะเหินลมแต่บริษัทกลับต้องจ่ายค่าจ้างมากขึ้น ท่ามกลางยอดขายที่ไม่กระเตื้องแม้แต่ในช่วงรุ่งเรืองเองอัตรากำไรสุทธิของเขาก็ยังต่ำกว่าธุรกิจค้าปลีกเสียอีก และแล้วเมื่อ gross margin หลุดเลขสองหลักลงมา GM ก็ต้องโบกมือบ๊ายบายคำว่ากำไรเพราะสหภาพเอาที่เหลือไปกินหมด เหตุการณ์คงมีอะไรคล้ายๆ หนังที่คุณมนตรีเล่านั่นแหละ

ตอนนี้รายรับของ GM ลดลงติดต่อกันมาแล้วเป็นไตรมาสที่ 7 ในไตรมาส 3 ปีนี้ยอดขายร่วง 12.8% และในอนาคตก็คงจะร่วงลงอีก การลดลงของราคาโภคภัณฑ์ถือเป็นเรื่องดีของเขาอยู่บ้างเพราะอัตรากำไรขั้นต้นจะกลับมาแต่น่าเสียดายที่มันมาพร้อมวิกฤติเศรษฐกิจที่ทำให้คนลดการซื้อรถลงอย่างแรง เรื่องจะได้เงินอุ้มหรือไม่ เกี่ยวเฉพาะเรื่องสภาพคล่องของกิจการแต่มันไม่ได้เกี่ยวอะไรเลยกับการช่วยให้กิจการมีการดำเนินงานดีขึ้น ไม่มีเงินก็อาจต้องหยุดผลิต แต่หยุดผลิตไม่ได้หมายความว่าล้มละลาย อย่งที่ผมว่าไปนั่นแหละ ถ้าถือเกณฑ์ส่วนของผู้ถือหุ้นติดลบคือล้มละลายเขาก็ล้มละลายเข้าปีที่ 3 แล้ว Ford จะดีกว่าหน่อยเพราะปีที่แล้วมีเพิ่มทุนมาช่วยในขณะที่ GM ไม่มีใครอยากไปสังฆกรรมด้วย

เห็นสื่อกระเหี้ยนกระหือรือบางทีวิพากษ์วิจารณ์กันสนุกเหลือเกิน แผนผ่านหุ้นขึ้น แผนไม่ผ่านหุ้นตก โอบามาจะยอมให้ล้มไม่ได้ big 3 ต้องได้รับการช่วยเหลือไม่งั้นคนตกงานย่ำแย่อะไรว่าไป ถ้าเขาเอางบดุลงบกำไรขาดทุนบริษัทพวกนี้มาดูก่อนก็คงวิพากษ์วิจารณ์ได้น่าฟังยิ่งขึ้น เห็นแผนอะไรนั่นก็ให้ (เศษ)เงินมา 14,000 ล้านเอง (ต้องมาแบ่งกันอีก) เงินเล็กๆ น้อยๆ เท่ากับหอยจุ๊บแจง คงจะเอาไปหมักกะปิปลาร้าได้อยู่หรอก

ไม่ใช่หมอกิด confirm นะครับว่ามันจะต้องท้อง เอ๊ย ว่ามันจะต้องล้ม แต่ทางรอดของอุตสาหกรรมรถยนต์อเมริกาต้อง change เท่านั้น  :8)
ภาพประจำตัวสมาชิก
por_jai
Verified User
โพสต์: 14338
ผู้ติดตาม: 0

รุ้งกินน้ำ

โพสต์ที่ 578

โพสต์

:8) มานั่งอ่านเกือบ2ชั่วโมง
กรูเก่ง กิเลสเก่งกว่า
ภาพประจำตัวสมาชิก
por_jai
Verified User
โพสต์: 14338
ผู้ติดตาม: 0

รุ้งกินน้ำ

โพสต์ที่ 579

โพสต์

[quote="เซียวริวงะ"]ผมนึกถึงภาพยนตร์ 2 เรื่อง คือ
แก้ไขล่าสุดโดย por_jai เมื่อ จันทร์ ธ.ค. 15, 2008 9:58 am, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
กรูเก่ง กิเลสเก่งกว่า
A man from the Islay
Verified User
โพสต์: 393
ผู้ติดตาม: 0

รุ้งกินน้ำ

โพสต์ที่ 580

โพสต์

ดีจังครับ ผมดีใจที่ได้มาอ่าน แต่คิดว่าเกินปํญญาผมไปมากอยู่ทีเดียวที่จะตอบคำถามทั้งหมด ต้องยอมรับว่าโดยมาก ผมไม่ทราบว่าจะตอบยังไงได้ แต่เห็นมีอยู่อันนึงที่พูดถึง Gannett อาจจะพอแชร์ได้เพราะได้ตามอยู่บ้าง เพราะผมแค่คิดว่าแม้ book ต่ำมากๆ แล้วก็ถูกมากจริงๆ แต่เป็นธุรกิจที่ผมว่ามัน out จริงๆ

ธุรกิจที่เป็น media ที่เป็น hard copy มันคงถูกมองว่าไม่มีอนาคตจริงๆน่ะครับ ราคาหุ้นของ Gannett ที่ลดลงมากๆ ผมเข้าใจว่าเป็นค่าโฆษณาที่ลดลงในช่วง ศก ที่เป็นขาลงเช่นกัน (จำไม่ได้ครับว่าไปอ่านเจอมาจากไหน แต่ไม่ได้คิดเอาเองแล้วพ่นไปเรื่อยน่ะครับ รายได้ Gannett ลดลงจริงๆปีนี้เพราะค่าโฆษณาครับ) ไม่ได้เกี่ยวกับการที่ธุรกิจของมันที่ดันไม่มีอนาคตอย่างปัจจุบันทันด่วน

