มีคำถาม อยากถามมาก
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 14783
- ผู้ติดตาม: 0
มีคำถาม อยากถามมาก
โพสต์ที่ 1
ระหว่างเลือก
1. หุ้นพื้นฐานดี แล้วค่อยหาราคาเหมาะสม
2. เลือกราคาที่ถูกสุดๆ สุดจน ไม่มีใครเห็นด้วยเลยว่าควรซื้อ แล้วค่อยไปดูพื้นฐ่าน แบบดูแล้วดูอีก เพื่อนๆ ก็ไม่ค่อยเห็นด้วยแต่เราเห็นว่าพื้นฐานดีแน่ๆ ในอนาคต ในมุมของเรา
แบบไหนทำกำไรมากกว่ากัน
1. หุ้นพื้นฐานดี แล้วค่อยหาราคาเหมาะสม
2. เลือกราคาที่ถูกสุดๆ สุดจน ไม่มีใครเห็นด้วยเลยว่าควรซื้อ แล้วค่อยไปดูพื้นฐ่าน แบบดูแล้วดูอีก เพื่อนๆ ก็ไม่ค่อยเห็นด้วยแต่เราเห็นว่าพื้นฐานดีแน่ๆ ในอนาคต ในมุมของเรา
แบบไหนทำกำไรมากกว่ากัน
- crazyrisk
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 4549
- ผู้ติดตาม: 0
มีคำถาม อยากถามมาก
โพสต์ที่ 2
ในฐานะที่ประสบการณ์เรื่องหุ้นของผมอ่อนเยาว์กว่าพี่เจ๋ง
ขอรบกวนพี่เจ๋งช่วยเล่า สักนิดได้ไหมครับ
ว่าที่ผ่านมา ลองแบบไหน แล้ว ได้ผลตอบแทนเ็ป็นอย่างไรครับ
ขอรบกวนพี่เจ๋งช่วยเล่า สักนิดได้ไหมครับ
ว่าที่ผ่านมา ลองแบบไหน แล้ว ได้ผลตอบแทนเ็ป็นอย่างไรครับ
"Champions aren't made in gyms. Champions are made from something they have deep inside them: A desire, a dream, a vision.
-
- Verified User
- โพสต์: 41
- ผู้ติดตาม: 0
มีคำถาม อยากถามมาก
โพสต์ที่ 3
ผมว่าทางเลือกที่ 2 ครับ เลือกราคาที่ถูกสุดๆ แต่ต้องขอยอมรับก่อน ว่าส่วนตัวผมแล้ว ไม่เคยมีประสบการณ์ กับทางเลือกที่ 2 มีแต่ใช้วิธีทางเลือกที่ 1 แต่ตอนนี้ผมคิดว่า หุ้นดี คือหุ้นที่ราคาต่ำกว่าพื้นฐาน เช่นสมมุติว่าหุ้น IEC ถ้าราคาต่ำมากๆ เช่นหุ้นล่ะ 0.01 (เอาแบบสุดขั้วเลยน่ะ) ก็น่าจถือว่าเป็นหุ้นดีที่ควรซื้อได้ (ถ้าซื้อแล้ว บริษัทไม่ปิดตัว) และถ้าหุ้น PTT ราคาสูงถึง 10000 บาท(สมมุติเว่อร์ๆ )แบบนี้ ก็อาจจะเป็นหุ้นที่ไม่ดี ไม่ควรมีในสายตาผมได้
- sorawut
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 2455
- ผู้ติดตาม: 1
มีคำถาม อยากถามมาก
โพสต์ที่ 4
อย่างแรกครับ
ถ้าเราหาราคาเหมาะสมของหุ้นพื้นฐานดีๆไว้
เวลามีข่าวไม่ดีชั่วคราวที่่ไม่กระทบพื้นฐานบริษัท ข่าวบางอย่างมีผลแค่ไม่กี่วันหรือไม่กี่ชั่วโมง
เราสามารถตัดสินใจซื้อได้ในทันที เพราะได้ประเมินมูลค่าไว้แล้ว
โอกาสเป็นของคนที่พร้อมเสมอ :lol:
