รุ้งกินน้ำ

เชิญมาพักผ่อน คลายร้อนนั่งเล่น คุยกันเย็นๆ พร้อมเรื่องกีฬา สัพเพเหระ ทัศนะนานา ชีวิตชีวา สุขภาพทั่วไป บันเทิงขำขัน รอบเรื่องเมืองไทย ชวนเที่ยวที่ไหน อยากไปก็นัดมา ...โย่วๆ
...
Verified User
โพสต์: 1817
ผู้ติดตาม: 0

รุ้งกินน้ำ

โพสต์ที่ 91

โพสต์

แล้วพี่ๆคิดว่าทำอย่างไรถึงแก้ปัญหาดอลล่าร์ท่วมโลกนี้ได้ครับ

พร้อมใจอิงเงินสกุลอื่นแล้วปล่อยให้ usd เป็นแบงค์กงเต็ก
ช่วยกันอุ้มพี่เบิ้ม
สงคราม

:?
แมงเม่าบินเข้ากลางใจ
ภาพประจำตัวสมาชิก
por_jai
Verified User
โพสต์: 14338
ผู้ติดตาม: 0

รุ้งกินน้ำ

โพสต์ที่ 92

โพสต์

ไปเล่นบอลกับน้องๆมา

คิดแล้วก็ขำดีนะครับ
ไม่ได้เล่นบอลเป็นทีมมาตั้งหลายสิบปี
สมัยมัธยมและมหาลัยนี่ก็เล่นแต่ตะกร้อมาโดยตลอด
บอลนี่ได้เตะตอนคนไม่ครบ เขาเรียกให้ไปขัดตาทัพเท่านั้น
อาศัยว่ามีพื้นฐานเป็นนักกีฬาและที่ผ่านมาก็ไม่เคยหยุดออกกำลังกาย
ตอนที่เห็นน้องๆเขาขึ้นกระทู้ชวน
เห็นสนามในรูปมันไม่ใหญ่มาก น่าจะพอวิ่งสู้ฟัดไหว
ก็เลยคิดว่าต้องไปลองดูซักหน่อย
ปรากฏว่าสนุกดีครับ เห็นสนามเล็กๆอย่างนั้นแต่เหนื่อยมากครับ
เพราะต้องวิ่งไม่หยุด
วิธีเดียวในการพักเหนื่อยคือเราลงไปเล่นเป็นโกล์แทน
ให้เพื่อนให้น้องเหนื่อยแทน

ตัวตั้งตัวตีงานนี้คือเจ้าโอ๊ต เจ้ากบเคอร์มิทแล้วก็หมอเค
ปรากฏว่าทั้งสามคนนี้ฝีเท้าจัดอยู่ในเกณท์สูงกว่ามาตรฐาน
โอ๊ตกับกบนี่เท้าคงมีแม่เหล็กอะไรซักอย่างฝังไว้
ดูดบอลติดไปกับขาได้ตลอด
(ตอนชั่วโมงแรกพอชั่วโมงที่สองอาการก็ออก)
ทั้งพลิ้วทั้งลากทั้งส่งทั้งยิง
พอดีตอนจัดตัวผมอยู่กับทั้งสองคนนี้
ในทีมก็มีบอลอีกคน บอลนี่เบสิคเก่าคงเป็นนักบอลแน่
เพราะคนอื่นเขาเอาเท้าดูดบอล
เจ้าบอลที่เอาตัวกับพุงดูดบอลได้
แถมตอนเล่นเซ็นเตอร์ปั๊มกับฝั่งตรงข้ามทีนึง
ผมกลัวกระดูกใครจะโผล่ออกมารับลมจริงๆ
อีกคนในทีมก็เจ้าหนูบลูบลัด รายนี้ยังไม่ทันได้ดูดำดูดีเลย
เล่นไปได้5นาทีเดินกลับมาหาผมบอก
"พี่ผมเป็นโกล์มั่งฮี่"
แต่แปลกดีหลังจากได้วอร์มซักพัก กลับลงไปใหม่ คราวนี้ทั้งลาก
ทั้งยิงระเบิดเถิดเทิง
หลังจากนั้นก็เห็นคุมอาการอยู่
โอ๊ตกับกบซะอีกที่วิ่งมากในช่วงแรก แล้วยิงคู่ต่อสู้กระจาย
ทำให้อีก3ทีมได้แต่ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนมาให้ทีมเรายิง
(เน้น...ในชั่วโมงแรก)
พอตอนท้ายๆหน้าเริ่มเป็นหนุ่มเกาหลีคือหน้าข๊าวขาว(ลง)
กรูเก่ง กิเลสเก่งกว่า
ภาพประจำตัวสมาชิก
por_jai
Verified User
โพสต์: 14338
ผู้ติดตาม: 0

รุ้งกินน้ำ

โพสต์ที่ 93

โพสต์

:8) ทีมฝั่งตรงข้ามในตอนแรกเป็นทีมของหมอเคกับพลพรรค
กรูเก่ง กิเลสเก่งกว่า
ภาพประจำตัวสมาชิก
por_jai
Verified User
โพสต์: 14338
ผู้ติดตาม: 0

รุ้งกินน้ำ

โพสต์ที่ 94

โพสต์

:8) น้องตี๋ ดูตี๋ๆแต่ฝีมือการเล่นไม่ตี๋เลยครับ
     ยิงไป2ลูกสวยๆ แถมสู้วิ่งไล่ตลอดทั้งขึ้นทั้งลง
     เจ้าเกี้ยเซคั่นวินด์หนุ่มเชฟรอนนี่เห็นบอลเรียก
     "เกี้ย5หลา"แกประเภทเข้าฮอร์สเก่งครับ
     อยู่ถูกที่ถูกมุมตลอด
     ส่วนเจ้านิวนี่มากับน้อง  แฮ่...น้องเล่นเก่งกว่าครับ
     งานนี้มีน้องใหม่ๆในเวบมากันหลายคน
     เล่นบอลกันเก่งๆก้หลายคน
     อย่างโต้งนี่เล่นยังไม่พลิ้ว แต่เล่นเป็นทีมได้ดี
     แถมยิงแรง ได้ยิงบ่อย แต่เท่าที่ดูไม่เห็นเข้าโกล์เท่าไหร่
     เขาบอกผมว่าเรื่องเล่นบอลนี่ชอบ
     ถามว่าชื่อมีที่มาอย่างไร เห็นล็อกอินเขาชื่อ
     A man from Islay
     เขาว่าอ่านว่า อะ แมน ฟรอม ไอเล่
     ไอเล่นี่เป็นเกาะในประเทศสก๊อตที่ผลิตเหล้าวิสกี้ที่อร่อยที่สุดในโลก

      มีหนุ่ม2คนที่ใส่เสื้อขาว ยังไม่ได้คุยกัน
      2คนนี้ฝีเท้าพอๆกับโอ๊ตกับกบ
      แต่แรงเหนือกว่าเยอะ
      ทำให้ในชั่วโมงที่สอง ทีมของสองหนุ่มได้ยืนอยู่นาน
      ทีมไหนเข้ามาเป็นกระจายหมด รวมทั้งทีมผมด้วย
      แต่เท่าที่ผมสังเกตุดู พอเข้าชั่วโมงที่สอง
      แต่ละคนตอนเรียกให้ลงสนามนี่เรียกยากแล้วครับ
      ผมคิดถึงหนังเรื่อง Last man standingขึ้นมาทันที
      ส่วนผมยังมีกำลังขาอยู่อีกแยะ เนื่องจากฝึกวิ่งมานาน
      ช่วงหลังๆบอลเลยมาหาตลอด
      แต่สู้ทักษะของเจ้า2หนุ่มเสื้อขาวไม่ได้เลย
      ได้แต่วิ่งปะทะไปเรื่อยให้แพ้ช้าลงเท่านั้นเอง
กรูเก่ง กิเลสเก่งกว่า
ภาพประจำตัวสมาชิก
krisy
Verified User
โพสต์: 736
ผู้ติดตาม: 0

รุ้งกินน้ำ

โพสต์ที่ 95

โพสต์

พี่พอใจถ่ายทอดได้สนุกดีค่ะ ขนาดเล่นไม่เป็นก็ฟังได้เพลิน
.....Give Everything but not Give Up.....
ภาพประจำตัวสมาชิก
por_jai
Verified User
โพสต์: 14338
ผู้ติดตาม: 0

รุ้งกินน้ำ

โพสต์ที่ 96

โพสต์

:8) มีน้องใหม่อีกคนใช้ล็อกอินว่าเก่งอินเทรนด์
     คนนี้ผมจำได้ว่าเจอที่งานกุ้งเต้น
     คุยกันบอกว่าเข้าเวบมาได้ปีกว่าเพิ่งมาเปิดตัว
     ชอบเล่นบอล
     ไม่มีก๊วน แล้วไม่อยากไปเล่นกับคนไม่รู้จักแบบไปขอเขาร่วมทีม
     แกว่าบอลมันกีฬาปะทะพี่ ไม่รู้จักกันไม่อยากเล่นเท่าไหร่
     คราวนี้เลยสบโอกาสมาจอยกับเรา

