นักลงทุนผู้เสียสละ
-
- Verified User
- โพสต์: 432
- ผู้ติดตาม: 0
นักลงทุนผู้เสียสละ
โพสต์ที่ 1
เคยมีช่วงเวลาหนึ่งที่ผมได้กำไรจากหุ้น ซึ่งตอนนั้นก็ดูว่าเป็นเงินจำนวนมาก
และคนใกล้ชิดหลายๆคนก็รู้เรื่องนี้
จึงมีคำถามที่ผมได้รับว่า
ได้เงินมาตั้งเยอะทำไมไม่เอาไปซื้ออะไรบ้างเลย ถ้าเป็นกูนะ จะเอาไปซื้อรถสักคน
ผมก็คิด อืม ก็จริงเนอะ ทำไมเราไม่เอาไปซื้ออะไรเลย
สิ่งที่ตอนนั้น ผมทำคือ พาเพื่อนไปเลี้ยงข้าว ใช้เงินไป พันกว่าบาท และก็มีความสุขดี
คำถามนี้ยังคงอยู่ในส่วนหนึ่งของความคิดผมเสมอ
และย้อนดูตัวเอง นี่ผมมีความคิดที่แตกต่างจากคนอื่นรึเปล่า ทำไมได้เงินมากลับไม่ใช้
จนเวลาผ่านไปไม่นานเงินผมก็หมด ผมซื้อหุ้นจนเงินตัวเองหมดอีกแล้ว
ผมไม่ซื้อสิ่งของอย่างอื่นเลย ผมซื้อแต่หุ้น
พอผมมีแต่หุ้น และคนใกล้ชิดหลายๆคนรู้เรื่องนี้
จึงมีความถามที่ผมได้รับว่า
มึงมีแต่หุ้น ก็เหมือนมีแต่ตัวเลข ไม่มีเงินจริง ในที่สุดจะขาดทุนรึเปล่าก็ไม่รู้ แล้วมันดีตรงไหนวะ
อืม น่าคิดจริงๆ มีเงินก็ไม่ซื้อสิ่งของ เอาไปซื้อหุ้น กลายเป็นมีแต่ตัวเลขอยู่ในมือไม่มีเงิน
ยิ่งดูยิ่งอาภัพ
ใจจริง ผมก็อยากได้รถใหม่ นาฬิกาใหม่ คอมพิวเตอร์ใหม่ โทรทัศน์ใหม่ นั่นแปลว่าผมมีสิ่งเหล่านี้อยู่แล้ว
ผมก็คงเป็นคนที่อยากได้สิ่งของใหม่ๆเหมือนคนทั่วๆไป
แต่สิ่งที่ผมรู้ นั่นคือ เมื่อมีเงินจะสามารถนำเงินไปลงทุนและได้ผลตอบแทนกลับมาได้
นี่คือสิ่งที่ทำให้ตัวผมเป็นตัวผม และก็เลือกลงทุนในหุ้นต่อไป
ในช่วงเวลาเหล่านั้น ผมก็ยังคงอยากได้สิ่งของต่างๆเสมอ แต่เพราะเงินส่วนใหญ่ไปอยู่ในหุ้น
ทำให้ผมไม่สามารถไปซื้อสิ่งที่ต้องการได้ดั่งใจง่ายนัก ผมก็เลยมักไม่ได้สิ่งของที่อยากได้
ทั้งๆที่ตัวผมมีเงินพอและพร้อมที่จะซื้อสิ่งของสิ่งนั้น โดยการขายหุ้น
แต่แปลกผมก็ยังคงดำรงชีวิตได้อย่างปกติ เพียงแต่จะร้อนรนบ้างเวลาที่อยากได้สิ่งของ
และก็เกิดการอยากได้สิ่งของ แล้วก็ซื้อไม่ได้ แต่ชีวิตก็ยังดำรงได้เป็นปกติบ่อยๆครั้งเข้า
จึงเข้าใจว่า แปลว่าสิ่งนั้นไม่ได้สำคัญต่อชีวิตจริงๆ เพราะเมื่อไม่ได้สิ่งนั้น ชีวิตก็ยังดำรงเป็นปกติ
แต่ก็มีหลายสิ่งที่ในที่สุด ผมก็สำรองเพื่อสิ่งนั้นจริงๆ อาจจะเป็นเพราะสิ่งนั้นจะทำให้ผมรู้สึกสุขขึ้นจริงๆ
และเมื่อผมนำเงินของผมไปซื้อหุ้น นั่นแปลว่าจะมีผู้มอบหุ้นให้ผม และได้รับเงินสดจากผมไปเป็นการตอบแทน
และผู้ที่ได้รับเงินไปนั้น ก็มีสิทธิ์ ที่จะไปใช้จ่ายสิ่งใดก็ได้ (ในกรณีที่ผู้ขายหุ้น นำเงินไปใช้จ่าย)
และถ้าคนนั้น นำเงินไปซื้อนาฬิกาใหม่ รถใหม่ โทรทัศน์ใหม่ ผมก็คงอิจฉาเค้าอยู่เหมือนกัน