ถ้าเราหาราคาเหมาะสมของหุ้นพื้นฐานดีๆไว้
เวลามีข่าวไม่ดีชั่วคราวที่่ไม่กระทบพื้นฐานบริษัท ข่าวบางอย่างมีผลแค่ไม่กี่วันหรือไม่กี่ชั่วโมง
เราสามารถตัดสินใจซื้อได้ในทันที เพราะได้ประเมินมูลค่าไว้แล้ว
โอกาสเป็นของคนที่พร้อมเสมอ :lol:
ตัดสินใจว่า ธุรกิจไหนที่คุณต้องการจะเป็นเจ้าของ
และซื้อเมื่อราคาสามารถให้ผลตอบแทนจากการลงทุน ในอัตราที่เข้าท่าสำหรับการร่วมทำธุรกิจเท่านั้น
และซื้อเมื่อราคาสามารถให้ผลตอบแทนจากการลงทุน ในอัตราที่เข้าท่าสำหรับการร่วมทำธุรกิจเท่านั้น
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 14783
- ผู้ติดตาม: 0
มีคำถาม อยากถามมาก
โพสต์ที่ 5
ประสบการณ์ เช่น สมัย bigc ราคาลงจาก 25 เหลือ 12.5 ณ เวลานั้นcrazyrisk เขียน:ในฐานะที่ประสบการณ์เรื่องหุ้นของผมอ่อนเยาว์กว่าพี่เจ๋ง
ขอรบกวนพี่เจ๋งช่วยเล่า สักนิดได้ไหมครับ
ว่าที่ผ่านมา ลองแบบไหน แล้ว ได้ผลตอบแทนเ็ป็นอย่างไรครับ
จากขาดทุน >>> ขาดทุนน้อย >>> เสมอตัว >> เริ่มกำไร
ตลอด 4 ปี แทนที่หุ้นจะขึ้น กลับลงจาก 25 เหลือ 12.50
พอมาโพสในเว็บ เพื่อถามว่า bigc ดีหรือไม่
ก็เจอแต่คำตอบว่า สู้ lotus ไม่ได้
พี่ก็ดีใจ ที่ไม่มีใครเห็นด้วยเลย
ก็เลยซื้อครับ
เหตุผลคือ ณ เวลาที่หุ้นลงต่ำมากๆ ประกอบกับ ผลงานที่ทำได้ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง และไม่มีใครเห็นด้วยเลย
ทำให้ซื้อได้ในราคาที่ต่ำมากๆ
ณ ปัจจุบัน พี่ก็ว่ามีหุ้นที่ราคาต่ำมากๆ ประกอบกับผลงานดี และมีแนวโน้มจะดีต่อเนื่องไปอีก แต่ก็ไม่มีคนสนใจ
อิอิ พี่ชอบมากหากโพสแล้วคนไม่ค่อยสนใจ แสดงว่า น่าจะได้ราคาต่ำสุดๆ
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 14783
- ผู้ติดตาม: 0
มีคำถาม อยากถามมาก
โพสต์ที่ 6
อย่างไรก็ตาม วิธีที่หนึ่ง เสียงกับการได้หุ้นพื้นฐานดี ในราคาไม่เหมาะสม
ส่วนวิธีที่สอง เสี่ยงกับการได้หุ้นราคาเหมาะสม แต่พื้นฐานไม่ดี
เพราะวิธีที่หนึ่งเลือกหุ้นพื้นฐานดีก่อน ค่อยไปหาราคาเหมาะสม แล้วรอ ซึ่ง ในสถานการณ์ดีๆ อาจจะรอไม่ไหว เพราะทุกอย่างดูดีหมด
และวิธีที่สอง เอาหุ้นราคาต่ำๆ มาเลือกดูก่อน แล้วค่อยไปดูพื้นฐาน ก็อาจจะทำให้เลือกหุ้นบริษัทที่พื้นฐานไม่ดีเข้ามา
ส่วนวิธีที่สอง เสี่ยงกับการได้หุ้นราคาเหมาะสม แต่พื้นฐานไม่ดี
เพราะวิธีที่หนึ่งเลือกหุ้นพื้นฐานดีก่อน ค่อยไปหาราคาเหมาะสม แล้วรอ ซึ่ง ในสถานการณ์ดีๆ อาจจะรอไม่ไหว เพราะทุกอย่างดูดีหมด
