ภาพรวมเศรษฐกิจ

การลงทุนแบบเน้นคุณค่า เน้นที่ปัจจัยพื้นฐานเป็นหลัก
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news29/02/08

โพสต์ที่ 721

โพสต์

บาทแข็งหึ่งเด้งธาริษา

โพสต์ทูเดย์ เงินบาทแข็งทะลุ 32.01 บาท/เหรียญสหรัฐแล้ว หึ่งปลดผู้ว่าการ ธปท.


ค่าเงินบาทแข็งค่าต่อเนื่อง โดยวันที่ 28 ก.พ. เปิดตลาดที่ 32-32.02 บาท/เหรียญสหรัฐ ก่อนจะแข็งค่าจนทะลุ 32 บาท ไปอยู่ที่ 31.98 บาท/เหรียญสหรัฐ ก่อนจะกลับมาปิดตลาดที่ 32-32.01 บาท/เหรียญสหรัฐ และคาดว่าในระยะอันสั้นจะเคลื่อนไหว 31.9 บาท/เหรียญสหรัฐ

นางธาริษา วัฒนเกส ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า สาเหตุการแข็งค่าของเงินบาทในช่วงนี้น่าจะเป็นเพราะมีการคาดเดาว่าจะยกเลิกมาตรการ 30% แต่จะแข็งจากปัจจัยอื่นด้วยหรือไม่ส่วนตัวไม่รู้ แล้วแต่ใครจะมองอย่างไร แต่ไม่อยากพูดถึงเรื่องค่าเงินมาก เพราะเป็นเรื่องที่อ่อนไหว

อย่างไรก็ตาม ค่าเงินบาทของไทยยังเคลื่อนไหวเกาะกลุ่มไปกับภูมิภาค แม้บางช่วงจะแข็งค่ามากสุด

นางธาริษา กล่าวว่า ที่ผ่านมา ธปท.ก็ได้เข้าดูแลค่าเงินตลอดมา โดยสามารถดูข้อมูลการดูแลจากปริมาณทุนสำรองได้

แต่ที่บอกว่าเงินบาทแข็ง เพราะผู้ว่าการ ธปท.ไม่กล้าตัดสินใจ ไม่เด็ดขาด ก็แล้วแต่คนเขาจะคิด เพราะความจริง ธปท.จะคิดอะไรต้องเป็นประโยชน์กับประเทศที่สุดอยู่แล้ว นางธาริษา กล่าว

แหล่งข่าว ธปท.เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 28 ก.พ. ทั้งวันมีข่าวลือว่ารัฐบาลจะมีคำสั่งปลดนางธาริษา วัฒนเกส ออกจากตำแหน่งผู้ว่าการ ธปท. เนื่องจากขัดนโยบายเรื่องการลดดอกเบี้ยและยืนยันว่าจะไม่เลิกนโยบาย 30% ในระยะนี้ ขณะที่รัฐบาลต้องการกระตุ้นการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ กำลังซื้อ และจูงใจนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ

แหล่งข่าวกระทรวงการคลังกล่าวในเรื่องเดียวกันว่า มีข่าวลือและข่าวปล่อยในการปลดผู้ว่าการ ธปท.จริง เพราะไม่ทำตามที่รับปากไว้ แต่ไม่รู้รายละเอียดแน่ชัด และจากการตรวจสอบก็ไม่เห็นท่าทีว่า นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี รองนายกฯ และ รมว.คลัง จะตัดสินใจเช่นนั้น

นายณัฐวุฒิ สัจจพุทธวงค์ นักเศรษฐศาสตร์การเงินอาวุโส กลุ่มบริหารการเงิน ธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวว่า ค่าเงินบาทคงไม่น่าแข็งค่าลงไปถึง 30 บาท/เหรียญสหรัฐ ภายในปีนี้ แม้ค่าเงินบาทยังอยู่ในแนวโน้มแข็งค่าต่อไป แต่น่าจะได้เห็นการแข็งค่าในอัตราที่ชะลอตัวลง คงไม่แข็งค่าเร็วเหมือนช่วง 2-3 วันที่ผ่านมา ที่แข็งค่าขึ้นวันละ 10-20 สต./เหรียญสหรัฐ

อย่างไรก็ดี ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้เข้ามาดูแลค่าเงินบาทอย่างต่อเนื่อง เห็นได้จากทุนสำรองระหว่างประเทศที่เพิ่มขึ้น แต่ค่าเงินบาทหลีกเลี่ยงการแข็งค่าได้ยาก เนื่องจากการอ่อนค่าของเงินเหรียญสหรัฐ อีกทั้งตลาดคาดว่า ในธนาคารกลาง (เฟด) จะปรับ ลดดอกเบี้ยลงอีก 0.25-0.5%

นายเสถียร ตันธนะสฤษดิ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานบริหารธุรกิจตลาดเงิน ธนาคารทหารไทย กล่าวว่า หากเฟดปรับลดดอกเบี้ยลงในการประชุมที่จะมีขึ้นกลางเดือน มี.ค.นี้ ก็จะทำให้ส่วนต่างระหว่างดอกเบี้ยสหรัฐกับดอกเบี้ยในประเทศลดน้อยลงทำให้การลงทุนในประเทศไทยน่าสนใจมากขึ้น ส่งผลให้ค่าเงินบาทจะแข็งค่าขึ้นได้ในระยะต่อไป
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=223688
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news29/02/08

โพสต์ที่ 722

โพสต์

เลี้ยบ ประกาศมาตรการฉุกเฉิน รองรับผลกระทบ 30%

โดย ผู้จัดการออนไลน์
29 กุมภาพันธ์ 2551 19:52 น.
 
 รมว.คลัง ประกาศมาตรการเสริมรองรับทันที หลังแบงก์ชาติประกาศยกเลิก 30% เร่งแปลงหนี้ต่างประเทศ ลดภาระต้นทุน พร้อมหันกู้ในประเทศแทน เชื่อวันจันทร์ที่ 3 มี.ค.นี้ ผลกระทบไม่รุนแรง
     
      วันที่ (29 ก.พ.) นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้ ประกาศมาตรการรองรับผลกระทบสถานการณ์ค่าเงินบาทแข็ง ภายหลังจากที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ประกาศยกเลิกมาตรการสำรอง 30% เงินทุนนำเข้าระยะสั้น เมื่อเวลา 16.00 น.วันนี้ โดยจะมีผลทันที ในวันจันทร์ที่ 3 มี.ค.นี้ โดยมาตรการของกระทรวงการคลังจะเน้นไปที่การลดแรงกดดันค่าเงินบาท และการสนับสนุนให้ออกไปลงทุนต่างประเทศ โดยเฉพาะในส่วนของภาครัฐและรัฐวิสาหกิจ
     
      ทั้งนี้ เพื่อเป็นการรองรับความผันผวนที่อาจจะมีขึ้นจากการปรับตัวในระยะแรกภายหลังจากการยกเลิกมาตรการกันสำรอง 30% และเพื่อเป็นการวางรากฐานในการสร้างความสมดุลระหว่างเงินทุนไหลเข้าและไหลออกให้เป็นไปตามกลไกตลาด กระทรวงการคลังจึงได้เตรียมมาตรการสนับสนุนไว้
     
      โดยในระยะเร่งด่วน กระทรวงการคลังจะประสานร่วมมือกับหน่วยงานต่างๆ เร่งแปลงหนี้ต่างประเทศของรัฐบาลและรัฐวิสาหกิจที่มีอยู่ในปัจจุบันที่เป็นสกุลเงินตราต่างประเทศให้เป็นสกุลเงินบาท (Swap และ Refinancing) ในวงเงินรวมประมาณ 3 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือประมาณ 1 แสนล้านบาท
     
      นพ.สุรพงษ์ กล่าวว่า หลังจากนี้ ไทยต้องชะลอการกู้เงินต่างประเทศ และจะระดมทุนจากแหล่งเงินภายในประเทศเป็นหลัก ด้วยการเพิ่มวงเงินการออกพันธบัตรออมทรัพย์ให้แก่ประชาชนรายย่อยและจัดโควต้าพิเศษสำหรับผู้รับบำนาญ วงเงิน 12,000 ล้านบาท ขณะเดียวกันจะมีการออกพันธบัตรระยะยาวอายุ 30 ปี เพื่อเตรียมการระดมทุนสำหรับการลงทุนในโครงการขนาดใหญ่ (Mega Projects)
     
      หลังจาก พ.ร.บ.การบริหารหนี้สาธารณะมีผลบังคับใช้ กระทรวงการคลังจะเร่งออกพันธบัตรกู้เงินบาทเพื่อระดมเงินจากในประเทศไปลงทุนในตราสารหนี้ต่างประเทศ, ดูแลให้สถาบันการเงินของรัฐบาลขยายการลงทุนในต่างประเทศ และสนับสนุนให้กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) กองทุนประกันสังคม และกองทุนรวมที่รัฐบาลกำกับดูแล นำเงินไปลงทุนในแหล่งที่เหมาะสมในต่างประเทศมากขึ้น
     
      นอกจากนี้ รัฐบาลได้เตรียมปรับปรุงกฎระเบียบต่างๆ และขยายกฎเกณฑ์ต่างๆ ที่จะช่วยส่งเสริมให้สถาบันและบุคคลในประเทศสามารถถือเงินตราต่างประเทศหรือนำเงินไปลงทุนในต่างประเทศได้สะดวกยิ่งขึ้น ซึ่งเป็นการดำเนินการต่อเนื่องจากมาตรการผ่อนคลายการเคลื่อนย้ายเงินทุนที่ได้ประกาศใช้มาก่อนหน้านี้
     
      นพ.สุรพงษ์ กล่าวอีกว่า กระทรวงการคลัง ยังจะมีมาตรการวางรากฐานในการสร้างความสมดุลระหว่างเงินทุนไหลเข้าและไหลออก และมาตรการกระตุ้นและเร่งฟื้นฟูเศรษฐกิจ โดยสนับสนุนให้ภาคเอกชนเร่งลงทุนเพื่อเพิ่มศักยภาพในการผลิตมากขึ้น โดยให้ผู้ลงทุนสามารถหักค่าเสื่อมราคาของสินค้าทุนได้เร็วขึ้น กำกับดูแลการเบิกจ่ายเงินลงทุนในโครงการขนาดใหญ่ (Mega Projects) ของภาครัฐให้เป็นไปตามกำหนดเวลา รวมทั้งช่วยจัดหาแหล่งเงินทุนที่เหมาะสม
     
      ประเด็นสุดท้ายที่สำคัญมาก คือ การเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณของรัฐบาลและรัฐวิสาหกิจให้เป็นไปตามเป้าหมาย และผลักดันให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจผ่านการใช้จ่ายเงินให้เกิดประสิทธิภาพมากขึ้น ใช้กลไกสถาบันการเงินเฉพาะกิจและสถาบันการเงินของรัฐเป็นแหล่งเงินทุนในอัตราดอกเบี้ยที่เหมาะสมเพื่อสนับสนุนการเงินให้แก่ประชาชนในระดับฐานราก และให้แก่ผู้ประกอบการที่ไม่สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนในระบบธนาคารพาณิชย์ได้ตามปกติ
     
      นพ.สุรพงษ์ เชื่อว่า ธปท.จะมีมาตรการรับมือผลกระทบจากการยกเลิกมาตรการสำรอง 30% ตลอดทั้งสัปดาห์หน้า โดยในช่วงสุดสัปดาห์ 2 วันนี้จะพยายามชี้แจงทำความเข้าใจกับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องว่าสิ่งที่คลังและแบงก์ชาติได้ดำเนินการนั้น เป็นไปอย่างรอบคอบ และได้เตรียมการมานานพอสมควรแล้วก่อนที่จะตัดสินใจ ดังนั้น เชื่อว่า วันจันทร์นี้ หลังเปิดทำการแบงก์ชาติจะมีมาตรการเพื่อรองรับกับผลที่จะเกิดขึ้นตลอดสัปดาห์
     
      สำหรับมาตรการที่สำคัญที่จะต้องดำเนินการในช่วงต่อไป คือ การสร้างความเชื่อมั่นให้เกิดขึ้นเพื่อให้เศรษฐกิจเติบโตได้ตามเป้าหมาย ซึ่งในสัปดาห์หน้า กระทรวงการคลังจะเสนอมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี และเชื่อว่า จะทำให้เกิดความมั่นใจและปัญหาผลกระทบการไหลเข้าของเงินดอลลาร์จะหมดไปได้
     
      นายพงษ์ภาณุ เศวตรุนทร์ ผู้อำนวยการสำนักบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) กล่าวว่า กระทรวงการคลังจะเริ่มมาตรการแปลงหนี้ต่างประเทศของรัฐบาลและรัฐวิสาหกิจเป็นเงินบาทตั้งแต่วันจันทร์ที่ 3 มี.ค.เป็นโอกาสดีที่คลังจะได้สวอปหนี้
     
      ส่วนมาตรการระดมเงินกู้ภายในประเทศ ผ่านการออกพันธบัตรออมทรัพย์เพิ่มเติมอีก 1.2 หมื่นล้านบาท จากเดิมกำหนด 6 พันล้านบาท ทำให้ช่วงครึ่งหลังของปีงบประมาณ 51 จะเพิ่มวงเงินการออกพันธบัตรขายจากเดือนละ 500 ล้านบาท เป็น 2,000 ล้านบาท และคาดว่า อัตราดอกเบี้ยน่าจะสูงขึ้นเป็นที่น่าสนใจจากผู้ลงทุน
     
      สำหรับการออกพันธบัตรระยะยาว 30 ปี เพื่อลงทุนโครงการเมกะโปรเจกต์นั้น คาดว่า จะเป็นการออกเพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณก่อน เป็นวงเงินประเดิมก่อน แต่ยังไม่ได้กำหนดวงเงินที่ชัดเจน เนื่องจากโครงการเมกะโปรเจกต์จะเป็นการใช้เงินจริงช่วงปลายปีนี้
http://www.manager.co.th/StockMarket/Vi ... 0000025435
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news29/02/08

โพสต์ที่ 723

โพสต์

ส่งออกผวาบาทแข็งหนัก นัดถกด่วน-เตรียมความพร้อมรับสถานการณ์

โดย ผู้จัดการออนไลน์
29 กุมภาพันธ์ 2551 19:52 น.
 
      กลุ่มผู้ส่งออกเรียกประชุมด่วนทันที เพื่อประเมินสถานการณ์ และความพร้อมรับมือผลกระทบ หลังแบงก์ชาติยกเลิกมาตรการกันสำรอง 30% กังวลตัวเลขไตรมาส 2 ทรุดฮวบ
     
      วันนี้ (29 ก.พ.) นายพจน์ อร่ามวัฒนานนท์ นายกสมาคมแช่เยือกแข็งไทย กล่าวว่า เตรียมประชุมด่วนเพื่อประเมินผลกระทบหลัง ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ประกาศยกเลิกมาตรการกันสำรองเงินทุนต่างประเทศ 30% ระยะสั้น ซึ่งเบื้องต้นมองว่า หากเงินบาทแข็งค่ามากจะกระทบถึงเกษตรกร เพราะผู้ส่งออกต้องลดราคารับซื้อสินค้าเกษตรลง ทำให้เกษตรกรมีรายได้ลดลงตามไปด้วย
     
      นอกจากนี้ สถานการณ์ค่าบาทที่ผันผวนทำให้การเสนอราคาทำได้ยาก เพราะไม่สามารถกำหนดราคาที่เหมาะสมได้ หากกำหนดราคาต่ำไปเมื่อเงินบาทแข็งค่าก็จะทำให้ผู้ส่งออกขาดทุน ซึ่งปัจจุบันผู้ประกอบการได้ปรับตัวรับมือกับค่าเงินบาทในระดับ 33-34 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ ด้วยการลดต้นทุนการผลิต เพิ่มมูลค่าสินค้า แต่หากเงินบาทแข็งค่าและผันผวนต่อเนื่องเช่นนี้จะทำให้การส่งออกได้รับผลกระทบ โดยเฉพาะกลุ่มสินค้าที่ใช้วัตถุดิบในประเทศสูง
     
      ขณะที่ นายชูเกียรติ โอภาสวงศ์ นายกสมาคมผู้ส่งข้าวออกต่างประเทศ กล่าวว่า สิ่งที่เกิดขึ้นหลังยกเลิกมาตรการกันสำรอง 30% มีความน่าเป็นห่วงมาก หาก ธปท.ไม่มีมาตรการอื่นมารองรับ เพราะจะทำให้ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้น จากการที่เงินทุนต่างประเทศไหลเข้าไทยจำนวนมาก เพราะดอกเบี้ยของไทยยังมีความจูงใจ ซึ่งอาจเห็นค่าเงินบาทอยู่ที่ระดับ 30 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ และจะทำให้การส่งออกข้าวต้องเผชิญกับความยากลำบากจนทำให้ยอดส่งออกลดลงในไตรมาส 2 ปีนี้
http://www.manager.co.th/Business/ViewN ... 0000025412
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news29/02/08

โพสต์ที่ 724

โพสต์

Trading Hour  

นักวิเคราะห์เชื่อยกเลิกมาตรการกันสำรอง 30% มีโอกาสเห็นหุ้นไทยยืนอยู่ที่ 890- 925 จุด
Posted on Friday, February 29, 2008
นางธาริษา วัฒนเกส ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้ประกาศยกเลิกมาตรการสำรอง 30% เงินทุนนำเข้าระยะสั้น มีผลตั้งแต่วันที่ 3 มีนาคมนี้ เนื่องจากสถานการณ์แวดล้อมต่าง ๆ เอื้ออำนวยแล้ว พร้อมทั้งได้มาตรการต่าง ๆ รองรับสถานการณ์ ทั้งมาตรการสกัดการเก็งกำไรและมาตรการชั่วคราวเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการรายย่อย

โดยยืนยันว่าการยกเลิกมาตรการดังกล่าวไม่ได้มีแรงกดดันจากฝ่ายการเมือง แต่จะส่งผลดีต่อตลาดหุ้น และในวันจันทร์นี้ก็จะเรียกธนาคารพาณิชย์มาชี้แจงเกี่ยวกับการยกเลิกมาตรการ และการดำเนินเกี่ยวกับเงินที่กันสำรอง โดยเงินที่กันสำรองอยู่กับธนาคารพาณิชย์สามารถคืนให้นักลงทุนได้ทันที แต่เงินที่กันสำรองไว้ที่แบงก์ชาติจะคืนภายใน 7 วัน

ผู้ว่าการแบงก์ชาติระบุด้วยว่า แบงก์ชาติจะมีมาตรการรองรับการบริหารจัดการการไหลเข้า-ออกของเงินทุนหลังจากที่ได้มีการยกเลิกมาตรการ รวมทั้งออกมาตรการติดตามข้อมูลและป้องกันการเก็งกำไรค่าเงิน ได้แก่ การส่งเสริมการลงทุนในหลักทรัพย์ต่างประเทศ โดยเพิ่มวงเงินเป็นจำนวน 3 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ให้สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และหลักทรัพย์หรือ ก.ล.ต. เพื่อจัดสรรให้กับบริษัทหลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์จัดการลงทุน รวมทั้งบุคคลธรรมดาที่ลงทุนผ่านกองทุนส่วนบุคคลหรือผ่านบริษัทหลักทรัพย์ในการลงทุนในหลักทรัพย์ต่างประเทศ

รวมทั้งยังปรับปรุงมาตรการป้องปราบการเก็งกำไรค่าเงินบาทที่สำคัญ ได้แก่ ปรับเกณฑ์การกู้ยืมเงินบาทของสถาบันการเงินในประเทศจากผู้มีถิ่นฐานนอกประเทศ โดยลดวงเงินกู้ยืมโดยไม่มีธุรกรรมรองรับทุกอายุสัญญาให้มียอดคงค้างแต่ละสถาบันการเงินไม่เกิน 10 ล้านบาทต่อกลุ่มผู้มีถิ่นฐานนอกประเทศ เพื่อจำกัดช่องทางการเก็งกำไร

การปรับเกณฑ์การจำกัดการปล่อยสภาพคล่องเงินบาทของสถาบันการเงินในประเทศแก่ผู้มีถิ่นฐานนอกประเทศ โดยไม่มีธุรกรรมรองรับ ให้มียอดคงค้างแต่ละธนาคารไม่เกิน 300 ล้านบาทต่อกลุ่มผู้มีถิ่นฐานนอกประเทศเพื่อเพิ่มความต้องการซื้อเงินตราต่างประเทศ

ทั้งนี้ยังได้ปรับปรุงโครงสร้างบัญชีผู้มีถิ่นฐานนอกประเทศ โดยแยกประเภทบัญชีเงินบาทออกเป็นบัญชีเพื่อการลงทุนในหลักทรัพย์และตราสารทางการเงินอื่น และบัญชีเพื่อวัตถุประสงค์อื่น เพื่อประโยชน์ในการติดตามการไหลเข้า-ออกของเงินทุน โดยเงินบาทในแต่ละประเภทบัญชีสามารถโอนระหว่างประเภทบัญชีเดียวกันได้ แต่ห้ามโอนข้ามประเภทบัญชี

นางธาริษาบอกด้วยว่า แบงก์ชาติยังมีมาตรการชั่วคราว เพื่อสนับสนุนการปรับตัวและเพิ่มประสิทธิภาพการผลิของผู้ประกอบการรายย่อยหรือ SME โดยจัดโครงการเพิ่มประสิทธิภาพ 3 ปี ด้วยการให้สินเชื่อดอกเบี้ยผ่อนปรนผ่านสถาบันการเงินรวม 4 หมื่นล้านบาท และจัดโครงการรับซื้อต่อเงินตราต่างประเทศล่วงหน้าที่ผู้ประกอบการรายย่อยขายผ่านสถาบันการเงิน เป็นเวลา 6 เดือน

นายอดิพงษ์ ภัทรวิกรม ผู้อำนวยการฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ไทยพาณิชย์ กล่าวในรายการ Trading Hour ว่า การยกเลิกมาตรการกันสำรอง 30% ในครั้งนี้ถือเป็นข่าวดี และน่าจะทำให้ดัชนีตลาดหุ้นไทยในสัปดาห์หน้าเพิ่มขึ้นได้ถึง 10 จุด โดยคาดว่า แนวต้านจะอยู่ที่ 850-860 จุด และตลาดน่าจะตอบรับในเชิงบวกต่อไป และดัชนีตลาดหุ้นไทยในเดือนมีนาคมน่าจะขึ้นไปได้ถึง 890 จุด แต่ถ้าปัจจัยภายนอกประเทศเอื้ออำนวยก็น่าจะไปได้ไกลถึง 925 จุด

