ยูนิเวอร์แซล แบงกิ้ง
นอกเหนือจากเกมตามล่าหาแพะที่จะต้องเกิดขึ้นกับกรณีของวิกฤตสถาบันการเงินอเมริกันขนาดใหญ่ในสัปดาห์ที่ผ่านมาแล้ว สิ่งที่ต้องเร่งทบทวนเกี่ยวกับชุดความคิดในเรื่องนโยบายของรัฐชาติต่างๆในเรื่องโครงสร้างการประกอบธุรกิจของสถาบันการเงินที่เรียกว่า
ยูนิเวอร์แซล แบงกิ้ง ซึ่งเคยถูกถือว่าเป็นคำตอบแห่งอนาคตของสถาบันการเงินโลก โดยเร็วที่สุด
ปรากฏการณ์ล่มสลายของวาณิชธนกิจใหญ่อย่างเลห์แมน บราเธอร์สฯ หรือ เมอร์ริล ลินช ยืนยันชัดเจนว่า เป็นผลมาจากการพังทลายโครงสร้างการทำธุรกิจของธนาคารพาณิชย์จากแบบเดิมภายใต้กฎหมายควบคุมธนาคารพาณิชย์แบบเก่า มาสู่การมุ่งเป็น ยูนิเวอร์แซล แบงก์กิ้ง อย่างแท้จริง
ความซับซ้อนของธุรกรรมที่แม้ด้านหนึ่งจะทำให้ความเสี่ยงกระจายตัวออกไป แต่อีกด้านหนึ่งก็ช่วยวุกซ่อนปัญหาความไร้ประสิทธิภาพเบื้องหลังคำว่าพลังผนึกอย่างมิดชิด จนเมื่อความเน่าเฟะโผล่ออกมาให้เห็น ก็ยากจะแก้ไขได้เสียแล้ว
ข้อสังเกตที่น่าสนใจก็คือ 2 คนที่คุมอำนาจการตัดสินใจในรัฐบาลจอร์จ บุช จูเนียร์เรื่องเศรษฐกิจคือ นิค พอลสัน กับ เบน เบอร์นานเก้ นั้น ไม่ใช่มือใหม่หัดขับ แต่เป็นคนที่รู้เรื่องและคาดเดาการพังทลายของฟองสบู่อสังหาริมทรัพย์อเมริกันได้ชัดเจนมาหลายปีแล้ว แต่เมื่อถึงเวลาก็ทำอะไรไม่ได้ นอกจากทุ่มเงินรัฐบาลเข้าไปอัดฉีดแก้ปัญหาเฉพาะหน้าเท่านั้น
พอลสัน คือ ซีอีโอคู่ในวาณิชธนกิจอย่างโกลด์แมน แซคส์ร่วมกับโรเบิร์ต รูบิน รัฐมนตรีคลังสมัยคลินตัน ส่วนเบอร์นันเก้นั้น ทำงานกับกรีนสแปนมายาวนาน และเชี่ยวชาญเรื่องรับมือเศรษฐกิจขาลงจนเลื่องชื่อ ยังมีชะตากรรมเช่นนี้
หากไม่นับเรื่องของการฉ้อฉล หรือ วิศวกรรมการเงินที่มีคนเปรียบว่า วาณิชธนกิจที่นั้น ได้แสดงพฤติกรรมเปรียบประดุจนักเล่นแร่แปรธาตุที่พยายามทำให้ตะกั่วกลายเป็นทองคำ โดยใช้ศิลานักปราชญ์แบบที่เคยเฟื่องฟูในอดีตหลายร้อยปีก่อน เราจะพบว่า รากเหง้าของปัญหาที่แท้ น่าจะอยู่ที่การแก้ไขกฏหมายควบคุมกำกับสถาบันการเงินพาณิชย์ในปี ค.ศ. 1999 ( พ.ศ. 2542) เป็นสำคัญ
การแก้ไขกฎหมายดังกล่าว จะเกิดจากความมั่นใจเกินขนาด หรือ เพราะการฉ้อฉลของระบบประชาธิปไตยอเมริกัน ก็คงต้องไปว่ากัน