และวิธีที่สอง เอาหุ้นราคาต่ำๆ มาเลือกดูก่อน แล้วค่อยไปดูพื้นฐาน ก็อาจจะทำให้เลือกหุ้นบริษัทที่พื้นฐานไม่ดีเข้ามา
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 14783
- ผู้ติดตาม: 0
มีคำถาม อยากถามมาก
โพสต์ที่ 7
ต่ออีกนิด ณ ปัจจุบัน หุ้นลงขนาดนี้ จาก 880 ลงไป 380 แล้วเด้งขึ้นมา bigc ก็ไม่เคยกลับไป 12.50 เลยJeng เขียน: ประสบการณ์ เช่น สมัย bigc ราคาลงจาก 25 เหลือ 12.5 ณ เวลานั้น
จากขาดทุน >>> ขาดทุนน้อย >>> เสมอตัว >> เริ่มกำไร
ตลอด 4 ปี แทนที่หุ้นจะขึ้น กลับลงจาก 25 เหลือ 12.50
พอมาโพสในเว็บ เพื่อถามว่า bigc ดีหรือไม่
ก็เจอแต่คำตอบว่า สู้ lotus ไม่ได้
พี่ก็ดีใจ ที่ไม่มีใครเห็นด้วยเลย
ก็เลยซื้อครับ
เหตุผลคือ ณ เวลาที่หุ้นลงต่ำมากๆ ประกอบกับ ผลงานที่ทำได้ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง และไม่มีใครเห็นด้วยเลย
ทำให้ซื้อได้ในราคาที่ต่ำมากๆ
ณ ปัจจุบัน พี่ก็ว่ามีหุ้นที่ราคาต่ำมากๆ ประกอบกับผลงานดี และมีแนวโน้มจะดีต่อเนื่องไปอีก แต่ก็ไม่มีคนสนใจ
อิอิ พี่ชอบมากหากโพสแล้วคนไม่ค่อยสนใจ แสดงว่า น่าจะได้ราคาต่ำสุดๆ
- กล้วยไม้ขาว
- Verified User
- โพสต์: 1074
- ผู้ติดตาม: 0
มีคำถาม อยากถามมาก
โพสต์ที่ 8
ขอออกความคิดเห็นมั่งนะครับ
ถ้าในสถานการณ์ปกติเราใช้วิธีแรก
แล้วใช้วิธีที่สองในสถานการณ์แบบช่วงนี้
จะดีไหมครับ
ถ้าในสถานการณ์ปกติเราใช้วิธีแรก
แล้วใช้วิธีที่สองในสถานการณ์แบบช่วงนี้
จะดีไหมครับ
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 14783
- ผู้ติดตาม: 0
มีคำถาม อยากถามมาก
โพสต์ที่ 10
ในสถานการณ์ปกติ หากเลือกวิธี แรก ก็รอ แล้วรอ อีก ราคาไม่ค่อยลง เพราะหุ้นตัวนั้นๆ ก็มักมีเหตุผลรองรับไปแล้ว ว่าพื้นฐานดีจริงๆFaNtaSistA เขียน:ขอออกความคิดเห็นมั่งนะครับ
ถ้าในสถานการณ์ปกติเราใช้วิธีแรก
แล้วใช้วิธีที่สองในสถานการณ์แบบช่วงนี้
จะดีไหมครับ
ในสถานการณ์ช่วงนี้ ดร.นิเวศน์ ก็ยังเลือกหุ้นพื้นฐานดี ในราคาที่ ถูกกว่าราคาเหมาะสม
แกก็คงไม่เลือกหุ้นที่ลงมาก แต่พื้นฐาน อาจจะไม่ได้ดียอดเยี่ยม
เหอๆ
- กล้วยไม้ขาว
- Verified User
- โพสต์: 1074
- ผู้ติดตาม: 0
มีคำถาม อยากถามมาก
โพสต์ที่ 11
แล้วถ้ากลับกัน (อีกที) ล่ะครับ
- naris
- Verified User
- โพสต์: 6726
- ผู้ติดตาม: 0
Re: มีคำถาม อยากถามมาก