ทั้งนี้ การดำเนินนโยบายของรัฐบาลชุดใหม่สะท้อนให้เห็นถึงความพยายามที่จะให้ความสำคัญกับเณษฐกิจ ตลาดทุน และการใช้จ่ายของภาคเอกชน แม้ว่าจะมีข่าวเรื่องการปลดข้าราชการประจำออกมาเป็นระยะ แต่อย่างไรก็ตามเชื่อว่าจากนี้ไปจะทยอยมีข่าวดีออกมา โดยในการประชุมคณะรัฐมนตรีในสัปดาห์หน้า จะมีการพิจารณาเรื่องการต่ออายุมาตรการการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีแก่บริษัทที่เข้ามาระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ (IPO) และการพิจารณาเรื่องภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT)

นายชัยพร น้อมพิทักษ์เจริญ ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการ สายงานวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์บัวหลวง บอกว่า การยกเลิกมาตราการ 30% จะส่งผลดี ทำให้มีเม็ดเงินไหลเข้ามาลงทุนในประเทศไทยมากขึ้น เนื่องจากมาตราการดังกล่าวเป็นเรื่องที่ต่างชาติให้ความสำคัญมาก ส่วนค่าเงินบาทในประเทศจะมีแนวโน้มแข็งค่าต่อเนื่อง แต่เชื่อว่า แบงก์ชาติมีมาตรการในการป้องกันอยู่แล้ว

ผู้บริหารหลักทรัพย์บัวหลวงมองว่า ดัชนีหุ้นไทยในสัปดาห์หน้า จะผ่านแนวต้านสำคัญที่ 850 จุดไปได้ หลังจากที่วันนี้ ดัชนีปิดที่ระดับ 845.76 จุด ปรับเพิ่มขึ้น 3.64 จุด หรือ 0.43% ด้วยมูลค่าการซื้อขายทั้งสิ้น 24,572 ล้านบาท เนื่องจากหุ้นไทยขณะนี้ ยังถือว่าถูกกว่าภูมิภาค โดยจะมีแรงซื้อเข้ามามากในหุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ ที่มีการออกกองทุนอสังหา เนื่องจากก่อนหน้านี้ติดเกณฑ์ 30%

นายปกรณ์ มาลากุล ณ อยุธยา ประธานกรรมการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เชื่อว่า หลังจากที่แบงก์ชาติประกาศยกเลิก มาตรการกันสำรอง 30% น่าจะส่งผลดีต่อตลาดหุ้นไทย ในแง่ความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่น่าจะ กลับมาเช่นเดิม แต่ตลาดตราสารหนี้น่าจะได้รับผลดีมากกว่าตลาดหุ้น เพราะตลาดหุ้นได้รับการ ยกเว้นมาตรการกันสำรอง 30% อยู่แล้ว แต่ตลาดตราสารหนี้ยังใช้มาตรการดังกล่าวอยู่ หลังจากนี้ จึงน่าจะมีเงินไหลเข้ามาตลาดตราสารหนี้มากขึ้น ทำให้ปริมาณการซื้อขายเพิ่มขึ้นด้วย

ม.ล.ทองมกุฎ ทองใหญ่ นายกสมาคมโบรกเกอร์ต่างชาติคนใหม่บอกว่า การประกาศยกเลิกมาตรการสำรอง 30% ถือเป็นข่าวดีมากสำหรับตลาดหุ้นไทยและนักลงทุนต่างชาติ เพราะต่างก็รอคอยมานานแล้ว โดยเชื่อว่า จะทำให้ต่างชาติเอาเม็ดเงินเข้ามาลงทุนในตลาดไทยได้ง่ายขึ้น และน่าจะมีเงินทุนไหลเข้ามากด้วย แต่สิ่งที่ยังวิตกเป็นเรื่องของค่าเงินบาท อาจจะแข็งค่าขึ้นอีก ซึ่งทางการคงจะต้องมีมาตรการรองรับ เพื่อให้การแข็งค่าของเงินบาทไม่ได้แข็งค่าเกินไป กว่าค่าเงินของประเทศอื่นในภูมิภาคจนผิดปกติ แต่การแข็งค่าของเงินบาทก็ไม่ได้เป็นผลเสียทีเดียว ยังมีผลดีในแง่ของการช่วยลดเรื่องอัตราเงินเฟ้อให้น้อยลง ภายหลังจากที่ตัวเลขเงินเฟ้อเร่งตัวขึ้นมา ตามราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่เพิ่มขึ้นมาก

นอกจากนี้ ยังเชื่อว่าการเทรดอัตราแลกเปลี่ยนค่าเงินบาทบนกระดาน on-shore จากนี้ไปคงจะมีระดับใกล้ ๆ กันกับกระดาน off-shore หรือเรียกได้ว่าเป็นกระดานเดียวกันก็ได้ หลังจากที่มีการยกเลิกมาตรการสำรอง 30% โดยปัจจุบันมีส่วนห่างกันแค่ 1 บาทเท่านั้น

ธนาคารแห่งประเทศไทยได้ประกาศใช้มาตรการกันสำรอง 30% ตั้งแต่วันที่ 18 ธันวาคม 2549 โดยกำหนดให้สถาบันการเงินที่ทำธุรกรรมกับต่างชาติและต้องรับซื้อหรือแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศเป็นเงินบาท ต้องกันเงินสำรองเป็นเงินตราต่างประเทศไว้จำนวนร้อยละ 30 ของเงินตราต่างประเทศ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อป้องกันการเข้ามาเก็งกำไรค่าเงินบาท ของเงินทุนระยะสั้น และการประกาศใช้มาตรการดังกล่าวมีผลให้ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ร่วงลงกว่า 100 จุดในวันทำการถัดมา ก่อนจะมีการผ่อนคลายมาตรการออกมาเป็นระยะ และมีการประกาศยกเลิกอย่างเป็นทางการในที่สุด
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Tra ... fault.aspx
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news01/03/08

โพสต์ที่ 725

โพสต์

คลังรีดรัฐวิสาหกิจแสนล.

โพสต์ทูเดย์ คลังตั้งเป้ารีดรัฐวิสาหกิจส่งรายได้ให้รัฐ 9.8 หมื่นล้านบาท


นายอารีพงศ์ ภู่ชอุ่ม ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) กล่าวว่า ในปี 2551 สคร.ตั้งเป้าให้รัฐวิสาหกิจนำส่งรายได้ให้รัฐจำนวน 9.86 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2550 ถึง 2.6 หมื่นล้านบาท

นายอารีพงศ์ กล่าวว่า รายได้และการลงทุนของรัฐวิสาหกิจในปีนี้ จะเป็นส่วนสำคัญต่อการพัฒนาประเทศ และการฟื้นฟูเศรษฐกิจ

ล่าสุดในเดือน ม.ค. 2551 รัฐวิสาหกิจนำส่งรายได้ต่ำกว่าเป้าหมายถึง 1,487 ล้านบาท หรือต่ำกว่าเป้า 24.7% ขณะที่ภาพรวม 4 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2551 รัฐวิสาหกิจนำส่งรายได้รวม 34,279 ล้านบาท ต่ำกว่าประมาณการถึง 4,197 ล้านบาท คิดเป็น 10.9% โดยเป็นผลมาจากรัฐวิสาหกิจ บางแห่งยังไม่ได้นำส่งรายได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ โดยเฉพาะรัฐวิสาหกิจ 2 แห่ง ที่ได้มีการเปลี่ยนจากการนำส่งรายได้ในรูปภาษีสรรพสามิตกิจการโทรคมนาคม มาเป็นนำส่งในรูปเงินปันผลให้กับกระทรวงการคลัง คือ บริษัท ทีโอที และบริษัท กสท โทรคมนาคม

ทั้งนี้ เพื่อรองรับมาตรการดังกล่าว สคร.ได้วางเป้าหมายการพัฒนาและเพิ่มศักยภาพในด้านต่างๆ แก่รัฐวิสาหกิจให้มากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะรัฐวิสาหกิจสาขาเกษตร เช่น องค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย (อ.ส.ค.) องค์การตลาดเพื่อการเกษตร (อตก.) และองค์การสะพานปลา (อสป.) เนื่องจากเป็นกลุ่มรัฐวิสาหกิจที่สามารถสร้างรายได้
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=223914
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news01/03/08

โพสต์ที่ 726

โพสต์

คาดค่าเงินสัปดาห์หน้าเฉียดแตะ31บาท/ดอลล์ หลังยกเลิกสำรอง30%

1 มีนาคม พ.ศ. 2551 11:28:00
 
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดแนวโน้มค่าเงินบาทสัปดาห์หน้ามีโอกาสแข็งค่าแตะ 31.30 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ หลังยกเลิกมาตรการกันสำรอง 30% มีผลจันทร์ที่ 3 มี.ค. ขณะที่เงินบาทสัปดาห์นี้ทุบสถิติแข็งค่าในรอบ 10 ปีครั้งใหม่ แตะ31.45 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ

กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ :
บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด รายงานว่า ในสัปดาห์ที่ผ่านมา เงินบาทในประเทศ (Onshore) แข็งค่าทะลุระดับ 32.00 และ 31.50 บาทต่อดอลลาร์ฯ หลัง ธนาคารแห่งประเทศไทยประกาศยกเลิกมาตรการกันสำรอง 30% ของเงินทุนนำเข้าระยะสั้น ทั้งนี้ ตลอดทั้งสัปดาห์ เงินบาทปรับตัวในทิศทางที่แข็งค่าขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยได้รับแรงหนุนจากแรงเทขายเงินดอลลาร์ฯ อย่างหนักของผู้ส่งออก ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลกระทบทางจิตวิทยาจากกระแสการคาดการณ์เกี่ยวกับการประกาศยกเลิกมาตรการกันสำรอง 30%

นอกจากนี้ การแข็งค่าของเงินบาทยังเป็นไปในทิศทางเดียวกับเงินเยนและสกุลเงินอื่นๆ ในภูมิภาคด้วย เนื่องจากเงินดอลลาร์ฯ เผชิญแรงเทขายอย่างหนักจากความกังวลต่อภาวะเศรษฐกิจถดถอยในสหรัฐฯ และแนวโน้มการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของเฟด

สำหรับในวันศุกร์ เงินบาทในประเทศทะยานขึ้นอย่างแข็งแกร่งสู่ระดับประมาณ 31.45 เทียบกับระดับ 32.28 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในวันศุกร์ก่อนหน้า (22 กุมภาพันธ์) หลังธปท.สร้างความประหลาดใจให้กับตลาดการเงินด้วยการประกาศยกเลิกมาตรการกันสำรอง 30% ของเงินทุนนำเข้าระยะสั้น โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 3 มีนาคม 2551

ในสัปดาห์นี้ (3-7 มีนาคม 2551) คงจะมีการทยอยไหลกลับของสภาพคล่องเข้าสู่ระบบการเงินหลังสิ้นเดือน และเงินบาทในประเทศอาจมีกรอบการเคลื่อนไหวที่ 31.30-31.55 บาทต่อดอลลาร์ฯ โดยปัจจัยที่ควรจับตา ได้แก่ การปรับตัวของตลาด จากการยกเลิกการกันสำรอง ตลอดจนทิศทางของเงินดอลลาร์ฯ ซึ่งจะขึ้นกับตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่สำคัญ ประกอบด้วย ข้อมูลตลาดแรงงาน และดัชนี ISM ภาคการผลิตและภาคบริการเดือนกุมภาพันธ์ ยอดสั่งซื้อสินค้าโรงงาน และค่าใช้จ่ายด้านการก่อสร้างเดือนมกราคม รายงานสรุปภาวะเศรษฐกิจหรือ Beige Book ของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด )ตลอดจนข้อมูลประสิทธิภาพการผลิตและต้นทุนแรงงานต่อหน่วย (ปรับทบทวน) ประจำไตรมาส 4/2550

สัปดาห์ที่ผ่านมา เงินเยนแข็งค่าขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบ 3 ปีเทียบกับเงินดอลลาร์ฯ จากความกังวลเกี่ยวกับแนวโน้มที่อ่อนแอของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ซึ่งสนับสนุนการคาดการณ์การปรับลดอัตราดอกเบี้ยของเฟด และยังถูกกดดันหลังจากนายเบน เบอร์นันเก้ ประธานเฟด กล่าวเตือนว่า ธนาคารขนาดเล็กของสหรัฐฯ อาจประสบกับภาวะล้มละลายจากภาวะตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่ประสบปัญหา

โดยวันศุกร์ เงินเยนปรับตัวอยู่ที่ระดับประมาณ 104.12 (ตลาดยุโรป) เทียบกับระดับ 107.23 เยนต่อดอลลาร์ฯ ในวันศุกร์ก่อนหน้า (22 กุมภาพันธ์) ส่วน เงินยูโรปรับตัวอยู่ที่ระดับประมาณ 1.5184 (ตลาดยุโรป) เทียบกับระดับ 1.4830 ดอลลาร์ฯ ต่อยูโร ในวันศุกร์ก่อนหน้า (22 กุมภาพันธ์)
http://www.bangkokbiznews.com/2008/03/0 ... sid=234832
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news03/03/08

โพสต์ที่ 727

โพสต์

KBANK ยืนยัน อุตสาหกรรมการเกษตร เกษตรแปรรูป และสิ่งทอได้รับผลกระทบจากค่าเงินบาทแข็งมากที่สุด

Posted on Monday, March 03, 2008

ฝ่ายวิเคราะห์ความเสี่ยง บมจ.ธนาคารกสิกรไทย (KBANK) ได้ออกรายงานเบื้องต้น วิเคราะห์ผลกระทบจากการที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้ประกาศยกเลิกมาตรการกันสำรองเงินทุนไหลเข้าในระยะสั้น ในอัตรา 30% มีผลวันนี้วันแรก สรุปได้ว่า

หลังจากที่ ธปท.ประกาศใช้มาตรการดังกล่าว ตั้งแต่วันที่ 18 ธันวาคม 2549 เป็นต้นมา เพื่อชะลอเงินทุนนำเข้าระยะสั้น และลดการเก็งกำไรค่าเงิน ซึ่งจะเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ค่าเงินบาทมีความผันผวน และอาจนำไปสู่ปัญหาเสถียรภาพเศรษฐกิจในวงกว้าง โดยเฉพาะในช่วงที่อุปสงค์ในประเทศอ่อนแรง อย่างไรก็ตาม ธปท. ตระหนักว่า มาตรการดังกล่าวมีผลต่อต้นทุนทางการเงินของภาคธุรกิจที่จำเป็นต้องระดมเงินทุนจากต่างประเทศ จึงได้มีการผ่อนคลายการบังคับใช้มาตรการมาเป็นลำดับ และได้สื่อสารมาโดยตลอดถึงความตั้งใจที่จะใช้มาตรการนี้เป็นการชั่วคราว และจะยกเลิกเมื่อสถานการณ์เหมาะสม ธปท. ซึ่งเห็นว่าขณะนี้สถานะการณ์เหมาะสมที่จะยกเลิกการใช้มาตรการดำรงเงินสำรองเงินนำเข้าระยะสั้นนี้ได้

สำหรับเหตุผลในการยกเลิกมาตรการสำรองเงินทุนไหลเข้า ในอัตรา 30% เกิดจากเหตุผล 5 ประการ ดังนี้

1) ข้อมูลเศรษฐกิจของไตรมาสที่ 4 ปี 2550 และเดือนมกราคม 2551 ชี้ให้เห็นว่า อุปสงค์ในประเทศฟื้นตัวขึ้นอย่างชัดเจน และการส่งออกที่ผ่านมาขยายตัวในเกณฑ์สูง ประกอบกับแผนกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมของรัฐบาลจะช่วยเสริมสร้างความเชื่อมั่นให้กับภาคเอกชนและสนับสนุนการฟื้นตัวของอุปสงค์ในประเทศอย่างต่อเนื่อง

2) ปริมาณเงินตราต่างประเทศเข้า-ออกมีความสมดุลมากขึ้น จากการเกินดุลการค้าเริ่มชะลอตัวลงในเดือนมกราคม 2551 ประกอบกับปริมาณเงินลงทุนของไทยในต่างประเทศได้ปรับสูงขึ้นตามการผ่อนคลายข้อจำกัดด้านการลงทุนในต่างประเทศ รวมทั้งการอนุญาตให้บุคคลในประเทศ ฝากเงินตราต่างประเทศที่ธนาคารพาณิชย์ได้เพิ่มขึ้น ซึ่งมีผลเมื่อต้นเดือนกุมภาพันธ์ 2551

3) ภาคการผลิตและการส่งออกได้ปรับตัวรองรับการเปลี่ยนแปลงค่าเงินได้ดีขึ้นจากการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนที่เพิ่มขึ้นมาก รวมทั้งได้มีการปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต การจัดการ และการกระจายตลาด

4) ธปท. มีเครื่องมือมากขึ้นในการดูแลสภาพคล่องและค่าเงิน ภายใต้พระราชบัญญัติธนาคารแห่งประเทศไทยฉบับใหม่ นอกจากนี้ แผนของกระทรวงการคลังในการปรับปรุงโครงสร้างและบริหารหนี้สาธารณะ รวมถึงการใช้ประโยชน์จากพระราชบัญญัติหนี้สาธารณะ ที่จะมีผลบังคับใช้ในเร็ว ๆ นี้ จะช่วยเพิ่มความสมดุลของเงินทุนเคลื่อนย้าย

5) ในระยะหลังนี้ มีการคาดการณ์กันอย่างกว้างขวางว่าจะมีการยกเลิกมาตรการดำรงเงินสำรองเงินนำเข้าระยะสั้น ทำให้ผู้เกี่ยวข้องต่าง ๆ ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมไปตามการคาดการณ์ดังกล่าวจนทำให้ประสิทธิผลของมาตรการลดลงตามลำดับ

แต่กระนั้น การดีดตัวของค่าเงินบาทรับการยกิลกมาตรการข้างต้น ทำให้ ธปท. จำเป็นต้องออกมาตรการรองรับ ด้วยการ

1) สนับสนุนการลงทุนในหลักทรัพย์ต่างประเทศเพิ่มขึ้น โดยเพิ่มวงเงินให้สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ( กลต.) เป็น 30 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อจัดสรรให้บริษัทหลักทรัพย์ และบริษัทจัดการกองทุน รวมทั้ง บุคคลธรรมดา (ลงทุนผ่านกองทุนส่วนบุคคล หรือผ่านบริษัทหลักทรัพย์) ในการลงทุนในหลักทรัพย์ต่างประเทศ

2) ปรับปรุงมาตรการป้องปรามการเก็งกำไรค่าเงินบาทที่สำคัญ คือ

2.1 ปรับหลักเกณฑ์การกู้ยืมเงินบาทของสถาบันการเงินในประเทศจากผู้มีถิ่นที่อยู่นอกประเทศ โดยลดวงเงินที่สถาบันการเงินในประเทศสามารถกู้ยืมเงินบาทจากผู้มีถิ่นที่อยู่นอกประเทศ โดย ไม่มีธุรกรรมรองรับ (underlying) ทุกอายุสัญญาโดยมียอดคงค้างแต่ละสถาบันการเงินไม่เกิน 10 ล้านบาทต่อกลุ่มผู้มีถิ่นที่อยู่นอกประเทศ เพื่อจำกัดช่อง ทางการเก็งกำไร

2.2 ปรับหลักเกณฑ์การจำกัดการปล่อยสภาพคล่องเงินบาทของสถาบันการเงินในประเทศให้แก่ผู้มีถิ่นที่อยู่นอกประเทศ โดยให้สถาบันการเงินในประเทศปล่อยสภาพคล่องเงินบาทแก่ผู้มีถิ่นที่ อยู่นอกประเทศที่ไม่มีธุรกรรมรองรับ (underlying) โดยมียอดคงค้างแต่ละธนาคารไม่เกิน 300 ล้านบาทต่อกลุ่มผู้มีถิ่นที่อยู่นอกประเทศ เพื่อเพิ่มความต้องการซื้อเงินตราต่างประเทศ

3) ปรับปรุงโครงสร้างบัญชีเงินบาทของผู้มีถิ่นที่อยู่นอกประเทศ โดยแยกประเภทบัญชีเงินบาทออกเป็นบัญชีเพื่อการลงทุนในหลักทรัพย์และตราสารทางการเงินอื่น (Non-resident Baht Account for Securities: NRBS) และบัญชีเพื่อวัตถุประสงค์อื่น (Non-resident Baht Account: NRBA) เพื่อประโยชน์ในการติดตามการไหลเข้าออกของเงินทุน ทั้งนี้ เงินบาทในแต่ละประเภทบัญชีสามารถโอนระหว่างบัญชีประเภทเดียวกันได้ แต่ไม่ให้โอนข้ามประเภทบัญชี

4) เพื่อสนับสนุนการปรับตัว และเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตของผู้ประกอบการรายย่อย (SMEs) ธปท. จึงจัดให้มีโครงการสนับสนุนเป็นการชั่วคราว ดังนี้

4.1 โครงการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตของผู้ประกอบการรายย่อยระยะเวลา 3 ปี โดยการให้สินเชื่อดอกเบี้ยผ่อนปรน ผ่านสถาบันการเงินในวงเงินรวม 40,000 ล้านบาท

4.2 โครงการรับซื้อต่อเงินตราต่างประเทศล่วงหน้าที่ผู้ประกอบการรายย่อยขายผ่านสถาบันการเงิน เป็นเวลา 6 เดือน โดย ธปท. เชื่อมั่นว่า มาตรการต่างๆ ข้างต้นภายใต้การดำเนินนโยบายอัตราแลกเปลี่ยนลอยตัวแบบจัดการ (Managed Float) ที่ใช้ในปัจจุบัน จะสามารถดูแลค่าเงินบาทให้เคลื่อนไหวสอดคล้องกับปัจจัยพื้นฐานเศรษฐกิจและไม่ผันผวนจนเกินไปได้

