ไทยเลือดไหลซิบ9เดือน2แสนล้าน
-
- Verified User
- โพสต์: 1141
- ผู้ติดตาม: 0
ไทยเลือดไหลซิบ9เดือน2แสนล้าน
โพสต์ที่ 1
ไทยเลือดไหลซิบ9เดือน2แสนล้าน
วันเสาร์ที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551
โพสต์ทูเดย์ — เงินทุนดาหน้าไหลออก ยอดขายหุ้น-ถูกเรียกหนี้คืนช่วง 9 เดือน ทะลักออกไปแล้ว 2.09 แสนล้านบาท
แหล่งข่าวธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ในรอบ 9 เดือนที่ผ่านมา มีเงินทุนที่เข้ามาลงทุนในหลักทรัพย์และตลาดตราสารหนี้ไหลออกจากเมืองไทย แล้วทั้งสิ้น 4,550 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือตกประมาณ 1.57 แสนล้านบาท
นอกจากนี้ ยังพบว่าบริษัทเอกชนของไทยที่กู้เงินจากต่างประเทศมาใช้ในการขยายธุรกิจและ อุตสาหกรรม ถูกเรียกเงินกู้คืนจากต่างประเทศและต้องจ่ายเงินออกไปแล้วทั้งสิ้น 1,500 ล้านเหรียญสหรัฐ คิดเป็นเงินบาทก็ตกประมาณ 5.25 หมื่นล้านบาท
“เท่าที่ประเมินตัวเลขในช่วงสิ้นปีนี้ จะมีเงินทุนไหลออกอีกประมาณ 2,500 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือตกประมาณ 9 หมื่นล้านบาท และจะมีการเรียกคืนเงินกู้อีกอย่างน้อย 4 หมื่นล้านบาท ทั้งหมดนั้นเป็นข้อมูลที่ประเมินจากการถือครองเงินกู้ของบริษัทเอกชนไทย” แหล่งข่าวกล่าว
ด้านนางผ่องเพ็ญ เรืองวีรยุทธ์ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายตลาดการเงินและบริหารเงินสำรอง ธปท. กล่าวว่า เงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศมีแนวโมที่จะลดลงตามภาวะเศรษฐกิจโลก โดยในช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้ มีเงินลงทุนโดยตรงจากนักลงทุนต่างชาติเข้ามาแค่ 500-600 ล้านเหรียญสหรัฐ
ขณะที่การลงทุนในตลาดหุ้นในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมา มียอดนักลงทุนต่างชาติขายหุ้นออกไปแล้วกว่า 1.4 แสนล้านบาท
ธนาคารกรุงเทพ รายงานเงินทุนเคลื่อนย้ายในช่วง 8 เดือนแรกปี 2551 พบว่าไทยเกินดุล 9,000 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยเงินทุนเคลื่อนย้ายภาคเอกชนเกินดุลสุทธิ 1.09 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ จำแนกเป็นการเกินดุลของภาคธนาคาร 7,500 ล้านเหรียญสหรัฐ และภาคเอกชนที่มิใช่ธนาคารเกินดุลสุทธิ 3,400 ล้านเหรียญสหรัฐ ในจำนวนนั้นเป็นการไหลเข้าของการลงทุนโดยตรง 5,200 ล้านเหรียญสหรัฐ และสินเชื่อการค้าเพิ่มขึ้น 1,900 ล้านเหรียญสหรัฐ
ขณะที่ภาคเอกชนได้ทยอยชำระคืนหนี้ต่างประเทศ 1,000 ล้านเหรียญสหรัฐ และการไหลออกของเงินลงทุนในหลักทรัพย์ร่วม 3,300 ล้านเหรียญสหรัฐ
ธนาคารกรุงเทพ ระบุว่า ในปี 2552 เศรษฐกิจไทยยังเผชิญปัจจัยเสี่ยงจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกอย่างมาก
“การที่เศรษฐกิจของประเทศอุตสาหกรรมชั้นนำ ทั้งสหรัฐ สหภาพยุโรป และญี่ปุ่น ล้วนประสบปัญหาเศรษฐกิจชะลอตัว จะกระทบต่อการส่งออกของไทยในปี 2552 และมีผลถึงการลงทุนภาคเอกชนและการจ้างงานของไทยให้ชะลอตัวลง