โพสต์ที่ 15
วิธีแรก แนวอาจารย์ปู่วอเรน อาศัยการมองจากประสบการณ์ทางธุรกิจที่มีอยู่ จะยึดแนวปัจจัยทางคุณภาพมากกว่าปัจจัยเชิงปริมาณ จุดแข็งสามารถโฟกัสทิ้งไข่ลงในตระกร้าได้มากเท่าที่เรารู้จริงJeng เขียน:ระหว่างเลือก
1. หุ้นพื้นฐานดี แล้วค่อยหาราคาเหมาะสม
2. เลือกราคาที่ถูกสุดๆ สุดจน ไม่มีใครเห็นด้วยเลยว่าควรซื้อ แล้วค่อยไปดูพื้นฐ่าน แบบดูแล้วดูอีก เพื่อนๆ ก็ไม่ค่อยเห็นด้วยแต่เราเห็นว่าพื้นฐานดีแน่ๆ ในอนาคต ในมุมของเรา
แบบไหนทำกำไรมากกว่ากัน
วิธีที่สอง แนวอาจารย์ทวดเบนจามิน อาศัยการคำนวนเชิงปริมาณมากกว่าเชิงคุณภาพ ความเสี่ยงเจ๊งมีสูงกว่าข้อแรก ทำให้ต้องกระจายหลายๆสิบตัวเพื่อหาช้างเผือกสักตัวในนั้น
ส่วนตัวผมมีทั้งสองตัวครับ ความถูกห่างกันเป็นเท่า และที่เคยรวยเป็นเด้งๆก็ได้จากทั้งสองแบบ และที่เคยขาดทุนเยอะๆก็มีทั้งสองแบบเหมือนกันครับ :lol:
ราคาระยะสั้นตามข่าว--ราคาระยะยาวตามผลกำไร
- กล้วยไม้ขาว
- Verified User
- โพสต์: 1074
- ผู้ติดตาม: 0
มีคำถาม อยากถามมาก
โพสต์ที่ 16
มาคิดดูอีกทีวิธีแรกจะทำให้เรามี หุ้นน่าสนใจในลิตส์เยอะ
เวลาราคาลดลงมาเราจะวิเคราะห์ได้ไวขึ้น
ตัดสินใจได้ไวขึ้นเหมือนกันนะครับ (เพราะำเคยวิเคราะห์แล้ว)
วิธีแรกเลยน่าจะดีกว่าในแง่นี้ครับ
(หรือเปล่า)
เวลาราคาลดลงมาเราจะวิเคราะห์ได้ไวขึ้น
ตัดสินใจได้ไวขึ้นเหมือนกันนะครับ (เพราะำเคยวิเคราะห์แล้ว)
วิธีแรกเลยน่าจะดีกว่าในแง่นี้ครับ
(หรือเปล่า)
- สามัญชน
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 5162
- ผู้ติดตาม: 0
Re: มีคำถาม อยากถามมาก
โพสต์ที่ 18
คำถามดีมากครับJeng เขียน:ระหว่างเลือก
1. หุ้นพื้นฐานดี แล้วค่อยหาราคาเหมาะสม
2. เลือกราคาที่ถูกสุดๆ สุดจน ไม่มีใครเห็นด้วยเลยว่าควรซื้อ แล้วค่อยไปดูพื้นฐ่าน แบบดูแล้วดูอีก เพื่อนๆ ก็ไม่ค่อยเห็นด้วยแต่เราเห็นว่าพื้นฐานดีแน่ๆ ในอนาคต ในมุมของเรา
ปัญหานี้ไม่ใช่แค่เรื่องของมือใหม่เท่านั้น
แตมือเก่าก็ปวดหัวกับปัญหาแบบนี้เหมือนกัน
ถ้าบัฟเฟตต์และดร.นิเวศน์คงตอบว่า เลือกข้อ 1. คือพื้นฐานก่อน
แล้วค่อยกำหนดราคาเหมาะสมที่จะเข้าซื้อ
หรือถ้าราคายังแพงอยู่
ก็ยินดีจะรอให้ราคาลงมาที่ระดับยุติธรรมเสียก่อน
แต่ส่วนตัวผมตอนเล่นหุ้นใหม่ๆ
ก็พยายามจะทำตามนั้น
แต่ในทางปฎิบัติ ไม่ง่ายเลย
ก็เลยเปลี่ยนวิธีไปหาวิธีที่ง่ายกว่าคือเลือกข้อ 2.