     ผมมานั่งคิดๆดูที่น้องเขาพูดนะ
     วันนี้ที่พวกเราเล่นกัน อาจจะมีซักลูกสองลูกที่ปั๊มกันหนักๆ
     ก็ในเกมทั้งนั้น ไม่มีใครติดดาบใส่ใคร
     แถมต่างฝ่ายก็ไม่แน่ใจว่าใครผิด ก็กุลีกุจอขอโทษกันเป็นพัลวัน
     เป็นเรื่องดีๆที่เห็นในสนามตลอด2ชั่วโมง
     ก๊วนนี้ดูแล้วเล่นกันได้สบายครับ

     อีกเรื่องที่ดูแล้วอินเทรนด์มากคือ
     เวลาผ่านบอลไปให้เพื่อนแล้วเพื่อนเล่นไม่ได้
    มีการยกนิ้วขอบคุณกันตลอด
     เหมือนในบอลที่ดูในทีวีเลย
     รู้สึกเหมือนตัวเองอยู่ในสนามพรีเมียร์ซะงั้น ชอบครับได้บรรยากาศดี

     ขำที่สุดก็คือการผ่านบอล
     การผ่านบอลที่ดีคือการผ่านบอลไปข้างหน้าเพื่อน
     ให้เพื่อนวิ่งก้าวหรือ2ก้าวแล้วเจ๊อะกับบอลพอดี
     เรื่องนี้ตอนชั่วโมงแรกทำได้ครับ
     ชั่วโมงทีสองนี่ทำยากครับ
     เพราะขาอ่อนกันหมดแล้ว
     ผมได้แต่ตะโกนบอกๆให้ไม่ต้องผ่านไปข้างหน้า
     ให้ส่งให้แบบถึงตัวเลย จึงจะดี
     ที่ขำคือ เข้าใจความรู้สึกคนหมดแรงครับ
     คือเรื่องคิดมันจะคิดได้ แต่ตอนทำมันจะทำไม่ได้ครับ
     ตอนหมดแรงขาอ่อนๆเนี่ย    
     มันคิดได้ทำไม่ได้จริงจิ๊ง ..........
     
     ตอนกลับบ้านไปเจออาซ้อ
     เขาว่าอือม...ขาไม่หักกลับมาก็ดีแล้ว แก่แล้วไม่เจียม
     มาว่าคนอายุ28ว่าแก่ได้ไง
     ถ้าไม่ติดเรื่องรับเบี้ยเลี้ยงแล้วละก็ มาว่าตุ๊อย่างนี้น่าดูชม

     ไว้มีอะไรใหม่ๆในเที่ยวหน้าจะมาเล่าให้ฟังอีก
กรูเก่ง กิเลสเก่งกว่า
ปุย
Verified User
โพสต์: 2032
ผู้ติดตาม: 0

รุ้งกินน้ำ

โพสต์ที่ 97

โพสต์

[quote="por_jai"]:8)
ภาพประจำตัวสมาชิก
Ryuga
Verified User
โพสต์: 1771
ผู้ติดตาม: 0

รุ้งกินน้ำ

โพสต์ที่ 98

โพสต์

[quote="MindTrick"][quote="..."]อืมม งั้นถือว่าตอนนี้เราอยู่ในช่วงที่ 2 ได้มั๊ยครับพี่ริว

แต่ทำไมผมไม่ค่อยเบิกบานนำไปสู่การจับจ่ายใช้สอยเท่าไหร่เลยแฮะ
ภาพประจำตัวสมาชิก
Ryuga
Verified User
โพสต์: 1771
ผู้ติดตาม: 0

รุ้งกินน้ำ

โพสต์ที่ 99

โพสต์

สมัยที่ยังอยู่ในระหว่างสงครามโลกครั้งที่สองนั้น ผู้เชี่ยวชาญ/ผู้ยิ่งใหญ่ทางการเงินจากนานาประเทศ (กลุ่มสัมพันธมิตร) ได้ไปรวมตัวประชุมกันที่เมือง Bretton Woods รัฐ New Hampshire สหรัฐอเมริกา เพื่อหารือตกลงกันเกี่ยวกับระบบการเงินของโลก ช่วงนั้นโลกและสหรัฐฯ พึ่งผ่านจากการถดถอยครั้งใหญ่เมื่อปี 29 มาได้เพียง 10 กว่าปี ความเลวร้ายที่เกิดขึ้นในครั้งนั้นยังคงตามหลอกหลอนความรู้สึกนึกคิดของทุกผู้คน และนั่นก็ได้เป็นแรงผลักดันให้จำต้องกำเนิดระบบอะไรสักอย่างเพื่อที่จะคงไว้ซึ่งความมั่นคงทางการเงินและอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราระหว่างประเทศท่ามกลางความเลวร้ายและไม่แน่นอนของสงคราม

เมื่อสงครามสงบ ข้อตกลงที่ Bretton Woods ก็ได้นำมาปฏิบัติ สาระสำคัญของระบบนี้อยู่ที่การตรึงค่าเงินเหรียญสหรัฐฯ ไว้กับทองคำในอัตราตายตัวที่ 35 เหรียญ/ออนซ์ และประเทศอื่นๆ นอกเหนือจากสหรัฐฯ นั้นจะต้องตรึงค่าเงินตนเองไว้กับเงินเหรียญสหรัฐฯ โดยยอมให้ค่าเงินผันผวนได้ในระดับ 1% ของค่าเสมอภาคของแต่ละฝ่าย ในปลายปี 46 กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ก็ได้ถูกก่อตั้งขึ้นอย่างเป็นทางการเพื่อที่จะบริหารระบบ Bretton Woods

คิดจากมุมมองสมัยนี้ก็อาจดูเว่อๆ อยู่บ้าง แต่ในสมัยนั้นก็นับว่ามีเหตุผลดี ทั้งโลกขณะนั้นกำลังบอบช้ำหนักจากสงคราม ญี่ปุ่นซึ่งโดนนิวเคลียร์ก็เกินคำบรรยาย จีนเป็นยักษ์ป่วยมานานแล้ว ยุโรปเละตุ้มเป๊ะไปหมดจากพิษนาซีเยอรมัน มีแต่สหรัฐฯ ที่สภาพภูมิศาสตร์แยกออกจากประเทศอื่นด้วยมหาสมุทรใหญ่จึงถูกกระทบจากสงครามน้อยมาก สิ่งที่เขาต้องการในขณะนั้นคือเสถียรภาพของค่าเงินจากการกำหนดค่าเสมอภาคและการตรึงอัตราแลกเปลี่ยน

ในฐานะของผู้ชนะสงครามและเศรษฐกิจประเทศอื่นก็เสียหายอย่างหนัก สหรัฐฯ ก็ผงาดขึ้นเป็นมหาอำนาจอันดับหนึ่งของโลก ขนาดเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ณ เวลานั้นใหญ่เท่ากับครึ่งหนึ่งของเศรษฐกิจโลกทีเดียว และที่เขาอาจหาญ (ผยอง) ในการผูกค่าเงินดอลลาร์ไว้กับทองคำในอัตราตายตัวได้ก็เพราะทองคำสำรองทั้งหมดของโลกเกือบ 2 ใน 3 เป็นของสหรัฐฯ

ผลของระบบนี้ทำให้เงินดอลลาร์ (กระดาษ) มีค่าเสมอภาคเทียบเท่าทองคำ มีดอลลาร์ก็เหมือนมีทองคำ นานาประเทศที่ผูกค่าเงินไว้กับดอลลาร์จึงเสมือนว่าถูกผูกไว้กับทองคำด้วยเช่นกัน สหรัฐฯ กลายเป็นคู่ค้าใหญ่ของประเทศทั่วโลก การที่ใครจะซื้อของจากสหรัฐฯ ได้ก็คือเขาต้องมีดอลลาร์ไปจ่าย เงินกระดาษของลุงแซมกลายเป็นที่นิยม ยุคเฟื่องฟูใหญ่ของสหรัฐฯ หลังสงครามมาถึง ตลอดสองทศวรรษที่พี่ท่านเกินดุลการค้าและเศรษฐกิจขยายตัวต่อเนื่องอย่างมีเสถียรภาพ แต่อย่างไรก็ตาม สหรัฐฯ ก็ขาดดุลการชำระเงินเกือบจะตลอดจากการโอนเงินให้ประเทศอื่นกู้ (ผ่าน IMF) ลูกค้ารายใหญ่ของเขาในช่วงหลังสงครามใหม่ๆ คือยุโรป ซึ่งสหรัฐฯ ต้องฉีดเงินเข้าไปเยอะทีเดียว