วันเสาร์ที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551
โพสต์ทูเดย์ — เงินทุนดาหน้าไหลออก ยอดขายหุ้น-ถูกเรียกหนี้คืนช่วง 9 เดือน ทะลักออกไปแล้ว 2.09 แสนล้านบาท
แหล่งข่าวธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ในรอบ 9 เดือนที่ผ่านมา มีเงินทุนที่เข้ามาลงทุนในหลักทรัพย์และตลาดตราสารหนี้ไหลออกจากเมืองไทย แล้วทั้งสิ้น 4,550 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือตกประมาณ 1.57 แสนล้านบาท
นอกจากนี้ ยังพบว่าบริษัทเอกชนของไทยที่กู้เงินจากต่างประเทศมาใช้ในการขยายธุรกิจและ อุตสาหกรรม ถูกเรียกเงินกู้คืนจากต่างประเทศและต้องจ่ายเงินออกไปแล้วทั้งสิ้น 1,500 ล้านเหรียญสหรัฐ คิดเป็นเงินบาทก็ตกประมาณ 5.25 หมื่นล้านบาท
“เท่าที่ประเมินตัวเลขในช่วงสิ้นปีนี้ จะมีเงินทุนไหลออกอีกประมาณ 2,500 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือตกประมาณ 9 หมื่นล้านบาท และจะมีการเรียกคืนเงินกู้อีกอย่างน้อย 4 หมื่นล้านบาท ทั้งหมดนั้นเป็นข้อมูลที่ประเมินจากการถือครองเงินกู้ของบริษัทเอกชนไทย” แหล่งข่าวกล่าว
ด้านนางผ่องเพ็ญ เรืองวีรยุทธ์ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายตลาดการเงินและบริหารเงินสำรอง ธปท. กล่าวว่า เงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศมีแนวโมที่จะลดลงตามภาวะเศรษฐกิจโลก โดยในช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้ มีเงินลงทุนโดยตรงจากนักลงทุนต่างชาติเข้ามาแค่ 500-600 ล้านเหรียญสหรัฐ
ขณะที่การลงทุนในตลาดหุ้นในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมา มียอดนักลงทุนต่างชาติขายหุ้นออกไปแล้วกว่า 1.4 แสนล้านบาท
ธนาคารกรุงเทพ รายงานเงินทุนเคลื่อนย้ายในช่วง 8 เดือนแรกปี 2551 พบว่าไทยเกินดุล 9,000 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยเงินทุนเคลื่อนย้ายภาคเอกชนเกินดุลสุทธิ 1.09 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ จำแนกเป็นการเกินดุลของภาคธนาคาร 7,500 ล้านเหรียญสหรัฐ และภาคเอกชนที่มิใช่ธนาคารเกินดุลสุทธิ 3,400 ล้านเหรียญสหรัฐ ในจำนวนนั้นเป็นการไหลเข้าของการลงทุนโดยตรง 5,200 ล้านเหรียญสหรัฐ และสินเชื่อการค้าเพิ่มขึ้น 1,900 ล้านเหรียญสหรัฐ
ขณะที่ภาคเอกชนได้ทยอยชำระคืนหนี้ต่างประเทศ 1,000 ล้านเหรียญสหรัฐ และการไหลออกของเงินลงทุนในหลักทรัพย์ร่วม 3,300 ล้านเหรียญสหรัฐ
ธนาคารกรุงเทพ ระบุว่า ในปี 2552 เศรษฐกิจไทยยังเผชิญปัจจัยเสี่ยงจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกอย่างมาก
“การที่เศรษฐกิจของประเทศอุตสาหกรรมชั้นนำ ทั้งสหรัฐ สหภาพยุโรป และญี่ปุ่น ล้วนประสบปัญหาเศรษฐกิจชะลอตัว จะกระทบต่อการส่งออกของไทยในปี 2552 และมีผลถึงการลงทุนภาคเอกชนและการจ้างงานของไทยให้ชะลอตัวลง
-
- Verified User
- โพสต์: 1141
- ผู้ติดตาม: 0
ไทยเลือดไหลซิบ9เดือน2แสนล้าน
โพสต์ที่ 3
ศุกร์ที่ 14 พฤศจิกายน 2008 14:32:42 น.
ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)รายงานตัวเลขทุนสำรองเงินตราต่างประเทศของไทย วันที่ 7 พ.ย.2551 อยู่ที่
103.1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ จากวันที่ 31 ต.ค.2551 ที่ 103.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
ขณะเดียวกันฐานะฟอร์เวิร์ดสุทธิของไทย วันที่ 7 พ.ย.2551 อยู่ที่ 9.0 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เทียบกับเมื่อวัน
ที่ 31 ต.ค.2551 ซึ่งอยู่ที่ 8.9 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เท่ากัน
เงินสำรองระหว่างประเทศในรูปเงินบาท วันที่ 7 พ.ย.2551 อยู่ที่ระดับ 3,607.0 พันล้านบาท จาก 3,603.5
พันล้านบาท เมื่อวันที่ 31 ต.ค.2551
31 ต.ค.51 7 พ.ย.51
เงินทุนสำรองระหว่างประเทศ (พันล้านบาท) 3,603.5 3,607.0
(พันล้านดอลลาร์ สรอ.) 103.2 103.1
ฐานะสุทธิ Forward(พันล้านดอลลาร์ สรอ.) 8.9 9.0
สินเชื่อสุทธิที่ให้กับรัฐบาล(พันล้านบาท) 72.8 88.1
สินเชื่อสุทธิที่ให้กับสถาบันการเงิน -2,077.2 -2,125.0
(พันล้านบาท)
ฐานเงิน(พันล้านบาท) 926.6 893.0
--อินโฟเควสท์ โดย พรเพ็ญ ดวงเฉลิมวงศ์/รัชดา โทร.0-2253-5050 ต่อ 317 อีเมล์: [email protected]--
ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)รายงานตัวเลขทุนสำรองเงินตราต่างประเทศของไทย วันที่ 7 พ.ย.2551 อยู่ที่
103.1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ จากวันที่ 31 ต.ค.2551 ที่ 103.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
ขณะเดียวกันฐานะฟอร์เวิร์ดสุทธิของไทย วันที่ 7 พ.ย.2551 อยู่ที่ 9.0 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เทียบกับเมื่อวัน
ที่ 31 ต.ค.2551 ซึ่งอยู่ที่ 8.9 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เท่ากัน
เงินสำรองระหว่างประเทศในรูปเงินบาท วันที่ 7 พ.ย.2551 อยู่ที่ระดับ 3,607.0 พันล้านบาท จาก 3,603.5
พันล้านบาท เมื่อวันที่ 31 ต.ค.2551
31 ต.ค.51 7 พ.ย.51
เงินทุนสำรองระหว่างประเทศ (พันล้านบาท) 3,603.5 3,607.0
(พันล้านดอลลาร์ สรอ.) 103.2 103.1
ฐานะสุทธิ Forward(พันล้านดอลลาร์ สรอ.) 8.9 9.0
สินเชื่อสุทธิที่ให้กับรัฐบาล(พันล้านบาท) 72.8 88.1
สินเชื่อสุทธิที่ให้กับสถาบันการเงิน -2,077.2 -2,125.0
(พันล้านบาท)
ฐานเงิน(พันล้านบาท) 926.6 893.0
--อินโฟเควสท์ โดย พรเพ็ญ ดวงเฉลิมวงศ์/รัชดา โทร.0-2253-5050 ต่อ 317 อีเมล์: [email protected]--
- Sumotin
- Verified User
- โพสต์: 1131
- ผู้ติดตาม: 0
ไทยเลือดไหลซิบ9เดือน2แสนล้าน
โพสต์ที่ 5
ผมว่าไม่ดีนะครับ เงินตรงนี้ไม่ใช่เงินเย็น เป็นเงินที่ใช้บอกสเถียรภาพของค่าเงินอีกด้วยครับ ไม่งั้นก็จะรักษาระดับค่าเงินได้ยากถ้าเกิดการถอนออกของเงินอย่างเร็วJeng เขียน:มีเงินเยอะขนาดนี้ ไม่รู้จักเอามาซื้อหุ้น ซื้อไปเลย 1 ล้านๆ รัฐบาลจะได้เงินปันผลด้วยนะ
แต่สามารถกันมาสร้างกองทุนบางส่วนได้ครับแต่จำนวนเท่าไหร่นั้นไม่ทราบได้
Timing is everything, no matter what you do.