การมองหาหุ้นราคาถูกนั้น
ทำได้ง่ายมากในทางปฎิบัติ
และไม่ต้องพึ่งพาความรู้ด้านธุรกิจมากนัก
เพียงแต่มองหาตัวที่ pe pb ต่ำๆก็ใช้ได้แล้ว
และข้อมูลเหล่านี้ก็เป็นข้อมูลเชิงปริมาณ สามารถนำมาคำนวนำได้ง่ายๆ
ใช้ในการกรองขั้นต้น แล้วค่อยกรองละเอียดเรื่องพื้นฐานทีหลัง
ผมคิดว่าวิธีนี้ได้ผลดีพอสมควร
และยิ่งทำก็ยิ่งติดใจ
จนตอนนี้ก็ใช้วิธีนี้จนติดเป็นนิสัยเสียแล้ว
อานิสงค์ของวิธีนี้
ทำให้เราเจอหุ้นวัฎจักร หุ้นฟื้นตัว หุ้นก้นบุหรี่หรือหุ้นทรัพย์สินมาก
ซึ่งสร้างกำไรได้ไม่น้อย
ส่วนวิธีแรก มักจะเจอหุ้นเติบโต หุ้นแข็งแกร่ง และอาจเจอหุ้นฟื้นตัวบ้าง
ก็แล้วแต่ชอบหุ้นกลุ่มไหนและวิธีอะไร
ส่วนแบบไหนทำกำไรได้มากกว่ากัน
ผมว่าแบบที่ 2. ครับ สำหรับเมืองไทย :lol:
ทุกความเห็นย่อมเปลี่ยนไปตามความรู้ การเรียนรู้ย่อมไม่มีจุดสิ้นสุด
-
- Verified User
- โพสต์: 767
- ผู้ติดตาม: 0
มีคำถาม อยากถามมาก
โพสต์ที่ 19
คงข้อสองครับ
แต่ ต้องเป็นกรณีที่ เคยตามมาบ้างว่า ไม่ใช่หุ้นเน่า
หากลงมา เยอะจริงๆ ก็ซื้อไว้สักหน่อย แล้ว ก็ไปจัดการดูงบ ดูแนวโน้มว่ากันต่อไป
อย่างว่าผมอาจจะไม่ใช่vi เต็มตัว ยังไง ขอ ทำกำไร ไว้ก่อน
แต่ ต้องเป็นกรณีที่ เคยตามมาบ้างว่า ไม่ใช่หุ้นเน่า
หากลงมา เยอะจริงๆ ก็ซื้อไว้สักหน่อย แล้ว ก็ไปจัดการดูงบ ดูแนวโน้มว่ากันต่อไป
อย่างว่าผมอาจจะไม่ใช่vi เต็มตัว ยังไง ขอ ทำกำไร ไว้ก่อน
หุ้นนี่ เรียนรู้ได้ทั้งชีวิต จริงๆ
- กล้วยไม้ขาว
- Verified User
- โพสต์: 1074
- ผู้ติดตาม: 0
มีคำถาม อยากถามมาก
โพสต์ที่ 21
ทำไมผมหาไม่ค่อยได้นักchatchai เขียน:
-
- Verified User
- โพสต์: 1254
- ผู้ติดตาม: 0
มีคำถาม อยากถามมาก
โพสต์ที่ 23
ทางเลือกที่หนึ่งมีเหตุผลครับขอเสริมอีกนิดครับว่าอนาคตระยะยาวสดใสหรือเป็นธุรกิจแห่งอนาคตอย่างที่ดร.นิเวศน์ได้กล่าวไว้
ส่วนทางเลือกที่สองนั้นผมขอเลือกเล่นหุ้นเก็งกำไรดีกว่าครับ ถ้าทางเลือกที่2หมายถึงหุ้นกลุ่มturnaroundก็น่าสนใจครับ
ส่วนทางเลือกที่สองนั้นผมขอเลือกเล่นหุ้นเก็งกำไรดีกว่าครับ ถ้าทางเลือกที่2หมายถึงหุ้นกลุ่มturnaroundก็น่าสนใจครับ
- birdflu
- Verified User
- โพสต์: 628
- ผู้ติดตาม: 0
Re: มีคำถาม อยากถามมาก
โพสต์ที่ 24
แตกต่าง แต่ ไม่แตกแยกJeng เขียน:ระหว่างเลือก
1. หุ้นพื้นฐานดี แล้วค่อยหาราคาเหมาะสม
