รุ้งกินน้ำ

เชิญมาพักผ่อน คลายร้อนนั่งเล่น คุยกันเย็นๆ พร้อมเรื่องกีฬา สัพเพเหระ ทัศนะนานา ชีวิตชีวา สุขภาพทั่วไป บันเทิงขำขัน รอบเรื่องเมืองไทย ชวนเที่ยวที่ไหน อยากไปก็นัดมา ...โย่วๆ
ภาพประจำตัวสมาชิก
Ryuga
Verified User
โพสต์: 1771
ผู้ติดตาม: 0

รุ้งกินน้ำ

โพสต์ที่ 331

โพสต์

มัวแต่ไปแต่งนิยายแซวชาวบ้าน  :oops:  มาลงนิยายวันนั้นเห็นพี่พอใจถาม พี่กูรูฯ ก็มารอฟัง
ก็เลยไปดูข้อมูลมาตั้งแต่อาทิตย์ก่อน ไม่รู้ของเดือนสิงหา(USA) มารึยัง ยังไม่ได้ดูของใหม่ เอาของเก่ามาเล่าก่อน  :P

แต่จะว่าไป ตอนจบของนิยายจริงๆ พล็อตเดิมจะเรียบง่าย เผอิญวันนั้นพี่พอใจ pm มาหา เลยได้โอกาสเพิ่มบทตอนจบให้พี่พอใจเป็นพิเศษ  อิ อิ  :8)  (ผมชอบมุกไม้แบด กับมุกฮูหยินมากเลยครับ คิดออกได้ไงเนี่ย  :lol: )
มาเปรียบมวยกันครับ ได้เกมใหม่มา เลยมัวแต่เล่นเกมอยู่(ขี้เกียจพิมพ์)  :oops:

ทุนสำรองระหว่างประเทศของไทย(ล้านเหรียญUS) - กรกฎาคม 2551
ทองคำ     2,477
สิทธิพิเศษถอนเงิน     9
สินทรัพย์ส่งสมทบกองทุนการเงินระหว่างประเทศ     129
สินทรัพย์ต่างประเทศ     102,137
รวม     104,752

ทุนสำรองระหว่างประเทศของสหรัฐอเมริกา(ล้านเหรียญUS) - กรกฎาคม 2551
ทองคำ     11,041 (คิดตามต้นทุน 42.22 เหรียญ/ออนซ์)
สิทธิพิเศษถอนเงิน     9,772
สินทรัพย์ส่งสมทบกองทุนการเงินระหว่างประเทศ     4,930
สินทรัพย์ต่างประเทศ     49,089
รวม     74,832

- - - - - - - - - - - - - -

อัตราส่วนเงินตรา(currency=ธนบัตร+เหรียญ)ต่อสินทรัพย์ทั้งสิ้นของธนาคาร
ธปท.     19.6%
Fed     70.3%

อัตราส่วนทุนต่อสินทรัพย์
ธปท.    20.4%
Fed    3.4%
ภาพประจำตัวสมาชิก
Ryuga
Verified User
โพสต์: 1771
ผู้ติดตาม: 0

รุ้งกินน้ำ

โพสต์ที่ 332

โพสต์

การขาดดุลการค้าของสหรัฐอเมริกานั้นเป็นเรื่องเรื้อรัง ยาวนาน แล้วก็หนักหน่วงขึ้นเรื่อยๆ แต่อย่างไรก็ตาม เรื่องมันมาหนักเอาจริงๆ ก็ช่วงหลังนี้นี่เอง เพราะในสมัยก่อนนั้นการขาดดุลการค้าของเขา แม้จะดูเยอะแต่มันก็ยังเป็นขนาดเล็กๆ เมื่อเทียบกับเศรษฐกิจตลอดจนสินทรัพย์ของเขา

บัญชีนึงของเค้าน่ารักมากครับ เขาไม่บอกว่าเป็นบัญชีหนี้สินประเทศนะครับ แต่บอกว่าเป็นเงินลงทุนจากต่างประเทศในสินทรัพย์อเมริกา  :lol:  ทั้งๆ ที่ส่วนใหญ่มันก็เป็นแต่หนี้

เมื่อสิ้นปี 43 ก่อนหน้าที่รัฐบาลคาวบอยบุชจะมา ตัวเลขในบัญชีอยู่ที่ 7.6 ล้านล้านเหรียญ เป็นหนี้สิน 4.6 ล้านล้านเหรียญ ที่เหลือเป็นส่วนลงทุนทั้งการลงทุนจริง และพวกตราสารทุน ตราสารอนุพันธ์ ฯลฯ

แต่เมื่อสิ้นปีที่แล้ว ผ่านมา 7 ปี ตัวเลขกลับกระโดดไปถึง 20.1 ล้านล้านเหรียญ เป็นหนี้สิน 12.6 ล้านล้านเหรียญ ในจำนวนนี้เป็นหนี้สาธารณะถึง 9.7 ล้านล้านเหรียญ ผมคิดว่านอกจากราคาน้ำมันที่พุ่งขึ้นแล้ว การก่อสงครามหน้าด้านๆ ของเขา มีส่วนอย่างยิ่งที่จะต้องรับผิดชอบต่อตัวเลขน่ารังเกียจเหล่านี้
ภาพประจำตัวสมาชิก
Ryuga
Verified User
โพสต์: 1771
ผู้ติดตาม: 0

รุ้งกินน้ำ

โพสต์ที่ 333

โพสต์

ปีที่แล้ว สหรัฐฯ มี GDP 13.8 ล้านล้านเหรียญ ปีนี้คาดว่าจะไปแถวๆ 14.4 ล้านล้านเหรียญ (เป็น nominal GDP นะครับ) ถ้าเอาหนี้มาเทียบกับ GDP ก็คล้ายจะไม่เยอะแต่ที่จริงแล้วก็ไม่อย่างนั้น

สหรัฐฯ เป็นประเทศที่พึ่งพาตัวเองเรื่องการผลิตไม่ได้ ปกติเขาจะเกินดุลบริการ แต่ขาดดุลการค้ามหาศาล ตัวเลขส่วนใหญ่เกือบ 4 ใน 5 ของ GDP เป็นภาคบริการ ซึ่งส่วนใหญ่ก็ตอบสนองความต้องการของคนในประเทศนั่นแหละ ไม่ใช่ของที่จะเอาไปใช้หนี้ใครได้

ปริมาณเงินในระบบของเขาประมาณ 10.5 ล้านล้านเหรียญ ถ้าเทียบกับไทยจะเห็นว่าสัดส่วนต่อ GDP ต่างกัน ในบ้านเราปริมาณเงินจะใกล้ๆ GDP แต่ของเขาต่ำกว่า GDP นั่นเพราะมีอัตราการหมุนเวียนจับจ่ายใช้สอยสูงกว่าเราตามแบบฉบับสังคมบริโภคอีลุ่ยฉุยแฉก