ผมสังเกตดูจากตัวผมเอง ทุกวันนี้ผมบริโภคข่าวสารระดับนึง แต่ไม่ค่อยได้มีโอกาสอ่านจากที่เป็น hard copy นอกจากอ่านจาก online (อ่านฟรีด้วยครับ)ผมดูจากตัวผมเอง ผมก็เลยคิด (เอาเอง) ว่าธุรกิจ นสพ มันไม่น่าจะดีครับ แม้หุ้นมันจะถูกมากๆ

นอกจากจะเก็บมันไปซี๊ด อัดลงปอดซัก 2-3 คำ (อาจจะร้อนปากได้น่ะครับ คนเคยแอบสูบบุหรี่ในห้องน้ำตอนเด็กๆ ตอนได้ดูดก้นๆที่ถูกส่งต่อมาจากเพื่อน คงจำกันได้ดี) แล้วเผ่นหนีก็คงจะไม่เลวน่ะครับ

แต่ได้เป็น 10 เท่าแบบคุณริวว่า ผมไม่ทราบจริงๆ ใจผมว่าไม่น่าจะได้น่ะ นอกจากมันจะลงไปกว่านี้อีกซักครึ่งนึง อันนี้มีลุ้นครับ

ข้ออื่นผมยังไม่ได้อ่านละเอียดครับ แต่มีโอกาสสูงว่าไม่น่าตอบได้ เด๊วผมจะแวะมาคุยที่นี่บ่อยๆน่ะครับ ได้ความรู้ดีจังเลย ขอบคุณพี่พอใจมากครับที่แนะนำกระทู้นี้ให้ครับ แหม ไอ้ผมมันก็ชอบกระทู้ไร้สาระซะมาก ส่ง PM ไป make friend กะพี่ Barbara (เพราะเข้าใจว่ารสนิยมตรงกัน) หลายครั้ง แต่ไม่ติดต่อมาเลยครับ สงสัยผมคงไร้สาระไม่พอแน่เลย............... :lol:
ภาพประจำตัวสมาชิก
krisy
Verified User
โพสต์: 736
ผู้ติดตาม: 0

รุ้งกินน้ำ

โพสต์ที่ 581

โพสต์

ขอบคุณคุณริวงะมากค่ะ

ไม่รู้ว่าต้องอ่านอะไรบ้าง วันละกี่ชั่วโมง ถึงจะมี Database ขนาดใหญ่อย่างนี้ได้บ้างนะคะ ขอชมว่า คุณริวเก่งจริงๆค่ะ

ประเด็นเรื่องค่าความนิยมนั้น ตามมาตรฐานเรื่อง Intangible asset (เราจำฉบับไม่ได้และไม่ได้อ่านของ US เพียงแต่ปีนี้เมืองไทยเราได้ลอกเค้ามาใช้แบบเหมือนเด่ะๆเลยพอทราบบ้าง) นั้นค่อนข้างให้คำนิยามที่ชัดเจนเกี่ยวกับการตัดค่าความนิยมว่า ค่าความนิยมเป็นสินทรัพย์ที่ไม่มีอายุที่คาดการณ์ได้ เพราะไม่มีใครรู้ว่า ความนิยมจะหมดไปเมื่อไหร่ แต่การจะตัดค่าเสื่อมแบบไหนก็ตามก็ต้องใช้อายุทางเศรษฐกิจทั้งนั้น ดังนั้น มาตรฐานก็เลยบอกว่าไม่ต้องตัดกันแล้ว แต่ต้องทดสอบการด้อยค่าแทนทุกปี หรือทันทีที่เกิดข้อบ่งชี้ว่าจะมีการด้อยค่า ทำให้การตัดค่าความนิยมในยุคหลังๆจะมาแบบแตกโพละ (อีกหน่อยเมืองไทยก็เป็นเหมือนกันนะคะ)

ถ้าถาม krisy ว่าสมเหตุสมผลไหม ก็ไม่ได้เข้าข้างมาตรฐานบัญชี แต่ก็เห็นด้วยจริงๆว่า อะไรๆที่แสดงในงบดุลควรมีมูลค่าทางเศรษฐกิจที่วัดค่าได้ ถ้าเกิดเหตุที่ทำให้ของมีค่าลดลง ก็ต้องเอามันออกทันที เพียงแต่การตัดแบบนี้ทำให้การคำนวณมูลค่าหุ้นจะเอาไปผูกกับ intangible ได้ลำบาก ซึ่งในเมืองไทย ส่วนมากไม่น่ามี goodwill ก้อนโตๆ ก็เลยไม่น่ากลัวเท่าไหร่มั้ง

ในเมื่อไม่ตัดค่าความนิยมแล้ว ความสำคัญน่าจะอยู่ที่การทดสอบการด้อยค่า ซึ่งค่อนข้างใหม่สำหรับเมืองไทย เพราะมาตรฐานใหม่ก็ใช้ปีนี้เอง กรณีนี้ Krisy เองก็ไม่เคยตรวจซะด้วย แต่ถ้าให้เดา ผู้บริหารส่วนมากมักจะไม่ยอมให้ตัดด้อยค่าเพราะกลัวผลขาดทุน ส่วนพวกเราซึ่งเป็นนักลงทุนก็คงไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลการทดสอบการด้อยค่าได้อย่างแน่นอน ยังงี้จะทราบได้ไงว่า ค่าความนิยมด้อยค่าหรือยัง เราขออนุญาตแนะนำว่า ให้เชื่อใจผู้สอบบัญชีว่าเค้าตรวจเต็มที่ (ถ้าเป็น Big4 กระบวนการทำงานจะมีมาตรฐานที่เชื่อถือได้ สำหรับ Local firm ทั่วไปเราขอไม่ให้ความเห็นนะคะเพราะเราไม่รู้จริงๆ)