2. เลือกราคาที่ถูกสุดๆ สุดจน ไม่มีใครเห็นด้วยเลยว่าควรซื้อ แล้วค่อยไปดูพื้นฐ่าน แบบดูแล้วดูอีก เพื่อนๆ ก็ไม่ค่อยเห็นด้วยแต่เราเห็นว่าพื้นฐานดีแน่ๆ ในอนาคต ในมุมของเรา
แบบไหนทำกำไรมากกว่ากัน
สุดท้ายแล้ว ทั้งสองกรณีก็เป็นหุ้นพื้นฐานดี ที่อยู่กันคนละสภาวะ
Keep Calm And Chive On
- kmphol
- Verified User
- โพสต์: 417
- ผู้ติดตาม: 0
มีคำถาม อยากถามมาก
โพสต์ที่ 25
ขอยกตัวอย่างเร็วเร็วนี้ครับJeng เขียน: พอจะยกตัวอย่าง ได้หรือไม่ครับ ว่า ทั้งสองวิธี ซื้อตัวไหน ราคาเท่าไร
วิธีเเรก CPN @8.8 PE=10 PBV=1.5 DIV=3.7%
ซื้อเพราะ รายได้แน่นอนจากค่าเช่า แม้PE10 ตอนนี้เรียกว่าหุ้นแพง แต่ก็รับได้เพราะรายได้ค่อนข้างชัวร์ ค่าใช้จ่ายไม่เหวี่ยง โครงการอนาคตเยอะ แม้ว่าหนี้ต่อทุนสูง แต่ดอกตอนนี้ก็ไม่แพง แล้วก็เครดิตดี ออกหุ้นกู้ได้ ขายทรัพย์สินเข้ากองทุนได้ เพื่อก่อสร้างโครงการอนาคตได้
ตอนนี้มีกำไรแล้วครับ
วิธีสอง TCAP@10 PAR=10 PE=4 PBV=0.5 DIV=9%
ซื้อเพราะถูกในทุกกรณี ถูกกว่าตัวแรกทุกกรณี ซื้อที่พาร์คิดว่าถูกแล้วแต่เจอถูกกว่าอีกเยอะ พื้นฐานพอใช้ มีต่างชาติมาร่วมทุน สินเชื่อเช่าซื้อเคลียร์ง่าย และเร็วกว่าสินเชื่ออย่างอื่น อนาคตพอโตได้ ที่สำคัญถูกสุดสุด
ตอนนี้เลยติดแหงกเลย
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 14783
- ผู้ติดตาม: 0
มีคำถาม อยากถามมาก
โพสต์ที่ 26
cpn สูงสุด เร็วๆนี้ เมื่อวันที่ 18/02/2551 ราคา 30.00 วันที่ซื้อราคา 8.8 เท่ากับลงมาแล้ว 70.66 %
tcap เร็วๆนี้ วันที่ 21/04/2551 ราคา 18 บาท ลงมาถึงวันที่ซื้อ 10 บาท ลงมาแล้ว 44.44 %
ส่วนเรื่องพื้นฐาน ที่ดู pe โดยส่วนตัวผมดู g ด้วย
ถ้า g มีโอกาสสูง มีโครงการจะทำอะไรเยอะแยะ ความคาดหวังก็สูงกว่า
ในที่นี้ เดาได้ว่า cpn มี โครงการเยอะกว่า tcap มั๊ง อิอิ
ไม่ได้ดูสองตัวนี้
แต่สำหรับผมแล้ว หากผมเลือกซื้อ cpn ก็คงเป็นเพราะลงมาเยอะ แล้วก็ไปดูพื้นฐาน และดูอนาคต
ลงเยอะ ก็มีโอกาสเด้งเยอะ
สรุปถ้าผมเลือก cpn ผมเลือกด้วยแนวคิดที่สองครับ
tcap เร็วๆนี้ วันที่ 21/04/2551 ราคา 18 บาท ลงมาถึงวันที่ซื้อ 10 บาท ลงมาแล้ว 44.44 %
ส่วนเรื่องพื้นฐาน ที่ดู pe โดยส่วนตัวผมดู g ด้วย
ถ้า g มีโอกาสสูง มีโครงการจะทำอะไรเยอะแยะ ความคาดหวังก็สูงกว่า
ในที่นี้ เดาได้ว่า cpn มี โครงการเยอะกว่า tcap มั๊ง อิอิ
ไม่ได้ดูสองตัวนี้
แต่สำหรับผมแล้ว หากผมเลือกซื้อ cpn ก็คงเป็นเพราะลงมาเยอะ แล้วก็ไปดูพื้นฐาน และดูอนาคต