ดังนั้น เมื่อนำผลศึกษาจากมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ซึ่งสรุปว่า หากค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้น 1 บาท ต่อ 1 ดอลลาร์สหรัฐ จะส่งผลให้ผู้ส่งออกมีรายได้ลดลง 3.1% และผู้นำเข้าจะได้รับประโยชน์จากรายได้ที่เพิ่มขึ้น 0.7% โดยนำมาวิเคราะห์ต่อ โดยใช้ผลประกอบการของผู้ประกอบการในตลาดหลักทรัพย์ จะได้ข้อสรุปว่า อุตสาหกรรมที่จะได้รับผลกระทบมากจนอัตราการทำกำไรติดลบในปีนี้ หากค่าเงินแข็งค่าขึ้นเป็น 32.02 บาท ต่อ 1 ดอลลาร์สหรัฐ ประกอบไปด้วย อุตสาหกรรมการเกษตร เกษตรแปรรูป และสิ่งทอ แต่หากค่าเงินแข็งค่าขึ้นเป็น 31.02 บาท ต่อ 1ดอลลาร์สหรัฐ อุตสาหกรรมในกลุ่มอิเล็กทรอกนิกส์ จะเริ่มมีกำไรติดลบ

สำหรับผลกระทบที่จะเกิดกับ KBANK หากพิจารณาลูกค้าในกลุ่มอุตสาหกรรมส่งออกของธนาคารที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบปัจจุบันมีสัดส่วนสินเชื่ออยู่ประมาณ 11% หรือ ประมาณ 64,000 ล้านบาท คาดว่าอุตสาหกรรมที่จะได้รับผลกระทบค่อนข้างมาก มีอยู่ประมาณ 10% ของสินเชื่อทั้งหมด หรือ ประมาณ 56,000 ล้านบาทเท่านั้น

มันนี่ ชาเนล - วรนนท์ อัศวพิริยานนท์  
http://www.moneychannel.co.th/BreakingN ... fault.aspx
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news03/03/08

โพสต์ที่ 728

โพสต์

ASP+AYS+DBSV เชื่อ สัปดาห์นี้หุ้นไทยมีโอกาสไต่ขึ้นไปแตะ 850-860 จุด แต่ลงทุนได้แค่รายกลุ่ม

Posted on Monday, March 03, 2008

ฝ่ายวิจัย บมจ.หลักทรัพย์ เอเซีย พลัส (ASP) ได้ออกบทวิเคราะห์ล่าสุด แนะนำกลยุทธ์การลงทุนในเดือนนี้ สรุปสาระสำคัญได้ว่า จากแนวทางนโยบายรัฐบาล ที่ต้องการมุ่งเน้นกระตุ้นเศรษฐกิจและการบริโภคในประเทศให้กลับมาฟื้นตัว ทำให้มีการผลักดันนโยบายออกมาในหลายด้าน สรุปได้ดังนี้

ประการแรก การเร่งสร้างได้เข้าสู่ประเทศด้วยการประกาศให้ปี 2551 ? 2552 เป็นปีแห่งการท่องเที่ยว เพื่อเป้าหมายรายได้สู่ระดับ 8 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้นจากฐานรายได้ท่องเที่ยวปี 2550 สูงถึง 46% ดังนั้น แนะนำซื้อสะสมหุ้นกลุ่มธุรกิจโรงแรม โดยมี Top picks 2 ราย คือ MINT([email protected]), ERAWAN([email protected])

ประการที่สอง ความก้าวหน้าในการดำเนินการผลักดันโครงการรถไฟฟ้า 9 สาย โดยภายในปี 2551 นี้ ภาครัฐจะเร่งดำเนินการก่อสร้างสายสีม่วง (บางซื่อ - บางใหญ่ - บางไทร) ด้วยวงเงินกู้ 1.8 หมื่นล้านบาท จากธนาคารเพื่อความร่วมมือระหว่างประเทศ (เจบิค) อัตราดอกเบี้ย 1.4% ซึ่งคาดว่าจะสามารถเซ็นสัญญาเงินกู้ได้ในราวปลายเดือนมีนาคมนี้ จึงแนะนำซื้อสะสมกลุ่มผู้รับเหมาก่อสร้าง โดย Top picks ได้แก่ CK([email protected]), SEAFCO([email protected])

ประการที่สาม นโยบายเพิ่มกำลังซื้อของประชาชน ผ่านมาตรการทางด้านภาษี เช่น การคงอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มไว้ที่ระดับ 7% ต่อไปอีก 2 ปี, การยกเว้นการคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาที่มีรายได้สุทธิไม่เกินเดือนละ 2 หมื่นบาท เพิ่มจากเดิมเดือนละ 1.6 หมื่นบาท และการเพิ่มค่าลดหย่อนค่าใช้จ่ายทั้งจากการลงทุนในกองทุน RMF และการทำประกันชีวิต รวมถึงการเลี้ยงดูบุพการีด้วย จึงแนะนำ " ซื้อสะสม " หุ้นกลุ่มบันเทิง โดยเฉพาะ BEC([email protected]), MCOT([email protected]) และกลุ่มค้าปลีก BIGC([email protected]), MAKRO(FV@B113)

และแนวทางของภาครัฐที่ต้องการเร่งการลงทุนในโครงการระบบขนส่งและรถไฟฟ้า ทำให้กลุ่มผู้ประกอบการที่มี Land blank หรือ เตรียมขยายการพัฒนาที่อยู่อาศัยตามแนวเส้นทางรถไฟฟ้าทั้งลอยฟ้า และใต้ดิน จะได้รับปัจจัยบวกจากการดำเนินการดังกล่าวด้วย ในขณะที่ทิศทางอัตราดอกเบี้ยในประเทศนั้น ยังทรงอยู่ในระดับต่ำ และมีความเป็นไปได้ที่จะเห็นการปรับลดอัตราดอกเบี้ยอ้างอิงลงอีกในช่วงครึ่งปีหลัง รวมถึงความเป็นไปได้ต่อการนำมาตรการภาษีและค่าโอน สำหรับภาคอสังหาริมทรัพย์ มาใช้เพื่อกระตุ้นอุตสาหกรรมอสังหารนิมทรัพย์ให้ฟื้นตัวด้วยนั้น น่าจะเป็นปัจจัยกระตุ้นความสนใจของผู้บริโภคต่อการมองหาที่อยู่อาศัยได้
จากปัจจัยดังกล่าว แนะนำ " ซื้อสะสม " ในหุ้น PS([email protected]), QH([email protected]), AP([email protected]) และ LPN([email protected])

อย่างไรก็ตาม การที่ในสัปดาห์นี้ ตลาดหุ้นต่างประเทศจะยังเคลื่อนไหวในกรอบแคบถึงอ่อนตัวลง เพื่อรอดูความชัดเจนของทิศทางอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสำคัญของโลก โดยเฉพาะ การประชุมธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) ธนาคารกลางยุโรป (ECB) และธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ในระหว่างวันที่ 5 - 7 มีนาคมนี้ โดยในเบื้องต้น ASP คาดว่า BOE จะมีการลดดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% ไปที่ระดับ 5.0% ขณะที่ ECB และ BOJ น่าจะคงดอกเบี้ยนโยบายในระดับเดิม ที่ 4.0% และ 0.5% ตามลำดับ เพื่อรอดูความชัดเจนของการดำเนินนโยบายปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐ (FOMC) โดยเฉพาะตัวดอกเบี้ยระยะสั้น (Fed Funds) ที่น่าจะมีการปรับลดลงอีกไม่ต่ำกว่า 0.5% มายืนบริเวณ 2.5%สำหรับการประชุมในวันที่ 18 มีนาคมนี้ ซึ่งจะส่งผลกระทบให้เงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงได้อย่างต่อเนื่อง

ขณะเดียวกัน ภาวะราคาน้ำมันในตลาดโลกมีแนวโน้มทรงตัวในระดับสูงอย่างต่อเนื่อง โดยได้รับปัจจัยสนับสนุนจากการคาดการณ์ว่าโอเปคน่าจะมีมติคงโควต้าการผลิตไว้ที่ระดับเดิม สำหรับการประชุมที่จะมีขึ้นในวันที่ 5 มีนาคมนี้ โดยมีความกังวลต่อความต้องการใช้น้ำมันของโลกว่าอาจชะลอตัวจากปัญหาเศรษฐกิจสหรัฐที่หดตัวลง

สำหรับปัจจัยในประเทศ การที่ปัจจัยการเมืองเริ่มร้อนอีกครั้ง โดยเฉพาะการเคลื่อนไหวของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ต่อการกลับมาของอดีตนายกรัฐมนตรี พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร รวมถึงการรอการทำสำนวนเพื่อการยื่นฟ้องศาลฎีกาของ กกต. ในกรณีของนายยงยุทธ ติยะไพรัช ก็น่าจะมีผลให้นักลงทุนชะลอการลงทุนออกไป เพื่อรอดูความชัดเจนจากปัจจัยภายใน และภายนอกอีกครั้ง ดังนั้น จึงประเมินได้ว่า แนวโน้มตลาดหลักทรัพย์สัปดาห์นี้ น่าจะแกว่งตัวในกรอบแคบ ๆ (SIDEWAY) ระหว่าง 820 - 860 จุด

ด้าน บล.ดีบีเอส วิคเกอร์ส (DBSV) ชี้ว่า การยกเลิกมาตรการกันสำรองเงินทุนไหลเข้าระยะสั้น ในอัตรา 30% เป็นบวกกับกลุ่มกองทุนอสังหาริมทรัพย์ และ
บริษัทอสังหาริมทรัพย์ที่จะออกและขยายกองทุนอสังหาริมทรัพย์ ตลอดจนบริษัทที่นำเข้าสุทธิ รวมทั้งเป็นบวกกับหุ้น Big Cap พื้นฐานดี ที่นักลงทุนต่างชาติชอบลงทุน แต่จะเป็นลบกับบริษัทส่งออกสุทธิ และบริษัทที่มีรายได้อิงดอลลาร์สหรัฐ เพราะคาดว่าเงินบาทจะแข็งค่าขึ้น ดังนั้น ในระยะสั้น ควรลดน้ำหนักลงทุนในกลุ่มเหล่านี้ก่อน

ส่วนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเป็นบวกกับกลุ่มที่อิงกับอุปสงค์ในประเทศ โดยเฉพาะที่พักอาศัย (หากได้รับลดหย่อนค่าโอน และค่าจดจำนอง) ดังนั้น กลยุทธ์การลงทุน จึงควรลงทุนตามรอบ โดยหุ้นเด่น (Top Picks) ในระยะสั้นมากเป็นกลุ่มที่อิงกับอุปสงค์ในประเทศและได้รับประโยชน์จากการยกเลิกมาตรการสำรอง 30% ได้แก่ BBL,KBANK, KTB, AMATA, AP, QH, PS, CPN, QHPF, CPNRF, SPF, CPALL, BEC, TSTH และ TVO

ขณะที่ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.กรุงศรีอยุธยา (AYS) มองว่า ในสัปดาห์นี้ ตลาดน่าจะได้ผลบวกทางจิตวิทยา จากข่าวการยกเลิกมาตรการกันสำรองเงินทุนไหลเข้าระยะสั้น ในอัตรา 30% และการประกาศมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ

อย่างไรก็ตาม ข่าวยกเลิกมาตรการกันสำรองเงินทุน มีผลบวกทางอ้อมต่อตลาด แต่กลับมีผลดีต่อกลุ่มหุ้นที่ออกกองทุนอสังหาริมทรัพย์ อย่าง CPN, QH,TICON และ MAJOR ส่วนการประกาศมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ น่าจะมีผลบวกต่อหุ้นกลุ่ม Domestic Plays ซึ่งที่ผ่านมา ราคาหุ้นก็ได้ปรับตัวรับข่าวกันมาอย่างต่อเนื่อง ทำให้คาดว่า ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไม่น่าไต่ระดับขึ้นไปได้เหนือ 860 จุด ดังนั้น จึงเป็นโอกาสในการทยอยขายหุ้นทำกำไรออกไปบ้าง โดยเฉพาะพวก Big Caps อย่าง PTT, EGCO, PTTEP, TOP, BANPU และ UMS และพวก Domestic plays อย่าง BBL, KBANK, SCB, PS, AP, LPN, QH, SC, ITD, TSTH, BJC และ MAKRO

มันนี่ ชาเนล - วรนนท์ อัศวพิริยานนท์  
http://www.moneychannel.co.th/BreakingN ... fault.aspx
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news03/03/08

โพสต์ที่ 729

โพสต์

จับตาเงินเฟ้อร้อน !!!พาณิชย์ไทย ยังปากแข็งทั้งปี ไม่เกิน 3.5%

Posted on Monday, March 03, 2008

ดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไป (CPI) หรืออัตราเงินเฟ้อ และดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐานของประเทศ (Core CPI) ประจำเดือนกุมภาพันธ์ ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นทำสถิติสูงสุดใหม่ในรอบ 20 เดือน โดยอัตราเงินเฟ้อในเดือนกุมภาพันธ์พุ่ง 0.7% จากเดือนก่อนหน้า และกระชากตัวจากช่วงเดียวกันปีก่อน 5.4%

ส่วนเงินเฟ้อเฉลี่ย 2 เดือนแรกปีนี้ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมาสูงขึ้น 4.8% เนื่องจากราคาสินค้าในหมวดอาหารและเครื่องดื่ม โดยเฉพาะเนื้อสุกรที่ราคาสูงขึ้นตามราคาหน้าฟาร์มและอาหารสัตว์ รวมถึงราคาไข่ไก่และไก่สด ซึ่งมาจากปัญหาราคาน้ำมันเชื้อเพลิงที่สูงขึ้น รวมถึงค่าไฟฟ้าที่สูงขึ้น รวมทั้งผักและผลไม้ที่ราคาสูงขึ้นด้วย

สำหรับเงินเฟ้อพื้นฐานในเดือนกุมภาพันธ์ เทียบกับเดือนก่อนหน้าสูงขึ้น 0.3% แต่หากเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน จะดีดตัวขึ้นมา 1.5% ทำให้เงินเฟ้อพื้นฐาน เฉลี่ยช่วง 2 เดือนแรกปีนี้ สูงขึ้น 1.4%

อย่างไรก็ตาม นางไพเราะ สุดสว่าง รองปลัดกระทรวงพาณิชย์ บอกว่า จะยังไม่มีการทบทวนเป้าหมายอัตราเงินเฟ้อเฉลี่ยทั้งปี โดยยังคงไว้ที่ตัวเลขประมาณการเดิม ที่ 3.0 - 3.5% ถึงแม้ในช่วง 2 เดือนแรกของปี เงินเฟ้อโดยรวมมีการปรับตัวสูงขึ้น โดยเฉพาะในเดือนกุมภาพันธ์ที่ปรับตัวอยู่ที่ 5.4% ซึ่งถือเป็นอัตราเงินเฟ้อสูงสุดในรอบ 20 เดือน นับจากเดือนมิถุนายน ปี 2549 เป็นต้นมา โดยจะขอรอดูตัวเลขเงินเฟ้อเฉลี่ย 6 เดือนก่อน จึงจะทบทวนว่า ควรปรับประมาณการเงินเฟ้อเฉลี่ยทั้งปีหรือไม่

นอกจากนั้น การที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ประกาศยกเลิกมาตรการกันสำรองเงินทุนไหลเข้าระยะสั้น ในอัตรา 30% จนมีผลโดยตรงให้เงินบาทแข็งค่าขึ้นมายืนบริเวณ 31.50 บาท ต่อ 1 ดอลลาร์สหรัฐ แต่การแข็งค่าของเงินบาท จะมีผลให้ราคาน้ำมัน ที่เป็นปัจจัยหลักที่มีผลต่อเงินเฟ้อ ปรับเพิ่มสูง จนมีผลกระทบต่อต้นุทนการผลิตสินค้าให้ปรับเพิ่มมาก และยิ่งผู้ประกอบการหลายกลุ่มสินค้า เข้าใจสถานการณ์ จึงยอมตรึงราคาสินค้าอุปโภคบริโภค อย่างน้อย 3 - 6 เดือน จะไม่สร้างแรงกดดันให้อัตราเงินเฟ้อให้ขยับตัวสูงขึ้น

อย่างไรก็ดี กรมการค้าภายใน พร้อมเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการที่เผชิญปัญหาต้นทุนพุ่งสูง และไม่สามารถแบกรับภาระต้นทุนได้อีก เช่น นมเปรี้ยว นมพาสเจอร์ไรซ์ ผงซักฟอก สบู่ ยาสีฟัน น้ำยาล้างจาน เสนอเรื่องเข้ามา เพื่อพิจารณาว่า สมควรให้ปรับขึ้นราคาขายหรือไม่ แต่หากมีการปรับราคาขึ้น ก็ไม่น่าจะสูงมาก เนื่องจากล่าสุด ผู้ประกอบการสินค้าประเภทนมผง ยอมลดราคานมผงลงมา 5-13% มีผลตั้งแต่วันเสาร์ที่ 1 มีนาคม ที่ผ่านมาแล้ว

ขณะเดียวกัน ผู้บริหารโรงพยาบาลเอกชน ก็น่าจะยอมตรึงค่ารักษาพยาบาล พร้อมทั้งให้ความสำคัญกับคุณภาพในการรักษาพยาบาลเพิ่มขึ้นด้วย ขณะที่กลุ่มสินค้าสุกร และน้ำมันพืชที่ใช้เป็นพลังงานทดแทน ก็กำลังอยู่ในระหว่างการหารือร่วมกัน เพื่อหาวิธีการแบ่งเบาภาระอันเนื่องจากต้นทุนวัตถุดิบเพิ่ม จึงเชื่อว่า จะมีผู้ประกอบการสินค้าหลายรายการ ช่วยแบ่งเบาภาระค่าครองชีพให้ประชาชน จนมีผลทางอ้อมให้เงินเฟ้อเดือนมีนาคมปรับเพิ่มไม่สูงมาก

มันนี่ ชาเนล - วรนนท์ อัศวพิริยานนท์
http://www.moneychannel.co.th/BreakingN ... fault.aspx
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news05/03/08

โพสต์ที่ 730

โพสต์

Breaking News  

DBSV ฟันธง หุ้นไทยปรับฐานระยะสั้น ก่อนดีดต่อ โดยมี PROP+BANK+COMMERCE นำตลาด

Posted on Wednesday, March 05, 2008

ทีมกลยุทธ์ บล.ดีบีเอส วิคเกอร์ส (DBSV) ได้ออกรายงานฉบับล่าสด แนะนำกลยุทธ์การลงทุน และหุ้นที่น่าสนใจ ว่าจะได้รับผลบวกจากการประกาศมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเมื่อวาน ซึ่งเน้นไปที่การลดภาษีเฉพาะ ทั้งการคงภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ในระดับ 7% ต่อไปอีก 2 ปีงบประมาณ และการลดภาษีธุรกิจเฉพาะ และภาษีในการจดจำนอง กับการโอนในการซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ การลดภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา และภาษีเงินได้นิติบุคคล โดยอบกว่า มาตารการดังกล่าว เป็นไปตามคาดการณ์ของตลาด และเป็นบวกต่ออุปสงค์ในประเทศ

อย่างไรก็ตามในระยะสั้นมาก ราคาและดัชนีตลาดอาจแกว่งในทางลงก่อน เนื่องจากแรงขายทำกำไรแบบ Sell on Facts ประกอบกับยังมีความเสี่ยงจากปัจจัยภายนอก (ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐไม่สดใส และอาจเข้าสู่ภาวะถดถอย, วิกฤติซับไพร์มที่ยังไม่จบ และทำให้สถาบันการเงินขนาดใหญ่ต้องประสบผลขาดทุนจำนวนมาก, ราคาน้ำมันแพง )

อย่างไรก็ตามเมื่อตลาดได้ย่อยข่าวลบไปแล้ว และไม่มีปัจจัยลบที่มีนัยสำคัญใหม่เข้ามาในระยะใกล้ ดัชนีมีสิทธิที่จะดีดกลับในรอบใหม่ได้ ซึ่งหุ้นที่น่าสนใจดักซื้อในรอบใหม่ ประกอบด้วย หุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารพาณิชย์ และค้าปลีก

โดยหุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ น่าสนใจตรงที่ได้รับประโยชน์จากค่าธรรมเนียมโอนที่ลดลงจาก 2% เป็น 0.01% ( ปกติ บริษัทผู้ประกอบการ จะจ่าย 1% และลูกค้าจ่ายเอง 1% ) และภาษีธุรกิจเฉพาะที่ลดลงจาก 3.3% เป็น 0.1% ( ปกติ บริษัทอสังหาริมทรัพย์จะจ่ายภาษีเองทั้งหมด ) โดยบริษัทที่พักอาศัยที่จะได้รับประโยชน์มาก คือ บริษัทที่พักอาศัยที่มียอดขาย (Presales) รอโอนจำนวนมากในปี 2551 ถึงกลางปี 2552 และบริษัทที่มีสินค้าพร้อมขายและโอน (Pre-built) ทันที ทำให้ยอดขายจะเพิ่มขึ้น และค่าใช้จ่ายเรื่องค่าธรรมเนียม และภาษีธุรกิจเฉพาะ ลดลงไปอย่างมากด้วย ยังผลให้คาดว่ากำไรสุทธิปีนี้ ของบริษัทในกลุ่มนี้ จะเพิ่มขึ้น 11-35%

อย่างไรก็ตามจำนวนการเติบโตของบ้านจดทะเบียน คงไม่รุนแรงเท่าการใช้มาตรการกระตุ้นครั้งแรกในยุคอดีตนายกรัฐมนตรี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ช่วงปี 2545 - 2546 เติบโตเกือบ 2 เท่าตัว แต่ฐานตอนนั้นต่ำมาก เพราะเพิ่งผ่านวิกฤตเศรษฐกิจ แต่ฐานบ้านจดทะเบียนอยู่ที่ประมาณ 70,000 หน่วยแล้ว การเติบโตจึงไม่น่ารุนแรง แต่ก็คาดว่าจะอยู่ในเกณฑ์ที่ดี

เพราะจากการศึกษาผลกระทบในทางบวกกับผลประกอบการในปี 51 จากทั้งหมด 7 บริษัท ในบริษัทขนาดกลาง-เล็กพบว่ากำไรสุทธิจะปรับตัวเพิ่มขึ้นระหว่าง 11%-35% ขึ้นอยู่กับฐานรายได้ว่ามากน้อยแค่ไหน สามลำดับหลักทรัพย์ที่มีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นสูงสุดคือ 1) SIRI 35% 2) PRIN 23% และ 3) NOBLE 20% และ 3 หลักทรัพย์ที่ราคาปิดมีส่วนเพิ่มจากราคาพื้นฐานสูงสุด คือ 1) SIRI 37% 2) PF 28% และ 3) PRIN 25%