การเป็นสมาชิก IMF ก็คือยอมเอา Bretton Woods system มาใช้ด้วยนั่นเอง และสหรัฐฯ, IMF ก็ผลักดันให้ประเทศต่างๆ เก็บดอลลาร์เป็นเงินทุนสำรอง (เพราะมีค่าเทียบเท่าทองคำ)
ภาพประจำตัวสมาชิก
Ryuga
Verified User
โพสต์: 1771
ผู้ติดตาม: 0

รุ้งกินน้ำ

โพสต์ที่ 100

โพสต์

เราจินตนาการได้อยู่แล้วว่าในระยะยาวระบบนี้ย่อมยืนอยู่ไม่ได้ การที่สหรัฐฯ ผูกค่าเงินตัวเองไว้กับทองคำในอัตราคงที่นั้นเป็นการบิดเบือนกลไกตลาดอย่างชัดแจ้ง ยิ่งเวลาผ่านไปมือที่มองไม่เห็นยิ่งทรงอำนาจ เรียกว่าค่าเงินดอลลาร์สูงเกินความเป็นจริงหรือทองคำถูกตรึงราคาให้ต่ำกว่าความเป็นจริงก็ได้ทั้งนั้น ช่วงแรกๆ ก็ไม่สู้กระไร แต่พอมาถึงช่วงหลังๆ ก็เริ่มมีการเก็งกำไรขึ้นโดยเฉพาะตลาดลอนดอน หลายกรรมหลายวาระที่สหรัฐฯ จำต้องขนทองคำในคลังมาขายต้านเพื่อให้ราคาทองคำยังคงอยู่ที่ออนซ์ละ 35 เหรียญ

ระบบการเงินทางตะวันตกพัฒนามาจากการใช้โลหะมีค่าแทนเงิน ทองคำเสมือนเป็นเงินตราในขณะที่ทางตะวันออกหลายพื้นที่พัฒนามาแตกต่างกันออกไป จีนใช้เหรียญทองแดง ไทยเราเคยใช้หอย เอ๊ย ใช้เปลือกหอย ทองคำมักถูกสงวนไว้เฉพาะงานศิลปะซึ่งมักเกี่ยวข้องกับศาสนา หรือเครื่องประดับต่างๆ ซึ่งอาจจำกัดเฉพาะราชวงศ์หรือชนชั้นสูง

มุมมองที่ผิดพลาดว่าโลหะมีค่าคือเงินได้นำไปสู่ลัทธินิยมทองและการล่าอาณานิคมของทางตะวันตก ซึ่งต่อมานักเศรษฐศาสตร์คลาสสิกนับตั้งแต่ท่าน Adam Smith ก็ได้โจมตีเรื่องนี้ แท้จริงทองก็เป็นเพียงโลหะชนิดหนึ่งซึ่งถือว่าเป็นสินค้าที่ราคาสามารถขึ้นๆ ลงๆ ไปได้ตามกลไกตลาด และอัตราการผลิตทองคำก็ตามไม่ทันการเติบโตทางเศรษฐกิจ ราคาทองคำจึงต้องสูงขึ้นเรื่อยๆ

เมื่อมาถึงสมัยของนิกสันเหตุการณ์ก็สุกงอม ทองคำในคลังของสหรัฐฯ ร่อยหรอลงไปอย่างมาก เมื่อไม่สามารถฝืนความเป็นจริงของกลไกตลาดได้อีกการลดค่าเสมอภาคของดอลลาร์ต่อทองคำจึงเกิดขึ้น และเมื่อเหตุการณ์เกิดขึ้นแล้วมันก็ประดุจทำนบแตก คนลดความเชื่อมั่นในเงินดอลลาร์และพากันซื้อทองเก็บ ภายในปีเดียวราคาทองคำได้กระโดดจากออนซ์ละ 35 เหรียญ เป็น 70 เหรียญในปี 72 สหรัฐฯ เริ่มขาดดุลการค้าเป็นครั้งแรกตั้งแต่ปี 71

ตลอดเวลา 25 ปี ที่สหรัฐฯ ตรึงราคาทองคำให้อยู่ที่ 35 เหรียญ ทั้งๆ ที่เงินเฟ้อก็ไปถึงไหนถึงไหนแล้วนั้น ส่งผลสะท้อนรุนแรงมากต่อราคาทองคำ ถึงปี 73 ทองคำก็ไปเกินกว่าร้อยเหรียญ เข้าสู่ยุคที่เงินไหลไปยังโภคภัณฑ์ ต่อมาเมื่อกลุ่มผู้ส่งออกน้ำมันจับกลุ่มกันได้สำเร็จ อุปทานน้ำมันตึงตัว และโลกก็ประสบกับ Oil Shock ราคาทองคำก็ได้กระโดดไปพร้อมๆ กันจนสร้างประวัติศาสตร์ที่น่าทึ่งที่สุดครั้งหนึ่งว่า ภายในระยะเวลาเพียง 9 ปี (ปลายปี 71 - ต้นปี 80) ราคาทองคำได้กระโดดจาก 35 เหรียญ เป็น 850 เหรียญ/ออนซ์

แม้การกำหนดค่าเสมอภาคของ USD ได้ยกเลิกไปแล้วแต่สหรัฐฯ ก็ยังคงเป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจขนาดใหญ่ที่สุดของโลก การซื้อขายแลกเปลี่ยนระหว่างประเทศก็ยังคงใช้ USD ต่อไป และเมื่อธุรกรรมการค้าต่างๆ ใช้ USD เงินทุนสำรองระหว่างประเทศจึงเป็น USD ไปด้วยโดยปริยาย IMF เองก็ยังอยู่ เราคงชินกับระบบนี้เพราะใช้มาแล้ว 60 กว่าปี สิ่งที่เปลี่ยนไปคือสหหรัฐฯ ซึ่งเปลี่ยนฐานะตนเองจากผู้ส่งออกรายใหญ่มาเป็นผู้นำเข้ารายใหญ่ จากที่เคยให้เงินคนอื่นกู้กลับต้องไปกู้เงินคนอื่นมาใช้ หลายๆ ประเทศยินยอมพร้อมใจที่จะให้สหรัฐฯ มาเป็นลูกหนี้แม้ว่าเงินดอลลาร์จะไม่มีทองคำสำรองอยู่เบื้องหลังอีกต่อไปแล้ว ทุกวันนี้เงินดอลลาร์เป็นเพียงกระดาษที่ธนาคารกลางของสหรัฐฯ ค้ำประกันว่ามันมีค่าอย่างที่ตัวมันระบุ

การบริโภคเกินตัวของสหรัฐฯ นั้นก็คือการจับจ่ายใช้สอยที่เกินกำลังของตัวเอง เพื่อการนี้เงินดอลลาร์จำนวนมหาศาลจึงไหลเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจโลกเพราะสหรัฐฯ ไม่ยอมลดมาตรฐานการบริโภคของตัวเองลง ถ้าเหตุการณ์เช่นนี้ไปเกิดกับประเทศเล็กประเทศน้อยอื่นใดค่าเงินของประเทศนั้นจะต้องลดลงอย่างแน่นอนแต่สหรัฐฯ ไม่ ไม่มีเจ้าหนี้รายใดพอใจกับการที่หนี้ตัวเองมีมูลค่าลดลง ประเทศคู่ค้าก็ไม่อยากให้ลูกค้าของตนเองกำลังซื้อลดลง ทุกๆ ประเทศที่มีดอลลาร์เป็นเงินทุนสำรองก็ไม่ต้องการให้เงินสำรองเหล่านั้นด้อยค่า แม้หลังๆ มานี้ดอลลาร์จะอ่อนลงมาเยอะแต่มันก็ยังอ่อนไม่พอที่จะทำให้สหรัฐฯ หายจากภาวะขาดดุลการค้าได้ คำถามคือ การปรับตัวเข้าสู่สมดุลทางเศรษฐกิจครั้งใหม่นั้นจะรุนแรงเพียงใด และมันจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่
ภาพประจำตัวสมาชิก
Ryuga
Verified User
โพสต์: 1771
ผู้ติดตาม: 0

รุ้งกินน้ำ

โพสต์ที่ 101

โพสต์

ไม่รู้ว่าจะเป็นเรื่องเก่าเล่าซ้ำหรือสอนหนังสือสังฆราชรึเปล่านะครับ  :oops:  เพียงแต่พี่พอใจตั้งกระทู้บ่นๆ ผมก็เบื่อๆ ก็เลยมาพิมพ์ไปบ่นไปบ้าง ผมเบื่อจริงๆ เวลาฟังคนพูดเรื่องเช่นว่า

"เมื่อก่อนทองบาทละ 400 เดี๋ยวนี้บาทละ 14,000 รู้งี้นะ ซื้อทองเก็บไว้ก็รวยแล้ว"

หรือไม่ก็

"การลงทุนในทองคำค่อนข้างมีความเสี่ยงต่ำเพราะเก็บไว้ได้นานไม่สูญสลายไปไหน ในระยะยาวราคาทองคำจะขึ้นไปเรื่อยๆ เห็นได้ว่าเมื่อก่อนทองบาทละ 400 เดี๋ยวนี้บาทละ 14,000 "