CAGR of 34% in the past 15 years of investment
CAGR of 34% in the past 15 years of investment
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 14783
- ผู้ติดตาม: 0
ไทยเลือดไหลซิบ9เดือน2แสนล้าน
โพสต์ที่ 6
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 2375 16 พ.ย. - 19 พ.ย. 2551
4 ล้านล้านหยวนกระตุ้น ศก.จีน ข่าวดีหรือข่าวร้าย
เจอสัญญาณเตือนเศรษฐกิจชะลอตัว ตัวเลขการส่งออกหดตัว โรงงานปิดกิจการ คนตกงานจำนวนมาก ล้วนเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้รัฐบาลจีนต้องประกาศมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจมูลค่า 4 ล้านล้านหยวน ระยะ 2 ปี ไปเมื่อ 9 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ตามหลังสหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น และเยอรมนีที่ประกาศไปก่อนหน้าไม่นานนัก
แพ็กเกจดังกล่าวส่วนใหญ่เป็นงบประมาณที่จะใช้จ่ายในการพัฒนาประเทศ ครอบคลุมตั้งแต่ระบบสาธารณูปโภค เช่น สนามบิน ถนน การลดภาษีให้ผู้ส่งออก การช่วยเหลือคนยากจนและเกษตรกร รวมไปถึงโครงการด้านการศึกษา สุขภาพ การป้องการสิ่งแวดล้อมและพัฒนาเทคโนโลยี ซึ่งถือเป็นนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจที่ต่อเนื่องมาจากที่รัฐบาลจีนประกาศไปก่อนหน้านี้ เช่น มาตรการลดอัตราดอกเบี้ยลงติดต่อกัน 3 ครั้ง การลดสัดส่วนทุนสำรองของธนาคารพาณิชย์เพื่อสนับสนุนการปล่อยกู้ การปฏิรูประบบภาษีมูลค่าเพิ่ม และการลงทุนในระบบสาธารณูปโภคต่างๆ เป็นต้น
หลังการประกาศนโยบายดังกล่าว ตลาดหุ้นในญี่ปุ่น ฮ่องกงและจีน รวมทั้งในเอเชียดีดตัวรับด้วยดี
เหวิน เจีย เป่า นายกรัฐมนตรีจีน ก็ประกาศยอมรับด้วยตัวเองเป็นครั้งแรก ว่า วิกฤติการเงินโลกครั้งนี้ส่งผลกระทบต่อจีนเกินกว่าที่คาดไว้ และย้ำว่าจีนจำเป็นต้องเพิ่มการลงทุน เพิ่มการใช้จ่ายของผู้บริโภค และสร้างการแข่งขันในภาคธุรกิจ รวมไปถึงปฏิรูปภาคการเงิน และสร้างความแข็งแกร่งให้กับภาคอสังหาริมทรัพย์ เพื่อรักษาการเติบโตทางเศรษฐกิจไว้
อย่างไรก็ตาม นโยบายทั้งหมดนี้ อยู่ภายใต้เป้าหมายของผู้นำจีนที่ต้องการรักษาการเติบโตทางเศรษฐกิจไม่ให้ชะลอตัวและสร้างเสถียรภาพให้กับประเทศ โดยเฉพาะโครงการพัฒนาสาธารณูปโภคขนาดใหญ่ จะช่วยสร้างงานให้กับแรงงานก่อสร้างที่ตกงานอยู่จำนวนมาก ในขณะเดียวกันก็ช่วยพยุงธุรกิจภาคอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ เช่นเหล็ก ซีเมนต์ และอื่นๆให้เติบโตต่อไปได้