แต่การรอผู้สอบมาฟันธงนั้น สิ่งที่คุณจะได้คือการตัดการด้อยค่าแบบตูมใหญ่ที่จะทำให้ EPS หายวับ ถ้ากิจการมี goodwill ขนาดใหญ่ให้ติดตามข่าวสารและยอดขายอย่างใกล้ชิด เพราะผู้สอบก็ทดสอบการด้อยค่าจากยอดขายและปัจจัยแวดล้อม เมื่อยอดขายลดแบบ no return เค้าถึงจะตัดด้อยค่า แต่นักลงทุนอย่างเราน่าจะไหวตัวเร็วกว่านั้นได้นะคะ

เอามะพร้าวมาขายสวนแค่นี้ดีกว่า
.....Give Everything but not Give Up.....
ภาพประจำตัวสมาชิก
por_jai
Verified User
โพสต์: 14338
ผู้ติดตาม: 0

รุ้งกินน้ำ

โพสต์ที่ 582

โพสต์

:8) เมื่อเช้านั่งดูข่าวทางทีวี
กรูเก่ง กิเลสเก่งกว่า
ภาพประจำตัวสมาชิก
ก้อนหิน
Verified User
โพสต์: 2344
ผู้ติดตาม: 0

รุ้งกินน้ำ

โพสต์ที่ 583

โพสต์

:bow:  :bow:  :bow: คารวะพี่ริวงะ อีกครั้งครับ
กูรูขอบสนาม
Verified User
โพสต์: 987
ผู้ติดตาม: 0

รุ้งกินน้ำ

โพสต์ที่ 584

โพสต์

เห็นแผนอะไรนั่นก็ให้ (เศษ)เงินมา 14,000 ล้านเอง (ต้องมาแบ่งกันอีก) เงินเล็กๆ น้อยๆ เท่ากับหอยจุ๊บแจง คงจะเอาไปหมักกะปิปลาร้าได้อยู่หรอก
น้องริว เปรียบเทียบน่ารักจัง
มองเห็นสำรับเซ่นจ้าวอยู่เบื้องหน้า

เรื่องอุตสาหกรรมรถยนต์ พอจะมีความรู้บ้างนิดหน่อย
โดยเฉพาะรถหรูจากญี่ปุ่นที่เทียบขั้นรถทรงปลาวาฬของพี่กัน
แรกๆก็ถูกเย้ยหยันว่าจะไปได้สักกี่น้ำ
ในที่สุดก็ตีกระจุยเลย
เดี๋ยวว่างๆค่อยมาแจม

ขอไปตำน้ำพริกกะปิก่อน  :wink:
ภาพประจำตัวสมาชิก
Ryuga
Verified User
โพสต์: 1771
ผู้ติดตาม: 0

รุ้งกินน้ำ

โพสต์ที่ 585

โพสต์

พี่พอใจ(ด้ามแข็ง) เขียน:ถามพี่ริวหน่อยครับMSCIนี่มันหย่ายขนาดนี้เลยหรือครับ
:shock:
M --> อาจารย์ Mprandy ซ๊อสพริกพิชิตมาร
S --> พี่หมอ Sornram ประธานเว็บ
C --> พี่ Chatchai ตุ๊ย abdomen
I --> พี่ IH หัตถ์ไร้เทียมทาน
ผมว่าก็ใหญ่จริงๆ นะครับ :8)  แต่รู้สึกว่าถ้าจะตอบไม่ตรงคำถาม  :oops:  :oops:
ภาพประจำตัวสมาชิก
Ryuga
Verified User
โพสต์: 1771
ผู้ติดตาม: 0

รุ้งกินน้ำ

โพสต์ที่ 586

โพสต์

หายใจหายคอได้ทั่วท้องซะที นึกว่าจะต้องไปออกรายการ เอ๊ย ไปเจียร์บิบงวดหน้าซะแล้ว  :oops:  ผมกลัวอาจารย์แพรนดี้มากเลยนะเนี่ย แต่อาจารย์คงไม่ได้เข้ามาวันหยุดแน่เลย  :lol:  เอามาเฉลยครับ เรารู้จักบริษัทนี้กันดีได้ยินชื่อบ่อยๆ Mad-Eye Moody เอ๊ย Moody's Corporation (MCO)

รูปภาพ

กำไรสะสม 2 พันกว่าล้าน แต่ซื้อหุ้นคืน 4 พันกว่าล้าน ส่วนผู้ถือหุ้นติดลบเกือบ 900 ล้าน เฉพาะปีที่แล้วจ่ายเงินซื้อหุ้นคืน 1,700 กว่าล้าน ส่วนผู้ถือหุ้นจากบวกอยู่ร้อยกว่าล้านเลยพลิกมาติดลบ 700 กว่าล้าน ยิ่งใหญ่อลังการดีไหมครับ  :8)

ปี 2000 Dun & Bradstreet เดิมได้แยกส่วนกิจการออกมาเป็น New D&B (RH Donnelley) กับ Moody's Corporation หลังเข้าเทรดในตลาดปลายปี 2000 ราคาหุ้นอยู่แถว 11-14 เหรียญ ต้นปี 2007 ขึ้นไปไฮ 76 เหรียญ บวกปันผลเหรียญกว่าๆ จากโลว์ตั้งต้นก็ 6 เด้งพอดี ROE วัดอะไรไม่ได้เพราะไม่มี E แต่ ROA 60-70% ปี 49 ที่บูมๆ ROA 85% เลยครับ
ภาพประจำตัวสมาชิก
Ryuga
Verified User
โพสต์: 1771
ผู้ติดตาม: 0