อะไรทำนองนั้น

ได้ยินเยอะๆ แล้วเซ็ง :la:  ขนาดอาจารย์ผมยังมาถามเลยว่าซื้อทองดีรึเปล่า  :shock:  ผมเลยว่า แหม อาจารย์ คนถือทองเป็นเงินบาทมา 24 ปี พึ่งจะได้ลงดอย โชคดีกว่าคนถือทองเป็นเงินดอลลาร์หน่อยนึงเพราะ 28 ปี ก็พึ่งจะเห็นทางลงนี่แหละ แล้วมันก็ยังไม่ได้ตัดเงินเฟ้อเลยนะครับ :wink:

ผมค่อนข้างเชื่อมั่นมากว่า คนที่พูดอะไรอย่างข้างบนนั้นมากกว่า 95% ไม่เคยได้ยินชื่อ Bretton Woods system มาก่อนเลยในชีวิต และมากกว่า 98% ไม่ทราบประวัติศาสตร์ทองคำ ที่ทองคำมันขึ้นไปได้มากๆ นั้นเพราะสหรัฐฯ ไปตรึงราคามันให้ต่ำๆ เป็นเวลายาวนาน 20 กว่าปี พอราคามันวิ่งสู่ความเป็นจริงบวกภาวะโภคภัณฑ์บานฉ่ำ  เศรษฐกิจสหรัฐฯ ถดถอย (ปี74-75) ทองออนซ์ละ 35 เหรียญ ขึ้นไปเป็น 850 เหรียญ ได้ฉันใด ทองบาทละ 400 มันก็วิ่งไปบาทละ 7,000 ได้ฉันนั้น

คนที่พูดถึงทองในแง่ดีประเภทชอบอ้างทองคำบาทละ 400 นั้น เขาคงจะคิดด้วยตรรกะง่ายๆ ว่า อีก 40 ปีข้างหน้าทองจะบาทละ 400,000 ละมั้ง  :8)
ภาพประจำตัวสมาชิก
Ryuga
Verified User
โพสต์: 1771
ผู้ติดตาม: 0

รุ้งกินน้ำ

โพสต์ที่ 102

โพสต์

พี่พอใจ เขียน: :8)
    ไว้มีอะไรใหม่ๆในเที่ยวหน้าจะมาเล่าให้ฟังอีก
มาขำที่พี่พอใจเล่าก่อน  :lol:

ไม่มีรูปถ่ายแบบที่เขาถ่ายกันก่อนลงสนามมาให้ดูบ้างเหรอครับ แบบมาประชันความหล่อกันน่ะครับ  :lol:  :lol:

พักนี้ติดเล่นเกมมากไปหน่อย โดนพี่หมอเคแอบแซวซะนี่ เดี๋ยวไปซ้อมต่อยมวยค่ายพี่ yoyo ข่มขวัญแกหน่อยดีกว่า :P
ภาพประจำตัวสมาชิก
por_jai
Verified User
โพสต์: 14338
ผู้ติดตาม: 0

รุ้งกินน้ำ

โพสต์ที่ 103

โพสต์

Ryuga เขียน: คำถามคือ การปรับตัวเข้าสู่สมดุลทางเศรษฐกิจครั้งใหม่นั้นจะรุนแรงเพียงใด และมันจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่
:8) เรื่องรุนแรงนี่ผมนึกภาพเท่าไหร่ก็ไม่ออก
กรูเก่ง กิเลสเก่งกว่า
chatchai
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 11443
ผู้ติดตาม: 0

รุ้งกินน้ำ

โพสต์ที่ 104

โพสต์

Ryuga เขียน:ผมค่อนข้างเชื่อมั่นมากว่า คนที่พูดอะไรอย่างข้างบนนั้นมากกว่า 95% ไม่เคยได้ยินชื่อ Bretton Woods system มาก่อนเลยในชีวิต และมากกว่า 98% ไม่ทราบประวัติศาสตร์ทองคำ
แต่จากหนังสือหลายเล่มที่เชียร์ให้ซื้อทองคำ  ผู้เขียนก็มีการเล่าประวัติศาสตร์เหมือนที่คุณ Ryaga โพสต์มาละครับ

เหตุผลที่ผู้เขียนเชียร์ก็เพราะ  เห็นว่าค่าเงินดอลล่าร์ในปัจจุบันไม่มีความน่าเชื่อถืออีกต่อไป  สภาพเศรษฐกิจของสหรัฐจะต้องล้มสลายไม่วันใดก็วันหนึ่ง  เพราะบริโภคเกินตัว  นับวันหนี้ก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

ในขณะที่ประเทศอื่นๆไม่ว่าจะเป็น EU จีน  ญี่ปุ่น  ไต้หวัน  ต่างก็มีเงินทุนสำรองต่างประเทศเป็นเงินดอลล่าร์ทั้งนั้น  (มากจนมีคนพูดว่า ธนาคารกลางของญี่ปุ่นและอีกหลายๆประเทศเป็นสาขาของ FED) เมื่อค่าเงินดอลล่าร์เป็นเศษกระดาษ  ก็เท่ากับว่าประเทศเหล่านี้ไม่เหลือเงินทุนสำรองซักเท่าไรเลย

แล้วอะไรจะเป็นสกุลเงินที่มั่นคงได้ละครับ

แต่สถานการณ์ในโลกปัจจุบันก็ค่อนข้างซับซ้อน

ถ้าเป็นไทย  เมื่อขาดดุลการค้า  ขาดดุลบัญชีเดินสะพัด  เมื่อลดค่าเงินบาทลง  สถานการณ์ก็จะดีขึ้น

แต่สำหรับสหรัฐไม่ง่ายดังนั้น  เพราะเมื่อค่าเงินดอลล่าร์อ่อน  เงินทุนก็จะย้ายไปลงทุน Commodity ทั้งหลายแทน  ทำให้น้ำมัน  โลหะต่างมีราคาพุ่งสูงขึ้น  แล้วก็ย้อนกลับมาทำให้สหรัฐขาดดุลดังเดิม  แถมยังทำให้เงินเฟ้อพุ่งสูงขึ้นอีก  ลำบากจริงๆ

แต่ก็น่าแปลกที่ว่า  ฐานะทางการเงินของสหรัฐนั้นไม่มั่นคงเอาซะเลย  แต่ค่าเงินดอลล่าร์ก็ยังไม่ค่อยยอมอ่อนลง  ธนาคารกลางหลายประเทศก็ต้องคอยแทรกแซงไม่ให้ค่าเงินดอลล่าร์อ่อนค่าลง  เพราะนั้นย่อมหมายถึงการส่งออกจะลดลง  การจ้างงานก็จะลดลง  เพราะสหรัฐเป็นประเทศบริโภคเพียงประเทศเดียวในโลก  

จนเกิดประโยคนี้ขึ้น

The dollar is our currency, but your problem.

แซบไหมละ
จงอยู่เหนือความดี อย่าหลงความดี
ภาพประจำตัวสมาชิก
Ryuga
Verified User
โพสต์: 1771
ผู้ติดตาม: 0

รุ้งกินน้ำ

โพสต์ที่ 105

โพสต์

[quote="พี่ฉัตรชัย"]
แต่จากหนังสือหลายเล่มที่เชียร์ให้ซื้อทองคำ
ภาพประจำตัวสมาชิก
Ryuga
Verified User
โพสต์: 1771
ผู้ติดตาม: 0

รุ้งกินน้ำ

โพสต์ที่ 106

โพสต์

อีกนิดนึงครับ คือคนที่พูดเชียร์ซื้อทองเห็นทั่วไปตามสื่อปรกติเป็นคนที่มีความรู้อยู่แล้วครับ (กลุ่ม 2% และชี้แจงเหตุผลได้อย่างชัดเจนประกอบคำกล่าว) แต่คนที่ชอบพูดตามๆ กันมีมากมายล้นหลามกว่านั้น อาจารย์ที่สอนหนังสือผมตั้งแต่มัธยมขึ้นมามีหลายท่านทีเดียวที่ชอบอ้างทองบาทละ 300-400 แต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยเห็นจะสนใจมาสนก็ตอนที่เงินมันเฟ้อมากๆ นี่แหละ ถ้าเงินหายเฟ้อเมื่อไหร่ คงได้เห็นอะไรตื่นเต้น

ถ้าเป็น 6-7 ปีที่แล้ว การพูดเรื่องทองก็คงหาคนฟังยากครับ  :8)
ภาพประจำตัวสมาชิก
ก้อนหิน
Verified User
โพสต์: 2344
ผู้ติดตาม: 0