เดิมทีนั้น นับแต่วิกฤตเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ของโลก นักการเมืองอเมริกันได้เสนอทางออกเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันให้กับสถาบันการเงินจนผ่านออกมาเป็นกฎหมายเรียกว่า Glass-Steagall Act ใน ค.ศ. 1933
วุฒิสมาชิกคาร์เตอร์ แกล้ส เป็นอดีตผู้ผลักดันให้ก่อตั้งธนาคารกลางสหรัฐฯมาก่อน และสส.เฮนรี่ สเตกัล ก็เป็นประธานคณะกรรมาธิการการเงินและการคลังของสภาล่าง คือสองแรงร่วมใจผลักกฎหมายดังกล่าว ท่ามกลางเสียงคัดค้านของบรรดาสถาบันการเงินโดยเฉพาะกลุ่มทุนยิวในวอลล์สตรีท แต่สถานการณ์ยามนั้น ทำให้กฏหมายดังกล่าวผ่านสภาหวุดหวิด
กฎหมายดังกล่าว ตั้งเป้าหมายแยกธุรกิจสถาบันการเงินออกจากกันเป็นส่วนๆ โดยเฉพาะแยกธุรกิจวาณิชธนกิจ และ ธนาคารพาณิชย์ออกจากกัน ไม่ให้ถือหุ้นไขว้ หรือ เกินสัดส่วน และแยกการบริหารออกจากกันเด็ดขาด เพื่อสร้างกำแพง มิให้กลุ่มทุนนำเงินไปปั่นสร้างราคาในตลาดหุ้น ตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ล่วงหน้า หรือ ตลาดเก็งกำไรอื่นๆ หรือการลงทุนอื่นๆที่ไม่ถนัด ทั้งในลักษณะครอบงำตลาด หรือ กระจายความเสี่ยง
เป้าหมายตอนแรกสุดของกฎหมายดังกล่าว เกิดจากต้องการหยุดยั้งพฤติกรรมของธนาคารพาณิชย์ที่นำเงินฝากของประชาชนไปปั่นราคาหุ้นในตลาดจนปั่นป่วนเป็นหลักทั้งลงทุนเอง หรือปล่อยกู้ลูกค้า
หลักเกณฑ์สำคัญอย่างหนึ่งที่ถือเป็นกฎเหล็กก็คือ รายได้ของธนาคารพาณิชย์จะต้องมาจากธุรกรรมจากตลาดทุนและเก็งกำไรไม่เกิน 10% ของรายได้รวม
ต่อมา มีการแก้ไขกฎหมายอีกครั้ง ใน ค.ศ. 1956 แยกธุรกิจธนาคารพาณิชย์ วาณิชธนกิจ และประกันภัย-ชีวิตออกจากกันเด็ดขาดอีก
การสร้างกำแพงสูงกั้นสถาบันการเงินออกจากกันนี้ ถูกวิพากษ์วิจารณ์กันเป็นระยะๆจากกลุ่มทุนวอลล์สตรีท และนักเศรษฐศาสตร์เสรีนิยมใหม่ ว่า เป็นการสะกัดกั้นมิให้สถาบันการเงินของอเมริกาแข่งขันได้อย่างแข็งขันเมื่อเทียบกับยุโรป ซึ่งมิได้มีกำแพงกั้นเหมือนในอเมริกา
ข้อเท็จจริงดูเหมือนจะสนับสนุนเสียงวิพากษ์มากทีเดียว เพราะนับแต่เกิดปรากฏการณ์
Big Bang ที่ซิตี้ ออฟ ลอนดอน เป็นต้นมา บรรดาธุรกิจวาณิชธนกิจของยุโรป กลายเป็นธุรกิจที่ทำกำไรกันอย่างมหาศาล และไล่กวาดต้อนบรรดาธนาคารพาณิชย์เข้ามาไว้ในอุ้งมืออย่างจริงจัง กลายเป็นสถาบันการเงินขนาดใหญ่ระดับโลกที่ไล่เลี่ยกับบรรดาสถาบันการเงินของอเมริกา