เพราะ สิ่งที่ผมได้รับ ก็คือ การที่เงินสด แปลงเป็นหุ้น และผมก็ไม่เงินเหลือเท่าไหร่นัก
คนที่ขายหุ้นและได้เงินจากผมไปและไปใช้จ่าย ก็ทำให้เงินเหล่านั้น หมุนเข้าไปอยู่ในระบบเศรษฐกิจ
แปลว่าผมมอบเงินของผมให้ผู้อื่นไปใช้แทนตัวผม และได้สิ่งของตามเค้าที่ต้องการ และเกิดการหมุนของเงิน
แทนที่ผมจะนำเงินไปใช้ซื้อสิ่งของ ให้ความสุขกับตัวเอง
โดยสิ่งที่ผมได้คือหุ้น มานั่งเสี่ยงกับราคาที่ขึ้นลงอีก ต้องมานั่งหาข้อมูล ต้องคอยอดออมเงิน
เสียสละขนาดนี้แล้ว ไม่ควรได้รับผลตอบแทนบ้างเลยเหรอครับ 555
(ผมว่า ถ้าดูจากหน้าที่ภาพรวมของประเทศ นักลงทุนน่าจะอยู่ในหน่วยออม
ซึ่งถ้าดูความเป็นจริง การปฏิบัติตัวเป็นหน่วยออมนั้น ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย
แถมยังมีหน้าที่ เพิ่มค่าให้กับสิ่งที่ออมมาอีก)
และคนใกล้ชิดหลายๆคนก็รู้เรื่องนี้
จึงมีคำถามที่ผมได้รับว่า
ได้เงินมาตั้งเยอะทำไมไม่เอาไปซื้ออะไรบ้างเลย ถ้าเป็นกูนะ จะเอาไปซื้อรถสักคน
ผมก็คิด อืม ก็จริงเนอะ ทำไมเราไม่เอาไปซื้ออะไรเลย
สิ่งที่ตอนนั้น ผมทำคือ พาเพื่อนไปเลี้ยงข้าว ใช้เงินไป พันกว่าบาท และก็มีความสุขดี
คำถามนี้ยังคงอยู่ในส่วนหนึ่งของความคิดผมเสมอ
และย้อนดูตัวเอง นี่ผมมีความคิดที่แตกต่างจากคนอื่นรึเปล่า ทำไมได้เงินมากลับไม่ใช้
จนเวลาผ่านไปไม่นานเงินผมก็หมด ผมซื้อหุ้นจนเงินตัวเองหมดอีกแล้ว
ผมไม่ซื้อสิ่งของอย่างอื่นเลย ผมซื้อแต่หุ้น
พอผมมีแต่หุ้น และคนใกล้ชิดหลายๆคนรู้เรื่องนี้
จึงมีความถามที่ผมได้รับว่า
มึงมีแต่หุ้น ก็เหมือนมีแต่ตัวเลข ไม่มีเงินจริง ในที่สุดจะขาดทุนรึเปล่าก็ไม่รู้ แล้วมันดีตรงไหนวะ
อืม น่าคิดจริงๆ มีเงินก็ไม่ซื้อสิ่งของ เอาไปซื้อหุ้น กลายเป็นมีแต่ตัวเลขอยู่ในมือไม่มีเงิน
ยิ่งดูยิ่งอาภัพ
ใจจริง ผมก็อยากได้รถใหม่ นาฬิกาใหม่ คอมพิวเตอร์ใหม่ โทรทัศน์ใหม่ นั่นแปลว่าผมมีสิ่งเหล่านี้อยู่แล้ว
ผมก็คงเป็นคนที่อยากได้สิ่งของใหม่ๆเหมือนคนทั่วๆไป
แต่สิ่งที่ผมรู้ นั่นคือ เมื่อมีเงินจะสามารถนำเงินไปลงทุนและได้ผลตอบแทนกลับมาได้
นี่คือสิ่งที่ทำให้ตัวผมเป็นตัวผม และก็เลือกลงทุนในหุ้นต่อไป
ในช่วงเวลาเหล่านั้น ผมก็ยังคงอยากได้สิ่งของต่างๆเสมอ แต่เพราะเงินส่วนใหญ่ไปอยู่ในหุ้น
ทำให้ผมไม่สามารถไปซื้อสิ่งที่ต้องการได้ดั่งใจง่ายนัก ผมก็เลยมักไม่ได้สิ่งของที่อยากได้
ทั้งๆที่ตัวผมมีเงินพอและพร้อมที่จะซื้อสิ่งของสิ่งนั้น โดยการขายหุ้น
แต่แปลกผมก็ยังคงดำรงชีวิตได้อย่างปกติ เพียงแต่จะร้อนรนบ้างเวลาที่อยากได้สิ่งของ
และก็เกิดการอยากได้สิ่งของ แล้วก็ซื้อไม่ได้ แต่ชีวิตก็ยังดำรงได้เป็นปกติบ่อยๆครั้งเข้า