แต่เมื่อพิจารณาความโดดเด่นด้านปัจจัยพื้นฐานประกอบด้วย DBSV พบว่า AP, PS และ QH ยังเป็น Top Picks นอกจากนั้นยังเป็นบวกกับกลุ่มนิคมอุตสาหกรรมที่มีสัดส่วนของรายได้จากการขายที่ดินสูง จึงแนะนำ " ซื้อ " AMATA โดยบริษัทมีสัดส่วนรายได้จากธุรกิจขายที่ดิน 80% ของรายได้รวม

สำหรับกลุ่มธนาคารพาณิชย์ ทีมกลยุทธ์มองว่าธนาคารพาณิชย์จะได้รับประโยชน์จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรอบนี้ด้วย โดยเฉพาะธนาคารที่เป็นผู้นำในกลุ่มสินเชื่อที่พักอาศัยและสินเชื่อเช่าซื้อ ซึ่งธนาคารที่ปล่อยสินเชื่อที่พักอาศัยมาก คือ SCB โดยมีส่วนแบ่งตลาดสินเชื่อที่พักอาศัยเป็นอันดับ 1 และธนาคารที่เป็นผู้นำในธุรกิจสินเชื่อเช่าซื้อ คือ BAY SCB และ TISCO

ส่วนกลุ่มค้าปลีก จะได้อานิสงค์ทางบวกจากการจับจ่ายใช้สอยทั่วไป และการบริโภคที่เกี่ยวข้องกับอสังหาริมทรัพย์ที่เพิ่มขึ้น แต่แนะนำ " ซื้อ " เพียง CPALL และ HMPRO เท่านั้น

มันนี่ ชาเนล - วรนนท์ อัศวพิริยานนท์  
http://www.moneychannel.co.th/BreakingN ... fault.aspx
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news06/03/08

โพสต์ที่ 731

โพสต์

526บริษัทโกยกำไร4.2แสนล้าน

โพสต์ทูเดย์ บริษัทในตลาดหุ้นโชว์ ปี 2550 โกยกำไรกว่า 4.2 แสนล้านบาท ลดลง 10% เพราะแบงก์ตั้งสำรองเยอะ ค่าเงินบาทแข็ง


นางภัทรียา เบญจพลชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลัก ทรัพย์ กล่าวว่า บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ (SET) และตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) จำนวน 526 บริษัท มีกำไรรวม 422,154 ล้านบาท ลดลง 48,378 ล้านบาท หรือลดลง 10% จากปี 2549 ทั้งนี้ หากไม่รวมกำไรจากการปรับโครงสร้างหนี้ จะทำให้กำไรสุทธิลดลงเพียง 4%

ในขณะที่บริษัทเหล่านี้สามารถทำยอดขายได้ 6,089,925 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9% จากปี 2549 ที่มียอดขายรวม 5,582,039 ล้านบาท

สาเหตุหลักที่ทำให้บริษัทมีกำไรลดลงจากปี 2549 เพราะสถาบันการเงินมีการตั้งสำรองค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญเพิ่มขึ้นตามเกณฑ์ใหม่ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ทำให้ธนาคารพาณิชย์ 11 แห่ง มีกำไรสุทธิรวม 5,507 ล้านบาท ลดลงจากปีก่อน 46,924 ล้านบาท หรือ 90%

นอกจากนี้ บริษัทต่างๆ ยังได้รับผลกระทบจากเงินบาทแข็งค่า ทำให้มีกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนลดลง รวมถึงกำไรจากการปรับโครงสร้างหนี้ลดลงด้วย

ทั้งนี้ กลุ่มเทคโนโลยีมีอัตราการเติบโตกำไรสุทธิสูงสุดถึง 28% คิดเป็นเงิน 38,085 ล้านบาท และกลุ่มทรัพยากร มีกำไรสุทธิ 207,020 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7% โดยบริษัท ปตท. (PTT) มีกำไรมากที่สุดถึง 97,804 ล้านบาท
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=224873
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news12/03/08

โพสต์ที่ 732

โพสต์

คลังเก็บรายได้5เดือนทะลุเป้า

โดย Post Digital วันที่ 12 มีนาคม 2551

คลัง เผยผลการจัดเก็บรายได้เข้าประเทศช่วง5เดือนแรกงบฯปี51ทะลุเป้า รับมาตราการภาษีอาจส่งผลกระทบการจัดก็บรายได้ในอนาคต

นายสมชัย สัจจพงษ์ ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจการคลัง สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยถึงผลการจัดเก็บรายได้รัฐบาลประจำเดือนกุมภาพันธ์ 2551 ว่า รัฐบาลมีรายได้สุทธิ 113,538 ล้านบาท สูงกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ 4,589 ล้านบาท หรือร้อยละ 4.2 และสูงกว่าเดือนเดียวกันปีที่แล้วร้อยละ 9.5 เนื่องจากการจัดเก็บภาษีเงินได้นิติบุคคล ภาษีสรรพสามิตรถยนต์ และอากรขาเข้าสูงกว่าเป้าหมาย 1,901, 1,166 และ 893 ล้านบาท หรือร้อยละ 14.0, 28.3 และ 13.5 ตามลำดับ

อย่างไรก็ดีภาษีน้ำมัน ภาษียาสูบ และภาษีธุรกิจเฉพาะจัดเก็บได้ต่ำกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้จำนวน 752, 747 และ 675 ล้านบาท หรือร้อยละ 11.2, 17.9 และ 21.5 ตามลำดับ อีกทั้งรัฐวิสาหกิจนำส่งรายได้สูงกว่าเป้าหมายถึง 1,856 ล้านบาท หรือร้อยละ 41.5 เนื่องจากโรงงานยาสูบได้มีการทยอยส่งรายได้บางส่วน รวมทั้งได้รับผลตอบแทนจากกองทุนวายุภักษ์สูงกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ด้วย

นายสมชัย กล่าวว่า ช่วง 5 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2551 รัฐบาลจัดเก็บรายได้สุทธิ 534,199 ล้านบาท สูงกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ 6,243 ล้านบาท หรือร้อยละ 1.2 สูงกว่าช่วงเดียวกันปีงบประมาณ 2551 ร้อยละ 5.2 เป็นผลจากการจัดเก็บภาษีกรมสรรพากรและกรมศุลกากรสูงกว่าเป้าหมายเป็นสาเหตุหลัก โดยกรมสรรพากรจัดเก็บได้รวม 393,154 ล้านบาท สูงกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ 8,411 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 2.2 สูงกว่าช่วงเดียวกันปีงบประมาณ 2551 ร้อยละ 10.5 ซึ่งภาษีที่เก็บได้สูงกว่าเป้าหมายที่สำคัญ ได้แก่ ภาษีเงินได้นิติบุคคล ภาษีมูลค่าเพิ่ม และภาษีเงินได้ปิโตรเลียม เนื่องจากบริษัทต่างชาติส่งค่าบริการและจำหน่ายกำไรไปต่างประเทศมากขึ้น เพราะได้รับประโยชน์มากขึ้นจากการที่ค่าเงินบาทแข็งค่า

ขณะที่ภาษีมูลค่าเพิ่มจัดเก็บได้สูงกว่าประมาณการเป็นผลจากการบริโภคที่มีการขยายตัวอย่างต่อเนื่องประกอบกับราคาสินค้าที่ปรับตัวสูงขึ้น ตลอดจนการนำเข้าสินค้าก็มีการขยายตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่วนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา และภาษีธุรกิจเฉพาะจัดเก็บได้ต่ำกว่าเป้าหมายเป็นผลจากอัตราดอกเบี้ยทั้งเงินฝากและเงินกู้อยู่ในระดับที่ต่ำ

ด้านกรมสรรพสามิตจัดเก็บได้รวม 120,287 ล้านบาท ใกล้เคียงกับเป้าหมายที่ตั้งไว้ โดยต่ำกว่าเพียง 588 ล้านบาท หรือร้อยละ 0.5 และต่ำกว่าช่วงเดียวกันปีงบประมาณ 2551 ร้อยละ 2.6 แต่ถ้าหักรายได้จากภาษีกิจการโทรคมนาคมของปีที่แล้วออกจะสูงกว่าช่วงเดียวกันปีงบประมาณ 2551 จำนวน 2,992 ล้านบาท หรือร้อยละ 2.6 และกรมศุลกากรจัดเก็บได้รวม 40,946 ล้านบาท สูงกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ 3,626 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 9.7 สูงกว่าช่วงเดียวกันปีงบประมาณ 2551 ร้อยละ 10.1

ขณะที่รัฐวิสาหกิจนำส่งรายได้รวม 40,610 ล้านบาท ต่ำกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ 2,340 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 5.4 แต่สูงกว่าช่วงเดียวกันปีงบประมาณ 2551 ร้อยละ 5.1 และหน่วยงานอื่นนำส่งรายได้รวม 33,205 ล้านบาท ต่ำกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ 2,459 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 6.9 และต่ำกว่าช่วงเดียวกันปีงบประมาณ 2551 ร้อยละ 2.7

โฆษกกระทรวงการคลัง กล่าวอีกว่า แม้ว่าผลการจัดเก็บรายได้รัฐบาลในช่วง 5 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2551 จะสูงกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ 6,243 ล้านบาท แต่รัฐบาลได้ออกมาตรการภาษีเพื่อกระตุ้น และฟื้นฟูเศรษฐกิจเมื่อวันที่ 4 มีนาคมที่ผ่านมา ซึ่งคาดว่าผลของมาตรการดังกล่าวจะส่งผลกระทบต่อการจัดเก็บรายได้ในบางส่วนสำหรับช่วงระยะเวลาที่เหลืออยู่ของปีงบประมาณ 2551

อย่างไรก็ดี เชื่อว่าผลของมาตรการจะมีส่วนช่วยเพิ่มอำนาจในการใช้จ่ายของประชาชนมากขึ้น รวมทั้งมีการเร่งรัดการลงทุนของภาคเอกชน ส่งผลต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจในภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง จะทำให้รัฐบาลสามารถจัดเก็บภาษีในส่วนอื่นมาทดแทนได้ ดังนั้น กระทรวงการคลังคาดว่าการจัดเก็บรายได้รัฐบาลปีงบประมาณ 2551 น่าจะอยู่ในวิสัยจัดเก็บได้ใกล้เคียงเป้าหมายที่ตั้งไว้ 1.495 ล้านล้านบาท นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยเสี่ยงและความไม่แน่นอนที่จะต้องติดตามอย่างใกล้ชิดต่อไปด้วย เช่น ภาวะเศรษฐกิจโลก ราคาน้ำมัน ค่าเงินบาท และการนำส่งรายได้ของรัฐวิสาหกิจ
http://www.posttoday.com/topstories.php?id=226129
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news12/03/08

โพสต์ที่ 733

โพสต์

เปิดทางโยกงบ51ลุยงานด่วนกู้ศก.

โพสต์ทูเดย์ ครม.เปิดทางโยกงบ2551 ลุยงานเร่งด่วน คลังเรียก 4 หน่วยงานถกแผนโยกงบ พร้อมประชุมหั่นงบปี 2552 หลังยอดของบพุ่งกว่า 2 ล้านล้านบาท


นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี รองนายกฯ และ รมว.คลัง กล่าวว่า ที่ประชุม ครม.ได้มีมติให้พิจารณาโยกงบประมาณ 2551 ในโครงการที่ ไม่มีความจำเป็น เพื่อนำมาใช้ในโครงการเร่งด่วนของรัฐบาลที่มีผลต่อการกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่ห้ามโยกงบข้ามหน่วยงาน

ทั้งนี้ ได้กำหนดให้กระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) และธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ร่วมกันหารือในการโยกงบและเปลี่ยนงบประมาณ

นอกจากนี้ ครม.อนุมัติ ระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน 4 ปี โดยให้แต่ละหน่วยงานเสนอคำขอใช้งบประมาณให้ชัดเจน เนื่องจากมียอดรวมกว่า 2 ล้านล้านบาท สูงกว่าการจัดเก็บรายได้

นพ.สุรพงษ์ กล่าวว่า แนวโน้มการจัดเก็บรายได้ในปีงบ 2552 นั้นคาดว่าจะเพิ่มขึ้นจากปีนี้ 7-8% โดยคาดว่าผลผลิตมวลรวมในประเทศในปี 2552 น่าจะอยู่ระดับ 8.5 ล้านล้านบาท เนื่องจากเชื่อว่าอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจจะโต 5.5-6.0%

นายอำพน กิตติอำพน เลขาธิการ สศช. กล่าวว่า การปรับปรุงงบประมาณปี 2551 นั้น ที่ประชุม ครม. เห็นว่า มีบางหน่วยงานที่ของบประมาณซ้ำซ้อนกันจึงให้ดึงงบประมาณกลับ

นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงว่า ที่ประชุม ครม.มีมติว่าจะไม่ตั้งงบประมาณกลางปี 2551 เพราะมีเวลาในการดำเนินงานแค่ 7 เดือน

สำหรับแผนการบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2551-2554 ที่ ครม.เห็นชอบนั้น มีตัวเลขประมาณการความต้องการใช้เงินเบื้องต้นที่ส่วนราชการได้ขอมาทั้งสิ้น 12.2 ล้านล้านบาท ขณะที่ประมาณการความต้องการใช้เงินตามนโยบาย 4 ปี อยู่ที่ 9.7 ล้านล้านบาท

นโยบายที่ต้องการใช้เงินสูงที่สุดคือด้านสังคมและคุณภาพชีวิต 3.23 ล้านล้านบาท ด้านเศรษฐกิจ 2.45 ล้านล้านบาท นโยบายฟื้นฟูความเชื่อมั่นของประเทศ 1.66 ล้านล้านบาท ด้านความมั่นคงของรัฐ 1.06 ล้านล้านบาท การบริหารจัดการที่ดี 7.91 แสนล้านบาท ขณะที่ประมาณการรายได้สุทธิของรัฐบาลนั้นมีแค่ 6.64 ล้านล้านบาท

ทั้งนี้ ในปี 2552 ได้ประมาณการรายได้สุทธิของรัฐบาลอยู่ที่ 1.58 ล้านล้านบาท ขณะที่ความต้องการใช้เงินอยู่ที่ 2.52 ล้านล้านบาท

นโยบายที่ต้องการใช้เงินสูงที่สุด คือนโยบายด้านสังคมและคุณภาพชีวิต 8.5 แสนล้านบาท ด้านเศรษฐกิจ 6.14 แสนล้านบาท ฟื้นฟูความเชื่อมั่นของประเทศ 4.12 แสนล้านบาท ด้านความมั่นคง 2.84 แสนล้านบาท การบริหารจัดการที่ดี 2.2 แสนล้านบาท
http://www.posttoday.com/newsdet.php?sec=news&id=226002
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news12/03/08

โพสต์ที่ 734

โพสต์

SCIBS เชื่อ SCB+BAY+KK+TK+MINT+MAJOR+CENTEL+HMPRO+BGH+CPN+MLINK หุ้นเด็ดปีนี้

Posted on Wednesday, March 12, 2008

จากแนวนโยบายล่าสุดของรัฐบาลในการกระตุ้นเศรษฐกิจ ด้วยการปรับลดภาษีให้กับประชาชนและบริษัท มูลค่ารวม 40,000 ล้านบาท รวมถึงเตรียมอัดฉีดเงินเข้าไปสู่ผู้บริโภคในระดับรากหญ้าเพิ่มเติมอีก ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.นครหลวงไทย (SCIBS) ได้ออกงานวิจัย ระบุว่า เป็นแนวทางที่จะช่วยกระตุ้นการบริโภคและการลงทุนของภาคเอกชนได้ในระดับหนึ่ง

อย่างไรก็ตาม ด้วยสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจที่ยังคงชะลอตัว อัตราเงินเฟ้อสูง และ ปัจจัยการเมืองเริ่มกลับมามีความไม่แน่นอน ทำให้ SCIBS คาดการณ์ว่า ธุรกิจที่จะได้รับประโยชน์จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างแท้จริงจะจำกัดอยู่ในธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการบริโภคภายในประเทศเป็นหลัก ได้แก่ ธุรกิจอาหาร ค้าปลีก และ บันเทิง ซึ่งสอดคล้องกับการศึกษาด้านสถิติในการหาความสัมพันธ์ระหว่างรายได้ของธุรกิจกับ PCI (Private Consumption Index หรือ ดัชนีการอุปโภคและบริโภคภาคเอกชน) พบว่าอยู่ในระดับสูงมาก

ทั้งนี้ SCIBS แบ่งผลบวกที่เกิดขึ้นเป็น 2 ประเภท คือ ระยะสั้น และระยะยาว

โดยในระยะสั้นนั้น กลุ่มธนาคารพาณิชย์ และสินชื่อเช่าซื้อ กลุ่มอาหาร กลุ่มบันเทิง และกลุ่มพาณิชย์ น่าจะได้ประโยชน์สูงสุด

โดยในกรณีของกลุ่มธนาคารพาณิชย์ และสินเชื่อเช่าซื้อ คาดจะได้ประโยชน์จากการกระตุ้นเศรษฐกิจในกลุ่มรากหญ้า แนะนำ " ซื้อ " SCB (ราคาเหมาะสม 98 บาท) BAY (ราคาเหมาะสม 31.22 บาท) KK (ราคาเหมาะสม 34.10 บาท) และ TK (ราคาเหมาะสม 8.80 บาท)

ส่วนกลุ่มอาหาร และบันเทิง พบว่า รายได้มีความสัมพันธ์กับ PCI ในระดับสูงถึง 0.90 ? 0.97 จุด จึงแนะนำ " ซื้อ " MINT (ราคาเหมาะสม 20.50 บาท) CENTEL (ราคาเหมาะสม 6.85 บาท) และ MAJOR (ราคาเหมาะสม 18.67 บาท) เช่นเดียวกับ HMPRO จากกลุ่มพาณิชย์ (ราคาเหมาะสม 5.97 บาท) เพราะคาดว่า จะได้อานิสงค์จากการที่ผู้บริโภคตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัยเร็วขึ้น และจากจำนวนของที่อยู่อาศัยจดทะเบียนใหม่ที่คาดจะฟื้นตัวจะทำให้รายได้เติบโตต่อเนื่อง โดยมีระดับความสัมพันธ์กับ PCI สูงถึง 0.90 จุด

ส่วนในระยะยาว กลุ่มพื้นที่เช่า กลุ่มโรงพยาบาล และกลุ่มสื่อสาร และโทรคมนาคม จะได้ประโยชน์สูงสุด

โดยกลุ่มพื้นที่เช่า จะได้ประโยชน์จากการอุปโภคและบริโภคที่เพิ่มขึ้น เป็นปัจจัยผลักดันให้มีการปรับราคาค่าเช่าพื้นที่ โดยเฉพาะพื้นที่ศูนย์การค้า ซึ่งคาดว่า CPN จะได้ประโยชน์มากที่สุด และมีความสัมพันธ์ของรายได้ต่อ PCI ถึง 0.91 จุด โดยให้ราคาเหมาะสม 32.05 บาท

สำหรับกลุ่มโรงพยาบาล จากความสามารถในการบริโภคเพิ่มขึ้น อีกทั้งนโยบายสนับสนุนให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางทางการแพทย์ของเอเชีย จะทำให้จำนวนผู้ป่วยเข้ามารักษาในโรงพยาบาลขยายตัวต่อเนื่อง จึงแนะนำ " ซื้อ " BGH เนื่องจากมีเครือค่ายคลุมทั่วประเทศ ประกอบกับมีความสัมพันธ์ของรายได้ต่อ PCI สูงถึง 0.93 จุด โดยให้ราคาเหมาะสม 58 บาท

ขณะที่กลุ่มสื่อสารและโทรคมนาคม SCIBS คาดว่าสินค้าในกลุ่มการให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ การขายโทรศัพท์ที่อยู่ใน Mid-High End มีแนวโน้มจะได้ประโยชน์เช่นกันจึงแนะนำ " ซื้อ " ADVANC (ราคาเหมาะสม 101.30 บาท) DTAC (ราคาเหมาะสม 39.50 บาท) และ TRUE (ราคาเหมาะสม 8.67 บาท)

ขณะที่กลุ่มผู้ขายโทรศัพท์เคลื่อนที่ SCIBS มองว่า MLINK ซึ่งเป็นตัวแทนขายให้กับ NOKIA ในรุ่น Mid-High end จะมีแนวโน้มได้ประโยชน์เช่นกัน โดยให้ราคาเหมาะสม 2.88 บาท

มันนี่ ชาเนล - วรนนท์ อัศวพิริยานนท์
http://www.moneychannel.co.th/BreakingN ... fault.aspx
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news14/03/08

โพสต์ที่ 735

โพสต์

คลังออกพันธบัตร1.2หมื่นล.ให้คนแก่จองก่อน

วันที่ 14 มีนาคม 2551

ก.คลังเตรียมออกพันธบัตรออมทรัพย์พิเศษ 12,000 ล้านบาท จำหน่ายให้กับประชาชนทั่ว เน้นคนชราให้สิทธิจองก่อน เพื่อชิมลางออกพันธบัตรอายุ 30 ปี เม.ย.นี้ เพื่อรองรับเมกกะโปรเจกต์

นายพงษ์ภาณุ เศวตรุนทร์ ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) กล่าวว่า เพื่อเป็นทางเลือกในการออกมให้กับประชาชนในช่วงอัตราดอกเบี้ยมีแนวโน้มลดลง กระทรวงการคลังจึงเตรียมออกพันธบัตรพิเศษ รุ่นอายุ 2 ปี 12,000 ล้านบาท ซึ่งอยู่วงเงินขาดดุลงบประมาณปี 51 เพื่อจำหน่ายให้กับประชาชนทั่วไป และคนชราเพื่อให้มีเงินออมสำหรับใช้จ่ายหลังเกษียณอายุทำงาน จึงเปิดโอกาสให้คนชรามีสิทธิจองซื้อก่อนวันที่ 2-4 เม.ย. สำหรับวันที่ 8-11 เม.ย. จะเปิดจำหน่ายให้กับบุคคลทั่วไป เนื่องจากวันที่ 5-7 เม.ย. เป็นวันหยุดราชการ วงเงินขั้นต่ำการซื้อ 10,000 บาท โดยไม่จำกัดเพดานการซื้อสูงสุด และเพื่อเป็นแรงดึงดูดในการซื้อพันธบัตรจึงเตรียมพิจารณาชดเชยภาระภาษีให้มากที่สุด แต่คงไม่ชดเชยให้ทั้งหมด จากเดิมที่ต้องเสียภาษีรายได้จากผลตอบแทนร้อยละ 15สำหรับอัตราดอกเบี้ยดอกเบี้ยผลตอบแทน จะประกาศก่อนวันจำหน่าย 5 วันทำการโดยปกติพันธบัตรอายุ 2 ปี ผลตอบแทนเฉลี่ยอยู่ประมาณร้อยละ 2.96 ต่อปี