รุ้งกินน้ำ

โพสต์ที่ 587

โพสต์

สวัสดีพี่โต้ง กมล เอ๊ย พี่โต้ง Islay ครับ  :D  ผมก็รู้สึกอย่างงั้นเหมือนกันว่าตลาดที่นั่นกำลังมองพวกหนังสือพิมพ์กระดาษเป็นธุรกิจไร้อนาคต ดูอย่าง Google เอง ปี 2000 ซึ่งยังตั้งกิจการได้ไม่นานนั้นมีสินทรัพย์เพียง 46.9 ล้าน รายรับ 19.1 ล้าน และขาดทุนสุทธิ 14.7 ล้านเหรียญ เพียง 8 ปี รายรับวิ่งไปทะลุ 20,000 ล้านแล้ว อานุภาพการดูดค่าโฆษณาเขานี่ระดับพลังหยกอำไพขั้นสิบทีเดียว

เข้าใจว่าพวกหนังสือพิมพ์นี่เขารุ่งเรืองกันครั้งสุดท้ายเมื่อปี 47 หลังจากนั้นกำไรก็ทรงกับทรุด Gannett ลงมาจาก 91 เหรียญ Washington Post ปู่บัฟ จากไฮ(เลขสวยมาก) 999 เหรียญ เดือนที่แล้วเหลือ 300 ต้นๆ New York Times จาก 52 เหรียญ เดือนที่แล้วเหลือ 5 เหรียญ แล้วค่าโฆษณาเขาก็มีอันเป็นไปทั้งนั้นเลย ถ้าเศรษฐกิจเขายังไม่ฟื้นก็บอกยากเหมือนกันนะครับเพราะอย่างที่ว่า ผมไม่เชื่อถือ book value หุ้นบ้านเขาเท่าไหร่ New York Times ปี 49 ตัดขาดทุนสินทรัพย์ไม่มีตัวตน 800 กว่าล้านเลยลงแรงไม่น้อยหน้า Gannett ไม่รู้ปู่บัฟมีมุมมองเกี่ยวกับหนังสือพิมพ์ตอนนี้ยังไง  :?

สิบเด้งนี่ผมว่าผมมองโลกในแง่ดีไปเหมือนกันครับเพราะไม่คิดว่าเขาจะกลับไปรุ่งเรืองระดับ ROE 20-30% อย่างสมัยเศรษฐกิจบูมยุคคลินตันได้ กว่าจะฟื้นถึงสิบเด้ง(จากโลว์) ก็คงอีกนานพอสมควรแล้วผมก็ชอบอ่านสื่อดิจิตอลมากกว่าเหมือนกัน  :lol:

- - - - - - - - - - -

ขอบคุณพี่คริสตี้ชุงมากเลยครับ  :D  ที่ช่วยชี้แจงเรื่องบัญชีแตกโพละซึ่งในอนาคตไทยก็จะเป็นแบบนี้ (บรื๋อ บรื๋อ  :|  :| )

สวัสดีพี่ก้อนหิน พี่กูรูฯ ครับ  :D  ไม่เจอพี่กูรูฯ ตั้งนาน แบ่งน้ำพริกให้ผมกินบ้างนะครับ  :lol:
พี่พอใจ(ด้ามแข็ง) เขียน: ผมมองเป็นโอกาสนะ เอ้าจริง
ผมก็ว่าโอกาสเหมือนกันครับ ตอนนั้นเห็นพี่หมอเคสนใจหุ้น DJIA แต่ไม่มีใครคุยด้วย เลยจะมาเล่าให้ฟังนิดหน่อยแต่พอหอม mouth หอม neck สมนาคุณพิเศษให้แฟนๆ กระทู้พี่พอใจฟัง ตอนนี้ขี้เกียจอยู่ เดี๋ยวค่อยมาเล่า  :8)
ภาพประจำตัวสมาชิก
por_jai
Verified User
โพสต์: 14338
ผู้ติดตาม: 0

รุ้งกินน้ำ

โพสต์ที่ 588

โพสต์

:8) เมื่อวานนั่งกินอาหารเวียตนามด้วยกันกับก๊วน
     มีหมอเคด้วย
     เห็นอ่านหนังสือMoney Gameของคุณวิศิษย์ องค์อยู่
     ถามๆเห็นว่าอ่านมาหลายรอบแล้ว
     คงยังสนใจอยู่ครับ ผมว่านะ
กรูเก่ง กิเลสเก่งกว่า
ภาพประจำตัวสมาชิก
crazyrisk
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 4549
ผู้ติดตาม: 0

รุ้งกินน้ำ

โพสต์ที่ 589

โพสต์

[quote="por_jai"]:8) เมื่อวานนั่งกินอาหารเวียตนามด้วยกันกับก๊วน
"Champions aren't made in gyms. Champions are made from something they have deep inside them: A desire, a dream, a vision.
ภาพประจำตัวสมาชิก
crazyrisk
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 4549
ผู้ติดตาม: 0

รุ้งกินน้ำ

โพสต์ที่ 590

โพสต์

ตลาดหุ้น: ตลาดฯ ประกาศรายชื่อ 5 หลักทรัพย์ "TSTH-QH-ESSO-TTW-BIGC" เข้าบรรจุคำนวณดัชนี SET50 ส่วนดัชนี SET100 มี 10 หลักทรัพย์ที่ผ่านการคัดเลือก "UVAN-MILL-TYM-EMC-PF-ESSO-TTW-BIGC-KH-IEC เริ่ม 1 มกราคม-30 มิถุนายน 2552 ส่วนหุ้นที่นำออกจาก SET50 คือ TPIPL AMATA MAJOR BECL และ RCL

SET100 มี 10 หลักทรัพย์ที่ผ่านการคัดเลือก "UVAN-MILL-TYM-EMC-PF-ESSO-TTW-BIGC-KH-IEC

เฮ้ย  

ตลาดใช้อะไรคัดเลือกฟะเนี่ย...

