Mind map เรื่อง 11 Immutable law of internet branding

เชิญมาพักผ่อน คลายร้อนนั่งเล่น คุยกันเย็นๆ พร้อมเรื่องกีฬา สัพเพเหระ ทัศนะนานา ชีวิตชีวา สุขภาพทั่วไป บันเทิงขำขัน รอบเรื่องเมืองไทย ชวนเที่ยวที่ไหน อยากไปก็นัดมา ...โย่วๆ

โพสต์ โพสต์
njTAO
Verified User
โพสต์: 274
ผู้ติดตาม: 0

Mind map เรื่อง 11 Immutable law of internet branding

โพสต์ที่ 1

โพสต์

จากหนังสือ 22 Immutable law of branding ฝากคอมเมนท์หน่อยนะครับ
ขอบคุณครับ

รูปภาพ

ปล.
-ร้อนๆ มาเลยครับ โปรดระวังลวก
-ไม่ทราบว่าถ้าจะอัพโหลดไฟล์ภาพมาที่เว็บบอร์ดเลยจะทำได้หรือเปล่าครับ
MindTrick
Verified User
โพสต์: 1289
ผู้ติดตาม: 0

Re: Mind map เรื่อง 11 Immutable law of internet branding

โพสต์ที่ 2

โพสต์

njTAO เขียน:จากหนังสือ 22 Immutable law of branding ฝากคอมเมนท์หน่อยนะครับ
ขอบคุณครับ

//cut

ปล.
-ร้อนๆ มาเลยครับ โปรดระวังลวก
-ไม่ทราบว่าถ้าจะอัพโหลดไฟล์ภาพมาที่เว็บบอร์ดเลยจะทำได้หรือเปล่าครับ
ถามนิดครับ คือคุณ อ่านเล่มนั้นมา แล้วเขียน map เอง หรือ ลอก map มาเลยครับ

จุดประสงค์ให้คอมเม้น คืออะไรบ้าง เช่น...เขียนอ่านง่ายไหม, เข้าใจไหม, หรือว่า ต้องเติมเส้นสายตรงไหน ...หรือยังไงครับ

ปล.
บอร์ดนี้ไม่เปิดให้ฝากภาพครับ
^
"เมื่อคุณเริ่มทำสิ่งที่รักแล้ว วันต่อๆไปก็จะไม่ใช่การทำงาน"..Brian Tracy
state exact goal/then analyze what fail the goal/then act/if you don't start/dream still be a dream
หุ้นไม่ใช่แค่เศษกระดาษ มันมีคนทำงานจริง
njTAO
Verified User
โพสต์: 274
ผู้ติดตาม: 0

ขอบคุณครับที่คอมเมนต์ คอมเม้นแรกเชียวนะเนี่ย

โพสต์ที่ 3

โพสต์

ใช่แล้วครับ ผมไปลอกเค้ามาจริงๆ นะครับ คงไปเห็นในหนังสือมาแล้วใช่มั๊ยครับ อ้ออีกอย่าง การทำ mind map ผมก็ไม่ได้คิดขึ้นมาเองนะครับ เคยอ่านว่าจะคุณโทนี่ บูซาน เป็นคนคิด แต่ข้อเท็จจริง จริงๆ แล้วก็ไม่ทราบครับ เพราะผมไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ แต่ผมก็ไม่สนหรอกครับ ตราบใดที่เค้าไม่ได้มาเป็นตาปลาผมครับ

ขอโทษที่บอกวัตถุประสงค์ไม่ชัดเจน เอาเป็นว่าอยากคอมเม้นอะไรก็คอมเม้นมาละกันครับ

โอ๋เหรอครับ เสียดายจริงๆ นะเนี่ย ไม่งั้นจะได้นำภาพมาฝากอีกเยอะ มีทั้งภาพครอบครัว ภาพเพื่อนฝูง ภาพสัตว์เลี้ยง ...

ขออภัยที่ไม่ได้บอกสาเหตุที่ถามว่าอัพโหลดภาพได้หรือเปล่า คือ ที่ทำมันเป็นลิงค์อยู่ บางทีลิงค์ก็หาย ภาพมันก็ไม่แสดงขึ้นมา แค่นี้เองครับ อย่าซีเรียส :lol:
njTAO
Verified User
โพสต์: 274
ผู้ติดตาม: 0

อ้อ ขอต่อนิดครับ

โพสต์ที่ 4

โพสต์

ผมเคยได้ยินว่า ในยุคปฎิวัติข้อมูลข่าวสาร ในปัจจุบันนี้ มีคนพูดว่า ไม่มีใครสนหรอกว่าคุณจะเป็นคนฉลาดแค่ไหน แต่สำคัญว่าคุณเรียนรู้ได้เร็วแค่ไหน

โชคร้ายที่ผมเกิดระหว่างยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม กับยุคปฏิวัติข้อมูลข่าวสาร อิจฉาเด็กสมัยนี้ครับ (หมายถึงเฉพาะคนไม่รักดี) อาจารย์สอนให้ทำรายงานหาข้อมูลจากอินเตอร์เน็ต ด้นไปตั้งคำถามในกระทู้แล้วบอกขอข้อมูลจะเอาไปทำในรายงาน พอไม่มีคนตอบกระทู้ก็บอกอาจารย์ว่าในอินเตอร์เน็ตไม่มีข้อมูล (ผมอาจจะเป็นหนึ่งในนั้นก็ได้ ถ้าในสมัยที่ผมเรียนมีอินเตอร์เน็ตใช้)

ก็เพราะสาเหตุที่ว่าข้อมูลมีมากมายนั่นแหละ ถ้าย่นย่อได้หรือจับเฉพาะใจความสำคัญได้ แล้วทำยังไงให้มันดูแว๊บเดียวรู้เรื่อง (ก๊อปปี้สมองเหมือนกับเครื่องคอมพิวเตอร์มันถ่ายข้อมูลให้กัน แป๊บเดียวเองครับ นั่นแหละครับถ้าทำได้ เราจะก้าวไปอีกยุคนึง ยุคปฏิวัติทางปัญญาครับ(ในความคิดผม ถ้าผมได้มีอายุอยู่ถึงในยุคนั้นจะเป็นบุญตา หรือไม่ยุคนั้นก็มาถึงเร็วกว่าที่เราคาดคิดกัน สาธุ) ถึงตอนนั้น ตอนคนเราเกิดมา ในขณะเป็นทารกหัดพูด หัดเดิน ก็ก๊อบปี้สมองของผู้มีประสบการณ์ทั้งหมด พอเดินได้ก็คิดต่อยอดไปเลย(พอเดินได้ ก็พัฒนาโลกต่อได้เลย) ไม่ต้องเสียเวลาเรียนเป็นหลายสิบปี ไม่งั้นจะตามทันมนุษย์ต่างดาวได้ยังไง (เค้าสื่อสารกันโดยส่งคลื่นสมองกันแล้ว เร็วกว่าการพูดตั้งเท่าไหร่(ผมดูจากนิยายวิทยาศาสตร์และการ์ตูนไร้สาระนะครับ)))

ผมเห็นว่า(หรือผมไปได้ยินหรืออ่านมาจากไหนก็ไม่ทราบได้) Mind map เป็นเครื่องมือหนึ่ง เป็นจุดเริ่มต้นของการมุ่งไปสู่ยุคปฏิวัติทางปัญญา เมื่อเราย่อหนังสือหนึ่งเล่มให้เหลือ Mind map 1 ชื้นได้ ต่อไปอาจจะมีเครื่องมือที่ช่วยย่อ Mind map ของหนังสือ 1 หมวดให้รวมเป็นหนึ่ง แล้วต่อไปก็ย่อความรู้หลายๆ หมวดรวมเป็นหนึ่งเดียว (ผมมีความเชื่อว่าทุกสิ่งในโลกล้วนเป็นหนึ่งเดียว เพราะฉะนั้นเราก็ควรรู้ทุกสิ่งในโลก จากที่เคยได้ยินมาว่าสมองมนุษย์เก็บข้อมูลได้ไม่จำกัด แต่อีกค่ายหนึ่งเขาบอกว่าในปัจจุบันคนเราใช้สมองได้ไม่กี่เปอร์เซ็นต์(เอ่ ถ้าวัดได้ มันก็ขัดแย้งกับคนแรกซิที่บอกว่าสมองไม่มีขีดจำกัด(infinity) เอาเถอะ))

เอาเถอะ ต่อดีมั๊ยครับ เมื่อคนเรารู้ทุกสิ่งแล้วก็จะไม่มีการเอาเปรียบกันในสังคม (ไม่รู้จะเอาเปรียบกันยังไง ก็รู้ทันกันหมด ยกเว้นแต่ว่า ถึงเขาหลอกก็เต็มใจให้หลอก) ถ้าทุกคนยืนอยู่ขาตัวเองได้ (การเกษตรแบบพอเพียง) ดังนั้นระบบเศรษฐกิจก็จะเปี๊ยนไป๋ เปลี่ยนไปเป็นระบบเศรษฐกิจแบบสำนึกนิยม (สันโดด คือเรียกว่าทุกคนหากินเอ
ไม่ต้องใช้เงินตรา(กลับไปเป็นแบบโบราณเหมือนเดิม เพราะเราให้แล้วว่าทุนนิยมมันเป็นยังไง)) ก่อนอื่นขอทำความเข้าใจก่อนนะครับ ระบบเศรษฐกิจ(สังคมนิยม ทุนนิยม) ก็เป็นเรื่องเศรษฐกิจ ปากท้องความเป็นอยู่ เช่น การให้เงินลูกไปโรงเรียน ไม่ใช่ระบอบการปกครอง (สังคมนิยม ประชาธิปไตย) เช่น การที่พ่อแม่ดูแลลูกหลายคนให้อยู่กันยังไงไม่ต้องทะเลาะกัน

แต่ทั้งสองเกี่ยวเนื่องกันอย่างเหนียวแน่น ยกตัวอย่างนะครับ การไปเที่ยวช่วงปิดเทอม
1 พ่อแม่ในระบอบสังคมนิยม - ตัวเองก็จัดแจงโปรแกรมเองไม่ถามเลยว่าลูกอยากไปหรือเปล่า พอถึงเวลาก็บอกลูกให้เก็บข้าวเก็บของ พอลูกดื้อไม่ยอมไป ถ้าใช้ระบบเศรษฐกิจเศรษฐกิจสังคมนิยม ก็จะบีบว่าเดี๋ยวจะหักเงินเดือน ถ้าใช้ทุนนิยม ก็บอกว่าลูกจ่ายพ่อแม่ได้เท่าไหร่ ถ้าพ่อแม่พอใจจะเปลี่ยนแปลงโปรแกรมให้
2 พ่อแม่ในระบอบประชาธิปไตย - ถามลูกว่าอยากไปเที่ยวไหน ถ้าลูกไม่อยากไป ถ้าใช้เป็นเศรษฐกิจสังคมนิยมก็อ้างจะตัดเงินค่าขนม หรือไม่จ่ายเลยลูกเดียว ถ้าเป็นทุนนิยมจะบอกว่า ถ้าไม่ไปแล้วลุกจะจ่ายเท่าไหร่
3 ในระบบเศรษฐกิจแบบสำนึกนิยม ในกรณีข้างต้นพ่อแม่ขู่ว่าจะหักค่าขนม เด็กก็ไม่สะทกสะท้าน จะหักก็หักไปตัวเองหาเงินเองได้อยุ่แล้ว
นี่เป็นตัวอย่างแบบกระจอกๆ ของผมครับ