รุ้งกินน้ำ

โพสต์ที่ 107

โพสต์

Ryuga เขียน:อีกนิดนึงครับ คือคนที่พูดเชียร์ซื้อทองเห็นทั่วไปตามสื่อปรกติเป็นคนที่มีความรู้อยู่แล้วครับ (กลุ่ม 2% และชี้แจงเหตุผลได้อย่างชัดเจนประกอบคำกล่าว) แต่คนที่ชอบพูดตามๆ กันมีมากมายล้นหลามกว่านั้น อาจารย์ที่สอนหนังสือผมตั้งแต่มัธยมขึ้นมามีหลายท่านทีเดียวที่ชอบอ้างทองบาทละ 300-400 แต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยเห็นจะสนใจมาสนก็ตอนที่เงินมันเฟ้อมากๆ นี่แหละ ถ้าเงินหายเฟ้อเมื่อไหร่ คงได้เห็นอะไรตื่นเต้น

ถ้าเป็น 6-7 ปีที่แล้ว การพูดเรื่องทองก็คงหาคนฟังยากครับ  :8)
เห็นด้วยครับ เพื่อนผม เป็นสิบคนเลยครับที่ไปซื้อทองแล้วคิดอย่างงั้น
chatchai
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 11443
ผู้ติดตาม: 0

รุ้งกินน้ำ

โพสต์ที่ 108

โพสต์

[quote="Ryuga"]อีกนิดนึงครับ คือคนที่พูดเชียร์ซื้อทองเห็นทั่วไปตามสื่อปรกติเป็นคนที่มีความรู้อยู่แล้วครับ (กลุ่ม 2% และชี้แจงเหตุผลได้อย่างชัดเจนประกอบคำกล่าว) แต่คนที่ชอบพูดตามๆ กันมีมากมายล้นหลามกว่านั้น อาจารย์ที่สอนหนังสือผมตั้งแต่มัธยมขึ้นมามีหลายท่านทีเดียวที่ชอบอ้างทองบาทละ 300-400 แต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยเห็นจะสนใจมาสนก็ตอนที่เงินมันเฟ้อมากๆ นี่แหละ ถ้าเงินหายเฟ้อเมื่อไหร่ คงได้เห็นอะไรตื่นเต้น

ถ้าเป็น 6-7 ปีที่แล้ว การพูดเรื่องทองก็คงหาคนฟังยากครับ
จงอยู่เหนือความดี อย่าหลงความดี
ภาพประจำตัวสมาชิก
por_jai
Verified User
โพสต์: 14338
ผู้ติดตาม: 0

รุ้งกินน้ำ

โพสต์ที่ 109

โพสต์

:8) ผมเคยอ่านจากหนังสือ Zurich Axioms
     เขาว่านักเศรษฐศาสตร์ที่ทำนายโน่นนี่
     เห็นว่าเปอร์เซนต์ถูกผิดพอๆกับหมอดูครับ

     เนื่องจากผมเป็นnarci พวกหลงตัวเอง
     ผมเชื่อตัวเองมากสุด
     พอไปอ่านในหนังสือเล่มข้างบนเขาว่าเขาก็ทำงั้นเหมือนกัน
     แสดงว่าคนแต่งเป็นnarci เหมือนกัน...ฮ่า...
กรูเก่ง กิเลสเก่งกว่า
ภาพประจำตัวสมาชิก
Ryuga
Verified User
โพสต์: 1771
ผู้ติดตาม: 0

รุ้งกินน้ำ

โพสต์ที่ 110

โพสต์

พี่ฉัตรชัย เขียน:เรื่องความรู้เรื่อง Macro Econ มีคนรู้ค่อนข้างน้อยมาก  และที่รู้แบบจากการอ่านเหมือนผมก็มาก  เหลือคนรู้จริงๆน้อยมากๆ
เศรษฐศาสตร์มหภาคเป็นความรู้ที่ยังออกจะอ่อนเยาว์ถ้าเทียบกับจุลภาค แรงกระตุ้นสำคัญในการพัฒนาศาสตร์นี้อย่างเป็นปึกแผ่นมาจากการตกต่ำทางเศรษฐกิจครั้งใหญ่เมื่อปี 1930 ตอนนั้นคนงงกันไปหมดว่ามันเกิดอะไรขึ้น ทำไมเศรษฐกิจถึงเป็นแบบนี้ เงินที่อยู่ในระบบมันหายไปไหน เราต้องทำอย่างไรจึงจะไม่เกิดเหตุการณ์เลวร้ายอย่างนี้อีก

ไปๆ มาๆ องค์ความรู้ก็ค่อยเป็นรูปเป็นร่างอย่างในปัจจุบัน ช่วงนั้นตัวแปร-เครื่องชี้วัดหลายๆ ค่ายังพัฒนาไม่เสร็จ ตอนนั้นมีค่าผลิตภัณฑ์เบื้องต้นภายในประเทศ (GDP) ผลิตภัณฑ์เบื้องต้นประชาชาติ (GNP) แม้จะขาดความสมบูรณ์อยู่บ้าง แต่บัญชีรายได้ประชาชาติ (National Income) รายได้ที่สามารถจับจ่ายใช้สอยได้จริง (Disposable Income) ก็ยังไม่เสร็จ ผู้ที่บุกเบิกความรู้เหล่านี้หลายๆ ท่านได้รับรางวัลโนเบล
พี่ฉัตรชัย เขียน:คนสนใจเรื่องทองคำ  ก็คงเหมือนหุ้น  ที่เวลามีข่าวว่าหุ้นขึ้นเยอะๆ  ผู้คนที่ไม่เคยสนใจก็จะสนใจ
ผมดีใจที่พี่ฉัตรฯ ยกเรื่องค้านขึ้นมาเพราะผมมาย้อนอ่านดูก็รู้สึกว่าเรียบเรียงสารไม่กระจ่าง ถ้าไม่มีใครตอบโต้เลยแล้วเก็บประเด็นค้างไว้เฉยๆ ก็จะแย่เพราะมันจะคาใจ

ด้วยเรื่องที่ผมยกมาบ่นๆ เบื่อๆ คือเรื่องคนชอบยก ทองคำบาทละ 400 มาอ้างตะพึดตะพือ กลุ่มนี้ก็มีทั้งที่ซื้อทอง และประเภทรู้งี้ ส่วนคนเชียร์ซื้อทองอย่างเป็นทางการที่พี่ฉัตรฯ ยกมานั้นก็ถือว่าเป็นกลุ่มที่ intersec กัน การลงทุนนั้นเรามองที่อนาคต ไม่ใช่ไปมองว่าราคามันขึ้นจากอดีตไปแล้วกี่เท่าแล้วก็ไปอนุมานลอยๆ ว่ามันจะขึ้นไปอีกหลายเท่านับจากปัจจุบันในช่วงเวลาที่พอๆ กัน

ผมจำไม่ได้ว่ารายการอะไร อาจจะขาดน้ำหนักในการอ้างอิงบ้าง คือวันนั้นเห็นคุณหญิงจารุวรรณฯ ท่านมาเล่าประวัติท่านออกรายการทีวี ความตอนหนึ่งว่า ตอนที่ท่านจบมาใหม่ๆ นั้น ทองคำบาทละ 400 เงินเดือนท่านตอนนั้นซื้อทองเก็บได้เดือนละหลายบาท แต่ก็ไม่ได้ซื้อ ท่านก็เลยบอกว่า รู้งี้ จะซื้อทองเก็บไว้ มาถึงตอนนี้ทองบาทละ 13,000 - 14,000 รวยสบายไปแล้ว

ผมฟังแล้วก็อืมม์ ครูบาอาจารย์ผมหลายท่านก็พูดแบบนี้แหละ :roll: ขนาดระดับคุณหญิงท่านยังคิดเรื่องทองแบบนี้แล้วระดับชาวบ้านๆ เขาจะคิดยังไง ประวัติศาสตร์ทองคำไม่ได้เป็นแค่สถิติราคาทองคำในอดีต หรือสาเหตุที่ทำให้ราคาทองคำเป็นอย่างที่มันเป็นอดีตเท่านั้น เฉพาะในประเทศไทยหากนับจากจุดสุดยอดเงินเฟ้อครั้งก่อนที่พฤษภาคม 2523 ผ่านมาแล้ว 28 ปี เงินเฟ้อในประเทศไทยเพิ่มขึ้นสุทธิราว 205% เงิน 1 บาท ในวันนั้นจะมีค่าประมาณ 3 บาทในวันนี้ แต่ทองจากบาทละ 6-7 พัน มาวันนี้วิกฤติน้ำมันอีกครั้งแต่ก็ยังได้เท่าเดียวอยู่ซึ่งแพ้เงินเฟ้อ ผมยังสนใจว่าเพื่อไม่ให้แพ้ยอดดอยครั้งก่อน ราคาทองคำน่าจะวิ่งไปซักบาทละ 20,000  (แล้วราคาน้ำมันจะไปเท่าไหร่) :8)
พี่ฉัตรชัย เขียน:แต่เรื่องที่ระบบ Paper Money จะล้มสลาย  คุณ Ryuga มีความเห็นเรื่องนี้อย่างไรบ้างครับ

