คนสวนคน
- yoyo
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 4833
- ผู้ติดตาม: 0
คนสวนคน
โพสต์ที่ 1
ถ้าพูดว่า Value Investor เป็นคนที่คิดอย่างเป็นอิสระไม่ตัดสินใจตามคนอื่นแล้วละก็ Contrarian Investor ก็คือคนที่คิดสวนทางกับนักลงทุนส่วนใหญ่ในตลาดหรือเรียกว่าเป็น คนสวนคน
เมื่อคนส่วนใหญ่มองโลกในแง่ดีมาก คิดว่าหุ้นจะขึ้นไปได้อีกมาก เพราะฉะนั้นจึงควรซื้อหุ้น Contrarian กลับคิดว่าหุ้นได้ขึ้นไปจนสูงที่สุดแล้วและกำลังจะตกลงมาเพราะฉะนั้นจึงควรขายหุ้น
ตรงกันข้าม เมื่อคนเกือบทั้งตลาดรู้สึกหมดหวังและไม่สนใจที่จะลงทุน คนจำนวนมากได้ขายหุ้นทิ้งกลับไป ทำงานทำการ Contrarian กลับคิดว่าหุ้นได้ตกลงมา ถึงพื้น แล้ว เขาจะเข้าไปช้อนซื้อหุ้นเพื่อรอขายเมื่อหุ้นฟื้นตัว
ปรัชญาและความคิดของคนสวนคนก็คือ ถ้าคนซื้อขายหุ้นส่วนใหญ่คิดว่าตลาดเป็นตลาดกระทิง นั้นหมายความว่านักลงทุนส่วนใหญ่เชื่อว่าราคาหุ้นกำลังปรับตัวขึ้นและเขาได้ซื้อหุ้นไว้เต็มพอร์ตแล้ว เพราะฉะนั้นจึงไม่มี เงินใหม่ ที่จะมาซื้อหุ้นดันราคาให้สูงขึ้นไปได้ แนวต้าน ของราคาหุ้นก็จะตกลงมาและในที่สุดหุ้นก็จะต้องตกลงมา
ตรงกันข้าม ถ้าคนซื้อขายหุ้นคิดว่าตลาดกำลังเป็นตลาดหมี นั่นก็หมายความว่าคนส่วนใหญ่ขายหุ้นไปหมดแล้วและเมื่อไม่มีคนอยากขายแล้ว แนวรับ ก็จะแข็งแกร่งและปรับตัวสูงขึ้น
ไม่ใช่เฉพาะการเลือกจังหวะเข้าออกตลาดหุ้นเท่านั้น แต่การลงทุนในหุ้นแต่ละตัวของ Contrarian ก็ใช้หลักการแบบเดียวกันนั่นคือ การลงทุนซื้อขายหุ้นแต่ละตัวจะมีกลยุทธ์ตรงกันข้ามกับคนส่วนใหญ่ นั่นหมายความว่า Contrarian มักขายหุ้นเมื่อราคาได้ปรับตัวสูงขึ้นไปมากและจะเข้าซื้อหุ้นเมื่อราคาตกลงมามหาศาล
Contrarian มืออาชีพ นั้นก็เป็นเช่นเดียวกับ Trader หรือนักเก็งกำไรมืออาชีพเหมือนกันที่จะต้องมีสูตรหรือเทคนิคในการเล่นหุ้นเพื่อเอาชนะตลาด เพราะฉะนั้นเขาจึงมักจะมีสูตรหรือเครื่องชี้ว่าเมื่อไรจึงควรซื้อหรือขายหุ้น ตัวอย่างเช่นเขาบอกว่าจุดที่ควรซื้อหุ้นก็คือ
ข้อแรก หุ้นที่จะซื้อจะต้องมีราคาตกลงมาไม่น้อยกว่า 50% จากจุดสูงสุดในช่วงเวลา 12 เดือนที่ผ่านมา เช่น หุ้นเคยขึ้นไปถึง 10 บาทต่อหุ้น แต่ภายในระยะเวลา 8 เดือนที่ผ่านมาหุ้นได้ตกลงมาเหลือเพียง 5 บาท นี่คือเงื่อนไขข้อแรก แต่ยังไม่พอต้องดูต่อข้อสอง