บางตัวน่าให้ แต่บางตัว  ไม่น่าให้แ่น่นอน

ตกลงนี่ถ้าหากเราจะอยู่ในตลาดต่อไป

ต้อง  ซื้อลิง สามตัวมาตั้งไว้กลางบ้านหรือป่าว
"Champions aren't made in gyms. Champions are made from something they have deep inside them: A desire, a dream, a vision.
noooon010
Verified User
โพสต์: 2712
ผู้ติดตาม: 0

รุ้งกินน้ำ

โพสต์ที่ 591

โพสต์

ผมแนะนำว่า เราต้องทบทวนตนเองครับ
หลักการ และวินัยการลงทุนเป็นสิ่งสำคัณครับ

ตอนผมซื้อ ก็มีเซียน fund flow ถามว่า พี่ซื้อได้ไง ข่าวร้ายเต็มตลาด
ส่วนผม งง ครับ ว่าทำไมเค้าซื้อตอน 420...

ถ้าเราตั้งเป้าหมาย กำหนดระยะเวลาการลงทุน
ตัด Mr.Market ออกไป ถ้าเค้าทำให้เราเขว
เพราะบางที หลายหลักการ มันกลายเป็นหลักเกินครับ

มีสติ มีเป้าหมาย และสุดท้าย เราจะมีความสุขในการลงทุนครับ

ผมชอบ คัมภีร์หุ้น ตรงที่เค้าบอกว่า เราสามารถไม่สนใจตลาดที่ขึ้น / ลง ถ้าเรามีเป้าหมาย และวิธีการลงทุนของเราครับ

เป็นกำลังใจให้สำหรับทุกๆท่านครับ

มีความสุขและมีสติในการลงทุนครับ  :D
อย่าลืมให้เวลากับครอบครัว และสังคมรอบๆข้างของคุณนะครับ

มีสติ และมีความสุขกับการลงทุนนะครับผม


นักลงทุนที่เก่งที่สุดมิใช่คนที่ซื้อขายไวที่สุด
แต่คือคนที่นำสติกลับมาได้เร็วที่สุด
หลายครั้งส่งคำสั่งซื้อทางไปรษณีย์ได้ผลตอบแทนมากกว่าซื้อผ่านnetหากเราขาดสติ
ภาพประจำตัวสมาชิก
por_jai
Verified User
โพสต์: 14338
ผู้ติดตาม: 0

รุ้งกินน้ำ

โพสต์ที่ 592

โพสต์

:8) ลุงโฉลกว่าไว้เมื่อ11ธค.ที่ผ่านมานี้เอง

บุญนั้นประกอบไปด้วย 3 ระดับ
บุญระดับแรกคือทานที่ให้ผลมากเมื่อวัตถุทานที่เหมาะสม
และสมควรแก่สมณะบริโภค
นั้นได้มาอย่างสุจริต
เจตนาในการสร้างทานเพื่อลดเครื่องเศร้าหมองแห่งจิต
คือความโลภให้ลดน้อยลง
และผู้รับทานเป็นผู้มีศีล
ไม่ใช่สมณะหน้าด้านที่รับเงินทอง
อันพระบรมศาสดาทรงปรับอาบัตินิสสัค คียปาจิตตีย์เอาไว้
บุญระดับแรกนี้ให้ผลในชาตินี้เป็นมนุษย์สมบัติ
และให้ผลในชาติหน้าเป็นสวรรค์สมบัติ

บุญระดับที่สองคือการศึกษาเรื่องศีล
ศึกษาโทษของการผิดศีล ประโยชน์ของการมีศีล
สาเหตุที่ทำให้ผิดศีล สาเหตุที่ทำให้รักษาศีลได้
และการสำรวมระวังรักษาอายัตนะ คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย และความคิด
ไม่ปล่อยให้เป็นเหตุแห่งการยกอกุศลวิตกขึ้นสู่จิต
นี้เป็นศีลที่มีอานิสงส์สูงกว่าทานมาก
ให้ผลมากทั้งมนุษย์สมบัติในชาตินี้ และสวรรค์สมบัติในชาติต่อๆไป

ส่วนบุญระดับที่สามนี้ให้อานิสงส์แห่งบุญสูงสุด
คือให้ทั้งมนุษย์สมบัติ สวรรค์สมบัติ และอริยทรัพย์ด้วย
ได้แก่การบำเพ็ญภาวนาให้เกิดดวงตาเห็นธรรม
คือเห็นว่าสิ่งทั้งหลายที่เกิดแต่เหตุ
ล้วนเป็นอนิจจัง ไม่เที่ยงแท้แน่นอน ทุกขัง ไม่น่าพึงพอใจ และอนัตตา
ไม่มีสาระแก่นสารตัวตนในนั้น
พวกเราได้ร่วมกันสร้างอานิสงส์แห่งบุญมากมายในปีนี้
และผลบุญก็ปรากฏขึ้นแล้วอย่างน่าชื่นใจ
ผู้ที่ไม่ได้ร่วมทำบุญอย่างถูกต้องด้วยปัญญา
ย่อมไม่ได้รับอานิสงส์แห่งบุญ ถึงจะมี ระบบ เหมือนกัน
แต่ก็ไม่สามารถทำตาม ระบบ ได้
ส่วนประกอบที่สำคัญที่สุดของการลงทุนให้ได้กำไร
ก็คือการสั่งสมผลบุญนี้เอง
กรูเก่ง กิเลสเก่งกว่า
ภาพประจำตัวสมาชิก
por_jai
Verified User
โพสต์: 14338
ผู้ติดตาม: 0