ลงเยอะ ก็มีโอกาสเด้งเยอะ
สรุปถ้าผมเลือก cpn ผมเลือกด้วยแนวคิดที่สองครับ
- Akajon
- Verified User
- โพสต์: 530
- ผู้ติดตาม: 0
มีคำถาม อยากถามมาก
โพสต์ที่ 27
เห็นราคาลงมาเยอะ เลยเข้าไปรับ เป็นบ่อยครับ มันเหมือนว่าน่าจะดี แต่กลายเป็นโดนซะได้
เช่น
SNC ลงจาก 17-18 บาท เราไม่ดูอะไรเลย อ่านแล้วซื้อเลย ลงมา 12-13 ก็เอาแล้ว แล้วก็ซื้อถัวตลอดทางจนไป 6 บาท จนมา 4 บาท ไม่ไหว ออกดีกว่า
ใครซื้อตอน 12 เจอ 6 บาท ก็หายไป 50%
ใครซื้อได้ 10 เจอ 5 บาท ก็หาย 50%
เก่งหน่อย ซื้อได้ตอน 8 เจอ 4 บาท ก็หาย 50% เหมือนกัน
เก่งมากๆ ซื้อได้ตอน 6 มันไป 3 บาท เลย โดน 50% เหมือนกัน
ตอนนี้เลือกแต่พื้นฐานดีๆ อนาคตแค่พอไปได้ ปันผลดีๆ ก็เอาแล้ว ผลตอบแทนจากปันผลไม่รวม Growth ตอนนี้หลายตัว 10% up
จริงๆ หวังไว้แค่ 5% Dividend + 5% Growth ต่อปีก็พอใจแล้ว ได้มากกว่า 10% ถือว่าเป็นโบนัสไป
ส่วนหุ้น Growth หุ้นร้อน ไว้ให้คนที่เก่งกว่า พร้อมกว่าเราดีกว่า
เช่น
SNC ลงจาก 17-18 บาท เราไม่ดูอะไรเลย อ่านแล้วซื้อเลย ลงมา 12-13 ก็เอาแล้ว แล้วก็ซื้อถัวตลอดทางจนไป 6 บาท จนมา 4 บาท ไม่ไหว ออกดีกว่า
ใครซื้อตอน 12 เจอ 6 บาท ก็หายไป 50%
ใครซื้อได้ 10 เจอ 5 บาท ก็หาย 50%
เก่งหน่อย ซื้อได้ตอน 8 เจอ 4 บาท ก็หาย 50% เหมือนกัน
เก่งมากๆ ซื้อได้ตอน 6 มันไป 3 บาท เลย โดน 50% เหมือนกัน
ตอนนี้เลือกแต่พื้นฐานดีๆ อนาคตแค่พอไปได้ ปันผลดีๆ ก็เอาแล้ว ผลตอบแทนจากปันผลไม่รวม Growth ตอนนี้หลายตัว 10% up
จริงๆ หวังไว้แค่ 5% Dividend + 5% Growth ต่อปีก็พอใจแล้ว ได้มากกว่า 10% ถือว่าเป็นโบนัสไป
ส่วนหุ้น Growth หุ้นร้อน ไว้ให้คนที่เก่งกว่า พร้อมกว่าเราดีกว่า
- Akajon
- Verified User
- โพสต์: 530
- ผู้ติดตาม: 0
-
- Verified User
- โพสต์: 110
- ผู้ติดตาม: 0
มีคำถาม อยากถามมาก
โพสต์ที่ 29
แต่ก่อนก็ชอบเหมือนกัน พวกหุ้นพื้นฐานกลางๆ แต่ราคาลงมาเยอะๆ แต่พอซื้อปุ๊ปก็ลงต่อ ถูกแล้วมีถูกกว่า ถูกกว่าก็มีถูกกว่าไปเรื่อยๆ
ตอนนี้เลยใช้กราฟเทคนิคเข้าช่วย พื้นฐานดีแค่ไหน ราคาถูกขนาดไหนก็ไม่ซื้อ รอจนกราฟเทคนิคเริ่มจะดูดี แล้วค่อยซื้อตาม
ลดอาการ ติดดอยของถูก ไปได้เยอะทีเดียว :lol:
ตอนนี้เลยใช้กราฟเทคนิคเข้าช่วย พื้นฐานดีแค่ไหน ราคาถูกขนาดไหนก็ไม่ซื้อ รอจนกราฟเทคนิคเริ่มจะดูดี แล้วค่อยซื้อตาม
ลดอาการ ติดดอยของถูก ไปได้เยอะทีเดียว :lol: