ถามเพื่อนๆ ครับ

การลงทุนแบบเน้นคุณค่า เน้นที่ปัจจัยพื้นฐานเป็นหลัก

ล็อคหัวข้อ
Stock Broker
Verified User
โพสต์: 2509
ผู้ติดตาม: 0

ถามเพื่อนๆ ครับ

โพสต์ที่ 1

โพสต์

สมมติว่าเพื่อนๆ เป็นเจ้าของธุรกิจเกี่ยวกับการผลิตสินค้าชนิดหนึ่งซึ่งเมื่อ 3 เดือนก่อนหน้านี้เป็นที่ต้องการของตลาดมากจนทำให้ราคาซื้อขายในตลาดเพิ่มขึ้นจากราคาเฉลี่ย 1 ปีก่อนหน้านั้นถึงอีก 2 เท่าตัว!! (สมมติให้จากเดิม 100 บาทต่อชิ้นเป็น 300 บาทต่อชิ้น)

ในขณะนั้น สินค้าของบริษัทเป็นที่ต้องการมากถึงขนาดที่มีลูกค้าแย่งกันสั่งออร์เดอร์ล่วงหน้า 3 เดือนบ้าง 6 เดือนบ้าง หรือ 1 ปีก็ยังมีโดยให้ราคาสูงถึง 350 บาทต่อชิ้น (บริษัทมียอดจองล่วงหน้านี้มากถึง 60% ของกำลังการผลิตสำหรับช่วง 3 เดือนถึง 1 ปีข้างหน้า)

แต่เหตุการณ์กลับพลิกผัน ใน 3 เดือนต่อมา (ปัจจุบัน) เกิดเหตุสุดวิสัยที่ทำให้ความต้องการสินค้าดังกล่าวลดต่ำลง ราคาขายในตลาดลดลงอย่างฮวบฮาบจาก 300 บาทเหลือแค่ 180 บาทต่อชิ้น อย่างไรก็ตามยังไม่มีการยกเลิกออร์เดอร์ล่วงหน้าแต่อย่างใด

อยากทราบว่าเพื่อนๆ จะมีความเห็นกับบริษัทนี้อย่างไร โดยสมมติให้ออร์เดอร์ล่วงหน้านี้ไม่ถูกยกเลิกเนื่องจากในสัญญาระบุค่าปรับในกรณีผิดสัญญาไว้สูงมาก
chatchai
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 11443
ผู้ติดตาม: 0

ถามเพื่อนๆ ครับ

โพสต์ที่ 2

โพสต์

สำหรับผมนะครับ

ถ้าผมซื้อห้นบริษัทนี้ ก่อนเหตการณ์ที่สินค้าจะมีราคาปรับตัวสงขึ้น ผมก็คงจะทะยอยขายในช่วงที่ราคาสินค้าพ่งสงเกินราคาปรกติครับ

ถ้าผมไม่ได้ซื้อห้นในช่วงนั้น พอราคาสินค้าของบริษัทปรับตัวสงขึ้น ผมก็คงได้แต่ดครับ

สรปผมคงไม่ถือห้นบริษัทนี้จนถึงช่วงที่ราคาตกลงจาก 350 หรอกครับ แต่อาจจะทะยอยขายไปตั้งแต่ช่วง 150 บาทไปแล้วก็ได้ครับ

เพราะผมคิดว่าอะไรก็ตามที่มีราคาสงหรือต่ำผิดปรกติ ราคานั้นก็คงเกิดขึ้นไม่ได้นานครับ ยิ่งถ้าสินค้านั้นเป็นการแข่งขันแบบเสรี และเป็นราคาตลาดโลกนะครับ

ก็เหมือนราคาห้นนะครับ บางครั้งเราคำนวณราคาตามพื้นฐานแล้วอย่ที่ 120 บาท ราคาตลาดอย่ที่ 60 บาท เราก็ซื้อ

หลังจากนั้นถ้าราคาวิ่งไปที่ 130 140 150 ผมก็คงจะทะยอยขายครับ

ซึ่งบางครั้งจากแรงเก็งกำไร ราคาอาจจะวิ่งต่อไปที่ 160 170 180 ก็ได้ หรืออาจจะตกลงไปที่ 120 110 100 90 ก็ได้อีกเหมือนกัน