ผมเห็นชาวบ้าน เห็นสื่อเยอะแยะเลย เล่นกันแต่ข่าวเรื่อง 7 แสนล้าน ผ่านไม่ผ่าน ผ่านแล้วน่าจะดีอย่างงั้นอย่างงี้ ไม่ผ่านแล้วจะแย่หุ้นจะร่วงอะไรก็ว่าไป ตอนนี้แผนผ่านแต่หุ้นก็ยังร่วง  :lol:  การวิพากษ์วิจารณ์อะไรก็ตาม ถ้าไม่มีพื้นข้อมูลมาก่อนบางทีก็กลายเป็นเรื่องขบขันไปได้ แหม เห็นว่า 7 แสนล้านเยอะอย่างงั้นอย่างงี้ เท่ากับ 23-24 ล้านล้านบาท มหาศาลมากอย่างนั้นอย่างนี้ แต่นั่นมันแค่ขาดดุลบัญชีเดินสะพัดปีเดียวของเขานะครับ (คือก็ยังน้อยกว่าขาดดุลการค้าปีเดียวเสียอีก)

7 ปีที่ผ่านมา เขาขาดดุลบัญชีเดินสะพัดรวม 4.24 ล้านล้านเหรียญ
7 เดือนแรกของปีนี้ยังขาดดุลอีก 4.2 แสนล้านเหรียญ

เงินมหาศาลไหลออกจากสหรัฐฯ ตลอดเวลา เขาเลยต้องกู้หนี้มายันไว้ เงินแค่ 7 แสนล้านมันจึงจิ๊บๆ มาก ผมไม่แปลกใจเลยสักนิดที่แผนผ่านแล้วหุ้นก็ยังร่วง
ภาพประจำตัวสมาชิก
Ryuga
Verified User
โพสต์: 1771
ผู้ติดตาม: 0

รุ้งกินน้ำ

โพสต์ที่ 334

โพสต์

ตัวเลขการออมภาคเอกชนน่าสนใจครับ ตัวเลขมันเริ่มตกต่ำตั้งแต่สมัยคลินตันคือหลุด 7% GDP จากนั้นก็ร่วงลงมาเรื่อยๆ 10 ปี ย้อนหลังนี้ เขามีเงินออมแค่ 1.44 ล้านล้านเหรียญ
เฉพาะ 7 ปี ย้อนหลัง มีแค่ 0.83 ล้านล้านเหรียญ
3 ปี ย้อนหลัง ไม่มีปีไหนที่การออมเกิน 1% GDP ปีที่แล้วอยู่ที่ 0.6%

เทียบกับไทยแล้วต่างกันมาก อัตราการออมเบื้องต้นของไทย 10 ปีย้อนหลังนี้ไม่มีปีใดต่ำกว่า 27% GDP แต่เพราะประเทศเราเน้นการลงทุนในภาคการผลิตเพื่อส่งออก ค่าเสื่อมมันก็เลยเยอะคิดเป็นการออมสุทธิจะอยู่ระหว่าง 14-17% GDP

เงิน 7 แสนล้านเหรียญ มันเป็นเงินออม 3 ปี ของอเมริกาทั้งประเทศเชียวนะครับ

หนี้ของเขามีทั้งที่มีและไม่มีดอกเบี้ย ที่มีดอกเบี้ยก็อาจจะดอกไม่เท่ากัน หนี้สาธารณะ 9.7 ล้านล้านเหรียญ ถ้าคิดเฉลี่ยง่ายๆ ที่ 4% ดอกก็เกือบ 4 แสนล้านแล้ว คิดจากหนี้สุทธิ 12.6 ล้านล้านเหรียญ ดอกก็ 5 แสนล้านต่อปี ในขณะที่เขามีเงินออมทั้งประเทศแค่ปีละ 2 แสนกว่าล้าน ตอนนี้เขาจะกู้เงินโปะอีก 7 แสนล้าน มันจะสร้างความประหลาดใจอะไรได้ (ผมอยู่ฝ่ายที่เชื่อว่า 7 แสนล้านไม่พอ  :lol: )

คุณปู่บัฟจบเศรษฐศาสตร์มา คิดว่าคุณปู่แกเห็นตัวเลขทางเศรษฐกิจพื้นๆ เหล่านี้ผ่านตาอยู่ตลอดและคงเฝ้ารอโอกาสอันโอชะ ช่วงหุ้นร่วงๆ ก็เลยเห็นแกมีเงินเยอะแยะซื้อนั่นซื้อนี่ได้  :lol:  ใครว่าเศรษฐศาสตร์มหภาคไม่สำคัญ ที่คุณปู่แกว่าอเมริกากำลังจ่ายดอกเบี้ยของดอกเบี้ยไม่ได้เกินความจริงเลยนะครับ
ภาพประจำตัวสมาชิก
Ryuga
Verified User
โพสต์: 1771
ผู้ติดตาม: 0

รุ้งกินน้ำ

โพสต์ที่ 335

โพสต์

เศรษฐกิจอเมริกาปีที่แล้ว 13.8 ล้านล้านเหรียญ จำแนกได้เป็น
การใช้จ่ายภาคเอกชน(ครัวเรือน+ธุรกิจ) 9.7 ล้านล้านเหรียญ (+70.3%)
การใช้จ่ายภาครัฐ 2.7 ล้านล้านเหรียญ (+19.4%)
การลงทุน 2.1 ล้านล้านเหรียญ (+15.4%)
การส่งออก 1.7 ล้านล้านเหรียญ (+12.0%)
การนำเข้า 2.4 ล้านล้านเหรียญ (-17.2%)

เศรษฐกิจไทยปีที่แล้ว 8.5 ล้านล้านบาท จำแนกได้เป็น
การใช้จ่ายภาคเอกชน(ครัวเรือน+ธุรกิจ) 4.5 ล้านล้านบาท (+53.5%)
การใช้จ่ายภาครัฐ 1.1 ล้านล้านบาท (+12.6%)
การลงทุน 2.3 ล้านล้านบาท (+26.8%)
การส่งออก 6.2 ล้านล้านบาท (+73.2%)
การนำเข้า 5.6 ล้านล้านบาท (-65.6%)

ภาคการส่งออกซึ่งเป็นสัดส่วนสูงมากของไทยนั้นแยกรายกลุ่มเศรษฐกิจได้ว่าเป็น

ASEAN  21.3%
NAFTA  14.1%
EU 27 ประเทศ 14.0%

ถ้าแยกรายประเทศเรียงลำดับก็ได้แบบนี้

1. สหรัฐอเมริกา 12.6%
2. ญี่ปุ่น 11.9%
3. จีน 9.7%
4. สิงคโปร์ 6.2%
5. ฮ่องกง 5.7%
6. มาเลเซีย 5.1%
7. ออสเตรเลีย 3.8%
8. อินโดนีเซีย 3.1%
9. เนเธอร์แลนด์ 2.5%
10. เวียดนาม 2.5%
11. สหราชอาณาจักร 2.3%
12. ไต้หวัน 2.2%
......