นอกจากนี้เพื่อรองรับการก่อสร้างเมกกะโปรเจกต์ จึงได้ทดลองออกพันธบัตร อายุ 30 ปี จำหน่ายให้กับนักลงทุนสถาบัน โดยขณะนี้ธุรกิจประกันภัยสนใจลงทุนในพันธบัตรดังกล่าว ครั้งแรกเตรียมจำหน่ายวงเงิน 5,000 ล้านบาท งวดแรกเดือน เม.ย. และเดือน มิ.ย.ครั้งละ 2,500 ล้านบาท เพราะการก่อสร้างรถไฟฟ้าในเฟสแรกรัฐบาลต้องการเงินลงทุนกว่า 260,000 ล้านบาท เป็นการใช้เงินจากส่วนต่าง ๆ คือ เงินงบประมาณ การกู้เงินในประเทศ การกู้เงินจากต่างประเทศ และการร่วมลงทุนกับเอกชน แต่การกู้เงินด้วยการออกพันธบัตร จะทยอยระดมทุนในช่วง 4-5 ปีแรก ประมาณ 20,000 ล้านบาทต่อปี

นาอกจากนี้ในช่วงไตรมาส 3 ของงบประมาณปี 51 ได้เตรียมออกพันธบัตรชดเชยงบประมาณปี 51 โดยเป็นพันธบัตรอายุ 5 ปี วงเงิน 30,000 ล้านบาท รุ่นอายุ 10 ปี วงเงิน 11,000 ล้านบาท รุ่นอายุ 15 ปี วงเงิน12,500 ล้านบาท อายุ 20 ปี วงเงิน 6,000 ล้านบาท พันธบัตรออมทรัพย์อายุ 3 ปี วงเงิน 1,500 ล้านบาท พันธบัตรรัฐบาลอายุ 14 ปี วงเงิน 15,000 ล้านบาท รวมเป็นพันธบัตรที่รัฐบาลต้องการระดมทุนในไตรมาส 3 ของปีงบประมาณ 51 จำนวน 92,550 ล้านบาท ในเบื้องต้นคาดว่าการระดมทุนด้วยการออกพันธบัตรในช่วงนี้จะได้รับความสนใจจากนักลงทุนประเภทต่าง ๆ เพราะที่ผ่านมาได้มีนักลงทุนสนใจประมูลซื้อเกิน 2-3 เท่าของจำนวนที่ออกระดมทุน
http://www.posttoday.com/topstories.php?id=226628
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news14/03/08

โพสต์ที่ 736

โพสต์

ผู้บริโภคมั่นใจศก.กระเตื้อง

โพสต์ทูเดย์ ความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือน ก.พ. สัญญาณยังดี สะท้อนความหวังว่าเศรษฐกิจของประเทศกำลังกระเตื้อง


นางเสาวนีย์ ไทยรุ่งโรจน์ รองอธิการ บดีฝ่ายวิจัย มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวว่า ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคประจำเดือน ก.พ. ปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 4 มาอยู่ที่ระดับ 79.5 จากเดือน ม.ค.อยู่ที่ 78.1

ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในปัจจุบันอยู่ที่ 72.3 ดีขึ้นจาก 71.5 ดัชนีความเชื่อมั่นในอนาคตอยู่ที่ 79.8 จาก 78.0

สำหรับดัชนีความเชื่อมั่นอื่นๆ ทั้งดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับเศรษฐกิจโดยรวม ดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับโอกาสในการหางานทำ และดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับรายได้ในอนาคต ปรับตัวดีขึ้นทุกรายการ

ปัจจัยบวกที่ส่งผลกระทบต่อความ เชื่อมั่น ได้แก่ การประกาศมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ส่งผลทางจิตวิทยาในเชิงบวก การปรับประมาณการเศรษฐกิจของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ว่าจีดีพีจะขยายตัว 4.5-5.5% จากเดิมคาดไว้ 4.0-5.0% ประกอบกับการส่งออกในเดือน ม.ค.ขยายตัว 33.6% และดัชนีตลาดหลักทรัพย์ปรับตัวเพิ่ม 61.53 จุด

ด้านปัจจัยลบยังคงเป็นราคาน้ำมัน ที่ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ราคาสินค้าและค่าครองชีพสูงขึ้นไม่สอดคล้องกับรายได้ รวมทั้งความกังวลเกี่ยวกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจสหรัฐ และความกังวลเกี่ยวกับการแข็งค่าของเงินบาทที่จะส่งผลต่อการชะลอตัวของภาคส่งออก

นายธนวรรธน์ พลวิชัย ผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวว่า ดัชนีความเชื่อมั่นทุกรายการอยู่ในระดับต่ำกว่า 100 ถือว่ายังไม่เข้าสู่ภาวะปกติ สะท้อน ให้เห็นว่าในภาพรวมผู้บริโภคยังไม่เชื่อว่าเศรษฐกิจในปัจจุบันจะดีขึ้น แต่คาดหวังว่าเศรษฐกิจในอนาคตจะดีขึ้นจากการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของรัฐบาลใหม่

ด้านนายดุสิต นนทะนาคร รองประธานกรรมการ หอการค้าไทย กล่าวว่า นโยบายของรัฐบาลที่แถลงออกมามีประโยชน์และมีผลดีหลายเรื่อง ทั้งมาตรการกระตุ้นการลงทุนที่ช่วยลดต้นทุนให้ภาคธุรกิจ มาตรการส่งเสริมให้ จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ สามารถเริ่มดำเนินการได้ทันทีและน่าจะเห็นผลเร็ว รวมทั้งโครงการเมกะโปรเจกต์ที่ประกาศความชัดเจนในเรื่องประกวดราคาจัดซื้อจัดจ้าง เชื่อว่าจะเรียกความ เชื่อมั่นให้กับนักลงทุนได้เช่นกัน

นอกจากนี้ หลังยกเลิกมาตรการกันสำรอง 30% ถือว่ารัฐบาลควบคุมได้ดี เพราะผลกระทบไม่รุนแรงอย่างที่คาดการณ์ไว้ สะท้อนให้เห็นถึงประสิทธิภาพการประสานงานระหว่างรัฐบาลและธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ส่วนภาคการส่งออกแม้จะได้รับผลกระทบจากเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น แต่หากรัฐบาลรักษาเสถียรภาพของค่าเงินให้แข่งขันกันกับประเทศเพื่อนบ้านได้ ก็พออยู่ได้ และขณะนี้เห็นว่าค่าเงินเริ่มคงที่บ้างแล้ว

ต้องยอมรับว่าทุกนโยบายเป็นประโยชน์ทั้งสิ้น หอการค้าพร้อมสนับสนุน และเชื่อว่านักธุรกิจและนักลงทุนพร้อมสนับสนุนเต็มที่ นายดุสิต กล่าว

พร้อมกันนี้ยังเสนอให้ ธปท.พิจารณาเรื่องการปรับลดดอกเบี้ย เพื่อลดภาระต้นทุนของผู้ประกอบการ หากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ประกาศลดดอกเบี้ยอีกครั้งในสัปดาห์หน้า แต่หาก ธปท.ยังคงเป็นห่วงเรื่องภาวะเงินเฟ้อ ก็ควรดูให้เกิดความสมดุลกันด้วย
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=226541
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news17/03/08

โพสต์ที่ 737

โพสต์

นักวิเคราะห์เชื่อ หุ้นไทยพักฐานรับวิกฤตสถาบันการเงินสหรัฐ แนะชะลอลงทุน หรือซื้อสะสม BANK+PROP+ENERGY

Posted on Monday, March 17, 2008

หลังจากในคืนวันศุกร์ แบร์ สเติร์น ซึ่งเป็นวาณิชธนกิจรายใหญ่ของสหรัฐประกาศว่า สถานการณ์สภาพคล่องของบริษัทย่ำแย่ลงอย่างมากในช่วง 24 ชั่วโมง ระหว่างวันพฤหัส และวันศุกร์ที่ผ่านมา โดยบริษัทตัดสินใจเข้ารับเงินช่วยเหลือของธนาคารกลางสหรัฐ (FED) สาขานิวยอร์ก ร่วมกับทางเจพี มอร์แกน เชส ข่าวดังกล่าวทำให้ตลาดตื่นตระหนก และมีความกังวลต่อปัญหาสถาบันการเงินสหรัฐมากขึ้น จนทำให้มีแรงขายฉุดดัชนีอุตสาหกรรมดาวน์ โจนส์ ให้ปิดตลาด ทรุดเกือบ 200 จุด

และในช่วงเช้าวันนี้ FED ได้ประกาศปรับลดดอกเบี้ยมาตรฐาน (Discount Rate) ลงนอกรอบ โดยลด 0.25% เหลือ 3.25% แต่กระนั้น นักวิเคราะห์จากหลายสำนัก เช่น บล.กรุงศรีอยุธยา (AYS) บล.ฟาร์อีสท์ (FES) บล.กิมเอ็ง (KEST) บล.เคจีไอ (KGI) บล.นครหลวงไทย (SCIBS) ต่างพูดเหมือนกันว่า ข่าวปัญหาสภาพคล่องในภาคสถาบันการเงินสหรัฐ น่าจะสร้างความตื่นตระหนก และทำให้มีการปรับพอร์ตการลงทุนในตลาดหุ้นทั่วโลกตามมา และทำให้ดัชนีตลาดหลักทรัพย์มีแนวโน้มจะพักฐานนานกว่าที่คาดไว้ปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา เนื่องจากปัญหาสภาพคล่องในภาคสถาบันการเงินสหรัฐ


ขณะเดียวกัน การที่ช่วง 2 สัปดาห์นี้ จะมีการทยอยประกาศงบการเงินของสถาบันการเงินสหรัฐ ไม่ว่าจะเป็น โกลด์แมน แซคส์, เลห์มาน บราเธอร์ส, ซิตี้ กรุ๊ป, ยูบีเอส หรือ มอร์แกน สแตนเลย์ ในจังหวะเวลาที่ตลาดตื่นตระหนกกับปัญหาภาคสถาบันการเงินสหรัฐ ประกอบกับปัจจัยการเมืองในประเทศเองก็เริ่มร้อนแรง จากกรณีการตัดสินคดีบุยพรรคชาติไทย และมัชฌิมาธิปไตย สถานการณ์ในภาคใต้ และการกลับมารวมตัวกันอีกครั้งของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย จึงทำให้ปัจจัยลบน่าจะมีผลกดดันตลาดค่อนข้างมาก

อย่างไรก็ตาม ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ และฝ่ายวิจัยจากสำนักต่าง ๆ ข้างต้น เชื่อมั่นว่า FED จะทยอยประกาศมาตรการช่วยเหลือเพิ่มเติม เพื่อบรรเทาปัญหาความตื่นตระหนกให้อยู่ในวงจำกัด โดยล่าสุด FED ได้ประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ตัวดอกเบี้ยมาตรฐาน (Discount Rate) ลง 0.25% เป็น 3.25% (สูงกว่าดอกเบี้ยนโยบาย ตัวดอกเบี้ยระยะสั้น Fed Funds เพียง 0.25%) ก่อนจะต่อเนื่องด้วยมาตรการอื่นๆ ตามมา

นอกจากนั้น ยังมีความเป็นไปด้สูงด้วยว่า การปรับฐานของตลาดหุ้นไทย น่าจะอยู่ในกรอบที่แคบ และดีกว่าตลาดในภูมิภาคเอเชียด้วยกันเอง เพราะได้รับผลลบจากเศรษฐกิจสหรัฐ หรือค่าเงินดอลลล่าร์อ่อนมากกว่า โดยเฉพาะตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียตะวันออก

แต่ในเบื้องต้น การปรับลดดอกเบี้ย Discount Rate แบบเหนือความคาดหมาย ทำให้ประเมินได้ว่า การประชุมคณะกรรมการธนาคารกลางสหรัฐ (FOMC) ในคืนวันอังคารนี้ FED น่าจะปรับลด Fed Funds ลงมาอย่างน้อย 0.75 ? 1.00%

ดังนั้น เพื่อลดความเสี่ยงจากปัจจัยลบที่รุมเร้าในช่วงนี้ ทุกสำนัก แนะนำให้ชะลอการซื้อหุ้นไปก่อน โดยประเมินแนวรับไว้ที่ 795 - 810 จุด ส่วนแนวต้านอยู่ที่ 820 - 825 จุด

อย่างไรก็ดี SCIBS แนะนำให้ทยอยซื้อสะสม หุ้น PTTEP TOP LH CPN และ AMATA ส่วน KGI แนะให้ทยอยซื้อสะสมหุ้นกลุ่มพลังงาน และธนาคารพาณิชย์ โดยเฉพาะหุ้น PTT PTTEP TOP PTTCH KBANK BAY SCB และ KTB ขณะที่ KEST บอกว่า คงการลงทุนในกลุ่มพลังงาน และธนาคารพาณิชย์ โดยเฉพาะ PTT PTTEP KBANK BBL และ BAY เพราะมีศักยภาพการทำกำไรแข็งแกร่ง สำหรับหุ้นขนาดกลาง น่าจะทยอยสะสมซื้อหุ้น CPF BEC MCOT PHATRA และ BLS

สำหรับ AYS แนะทยอยซื้อสะสมหุ้นที่พึ่งพิงตลาดในประเทศ (Domestic Plays) ได้แก่ BBL KBANK SCB PS AP LPN QH SC ITD TSTH BJC MAKRO รวมถึงหุ้นกลุ่มพลังงาน นำโดย PTT PTTEP TOP BANPU UMS และ EGCO

ส่วน FES บอกว่า ประเด็นการลดดอกเบี้ยของคณะกรรมการนโยบายการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย ตาม FED จะเป็นที่คาดหวังได้มากขึ้น โดยมีหุ้นที่ควรทยอยซื้อสะสม อย่าง KBANK BAY TISCO AP LH QH PS LPN รวมถึงหุ้นกลุ่มที่จะได้รับประโยชน์จากเงินบาทที่มีแนวโน้มแข็งค่าขึ้น ตามช่องว่างดอกเบี้ยนโยบายระหว่างไทย และสหรัฐที่ห่างกันมากขึ้น พร้อมกับเน้นหุ้นกลุ่มเหล็กเนื่องมีต้นทุนเป็นดอลล่าร์สหรัฐ และมีแนวโน้มผลประกอบการไตรมาสแรกออกมาดี
หลังจากราคาเหล็กปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง อย่าง GSTEEL และTSTH

และที่ขาดไม่ได้สำหรับกลุ่มพลังงาน ที่ราคาน้ำมันที่ยังทรงตัวที่ระดับสูง นำโดยPTTEP TOP และ BANPU

มันนี่ ชาเนล - วรนนท์ อัศวพิริยานนท์
http://www.moneychannel.co.th/BreakingN ... fault.aspx
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news21/03/08

โพสต์ที่ 738

โพสต์

กนง.ผวาเงินเฟ้อเมินเฟด

โพสต์ทูเดย์ กนง.ส่งสัญญาณตรึงดอกเบี้ยนโยบาย 3.25% ให้ น้ำหนักปัจจัยในประเทศชี้ขาด ระบุนโยบายการคลังเป็นเสาหลัก


นายจักรมณฑ์ ผาสุกวนิช ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ในฐานะกรรมการคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) กล่าวว่า ยังไม่ชัดเจนว่าการประชุม กนง. ในวันที่ 9 เม.ย. นี้ จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงหรือไม่ โดยที่ประชุมจะพิจารณาปัญหาภายในประเทศเป็นหลัก และไม่ได้พิจารณาลดดอกเบี้ยตามธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ที่ ลดลง 0.75% จนส่งผลทำให้อัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยและสหรัฐต่างกันถึง 1%

ประเด็นที่ กนง.จะต้องพิจารณา คือปัจจัยเงินเฟ้อที่ขณะนี้มีแนวโน้มสูงขึ้น ทั้งตามราคาน้ำมันและ วัตถุดิบ เช่น เหล็ก และสินค้าโภคภัณฑ์ ส่วนการกระตุ้นเศรษฐกิจ นโยบายการเงินไม่สามารถเข้ามากระตุ้นได้ทันที สิ่งที่จะกระตุ้นได้ทันที คือนโยบายการคลัง ที่ขณะนี้ภาครัฐใช้นโยบายหลายด้าน และอัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบ นายจักรมณฑ์ กล่าว

นายจักรมณฑ์ กล่าวว่า ที่ ผ่านมา กนง.ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายมากกว่า 1% จนล่าสุดอยู่ที่ 3.25% แต่ส่วนต่างดอกเบี้ยไม่ได้ ลดลงในอัตราที่เท่ากัน โดยดอกเบี้ยเงินฝากลดลงมากกว่าเงินกู้ ขณะที่อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงติดลบ

หากยังเป็นเช่นนี้ต่อไปก็จะกระทบต่อรายได้และไม่จูงใจให้เกิดการฝากเงินส่งผลต่อการระดมทุนทั้งภาครัฐและเอกชน

ประกอบกับนโยบายการเงินหรือดอกเบี้ยไม่สามารถกระตุ้นเศรษฐกิจได้ทันที จะมีผลระยะ ปานกลางถึงระยะยาว โดยธนาคาร แห่งประเทศไทย (ธปท.) มอง แนวโน้มว่า หากใช้นโยบายการเงินหรือดอกเบี้ยในรูปแบบใดแล้วภายใน 1 ปี จะมีผลต่ออัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจและเงินเฟ้อจะเป็นรูปแบบใด

นางอัจนา ไวความดี รองผู้ว่าการ ด้านเสถียรภาพการเงิน ธปท. กล่าวว่า ยังไม่พบเงินทุนไหลเข้าที่ผิดปกติ จากการเก็งกำไรค่าเงินบาท เนื่องจากภาวะการเคลื่อนไหวเงินทุนขณะนี้มองความแตกต่างของดอกเบี้ยเป็นเพียงปัจจัยหนึ่ง และหากดูจากส่วนต่างดอกเบี้ย (สเปรด) ของแต่ละประเทศในภูมิภาคนี้ ดอกเบี้ยนโยบายของไทยถือว่าต่ำที่สุดแล้ว เพราะอาจกระทบต่อภาคเศรษฐกิจที่แท้จริง เห็นได้จากทุนสำรองที่เพิ่มขึ้นจำนวนมากมาตั้งแต่ปี 2549 เนื่องจากต้องซื้อเงินเหรียญสหรัฐเพื่อดูแลค่าเงินบาทมาตลอด

ทั้งนี้ การดำเนินการดังกล่าวแสดงให้เห็นว่า ธปท. ไม่ได้พอใจ ที่เห็นค่าเงินบาทแข็ง ไม่อย่างนั้น คงไม่ต้องไปซื้อเงินเหรียญสหรัฐจนทุนสำรองเพิ่มมากขนาดนี้

นางอัจนา กล่าวว่า ค่าเงินแข็งก็มีผลพลอยได้ ช่วยให้ราคาน้ำมันลดลง 3-4 บาท แต่ถ้าเศรษฐกิจไทยขยายตัวได้ดี และมีพื้นฐานที่ดี ทิศทางค่าเงินบาทก็ต้องแข็งค่าขึ้น ซึ่งเป็นเรื่องที่ดี เนื่องจากทุกประเทศ ที่ร่ำรวยต้องซื้อของถูก แต่ได้ขายของแพง

ทั้งนี้ตลาดซื้อขายเงินบาทในวันที่ 20 มี.ค. ปิดที่ 31.30-31.32 บาท/เหรียญสหรัฐ อ่อนค่าลง 0.12 บาท/เหรียญสหรัฐ จากที่เปิดตลาด 31.18-31.20 บาท/เหรียญสหรัฐ จากที่แข็งค่ามา 2 วัน
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=227850
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news21/03/08

โพสต์ที่ 739

โพสต์

รัฐบาลเร่งออก3มาตรการ รับมือเศรษฐกิจสหรัฐถดถอย

20 มีนาคม พ.ศ. 2551 09:42:00

"สุรพงษ์"เผยรัฐบาลเร่งออก 3 มาตรการรับมือเศรษฐกิจสหรัฐถดถอย ผลักดันงบ 1.5 หมื่นล้านบาท ปั๊มเศรษฐกิจรากหญ้า ภายในเม.ย. เร่งลงทุนเมกะโปรเจกต์อื่น ฟื้นความเชื่อมั่นต่างชาติ

กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ :
นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า จากการประชุมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อติดตามสถานการณ์ของสถาบันการเงินในสหรัฐ ซึ่งจากการประชุมดาดว่า เศรษฐกิจสหรัฐเข้าสู่ภาวะถดถอย และมีผลกระทบในระดับต่างๆ จึงได้เฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด

ดังนั้นรัฐบาลจึงออกแนวทางการรับมือปัญหาที่สืบเนื่องจากเศรษฐกิจของสหรัฐถดถอย โดยจะเร่งทำให้เศรษฐกิจในประเทศเติบโตอย่างรวดเร็วเพื่อทดแทนการส่งออกที่ชะลอลง

ส่วนที่รัฐบาลต้องเร่งทำคือ เร่งกระตุ้นเศรษฐกิจระดับรากหญ้าโดยเร็วที่สุด ซึ่งในวันที่ 21 มี.ค.นี้ จะเรียกประชุมคณะกรรมการพัฒนาศักยภาพของหมู่บ้านและชุมชน (เอสเอ็มแอล) ตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง เพื่อผลักดันงบประมาณ 15,000 ล้านบาท ภายในเดือน เม.ย.นี้

นอกจากนี้ จะเร่งรัดงบประมาณรายจ่ายประจำปี 51 ให้มีการเบิกจ่ายได้รวดเร็วมากขึ้น โดยเฉพาะงบลงทุนของรัฐวิสาหกิจที่พบว่ามีการเบิกจ่ายล่าช้ามาก โดยในวันที่ 21 มี.ค.นี้ หรืออย่างช้าในต้นสัปดาห์หน้า จะเรียกประชุมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและกรมบัญชีกลาง เพื่อให้มีการเบิกจ่ายงบประมาณที่โปร่งใสและมีคุณภาพมากขึ้น โดยจะไม่เน้นในเรื่องภาพรวมอีกต่อไป แต่เน้นในเรื่องของรายละเอียดในแต่ละโครงการ