ผมเพียงแต่หาส่วนต่างจากราคาตลาดและราคาตามพื้นฐานเท่านั้น ส่วนเกินก็นั้น ไม่ได้ก็ไม่คิดเสียดายครับ
stockms
Verified User
โพสต์: 920
ผู้ติดตาม: 0

ถามเพื่อนๆ ครับ

โพสต์ที่ 3

โพสต์

คุณฉัตรชัยตอบได้ถูกต้องเลยครับ เราควรจะขายหุ้นออกไปแล้วตอนที่คนคิดว่าผลกำไรมันจะสวยหรู แต่ถ้ายังไม่ได้ขายก็คงต้องมาดูกันว่าราคาหุ้นได้ลดลงมาขนาดไหนแล้ว ถือต่อไปจะคุ้มหรือไม่ หรือคนที่ขายไปแล้วควรจะเข้าไปรับคืนได้หรือยัง มีบางคนรู้คำตอบนี้ครับและได้รับคืนไปบ้างแล้ว แต่ตอนนี้ควรรอดูเหตุการณ์ครับว่าราคาสินค้าจะหยุดลงรึยังถ้าจะยังลงต่อคงต้องยอมขายหุ้นทำกำไรเล็กน้อยไปก่อน แต่ถ้าหยุดลงแล้วก็คงถือต่อไปได้ครับ ราคาตรงนี้วัดใจแล้วครับ
Stock Broker
Verified User
โพสต์: 2509
ผู้ติดตาม: 0

ถามเพื่อนๆ ครับ

โพสต์ที่ 4

โพสต์

ขอบคุณสำหรับความเห็นครับผม
Blueblood
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 3645
ผู้ติดตาม: 0

ถามเพื่อนๆ ครับ

โพสต์ที่ 5

โพสต์

ขอเพิ่มข้อมูลสมมติอีกนิดนะครับคือถ้าเราทราบมาเพิ่มเติมว่าสินค้าชนิดนี้จะมีการผลิตออกสู่ตลาดลดลงเรื่อยๆ ที่แน่ๆคือภายใน 2-3 ปีนี้จะไม่มีใครมาผลิตแข่งล่ะครับ และ demand ก็ยังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆและสูงกว่า supply อยู่มาก อย่างนี้ควรทำอย่างไรดีครับ(จริงๆแล้ว demand มากกว่า supply มากแต่เกิด shock เล็กๆ) แล้วถ้าผมสมมติเพิ่มเติมอีกว่ากระแสเงินสดของบริษัทนี้แค่ สองปีกว่าๆก็เท่ากับราคาทั้งบริษัท จะทำให้บริษัทนี้ยังน่าสนใจอยู่มั๊ยครับ ?

หรือเป็นไปได้มั๊ยครับว่าราคาสินค้าชนิดนี้จริงๆแล้วไม่ได้ลดลงมากเหมือนที่คุณว่า แต่เป็นเพราะคุณใช้ข้อมูลภาพใหญ่มาอธิบายภาพเล็ก ซึ่งอาจเกิดการผิดพลาดได้เหมือนคุณใช้รายได้เฉลี่ยของคนไทยทั้งประเทศมาพยากรณ์รายได้ของนาย ก นั่นล่ะครับ :D
stockms
Verified User
โพสต์: 920
ผู้ติดตาม: 0

ถามเพื่อนๆ ครับ

โพสต์ที่ 6

โพสต์

บางครั้งเราอาจเชื่อว่าภาพใหญ่อธิบายภาพเล็กได้ไม่หมด แต่ตอนราคาสินค้าเพิ่เราก็มองจากภาพใหญ่นั่นแหละจึงทำให้ราคาหุ้นมันขึ้นมา แล้วภาพเล็กที่ว่าจะมีใครรู้บ้างนอกจากเจ้าของ ราคาตรงนี้วัดใจจริงๆนะครับ ถ้าจะไปต่อต้องมีคนมาลากสวนดัชนีภาพใหญ่แล้วครับ เชื่อครับว่ามีคนสะสมไว้พอสมควรที่ราคาต่ำกว่า 30
chatchai
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 11443
ผู้ติดตาม: 0

ถามเพื่อนๆ ครับ

โพสต์ที่ 7

โพสต์

ที่ว่ากระแสเงินสดเพียงแค่ 2 ปีก็เท่ากับมลค่าบริษัทนั้น ผมไม่แน่ใจว่ามลค่าบริษัทนั้นคณรวมหนี้สินของบริษัทไปด้วยหรือเปล่า รวมทั้งหักเงินลงทนที่ต้องใช้ด้วยหรือไม่ครับ

การลงทนนั้นผมมักจะมองในระยะยาวครับ เพราะไม่มั่นใจว่าไม่มีสินค้าและบริการใดๆที่สามารถมีราคาแพงกว่าปรกติได้ในระยะยาวครับ ราคาที่ขึ้นสงสดในรอบเป็นสิบปีนี้ ผมคิดว่าคงไม่ใช่ราคาปรกติครับ และสดท้ายก็จะลดลงส่ราคาปรกติ ราคาห้นก็คงจะลดลงเรื่อยๆจนถึงราคาตามพื้นฐานตามปรกติครับ แต่ใครจะร้ว่าเมื่อไรจะเกิด
Blueblood
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 3645
ผู้ติดตาม: 0

ถามเพื่อนๆ ครับ

โพสต์ที่ 8

โพสต์

chatchai เขียน:ที่ว่ากระแสเงินสดเพียงแค่ 2 ปีก็เท่ากับมลค่าบริษัทนั้น ผมไม่แน่ใจว่ามลค่าบริษัทนั้นคณรวมหนี้สินของบริษัทไปด้วยหรือเปล่า รวมทั้งหักเงินลงทนที่ต้องใช้ด้วยหรือไม่ครับ

การลงทนนั้นผมมักจะมองในระยะยาวครับ เพราะไม่มั่นใจว่าไม่มีสินค้าและบริการใดๆที่สามารถมีราคาแพงกว่าปรกติได้ในระยะยาวครับ ราคาที่ขึ้นสงสดในรอบเป็นสิบปีนี้ ผมคิดว่าคงไม่ใช่ราคาปรกติครับ และสดท้ายก็จะลดลงส่ราคาปรกติ ราคาห้นก็คงจะลดลงเรื่อยๆจนถึงราคาตามพื้นฐานตามปรกติครับ แต่ใครจะร้ว่าเมื่อไรจะเกิด
เป็นการคาดการณ์คร่าวๆน่ะครับ ไม่ได้คิดเรื่องหนี้สิน เพราะกระแสเงินสดผมคิดแค่ 2 ปี และผมมองว่าถึงจะเป็นใน cycle ขาลงในอนาคตนั้นก็ไม่น่าจะทำให้บริษัทถึงกับมีกระแสเงินสดจากการดำเนินงานติดลบ ส่วนหนี้สินนั้นใช้ในระยะยาวได้ซึ่งบริษัทก็จะมีกระแสเงินสดเข้ามาอย่างต่อเนื่องอยู่แล้วและถ้าจำเป็นจริงๆในช่วง 2 ปีนี้สามารถใช้หนี้ได้จนหมดได้สบายๆครับ เพราะอัตราปันผลก็ไม่ได้มากอยู่แล้ว แค่ 25% และเรื่องการลงทุนเพิ่มคงไม่มีหรือมีก็ไม่มากแล้วภายใน 2 ปีนี้ครับ แต่จริงๆแล้วจะมีเงินสดจากการขายเรือเก่าเข้ามาอีกด้วยซำไป ก็ต้องติดตามกันต่อไปครับ ตรงนี้ผมก็วัดใจผู้บริหารเหมือนกันว่าข้อมูลที่เค้าบอกนั้นจะมีโอกาสเป็นจริงแค่ไหน

ขอบคุณที่แลกเปลี่ยนกันนะครับ

ป.ล. ไม่ได้มีเจตนาล่วงเกินผู้ใด ถ้ามีใครคิดอย่างนั้นก็ต้องขออภัยด้วยนะครับ :)
chatchai
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 11443
ผู้ติดตาม: 0

ถามเพื่อนๆ ครับ

โพสต์ที่ 9

โพสต์

คือผมอยากจะบอกว่าการพิจารณากระแสเงินสดนั้น ควรจะพิจารณาจากตัวเลขที่เหลือส่มือผ้ถือห้นและบริษัทจริงๆครับ

บางบริษัทมีกระแสเงินสดจากการดำเนินงานรับปีละ 100 ล้านบาท แต่มีหนี้สินถึง 500 ล้านบาท

กับอีกบริษัทมีกระแสเงินสดรับน้อยกว่าแค่ 50 ล้านบาท แต่มีหนี้เพียง 20 ล้านบาท

หรืออีกกรณี

บริษัทมีกระแสเงินสดจากการดำเนนิงานรับปีละ 100 ล้านบาท ไม่มีหนี้ แต่ต้องลงทนในสินทรัพย์ถาวรเพิ่มรักษาการผลิตเดิมถึงปีละ 80 ล้านบาท

กับอีกบริษัทมีกระแสเงินสดรับน้อยกว่าเพียง 50 ล้านบาท แต่มีการลงทนเพียงแค่ปีละ 10 ล้านบาทเท่านั้น

คณว่าทั้งสองกรณี บริษัทไหนน่าจะมีมลค่าตลาดมากกว่ากันครับ
Blueblood
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 3645
ผู้ติดตาม: 0

ถามเพื่อนๆ ครับ

โพสต์ที่ 10

โพสต์

ผมเข้าใจที่พี่พยายามจะบอกครับ ผมแค่จะบอกว่าบริษัทนี้จะไม่มีการลงทุนเพิ่มอีกในปีสองปีนี้ ผู้บริหารเค้าบอกว่า cycle รอบนี้ไม่เพิ่มเกินกว่า 50-52 ลำครับ ตอนนี้ 50 ลำ อาจจะจบเรื่องลงทุนเพิ่มแล้ว ตัวลดกระแสเงินสดที่จะเหลือถึงผู้ถือหุ้นดียวคือหนี้ครับ ซึ่งถ้าเทียบตัวหนี้กับ ebitda ยังไงก็แค่ปีกว่าๆก็ใช้หมดอยู่ดี แต่จริงๆแล้วอาจไม่จำเป็นต้องรีบใช้หนี้ทั้งหมดเร็วขนาดนั้น ถูกครับที่บริษัที่มีหนี้มากถึงจะมีกระแสเงินสดมากก็เหลือถึงผู้ถือหุ้นไม่มาก แต่ถ้าลองเทียบกับบริษัทอื่นในตลาดที่ถึงแม้กิจการจะดูดีแต่กระแสเงินสด กว่าจะมาใช้หนี้ก็ใช้เวลานานมากๆ ผมถึงลองคิดว่าราคาตรงนี้แพงหรือยัง เพราะผมเชื่อว่ามีกิจการน้อยมากที่รายได้จะไม่ขึ้นกับวัฏจักรของเศรษฐกิจครับ :)
Stock Broker
Verified User
โพสต์: 2509
ผู้ติดตาม: 0

ถามเพื่อนๆ ครับ

โพสต์ที่ 11

โพสต์

ที่ผมมาชวนเพือนๆ ให้ช่วยกันออกความเห็น เพราะไม่อยากให้เพื่อนๆ ยึดมั่นกับอะไรที่มันไม่แน่นอนมากจนเกินไป จนละเลยความจริงบางอย่างที่ปรากฏให้เห็น

ต้องลองคิดกันดีดีครับ ว่าที่สินค้าราคาดีขึ้นแท้จริงแล้วเกิดจากฝั่งไหนแน่

Demand หรือ Supply?

สินค้าบางอย่าง Supply มันก็มีอยู่ประมาณนี้มาแต่ไหนแต่ไร เพราะไม่มีการตั้งโรงงานใหม่ (อันนี้ติดตามไม่ยาก เพราะการลงทุนเพิ่มต้องใช้เวลาแรมปี)

แต่หากราคาดีขึ้นเพราะ Demand มากขึ้นอย่างก้าวกระโดด ทีนี้ หากการก้าวกระโดดเปลี่ยนเป็นการเดินไปช้าๆ อย่างมั่นคงแทน ราคาสินค้าจะยังก้าวกระโดดอีกหรือไม่

ล่าสุด ราคาเหล็กในตลาดโลกลดลงมาแล้วกี่ % ในช่วงเวลาแค่ 1-2 เดือน ทราบกันมั้ยครับ?