จึงเข้าใจว่า แปลว่าสิ่งนั้นไม่ได้สำคัญต่อชีวิตจริงๆ เพราะเมื่อไม่ได้สิ่งนั้น ชีวิตก็ยังดำรงเป็นปกติ
แต่ก็มีหลายสิ่งที่ในที่สุด ผมก็สำรองเพื่อสิ่งนั้นจริงๆ อาจจะเป็นเพราะสิ่งนั้นจะทำให้ผมรู้สึกสุขขึ้นจริงๆ
และเมื่อผมนำเงินของผมไปซื้อหุ้น นั่นแปลว่าจะมีผู้มอบหุ้นให้ผม และได้รับเงินสดจากผมไปเป็นการตอบแทน
และผู้ที่ได้รับเงินไปนั้น ก็มีสิทธิ์ ที่จะไปใช้จ่ายสิ่งใดก็ได้ (ในกรณีที่ผู้ขายหุ้น นำเงินไปใช้จ่าย)
และถ้าคนนั้น นำเงินไปซื้อนาฬิกาใหม่ รถใหม่ โทรทัศน์ใหม่ ผมก็คงอิจฉาเค้าอยู่เหมือนกัน
เพราะ สิ่งที่ผมได้รับ ก็คือ การที่เงินสด แปลงเป็นหุ้น และผมก็ไม่เงินเหลือเท่าไหร่นัก
คนที่ขายหุ้นและได้เงินจากผมไปและไปใช้จ่าย ก็ทำให้เงินเหล่านั้น หมุนเข้าไปอยู่ในระบบเศรษฐกิจ
แปลว่าผมมอบเงินของผมให้ผู้อื่นไปใช้แทนตัวผม และได้สิ่งของตามเค้าที่ต้องการ และเกิดการหมุนของเงิน
แทนที่ผมจะนำเงินไปใช้ซื้อสิ่งของ ให้ความสุขกับตัวเอง
โดยสิ่งที่ผมได้คือหุ้น มานั่งเสี่ยงกับราคาที่ขึ้นลงอีก ต้องมานั่งหาข้อมูล ต้องคอยอดออมเงิน
เสียสละขนาดนี้แล้ว ไม่ควรได้รับผลตอบแทนบ้างเลยเหรอครับ 555
(ผมว่า ถ้าดูจากหน้าที่ภาพรวมของประเทศ นักลงทุนน่าจะอยู่ในหน่วยออม
ซึ่งถ้าดูความเป็นจริง การปฏิบัติตัวเป็นหน่วยออมนั้น ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย
แถมยังมีหน้าที่ เพิ่มค่าให้กับสิ่งที่ออมมาอีก)
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 14783
- ผู้ติดตาม: 0
นักลงทุนผู้เสียสละ
โพสต์ที่ 2
อืม ก็แบ่งๆกันหน่อยดิ ไม่นานนี้ก็มีน้องคนนึง ช่วงที่ลงทุนได้กำไรเยอะ รู้สึกได้กำไร 10 กว่าล้าน แกบอกว่า ผมแอบไปซื้อนาฬิกา มา 1 ล้านครับ
เรื่องนี้อยู่ที่การวางแผนของแต่ละคน ว่าจะแบ่งเงินลงทุนอย่างไร
และก็ทำไปตามแผน ซึ่ง สมมุติว่า คนที่คิดลงทุนทั้งหมด แล้วไม่ใช้เลย ประหยัดเกินกว่าเหตุ ต่อมากำไรเยอะมาก สมมุตินะ แบบนั้นถามว่าดีหรือไม่ ผมก็ไม่แน่ใจนะ
เพราะเบียดเบียนตัวเองเหลือเกิน
แต่ก่อนมีการยกย่อง vi ใส่รองเท้าแตะ ขึ้นรถเมล์ หรือไม่ก็เดินเอา
จบวิดวะด้วยนะ ผมอ่านแล้วก็ อืม นั่นก็คือชีวิตของเขา เขาชอบแบบนั้น
ถามว่าผมจะไปนับถือชีวิตแบบนั้นหรือไม่ สำหรับผมไม่นะ
ต่อให้รวยล้นฟ้า แล้วต้องมานั่งรถเมล์ ผมคิดว่า คงเป็นตัวอย่างที่ดีสำหรับคนอื่นครับ ไม่ใช่ผมครับ
เรื่องนี้อยู่ที่การวางแผนของแต่ละคน ว่าจะแบ่งเงินลงทุนอย่างไร
และก็ทำไปตามแผน ซึ่ง สมมุติว่า คนที่คิดลงทุนทั้งหมด แล้วไม่ใช้เลย ประหยัดเกินกว่าเหตุ ต่อมากำไรเยอะมาก สมมุตินะ แบบนั้นถามว่าดีหรือไม่ ผมก็ไม่แน่ใจนะ