น.พ.สุรพงษ์ กล่าวว่า จะเร่งรัดการลงทุนในโครงการสาธารณูปโภคขนาดใหญ่ (เมกะโปรเจกต์) อื่น โดยเฉพาะทางด้านการศึกษาและสาธารณสุข โดยให้มีการจัดซื้อคอมพิวเตอร์ หรือจัดทำระบบอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง ลงสู่ทั่วประเทศ แทนการนั่งรอโครงการรถไฟฟ้าที่ต้องใช้เวลานาน โดยร่นระยะเวลาดำเนินการให้เร็วขึ้นอย่างน้อย 3 เดือน ซึ่งเชื่อว่าจะมีงบประมาณในการจัดซื้อหรือดำเนินโครงการเหล่านี้เข้าสู่ระบบอย่างน้อย 10,000 ล้านบาท

โดยจะมีการประชุมคณะกรรมการเมกะโปรเจกต์ด้านการศึกษาครั้งแรกในวันที่ 20 มี.ค.นี้

นอกจากนี้ ยังต้องเร่งสร้างความเชื่อมั่นในประเทศให้เกิดขึ้นโดยเร็วที่สุด เพื่อให้เอกชนเร่งขยายการลงทุน ทำให้เกิดการค้าขาย รวมถึงการเร่งรัดโครงการท่องเที่ยวต่าง ๆ ให้เกิดขึ้นไปพร้อม ๆ กัน

ให้อำนาจธปท.ดูแลนโยบายการเงิน-อัตราแลกเปลี่ยนเต็มที่

ส่วนเรื่องอัตราดอกเบี้ยนั้นเป็นเรื่องของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) และธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ต้องเข้าไปดูแล ควบคู่กับอัตราแลกเปลี่ยนและอัตราเงินเฟ้อ เพื่อให้สอดคล้องกับการเติบโตทางเศรษฐกิจ

ทั้งนี้ รมว.คลัง เชื่อมั่นว่า ธปท.ได้ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และสามารถตัดสินใจได้สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นแน่ โดยให้ความสำคัญกับเศรษฐกิจของสหรัฐมากกว่าอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐ

ส่วนผู้ส่งออกต้องเร่งปรับตัว โดยการกระจายความเสี่ยงในเรื่องของอัตราแลกเปลี่ยนไปสู่เงินสกุลอื่น เช่น เงินยูโร เงินเยน แทนที่จะผูกติดอยู่กับเงินดอลลาร์สหรัฐแต่เพียงอย่างเดียว เพราะปัจจุบันแม้ค่าเงินบาทจะแข็งค่าขึ้นแต่ก็แข็งค่าโดยสอดคล้องกับค่าเงินในภูมิภาคอื่น

"ท่ามกลางปัญหาเศรษฐกิจโลก ยังมั่นใจว่ารับมือกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นได้ เพราะเศรษฐกิจไทยมีพื้นฐานที่แข็งแกร่ง แต่สิ่งที่น่าห่วงคือ การเมืองที่ไม่ทราบว่าจะก้าวไปสู่จุดใด และเป็นเรื่องทางจิตวิทยาที่ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นในประเทศอย่างมาก และยอมรับว่าการรวมตัวกันของพันธมิตรในวันที่ 28 มี.ค.เป็นส่วนหนึ่งที่สำคัญ โดยต้องการให้อยู่ในขอบเขตตามระบอบประชาธิปไตย อย่านำมายอกย้อนกัน จนกลายเป็นประเด็นทางการเมืองมากขึ้นไปอีก
http://www.bangkokbiznews.com/2008/03/2 ... sid=240611
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news21/03/08

โพสต์ที่ 740

โพสต์

ส่งออก กพ. ขยายตัวจากปีก่อน 16.4% แต่ลดจาก มค. 6.9% กระนั้น 2 เดือนแรกปีนี้ โตถึง 24.6%

Posted on Thursday, March 20, 2008

กระทรวงพาณิชย์ ได้เปิดเผยตัวเลขการค้าระหว่างประเทศ ประจำเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา สรุปได้ว่า การส่งออกมีมูลค่า 427,547.3 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อน 7.0% แต่ลดลงจากเดือนก่อนหน้า 8.4% แต่หากคิดมูลค่าการส่งออกในสกุลดอลลาร์สหรัฐ จะมีมูลค่า 12,991.4 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัวจากช่วงเดียวกันปีก่อน 16.4% แต่ลดลงจากเดือนมกราคม 6.9%

สำหรับการนำเข้า มีมูลค่า 454,733.9 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อน 22.5% แต่ลดลงจากเดือนมกราคมที่ผ่านมา 7.9% แต่หากคนวณมูลค่าการส่งออกเป็นสกุลดอลลาร์สหรัฐ การนำเข้าจะมีมูลค่า 13,680.3 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อน 33.1% แต่ชะลอตัวลงจากเดือนก่อน 6.4%

และเนื่องจากการนำเข้ามีมูลค่าสูงกว่าการส่งออก จึงทำให้ในเดือนกุมภาพันธ์ ไทยขาดดุลการค้า 27,186.7 ล้านบาท พลิกจากที่เกินดุล 28,410.5 ล้านบาท ในช่วงเดียวกันปีก่อน แต่เมื่อคำนวณเป็นเงินดอลลาร์สหรัฐ มูลค่าการขาดดุลการค้า จะพลิกจากเกินดุล 888.3 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในเดือนกุมภาพันธ์ปีก่อน มาเป็นขาดดุล 688.9 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาตัวเลขการค้าระหว่างประเทศ ช่วง 2 เดือนแรกของปี โดยนับรวมข้อมูลในเดือนมกราคมด้วย จะพบว่า ไทยมีการขาดดุลการค้ารวม 54,008.9 ล้านบาท หรือ 1,342.2 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เทียบกับช่วง 2 เดือนแรกปีก่อน ที่มีการเกินดุลการค้า 48,849.1 ล้านบาท หรือ 1,560.1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เนื่องจากมูลค่าการนำเข้าขยายตัวในอัตราเร่งที่สูงกว่าการส่งออก

โดยการนำเข้า 2 เดือนแรกปีนี้ อยู่ที่ 948,514.9 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วง 2 เดือนแรกปีก่อน 30.9% แต่หากคำนวณเป็นสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ การนำเข้าจะขยายตัวถึง 40.9% เพราะมีมูลค่าทั้งสิ้น 28,293.6 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

ขณะที่การส่งออก 2 เดือนแรกของปีนี้ มีมูลค่า 894,505.9 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วง 2 เดือนแรกปีก่อน 15.7% แต่หากคำนวณเป็นสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ การส่งออกจะขยายตัว 24.6% หรือคิดเป็นมูลค่า 26,951.3 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

มันนี่ ชาเนล - วรนนท์ อัศวพิริยานนท์
http://www.moneychannel.co.th/BreakingN ... fault.aspx
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news28/03/08

โพสต์ที่ 741

โพสต์

หอการค้าไทยเห็นแววศก.ฟื้น

โพสต์ทูเดย์ หอการค้าไทยคาดเศรษฐกิจไทยปีนี้ขยายตัว 5-5.5% ตามประมาณการ สศช. พร้อมเผยธุรกิจเด่นได้มาตรการ รัฐหนุน


นายธนวรรธน์ พลวิชัย ผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวว่า หอการค้าไทยได้ปรับประมาณการเศรษฐกิจไทยปี 2551 จากเดิมที่คาดว่าจะขยายตัว 4.5-5% เป็น 5-5.5% ซึ่งเป็นไปตาม ที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ประมาณการไว้ เนื่องจากเชื่อว่าจะมีปัจจัยหลายด้านส่งผลดีในครึ่งปีหลัง โดยเฉพาะจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล ที่อัดฉีดลงไปในระบบ

อย่างไรก็ตาม รัฐบาลต้องเร่งเบิกจ่ายงบประมาณและโครงการเมกะโปรเจกต์ที่จะทำให้ภาคการบริโภคของประชาชนปรับตัวดีขึ้นสำหรับปัจจัยแรกที่จะส่งผลต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจในปีนี้ คือ รัฐบาล ได้ให้ความสำคัญในการดำเนินนโยบาย เร่งด่วนเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจ พร้อมทั้งแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจฐานรากและความยากจน เช่น โครงการเอสเอ็มแอล 2 หมื่นล้าน บาท ธนาคารรัฐปล่อยกู้อีก 4 หมื่นล้านบาท ทำให้เงินเข้าสู่ระบบ 6 หมื่นล้านบาท

นอกจากนี้ ยังมีการเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณประจำปี 2551 ให้เบิกจ่าย 94% และเร่งรัดการลงทุนของรัฐวิสาหกิจ อีกทั้งแนวโน้มการลงทุนของภาครัฐและเอกชนดีขึ้น ขณะที่อัตราเงินเฟ้ออยู่ที่ 4.5% ขณะที่ภาคส่งออกยังขยายตัวถึง 12.5%

คาดว่าค่าเงินบาทจะเฉลี่ยอยู่ที่ 30-31 บาท/เหรียญสหรัฐ ซึ่งอัตราดอกเบี้ยปีนี้ จะทรงตัวใกล้เคียงกับปีที่แล้ว และไม่น่ามีแรงกดดันที่จะต้องปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยในครึ่งปีหลัง ส่วนอัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นทำให้ดอกเบี้ยเงินฝากเริ่มติดลบเล็กน้อย นายธนวรรธน์ กล่าว

ปัจจัยเสี่ยงในประเทศปีนี้ คือ ผู้ประกอบการยังกังวลเรื่องราคาน้ำมันที่ทำให้ต้นทุนการผลิตสูงขึ้น แต่กำลังซื้อลดลง รวมทั้งแนวโน้มค่าเงินบาทที่ยังแข็งค่าขึ้น และปัญหาเงินเฟ้อปรับตัวสูงขึ้น และปัญหา ไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ส่วนปัจจัยเสี่ยงภายนอก ได้แก่ เศรษฐกิจโลกอาจชะลอตัวกว่าที่คาดการณ์เอาไว้ และปัญหาซับไพรม์ที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจสหรัฐ รวมถึงราคาน้ำมันในตลาดโลกที่ ยังทรงตัวในระดับสูง

ดังนั้น รัฐบาลต้องอัดเม็ดเงินเข้าสู่ระบบ 4-6 หมื่นล้านบาท ผ่านมาตรการกึ่งการคลังเพื่อให้ธนาคารเฉพาะกิจนำไปปล่อยกู้ ทั้งธนาคารอาคารสงเคราะห์ ออมสิน ธ.ก.ส. เอสเอ็มอีแบงก์ ซึ่งจะส่งผลดีต่อระบบโดยรวม ขณะที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้ใช้นโยบายอัตราดอกเบี้ยเพื่อดูแลเงินเฟ้อ

ขณะที่กลุ่มอุตสาหกรรมที่น่าจะได้รับประโยชน์จากภาวะเศรษฐกิจฟื้นตัวผ่านมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ ได้แก่ โทรคมนาคม คอมพิวเตอร์ ยานยนต์ แฟชั่น สิ่งทอ เครื่องหนัง อัญมณีและเครื่องประดับ ซอฟต์แวร์และคอมพิวเตอร์ อาหาร สินค้าฟุ่มเฟือยและอสังหาริมทรัพย์ประกันภัยและประกันชีวิต ธุรกิจในตลาดหลักทรัพย์ หุ้นกู้และสหกรณ์ บันเทิง สุขภาพ ทั้งสปา สันทนาการ และการค้าอาหาร

สำหรับธุรกิจดาวเด่น ได้แก่ น้ำตาลทรายที่ตลาดโลกมีความต้องการเพิ่มขึ้น น้ำผัก ผลไม้พร้อมดื่ม ธุรกิจโรงกลั่นน้ำมัน รองเท้าหนัง โรงพยาบาลเอกชน ธุรกิจขนส่งทางทะเล ขณะที่ธุรกิจที่โดดเด่นไม่มากนักในปีนี้ ได้แก่ อุตสาหกรรมที่ไม่ใช้เทคโนโลยีในการผลิตและการรับจ้างผลิต เช่น เสื้อผ้าที่ไม่มีแบรนด์ เครื่องหนังที่ทำธุรกิจซื้อมาขายไป โชห่วย และการขนส่งทางบกที่แบกรับภาระจากค่าน้ำมัน
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=229219
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news03/04/08

โพสต์ที่ 742

โพสต์

ทีดีอาร์ไอชม คลังตีปี๊บเก่งกระตุ้นศก.ปึ้ก

โดย Posttoday วันที่ 3 เมษายน 2551

ทีดีอาร์ไอ ยกนิ้วให้มาตรการกระตุ้นรากหญ้า 5 แสนล้านบาท ชี้การตลาดเยี่ยม
นายสมชัย จิตสุชน ผอ.ด้าน การวิจัยเศรษฐกิจส่วนรวมและ การกระจายรายได้ สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) กล่าวว่า มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระดับรากหญ้าของรัฐบาล เป็นมาตรการที่ใช้งบประมาณไม่มาก เมื่อเทียบกับโครงการประชานิยมที่ผ่านมา

อย่างไรก็ตาม เมื่อรัฐบาลประกาศมาตรการออกมาแล้วสามารถทำให้คนสนใจ เนื่องจากมีการนำเงินจากสินเชื่อปกติของสถาบันการเงินเฉพาะกิจ มารวมไว้ทำให้วงเงินในมาตรการนี้มีจำนวนมากถึงกว่า 4-5 แสนล้านบาท

มาตรการครั้งนี้ ถือว่าปล่อยผ่านไปได้ เพราะใช้เงินไม่มาก แต่ไปเอาสินเชื่อปกติของ ธ.ก.ส. อีกกว่า 3.25 แสนล้านบาท มารวมไว้ ทำให้ยอดรวมมาตรการนี้มีตัวเลข ที่หวือหวามาก ถือว่าทำการตลาด ได้ดี หลอกคนดูได้ เท่ากับเป็นการเรียกความเชื่อมั่นโดยการใช้เงินไม่แพงได้ นายสมชัย กล่าว

นายสมชัย กล่าวว่า สถานการณ์เศรษฐกิจในปัจจุบัน ยังไม่ต้องการกระตุ้นจากภาครัฐมากนัก เนื่องจากเชื่อว่าปีนี้เศรษฐกิจยังขยายตัวได้อย่างน้อย 4%

ทั้งนี้ แผนกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลมี 6 มาตรการ อาทิ พักหนี้เกษตรกร 2 ปี เอสเอ็มแอล และกองทุนหมู่บ้าน

นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ ประธานสมาคมธนาคารไทย กล่าวว่า ถ้าไม่มีปัจจัยอื่นวุ่นวาย เชื่อว่าจีดีพีปีนี้ น่าจะเพิ่มขึ้นแน่นอน ซึ่งหากการเมืองนิ่งสถานการณ์ก็จะดีขึ้น เพราะปัญหาการเมืองทำให้ความเชื่อมั่นลดลง
http://www.posttoday.com/topstories.php?id=230399
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news07/04/08

โพสต์ที่ 743

โพสต์

หวั่น 'เงินเฟ้อ' ฉุดเศรษฐกิจไตรมาส 1 ทะลุ 5% น้ำมัน-อาหารต้นเหตุ  
ขณะที่หลายคนสาละวลให้ความสนใจกับการแก้ปัญหาข้าว และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล ซึ่งเป็นกระแสร้อนอยู่ในขณะนี้ จนอาจลืมนึกไปว่าปัจจุบันเสถียรภาพเศรษฐกิจกำลังถูกคุกคามจาก 'อัตราเงินเฟ้อ'ที่พุ่งสูงขึ้น ซึ่งกลายเป็นปัญหาระดับภูมิภาคเอเชียไปแล้ว



เมื่อเร็วๆนื้ ธนาคารโลก (เวิลด์แบงก์) และธนาคารพัฒนาเอเชีย (เอดีบี) ออกมาส่งสัญญาณในระยะไล่เลี่ยกัน เตือนเอเชีย ระวัง ! อัตราเงินเฟ้อเป็น 'ตัวการ'สำคัญต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ โดยเฉพาะเงินเฟ้อครั้งนี้เกิดจากทั้งราคาน้ำมันและราคาอาหารที่สูงขึ้น ทำให้คาดการณ์อัตราเงินเฟ้อของไทยทั้งปีนี้มองกันไปถึง 5.5% แล้ว ซึ่งสูงที่สุดนับตั้งแต่ปี 2540 และ2541 ที่อัตราเงินเฟ้อทั่วไปอยู่ที่ 5.6% และ 8.1% ตามลำดับ

รองประธานธนาคารโลกในเอเชียตะวันออกและแปซิฟิก 'จิม อดัมส์' ให้ความเห็นว่า "ผลกระทบจากวิกฤติซับไพรม์ต่อประเทศในภูมิภาคนั้นจะไม่เท่ากัน แต่ความกังวลในระยะสั้น คือ อัตราเงินเฟ้อในภูมิภาคกำลังพุ่งสูงขึ้นจนน่าเป็นห่วง" ขณะที่ 'ฌอง ปิแอร์ เวอร์บีสท์' ผู้อำนวยการ สำนักงานผู้แทนประจำประเทศไทยของเอดีบีคาดว่าอัตราเงินเฟ้อของเอเชียอาจสูงถึง 5.1% และสูงที่สุดในรอบ

ทศวรรษ โดยผลจากอัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้น เอดีบีได้ปรับคาดการณ์จีดีพีในเอเชียจาก 8.2% เหลือ 7.6% ในปีนี้ หรือเป็นอัตราการเติบโตที่ต่ำที่สุดในรอบ 5 ปี

แม้ว่าทั้งเวิลด์แบงก์และเอดีบีต่างคาดการณ์จีดีพีของไทยปีนี้ที่ระดับ 5% แต่เวิลด์แบงก์คาดการณ์อัตราเงินเฟ้อของไทยไว้ที่ 5.0-5.5% ต่างจากเอดีบีที่คาดการณ์อัตราเงินเฟ้อไว้ที่ 4.0% โดยที่เอดีบีมองว่าปัจจัยการเมืองจะมีผลต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจของไทยมากกว่าปัจจัยจากต่างประเทศ เช่น ราคาน้ำมันโลกที่ปรับสูงขึ้น หรือเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว เช่นเดียวกับ บริษัทศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด ที่ปรับคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อของไทยทั้งปีจากประมาณการเดิมที่ 3.50-4.50% เป็น 4.00-5.50% หรือคาดว่าอัตราเงินเฟ้อจะเพิ่มขึ้น 0.6-1.0% เพราะผลของราคาข้าวในตลาดโลกที่ทะยานสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ และอาจสูงกว่าปีที่แล้ว 40-60%

มีนาคมเงินเฟ้อทะลุ 5 %

ขณะที่ตัวเลขจริงอัตราเงินเฟ้อล่าสุดที่กระทรวงพาณิชย์เพิ่งประกาศ (มีนาคม 2551) ที่ 5.3% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน จากที่ 2 เดือนก่อนหน้าอัตราเงินเฟ้อเดือนมกราคมอยู่ที่ 4.3% และอัตราเงินเฟ้อเดือนกุมภาพันธ์อยู่ที่ 5.4% หรือโดยเฉลี่ยไตรมาสแรกของปีนี้ (ม.ค.-มี.ค.) อัตราเงินเฟ้อทั่วไปอยู่ที่ 5.00% เป็นการสูงขึ้นของดัชนีหมวดอาหารและเครื่องดื่ม 6.8% ส่วนหมวดอื่นๆที่ไม่ใช่อาหารและเครื่องดื่มสูงขึ้น 3.9% โดยที่ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงสูงขึ้น 26.7%

ผลกระทบจากเงินเฟ้อไตรมาสแรก ทำมูลค่าเงินในกระเป๋าคนไทย จาก 100 บาท เหลือมูลค่าเพียง 95 บาทเท่านั้น !!!! และสิ่งที่อาจเกิดขึ้นตามมาหากราคาสินค้ายังขึ้นเรื่อยๆเงินเฟ้อจะขึ้นไปอยู่ในระดับที่อาจเป็นปัจจับคุกคามต่อเสถียรภาพเศรษฐกิจได้

'ดร.สมชัย สัจจพงษ์' ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจการคลัง กระทรวงการคลัง ยอมรับว่า มีความกังวลต่อตัวเลขเงินเฟ้อในไตรมาสแรกที่ 5% อยู่แล้ว เพราะ เงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นสะท้อนอำนาจซื้อของประชาชนที่ลดลง กระทบทั้งผู้บริโภคและผู้ผลิต เนื่องจากในครั้งนี้เป็นปัญหาจากราคาน้ำมันที่สูงทำให้ผู้ผลิตมีปัญหาด้านต้นทุนและราคาสินค้าที่สูงขึ้น และในที่สุดอาจกระทบต่อกำไรของธุรกิจ แต่อย่างไรก็ตาม ยังดีที่เป็นเงินเฟ้อที่เกิดจากอุปทานเพียงด้านเดียวจากผลของราคาน้ำมัน และยังเชื่อว่าเฉลี่ยทั้งปีอัตราเงินเฟ้อจะอยู่ที่ระดับไม่เกิน 4.5% ซึ่งเป็นระดับที่เศรษฐกิจยังรับได้ เพราะโดยทั่วไปอัตราเงินเฟ้อไม่ควรจะสูงกว่าจีดีพี

โดยที่ก่อนหน้านี้ ในรายงานแนวโน้มเงินเฟ้อ เคยระบุถึงแหล่งที่มาของอัตราเงินเฟ้อทั่วไป แยกน้ำหนักที่มาจากอาหารและเครื่องดื่ม 36.1% พาหนะ การขนส่งและการสื่อสาร 22% เคหสถาน 23.9% การตรวจรักษา 6.0% การบันเทิงและการศึกษา 5.8% เครื่องนุ่งห่ม 3.4% ยาสูบและสุรา 2.8%