ผมอ่านและคิด  รู้สึกชีวิตสับสน  สับสนเพราะรู้ไม่จริง  รู้ไม่เยอะ  รู้ไม่กว้าง
พี่ฉัตรฯ ถ่อมตัวไปแล้วครับ ผมอาศัยลูกมั่วพูดนั่นพูดนี่ไปตามประสา ปกติถูกโฉลกกับเรื่องไร้สาระ ต้องมาร่ำเรียนวิชาไร้สาระจากเจ้าพ่อนั่งเล่นอีกมากครับ  :oops:

สิ่งที่นับเนื่องเป็น "เงิน" ได้นั้น ในทางเศรษฐศาสตร์จะต้องมีคุณสมบัติ 3 อย่าง
1. เป็นสื่อกลางในการซื้อขายแลกเปลี่ยน (สำคัญมาก)
2. เป็นเครื่องรักษามูลค่า
3. เป็นเครื่องวัดค่า

ปกติเราจะคุ้นชินกับคุณสมบัติข้อแรกมากเป็นพิเศษ แต่คุณสมบัติข้อ 2-3 นั้น จะเป็นตัวชี้ขาดให้ "เงิน" มีความแตกต่างจาก "สินทรัพย์" ชนิดอื่นๆ

เงินจึงเป็นอะไรก็ได้ที่คนในระบบเศรษฐกิจนั้นยอมรับมันว่ามีค่าในการใช้ซื้อขายแลกเปลี่ยน สามารถเก็บสะสมมันไว้เพื่อแสดงถึงความมั่งคั่ง/อำนาจการจับจ่ายใช้สอย และสามารถใช้เป็นเครื่องอ้างอิงเปรียบเทียบมูลค่าระหว่างของที่ต่างกันได้

ทฤษฎีปริมาณเงินที่ผมยกมากล่าวนั้นก็พึ่งพัฒนามาไม่นานแต่ก็ครอบคลุมมุมมองทางเศรษฐศาสตร์ที่มีต่อเงิน นักเศรษฐศาสตร์คลาสสิกมีความเห็นว่า เงินเป็นสิ่งที่ไม่มีค่าในตัวเอง คนมีอุปสงค์ในการถือเงินก็เพียงเพราะต้องการอำนาจในการจับจ่ายใช้สอยซื้อสินค้าและบริการเท่านั้น ในทฤษฎีปริมาณเงิน ปริมาณเงินในระบบจะแปรผันตามจำนวนผลผลิตเสมอ เงินมันมีค่าอยู่ได้เพียงเพราะว่ามันมีผลผลิตอยู่เบื้องหลัง (เงินทองเป็นมายา ข้าวปลาคือของจริง) ผมชอบหนังหลายๆ เรื่องที่มีการผจญภัยหวือหวาอันตรายไปล่าขุมสมบัติต่างๆ สุดท้ายพระเอกจะหนีได้หวุดหวิดแต่ไม่ได้สมบัติอะไรติดไม้ติดมือมาเลย (เหลือแต่ชีวิตตัวเอง) ส่วนผู้ร้ายก็จะติดแหงกอยู่ในห้องลับ/ถ้ำลับ ที่ถล่มลงมาจนต้องรอวันตายอยู่ในนั้น รอวันเป็นซากศพอยู่ข้างๆ กองหินมีสีและก้อนแร่เหลืองๆ ที่ต้องแลกมาด้วยชีวิต กินก็ไม่ได้

เงินเป็นแค่ตัวเลขที่เราสร้างขึ้นมาในระบบ Broad Money ของไทยเรามี 8.7 ล้านล้านบาท (ใกล้ๆ กับ GDP) แต่ปริมาณเงินกระดาษและเหรียญ (เงินตรา) มีเพียง 8.7 แสนล้านบาท เท่านั้น ที่เหลือก็เป็นตัวเลขที่ระบุไว้ในบัญชีและกระดาษในรูปตราสารต่างๆ

ในระหว่างที่ยุโรปยังงมอยู่ในยุคมืดและสหรัฐฯ ยังเป็นแดนสวรรค์ของชนพื้นเมือง จีนได้พัฒนาเศรษฐกิจไปจนถึงไหนๆ แล้ว ขณะนั้นจีนเป็นที่สุดของจำนวนประชากร จำนวนผลผลิตตลอดจนความมั่งคั่ง กิจกรรมทางเศรษฐกิจสูงขึ้นเรื่อยๆ จนเงินโลหะไม่สามารถผลิตเพื่อรองรับกิจกรรมการซื้อขายแลกเปลี่ยนได้ทัน ในสมัยจักรพรรดิซ่งเจิ้นจง จักรพรรดิพระองค์ที่สามในสมัยซ่งเหนือ การพิมพ์กระดาษที่ระบุค่าเงินจึงเริ่มขึ้นซึ่งถือเป็นต้นแบบของธนบัตร

ธนบัตรที่พิมพ์ออกมาได้รับความนิยมมากเพราะทำให้ผู้คนไม่ต้องพกพวงอีแปะพะรุงพะรังออกบ้าน และจากวันนั้นมาตลอดเวลาอันยาวนาน จีนก็ไม่เคยรอดพ้นไปจากภาวะเงินเฟ้อเลยเพราะมักจะพิมพ์เงินออกมาเยอะกว่าปริมาณผลผลิตอยู่บ่อยๆ

จากจุดนั้น ระบบ Paper Money ดำเนินมาแล้วร่วมพันปี ในอนาคตผมคิดว่าถ้าระบบ Paper Money จะล่มสลาย โลกเราก็คงพัฒนาเข้าไปสู่ขั้น Digital Money สมบูรณ์แบบ ผู้คนจะมีกิจกรรมการดำเนินชีวิตคล้ายๆ กับที่เห็นในนิยายวิทยาศาสตร์  :8)

แต่สำหรับระยะเวลาอันใกล้นี้ ระบบการเงินในหลายส่วนของโลกอาจย้อนกลับไปสู่ยุคก่อนหน้าอเมริกาเป็นใหญ่ คือหลายประเทศบางส่วนจะหันไปซื้อขายระหว่างกันด้วยสกุลเงินของใครของมัน ความผันผวนเกี่ยวกับอัตราแลกเปลี่ยนอาจจะสูงขึ้นบ้าง ประเทศที่มีเศรษฐกิจใหญ่คู่ค้าเยอะสกุลเงินของเค้าจะได้รับความนิยมมากขึ้นในการใช้ซื้อขายแลกเปลี่ยนแทนดอลลาร์สหรัฐฯ แต่อย่างไรก็ตามสหรัฐฯ จะยังคงอยู่ต่อไป และดอลลาร์ก็จะคงอยู่ต่อไป
...
Verified User
โพสต์: 1817
ผู้ติดตาม: 0

รุ้งกินน้ำ

โพสต์ที่ 111

โพสต์

ขอบคุณพี่ๆทุกท่านมากครับสำหรับความเห็น  :cool:

ผมขออนุญาตเอาเนื้อหาบางส่วนไปแปะไว้ที่เวปเพื่อนบ้านด้วยนะครับ

http://www.templeboxing.com/index.php?topic=1157.0

กระทู้นี้สุดยอดจริงๆ ได้ทั้งความรู้ ได้ทั้งความบันเทิง  :D
แมงเม่าบินเข้ากลางใจ
กูรูขอบสนาม
Verified User
โพสต์: 987
ผู้ติดตาม: 0

รุ้งกินน้ำ

โพสต์ที่ 112

โพสต์

ผมจำไม่ได้ว่ารายการอะไร อาจจะขาดน้ำหนักในการอ้างอิงบ้าง คือวันนั้นเห็นคุณหญิงจารุวรรณฯ ท่านมาเล่าประวัติท่านออกรายการทีวี ความตอนหนึ่งว่า ตอนที่ท่านจบมาใหม่ๆ นั้น ทองคำบาทละ 400 เงินเดือนท่านตอนนั้นซื้อทองเก็บได้เดือนละหลายบาท แต่ก็ไม่ได้ซื้อ ท่านก็เลยบอกว่า รู้งี้ จะซื้อทองเก็บไว้ มาถึงตอนนี้ทองบาทละ 13,000 - 14,000 รวยสบายไปแล้ว
เหอะ เหอะ คุณหญิงคงถอดบทหัวโขนชั่วคราว
มาเป็นผู้หญิงแม่บ้านธรรมดาๆคนหนึ่งแหละครับ คุณริว
เหมือนกับแม่ของกูรูและใครต่อใครที่มักจะ "รู้งี้" กันทั้งน้าน

เพราะเศรษฐศาสตร์มหภาค หาคนให้ความกระจ่างและเข้าใจยากมาก
ยากกว่า เศรษฐศาสตร์ในครัวเรือนหลายขนานนัก

ถ้าคุณริวและคุณ Chatchai และพี่ๆหลายๆท่าน
จะเลคเชอร์ด้วยคำบรรยายง่ายๆ ยกตัวอย่างประกอบเยอะๆ
จะเป็นที่ขอบพระคุณอย่างยิ่ง