เพราะเบียดเบียนตัวเองเหลือเกิน
แต่ก่อนมีการยกย่อง vi ใส่รองเท้าแตะ ขึ้นรถเมล์ หรือไม่ก็เดินเอา
จบวิดวะด้วยนะ ผมอ่านแล้วก็ อืม นั่นก็คือชีวิตของเขา เขาชอบแบบนั้น
ถามว่าผมจะไปนับถือชีวิตแบบนั้นหรือไม่ สำหรับผมไม่นะ
ต่อให้รวยล้นฟ้า แล้วต้องมานั่งรถเมล์ ผมคิดว่า คงเป็นตัวอย่างที่ดีสำหรับคนอื่นครับ ไม่ใช่ผมครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 1120
- ผู้ติดตาม: 0
นักลงทุนผู้เสียสละ
โพสต์ที่ 3
ความสุขและความภาคภูมิใจของคนหลายๆคนก็มาจากความมั่งคั่งที่เรามีครับ เพียงแต่ว่าเค้าเหล่านั้นจะนำความมั่งคั่งที่มีแปรเปลี่ยนมาเป็น"ความสุขที่แท้จริง"ในการใช้ชีวิตอย่างไร
บางคนทำชีวิตให้ Balance บริหารเงินลงทุนและใช้จ่ายอย่างลงตัว คนรอบข้างเช่นพ่อแม่ คู่ชีวิต รวมถึงลูก สามารถอยู่ได้อย่างมีความสุข ใช้ชีวิตพอเพียงสมฐานะ แบบนี้ผมยกย่องและใฝ่ฝันจะเป็นเช่นนี้
ในขณะที่บางคนกลายเป็นโรคใช้เงินไม่ได้ อยู่อย่างอัตคัต ขัดสน ปากก็บอกว่ามีความสุข แต่คนภายนอกมองแล้ว ยังไงก็ไม่พ้นโรคตระหนี่ ขี้เหนียว ซึ่งอาจเป็นแค่ความ"พึงพอใจ"ส่วนตัว ในขณะที่คนรอบข้างเช่นคนในครอบครัวอยู่อย่างอึดอัดและลำบาก ในขณะที่เพื่อนฝูงก็บอกลากับความตระหนี่ เห็นแก่ได้(แล้วเก็บ)กันไปหมด แบบนี้ผมว่าเงินที่หามาได้มันก็ไม่สมควรจะถือเป็นความมั่งคั่ง หรือความภาคภูมิใจใดๆได้เลย
บางคนทำชีวิตให้ Balance บริหารเงินลงทุนและใช้จ่ายอย่างลงตัว คนรอบข้างเช่นพ่อแม่ คู่ชีวิต รวมถึงลูก สามารถอยู่ได้อย่างมีความสุข ใช้ชีวิตพอเพียงสมฐานะ แบบนี้ผมยกย่องและใฝ่ฝันจะเป็นเช่นนี้
ในขณะที่บางคนกลายเป็นโรคใช้เงินไม่ได้ อยู่อย่างอัตคัต ขัดสน ปากก็บอกว่ามีความสุข แต่คนภายนอกมองแล้ว ยังไงก็ไม่พ้นโรคตระหนี่ ขี้เหนียว ซึ่งอาจเป็นแค่ความ"พึงพอใจ"ส่วนตัว ในขณะที่คนรอบข้างเช่นคนในครอบครัวอยู่อย่างอึดอัดและลำบาก ในขณะที่เพื่อนฝูงก็บอกลากับความตระหนี่ เห็นแก่ได้(แล้วเก็บ)กันไปหมด แบบนี้ผมว่าเงินที่หามาได้มันก็ไม่สมควรจะถือเป็นความมั่งคั่ง หรือความภาคภูมิใจใดๆได้เลย
Financial Discipline + Value Investment + Time = Financial Independence
-
- Verified User
- โพสต์: 1922
- ผู้ติดตาม: 0
นักลงทุนผู้เสียสละ
โพสต์ที่ 5
เพียงแต่จะร้อนรนบ้างเวลาที่อยากได้สิ่งของ
ตัวนี้แหละครับ ที่เรียกว่า "กิเลส ตัณหา"
จับมันให้ได้เวลาเกิด แล้ววิเคราะห์สิ่งที่อยากได้ด้วยปัญญา
ถ้ามันจำเป็นและคุ้มค่ากับคุณ ก็ซื้อเถอะครับ
ไม่งั้นก็เบียดเบียนตัวเองอีก ทางสายกลางนี่แหละครับ ดีกว่า
ความพอดีของแต่ละคนต่างกันครับ เพราะ นิสัย ฐานะ สิ่งแวดล้อม ต่างกัน