ระบบเศรษฐกิจแบบสำนึกนิยม(ผมคิดเอง หรือไปตกตะกอนทางความคิดมาจากที่ไหนไม่ทราบครับ วันๆคิดเรื่องอะไรก็ไม่รู้เยอะแยะไปหมด ไม่ได้จด) ในภาพใหญ่ที่ต้องการจะสื่อก็คือ เงินตราเป็นสิ่งหลอกๆ ถึงแม้มันจะเป็นสื่อกลางก็ตาม แต่ผู้คุมเกมเศรษฐกิจโลกท่านก็เอาอัตราแลกเปลี่ยน ดอกเบี้ย เงินเฟ้อมาเล่นให้มันน่าปวดหัว ของจริงก็คือความเป็นอยู่ได้ของคนมากกว่า การที่มีอะไรตกถึงท้องจริงๆ

ในระบบเศรษฐกิจทุนนิยมปัจจุบัน
1 มนุษย์เงินเดือน ฟรีแลนซ์ รวมั้งเกษตรกร โดนกดขี่ค่าจ้างและค่าสินค้าเกษตร โดนโก่งราคาสินค้าอุปโภคบริโภคและปัจจัยการผลิด เช่น ปู๋ย ยาฆ่าแมลง ยากำจัดวัชพืช แล้วไหนจะภาษีอีก (เรียกว่า โดนบีบทั้งสามทาง)
2 เจ้าของกิจการ โดนบีบจากคู่แข่งธุรกิจ ถูกรีดภาษีจากผู้ปกครอง (โดนบีบจากทั้งสองทางเช่นกัน จึงต้องลดต้นทุนโดยการกดขึ่ค่าจ้างเป็นต้น) (โดนน้อยหน่อย แค่สองทาง)
3 รัฐบาล(ผู้ปกครอง) โดนบีบจากคู่แข่งทางการเมืองในการเลือกตั้ง จึงต้องใช้เงินซื้อเสียง แต่คนขายเสียงในข้อ 1 ก็ไม่ผิดเพราะเขาก็โดนบีบมาก่อน เขาจึงถือว่าเป็นการเอาคืนจากที่ตัวเองโดนบีบ (โดนบีบแค่ทางเดียว แต่ต้องใช้เม็ดเงินมหาศาล) เมื่อเข้ามาแล้วก็ต้องถอนทุนคืน (ยิ่งเอาได้มากเท่าไหร่ยิ่งดี) ยิ่งถอนมากก็ยิ่งไปบีบข้อ 2 กับ 1
เห็นไหมครับ งูกินหางไม่รู้จักจบ

เปลี่ยนมาเป็นระบบเศรษฐกิจสำนึกนิยมในอนาคต (การเกษตรพอเพียงในปัจจุบัน)
ข้อ 1 ก็ไม่ต้องมีใครเป็นลูกจ้างใคร อาจจะมีแค่ลูกจ้างรัฐบาล ยกตัวอย่างการเกษตรแบบพอเพียง ที่โฆษณากันอยู่ (หลายคนอ้างว่าทำเกษตรไม่เป็น ปลูกอะไรไม่เคยจะได้ แค่เพาะถัวเขียวในห้องเรียนยังไม่อยากจะขึ้น ถูกต้องแล้วครับ รวมผมเข้าไปด้วยอีกคน แต่อย่าลืมซิครับ เดี๋ยวนี้เทคโนโลยีการเกษตรก้าวหน้าไปมาก ก็คงเอามาจากนาซ่าที่ปลูกผักในยานอวกาศ อีกหน่อยเราก็คงปลูกทุกอย่างในบ้านได้ ไม่ใช่แค่ผัก กินแค่พืชก็คงอยู่ได้แล้วครับ เพราะมนุษย์เราเป็นสัตว์กินพืช(herbivore) เพราะฟันเราไม่ได้แหลมเหมือนสุนัขหรือปลาฉลาม(ฟังเค้ามานะครับ))
ข้อ 2 อาจจะไม่ต้องมี เพราะทำแล้วขายไม่ออก ทุกคนมีปัจจัยสี่กันได้หมด
ข้อ 3 (มาช่วยกันคิดนะครับว่าระบอบการปกครอง ที่เหมาะกับระบบเศรษฐกิจแบบสำนึกนิยมจะหน้าตาเป็นอย่างไร ควรตั้งชื่อว่าอะไร)