ข้อสอง เมื่อราคาหุ้นได้ตกลงมาถึง 50% แล้ว ผู้บริหารหรือ เซียนหุ้น ซึ่งอาจจะเป็นกองทุนหรือนักเก็งกำไรรายใหญ่เข้ามาเก็บหุ้นค่อนข้างมาก ในกรณีที่เป็นการซื้อโดยผู้บริหารหรือเจ้าของเอง เขาบอกให้ซื้อตามได้เลย แต่ถ้าเป็นการซื้อของกลุ่มอื่นจะต้องดูต่อข้อสาม
ข้อสาม หุ้นที่ซื้อจะต้องมีราคาถูกเช่น ค่า PE ต้องไม่เกิน 10 เท่า และค่า PB จะต้องไม่เกิน 1 เท่า และหุ้นต้องจ่ายปันผลไม่น้อยกว่า 5% จากราคาหุ้น ซึ่งเมื่อครบองค์ประกอบทั้งหมดแล้วก็ให้เข้าไปช้อนซื้อหุ้นได้เลยเพราะโอกาสได้กำไรงามจะมีอยู่สูง
การกำหนด จุดซื้อ ข้างต้นนับเป็นตัวอย่างที่ค่อนข้างจะอนุรักษ์นิยม Contrarian แต่ละคนอาจมีระบบเฉพาะของตนเองซึ่งแตกต่างกันไป แต่หลักความคิดที่เป็นพื้นฐานจะเหมือนกันในแง่ที่ว่า เขาจะซื้อหรือขายในสถานการณ์ที่คนส่วนใหญ่มีความเชื่อในบางสิ่งบางอย่างอย่างรุนแรงมากพอและได้ ลงมือ ซื้อหรือขายหุ้นไปแล้ว Contrarian เชื่อว่าถ้าเกิดเหตุการณ์แบบนั้น เขาจะสามารถทำกำไรได้โดยการทำในทิศทางที่ตรงกันข้าม Contrarian ไม่ทำอะไรกับเหตุการณ์หรือความคิดหรือการกระทำที่ไม่รุนแรง
การเป็นคนสวนคนนั้นแน่นอนว่าไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะนี่หมายความว่าคุณกำลังคิดและทำสวนทางกับคนอื่นทุกคนที่อยู่รอบตัว คุณจะกลายเป็นคน ขวางโลก เข้ากับคนอื่นไม่ได้ จะเป็นคนที่ว้าเหว่เหมือนอยู่ตัวคนเดียว และในบางครั้งที่คุณอาจจะเข้าหรือออกเร็วเกินไปซึ่งทำให้คุณผิดพลาดในการลงทุนจริง ๆ ในขณะที่คนอื่น กำไรกันทั่วหน้า ซึ่งมักเป็นสถานการณ์ที่เจ็บปวดมาก จนทนไม่ใคร่ได้ แต่คนที่รักจะเป็น Contrarian ต้องทนได้
ว่าที่จริง Value Investor เองก็มีพฤติกรรมในการลงทุนซื้อขายหุ้นสวนทางกับคนอื่นในหลายเรื่อง ๆ ด้วยกัน ทั้งที่เป็นเรื่องสำคัญและไม่สำคัญ บางคนถึงขนาดพูดว่า Value Investor โดยพื้นฐานแล้วก็คือ Contrarian คือชอบทำสวนทางกับนักลงทุนอื่น ข้อนี้ผมเองคิดว่ามีความเป็นจริงอยู่พอสมควรแต่เห็นว่า Value Investor ไม่ใช่ Contrarian แม้ว่าหลาย ๆ ครั้งอาจจะซื้อหรือขายหุ้นตัวเดียวกันในเวลาใกล้เคียงกัน