สหรัฐฯ ก็ยังเป็นคู่ค้ารายใหญ่สุดของไทย เมื่อเขาป่วย ที่จะไม่กระเทือนบ้านเราก็คงไม่ใช่  ผลกระเทือนแบบอ้อมๆ นี้ก็เป็นเรื่องน่าสนใจที่จะต้องดูกันต่อไป ที่สำคัญคือ เราต้องยอมรับความจริงว่าสหรัฐอเมริกา ผู้บริโภครายใหญ่ของโลกนั้นบริโภคเกินที่ควรจะเป็น นั่นหมายความว่ากลุ่มประเทศที่ผลิตสินค้าไปขายเขาก็ต้องอยู่ในภาวะที่ผลิตเกินที่ควรจะเป็นเช่นกัน วัฏจักรเศรษฐกิจปกติก็เวียนไปเวียนมาระหว่างการผลิตและการบริโภคที่ไม่สมดุล เพื่อให้ทุกอย่างเข้ารูปเข้ารอย เศรษฐกิจสหรัฐฯ ควรที่จะหดตัว ซึ่งนั่นหมายถึงเศรษฐกิจโลกด้วย

ภาคเอกชนไทยปกติผมว่าดูแลตัวเองได้ แค่บอกว่าภาคส่งออกจะขยายตัวลดลง (บางส่วนอาจหดตัวเล็กน้อย) แต่ผมเห็นคนขายหุ้นยังกะว่าเขาจะขาดทุน ภาคการเงินจริงๆ ก็ไม่ต้องทำอะไรมาก ถ้าเงินเป็นเงินเค้า(ฝรั่ง) เค้าจะขนออกซะอย่างใครจะไปห้ามได้ หน้าที่ของเขา(ธปท.)คือรักษาเสถียรภาพ ซึ่งก็เป็นงานที่ก็ทำตลอดเวลาอยู่แล้วไม่มีอะไรแปลกใหม่เลย

แต่ภาคการคลังหวังพึ่งอะไรไม่ได้จริงๆ ง่อยรับประทานอย่างแรง  :twisted:

สุดท้ายแล้วมันก็จะผ่านไปครับ  :8)
กูรูขอบสนาม
Verified User
โพสต์: 987
ผู้ติดตาม: 0

รุ้งกินน้ำ

โพสต์ที่ 336

โพสต์

ขอบคุณ คุณน้องริวมาก
ตัวเลขกระจ่างจริงๆ ขนาดเดือนกรกฏาคมตัวเลขยังแค่นี้
สิงหาคมไม่กระฉูดใหญ่หรือ  :cry:
ภาคเอกชนไทยปกติผมว่าดูแลตัวเองได้ แค่บอกว่าภาคส่งออกจะขยายตัวลดลง (บางส่วนอาจหดตัวเล็กน้อย) แต่ผมเห็นคนขายหุ้นยังกะว่าเขาจะขาดทุน ภาคการเงินจริงๆ ก็ไม่ต้องทำอะไรมาก ถ้าเงินเป็นเงินเค้า(ฝรั่ง) เค้าจะขนออกซะอย่างใครจะไปห้ามได้ หน้าที่ของเขา(ธปท.)คือรักษาเสถียรภาพ ซึ่งก็เป็นงานที่ก็ทำตลอดเวลาอยู่แล้วไม่มีอะไรแปลกใหม่เลย

แต่ภาคการคลังหวังพึ่งอะไรไม่ได้จริงๆ ง่อยรับประทานอย่างแรง  

สุดท้ายแล้วมันก็จะผ่านไปครับ  
ภาคเอกชนไทยต้องยอมรับว่า เก่งขึ้นจริงๆหลังปี 2540
หลายครั้งที่เกิดวิกฤตย่อยๆตามต่อมา
ก็สามารถปรับเปลี่ยนตัวเองโดยไม่รอรัฐบาล
เพราะรู้อยู่แล้วว่าช่วยไมได้
โดยเฉพาะบริษัทเล็ก บริษัทน้อย ที่ไม่ค่อยมีสิทธิ์มีเสียง
หรืออำนาจต่อรองกับใคร

เวลาคนของรัฐหรือหน่วยงานอย่างสำนักแม่ชี(ที่เค้าเรียกๆกัน)
บอกเอกชนต้องปรับตัว เราคนฟังนั่งขำในใจ
ถ้าไม่ปรับตัว ป่านนี้อยู่ไม่ได้ถึงขนาดนี้หรอก
แทบไม่ต้องไปสอนเรื่อง การบริหารการเปลี่ยนแปลงเลย
เขาซิต้องมาสอน มาถ่ายทอดองค์ความรู้ที่ทำกับมือ
เพียงแต่รัฐทำอะไรให้เร็วๆหน่อยเท่านั้น
กฏเกณฑ์ต่างๆไม่คลุมเครือ ไม่เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาเหมือนเปลี่ยนรัฐบาล :roll:


คุณริวว่า ภาคการเงินการธนาคารของเราแข็งขนาดนี้
จะมีโอกาสที่ธนาคารไทยบางแห่งของเรา(ที่มีต่างชาติถือหุ้นใหญ่)
ไปผงาดซื้อกิจการธนาคารของมะกันมั้ยเนี่ย :wink:
chatchai
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 11443
ผู้ติดตาม: 0

รุ้งกินน้ำ

โพสต์ที่ 337

โพสต์

ขอบคุณ  คุณริวมากครับ
จงอยู่เหนือความดี อย่าหลงความดี
ภาพประจำตัวสมาชิก
crazyrisk
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 4549
ผู้ติดตาม: 0

รุ้งกินน้ำ

โพสต์ที่ 338

โพสต์

ผมขอเรียนถามต่อนะครับ

1. ในเมื่อหนี้ มันมโหฬารบานตะไทอย่างนี้  อะไรเป็นตัว trigger ให้เกิด ระเบิดลูกใหญ่ครั้งนี้  (ทั้งๆที่อุตส่าห์สั่งสมความชั่วร้ายได้ตั้งนานแสนนาน)

2. ถึงจุดหนึ่งมี ธ. สักแห่ง เรียนแบบ คุณประชัย กับ ท่านมหาเธ ได้ไหมครับ   ว่า    ตู ไม่หนี  ตูไ ม่้ มี ตูไม่จ่าย

3. ถึงฉากจบ นั้น จำเป็นไหมว่า  ต้องเคลียร์ให้หนี้ จำนวนมหาศาลเป็น 0   ก่อนที่ทุกอย่างจะมาเริ่มต้นกันใหม่หมด
"Champions aren't made in gyms. Champions are made from something they have deep inside them: A desire, a dream, a vision.
ลูกอิสาน
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 6447
ผู้ติดตาม: 0

รุ้งกินน้ำ

โพสต์ที่ 339

โพสต์

เข้ามาฟังกูรูครับ.. :D
การลงทุนคืออาหารอร่อยที่สุดเมื่อเย็นดีแล้ว
ภาพประจำตัวสมาชิก
crazyrisk
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 4549
ผู้ติดตาม: 0

รุ้งกินน้ำ

โพสต์ที่ 340

โพสต์

ลูกอิสาน เขียน:เข้ามาฟังกูรูครับ.. :D
กูรู  เข้ามาฟังกูรู เลยเหรอครับ
"Champions aren't made in gyms. Champions are made from something they have deep inside them: A desire, a dream, a vision.
ภาพประจำตัวสมาชิก
por_jai
Verified User
โพสต์: 14338
ผู้ติดตาม: 0