อย่างไรก็ตาม ทั้งสภาพัฒน์และแบงก์ชาติเอง ออกมาบอกว่าตัวเลขเงินเฟ้อไตรมาสแรกที่ 5% นั้น ไม่ได้ทำให้กังวลแต่อย่างใด ซึ่ง 'อำพน กิตติอำพน' เลขาธิการสภาพัฒน์ ให้ความเห็นว่า 5% อยู่ในคาดการณ์ของสภาพัฒน์ ด้วย 2 สาเหตุ คือ อัตราเงินเฟ้อในช่วงเดียวกันของปีที่แล้วต่ำ และราคาน้ำมันและราคาสินค้าที่สูงขึ้นในปีนี้ และยังได้คาดการณ์แนวโน้มอัตราเงินเฟ้อในไตรมาสที่ 2 จะอยู่ที่ 4.0-4.5% (บนเงื่อนไขราคาน้ำมันในตลาดโลกที่ไม่ได้ปรับสูงกว่าระดับราคาในปัจจุบัน) และในครึ่งหลังของปีนี้อัตราเงินเฟ้อจะอยู่ที่ 3.5-4.0 % ทำให้เฉลี่ยทั้งปีสภาพัฒน์อาจปรับคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อจาก 3.2 -3.7% เป็น 3.5-4.0% แต่ยังเป็นระดับที่ทำให้จีดีพีโตได้ที่ 4.5-5.5 % ตามที่สภาพัฒน์ประมาณการ ส่วน 'อมรา ศรีพยัคฆ์' ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายนโยบายเศรษฐกิจในประเทศ แบงก์ชาติ ชี้ว่าเงินเฟ้อที่ 5% แม้จะสูงกว่าประมาณการของธปท.ที่เชื่อว่ามีโอกาส 84% ที่เงินเฟ้อจะอยู่ที่ 3.5-4.5% % แต่ก็มีความเป็นไปได้ถึง 40% ที่อัตราเงินเฟ้อจะอยู่ที่ 4.5-5.0%

ย้อนกลับไปไม่เกิน 2 ปีก่อนหน้านี้ ไทยเคยเผชิญอัตราเงินเฟ้อสูงเกิน 6.00% มาแล้ว จากในเดือนพฤษภาคม 2549 อัตราเงินเฟ้อทั่วไปสูงถึง 6.2% แต่เป็นเงินเฟ้อที่เกิดจากราคาน้ำมันที่สูง ซึ่งในครั้งนั้นที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ออกมายอมรับว่าอัตราเงินเฟ้อได้ปรับสูงเกินกว่าที่ กนง.คาด และตัดสินใจขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย โดยช่วงนั้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายขึ้นไปยืนถึงระดับ 5.00% ต่อปี (ปัจจุบันอัตราดอกเบี้ยนโยบายอยู่ที่ 3.25% ) และ

กนง.จะประชุมกำหนดทิศทางอัตราดอกเบี้ยครั้งต่อไปในวันที่ 9 เมษายน นี้

แต่เงินเฟ้อปีนี้มาจากทั้งราคาน้ำมันและราคาอาหารควบคู่กัน ซึ่งนักเศรษฐศาสตร์และคนในตลาดเงินส่วนใหญ่ต่างฟันธงไปแล้วว่า อัตราเงินเฟ้อที่สูงมีผลต่อนโยบายการเงินที่ค่อนข้างจำกัด ซึ่งหมายถึง การประชุมกนง.ที่จะมีขึ้นสัปดาห์หน้านี้ กนง. คงมีมติ ยืนอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 3.25% ต่อปี

เงินเฟ้อปัญหาระดับภูมิภาค

ทั้งนี้ปัญหาเงินเฟ้อได้ลุกลามกลายเป็นปัญหาระดับภูมิภาคไปแล้ว ในการประชุมระดับนานาชาติ เช่น ล่าสุดมีการถกกันในที่ประชุมรัฐมนตรีคลังจาก 10 ประเทศ สมาคมประชาชาติเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) ซึ่งโฟกัสไปที่ประเด็นปัญหาของวิกฤติซับไพรม์ และเงินเฟ้อ

ด้วยขณะนี้อัตราเงินเฟ้อในหลายๆ ประเทศพุ่งทำสถิติทะลุระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ไปแล้ว ยกตัวอย่างเช่น อัตราเงินเฟ้อในเดือนมีนาคมของประเทศเวียดนามพุ่งถึง 19% หรือสูงที่สุดในรอบ 13 ปี เช่นเดียวกับจีน อินโดนีเชีย ฟิลิปปินส์ ที่เผชิญกับปัญหาเดียวกัน (ดูตารางประกอบ)

เงินเฟ้อฉุดจีดีพี

ท่ามกลางสถานการณ์ความเสี่ยงจากอัตราเงินเฟ้อที่มีผลต่อทั้งภูมิภาคเอเชีย ทางออกของประเทศไทยจะเป็นอย่างไร ? โดยเฉพาะอัตราเงินเฟ้อที่อาจกระทบต่ออุปสงค์ภายในประเทศ จะมีผลต่อเป้าหมายจีดีพีของทางการ 6.00 % หรือไม่

นักเศรษฐศาสตร์ฟันธงไปแล้วว่าอัตราเงินเฟ้อที่สูงทำให้นโยบายการเงินมีข้อจำกัดมากขึ้น และมีน้ำหนักสูงเกือบ 100% ที่กนง.จะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 3.25 % ตามที่กล่าวแล้วข้างต้น การใช้ดอกเบี้ยดูแลเสถียรภาพเศรษฐกิจเป็นบทบาทหลักของ ธปท. และการคงอัตราดอกเบี้ยดังกล่าวยังช่วยสกัดไม่ให้อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงติดลบ ลงเรื่อยๆ จากเดือนกุมภาพันธ์ 2551 ซึ่งอัตราดอกเบี้ยเงินฝากที่แท้จริง (อัตราดอกเบี้ยเงินฝาก 12 เดือนที่แท้จริงหักด้วยค่าคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อ 12 เดือนข้างหน้าอยู่ที่ -0.88%) ซึ่งหมายความว่าคนฝากเงินสูญเปล่าเพราะ "ดอกเบี้ยที่ได้รับ ถูกเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นกลืนหายไป" อย่างไรก็ดีอีกแนวทางหนึ่งที่จะช่วยชะลออัตราเงินเฟ้อคือ ปล่อยให้เงินบาทแข็งค่า

ตัวอย่างของเงินบาทที่แข็งค่าซึ่งมีผลให้ต้นทุนการนำเข้าลดลง คือ ราคาน้ำมัน ซึ่งนักเศรษฐศาสตร์ของธนาคารโลก (กรุงเทพฯ) 'กิริฎา เภาพิจิตร'อธิบายให้เห็นว่า ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกเพิ่มสูงขึ้นกว่า 25% ในปีนี้ แต่ค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น ช่วยบรรเทาผลกระทบจากราคาน้ำมันดิบที่เพิ่มขึ้น หรือทำให้ราคาน้ำมันเพิ่มขึ้น เพียง 16%

รวมทั้งความเห็นของ 'ดร.ศุภวุฒิ สายเชื้อ ' กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ภัทร จำกัด (มหาชน) เป็นอีกท่านหนึ่งที่แสดงความเป็นห่วงต่ออัตราเงินเฟ้อของไทย และเห็นด้วยกับการคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 3.25% เพื่อดูแลอัตราเงินเฟ้อ ซึ่งธปท.ควรจะให้น้ำหนักต่อการดูแลด้านเสถียรภาพ เพราะขณะนี้ภาครัฐมีแนวทางและมาตรการเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจอยู่แล้ว จึงไม่จำเป็นต้องลดอัตราดอกเบี้ยเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยเฉพาะหากธปท.ลดอัตราดอกเบี้ยลงแต่ไม่สามารถคุมเงินเฟ้ออยู่ และต้องปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในภายหลังจะยิ่งเป็นปัญหารุนแรง เช่นเดียวกับข้อเสนอแนะของนักเศรษฐศาสตร์ท่านนี้ ที่เห็นว่าควรปล่อยให้เงินบาทแข็งค่า จะช่วยชะลอผลกระทบจากอัตราเงินเฟ้อที่สูงได้อีกทางหนึ่ง

ผ่าน 3 เดือนแรก ด้วยดัชนีชี้กำลังซื้อของประชาชน คือ อัตราเงินเฟ้อเฉลี่ยที่ 5.00% แม้จะยังไม่ได้ชี้ชัดว่าเป็น 'ความเสี่ยง'ที่น่ากังวล แต่การที่ภูมิภาคเอเชียเข้าสู่ความเสี่ยงที่อัตราเงินเฟ้อจะบั่นทอนการขยายตัวทางเศรษฐกิจ ดังจะเห็นได้จากบางประเทศ เช่น สิงคโปร์ และ อินโดนีเซียที่ต้องประกาศปรับลดเป้าหมายจีดีพีไปแล้ว สำหรับไทยเอง แบงก์ชาติหรือหน่วยงานที่ดูแลเศรษฐกิจ คงพูดได้ไม่เต็มปากนักว่า 'เงินเฟ้อ' ไม่ใช่ปัญหา โดยเฉพาะเงินเฟ้อที่มาจากปัจจัยที่อยู่นอกเหนือการควบคุมคือ ราคาน้ำมัน
http://www.thannews.th.com/detialNews.p ... issue=2311
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news07/04/08

โพสต์ที่ 744

โพสต์

ส่งออกปิกอัพระรื่นอียูคืนจีเอสพี + กุ้ง รองเท้า พลาสติกจ้องเสียบหลังหลายประเทศถูกตัด  
อียูแจ้งข่าวดีไทยได้คืนสิทธิจีเอสพีกลุ่มสินค้ายานยนต์ ขณะที่กลุ่มสินค้าส่งออกสำคัญดี๊ด๊าชิงได้เปรียบจีนที่โดนตัดสิทธิกว่า 13 รายการ รถยนต์ กุ้ง รองเท้า พลาสติก ชี้โอกาสทองเร่งส่งออกชดเชยตลาดสหรัฐฯทรุด ประกาศเพิ่มสัดส่วนไปอียูอีกเท่าตัว

จากการที่สหภาพยุโรป หรืออียู ซึ่งปัจจุบันมีสมาชิกมากถึง 27 ประเทศ ได้ให้สิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากรเป็นการทั่วไป(จีเอสพี)ในสินค้ากว่า 7,200 รายการ แก่ประเทศกำลังพัฒนากว่า 178 ประเทศทั่วโลกรวมทั้งไทยมาตั้งแต่ปี 2514 โดยอียูจะมีการพิจารณาทบทวนปรับเปลี่ยนกฎเกณฑ์การให้จีเอสพีเป็นรอบ ๆ ทุก 10 ปี ซึ่งปัจจุบันการให้จีเอสพีของอียูครอบคลุมระยะเวลาตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2549-31 ธันวาคม 2558 โดยแบ่งเป็น 3 ช่วง ช่วงที่ 1 ตั้งแต่ 1 มกราคม 2549-31 ธันวาคม 2551 ช่วงที่ 2 ตั้งแต่ 1 มกราคม 2552-31 ธันวาคม 2554 และช่วงที่ 3 ตั้งแต่ 1 มกราคม 2555-31ธันวาคม 2558

แหล่งข่าวจากกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยกับ "ฐานเศรษฐกิจ"ว่า ล่าสุดทางกระทรวงได้รับรายงานจากสำนักงานพาณิชย์ในต่างประเทศ ณ กรุงบรัสเซลส์ ประเทศเบลเยียมว่า ทางอียูได้แจ้งข่าวดีว่า ในการให้จีเอสพีในช่วงที่ 2 (2552-2554) ทางอียูได้พิจารณาคืนสิทธิจีเอสพีแก่ไทย 1 กลุ่มสินค้าสำคัญ คือกลุ่มยานพาหนะ และอุปกรณ์การขนส่งที่เกี่ยวข้องในพิกัดศุลกากรตอนที่ 86-89 ที่ไทยได้ถูกตัดสิทธิไปในช่วงปี 2549-2551

ขณะเดียวกันในภาพรวมการให้จีเอสพีของอียูในช่วงปี 2552-2554 จะมีประเทศที่ถูกตัดสิทธิจีเอสพีรายกลุ่มสินค้าทั้งสิ้น 6 ประเทศ ประกอบด้วย จีน 13 กลุ่มสินค้าได้แก่ กลุ่มสินค้าเคมี พลาสติก เครื่องหนัง ไม้และผลิตภัณฑ์ สิ่งทอ รองเท้า ของที่ทำด้วยหิน อัญมณีและเครื่องประดับ โลหะสามัญและผลิตภัณฑ์ เครื่องจักรและอุปกรณ์ไฟฟ้า ยานพาหนะ นาฬิกา อุปกรณ์การแพทย์ และกล้องถ่ายรูป และอุปกรณ์, บราซิล 1 กลุ่มสินค้าคือ กลุ่มอาหารปรุงแต่งเครื่องดื่ม สุรา,อินโดนีเซียและมาเลเซียประเทศละ 1 กลุ่มสินค้าในกลุ่มเดียวกันคือ ไขมันและน้ำมันที่ได้จากสัตว์หรือพืช ,เวียดนาม 1 กลุ่มสินค้าคือ กลุ่มสินค้ารองเท้าและดอกไม้เทียม และไทย 1 กลุ่มสินค้าคือ กลุ่มอัญมณีและเครื่องประดับพิกัดที่ 71 ซึ่งถูกตัดจีเอสพีตั้งแต่ปี 2549-2551 แล้ว

"การที่ได้คืนจีเอสพีกลุ่มสินค้ายานยนต์ ซึ่งเป็นกลุ่มสินค้าที่มีศักยภาพของไทยในตลาดอียูน่าจะเป็นประโยชน์กับเรามาก ส่วนอัญมณีและเครื่องประดับพิกัดที่ 71 เป็นสินค้าที่เราถูกตัดมาก่อนหน้านี้แล้ว ขณะที่ในภาพรวมสินค้าเกือบทุกรายการที่เราได้สิทธิจีเอสพีจากอียู เรายังคงได้รับสิทธิฯต่อไป อย่างไรก็ดีในการให้จีเอสพีช่วงที่ 2 นี้อียูได้มีการปรับเปลี่ยนเรื่องกฎแหล่งกำเนิดสินค้าที่จะได้รับการลดหย่อนภาษี ซึ่งในเร็วๆนี้ ทางกรมการค้าต่างประเทศจะได้จัดสัมมนาให้ความรู้ในเรื่องนี้แก่ผู้ส่งออกไทยต่อไป"
http://www.thannews.th.com/detialNews.p ... issue=2311
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news10/04/08

โพสต์ที่ 745

โพสต์

Breaking News  

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย แนะผู้ส่งออก ปรับกลยุทธ์ส่งอออกไปจำหน่ายภายในตลาดจีน เชื่อยังโตได้ไม่ต่ำกว่า 25%

Posted on Wednesday, April 09, 2008

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ได้ออกงานวิจัยล่าสุด แนะนำให้ผู้ส่งออกสินค้าของไทยขยายตลาดส่งออกในจีน ทดแทนการส่งออกสินค้าที่จีนนำเข้าเพื่อใช้เป็นวัตถุดิบ หรือเป็นสินค้าขั้นกลางเพื่อผลิตและส่งออกไปสหรัฐ เนื่องจากมีโอกาสได้รับผลกระทบจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐรุนแรง

โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทย อธิบายว่า แม้เศรษฐกิจจีนในปีนี้ มีแนวโน้มชะลอตัวลง แต่คาดว่าผลกระทบต่อการส่งออกของไทยไปจีน จากการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีนยังอบยู่ในระดับที่จำกัด เนื่องจากสินค้าส่งออกส่วนใหญ่ของไทยไปจีนเป็นสินค้าทุน และวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิตภาคอุตสาหกรรม เพื่อการบริโภคในประเทศ ซึ่งยังคงมีอัตราขยายตัวได้ ประกอบกับทางการจีน ต้องการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านการเดินหน้าโครงการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐาน และสาธารณูปโภค เพื่อทดแทนการส่งออก ซึ่งมีแนวโน้มจะชะลอตัวลงในปีนี้ จึงคาดว่าการส่งออกของไทยไปจีนโดยรวมในปีนี้จะยังคงเติบโตต่อเนื่อง

โดยในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ น่าจะเป็นช่วงที่มีสัญญาณทางเศรษฐกิจที่ดีขึ้น จากปัญหาเงินเฟ้อของจีนที่พุ่งตัวอย่างรุนแรง ซึ่งศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินว่า จะปรับตัวลดลง เนื่องจากอุปทานสินค้าในหมวดอาหารที่น่าจะมีเสถียรภาพมากขึ้น ระกอบกับแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐ ก็น่าจะเริ่มฟื้นตัว โดยมีแนวโน้มขยายตัวดีขึ้นจากในช่วงครึ่งแรกของปี ซึ่งคาดการณ์ว่าเป็นจุดต่ำสุดแล้ว

นอกจากนี้ หากพิจารณาพื้นฐานเศรษฐกิจจีนที่ยังคงแข็งแกร่ง รวมถึงการใช้จ่ายของภาครัฐสำหรับโครงการขยายการลงทุนก่อสร้างถนน สนามบินและโครงสร้างพื้นฐานด้านโลจีสติกส์ เพื่อพัฒนาความแข็งแกร่งของปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจและกระตุ้นเศรษฐกิจจากภายในประเทศ เพื่อลดการพึ่งพาเศรษฐกิจต่างประเทศด้วย ทำให้คาดว่าเศรษฐกิจจีนน่าจะยังคงขยายตัวได้ประมาณร้อยละ 9.0-10.0 ในปีนี้ ชะลอลงเล็กน้อยจากร้อยละ 11.4 ในปีที่ผ่านมา

จากสมมติฐานข้างต้น เมื่อพิจาณาข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการส่งออกจากบ้านเราไปยังจีน ก็จะพบว่า การส่งออกสินค้าเพื่อผลิตสำหรับการบริโภคภายในจีน มีสัดส่วนสูงกว่าครึ่งหนึ่งของการส่งออกทั้งหมด ซึ่งก็มีแรงหุนนเพียงพอที่จะผลักดันให้การส่งออกจากไทยไปจีนโดยรวมยังคงมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง

แต่กระนั้น สินค้าส่งออกของไทยไปจีนซึ่งเป็นสินค้าขั้นกลาง ใช้สำหรับผลิตและส่งออกต่อ ไปยังสหรัฐ อย่าง คอมพิวเตอร์และชิ้นส่วน เคมีภัณฑ์ แผงวงจรไฟฟ้า และเม็ดพลาสติก อาจได้รับผลกระทบจากปัญหาเศรษฐกิจสหรัฐ ที่ชะลอตัวหรืออาจเข้าสู่ภาวะถดถอย ตามมาได้

นอกจากนี้ ปัจจัยท้าทายจากค่าเงินหยวนของจีนที่มีแนวโน้มแข็งค่าขึ้นในปีนี้ อาจกระทบต่อความสามารถทางการแข่งขันของสินค้าส่งออกจีนที่ราคาปรับตัวสูงขึ้น และอาจส่งผลต่อการส่งออกของไทยไปจีนเพื่อใช้ผลิตส่งออกไปประเทศที่สามตามมาด้วย

อย่างไรก็ตาม คาดว่าทางการจีนจะดำเนินนโยบายทยอยปรับค่าเงินหยวนให้แข็งขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบที่รุนแรงต่อภาคการส่งออก โดยเฉพาะธุรกิจขนาดกลางและเล็กของจีน นอกจากนี้ แม้ค่าเงินหยวนมีแนวโน้มแข็งค่าขึ้นในปีนี้ แต่จีนยังคงมีความได้เปรียบด้านต้นทุนการผลิตรวมถึงค่าแรงงานที่ยังคงอยู่ในระดับต่ำเมื่อเทียบกับหลาย ๆ ประเทศ

ทั้งนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดว่า การส่งออกของไทยไปจีนในปีนี้ จะขยายตัวได้ราวร้อยละ 25 ใกล้เคียงกับการส่งออกไปจีนในปีที่ผ่านมา ที่ขยายตัวร้อยละ 26.5

มันนี่ ชาเนล - วรนนท์ อัศวพิริยานนท์
http://www.moneychannel.co.th/BreakingN ... fault.aspx
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news10/04/08

โพสต์ที่ 746

โพสต์

ภาคเอกชนยังกังวลเรื่องค่าเงินบาทแข็งเหมือนเดิม แต่คลังวอนให้สนใจสร้างโอกาสส่งออกสินค้าอาหารแทน

Posted on Wednesday, April 09, 2008

นายสันติ วิลาสศักดานนท์ ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เสนอแนะให้กระทรวงการคลัง และธนาคารแห่งประเทศไทย หามาตรการรองรับผลกระทบที่จะเกิดจากการประกาศลดดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐ ในปลายเดือนนี้ เป็นการล่วงหน้า เพราะเกรงว่า หาก FED ประกาศลดดอกเบี้ยนโยบาย โดยเฉพาะตัวดอกบี้ยระยะสั้น (Fed Funds) ลงอีก 0.75% จะทำให้ส่วนต่างดอกเบี้ยระหว่างไทยและสหรัฐสูงขึ้น ซึ่งทำให้มีความกังวลเรื่องเนทุนไหลเข้า ซึ่งจะโยงมาถึงค่าเงินบาทด้วยในอีกทางหนึ่ง

ด้านนายสุชาติ จันทรานาคราช ประธานสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย ออกโรงย้ำให้รัฐบาล เข้ามาช่วยดูแลผู้ส่งออกอีกครั้ง ด้วยการดูแลไม่ให้เงินบาทแข็งค่ามากเกินไป เพราะที่ผ่านมา เงินบาทแข็งค่ากว่าประเทศเพื่อนบ้านแล้วถึง 12% โดยเสนอให้กระทรวงการคลัง และธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ชั่งน้ำหนักเปรียบเทียบระหว่างภาระที่เกิดจากการเข้าไปซื้อดอลลาร์สหรัฐ เพื่อแทรกแซงค่าเงินบาท กับผลประโยชน์ที่จะได้จากภาคส่งออก เพื่อสร้างรายได้เข้าประเทศ ช่วยสร้างงาน และขับเคลื่อนเศรษฐกิจ เพราะโดยส่วนตัว ยังเห็นว่า ภาคส่งออกมีส่วนผลักดันรายได้เข้าประเทศในสัดส่วนที่สูงถึง 67% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ

นอกจากนี้ เขาได้เสนอให้รัฐบาลเข้ามาช่วยดูแลแก้ไขปัญหาแรงงาน โดยเฉพาะการเปิดโอกาสให้แรงงานต่างด้าวเข้ามาทำงาน โดยไม่ให้มีผลกระทบต่อแรงงานในประเทศ เพราะขณะนี้ภาคอุตสาหกรรม เริ่มขยายกิจการ ต้องการแรงงานทั้งในและต่างประเทศนับแสนราย