โห้ หันมาดูอีกทีหลุดโลกไปแล้วครับ
สรุปก่อนทีจะหลุดจักรวาลครับ เรามาช่วยกันเขียน mind map กันดีมั๊ยครับ เรียกว่า ย่อหนังสือแล้วกัน (คล้ายๆ กับร้อยคนร้อยหุ้น) ผมตั้งใจจะทำของหนังสือทางด้านการเงินเพราะคงตรงกับแนวคิดของเว็บ แต่ก็ลองฝึกทำกับหนังสือประเภทง่ายๆ ก่อน ก็จะเป็นจุดเริ่มต้นให้กับลูกหลานที่จะใช้ต่อยอดเพื่อสร้างอะไรซักอย่างต่อยอดจาก Mind map ทางการเงิน ให้เหลือแค่หนึ่งเดียว จะได้เรียนกันได้เร็ว (ไม่ได้หมายความว่า mind map จะมาแทนที่หนังสือนะครับ mind map อาจจะเป็นส่วนเพิ่มที่จำเป็นอีกส่วนหนึ่งที่หนังสือทุกเล่มต้องมี อาจจะเรียกว่าสารบัญสรุปเนื้อหาก็ได้นะครับ (ตอนนี้เรามีแค่สารบัญธรรมดา))

สำหรับท่านที่คิดว่าแก่เกินเรียนแล้ว ก็จงคิดไปอย่างนั้นเถิด เพราะท่านก็คงคิดว่าโลกนี้ไม่มีอะไรยังยื่น เดี๋ยวก็ตายไป แต่ผมคิดว่าผมยังมีกรรมต้องเกิดแก่เจ็บตายอีกหลายชาติ ดังนั้นถ้าชาตินี้ตายไปในขณะที่ยุคปฎิวัติทางปัญญายังไม่มาถึงก็ขอให้ได้พานพบในชาติหน้า และในชาติต่อๆ ไปก็เกิดในยุคปฏิวัติถัดไปจากยุคปฏิวัติทางปัญญา

ดีนะนี่ใช้ adsl ไม่หลุด ไม่ต้องต่อหลายครับแบบไดอัลเมื่อก่อน เฮ้อเมื่องไทยยังคุยกัน 3G ไม่จบ (เทคโนโลยี 3G มัน depreciate ไปแล้วไม่ใช่เหรอครับ เพราะต้นทุนมันสูง เคยเจอว่าเขาใช้อะไรไม่รุ้กระโดดข้ามจาก 2.5G ไป 4G เลย) จะใช้อินเตอร์เน็ตดาวเทียมของ CSLOX ก็เกรงใจกระเป๋าเงินตัวเอง แถมยังไม่เป็นใจยามฝนฟ้าคะนองเสียอีกต่างหาก

ขออนุญาตไปแบบห้วนๆ นะครับ ขอคอมเม้นอีกตามเคยครับ

ปล. ท่านใดไปหาเจอว่าผมไปก๊อปปี้มาจากที่ไหนมีรางวัลให้ครับ
njTAO
Verified User
โพสต์: 274
ผู้ติดตาม: 0

สุดท้ายแล้วครับ

โพสต์ที่ 5

โพสต์

ผมจัดกลุ่มเองนะครับ ในหนังสือเขาไม่ได้จัดไว้ แบ่งเป็นกลุ่มที่เป็นธรรมชาติของมันอยู่แล้ว กับกลุ่มที่ตั้งตัดสินใจกระทำ ... เป็นต้น ในหนังสือเขาไม่ได้แบ่งไว้

ปล. มันดีแฮะ ตอบหลายที่จำนวนเลข reply เพิ่มขึ้นใหญ่เลย
โพสต์โพสต์