ทั้งนี้มีนักเศรษฐศาสตร์บางคนเชื่อว่า การส่งออกของจีนถึงจุดสิ้นสุดยุคทองแล้ว จีนจึงจำเป็นต้องหันมาพัฒนาตลาดในประเทศแทนด้วยการพัฒนาระบบการศึกษา ระบบประกันสังคม และอื่นๆเพื่อให้ความเป็นอยู่ของคนจีนดีขึ้นและกลายเป็นผู้บริโภคที่ใช้จ่ายอย่างแท้จริงๆไม่ใช่เพื่อการออมเท่านั้น ซึ่งหากคนจีนหันมาใช้จ่ายมากขึ้นก็จะส่งผลไปถึงประเทศอื่นๆทั่วโลก แต่การเปลี่ยนแปลงนี้คงจะไม่เกิดขึ้นโดยเร็ว เพราะทางการจีนยังต้องสร้างความเชื่อมั่นให้สูงมากขึ้นกว่าในขณะนี้
ที่มองต่างมุมออกไป คือจอห์น บราวด์ นักยุทธศาสตร์การตลาดอาวุโส จากยูโร แปซิฟิก แคปปิตอล ที่มองนโยบายของจีนครั้งนี้ว่า จีนไม่จำเป็นต้องยืมเงินที่อื่นมาสนับสนุนนโยบายครั้งนี้ เพราะมีทุนสำรองอยู่ในมือสามารถนำมาฟื้นฟูประเทศ แทนการนำไปลงทุนซื้อพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯได้สบายๆ แต่ก็ยังไม่ได้บอกชัดเจนว่าจะนำมาจากแหล่งไหน
ซึ่งทั้งนี้ทั้งนั้น หากจีนขายพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯที่ถืออยู่ในมือมูลค่าประมาณ 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯออกไปส่วนหนึ่งเพื่อนำเงินมาใช้กระตุ้นเศรษฐกิจครั้งนี้ ก็จะส่งผลกระทบต่อนโยบายดอกเบี้ยสหรัฐฯ และอาจทำให้วิกฤติการเงินสหรัฐฯเลวร้ายลงไปอีก จากภาวะเศรษฐกิจที่กำลังถดถอยก้าวไปสู่สถานการณ์เศรษฐกิจตกต่ำได้ทันที
หลายคนจึงมองว่า แพ็กเกจกระตุ้นเศรษฐกิจของจีนที่เชื่อกันว่าจะช่วยฟื้นฟูวิกฤติการเงินโลกอาจกลายเป็นข่าวร้ายของสหรัฐฯ ก็ได้
http://www.thannews.th.com/detialnews.p ... issue=2375
4 ล้านล้านหยวนกระตุ้น ศก.จีน ข่าวดีหรือข่าวร้าย
เจอสัญญาณเตือนเศรษฐกิจชะลอตัว ตัวเลขการส่งออกหดตัว โรงงานปิดกิจการ คนตกงานจำนวนมาก ล้วนเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้รัฐบาลจีนต้องประกาศมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจมูลค่า 4 ล้านล้านหยวน ระยะ 2 ปี ไปเมื่อ 9 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ตามหลังสหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น และเยอรมนีที่ประกาศไปก่อนหน้าไม่นานนัก
แพ็กเกจดังกล่าวส่วนใหญ่เป็นงบประมาณที่จะใช้จ่ายในการพัฒนาประเทศ ครอบคลุมตั้งแต่ระบบสาธารณูปโภค เช่น สนามบิน ถนน การลดภาษีให้ผู้ส่งออก การช่วยเหลือคนยากจนและเกษตรกร รวมไปถึงโครงการด้านการศึกษา สุขภาพ การป้องการสิ่งแวดล้อมและพัฒนาเทคโนโลยี ซึ่งถือเป็นนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจที่ต่อเนื่องมาจากที่รัฐบาลจีนประกาศไปก่อนหน้านี้ เช่น มาตรการลดอัตราดอกเบี้ยลงติดต่อกัน 3 ครั้ง การลดสัดส่วนทุนสำรองของธนาคารพาณิชย์เพื่อสนับสนุนการปล่อยกู้ การปฏิรูประบบภาษีมูลค่าเพิ่ม และการลงทุนในระบบสาธารณูปโภคต่างๆ เป็นต้น
หลังการประกาศนโยบายดังกล่าว ตลาดหุ้นในญี่ปุ่น ฮ่องกงและจีน รวมทั้งในเอเชียดีดตัวรับด้วยดี
เหวิน เจีย เป่า นายกรัฐมนตรีจีน ก็ประกาศยอมรับด้วยตัวเองเป็นครั้งแรก ว่า วิกฤติการเงินโลกครั้งนี้ส่งผลกระทบต่อจีนเกินกว่าที่คาดไว้ และย้ำว่าจีนจำเป็นต้องเพิ่มการลงทุน เพิ่มการใช้จ่ายของผู้บริโภค และสร้างการแข่งขันในภาคธุรกิจ รวมไปถึงปฏิรูปภาคการเงิน และสร้างความแข็งแกร่งให้กับภาคอสังหาริมทรัพย์ เพื่อรักษาการเติบโตทางเศรษฐกิจไว้
อย่างไรก็ตาม นโยบายทั้งหมดนี้ อยู่ภายใต้เป้าหมายของผู้นำจีนที่ต้องการรักษาการเติบโตทางเศรษฐกิจไม่ให้ชะลอตัวและสร้างเสถียรภาพให้กับประเทศ โดยเฉพาะโครงการพัฒนาสาธารณูปโภคขนาดใหญ่ จะช่วยสร้างงานให้กับแรงงานก่อสร้างที่ตกงานอยู่จำนวนมาก ในขณะเดียวกันก็ช่วยพยุงธุรกิจภาคอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ เช่นเหล็ก ซีเมนต์ และอื่นๆให้เติบโตต่อไปได้
ทั้งนี้มีนักเศรษฐศาสตร์บางคนเชื่อว่า การส่งออกของจีนถึงจุดสิ้นสุดยุคทองแล้ว จีนจึงจำเป็นต้องหันมาพัฒนาตลาดในประเทศแทนด้วยการพัฒนาระบบการศึกษา ระบบประกันสังคม และอื่นๆเพื่อให้ความเป็นอยู่ของคนจีนดีขึ้นและกลายเป็นผู้บริโภคที่ใช้จ่ายอย่างแท้จริงๆไม่ใช่เพื่อการออมเท่านั้น ซึ่งหากคนจีนหันมาใช้จ่ายมากขึ้นก็จะส่งผลไปถึงประเทศอื่นๆทั่วโลก แต่การเปลี่ยนแปลงนี้คงจะไม่เกิดขึ้นโดยเร็ว เพราะทางการจีนยังต้องสร้างความเชื่อมั่นให้สูงมากขึ้นกว่าในขณะนี้
ที่มองต่างมุมออกไป คือจอห์น บราวด์ นักยุทธศาสตร์การตลาดอาวุโส จากยูโร แปซิฟิก แคปปิตอล ที่มองนโยบายของจีนครั้งนี้ว่า จีนไม่จำเป็นต้องยืมเงินที่อื่นมาสนับสนุนนโยบายครั้งนี้ เพราะมีทุนสำรองอยู่ในมือสามารถนำมาฟื้นฟูประเทศ แทนการนำไปลงทุนซื้อพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯได้สบายๆ แต่ก็ยังไม่ได้บอกชัดเจนว่าจะนำมาจากแหล่งไหน
ซึ่งทั้งนี้ทั้งนั้น หากจีนขายพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯที่ถืออยู่ในมือมูลค่าประมาณ 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯออกไปส่วนหนึ่งเพื่อนำเงินมาใช้กระตุ้นเศรษฐกิจครั้งนี้ ก็จะส่งผลกระทบต่อนโยบายดอกเบี้ยสหรัฐฯ และอาจทำให้วิกฤติการเงินสหรัฐฯเลวร้ายลงไปอีก จากภาวะเศรษฐกิจที่กำลังถดถอยก้าวไปสู่สถานการณ์เศรษฐกิจตกต่ำได้ทันที
หลายคนจึงมองว่า แพ็กเกจกระตุ้นเศรษฐกิจของจีนที่เชื่อกันว่าจะช่วยฟื้นฟูวิกฤติการเงินโลกอาจกลายเป็นข่าวร้ายของสหรัฐฯ ก็ได้
http://www.thannews.th.com/detialnews.p ... issue=2375