รุ้งกินน้ำ

โพสต์ที่ 341

โพสต์

crazyrisk เขียน:
กูรู
กรูเก่ง กิเลสเก่งกว่า
ภาพประจำตัวสมาชิก
Ryuga
Verified User
โพสต์: 1771
ผู้ติดตาม: 0

รุ้งกินน้ำ

โพสต์ที่ 342

โพสต์

พี่กูรูฯ เขียน:คุณริวว่า ภาคการเงินการธนาคารของเราแข็งขนาดนี้
จะมีโอกาสที่ธนาคารไทยบางแห่งของเรา(ที่มีต่างชาติถือหุ้นใหญ่)
ไปผงาดซื้อกิจการธนาคารของมะกันมั้ยเนี่ย :wink:
ไทยธนาคาร แบงก์ทหารบ้านเรายังต้องวุ่นวายหาฝรั่งมาซื้อหุ้นเพิ่มทุนเลยครับ  :lol:  สินทรัพย์ของธนาคารเอกชนใหญ่สุดของเราอย่างแบงก์กรุงเทพ คิดเป็น USD ยังแค่ 40,000 กว่าล้าน แต่ Wachovia ที่เน่าไปหมาดๆ นี่ สินทรัพย์มากกว่า 800,000 ล้านเสียอีก คงจะยากครับ รักษาเนื้อรักษาตัวให้อยู่รอดได้ก็ดีนักหนาแล้วครับ  :lol:  

ธนาคาร สถาบันรับฝากเงินเล็กๆ น้อยๆ ในสหรัฐฯ เท่าที่เห็นผ่านตาแบบมั่วๆ ผมว่าเขาดูดีกว่าแบงก์ใหญ่เยอะเลย หลายที่ทุนต่อสินทรัพย์มากกว่า 20% ถ้าเขาจะทำอะไรเลวร้ายสาหัสจนเจ็บตัวกับวิกฤตการเงินครั้งนี้บ้างก็คงเอาตัวรอดผ่านพ้นไปได้ แต่อย่างว่า สถาบันการเงินมันเป็นแดนสนธยาแล้วมันก็ใช้ leverage เยอะเกินไป  :twisted:
ภาพประจำตัวสมาชิก
Ryuga
Verified User
โพสต์: 1771
ผู้ติดตาม: 0

รุ้งกินน้ำ

โพสต์ที่ 343

โพสต์

ประวัติการถดถอยทางเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกา(คำนวณจากฐานปี 2000)

1930   -8.6%
1931   -6.4%
1932   -13.0%
1933   -1.3%
Great Depression

1938   -3.4%
1945   -1.1%
1946   -11.0%
1947   -0.9%
1949   -0.5%
สงครามโลก

1954  -0.7%
1958   -1.0%
1974   -0.5%
1975   -0.2%
1959-1973   เศรษฐกิจขยายตัวต่อเนื่องรุนแรง 15 ปี ก่อนที่จะหดตัวติดกัน 2 ปี คุณปู่บัฟฟันของถูกไปมากมาย กลายเป็นตำนานเล่าขานจนถึงปัจจุบัน (ตลาดหุ้นบ้านเราพึ่งเกิดปี 1975)

1980   -0.2%
1982   -1.9%
วิกฤตน้ำมัน

1991   -0.2%
สงครามอ่าว

1992-2007   เศรษฐกิจขยายตัวต่อเนื่อง 16 ปี (รวมปีนี้ด้วยจะเป็น 17 ปี) แล้วตอนนี้ก็พร้อมที่จะหดตัวอีกครั้ง  :8)
ภาพประจำตัวสมาชิก
Ryuga
Verified User
โพสต์: 1771
ผู้ติดตาม: 0

รุ้งกินน้ำ

โพสต์ที่ 344

โพสต์

[quote="crazyrisk"]ผมขอเรียนถามต่อนะครับ

1. ในเมื่อหนี้ มันมโหฬารบานตะไทอย่างนี้
ภาพประจำตัวสมาชิก
ก้อนหิน
Verified User
โพสต์: 2344
ผู้ติดตาม: 0

รุ้งกินน้ำ

โพสต์ที่ 345

โพสต์

เห็นว่า วิกฤต รอบนี้ใครๆก็เห็นกัน แต่ทำเป็นไม่รู้ไม่สนใจมั้งครับ

ปัญหา มันเริ่มตั้งแต่ คนเก็งกำไรบ้าน ซื้อ แพง ขายแพงกว่า จนหาคนซื้อคนสุดท้ายไม่ได้มั้งครับ (เหมือนซื้อขายที่ดินบ้านเราสมัยก่อนเลย)

พอ คนซื้อ บ้าน เจ๊ง ไอ้ CDO(ตราสารหนี้ ของ หนี้ subprime) ก็เน่า  พอ CDO เน่า CDS (ตราสารประกัน เจ้าหนี้ชักดาย)ไม่มีทางรอดครับ
คราวนี้ พอ บริษัท ที่ทำ CDS เจ๊ง ดันเป็นบริษัท ขนาดใหญ่ มากๆๆๆๆ คราวนี้ ก็ panic ระเนระนาด ขาดเงินกันใหญ่

ส่วนเรื่องไม่มีไม่หนีไม่จ่าย นี้ ผมว่า เป็น Bank น่าจะทำได้ยากนะครับ ทำแล้วไม่มีเครดิต แล้วจะมาปล่อยกุ้ได้ไง ผมว่าเป็น Bank ไม่มี Credit นี่ ล้มไปแล้วตั้งใหม่จะง่ายกว่าหรือป่าวครับ
...
Verified User
โพสต์: 1817
ผู้ติดตาม: 0

รุ้งกินน้ำ

โพสต์ที่ 346

โพสต์

[quote="Ryuga"]สุดท้ายแล้วมันก็จะผ่านไปครับ
แมงเม่าบินเข้ากลางใจ
ภาพประจำตัวสมาชิก
ปรัชญา
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 18252
ผู้ติดตาม: 0

รุ้งกินน้ำ

โพสต์ที่ 347

โพสต์

[quote="..."][quote="Ryuga"]สุดท้ายแล้วมันก็จะผ่านไปครับ
ภาพประจำตัวสมาชิก
crazyrisk
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 4549
ผู้ติดตาม: 0

รุ้งกินน้ำ

โพสต์ที่ 348

โพสต์

... เขียน: ใช่เลยครับ
ใช่แน่ๆครับ :wink:
"Champions aren't made in gyms. Champions are made from something they have deep inside them: A desire, a dream, a vision.
ภาพประจำตัวสมาชิก
por_jai
Verified User
โพสต์: 14338
ผู้ติดตาม: 0

รุ้งกินน้ำ

โพสต์ที่ 349

โพสต์

:8) โพสจากพันทิพ คุณTisco fan
จะอธิบายนะครับว่าวิกฤตในอเมริกามันเกิดขึ้นได้อย่างไร
มันเริ่มมาจากมีนักคณิตศาสตร์ทางการเงินกลุ่มหนึ่งคิดโมเดิลเจ๋งๆได้อันหนึ่ง โมเดิลนี้บอกว่าถ้านำกิ่งไม้เปลาะๆหลายๆกิ่งมาสานเป็นลายตามที่เขาว่ามันจะกลายเป็นกิ่งไม้ที่แข็งแรงมาก ดังนั้นถ้าเอาเงินกู้บ้านของผู้กู้ที่มีความเสี่ยงสูงไปสานรวมๆกับผู้กู้รายอื่นความเสี่ยงมันก็จะลดต่ำลงจนไม่ต้องกังวล