เพราะสำหรับ Value Investor แล้ว การซื้อหรือขายหุ้นนั้นเราจะต้องพิจารณาไปถึงพื้นฐานของกิจการด้วยในขณะที่ Contrarian มักจะเน้นที่ราคาหุ้นเป็นหลัก ดังนั้นสำหรับหุ้นหลาย ๆ ตัวที่ราคาตกลงมามหาศาลเกินกว่า 50% แต่พื้นฐานของกิจการไม่ดีพอที่จะรองรับ Value Investor ก็จะไม่สนใจในขณะที่ Contrarian อาจจะคิดว่าเป็นจุดซื้อโดยเชื่อว่าในที่สุดหุ้นจะต้องดีดตัวขึ้นด้วยเหตุผลบางอย่าง
ผมเองไม่เคยพบกับนักลงทุนที่เป็น คนสวนคน พันธุ์แท้ คือเล่นเฉพาะหุ้นแบบ Contrarian อย่างเดียว แต่เชื่อว่ามีนักลงทุนจำนวนไม่น้อยที่ใช้กลยุทธ์นี้ในบางครั้งบางคราวและได้กำไรมหาศาล เพราะตลาดหุ้นไทยนั้นมีความผันผวนสูงมากจนทำให้การลงทุนแบบ Contrarian สามารถทำกำไรได้อย่างงดงามบ่อย ๆ เพราะฉะนั้นผมเชียร์ให้คุณลองดูบ้างซึ่งก็คงไม่ทำให้เสียหายมากโดยเฉพาะในยามที่ตลาดหุ้นของเราเหงาหงอยอย่างในช่วงนี้
เมื่อคนส่วนใหญ่มองโลกในแง่ดีมาก คิดว่าหุ้นจะขึ้นไปได้อีกมาก เพราะฉะนั้นจึงควรซื้อหุ้น Contrarian กลับคิดว่าหุ้นได้ขึ้นไปจนสูงที่สุดแล้วและกำลังจะตกลงมาเพราะฉะนั้นจึงควรขายหุ้น
ตรงกันข้าม เมื่อคนเกือบทั้งตลาดรู้สึกหมดหวังและไม่สนใจที่จะลงทุน คนจำนวนมากได้ขายหุ้นทิ้งกลับไป ทำงานทำการ Contrarian กลับคิดว่าหุ้นได้ตกลงมา ถึงพื้น แล้ว เขาจะเข้าไปช้อนซื้อหุ้นเพื่อรอขายเมื่อหุ้นฟื้นตัว
ปรัชญาและความคิดของคนสวนคนก็คือ ถ้าคนซื้อขายหุ้นส่วนใหญ่คิดว่าตลาดเป็นตลาดกระทิง นั้นหมายความว่านักลงทุนส่วนใหญ่เชื่อว่าราคาหุ้นกำลังปรับตัวขึ้นและเขาได้ซื้อหุ้นไว้เต็มพอร์ตแล้ว เพราะฉะนั้นจึงไม่มี เงินใหม่ ที่จะมาซื้อหุ้นดันราคาให้สูงขึ้นไปได้ แนวต้าน ของราคาหุ้นก็จะตกลงมาและในที่สุดหุ้นก็จะต้องตกลงมา
ตรงกันข้าม ถ้าคนซื้อขายหุ้นคิดว่าตลาดกำลังเป็นตลาดหมี นั่นก็หมายความว่าคนส่วนใหญ่ขายหุ้นไปหมดแล้วและเมื่อไม่มีคนอยากขายแล้ว แนวรับ ก็จะแข็งแกร่งและปรับตัวสูงขึ้น