บางอย่างในเมื่อตอนที่ราคาสินค้าขึ้นนั้นเป็นไปอย่างเหนือการคาดเดา ทำไมเวลาราคาลงจะลงอย่างเหนือการคาดเดาบ้างไม่ได้

ก็แค่อยากให้เพื่อนๆ มองหลายๆ มุม เพื่อประโยชน์แก่เงินในกระเป๋าของเพื่อนๆ เองแหละครับ
Stock Broker
Verified User
โพสต์: 2509
ผู้ติดตาม: 0

ถามเพื่อนๆ ครับ

โพสต์ที่ 12

โพสต์

ตัวอย่างสินค้าและบริการที่ในช่วงเกือบปีที่ผ่านมา ราคาสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ อาทิ น้ำมัน เหล็ก ปิโตรเคมี ค่าระวางเรือ ยางพารา ทั้งหมดนี้ล้วนมีวัฏจักรขึ้นลงที่สูงสุดฟ้าและเตี้ยติดดิน (มีความผันผวนสูง)

ใครที่จะลงทุนระยะยาวในธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับสินค้าหรือบริการเหล่านี้ อย่างน้อยผมว่าต้องเคยทราบข้อมูล 1 วัฏจักรธุรกิจ (รุ่งสุดขีด 1 ครั้ง ผ่านต่ำติดดิน 1 ครั้ง แล้ววนกลับมาจนรุ่งสุดขีดอีกครั้ง) เพื่อให้สามารถตัดสินใจได้ถูกต้อง

ลองนึกถึงคำสัมภาษณ์ของผู้บริหารส่วนใหญ่ ตอนที่จะเอาหุ้นใหม่เข้าตลาดหรือเพิ่มทุนดูนะครับ ไม่มีใครพูดเน้นถึงอดีตตอนที่ย่ำแย่ ส่วนใหญ่ก็บอกแต่ว่าปัจจุบันได้ราคาดีราคาสูงเกินคาดทั้งนั้น

คอยจับตาคำสัมภาษณ์ต่อไปแล้วกันครับ เอาพวกกลุ่มบ้านจัดสรรก็ได้ เพราะเห็นปลายปีก่อนโม้กันไว้เยอะ ดูสิว่าจะทำได้ตามลมปากมั้ย
ภาพประจำตัวสมาชิก
Minesweeper
Verified User
โพสต์: 472
ผู้ติดตาม: 0

ถามเพื่อนๆ ครับ

โพสต์ที่ 13

โพสต์

เห็นคุณ Fin. Eng. พูดเรื่อง Demand/Supply ของสินค้าหลายๆ อย่าง เลยขอร่วมวงหน่อยแล้วกัน

ผมเห็นว่าราคา commodity หลายๆ อย่างตอนนี้ มันมีการเก็งกำไร (ไม่ว่าจะขึ้นหรือลง) กันค่อนข้างมากนะ ราคาหลายๆ อย่างนี่ ผมสงสัยว่ามันไม่น่าจะเป็นไปตาม demand/supply เท่าไหร่ อันนี้ผมพูดแบบคนไม่ได้เรียนเศรษฐศาสตร์นะ

ราคา commodity ทั่วโลก ที่สูงเวอร์ ขึ้น 30-40% ขณะที่เศรษฐกิจโลกโต 5% ผมว่ามันน่าสงสัยว่า มันเกิดจาก demand/supply จริง หรือน่าจะเป็นการเก็งกำไรกันมากเกินไปในราคาพวกนี้ หรือเปล่า?

8)
Stock Broker
Verified User
โพสต์: 2509
ผู้ติดตาม: 0

ถามเพื่อนๆ ครับ

โพสต์ที่ 14

โพสต์

อย่างที่ท่าน Minesweeper ว่าแหละครับ

เท่าที่ทราบ ก็เพราะ IT และ Globalization นี่แหละครับ ทำให้ข้อมูลและการติดต่อสื่อสารปัจจุบันมันถึงกันหมดได้อย่างรวดเร็ว

เดี๋ยวนี้กองทุนป้องกันความเสี่ยงสามารถหมุนเวียนเข้าออกถึงกันหมดแหละครับ ทั้ง ตลาดเงิน ตลาดทุน ตลาดทองคำ ตลาดสินค้าเกษตร ตลาดสินค้าอุปโภคบริโภค ตลาดน้ำมัน ฯลฯ

อะไรที่ทำกำไรได้ และคาดการณ์แนวโน้มได้ แกฟาดเรียบแหละครับ
ล็อคหัวข้อ