บรรดา ดร.นักเศรษฐศาสตร์อธิบายที
ยกความเกี่ยวพัน ผันผวน และแปรปรวนเรื่องโน้นเรื่องนี้มาปะปนกันหมด
ไม่สามารถอธิบายเส้นด้ายที่พันกันยุ่งเหยิงแล้วแกะออกมาทีละเปลาะๆ
ได้ชัดเจน เผลอๆยิ่งเพิ่มปมสับสนใหม่ :cry:

สมัยเรียน มี ดร.เศรษฐศาสตร์มาสอนวิชาพื้นฐาน
ซึ่งความจริงน่าจะทำให้สนุกและชวนติดตามศึกษาต่อ
แต่สอนได้อย่างน่าเบื่อมาก เหมือนกับจะกระหน่ำซ้ำเติมว่า
คนที่มาเรียนเศรษฐศาสตร์ตจะมีระดับของความอัจฉริยะ
ประมาณน้องๆรางวัลโนเบล (ตัวแกเองก็ได้รางวัลเหมือนกัน แต่ไม่ใช่โนเบลแน่ๆ)
เลยเกิดแรงไม่ประทับใจให้เลือกเรียนต่อเลย
ความรู้ที่เหลือทุกวันนี้ คงเพียง ปรัชญานักเศรษฐศาสตร์ (ที่ตายแล้ว)  :wink:

รูปภาพ
ภาพประจำตัวสมาชิก
por_jai
Verified User
โพสต์: 14338
ผู้ติดตาม: 0

รุ้งกินน้ำ

โพสต์ที่ 113

โพสต์

พี่ริวงะ เขียน:ด้วยเรื่องที่ผมยกมาบ่นๆ เบื่อๆ คือเรื่องคนชอบยก ทองคำบาทละ 400 มาอ้างตะพึดตะพือ กลุ่มนี้ก็มีทั้งที่ซื้อทอง และประเภทรู้งี้ ส่วนคนเชียร์ซื้อทองอย่างเป็นทางการที่พี่ฉัตรฯ ยกมานั้นก็ถือว่าเป็นกลุ่มที่ intersec กัน การลงทุนนั้นเรามองที่อนาคต ไม่ใช่ไปมองว่าราคามันขึ้นจากอดีตไปแล้วกี่เท่าแล้วก็ไปอนุมานลอยๆ ว่ามันจะขึ้นไปอีกหลายเท่านับจากปัจจุบันในช่วงเวลาที่พอๆ กัน


เรื่องบ่นๆเบื่อๆ
อ้างตะพึดตะพือ
นี่เจอมาในชีวิตบ๊อย บ่อย บ่อย บ่อย บ่อย
ผมก็นิสัยไม่ค่อยดี
คนที่ผมไม่รักไม่สนิทไม่ใช่เพื่อนผม อันนี้ไม่เป็นไร
ไม่ต้องยุ่งเกี่ยวกันอยู่แล้ว
ที่แย่คือคนที่ สนิทกัน เป็นเพื่อนกัน นี่สิครับ
ผมดันไปรู้สึกว่าเป็นภาระทางกายทางใจ
ที่จะต้องอุ้มชู กอดคอ หรืออย่างน้อยก็จับมือ เดินไปด้วยกันนานๆเท่าที่จะนานได้
เพื่อนนี่ครับ รับเขามาเป็นเพื่อนแล้วก็แคร์ก็ห่วงใยกัน
บางทีเขาก็มาถามว่าถืออะไรอยู่ หุ้นตัวนี้มีอะไรดีเหรอ
ก็เล่าไปว่าคิดอย่างนี้นะ
ซึ่งหลายเรื่องหลายครั้ง
เปอร์เซนต์ความแม่นยำนี่บางทีก็พอๆกับโยนหัวก้อย
ที่เกิดต่อมาคือ
ถ้ามันดีก็ดีไป
ถ้ามันไม่ดีก็จะมีคำพูดออกมาให้เราเจ็บกระดองใจอยู่เนืองๆ
จนมีเพื่อนอีกคนว่า เราไม่เห็นจะต้องรับผิดชอบใครเลยในเรื่องอย่างนี้
ผมก็อยากทำได้อย่างนี้เหมือนกัน มีความสุขดีออก
แต่ยังทำไม่ได้ครับ
ดูเหมือนว่าต้องฝึกอีกเยอะทีเดียว

ผมจำได้ว่าพี่ฉัตรเคยโพสว่า
แม้ว่าการโพสบางครั้งบางเรื่องมากเกินไป โดยไปแตะเข้ากับหุ้นใครเข้า
อาจทำให้มีเพื่อนน้อยลงทุกเวลาที่ผ่านไป
จนมีพรรคพวกเตือนให้โพสน้อยลง(ไม่หน่อย)
แต่พี่ฉัตรก็บอกจุดยืนของแกต่อไปว่า "คงจะโพสต่อไป"
เพราะถ้าไม่โพสก็คงเป็นคนเห็นแก่ได้ เอาแต่รับประโยชน์จากเวบข้างเดียว
ผมอ่านแล้วอย่างน้อยผมขอเป็นแนวร่วมกับพี่ฉัตรด้วยอีกหนึ่งล่ะ
ผมเองก็มีแง่มุมที่ตกผลึกเกี่ยวกับการลงทุนที่พบเจอมาในรอบ4ปีกว่าเกือบ5ปี
ทั้งจากเวบนี้และเพื่อนฝูงในเวบนี้ที่ทั้งเจอตัวกันมากมาย
หรือแม้กระทั่งทางตัวอักษรอย่างพี่ริว อย่างนี้เป็นต้น
อาจเป็นเหลี่ยมที่ถูกหรือเหลี่ยมที่ไม่ถูกก็แล้วแต่
ผมก็คิดเสมอว่าข้อมูลหรือข้อคิด ที่พูดที่โพส ให้อ่านให้ฟัง
เป็นทางเลือกนึงช่วยในการตัดสินใจสำหรับพี่ๆน้องๆในเวบ
โดยเฉพาะคนที่เราสนิทจนรู้สึกได้ว่า
อือม...คนนี้เป็นเพื่อนเรานะ
คือไม่อยากให้เขาเข้าใจผิดเหมือนเรา หนึ่ง
กรูเก่ง กิเลสเก่งกว่า
chatchai
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 11443
ผู้ติดตาม: 0

รุ้งกินน้ำ

โพสต์ที่ 114

โพสต์

[quote="Ryuga"]สิ่งที่นับเนื่องเป็น "เงิน" ได้นั้น ในทางเศรษฐศาสตร์จะต้องมีคุณสมบัติ 3 อย่าง
1. เป็นสื่อกลางในการซื้อขายแลกเปลี่ยน (สำคัญมาก)
2. เป็นเครื่องรักษามูลค่า
3. เป็นเครื่องวัดค่า

ปกติเราจะคุ้นชินกับคุณสมบัติข้อแรกมากเป็นพิเศษ แต่คุณสมบัติข้อ 2-3 นั้น จะเป็นตัวชี้ขาดให้ "เงิน" มีความแตกต่างจาก "สินทรัพย์" ชนิดอื่นๆ

เงินจึงเป็นอะไรก็ได้ที่คนในระบบเศรษฐกิจนั้นยอมรับมันว่ามีค่าในการใช้ซื้อขายแลกเปลี่ยน สามารถเก็บสะสมมันไว้เพื่อแสดงถึงความมั่งคั่ง/อำนาจการจับจ่ายใช้สอย และสามารถใช้เป็นเครื่องอ้างอิงเปรียบเทียบมูลค่าระหว่างของที่ต่างกันได้

ทฤษฎีปริมาณเงินที่ผมยกมากล่าวนั้นก็พึ่งพัฒนามาไม่นานแต่ก็ครอบคลุมมุมมองทางเศรษฐศาสตร์ที่มีต่อเงิน นักเศรษฐศาสตร์คลาสสิกมีความเห็นว่า เงินเป็นสิ่งที่ไม่มีค่าในตัวเอง คนมีอุปสงค์ในการถือเงินก็เพียงเพราะต้องการอำนาจในการจับจ่ายใช้สอยซื้อสินค้าและบริการเท่านั้น ในทฤษฎีปริมาณเงิน ปริมาณเงินในระบบจะแปรผันตามจำนวนผลผลิตเสมอ เงินมันมีค่าอยู่ได้เพียงเพราะว่ามันมีผลผลิตอยู่เบื้องหลัง (เงินทองเป็นมายา ข้าวปลาคือของจริง) ผมชอบหนังหลายๆ เรื่องที่มีการผจญภัยหวือหวาอันตรายไปล่าขุมสมบัติต่างๆ สุดท้ายพระเอกจะหนีได้หวุดหวิดแต่ไม่ได้สมบัติอะไรติดไม้ติดมือมาเลย (เหลือแต่ชีวิตตัวเอง) ส่วนผู้ร้ายก็จะติดแหงกอยู่ในห้องลับ/ถ้ำลับ ที่ถล่มลงมาจนต้องรอวันตายอยู่ในนั้น รอวันเป็นซากศพอยู่ข้างๆ กองหินมีสีและก้อนแร่เหลืองๆ ที่ต้องแลกมาด้วยชีวิต กินก็ไม่ได้