ไม่ใช่เฉพาะการเลือกจังหวะเข้าออกตลาดหุ้นเท่านั้น แต่การลงทุนในหุ้นแต่ละตัวของ Contrarian ก็ใช้หลักการแบบเดียวกันนั่นคือ การลงทุนซื้อขายหุ้นแต่ละตัวจะมีกลยุทธ์ตรงกันข้ามกับคนส่วนใหญ่ นั่นหมายความว่า Contrarian มักขายหุ้นเมื่อราคาได้ปรับตัวสูงขึ้นไปมากและจะเข้าซื้อหุ้นเมื่อราคาตกลงมามหาศาล
Contrarian มืออาชีพ นั้นก็เป็นเช่นเดียวกับ Trader หรือนักเก็งกำไรมืออาชีพเหมือนกันที่จะต้องมีสูตรหรือเทคนิคในการเล่นหุ้นเพื่อเอาชนะตลาด เพราะฉะนั้นเขาจึงมักจะมีสูตรหรือเครื่องชี้ว่าเมื่อไรจึงควรซื้อหรือขายหุ้น ตัวอย่างเช่นเขาบอกว่าจุดที่ควรซื้อหุ้นก็คือ
ข้อแรก หุ้นที่จะซื้อจะต้องมีราคาตกลงมาไม่น้อยกว่า 50% จากจุดสูงสุดในช่วงเวลา 12 เดือนที่ผ่านมา เช่น หุ้นเคยขึ้นไปถึง 10 บาทต่อหุ้น แต่ภายในระยะเวลา 8 เดือนที่ผ่านมาหุ้นได้ตกลงมาเหลือเพียง 5 บาท นี่คือเงื่อนไขข้อแรก แต่ยังไม่พอต้องดูต่อข้อสอง
ข้อสอง เมื่อราคาหุ้นได้ตกลงมาถึง 50% แล้ว ผู้บริหารหรือ เซียนหุ้น ซึ่งอาจจะเป็นกองทุนหรือนักเก็งกำไรรายใหญ่เข้ามาเก็บหุ้นค่อนข้างมาก ในกรณีที่เป็นการซื้อโดยผู้บริหารหรือเจ้าของเอง เขาบอกให้ซื้อตามได้เลย แต่ถ้าเป็นการซื้อของกลุ่มอื่นจะต้องดูต่อข้อสาม
ข้อสาม หุ้นที่ซื้อจะต้องมีราคาถูกเช่น ค่า PE ต้องไม่เกิน 10 เท่า และค่า PB จะต้องไม่เกิน 1 เท่า และหุ้นต้องจ่ายปันผลไม่น้อยกว่า 5% จากราคาหุ้น ซึ่งเมื่อครบองค์ประกอบทั้งหมดแล้วก็ให้เข้าไปช้อนซื้อหุ้นได้เลยเพราะโอกาสได้กำไรงามจะมีอยู่สูง
การกำหนด จุดซื้อ ข้างต้นนับเป็นตัวอย่างที่ค่อนข้างจะอนุรักษ์นิยม Contrarian แต่ละคนอาจมีระบบเฉพาะของตนเองซึ่งแตกต่างกันไป แต่หลักความคิดที่เป็นพื้นฐานจะเหมือนกันในแง่ที่ว่า เขาจะซื้อหรือขายในสถานการณ์ที่คนส่วนใหญ่มีความเชื่อในบางสิ่งบางอย่างอย่างรุนแรงมากพอและได้ ลงมือ ซื้อหรือขายหุ้นไปแล้ว Contrarian เชื่อว่าถ้าเกิดเหตุการณ์แบบนั้น เขาจะสามารถทำกำไรได้โดยการทำในทิศทางที่ตรงกันข้าม Contrarian ไม่ทำอะไรกับเหตุการณ์หรือความคิดหรือการกระทำที่ไม่รุนแรง