โมเดิลที่ทำนี้มันถูกโฉลกกับโปรแกรมของ rating agency เช่น S&P, Moody, Finch พอจับโมเดิลนี้ใส่เข้าไปปั๊ป เรตติ้ง AAA มันก็ออกมา โอ้เป็นการลงทุนที่ไม่มีความเสี่ยงเลยนี่ ดีซะนี่กะไร

ย้อนมาที่บริษัทประกันพวก Bear & Stern, Lehman, AIG พอเห็นเรตติ้ง AAA ก็ตาลุก รีบเข้ามาขายประกัน ใครซื้อการลงทุนนี้ขายประกันว่าถ้ามันเจ้งไปบริษัทพวกนี้รับชดใช้ความเสียหายให้ ก็มันไม่มีทางเจ้งนะซิ ได้ค่าประกันฟรีๆ

ย้อนไปที่นักลงทุนและแบงค์ต่างๆ เจอสินค้าใหม่ ให้ผลตอบแทนสูง มีเรตติ้ง AAA เป็นประกัน แถมมีประกันการเจ้งจากสถาบัญใหญ่ระดับโลก ซื้อง่ายขายคล่องอีกต่างหาก ไม่ซื้อก็บ้าแล้ว จะโ่ง่ไปซื้อพันธบัตรรัฐบาลอยู่ทำไม

ย้อนต่อไปที่คนปล่อยกู้บ้าน แหมปล่อยกันสบาย ไม่ต้องกังวลว่าผู้กู้มีปัญญาใช้คืนหรือเปล่าเพราะโมเดิลมันกระจายความเสี่ยงให้ ยิ่งให้กู้มากยิ่งเก็บค่าธรรมเนียมมาก เอ้ากู้แปดแสนมันจะไปพอเหรอ เอาล้านนึงไปเลย จ่ายแค่ดอกเบี้ยนะไม่ต้องผ่อนเงินต้นขี้เกียจให้กู้บ่อยๆ เงินจ่ายดอกเบี้ยไม่มีเหรอ ไม่เป็นไรสามปีแรกนี่จ่ายแค่หนึ่งในสามของดอกเบี้ยก็ได้ พอครบสามปีราคาบ้านมันก็ขึ้นเองแล้วค่อยเอาบ้านไปrefinanceนะ เดี๋ยวเอาเงินกู้ไปสานให้เป็นกำใหญ่ๆ มีนักลงทุนรอคิวซื้อคิวยาวเลย เดี๋ยวจะขายไม่ทัน งานนี้รวยไม่รู้เรื่อง

ปรากฎว่าโมเดิลมันลืมไปว่าในตัวเลขนั้นมันมีนิสัยคนมาเกี่ยวข้องที่มันแปลงเป็นตัวเลขไม่ได้ พอได้ค่าคอม คนปล่อยกู้ก็ปล่อยสุ่มสี่สุ่มห้า พอบ้านราคามันไม่ขึ้นตามคาดเลย refinance ไม่ได้ กิ่งไ้ม้ทั้งกำมันเลยหักพร้อมๆกัน พอบ้านราคาตกมาก แม้แต่กิ่งดีๆก็หัก ตูมีเงินผ่อนบ้าน แต่ตูติดหนี้แบงค์ล้่านนึง บ้านตูตอนนี้ราคาตกมาเหลือแค่ห้าแสน แล้วตูจะไปผ่อนหาสวรรค์อะไร ส่งกุญแจบ้านคืนแบงค์แล้วไปเช่าบ้านเอาดีกว่า

ย้อนมาที่บริษัทประกัน อ่วมละสิ สินทรัพย์ AAA กลายเป็นสินทรัพย์จัดเรตติ้งไม่ถูกเพราะไม่มีใครกล้าซื้อเพียงช่วงข้ามคืน คนแห่มาเครมประกันเต็มหน้าประตู เอ้าทำตัวกลมๆก็แล้วกันเดี๋ยวคุณลุงแซมแกคงเข้ามาอุ้ม นิ่งซะนะ

บริษัทจัดเรตติ้ง ขอโทษนะครับคิดเรตติ้งผิดไปหน่อย เสียหายไปแค่สี่สิบล้านล้านเหรียญ คราวหน้าจะพยายามจัดเรตติ้งตอนสร่างเมาแล้ว
กรูเก่ง กิเลสเก่งกว่า
chatchai
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 11443
ผู้ติดตาม: 0

รุ้งกินน้ำ

โพสต์ที่ 350

โพสต์

por_jai เขียน::8) โพสจากพันทิพ คุณTisco fan
จะอธิบายนะครับว่าวิกฤตในอเมริกามันเกิดขึ้นได้อย่างไร

มันเริ่มมาจากมีนักคณิตศาสตร์ทางการเงินกลุ่มหนึ่งคิดโมเดิลเจ๋งๆได้อันหนึ่ง โมเดิลนี้บอกว่าถ้านำกิ่งไม้เปลาะๆหลายๆกิ่งมาสานเป็นลายตามที่เขาว่ามันจะกลายเป็นกิ่งไม้ที่แข็งแรงมาก ดังนั้นถ้าเอาเงินกู้บ้านของผู้กู้ที่มีความเสี่ยงสูงไปสานรวมๆกับผู้กู้รายอื่นความเสี่ยงมันก็จะลดต่ำลงจนไม่ต้องกังวล
คล้ายๆกับการจัดพอร์ตการลงทุนเลยนะครับ
จงอยู่เหนือความดี อย่าหลงความดี
ภาพประจำตัวสมาชิก
por_jai
Verified User
โพสต์: 14338
ผู้ติดตาม: 0

รุ้งกินน้ำ

โพสต์ที่ 351

โพสต์

:8) บันทึกเป็นประวัติศาสตร์ไว้จำ

ห้ามเลือดไม่ได้ผล! กูรูคาดเปิดเทรดรอบ 15.05 น.หุ้นไทยดิ่งทะลุโลกต่อ ชี้วิกฤตรอบนี้สุด
อำมหิต ลาก ศก.พังทั่วโลก

นายวีระชัย ครองสามสี ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล.ฟาร์อีสท์ เปิด
เผยว่า แนวโน้มการเคลื่อนไหวของดัชนีฯรอบเวลา 15.05 น.หลังหยุดพักการซื้อขายไป 30 นาที
ดัชนีฯมีความเสี่ยงที่จะปรับตัวลดลงต่อเนื่อง เพราะแรงขายของนักลงทุนต่างชาติจะยังมีออกมา
ไม่หยุด จนกว่าเศรษฐกิจจะมีสัญญาณที่ดีขึ้น ประกอบกับการฟอร์ซเซลล์หุ้นพื้นฐานทั้งหุ้นแบงก์,
พลังงานของโบรกเกอร์  จะกดดันให้ดัชนีทรุดตัวลงแรง
อย่างไรก็ตาม ประเมินว่า เหตุการณ์จะไม่เลวร้ายถึงขั้นต้องใช้เซอร์กิตเบรกเกอร์รอบ
ที่สอง เพราะต้นตอของปัญหาอยู่ที่ภาวะเศรษฐกิจโลกไม่ได้มาจากปัจจัยภายในประเทศ ดังเช่น
กรณีประกาศมาตรการกันสำรอง 30% การหยุดการซื้อขายครั้งนี้น่าจะทำให้นักลงทุนลดความตื่น
ตระหนกไปได้พอสมควรและมีเวลาที่จะประเมินสถานการณ์ได้อย่างถี่ถ้วนมากขึ้น
กลยุทธ์การลงทุน แนะนำชะลอการลงทุน โดยไม่สามารรถประเมินแนวรับของดัชนีฯ
ไม่ว่าจะเทคนิคหรือพื้นฐานได้




ที่มา อีไฟแนนซ์ไทย     วันที่   10/10/08   เวลา   15:03:44
กรูเก่ง กิเลสเก่งกว่า
noooon010
Verified User
โพสต์: 2712
ผู้ติดตาม: 0

รุ้งกินน้ำ

โพสต์ที่ 352

โพสต์

อย่าเผลอดูแต่ราคา

จนลืมว่า เราเป็น VI

ก่อนเล่นหุ้น ผมเคยลง course กับ richdad

ตอนนั้นเค้ามีหุ้นอาม่า หุ้นไอ้ตี๋ มาให้ดู แต่ราคาจริงๆ

แล้วการตัดสินใจเราก็จะผิดพลาดครับ

เหมือนที่ buffett เคยขายหมู ตอนเด็กๆน่ะครับ

นำสติกลับมาให้ได้ครับ
อย่าลืมให้เวลากับครอบครัว และสังคมรอบๆข้างของคุณนะครับ

มีสติ และมีความสุขกับการลงทุนนะครับผม


นักลงทุนที่เก่งที่สุดมิใช่คนที่ซื้อขายไวที่สุด
แต่คือคนที่นำสติกลับมาได้เร็วที่สุด
หลายครั้งส่งคำสั่งซื้อทางไปรษณีย์ได้ผลตอบแทนมากกว่าซื้อผ่านnetหากเราขาดสติ
ภาพประจำตัวสมาชิก
oatty
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 2444
ผู้ติดตาม: 0

รุ้งกินน้ำ

โพสต์ที่ 353

โพสต์

โอ เพิีงได้มาอ่านกระทู้นี้ เยี่ยมเจง ๆ
"ผู้ทรงธรรมนั่นแหละคือผู้ทรงเกียรติ ผู้มีความดีนั่นแหละคือผู้มีทรัพย์ ผู้รู้จักพอนั่นแหละคือมหาเศรษฐี" ว.วชิรเมธี
ภาพประจำตัวสมาชิก
oatty
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 2444
ผู้ติดตาม: 0

รุ้งกินน้ำ

โพสต์ที่ 354

โพสต์

[quote="por_jai"]:8) ถามปัญหาทางธรรมหน่อยครับ
"ผู้ทรงธรรมนั่นแหละคือผู้ทรงเกียรติ ผู้มีความดีนั่นแหละคือผู้มีทรัพย์ ผู้รู้จักพอนั่นแหละคือมหาเศรษฐี" ว.วชิรเมธี
ภาพประจำตัวสมาชิก
por_jai
Verified User
โพสต์: 14338
ผู้ติดตาม: 0

รุ้งกินน้ำ

โพสต์ที่ 355

โพสต์

:8) ตั้งกระทู้ธรรมะซะเลย

ธรรมะนั้นล้ำเลิศ
กรูเก่ง กิเลสเก่งกว่า
ภาพประจำตัวสมาชิก
por_jai
Verified User
โพสต์: 14338
ผู้ติดตาม: 0

รุ้งกินน้ำ

โพสต์ที่ 356

โพสต์

:8) เหตุการณ์ในตลาดวันนี้
กรูเก่ง กิเลสเก่งกว่า
noooon010
Verified User
โพสต์: 2712
ผู้ติดตาม: 0

รุ้งกินน้ำ

โพสต์ที่ 357

โพสต์

เค้าบอกว่า มัน rebound จากข่าวนี้ครับพี่ครับ

http://breakingnews.nationchannel.com/r ... sid=344558

รัฐสภาญี่ปุ่นอนุมัติงบประมาณพิเศษหนุนมาตรการทางเศรษฐกิจ
16:54 น.


รัฐสภาญี่ปุ่นอนุมัติร่างกฎหมายงบประมาณพิเศษในการอัดฉีดเม็ดเงินสำหรับมาตรการทางเศรษฐกิจมูลค่า 1.8 ล้านล้านเยน (1.798 หมื่นล้านดอลลาร์) เพื่อผ่อนคลายผลกระทบของราคาอาหารและพลังงานที่ระดับสูง

การอนุมัติร่างกฎหมายดังกล่าวมีขึ้นในขณะที่รัฐบาลพิจารณามาตการทางเศรษฐกิจเพิ่มเติม ท่ามกลางความกังวลที่เพิ่มมากขึ้นว่าวิกฤตสินเชื่อโลกจะส่งผลให้ญี่ปุ่นเข้าสู่ภาวะถดถอย

นายกรัฐมนตรีทาโร อาโซะของญี่ปุ่น จะประชุมร่วมกับคณะรัฐมนตรีและเจ้าหน้าที่จากพรรร่วมรัฐบาล ในประเด็นเกี่ยวกับมาตรการทางเศรษฐกิจใหม่ ๆ ในวันนี้

งบประมาณพิเศษดังกล่าวมีมูลค่า 1.0641 ล้านล้านเยน และส่วนที่เหลือของค่าใช้จ่ายของมาตรการทางเศรษฐกิจชุดแรกจะมาจากการปรับลดการใช้จ่ายที่ได้วางแผนไว้ ซึ่งรวมถึงเงินสำหรับชำระหนี้ ซึ่งยังไม่มีการนำไปใช้ อันเนื่องมา

จากอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำกว่าคาดไว้

นอกจากนี้ งบประมาณพิเศษยังจะรวมถึง พันธบัตรภาคการก่อสร้าง ซึ่งมีมูลค่าทั้งสิ้น 1.027 ล้านล้านเยน แต่กระทรวงการคลังญี่ปุ่นจะลดจำนวนการออกพันธบัตรที่ชดเชยการขาดดุลลง 6.32 แสนล้านเยน ซึ่งจะทำให้มีการออกพันธบัตรมีมูลค่าสุทธิที่ 3.95 แสนล้ายเยน

ทั้งนี้ จะนับเป็นครั้งแรกนับแต่ปีงบประมาณที่สิ้นสุดในเดือนมี.ค.2003 ที่รัฐบาล ซึ่งเผชิญกับภาวะหนี้สินภาคสาธารณะจำนวนมากราว 1 เท่าครึ่งของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศนั้น ได้ออกพันธบัตรเพิ่มเติมในการระดมเงินสำหรับงบประมาณพิเศษ

...

วันนี้รายย่อยซื้อแหลกครับ

แล้วพรุ่งนี้ล่ะครับ

ซื้อหุ้น ผมว่า ถ้ามีดยังไม่ตกลงพื้น มันอันตรายนะครับ
อย่าลืมให้เวลากับครอบครัว และสังคมรอบๆข้างของคุณนะครับ

มีสติ และมีความสุขกับการลงทุนนะครับผม


นักลงทุนที่เก่งที่สุดมิใช่คนที่ซื้อขายไวที่สุด
แต่คือคนที่นำสติกลับมาได้เร็วที่สุด
หลายครั้งส่งคำสั่งซื้อทางไปรษณีย์ได้ผลตอบแทนมากกว่าซื้อผ่านnetหากเราขาดสติ
ภาพประจำตัวสมาชิก
por_jai
Verified User
โพสต์: 14338
ผู้ติดตาม: 0

รุ้งกินน้ำ

โพสต์ที่ 358

โพสต์

:8) สัมภาษณ์ไพบูลย์ นลินทรางกูร ประธานกรรมการบริหารและกรรมการผู้จัดการ บล.ทิสโก้
     ผมเองเคยโชคดีได้ฟังท่านพูดมาครั้งนึงที่ห้องสมุดตลท.
     ยังหนุ่มแน่นบุคลิกดี๊ดี
     แนวคิดของท่านไม่ทำมะดาทีเีดียว

"ตลาดหุ้น Bottom Out ไปแล้วหรือยัง?"

เมื่อ ช่วง 1-2 อาทิตย์ที่ผ่านมา ผมได้ถูกถามคำถามนี้บ่อยครั้งมากจากแทบจะทุกคน (ที่สนใจเรื่องตลาดหุ้น) ที่ผมได้พูดคุยด้วย ผมเชื่อว่าคนส่วนใหญ่มองว่าช่วงเวลานี้เป็นโอกาสทองในการซื้อหุ้น เพราะตลาดหุ้นไทยได้ปรับตัวลงมาแล้วถึง 40% จากต้นปี และหุ้นขนาดใหญ่อย่างเช่น LH, PTT, SCC ก็ปรับลดลงมากถึง 40-50% แต่ที่ทุกคนยังกังวลอยู่ก็คือ แนวโน้มในอนาคตของหุ้นเหล่านี้ว่าจะยังมีแรงขายออกมาอีกหรือไม่ และเวลานี้เหมาะสมแล้วหรือยังที่จะเข้าซื้อหุ้น



คำตอบที่ผม ได้บอกกับพรรคพวก เพื่อนฝูง และนักลงทุนก็คือ ผมไม่ทราบว่าตลาดหุ้นได้ Bottom Out ไปแล้วหรือยัง สาเหตุเป็นเพราะวิกฤติสถาบันการเงินครั้งนี้เป็นวิกฤติระดับโลก และแรงเทขายหุ้นส่วนใหญ่ก็มาจากนักลงทุนต่างชาติซึ่งขายหุ้นออกเพราะเหตุผล หลักๆ 4 ประการ คือ 1) ลดน้ำหนักการลงทุนใน Emerging Markets 2) ลดการลงทุนในหุ้นขนาดเล็กและสภาพคล่องน้อย 3) ขายสินทรัพย์ทั่วโลกออกเพื่อส่งสภาพคล่องกลับประเทศ หรือ 4) ขายสินทรัพย์เพราะถูก Redemption จากผู้ถือหน่วยลงทุน

ผม ไม่สามารถบอกได้ว่าต่างชาติจะหยุดขายแล้วหรือยัง ที่ผมสามารถบอกได้ก็คือว่า แรงขายหุ้นในปีนี้ที่มากถึงเกือบ 4,000 ล้านดอลลาร์ เป็นแรงเทขายหุ้นที่มากสุดนับตั้งแต่เปิดตลาดหุ้นมา จากสถิติที่ผ่านมา ปี 2000 เป็นปีที่ต่างชาติขายหุ้นออกมามากที่สุด (ไม่รวมปีนี้) และถ้านับเป็นเม็ดเงิน ก็ประมาณ 800 ล้านดอลลาร์เท่านั้น

ถ้า เราดูระดับการถือครองหุ้นของต่างชาติ (Foreign Holdings) ในตลาดหุ้นไทย จะเห็นว่ายังอยู่สูงถึงกว่า 30% ของมูลค่ารวมของตลาด ถ้านับเป็นเม็ดเงินและนับเฉพาะการถือครองหุ้นใน 50 บริษัทที่ใหญ่ที่สุดในตลาด โดยเอาสัดส่วนที่เป็น Strategic Shareholders (พันธมิตรทางธุรกิจ) ออก จะพบว่านักลงทุนหรือ Financial Investor ต่างชาติยังถือหุ้นไทยรวมเป็นเงินประมาณ 24,000 ล้านดอลลาร์ ซึ่งเท่ากับ 6 เท่าของมูลค่าที่ขายออกมาในปีนี้

แต่ผมเชื่อว่า คงจะเป็นไปไม่ได้ ที่ต่างชาติจะขายหุ้นไทยออกมาทั้งหมด เพราะเม็ดเงินที่อยู่ในการบริหารของ Global Asset Management Firms ยังมีอยู่มหาศาล และประเทศไทยก็ยังมีความน่าสนใจในการลงทุน  ในจำนวนเม็ดเงินทั้งหมดนี้ ผมเชื่อว่าใน Worst Case เม็ดเงินที่อาจจะออกจากประเทศไทยอีกเต็มที่ไม่น่าจะเกิน US$ 4,000 ล้าน ซึ่งเป็นสัดส่วนที่นักลงทุนต่างชาติถือผ่าน NVDR ส่วนที่ถือในสัดส่วนของ Foreign Shares นั้น ผมเชื่อว่าเป็นของนักลงทุนระยะยาวซึ่งที่ผ่านมาสัดส่วนนี้แทบไม่มีการ เปลี่ยนแปลงเลย

แต่ผมก็เชื่อว่าที่ระดับ SET Index นี้ (500 จุด) ซึ่งแทบจะเรียกว่าเป็นราคา Fire Sale นั้น ไม่น่าจะมีใครขายของออกมามากมายนัก หรือถ้าจะขายก็ไม่น่าที่จะขายแบบสร้างแรงกดดันให้กับตลาดมากนัก นอกเสียจากว่าตลาดหุ้นทั่วโลกจะเจอแรงเทขายใหญ่ๆ อีกรอบ

ถ้า เป็นเช่นนั้น ตลาดไทยก็คงหนีไม่พ้นต้องปรับตัวลดลงตามไปด้วย แต่ถ้าพิจารณาจากมาตรการต่าง ๆ ที่ประเทศในกลุ่ม G7 ได้ประกาศออกมาล่าสุดเพื่อแก้ปัญหาวิกฤติครั้งนี้ จะเห็นได้ว่าเป็นครั้งแรกที่ประเทศเหล่านี้แถลงชัดเจนว่า Crisis ครั้งนี้ไม่ใช่ปัญหาของประเทศใดประเทศหนึ่ง และมีความพยายามที่จะร่วมมือกันเพื่อหยุดวิกฤตินี้ให้ได้ โดยเฉพาะหลายๆ ประเทศรวมทั้งอังกฤษและอเมริกา ได้ออกมาตรการเพื่อใช้เงินของรัฐในการเพิ่มทุนให้กับสถาบันการเงินที่มี ปัญหา

ผมมองว่านี่เป็นการแก้ปัญหาที่ตรงจุดที่สุด และเชื่อว่าน่าจะสามารถทำให้สถานการณ์ดีขึ้นได้โดยเฉพาะตลาด Interbank  นับ ตั้งแต่ Lehman Brothers ประกาศล้มละลาย ตลาด Interbank ได้รับผลกระทบที่หนักมากจากการที่ Banks เริ่มไม่แน่ใจในสถานภาพของ Banks อื่นๆ เลยทำให้การปล่อยกู้ระหว่าง BANKS ด้วยกันเกิดขึ้นน้อยมาก ซึ่งเมื่อ Banks ขาดสภาพคล่องก็ส่งผลกระทบไปยัง Money Market (ตลาดเงินระยะสั้น) และ Credit Market (ตลาดสินเชื่อ) ทำให้เกิด Credit Crunch ขึ้นในภาค Real Sector ถ้าตลาด Interbank เริ่มกลับเข้าสู่ภาวะปกติมากขึ้น (ซึ่งผมเชื่อว่าจะเริ่มดีขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะจากการที่ประเทศ G7 ประกาศชัดเจนว่าจะดูแลไม่ให้ธนาคารล้มละลายอีก และมีแนวโน้มว่าจะค้ำประกัน Bank-to-Bank Lending) ก็จะทำให้ตลาดเงินกลับมามีสภาพคล่องมากขึ้น และจะช่วยประคับประคองไม่ให้เศรษฐกิจสหรัฐ และยุโรป เข้าสู่ภาวะถดถอยที่รุนแรง

ถึงเวลานี้ ผมเชื่อว่าคงไม่มีใครเถียงแล้วว่า เศรษฐกิจหลักของโลก เช่น สหรัฐ ยุโรป และญี่ปุ่น กำลังอยู่ในภาวะ Recession จุดเริ่มต้นของการถดถอยครั้งนี้มาจากการแตกตัวของฟองสบู่อสังหาริมทรัพย์ของ สหรัฐ ซึ่งทำให้เกิดปัญหา Default ใน Subprime Mortgage และลามมาสู่ภาคการเงิน จากผลของการแปลง Mortgage เหล่านี้มาเป็นตราสาร MBS และ CDO ซึ่งทำให้สถาบันการเงินที่ลงทุนในตราสารเหล่านี้ต้องประสบปัญหาขาดทุนและขาด สภาพคล่องอย่างรุนแรง และส่งผลกระทบไปสู่บริษัทอื่นๆ เช่น AMBAC, MBIA และ AIG ที่ทำหน้าที่ค้ำประกันตราสารเหล่านี้ด้วย
กลับมาที่คำถามว่าตลาด หุ้นไทย Bottom Out แล้วหรือยัง ผมเชื่อว่าไม่มีใครสามารถตอบได้ เพราะยังคาดการณ์ได้ยากว่า Real Sector จะถูกกระทบมากน้อยเพียงใด แต่ถ้าเปลี่ยนคำถามเป็นว่า ณ ระดับราคานี้เหมาะสมที่จะเข้าลงทุนหรือไม่ คำตอบของผมคือ เป็นระดับราคาที่น่าลงทุนมาก แต่มีข้อแม้ว่าจะต้องเป็นการลงทุนระยะยาวเท่านั้น

การ พยายามจะ Trade หุ้นในช่วงนี้ถือว่าเสี่ยงมากๆ เพราะความผันผวนจะยังคงอยู่ต่อไปอีกระยะหนึ่ง และไม่มีใครรู้ว่าทิศทางระยะสั้นของตลาดจะเป็นอย่างไร มีหลายคนถามผมว่า โอกาสที่ SET Index จะตกไปที่ประมาณ 200 จุดเหมือนเมื่อครั้งวิกฤติปี 2540 มีมากน้อยแค่ไหน

ผมเปรียบเทียบให้ดูง่ายๆ ว่าในช่วงปี 1997 ถึงปี 2000 บริษัทจดทะเบียนทั้งหมดรวมกันมีผลขาดทุนทุกปี โดยขาดทุนมากสุดในปี 1997 ที่ 715,853 ล้านบาท ในทางกลับกันครึ่งปีแรกของปี 2008 นี้ บจ. กำไรรวมกัน 307,125 ล้านบาท ซึ่งทั้งปีก็น่าจะได้ถึง 500,000 - 600,000 ล้านบาท ฉะนั้นโอกาสที่หุ้นจะตกไปถึง 200 จุด จึงไม่น่ามีความเป็นไปได้

กลยุทธ์ เวลานี้ นักลงทุนควรเลือกหุ้นที่พื้นฐานดี อยู่ในธุรกิจที่มีลักษณะ Defensive พึ่งพิงการส่งออกน้อย มีกระแสเงินสดที่ดี จ่ายเงินปันผลสูงและมีแนวโน้มว่าจะสามารถรักษาระดับกำไรไว้ได้อย่างน้อยเท่า ปีนี้ในปีถัดๆ ไป ซึ่งถ้าเป็นเช่นนี้และถ้าเราเลือกหุ้นที่มี Dividend Yield ประมาณ 7-8% (ซึ่งมีเยอะมาก) ก็หมายความว่าเราจะได้ผลตอบแทนในรูปเงินปันผลมากกว่าฝากธนาคารหรือซื้อ พันธบัตรรัฐบาล และพอตลาดหุ้นฟื้นตัว (ซึ่งโอกาสมีสูงมากภายใน 1 ปีข้างหน้า) เราก็จะสามารถขายหุ้นออกเพื่อรับผลกำไรจาก Capital Gain ด้วย
กรูเก่ง กิเลสเก่งกว่า
ภาพประจำตัวสมาชิก
por_jai
Verified User
โพสต์: 14338
ผู้ติดตาม: 0

รุ้งกินน้ำ

โพสต์ที่ 359

โพสต์

:8) นิยายหุ้น ผมอ่านแล้วสนุกดี จากพันทิพ

"ชีิวิตคือการเล่นหุ้น"
กรูเก่ง กิเลสเก่งกว่า
ภาพประจำตัวสมาชิก
por_jai
Verified User
โพสต์: 14338
ผู้ติดตาม: 0

รุ้งกินน้ำ

โพสต์ที่ 360

โพสต์

:8) เห็นรูปนี้แล้วคิดถึงหมอPheumoniaครับ
     ไม่รู้ไปทำธุรกิจรุ่งเรืองอยู่หรือเปล่า
     หายไปเลย
     หมอเคเลยเก๊กหล่อในเวบอยู่ได้คนเดียว

รูปภาพ
กรูเก่ง กิเลสเก่งกว่า