เช่นคนมีเงินพันล้าน ซื้อ vios มาขับ ตัวเขาเองอาจบอกว่าพอดี แต่คนอื่นบอกว่าขี้เหนียว
แต่ถ้าคนกินเงินเดือนหมื่น ซื้อ vios มาขับ ตัวเขาเองอาจบอกว่าพอดี แต่คนอื่นบอกว่าฟุ่มเฟือย ก็ได้
ยกตัวอย่างชีวิตจริง เช่น ดร.นิเวศน์ ก็ยังอยู่บ้านชั้นเดียว อาศัยอยู่บ้านแม่ยาย
ชีวิตก็มีความสุข
ผมชอบ เปรียบเทียบ คำว่า "มักน้อย" กับ "มักมาก" ให้ตัวเองเลือกเวลากิเลสเยอะๆ ว่าจะเลือกแบบไหนดีกว่ากัน แล้วผมก็เลือก "มักน้อย" ทุกที
-
- Verified User
- โพสต์: 1254
- ผู้ติดตาม: 0
นักลงทุนผู้เสียสละ
โพสต์ที่ 7
ความอยากได้สิ่งที่เราพอใจก็เรื่องธรรมดาครับผมว่า เมื่อผมอ่านหนังสือของหลางปู่พุทธทาสจึงเข้าใจได้ว่าความอยากแท้จริงแล้วก็คือความโลภนั่นเองเพราะท่านทรงให้นิยามความโลภว่า"อะไรก็ตามทีพึงพอใจแล้วนำเข้ามาหาตัวgu"และความโลภนี้ก็คือหลุมดำของนักลงทุน
ผมจึงเชื่อว่าเซียนนัลงทุนV.Iที่แท้จริงจะมีอุปนิสัยมักน้อย จะเลือกซื้อสิ่งใดก็คงไม่ต่างจากเลือกลงทุนหุ้นคือเน้นความคุ้มค่าเป็นหลักเพราะเซียนก็คือเซียนอยู่ดีชอบเข้มงวดกับตนเองในการควบคุมความโลภและความกลัวอย่างไร้เหตุผลอย่างสม่ำเสมอ
เหตุผลก็คือเซียนรู้ดีว่าช่วงที่สมองทำงานได้ดีที่สุดก็คือช่วงที่ความโลภและความกลัวอย่างไร้เหตุผลเหลืออยู่น้อยที่สุดนั่นเองขอรับเหมือนกับเซียนนามศรัทธา :o
ผมจึงเชื่อว่าเซียนนัลงทุนV.Iที่แท้จริงจะมีอุปนิสัยมักน้อย จะเลือกซื้อสิ่งใดก็คงไม่ต่างจากเลือกลงทุนหุ้นคือเน้นความคุ้มค่าเป็นหลักเพราะเซียนก็คือเซียนอยู่ดีชอบเข้มงวดกับตนเองในการควบคุมความโลภและความกลัวอย่างไร้เหตุผลอย่างสม่ำเสมอ
เหตุผลก็คือเซียนรู้ดีว่าช่วงที่สมองทำงานได้ดีที่สุดก็คือช่วงที่ความโลภและความกลัวอย่างไร้เหตุผลเหลืออยู่น้อยที่สุดนั่นเองขอรับเหมือนกับเซียนนามศรัทธา :o
-
- Verified User
- โพสต์: 1558
- ผู้ติดตาม: 0
นักลงทุนผู้เสียสละ
โพสต์ที่ 8
สุขหรือทุกข์อยู่ที่ใจครับ ถ้าฝึกจิตใจให้ทนต่อความอยากมีอยากได้ได้ก็มีสุขได้ หลายสิ่งหลายอย่างเป็นสิ่งอำนวยความสะดวกไม่ใช่สิ่งจำเป็นในชีวิต stay clam stay invest ต่อไปครับ และต่อจากนี้อีก3-5 ปีต้องมีเศรษฐีใหม่เกิดขึ้นในหมู่นักลงทุนหุ้นคุณค่าแน่นอนครับ
- crazyrisk
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 4549
- ผู้ติดตาม: 0
นักลงทุนผู้เสียสละ
โพสต์ที่ 9
por_jai เขียน: ยืมรูปพี่GANTZ ณ สินธรมาโพส
พี่ป้อมอยากได้สักพี่เม็ดครับ เดี๋ยวซื้อไปขายต่อให้
"Champions aren't made in gyms. Champions are made from something they have deep inside them: A desire, a dream, a vision.