การเป็นคนสวนคนนั้นแน่นอนว่าไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะนี่หมายความว่าคุณกำลังคิดและทำสวนทางกับคนอื่นทุกคนที่อยู่รอบตัว คุณจะกลายเป็นคน ขวางโลก เข้ากับคนอื่นไม่ได้ จะเป็นคนที่ว้าเหว่เหมือนอยู่ตัวคนเดียว และในบางครั้งที่คุณอาจจะเข้าหรือออกเร็วเกินไปซึ่งทำให้คุณผิดพลาดในการลงทุนจริง ๆ ในขณะที่คนอื่น กำไรกันทั่วหน้า ซึ่งมักเป็นสถานการณ์ที่เจ็บปวดมาก จนทนไม่ใคร่ได้ แต่คนที่รักจะเป็น Contrarian ต้องทนได้
ว่าที่จริง Value Investor เองก็มีพฤติกรรมในการลงทุนซื้อขายหุ้นสวนทางกับคนอื่นในหลายเรื่อง ๆ ด้วยกัน ทั้งที่เป็นเรื่องสำคัญและไม่สำคัญ บางคนถึงขนาดพูดว่า Value Investor โดยพื้นฐานแล้วก็คือ Contrarian คือชอบทำสวนทางกับนักลงทุนอื่น ข้อนี้ผมเองคิดว่ามีความเป็นจริงอยู่พอสมควรแต่เห็นว่า Value Investor ไม่ใช่ Contrarian แม้ว่าหลาย ๆ ครั้งอาจจะซื้อหรือขายหุ้นตัวเดียวกันในเวลาใกล้เคียงกัน
เพราะสำหรับ Value Investor แล้ว การซื้อหรือขายหุ้นนั้นเราจะต้องพิจารณาไปถึงพื้นฐานของกิจการด้วยในขณะที่ Contrarian มักจะเน้นที่ราคาหุ้นเป็นหลัก ดังนั้นสำหรับหุ้นหลาย ๆ ตัวที่ราคาตกลงมามหาศาลเกินกว่า 50% แต่พื้นฐานของกิจการไม่ดีพอที่จะรองรับ Value Investor ก็จะไม่สนใจในขณะที่ Contrarian อาจจะคิดว่าเป็นจุดซื้อโดยเชื่อว่าในที่สุดหุ้นจะต้องดีดตัวขึ้นด้วยเหตุผลบางอย่าง
ผมเองไม่เคยพบกับนักลงทุนที่เป็น คนสวนคน พันธุ์แท้ คือเล่นเฉพาะหุ้นแบบ Contrarian อย่างเดียว แต่เชื่อว่ามีนักลงทุนจำนวนไม่น้อยที่ใช้กลยุทธ์นี้ในบางครั้งบางคราวและได้กำไรมหาศาล เพราะตลาดหุ้นไทยนั้นมีความผันผวนสูงมากจนทำให้การลงทุนแบบ Contrarian สามารถทำกำไรได้อย่างงดงามบ่อย ๆ เพราะฉะนั้นผมเชียร์ให้คุณลองดูบ้างซึ่งก็คงไม่ทำให้เสียหายมากโดยเฉพาะในยามที่ตลาดหุ้นของเราเหงาหงอยอย่างในช่วงนี้
- วัวแดง
- Verified User
- โพสต์: 1429
- ผู้ติดตาม: 0
คนสวนคน
โพสต์ที่ 4
คล้ายๆกับสิ่งที่ผมกำลังใช้ในปัจจุปันครับข้อแรก หุ้นที่จะซื้อจะต้องมีราคาตกลงมาไม่น้อยกว่า 50% จากจุดสูงสุดในช่วงเวลา 12 เดือนที่ผ่านมา เช่น หุ้นเคยขึ้นไปถึง 10 บาทต่อหุ้น แต่ภายในระยะเวลา 8 เดือนที่ผ่านมาหุ้นได้ตกลงมาเหลือเพียง 5 บาท นี่คือเงื่อนไขข้อแรก แต่ยังไม่พอต้องดูต่อข้อสอง