รุ้งกินน้ำ

โพสต์ที่ 593

โพสต์

:8) ลุงโฉลกสั่งสอนได้ถึงใจครับเมื่อ17ธค08ที่ผ่านมา

กำไรจากการลงทุนใครๆก็ต้องการ
แต่อย่าให้ถึงกับลืมความหมายที่แท้จริงของความร่ำรวยไปได้
ความร่ำรวยนั้นคือ
การมีสมบัติมากกว่าความปรารถนา
ความร่ำรวยนั้นสามารถพยายามสร้างได้สองวิธี
วิธีแรกคือ การแสวงหาสมบัติให้ได้มากกว่าความปรารถนา
และอย่าลืมวิธีที่สอง
คือการใช้ปัญญาทำให้ความปรารถนานั้นลดน้อยลงกว่าสมบัติที่มีในขณะนั้น
ผลคือความร่ำรวยเหมือนกัน
แต่วิธีไหนเป็นไปได้ และวิธีไหนเป็นไปไม่ได้
สมาชิกต้องใช้สติปัญญาพิจารณากันเอง
กรูเก่ง กิเลสเก่งกว่า
ภาพประจำตัวสมาชิก
hongvalue
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 2703
ผู้ติดตาม: 0

รุ้งกินน้ำ

โพสต์ที่ 594

โพสต์

มีคำถามขอรบกวนถามพี่ ริว หน่อยครับ

1.การเปลี่ยนแปลงของ board money จะมาจากอะไรได้บ้าง เช่น
การปล่อยเงินกู้ของธนาคารที่เรียกว่า loan multiple ใช่ไหม มีตัวแปร
อย่างอื่นอีกไหมครับ

2.board money ใกล้เคียงกับ m2 เลยหรือไม่ ที่รู้มาคือตอนนี้ m2 ยกเลิก
การเผยแพร่ไปแล้ว ไม่แน่ใจว่าตอนนี้ m2 ก็คือ ตัวเลขที่เรียกว่า
ปริมาณเงินตามความหมายกว้างที่ของเดือนตุลาคม 51 มีอยู่ประมาณ
9.519 ล้านๆ หรือป่าวครับ

3.อัตราส่วนเงินตราต่อเงินฝาก ที่เพิ่มขึ้นหรือลดลงจะบอกอะไรกับเราได้บ้างครับ

4.ตกลงการที่บริษัทใน usa จะล้มละลายนั้นจะดูจากอะไรครับ
เขาจะล้มถ้าไม่มีเงินพอที่จะไปใช้หนี้ใช่หรืไม่ครับ โดยไม่เกี่ยวอะไรกับส่วนของผู้ถือหุ้นเลย
สนใจเรื่องบัญชี กลยุทธ์ลงทุน fundflow แจมได้ที่ blog ผม
http://hongvalue.wordpress.com/
-ติดตาม twitter เรื่องหุ้นของผมได้ที่
http://twitter.com/hongvalue
my book
http://wp.me/pzSOv-hP
ภาพประจำตัวสมาชิก
por_jai
Verified User
โพสต์: 14338
ผู้ติดตาม: 0

รุ้งกินน้ำ

โพสต์ที่ 595

โพสต์

:8) สินธรนี่มีหลายรสชาติจริงๆน๊า
     มีแนะนำหุ้นเป็นตัวๆให้ซื้อตามซะด้วย
     คนซื้อตามนี่ก็จริงจิ๊ง
     ไม่พูดดีกว่าเดี๋ยวงานเข้า...

http://www.pantip.com/cafe/sinthorn/top ... 46187.html
กรูเก่ง กิเลสเก่งกว่า
ภาพประจำตัวสมาชิก
Ryuga
Verified User
โพสต์: 1771
ผู้ติดตาม: 0

รุ้งกินน้ำ

โพสต์ที่ 596

โพสต์

ไม่ค่อยว่าง เลยไม่ได้มาหอม mouth หอม neck เลย  :(  แต่ก็ยังไม่ได้กินน้ำพริกกะปิพี่กูรูฯ เหมือนกัน กินแล้ว mouth จะหอมยิ่งขึ้น  :wink:

ที่จริง Q3 ของกลุ่มสมาชิก DJIA นั้นก็ยังเล็กๆ ของจริงน่าจะได้เห็นกันตั้งแต่ Q4 เป็นต้นไป ที่ดัชนีมันไม่ร่วงต่อก็ดูมีเหตุผลดีเพราะอะไรที่น่าจะร่วงก็ร่วงไปแล้วหรือหลุดไปแล้ว ส่วนพวกแข็งแกร่งทั้งหลายก็ช่วยกันยันดัชนีเอาไว้ เข้าใจว่าเป็นครั้งแรก(ไม่รู้เข้าใจผิดรึเปล่า)ตั้งแต่เข้าตลาดมาที่ Microsoft ซื้อขายกันแถว P/E 10 เท่า IBM, Intel ก็มีหลุดมา P/E 8-9 เท่า American Express ลงมา P/E 6 เท่ากว่า Disney ก็ลงมาแถว 8-9 เท่า ซื้อ MAJOR บ้านเราก็ได้เป็นเจ้าของโรงหนัง โรงโบว์ลิ่งระดับประเทศ(สารขัณฑ์) แต่ซื้อ Disney ได้เป็นเจ้าของสวนสนุก Disneyland โรงแรม รีสอร์ท เรือสำราญ ABCnews, ABC Television, Walt Disney Pictures & Touchstone, Miramax, Pixar ฯลฯ หรือ Time Warner เห็นลงมา P/E 7 เท่ากว่าอยู่พักนึง ถ้าซื้อไว้ก็ได้เป็นเจ้าของ Warner Bros, New Line, HBO, CNN ฯลฯ

บ่น(บ้า)เฉยๆ นะครับยังไม่ได้เหล้า เอ๊ย ไม่ได้เล่าอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน(ขี้เกียจ) หลายกิจการก็มีแนวโน้มผลประกอบการลดลง อย่าง Home Depot หุ้น(เคย)โตระเบิดมาแต่ก่อน ประกาศทั้งผลกำไรและ EBIT ลดลงติตต่อกันเป็นไตรมาสที่ 9 คือลงมาก่อนสรรพพราหมณ์จะแตกเป็นเวลานานพอสมควรและตลาดก็คาดว่าน่าจะลงไปอีก พวก HD, WMT นี่ ปีบัญชีเหมือน TTA บ้านเรา ผมพึ่งจะได้เห็นงบเมื่อ 2 อาทิตย์ก่อนนี่เอง  :8)
ภาพประจำตัวสมาชิก
Ryuga
Verified User
โพสต์: 1771
ผู้ติดตาม: 0

รุ้งกินน้ำ

โพสต์ที่ 597

โพสต์

พี่ฮงขงเบ้งvalue เขียน:มีคำถามขอรบกวนถามพี่ ริว หน่อยครับ

1.การเปลี่ยนแปลงของ board money จะมาจากอะไรได้บ้าง เช่น
การปล่อยเงินกู้ของธนาคารที่เรียกว่า loan multiple ใช่ไหม มีตัวแปร
อย่างอื่นอีกไหมครับ

2.board money ใกล้เคียงกับ m2 เลยหรือไม่ ที่รู้มาคือตอนนี้ m2 ยกเลิก
การเผยแพร่ไปแล้ว ไม่แน่ใจว่าตอนนี้ m2 ก็คือ ตัวเลขที่เรียกว่า
ปริมาณเงินตามความหมายกว้างที่ของเดือนตุลาคม 51 มีอยู่ประมาณ
9.519 ล้านๆ หรือป่าวครับ

3.อัตราส่วนเงินตราต่อเงินฝาก ที่เพิ่มขึ้นหรือลดลงจะบอกอะไรกับเราได้บ้างครับ

4.ตกลงการที่บริษัทใน usa จะล้มละลายนั้นจะดูจากอะไรครับ
เขาจะล้มถ้าไม่มีเงินพอที่จะไปใช้หนี้ใช่หรืไม่ครับ โดยไม่เกี่ยวอะไรกับส่วนของผู้ถือหุ้นเลย
:shock:  :shock:
เจี๊ยก...  โดนแล้วมั้ยล่ะ ฮือ ฮือ พี่ฮงถามผมแล้วผมจะถามใครละเนี่ย  :oops:  :oops:

1. เยอะแยะเลยครับ แต่โดยภาพรวมแล้วมันเปลี่ยนแปลงตามการเติบโตทางเศรษฐกิจ+ดุลการชำระเงิน แม้แต่เงินเฟ้อก็ทำให้ตัวเลข Broad Money เพิ่มขึ้นได้ (ตัวเลขที่ ธปท. ประกาศเป็นตัวเลขดิบ ถ้าอยากรู้ค่าจริงก็ต้องตัดเงินเฟ้อก่อน) เหมือนปี 41 ที่ Broad Money ไม่ค่อยลด(ตัวเลข) แต่พอตัดเงินเฟ้อก็จะเห็นว่ามันลดลงพอฟัดพอเหวี่ยงกับการหดตัวทางเศรษฐกิจ อุปทานเงินไม่สามารถเพิ่มได้โดยเสรีก็จริงอยู่แต่มันก็จะเพิ่มมากเป็นพิเศษตอนเศรษฐกิจบูมเพราะอุปสงค์เงินมากขึ้น จากทั้งภาครัฐ(นโยบายการคลัง) และเอกชน(การลงทุน จับจ่าย ขอสินเชื่อ) ซึ่งสัมพันธ์กับระบบสถาบันการเงิน อัตราการจับจ่ายของประชาชนก็มีผล(แต่น้อย ไม่ค่อยมีนัยสำคัญ) สังคมตะวันออกอย่างแถวบ้านเราปริมาณเงินต่อ GDP จะสูงหน่อย ในไทยเรา M2/GDP จะใกล้กัน แต่สำหรับอเมริกาจะเกินครึ่งมานิดเดียวเพราะการจับจ่ายใช้สอยเงินหมุนเวียนเร็วกว่าบ้านเรา

2. เรานิยามตัวเลขปริมาณเงินไว้หลายค่า แต่ละประเทศบางทีนิยามแตกต่างกันบ้างนิดๆ หน่อยๆ ในรายละเอียด (มีกันตั้งแต่ M0, M1, M1a, M1b, M2, M3, M4, M5) ในไทย Broad Money ก็ประมาณ M2 ครับ ถ้าเรารวมพวกเงินฝากระยะย๊าวยาว ข้อตกลงรับซื้อคืนของธนาคารพาณิชย์อะไรพวกนั้นก็เป็น M3

3. ปกติแล้วมันมักจะบอกเกี่ยวกับความเชื่อมั่นที่ประชาชนมีต่อระบบสถาบันการเงินและเศรษฐกิจ ถ้ามันเพิ่มสูงขึ้นมากก็คือคนแห่ไปถอนเงินมาเก็บไว้กับตัวมากขึ้นหรือมีเงินแต่ไม่อยากฝากในสถาบันการเงิน เช่นครั้ง Great Depression ที่ตัวเลขนี้ในอเมริกาเพิ่มขึ้นเท่าตัวเลย เราอาจใช้มันเป็นสัญญาณบอกความอับเฉาทางเศรษฐกิจได้ครับ

4. ไม่รู้ครับ ผมไม่เคยไปดูกฎเกณฑ์อะไรของเขาทั้งนั้น แต่คิดว่าน่าจะเป็นอย่างงั้นนะครับ  :lol: ผมเพิ่งดูเคส Tribune ไป อันนี้น่าเกลียดมาก (ทำไปได้ไง  :twisted: )