- กล้วยไม้ขาว
- Verified User
- โพสต์: 1074
- ผู้ติดตาม: 0
นักลงทุนผู้เสียสละ
โพสต์ที่ 11
อ่านแล้วนึกถึงประสบการณ์ประทับใจครั้งนึงของผมเช่นคนมีเงินพันล้าน ซื้อ vios มาขับ ตัวเขาเองอาจบอกว่าพอดี แต่คนอื่นบอกว่าขี้เหนียว
แต่ถ้าคนกินเงินเดือนหมื่น ซื้อ vios มาขับ ตัวเขาเองอาจบอกว่าพอดี แต่คนอื่นบอกว่าฟุ่มเฟือย ก็ได้
ผมอยู่บนรถเมล์ที่กำลังติดอยู่
ผู้คนก็เบียดกันตามปกติ
ผมนึกในใจว่า "ถ้าเรามีรถขับเองก็ดีสิ"
ระหว่างกำลังมองรถเบนซ์ BMW หลายคันบนถนน
และคิดว่า "คนขับรถพวกนึ้ต้องรวยแน่ ๆ อยากรวยแบบนั้นมั่งว่ะ"
อยู่ ๆ สายตาของผมก็ไปสดุดกับ รถคันเล็ก ๆ คันนึงที่จอดอยู่ในซอยข้าง ๆ
toyota vios นั่นเอง ก็สวยดีนะ ราคาก็ถูกกว่าเบ็นซ์ BMW มาก
ทันใดนั้นความรู้สึกที่บรรยายไม่ถูกก็เกิดขึ้นกับผม
ทันทีที่ได้เห็น "พอ 999" ทะเบียนของรถคันนั้นนั่นเอง
ผมรู้สึกชื่นชมเจ้าของรถมากครับ มากกว่าคนที่ขับรถแพง ๆ
เพราะเจ้าของรถคันนี้ ขับ vios แต่ผมเชื่อว่าคงไม่มีใครคิดว่าเขาจน
- Guiman
- Verified User
- โพสต์: 320
- ผู้ติดตาม: 0
นักลงทุนผู้เสียสละ
โพสต์ที่ 13
ลองทำอย่างนี้เป็นไงครับ
เมื่อได้กำไรทั้งหมดจากการลงทุน (คิดเป็น100%)
1.แบ่ง 10%ไว้เพื่อศึกษาหาความรู้ เพื่อการลงทุนและความมั่งคั่งต่อไป จะเป็นการเข้าคอร์ส อบรม สัมมนา อ่านหนังสือ ฯลฯ
2.แบ่งอีก 10%ไว้เพื่อ ถลุง หรือทำในสิ่งที่ต้องการ ไม่ว่าจะเป็นการซื้อของที่อยากได้ กินอาหารหรูๆ 10% ไม่เท่าไหร่หรอกครับ เติมความสุขให้ชีวิต ถ้ารวยแล้วไม่ใช้เงิน ผมว่า อยู่แบบจนๆไปแหละดีกว่าครับ
3.อีก 80% นำกลับไปลงทุนต่อ
4.ซื้อหนังสือ ถอดรหัสลับ สมองเงินล้าน เขียนโดย ที ฮาร์ฟ เอคเคอร์ มาอ่าน เล่มละ 160 กว่าบาท อ่านแล้วคุณจะมองเห็นเป้าหมายได้ชัดขึ้น และไม่หลงทางแน่นอนครับ
ปล.ที่แนะนำให้ 10% เพื่อถลุงเพราะ ถ้าคุณเอาแต่เก็บแล้วไม่ใช้เพื่อตัวเอง วันหนึ่งความอดทนคุณจะหมดลง เพราะคุณไม่รู้จะทำไปเพื่ออะไร และนำเงินที่มีอยู่มาถลุงจนหมดตัวครับ (คือการถ่วงดุลกันและกันนั่นเอง แนวคิดนี้ก้อมาจากหนังสือที่ผมแนะนำแหละครับ จำขึ้นใจเลยครับ ได้ยินครั้งแรกนี่หละ ทำให้ผมเก็บเงินเป็นระบบมากๆๆที่สุดในโลก)[/code]
เมื่อได้กำไรทั้งหมดจากการลงทุน (คิดเป็น100%)
1.แบ่ง 10%ไว้เพื่อศึกษาหาความรู้ เพื่อการลงทุนและความมั่งคั่งต่อไป จะเป็นการเข้าคอร์ส อบรม สัมมนา อ่านหนังสือ ฯลฯ
2.แบ่งอีก 10%ไว้เพื่อ ถลุง หรือทำในสิ่งที่ต้องการ ไม่ว่าจะเป็นการซื้อของที่อยากได้ กินอาหารหรูๆ 10% ไม่เท่าไหร่หรอกครับ เติมความสุขให้ชีวิต ถ้ารวยแล้วไม่ใช้เงิน ผมว่า อยู่แบบจนๆไปแหละดีกว่าครับ
3.อีก 80% นำกลับไปลงทุนต่อ