ข้อสอง เมื่อราคาหุ้นได้ตกลงมาถึง 50% แล้ว ผู้บริหารหรือ เซียนหุ้น ซึ่งอาจจะเป็นกองทุนหรือนักเก็งกำไรรายใหญ่เข้ามาเก็บหุ้นค่อนข้างมาก ในกรณีที่เป็นการซื้อโดยผู้บริหารหรือเจ้าของเอง เขาบอกให้ซื้อตามได้เลย แต่ถ้าเป็นการซื้อของกลุ่มอื่นจะต้องดูต่อข้อสาม
ข้อสาม หุ้นที่ซื้อจะต้องมีราคาถูกเช่น ค่า PE ต้องไม่เกิน 10 เท่า และค่า PB จะต้องไม่เกิน 1 เท่า และหุ้นต้องจ่ายปันผลไม่น้อยกว่า 5% จากราคาหุ้น ซึ่งเมื่อครบองค์ประกอบทั้งหมดแล้วก็ให้เข้าไปช้อนซื้อหุ้นได้เลยเพราะโอกาสได้กำไรงามจะมีอยู่สูง
การกำหนด จุดซื้อ ข้างต้นนับเป็นตัวอย่างที่ค่อนข้างจะอนุรักษ์นิยม Contrarian แต่ละคนอาจมีระบบเฉพาะของตนเองซึ่งแตกต่างกันไป แต่หลักความคิดที่เป็นพื้นฐานจะเหมือนกันในแง่ที่ว่า เขาจะซื้อหรือขายในสถานการณ์ที่คนส่วนใหญ่มีความเชื่อในบางสิ่งบางอย่างอย่างรุนแรงมากพอและได้ ลงมือ ซื้อหรือขายหุ้นไปแล้ว Contrarian เชื่อว่าถ้าเกิดเหตุการณ์แบบนั้น เขาจะสามารถทำกำไรได้โดยการทำในทิศทางที่ตรงกันข้าม Contrarian ไม่ทำอะไรกับเหตุการณ์หรือความคิดหรือการกระทำที่ไม่รุนแรง
ข้อแรก หุ้นที่ซื้อมีราคาตกลงมามาก อาจมากกว่า50% หรือน้อยกว่าก็ได้ แล้วจึงหาสาเหตุว่าทำไมราคาถึงตกลงมา เช่น กำไรลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนมาก( แค่นี้ราคาก็ตกแล้ว ทั้งๆที่ช่วงอื่นๆยังไม่รู้ผลประกอบการเลย แต่ตลาดก็คิดกันแล้วว่ากำไรจะลดลงต่อเนื่อง) ถ้ากำไรงวดต่อไปลดลง ราคาก็จะไม่ลดลงมากนักเพราะราคาปรับลดตามข่าวร้ายแล้ว แต่ถ้ากำไรเข้าสู่ปกติหรือเพิ่มขึ้น ราคาหุ้นจะเพิ่มขึ้นสูงอย่างรวดเร็ว(เพิ่มขึ้นจากข่าวดี) เช่น CEI ลองศึกษาดูครับ ถ้าเรายอมรับปัญหาที่เกิดขึ้นได้ก็วิเคราะห์ต่อ
ข้อสองดูกำไรในอดีตที่ผ่านมาว่าเป็นอย่างไร อาจจะ 5ปี หรือ 10 ปี ว่ากำไรในอดีตเป็นยังไงมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นหรือลดลงอย่างไร(ถึงแม้อดีตอาจจะไม่ได้บอกอนาคต แต่ก็เป็นข้อมูลเดียวที่เกิดขึ้นจริง) ยิ่งถ้าผู้บริหารซื้อ สุดยอดเลยครับ ตามได้เลยเพราะผู้บริหารรู้ดีในธุรกิจที่ทำอยู่เป็นอย่างดี ว่าเป็นยังไง นักวิเคราะห์อาจรู้ไม่จริงก็ได้