5. board money เป็นปริมาณเงินอีกอย่างหนึ่งครับ ซึ่งเราจะวัดจากการซื้อๆ ขายๆ หุ้นในตลาดหลักทรัพย์คือผ่านกระดานซื้อขายหุ้นครับ ถ้ามันเยอะก็แสดงว่าซื้อขายหุ้นคึกคักดี ถ้าน้อยก็ตบยุงครับ  :8)

อุ๊ย แค่นี้พอแล้ว เดี๊ยวโดนถามอีก  :oops:  :oops:
ภาพประจำตัวสมาชิก
Ryuga
Verified User
โพสต์: 1771
ผู้ติดตาม: 0

รุ้งกินน้ำ

โพสต์ที่ 598

โพสต์

ในอเมริกาเราจะเห็นสินทรัพย์กลวงๆ เยอะแยะเลย กิจการมากมายมีแต่หนี้ ถ้าไม่มีกระแสเงินสดรับที่แข็งแกร่งก็จะไปได้อย่างง่ายดาย

อย่าง Time Warner Q3 มี
สินทรัพย์ไม่มีตัวตนแบบชนิดตัดค่าเสื่อม 4,939 ล้านเหรียญ
สินทรัพย์ไม่มีตัวตนแบบไม่ตัดค่าเสื่อม 47,181ล้านเหรียญ
ค่าความนิยม 42,450 ล้านเหรียญ

ส่วนผู้ถือหุ้นมีแค่ 59,936 ล้านเหรียญ ถ้ามีการด้อยค่าความนิยมตัดสินทรัพย์ไม่มีตัวตนทิ้งส่วนผู้ถือหุ้นก็อาจหายหมด

IBM บ้าง อาจารย์แพรนดี้อุตส่าห์เอากราฟมาให้ดู Q3 มี
สินทรัพย์ไม่มีตัวตน 3,048 ล้านเหรียญ
ค่าความนิยม 18,861 ล้านเหรียญ
หนี้สินทั้งหมด 88,392 ล้านเหรียญ

ส่วนผู้ถือหุ้นมีแค่ 27,519 ล้านเหรียญ ถ้าตัดสินทรัพย์กลวงๆ พวกนี้ทิ้ง หนี้ต่อทุนก็ 15-16 เท่า

อย่าง Kraft Foods ปู่บัฟก็อย่าติดว่า ROE ต่ำๆ เชียว เพราะดูอย่าง Q3 นี้มี
สินทรัพย์ไม่มีตัวตน 13,496 ล้านเหรียญ
ค่าความนิยม 28,573 ล้านเหรียญ

ส่วนผู้ถือหุ้นแค่ 26,401 ล้านเหรียญ ถ้าไม่รวมพวกสินทรัพย์จับต้องไม่ได้นี่ก็ถือว่าเป็นหุ้นไม่มี E กะเขาเหมือนกัน

ฟังสื่อบางคนบางที่บอก นี่ไงเห็นมั้ย รัฐบาลสหรัฐฯ ออกมาอุ้มอุตสาหกรรมรถยนต์แล้ว ให้เงินมาตั้ง 17,000 กว่าล้านเหรียญ  แต่หุ้นไม่วิ่ง :rofl:
ปัญหามันอยู่ที่ยอดขายมันตกและต้นทุนคงที่+โครงสร้างการบริหารจัดการที่ใหญ่โตทำให้เลือดไหลออกจากกิจการไม่ยอมหยุด เอาเงินให้ก็เหมือนไปละลายทิ้ง ถ้าจะอุ้มกันจริงๆ ก็หมายความว่าเขาต้องละลายเงินไปอีกมหาศาลจนกว่าเศรษฐกิจจะฟื้นนั่นแหละ ขนาดว่าแบงก์ยังไม่ยอมให้กู้เลยจะเอาอะไรนักหนา Q3 Ford มีเงิน 41.8 พันล้านเหรียญ GM มีเงิน 15.9 พันล้านเหรียญ ผ่านมายังไม่ทันจะ 3 เดือน ได้เงินมาตั้ง 17,000 กว่าล้านเหรียญ(ต้องแบ่งกันอีก) เป็นข่าวดีซะไม่มีแหละ  :lol:
ภาพประจำตัวสมาชิก
Ryuga
Verified User
โพสต์: 1771
ผู้ติดตาม: 0

รุ้งกินน้ำ

โพสต์ที่ 599

โพสต์

น้องเซียวริวงะ เขียน:พวก HD, WMT นี่ ปีบัญชีเหมือน TTA บ้านเรา ผมพึ่งจะได้เห็นงบเมื่อ 2 อาทิตย์ก่อนนี่เอง  :8)
อุ๊ย เบลอ  :oops:  :oops:  มาอ่านอีกที จะพิมพ์ KSL กลายเป็น TTA ไปได้ไงเนี่ย DIS ต่างหากที่เหมือน TTA  เพราะโดนถามแน่เลย เดี๋ยวจะไม่ตอบแล้ว  :oops:
ภาพประจำตัวสมาชิก
hongvalue
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 2703
ผู้ติดตาม: 0

รุ้งกินน้ำ

โพสต์ที่ 600

โพสต์

ตอบดีๆ ชอบจัง

[quote="Ryuga"][quote="พี่ฮงขงเบ้งvalue"]/quote]
:shock:
สนใจเรื่องบัญชี กลยุทธ์ลงทุน fundflow แจมได้ที่ blog ผม
http://hongvalue.wordpress.com/
-ติดตาม twitter เรื่องหุ้นของผมได้ที่
http://twitter.com/hongvalue
my book
http://wp.me/pzSOv-hP