4.ซื้อหนังสือ ถอดรหัสลับ สมองเงินล้าน เขียนโดย ที ฮาร์ฟ เอคเคอร์ มาอ่าน เล่มละ 160 กว่าบาท อ่านแล้วคุณจะมองเห็นเป้าหมายได้ชัดขึ้น และไม่หลงทางแน่นอนครับ
ปล.ที่แนะนำให้ 10% เพื่อถลุงเพราะ ถ้าคุณเอาแต่เก็บแล้วไม่ใช้เพื่อตัวเอง วันหนึ่งความอดทนคุณจะหมดลง เพราะคุณไม่รู้จะทำไปเพื่ออะไร และนำเงินที่มีอยู่มาถลุงจนหมดตัวครับ (คือการถ่วงดุลกันและกันนั่นเอง แนวคิดนี้ก้อมาจากหนังสือที่ผมแนะนำแหละครับ จำขึ้นใจเลยครับ ได้ยินครั้งแรกนี่หละ ทำให้ผมเก็บเงินเป็นระบบมากๆๆที่สุดในโลก)[/code]
-
- Verified User
- โพสต์: 148
- ผู้ติดตาม: 0
นักลงทุนผู้เสียสละ
โพสต์ที่ 15
ผมก็เคยทำอย่างคุณอาเหลียงครับแต่ทำแล้วพบว่าไม่ใช่ทาง คือที่ทำตอนแรกนี่คือได้เงินก็เอาไปลงทุนต่อเพื่อที่เงินจะได้งอกออกมามากกว่าเดิม แต่ตอนหลังผมคิดว่ามันตึงเกินไป ผมเลยแบ่งเงินออกมาบางส่วนเพื่อใช้จ่ายหาความสุขบ้าง ผมคิดว่าการเดินทางไปสู่จุดหมายที่อิสระภาพทางการเงินนั้นถ้าเราก้มหน้าก้มตารีบวิ่งไปมันเหนื่อยครับ วิ่งบ้างเดินบ้างแวะข้างทางบ้างแต่อย่าลืมจุดหมายสำหรับผมดีที่สุด
- กล้วยไม้ขาว
- Verified User
- โพสต์: 1074
- ผู้ติดตาม: 0
นักลงทุนผู้เสียสละ
โพสต์ที่ 16
เรื่องจริงครับ :8)
-
- Verified User
- โพสต์: 600
- ผู้ติดตาม: 0
นักลงทุนผู้เสียสละ
โพสต์ที่ 17
ธรรมชาติมนุษย์ไม่เหมือนกัน ไม่เท่ากัน และไม่.................ล้วนเป็นอนิจจัง
อยู่ที่เลือกความสุขแบบไหนเท่านั้นเองครับ
อยู่ที่เลือกความสุขแบบไหนเท่านั้นเองครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 600
- ผู้ติดตาม: 0
นักลงทุนผู้เสียสละ
โพสต์ที่ 19
เจอลูกสวนของท่านพี่อีกแล้ว..... :nm: ....จ๋อยไหงพี่เต๋อเรวัต เคยบอก "สองเราเท่่ากัน" ละครับเฮียบิ๊กสุ
เฮียน่าจะทันฟัง
สองเราเท่ากัน
-
- Verified User
- โพสต์: 942
- ผู้ติดตาม: 0
นักลงทุนผู้เสียสละ
โพสต์ที่ 21
อ่านข้อความนี้แล้วมันปี๊ดเลยครับ
เลยอยากเล่าเรื่องบ้าง
มีอยู่วันหนึ่ง ผมได้ขับรถกลับจากต่างจังหวัด (น่าจะเป็นวันอาทิตย์) ผมก็ขับมาเรื่อย ๆ ไม่มีอะไร พอรถมาติดไฟแดง ก็คิดอะไรเพลิน ๆ แล้วก็นั่งหันซ้ายหันขวา กลับไปเจอ 2 สิ่งที่ตรงกันข้ามกันเป็นอย่างแรง คือ
หันไปทางซ้าย เจอรถเบนซ์ SLK คนขับเป็นผู้ชาย (ไม่ได้ดูหน้าตา เพราะไม่เคยสนใจมองผู้ชาย) และก็มีคนนั่งข้าง ๆ เป็นผู้หญิง (หน้าตาน่ารักใช้ได้ทีเดียว) ผมก็เลยแอบมองผ่าน ๆ (ขอย้ำว่าผ่าน ๆ) สักพัก ก็รู้สึกว่าคนในรถคันนั้นกำลังทำกิจกรรมอะไรบางอย่างกัน (อย่าคิดมากละ) คือกำลังทะเลาะกันน่าจะรุนแรงมาก เพราะเห็นผู้หญิงลงมาจากรถและวิ่งไปอีกทางเลย ในใจก็คิด เฮ้อ เสียดาย ทำไมไม่วิ่งมาทางนี้ เนี่ย
สักพักก็หันไปทางขวา เห็นรถบรรทุก 10 ล้อ บรรทุกอะไรสักอย่างไม่ได้มอง แต่จำได้ว่าตอนอยู่บนถนน ไอ้เจ้า 10 ล้อคันนี้มันขับรถได้ค่อนข้างแย่ (ต่ำกว่ามาตรฐาน 10 ล้อทั่วไป) เมื่อรถมาจอดข้าง ๆ ผมก็เลยเกิดสัญชาติญาณมนุษย์ทั่วไป มองไปข้างบนเพื่อดูหน้าคนขับ ปรากฏว่า แทนที่ผมจะด่าคนขับในใจ ผมกลับยิ้มออกมา เนื่องจากสิ่งที่ผมเห็น คือ คนขับรถ 10 ล้อ ที่มีเงินเดือนไม่น่าจะถึง 1 หมื่นบาท กลับกำลังเล่นกับลูกของเขาอย่างมีความสุข (ขณะรถติดไฟแดง) เป็นการเล่นที่สุดแสนจะเบสิกเลย คือ คนขับกำลังจะป้อนขนมให้ลูก พอลูกอ้าปากแล้วคนขับก็เลยเอาเข้าขนมปากตัวเอง แล้วก็เลยโดนลูกตีเข้าให้พร้อมรอยยิ้มของทั้ง 3 คน (รวมผมด้วย)
หลังจากนั้นผมก็ได้ยินเสียงแตรจากรถคันอื่น อ้าวเฮ้ย ไฟเขียวแล้ว
จบ
เลยอยากเล่าเรื่องบ้าง
มีอยู่วันหนึ่ง ผมได้ขับรถกลับจากต่างจังหวัด (น่าจะเป็นวันอาทิตย์) ผมก็ขับมาเรื่อย ๆ ไม่มีอะไร พอรถมาติดไฟแดง ก็คิดอะไรเพลิน ๆ แล้วก็นั่งหันซ้ายหันขวา กลับไปเจอ 2 สิ่งที่ตรงกันข้ามกันเป็นอย่างแรง คือ
หันไปทางซ้าย เจอรถเบนซ์ SLK คนขับเป็นผู้ชาย (ไม่ได้ดูหน้าตา เพราะไม่เคยสนใจมองผู้ชาย) และก็มีคนนั่งข้าง ๆ เป็นผู้หญิง (หน้าตาน่ารักใช้ได้ทีเดียว) ผมก็เลยแอบมองผ่าน ๆ (ขอย้ำว่าผ่าน ๆ) สักพัก ก็รู้สึกว่าคนในรถคันนั้นกำลังทำกิจกรรมอะไรบางอย่างกัน (อย่าคิดมากละ) คือกำลังทะเลาะกันน่าจะรุนแรงมาก เพราะเห็นผู้หญิงลงมาจากรถและวิ่งไปอีกทางเลย ในใจก็คิด เฮ้อ เสียดาย ทำไมไม่วิ่งมาทางนี้ เนี่ย
สักพักก็หันไปทางขวา เห็นรถบรรทุก 10 ล้อ บรรทุกอะไรสักอย่างไม่ได้มอง แต่จำได้ว่าตอนอยู่บนถนน ไอ้เจ้า 10 ล้อคันนี้มันขับรถได้ค่อนข้างแย่ (ต่ำกว่ามาตรฐาน 10 ล้อทั่วไป) เมื่อรถมาจอดข้าง ๆ ผมก็เลยเกิดสัญชาติญาณมนุษย์ทั่วไป มองไปข้างบนเพื่อดูหน้าคนขับ ปรากฏว่า แทนที่ผมจะด่าคนขับในใจ ผมกลับยิ้มออกมา เนื่องจากสิ่งที่ผมเห็น คือ คนขับรถ 10 ล้อ ที่มีเงินเดือนไม่น่าจะถึง 1 หมื่นบาท กลับกำลังเล่นกับลูกของเขาอย่างมีความสุข (ขณะรถติดไฟแดง) เป็นการเล่นที่สุดแสนจะเบสิกเลย คือ คนขับกำลังจะป้อนขนมให้ลูก พอลูกอ้าปากแล้วคนขับก็เลยเอาเข้าขนมปากตัวเอง แล้วก็เลยโดนลูกตีเข้าให้พร้อมรอยยิ้มของทั้ง 3 คน (รวมผมด้วย)
หลังจากนั้นผมก็ได้ยินเสียงแตรจากรถคันอื่น อ้าวเฮ้ย ไฟเขียวแล้ว
จบ
- กล้วยไม้ขาว
- Verified User
- โพสต์: 1074
- ผู้ติดตาม: 0
นักลงทุนผู้เสียสละ
โพสต์ที่ 22
ผมชอบตรงที่มันเป็น vios และ คำว่า "พอ" น่ะครับQuattro เขียน:แล้วถ้าไอ้ทะเบียน
"พอ 999"
เนี่ย ประมูลมาราคาเป็นแสนๆล่ะครับ หึหึ
เลขสวย ๆ ก็ทำให้เดาว่าเจ้าน่าจะมีกระตัง เพราะค่าล็อกไม่น่าจะถูก
แต่ผมว่ามันก็ยังน้อยกว่าราคารถหรู ๆ มาก รวมถึงค่าบำรุงรักษาด้วยครับ
มอไซเหรอครับ ทะ้เบียนเท่มากครับแม่แฝด3 เขียน:suzuki ที่บ้านเก่าประมาณ 10 กว่าปีแล้ว แต่ทะเบียน รวย 111 :)