ข้อสาม หุ้นที่จะซื้อต้องราคาถูก หาค่า PE ที่ต่ำสุดและสูงสุด(5-10 ปี)มาเปรียบเทียบ โดยอาจหาค่าเฉลี่ยมาใช้ก็ได้ (แต่ถ้า pe ปัจจุปัน ต่ำสุดในรอบ 5หรือ10ปี ราคาหุ้นถูกมากและน่าซื้อที่สุดในความคิดผม) เช่นเดียวกันกับP/BV เมื่อหาค่าเฉลี่ยได้แล้ว นำมาหาราคาที่น่าจะเป็นในปัจจุปัน แล้วเปรียบเทียบกับราคาปัจจุปัน ถ้าราคาที่น่าจะเป็นในปัจจุปัน มากกว่าราคาปัจจุปัน ก็ถือว่าหุ้นราคาถูกแล้ว ส่วนจะซื้อที่ราคาเท่าไรนั้นควรมี margin of safety ของแต่ละธุรกิจ ที่สำคัญหุ้นที่คุณจะซื้อควรมีปันผล ไม่น้อยกว่าเงินเฟ้อ+ดอกเบี้ย เพราะอย่างน้อยคุณก็จะมี income บ้าง
เป็นอีกแง่คิดหนึงเท่านั้น ก่อนลงทุนควรศึกษาด้วยตัวท่านเองเป็นอย่างดี
อย่าฟังคำแนะของคนอื่น เพียงอย่างเดียว
เงินของเรา อยู่ในกระเป๋าเรา อย่าให้ใครเอาไปได้นะครับ
"เสาะหาหุ้นพื้นฐานแน่น แต่ราคาต่ำกว่าจริง
ขายเมื่อราคาเกินจริง ไม่มีขาดทุน "
- วัวแดง
- Verified User
- โพสต์: 1429
- ผู้ติดตาม: 0
คนสวนคน
โพสต์ที่ 5
ผมอาจไม่ใช่ Value Investor หรือContrarian แต่ผมเป็น Value Contrarian Investor :lol: เพราะผมพิจารณาพื้นฐานของกิจการ และราคาหุ้นที่ตกลงมาเพราะสำหรับ Value Investor แล้ว การซื้อหรือขายหุ้นนั้นเราจะต้องพิจารณาไปถึงพื้นฐานของกิจการด้วยในขณะที่ Contrarian มักจะเน้นที่ราคาหุ้นเป็นหลัก ดังนั้นสำหรับหุ้นหลาย ๆ ตัวที่ราคาตกลงมามหาศาลเกินกว่า 50% แต่พื้นฐานของกิจการไม่ดีพอที่จะรองรับ Value Investor ก็จะไม่สนใจในขณะที่ Contrarian อาจจะคิดว่าเป็นจุดซื้อโดยเชื่อว่าในที่สุดหุ้นจะต้องดีดตัวขึ้นด้วยเหตุผลบางอย่าง
-
- ผู้ติดตาม: 0
คนสวนคน
โพสต์ที่ 8
วันนี้นักวิเคราะห์ออกมาพูดว่าช่วงนี้ยังมองไม่เห็นแสงสว่าง จากข่าวร้ายการปรับขึ้นของราคาน้ำมันและการปรับขึ้นดอกเบี้ย สงสัยจะได้เวลาของ
"คนสวนคน"แล้วมั้งครับ
"คนสวนคน"แล้วมั้งครับ
- sailom
- Verified User
- โพสต์: 60
- ผู้ติดตาม: 0
คนสวนคน
โพสต์ที่ 9
การเลือกจังหวะที่จะสวนนั้นค่อนข้างยากเอาการ ต้องอาศัยประสบการณ์และการวิเคราะห์ที่ดี ยอดฝีมือทางด้านนี้ผมยกให้เฮีย 2ค แห่งพันธ์ทิพ ทฤษฏีเกี่ยวกับข่าวดีเกินจริงและข่าวร้ายเกินจริงที่เฮียแกเขียน นับว่าเข้าท่า อยู่ที่ว่าใครจะฝึกปรือได้ดีกว่ากัน