เงินเป็นแค่ตัวเลขที่เราสร้างขึ้นมาในระบบ Broad Money ของไทยเรามี 8.7 ล้านล้านบาท (ใกล้ๆ กับ GDP) แต่ปริมาณเงินกระดาษและเหรียญ (เงินตรา) มีเพียง 8.7 แสนล้านบาท เท่านั้น ที่เหลือก็เป็นตัวเลขที่ระบุไว้ในบัญชีและกระดาษในรูปตราสารต่างๆ

ในระหว่างที่ยุโรปยังงมอยู่ในยุคมืดและสหรัฐฯ ยังเป็นแดนสวรรค์ของชนพื้นเมือง จีนได้พัฒนาเศรษฐกิจไปจนถึงไหนๆ แล้ว ขณะนั้นจีนเป็นที่สุดของจำนวนประชากร จำนวนผลผลิตตลอดจนความมั่งคั่ง กิจกรรมทางเศรษฐกิจสูงขึ้นเรื่อยๆ จนเงินโลหะไม่สามารถผลิตเพื่อรองรับกิจกรรมการซื้อขายแลกเปลี่ยนได้ทัน ในสมัยจักรพรรดิซ่งเจิ้นจง จักรพรรดิพระองค์ที่สามในสมัยซ่งเหนือ การพิมพ์กระดาษที่ระบุค่าเงินจึงเริ่มขึ้นซึ่งถือเป็นต้นแบบของธนบัตร

ธนบัตรที่พิมพ์ออกมาได้รับความนิยมมากเพราะทำให้ผู้คนไม่ต้องพกพวงอีแปะพะรุงพะรังออกบ้าน และจากวันนั้นมาตลอดเวลาอันยาวนาน จีนก็ไม่เคยรอดพ้นไปจากภาวะเงินเฟ้อเลยเพราะมักจะพิมพ์เงินออกมาเยอะกว่าปริมาณผลผลิตอยู่บ่อยๆ

จากจุดนั้น ระบบ Paper Money ดำเนินมาแล้วร่วมพันปี ในอนาคตผมคิดว่าถ้าระบบ Paper Money จะล่มสลาย โลกเราก็คงพัฒนาเข้าไปสู่ขั้น Digital Money สมบูรณ์แบบ ผู้คนจะมีกิจกรรมการดำเนินชีวิตคล้ายๆ กับที่เห็นในนิยายวิทยาศาสตร์
จงอยู่เหนือความดี อย่าหลงความดี
ภาพประจำตัวสมาชิก
dino
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 1281
ผู้ติดตาม: 0

รุ้งกินน้ำ

โพสต์ที่ 115

โพสต์

[quote="por_jai"]
ภาพประจำตัวสมาชิก
por_jai
Verified User
โพสต์: 14338
ผู้ติดตาม: 0

รุ้งกินน้ำ

โพสต์ที่ 116

โพสต์

dino เขียน: ถ้าใช่ว่างๆจาได้.....ยืมตังค์ แฮ :wink:
:8) เมื่อวานผู้บริหารปริญสิริ พูดคำคมให้ฟัง
กรูเก่ง กิเลสเก่งกว่า
ภาพประจำตัวสมาชิก
dino
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 1281
ผู้ติดตาม: 0

รุ้งกินน้ำ

โพสต์ที่ 117

โพสต์

por_jai เขียน:
:8) เมื่อวานผู้บริหารปริญสิริ พูดคำคมให้ฟัง
ภาพประจำตัวสมาชิก
por_jai
Verified User
โพสต์: 14338
ผู้ติดตาม: 0

รุ้งกินน้ำ

โพสต์ที่ 118

โพสต์

:8) เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาชวนพรรคพวกไปดูกิจการเหล็กแผ่นกัน
     ได้โอกาสไปดูทั้ง จีสตีล และ จีเจเอส
     เปิดหูเปิดตาจริงๆ สำหรับธุรกิจเหล็กจริงๆครับ
      ได้คุยกับเจ้าของตัวจริงเสียงจริง
      ฟังแนวคิดทำธุรกิจ แนวคิดการใช้ชีวิตของท่าน คุ้มจริงๆ
      แถมยังได้ไปนอนชายทะเลระยองมาอีกคืน
      จิบไวน์บินทูไปอีก1ขวด
      สนุกสนานเฮฮา
   
      วันสองวันนี้ยุ่งๆ
      แล้วจะมาเล่าให้ฟังว่าได้ไปเจออะไรมาบ้าง
      เอ...แล้วมาเล่าในกระทู้นี้ดีหรือกระทู้เหล็กจีสตีลดี
      เล่ามันทั้งสองที่เลยดีกว่า
      ไม่เอาแบบแกะงบ อะไรนะ เวียนหัว
      เอาแบบที่ไปเห็นมากะตา ได้ยินมากะหูตัวเองดีกว่า
      ว่าธุรกิจนี้พวกนายช่างที่อยู่โรงงานเขาเล่าให้ผมฟังว่าอย่างไรกันบ้าง
กรูเก่ง กิเลสเก่งกว่า
ภาพประจำตัวสมาชิก
por_jai
Verified User
โพสต์: 14338
ผู้ติดตาม: 0

รุ้งกินน้ำ

โพสต์ที่ 119

โพสต์

:8) มาเล่าต่อครับ
     ครึ่งวันแรกทางGSTEELจัดให้ไปเยี่ยมชม
     โรงงานGJS(NSMเดิมนั่นแล)ที่นิคมอุตสาหกรรมเหมราช(บ่อวิน)ชลบุรี
     ตอนบ่ายจึงจะต่อไปดูโรงงานGSTEELที่บ้านค่าย ระยอง
     ก่อนไปก็คิดว่าGSTEELมาเทคNSMแล้วเปลี่ยนชื่อเป็นGJS
     แปลว่าโรงงานจีสตีลน่าจะอลังการงานสร้างกว่าเยอะ
     พอมาถึงโรงงานGJS
     พรรคพวกที่ไปด้วยคนนึงเคยไปวิสิทจีสตีล ตอนที่ตลท.จัดมาแล้ว
     เล่าให้ผมฟังว่า โอ้โฮพี่ที่GJSนี่ท่าจะใหญ่โตกว่าจีสตีลด้วยซ้ำไป
     ทางนายช่างโรงงานก็ออกมาต้อนรับ พาเข้าห้องประชุม
     ผมก็เลยถามก่อนเลยว่าชื่อGJS นี่มาจากอะไร
     นายช่างท่านว่า อ๋อ...Global Junction Steelครับ
     ที่ต้องเปลี่ยนชื่อก็เพราะ
     จีสตีลมาเทคหนึ่งละ
     เหตุที่สองก็คือ เป็นการรีแบรนดิ้ง เพราะชื่อเดิมNSM
     เวลาใครๆพูดถึงก็บอกว่าอ๋อ..บริษัทนี้
     ไม่มี...ไม่หนี...ไม่จ่าย
     ผมว่าพวกเราคงพอทราบกันว่าทำไม ถึงได้ฉายานี้...ฮ่า..

     นายช่างก็เริ่มด้วยการฉายสไลด์นิดหน่อยตามสูตร
     บอกพวกเราว่าแท้จริงแล้วโรงงานนี้การลงทุนและknow how
     ไม่ธรรมดาจริงๆ
     เพียงแต่ภาพพจน์ทางนักลงทุนอาจไม่ค่อยชอบ
     เนื่องจากโรงงานนี้ใช้อะไรก็ดีที่สุดที่ตลาดมี
     ทั้งเทคโนโลยี่ ตลอดจนวัสดุ
     อย่าว่าแต่แบบโรงงาน
     แม้กระทั่งแบบออฟฟิส ยังให้ทางเยอรมันเป็นคนดีไซน์
     แล้วผลิตแล้วค่อยยกทั้งหมดมาประกอบที่เมืองไทย
     ปัญหาคือโรงงานระดับโลกโรงงานนี้
     มาเปิดทำธุรกิจเอาอีตอนปีต้มยำกุ้งพอดีครับ
     อะไรจะโชคดีปานนั้น
     ตอนทานข้าวกลางวัน
     ประธานบริษัทมาคุยกับพวกเราด้วยตัวเอง
     ท่านว่าโรงงานที่นี่เขาระดับ State of the Artทีเดียว
กรูเก่ง กิเลสเก่งกว่า
ภาพประจำตัวสมาชิก
por_jai
Verified User
โพสต์: 14338
ผู้ติดตาม: 0

รุ้งกินน้ำ

โพสต์ที่ 120

โพสต์

:8) ผมไปค้นดูประวัติของโรงงานGJSมาให้ดู
กรูเก่ง กิเลสเก่งกว่า