อย่างไรก็ดี แกนนำในการดูแลนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลปัจจุบัน ทั้งกระทรวงการคลัง และ ธปท.ยังคงยืนยัน ภาวะเงินบาทขณะนี้เหมาะสมดีแล้ว และไม่น่าส่งกระทบต่อศักยภาพในการส่งออกมากนัก

โดยเมื่อวานนี้ นางธาริษา วัฒนเกส ผู้ว่าการ ธปท. ได้ออกมาพูดล่วงหน้าแล้วว่า หากธนาคารกลางสหรัฐมีการปรับลดดอกเบี้ยนโยบาย โดยเฉพาะ Fed Funds แรง แต่ก็ไม่น่าส่งผลให้มีเงินทุนไหลเข้ามาก เพราะปัจจุบัน ดอกเบี้ยไทยต่ำกว่าประเทศเพื่อนบ้าน

และล่าสุด คุณหมอสุรพงษ์ สืบวงศ์ลี รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้ออกมาเสนอแนะผู้ส่งออก ให้รีบพลิกวิกฤตความกังวลเรื่องขาดแคลนอาหาร ให้เป็นโอกาสในการส่งออก เพราะไทยมีศักยภาพในด้านการผลิตอาหารสูง หากมีการร่วมมือกันระหว่สงภาครัฐและเอกชน จะช่วยเพิ่มรายได้จากการส่งออกสินค้าเกษตรได้เพิ่มขึ้น

สำหรับภาวะราคาสินค้าเกษตรที่สูงขึ้น จนสร้างแรงกดดันให้เงินเฟ้อในไตรมาสแรก พุ่งตัวถึง 5% นั้น ไม่น่าส่งผลกระทบให้เงินเฟ้อในประเทศสูงขึ้นมากนัก แต่กลับส่งผลดีให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้นซึ่งจะทำให้การบริโภคภายในประเทศขยายตัวได้ดีขึ้นตามไปด้วย

มันนี่ ชาเนล - วรนนท์ อัศวพิริยานนท์
http://www.moneychannel.co.th/BreakingN ... fault.aspx
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news11/04/08

โพสต์ที่ 747

โพสต์

ECONOMICS  
         ดัชนีความเชื่อของมั่นผู้บริโภค (CCI) เดือนมีนาคม 2551 ปรับตัวดีขึ้นมาอยู่ที่ 80.7 ปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 5 และอยู่ในระดับสูงสุดในรอบ 15 เดือน

         ดัชนีความเชื่อของมั่นผู้บริโภค (CCI) เดือนมี.ค. 2551 ปรับตัวดีขึ้นมาอยู่ที่ 80.7 จากเดือนก.พ.ที่อยู่ที่ระดับ 79.5 ซึ่งเป็นการปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 5 และอยู่ในระดับสูงสุดในรอบ 15 เดือน โดยเป็นการปรับขึ้นในทุกองค์ประกอบ โดยดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับเศรษฐกิจโดยรวมอยู่ที่ระดับ 73.8% ปรับเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้าที่ระดับ 72.6% ดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับโอกาสในการหางานเพิ่มขึ้นเล็กน้อยที่ 73.5% จากเดือนที่ผ่านมา 72.7% และดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับรายได้ในอนาคตปรับเพิ่มขึ้นที่ 94.6% จากระดับ 93.2% ในเดือนที่ผ่านมา ปัจจัยบวกที่มีผลช่วยสนับสนุนให้ความเชื่อของผู้บริโภคในเดือนมี.ค. 51 ปรับตัวดีขึ้น SCIBS คาดว่ามาจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลทั้งมาตรการลดหย่อนภาษี และการพัฒนาศักยภาพของหมู่บ้านและชุมชน(SML) จึงส่งผลบวกต่อความเชื่อมั่นให้ปรับตัวดีขึ้น ในขณะที่ปัจจัยเสี่ยงในด้านต่างๆ เริ่มกดดันตลาดน้อยลง
โดยแนวโน้มของดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคในช่วง Q2/51 ยังคาดว่าจะมีโอกาสในการปรับตัวขึ้น แต่คาดว่าจะเป็นแนวโน้มในการชะลอตัวลงจากช่วงต้นปี เนื่องจากเริ่มมีปัจจัยกดดันต่อสภาพเศรษฐกิจโดยรวม ทั้งจากปัญหาอัตราเงินเฟ้อที่คาดว่าจะยังมีการคงตัวอยู่ในระดับสูง และปัจจัยกดดันจากภาคการเมืองที่คาดว่าจะมีสัญญาณที่จะมีปัญหารุนแรงมากยิ่งขึ้น เนื่องจากประเด็นข้อขัดแย้งในการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อหลีกเลี่ยงคดียุบพรรค โดย SCIBS มองว่าดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคจะเริ่มเห็นสัญญาณในการปรับตัวดีขึ้นได้อย่างชัดเจนในช่วง H2/51 เป็นต้นไป ตามสัญญาณการชะลอตัวของอัตราเงินเฟ้อในช่วงครึ่งหลังของปี และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่างๆ ที่คาดว่าจะเริ่มส่งผลดีต่อเศรษฐกิจโดยรวมได้ในช่วงครึ่งหลังของปี ซึ่งจะส่งผลให้ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคจะมีการเติบโตอย่างก้าวกระโดด และจะเป็นตัวบ่งชี้ที่สำคัญไปถึงภาคการบริโภคในประเทศ ที่คาดว่าจะมีการปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่องในปี 2551
โดยบริษัทหลักทรัพย์ นครหลวงไทย จำกัด ประจำวันที่ 11 เมษายน 2551
http://www.thunhoon.com/home/
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news11/04/08

โพสต์ที่ 748

โพสต์

คลังรับรายได้พลาดเป้า1% หลังรัฐหั่นภาษีฟื้นเศรษฐกิจ

11 เมษายน พ.ศ. 2551 14:38:00

(Update) คลังรับยอดจัดเก็บรายได้ปี"51 พลาดเป้า 1% ผลพวงรัฐบาลออกมาตรการภาษีกระตุ้นเศรษฐกิจ ขณะที่ยอดจัดเก็บภาษี 6 เดือนแรกสูงกว่าเป้าเล็กน้อย

กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ : ดร.สมชัย สัจจพงษ์ ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจการคลัง สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง ได้เปิดเผยถึงผลการจัดเก็บรายได้รัฐบาลประจำเดือนมีนาคม 2551 ว่า สามารถจัดเก็บได้ 92,841 ล้านบาท ต่ำกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ 6,916 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม การจัดเก็บรายได้รัฐบาลในช่วง 6 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2551 (ตุลาคม 2550 - มีนาคม 2551) ยังสูงกว่าประมาณการ 1,940 ล้านบาท

สำหรับสาเหตุที่ทำให้รายได้ต่ำกว่าเป้าหมาย มาจากรัฐวิสาหกิจไม่สามารถนำส่งรายได้ตามแผนที่กำหนดไว้ โดยนำส่งรายได้ต่ำกว่าเป้าหมาย 6,162 ล้านบาท รวมทั้งการจัดเก็บรายได้ของส่วนราชการอื่นไม่เป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้

นอกจากนี้ ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ภาษีธุรกิจเฉพาะ และภาษีสรรพสามิตหลายประเภทจัดเก็บได้ต่ำกว่าเป้าหมายด้วย อย่างไรก็ดี มีภาษีที่จัดเก็บได้สูงกว่าประมาณการที่สำคัญ ได้แก่ ภาษีเงินได้นิติบุคคล ภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีสรรพสามิตรถยนต์ และอากรขาเข้า

สำหรับในช่วง 6 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2551 (ตุลาคม 2550 - มีนาคม 2551) รัฐบาลจัดเก็บรายได้สุทธิ 629,650 ล้านบาท สูงกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ 1,940 ล้านบาท หรือร้อยละ 0.3 (สูงกว่าช่วงเดียวกันปีที่แล้วร้อยละ 2.9) เป็นผลจากการจัดเก็บภาษีกรมสรรพากรและกรมศุลกากรสูงกว่าเป้าหมายเป็นสาเหตุหลัก

ดร.สมชัยกล่าวว่า ผลการจัดเก็บรายได้ในช่วง 6 เดือนแรกของปีงบประมาณของกรมสรรพากร จัดเก็บได้รวม 481,885 ล้านบาท สูงกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ 12,817 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 2.7 โดยภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา และภาษีธุรกิจเฉพาะจัดเก็บได้ต่ำกว่าเป้าหมาย เป็นผลจากอัตราดอกเบี้ยทั้งเงินฝากและเงินกู้อยู่ในระดับที่ต่ำประกอบกับมาตรการทางภาษีที่ลดอัตราภาษี ธุรกิจ เฉพาะสำหรับรายรับจากธุรกรรมบางประเภทของสถาบันการเงิน

ขณะที่กรมสรรพสามิต จัดเก็บได้รวม 145,843 ล้านบาท ใกล้เคียงกับเป้าหมายที่ตั้งไว้ โดยต่ำกว่าเพียง 871 ล้านบาท หรือร้อยละ 0.6 (ต่ำกว่าช่วงเดียวกันปีที่แล้วร้อยละ 2.7 แต่ถ้าหักรายได้จากภาษีกิจการโทรคมนาคมของปีที่แล้วออก จะสูงกว่าช่วงเดียวกันปีที่แล้ว 3,241 ล้านบาท หรือร้อยละ 2.3) โดยภาษีที่จัดเก็บได้ต่ำกว่าเป้าหมายที่สำคัญ ได้แก่ ภาษียาสูบ และภาษีสรรพสามิตรถยนต์เป็นผลจากผู้บริโภคชะลอการซื้อรถยนต์นั่งในช่วงก่อนหน้า ส่วนกรมศุลกากร จัดเก็บได้รวม 49,136 ล้านบาท สูงกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ 4,396 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 9.8

สำหรับรัฐวิสาหกิจ นำส่งรายได้รวม 43,790 ล้านบาท ต่ำกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ 8,503 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 16.3 ซึ่งเป็นผลจากบริษัททีโอทีฯ และบริษัท กสท โทรคมนาคมฯ ยังไม่นำส่งรายได้จากค่าธรรมเนียมการให้บริการการสื่อสาร และรัฐวิสาหกิจบางแห่งยังไม่สามารถนำส่งรายได้ได้เนื่องจากสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินยังไม่รับรองงบการเงิน

จากผลการจัดเก็บรายได้รัฐบาลในช่วง 6 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2551 ที่สูงกว่าประมาณการ 1,940 ล้านบาท แต่ผลจากมาตรการภาษีเพื่อกระตุ้นและฟื้นฟูเศรษฐกิจ เมื่อวันที่ 4 มีนาคม 2551 ที่จะส่งผลกระทบต่อการจัดเก็บรายได้ของกรมสรรพากรในช่วง 6 เดือนหลังของปีงบประมาณ 2551 กระทรวงการคลังคาดว่าการจัดเก็บรายได้รัฐบาลในปีนี้จะต่ำกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ 1.495 ล้านล้านบาท ประมาณร้อยละ 1.0
http://www.bangkokbiznews.com/2008/04/1 ... sid=248039
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news16/04/08

โพสต์ที่ 749

โพสต์

ธปท.การันตี หนี้ครัวเรือน ไม่ทำศก.ป่วน

โพสต์ทูเดย์ ธปท.ชี้หนี้ครัวเรือน 1.16 แสนบาท ไม่สูง แต่ห่วงกระจุกตัวผู้มีรายได้น้อย


น.ส.อนรรฆ เสรีเชษฐพงษ์ เศรษฐกรฝ่ายเศรษฐกิจในประเทศ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า จากการติดตามหนี้ภาคครัวเรือนล่าสุดของ ธปท. พบว่า ภาวะหนี้สินเฉลี่ยของครัวเรือน ยังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่สถานการณ์หนี้สินของครัวเรือนในภาพรวมยังอยู่ในระดับที่บริหารจัดการได้ จึงเชื่อว่าจะไม่สร้างปัญหาในวงกว้างต่อเศรษฐกิจ

ทั้งนี้ เนื่องจากหนี้สินส่วนใหญ่ของครัวเรือนยังเป็นหนี้เพื่อการซื้อสินทรัพย์ที่เป็นอสังหาริมทรัพย์ และเพื่อการประกอบอาชีพ ซึ่งเป็นหนี้เพื่อการสะสมหนี้สินและก่อให้เกิดรายได้

อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงของปัญหาหนี้สินที่ยังต้องติดตามต่อไปคือ การที่หนี้กระจุกตัวอยู่ที่ครัวเรือนบางกลุ่ม เช่น ครัวเรือนที่มีรายได้ต่ำ มีการศึกษาและความรู้ทางการเงินน้อย และพึ่งพาแหล่งเงินทุนนอกระบบเป็นหลัก อีกทั้งปัญหาหนี้สินของครัวเรือนในภาคเกษตรยังมีความซับซ้อนมากกว่าครัวเรือนทั่วไปด้วย ดังนั้น การ แก้ไขปัญหาหนี้สินภาคครัวเรือน ให้ตรงเป้าหมายควรมุ่งไปที่กลุ่ม ที่มีหนี้สินมากเป็นอันดับแรกๆ ควบคู่ไปกับการปรับเปลี่ยนวิธีการใช้จ่าย ส่งเสริมการออม และให้สินเชื่อแก่ผู้มีรายได้น้อยอย่างระมัดระวังด้วย

สำนักงานสถิติแห่งชาติ (สสช.) พบว่าหนี้ครัวเรือนของไทยเพิ่ม ขึ้นอย่างต่อเนื่อง จาก 68,405 บาทต่อครัวเรือน ในปี 2543 เป็น 116,681 บาทต่อครัวเรือน ในปี 2550

ความสามารถในการชำระหนี้ของครัวเรือนไม่ได้แย่ลงมาก และเมื่อเปรียบเทียบหนี้สินและสินทรัพย์ในครัวเรือนแล้ว จะพบว่าครัวเรือนไทยมีสัดส่วนหนี้สินต่อสินทรัพย์ต่ำกว่าหลายๆ ประเทศ น.ส.อนรรฆ ระบุ
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=232655
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news16/04/08

โพสต์ที่ 750

โพสต์

คาดดัชนีหุ้นไทยช่วงครึ่งปีแรกจะทรงตัวจากปัญหาการเมือง ส่วนครึ่งปีหลังจะดีขึ้น

Posted on Wednesday, April 16, 2008
ดร.บัณฑิต นิจถาวร รองผู้ว่าการสายเสถียรภาพการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวในงานสัมมนา "ยาแรงกระตุ้นเศรษฐกิจ : ทิศทางเศรษฐกิจ และตลาดหุ้นไทย ปี 51" ขณะนี้ทุกประเทศทั่วโลกกำลังประสบปัญหาที่คล้ายกัน คือ 1. ปัญหาเงินเฟ้อ 2. การชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่กระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศที่พึ่งพาการส่งออกเป็นหลัก และ 3. การอ่อนค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐฯ และอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐฯ ที่อยู่ในระดับต่ำ ก็จะกดดันให้เงินสกุลอื่น ๆ แข็งค่าขึ้นด้วย ซึ่งธนาคารกลางของประเทศต่าง ๆ ก็จะมีวิธีแก้ไขที่ต่างกัน โดยในส่วนของ ธปท. ก็มีเป้าหมายที่จะดูแลเงินเฟ้อให้อยู่ในกรอบที่กำหนดไว้ พร้อมกับการดูแลค่าเงินบาทให้มีเสถียรภาพด้วย

ดร.บัณฑิตเผยว่า นอกจากปัญหาข้างต้นแล้ว ในช่วงที่ผ่านมาไทยยังต้องประสบปัญหาเรื่องความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติด้วย โดยในช่วงก่อนการเลือกตั้งเมื่อปลายปี 2550 นักลงทุนต่างชาติมีคำถามที่สำคัญ 3 ข้อ คือ 1. หลังการเลือกตั้ง การเมืองไทยจะนิ่งหรือไม่ 2. รัฐบาลใหม่จะดำเนินนโยบายเศรษฐกิจในระบบเสรีหรือไม่ และ 3. ผู้ประกอบการไทยจะมีความเชื่อมั่นหรือไม่ อย่างไรก็ตามในช่วง 4 เดือนหลังจากที่มีการเลือกตั้ง นักลงทุนต่างชาติก็มีความเชื่อมั่นมากขึ้น เนื่องจากไทยมีการเลือกตั้งแล้ว ซึ่งเป็นสิ่งที่ต่างประเทศให้ความสำคัญ รวมถึงนโยบายของรัฐบาลก็เป็นสิ่งที่นักลงทุนต่างชาติได้คาดการณ์ไว้แล้วเช่นกัน

นายปกรณ์ มาลากุล ณ อยุธยา ประธานกรรมการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) กล่าวว่า การเมืองถือเป็นปัจจัยที่มีผลต่อการลงทุนในตลาดหุ้นไทยมากพอสมควร เพราะนักลงทุนต่างชาติถือเป็นความเสี่ยงที่ไม่สามารถบริหารจัดการได้ โดยในช่วงที่การเมืองไทยยังไม่มีความชัดเจน นักลงทุนต่างชาติก็ได้ถอนการลงทุนในตลาดหุ้น และนำเงินไปลงทุนในตลาดตราสารหนี้แทน อย่างไรก็ตาม เมื่อรัฐบาลมีความชัดเจน และได้ประกาศใช้มาตรการภาษี เพื่อกระตุ้นและฟื้นฟูเศรษฐกิจ รวมถึงการจัดตั้งคณะกรรมการพัฒนาตลาดทุน เชื่อว่าจะช่วยให้นักลงทุนต่างชาติมีความเชื่อมั่นและกลับมาลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯ เพิ่มขึ้น ส่วนตลาดหลักทรัพย์ฯ ก็จะมีบริษัทจดทะเบียนเพิ่มขึ้นเช่นกัน

นายปกรณ์คาดว่า ในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ ดัชนีตลาดหุ้นไทยจะเคลื่อนไหวในกรอบแคบ ๆ และจะมีนักลงทุนต่างชาติบางส่วนโยกเงินไปพักในตลาดตราสารหนี้ เพราะยังกังวลกับปัญหาทางการเมือง ส่วนในช่วงครึ่งหลังของปี ถ้ารัฐบาลสามารถบริหารประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพ ก็จะทำให้ความเชื่อมั่นของนักลงทุนกลับคืนมา ประกอบกับมาตรการกระตุ้นเศณษฐกิจของรัฐบาลที่จะเริ่มเห็นผล จึงน่าจะช่วยให้บรรยากาศการลงทุนในตลาดทุนไทยปรับตัวดีขึ้นแน่นอน

ดร.สมชัย จิตสุชน ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยเศรษฐกิจมหภาค สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) มองว่า เศรษฐกิจไทยยังไม่ได้แย่จนถึงขึ้นน่าเป็นห่วงตามที่รัฐบาลได้บอกไว้ เนื่องจากตัวเลขที่สำคัญทางเศรษฐกิจหลายตัว เช่น การบริโภค และการลงทุน ก็มีแนวโน้มที่ดีขึ้น ดังนั้น ก็อยากให้รัฐบาลสามารถรักษาในจุดนี้ไว้ด้วย ส่วนปัญหาการเมืองที่เกิดขึ้นในขณะนี้ เห็นว่าไม่ควรแก้ไขด้วยการยุบพรรคการเมือง เพราะจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศ

ดร.ก้องเกียรติ โอภาสวงการ ประธานสภาธุรกิจตลาดทุนไทย เชื่อว่า ปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองที่เกิดขึ้นในขณะนี้ ถ้าไม่ส่งผลกระทบต่อภาพรวมของเศรษฐกิจไทย นักลงทุนต่างชาติก็จะยังเข้ามาลงทุนอยู่ แต่ถ้าปัญหาการเมืองส่งผลกระทบต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศ ก็จะกระทบต่อการเข้ามาลงทุนของนักลงทุนต่างชาติ

ส่วนการที่อัตราดอกเบี้ยของไทยสูงกว่าสหรัฐฯ อยู่ 1% นั้น เชื่อว่าจะไม่ทำให้ต่างชาติเข้ามาเก็งกำไรค่าเงิน เพราะตลาดไทยยังมีขนาดเล็กมาก อย่างไรก็ตาม ดร.ก้องเกียรติเป็นห่วงว่า ถ้าในช่วงกลางปีนี้ธนาคารกลางสหรัฐฯ ลดอัตราดอกเบี้ยจนต่ำกว่า 2% จากปัจจุบันที่อยู่ในระดับ 2.25% จะทำให้ทั่วโลกต้องประสบกับปัญหาเงินเฟ้อด้วย

ดร.ศุภวุฒิ สายเชื้อ กรรมการผู้จัดการ บมจ.หลักทรัพย์ภัทร บอกว่า ขณะนี้ปัจจัยพื้นฐานของเศรษฐกิจไทยอยู่ในสถานะที่ดีมาก โดยการเกินดุลบัญชีเดินสะพัดในช่วงที่ผ่านมา แสดงให้เห็นว่าไทยยังมีกำลังซื้ออยู่ ส่วนการลงทุนที่ไม่ขยายตัว บ่งชี้ว่าไทยยังมีศักยภาพที่จะขยายการลงทุนได้อีก อย่างไรก็ตามเศรษฐกิจไทยยังมีปัจจัยเสี่ยง คือ ปัญหาการเมือง และปัญหาต้นทุนการผลิตที่เพิ่มขึ้น ทำให้อัตราเงินเฟ้ออยู่ในระดับสูง ทั้งนี้ มองว่ารัฐบาลสามารถแก้ปัญหาเงินเฟ้อได้ด้วยการปล่อยให้เงินบาทแข็งค่าขึ้น แต่วิธีนี้ก็อาจจะกระทบต่อผู้ส่งออกได้

ส่วนปัญหา Subprime ของสหรัฐฯ แม้จะไม่ส่งผลกระทบทางตรงต่อเศรษฐกิจไทย แต่ก็มีผลกระทบทางอ้อม เพราะการอ่อนค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐฯ จะทำให้ทั่วโลกประสบปัญหาเงินเฟ้อ

ติดตาม Hard Topic ทาง Money Channel True Visions 80 ทุกวันจันทร์ ศุกร์ เวลา 13.00 14.00 น.

ช่องทางการรับชม Money Channel: True Visions ช่อง 80, จานดาวเทียม Samart DTH ช่อง 08 และเคเบิลทีวีท้องถิ่นทั่วประเทศ ช่อง 30

http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Har ... fault.aspx