วาณิชธนกิจ คือธุรกิจให้บริการทางการเงิน เป็นที่ปรึกษา พร้อมกับจัดการอย่างเบ็ดเสร็จ( แต่งตัว ควบรวมกิจการ ขายหุ้น ขายหุ้นกู้ ฯ) เพื่อให้ลูกค้าได้รับประโยชน์สูงสุด มีต้นทุนการดำเนินงานที่ต่ำกว่าธนาคารพาณิชย์หลายเท่า แม้จะมีฐานเงินน้อยกว่า การที่เชื่อมโยงธุรกิจทั้งสองเข้าด้วยกันก็จะยิ่งทำให้ส่งต่อธุรกิจกันไปมาอย่างก้าวกระโดดได้ง่ายดายมากขึ้น
แรงขับดันดังกล่าว ทำให้มีการล้อบบี้อย่างหนักในวอลล์สตรีท ท้ายสุดก็เลยกลายมาเป็นร่างกฎหมายเสนอโดยสามนักการเมืองที่ทั้งยกเลิกและแก้ไขกฎหมาย Glass-Steagal อย่างหมดสิ้น เรียกว่ากฎหมาย Gramm-Leach-Bliley Act
สาระของกฎหมายหลังสุด คือ การยินยอมให้วาณิชธนกิจ ธนาคารพาณิชย์ และประกันภัย-ชีวิตร่วมอยู่ใต้ร่มธง(ทั้งเจ้าของและผู้บริหาร)เดียวกันได้ โดยมีเป้าหมายสร้างธุรกิจครบวงจรแนวระนาบและดิ่ง ที่เรียกเสียไพเราะว่า ยูนิเวอร์แซล แบงกิ้ง (บางรายก็อาจจะเลี่ยงใช้ว่า ไฟแนนเชียล บาซาร์ หรือ ไฟแนนเชียล วุเปอร์มาร์เก็ต ก็ได้) นั่นเอง
โกลด์แมน แซคส์ เป็นวาณิชธนกิจเจ้าแรกที่ฉกฉวยโอกาสกระโจน์เข้าสู่กติกาใหม่นี้และเติบโตอย่างก้าวกระโดดจนน่าอิจฉา ทำให้ทุกค่ายต้องกระโจนตามไปทั่วอเมริกาและทั่วโลก
ผลของกฎหมายในอเมริกา ทำให้บรรดาธนาคารกลาง และกระทรวงการคลังทั่วโลกตื่นเต้นกันยกใหญ่ เพราะธุรกรรมของธนาคารพาณิชย์โลกภายใต้กระแสโลกาภิวัตน์นั้น ถูกแรงกดดันจากองค์การค้าโลกให้เปิดเสรีมากขึ้น ซึ่งหากไม่มีการเตรียมความพร้อมเอาไว้สู้ สถาบันการเงินท้องถิ่นก็จะถูกฮุบกลืนได้ไม่ยากเย็น
ชาติต่างๆ รวมทั้งไทย ก็เลยต้องตกกระไดพลอยโจน ทำตัวให้ทันสมัย สร้างแผนแม่บทเพื่อให้ธนาคารพาณิชย์และสถาบันการเงินมุ่งไปสู่การปรับตัวรับมือดังกล่าว
วันนี้ วิกฤตที่เกิดขึ้นในอเมริกา กำลังบอกว่า เจตนารมณ์ของกฎหมาย Gramm-Leach-Bliley Act มีปัญหาสำคัญที่ต้องทบทวนกันจริงจัง
คำถามก็คงต้องย้อนกลับมายังผู้นำชาติและธนาคารกลางต่างๆว่า แผนแม่บททางการเงินที่ตกกระไดพลอยโจนไปสู่ ยูนิเวอร์แซล แบงกิ้ง ตามรอยอเมริกานั้น ควรต้องทบทวนกันใหม่ได้หรือยัง? และทำอย่างไรถึงได้ทั้งความมั่นคง และเสน่ห์ในการสร้างกำไรควบคู่กันไป?
จาก ข่าวหุ้นวันที่ 22 ก.ย. 2551
ยูนิเวอร์แซล แบงกิ้ง
-
- Verified User
- โพสต์: 274
- ผู้ติดตาม: 0