กฎเกณฑ์ของธนาคารแห่งประเทศไทย

การลงทุนแบบเน้นคุณค่า เน้นที่ปัจจัยพื้นฐานเป็นหลัก

ล็อคหัวข้อ
chatchai
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 11443
ผู้ติดตาม: 0

กฎเกณฑ์ของธนาคารแห่งประเทศไทย

โพสต์ที่ 1

โพสต์

วันก่อนอ่านข่าวที่ธนาคารแห่งประเทศไทยออกมาให้ข่าวว่าจะมีการปรับกฎเกณฑ์การตั้งสำรองของสถาบันการเงินให้เข้มงวดขึ้น เพื่อเร่งให้มีการปรับโครงสร้างหนี้

หลายครั้งที่ผมเคยตั้งข้อสงสัยเกี่ยวกับกฎเกณฑ์ต่างๆของธนาคารแห่งประเทศไทยว่าได้มาตรฐานหรือไม่ แล้วมาตรฐานที่แท้จริงเป็นเช่นไร

นักลงทนรายย่อยคนไทยมักเชื่อตามที่ผ้บริหารของทั้งธนาคารแห่งประเทศไทย กระทรวงการคลัง นักวิเคราะห์ ผ้บริหารสถาบันการเงิน ที่มักจะบอกว่าสถาบันการเงินของไทยนั้นมั่นคงเพียงพอแล้ว มีการตั้งสำรองเกินกฎเกณฑ์ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยบังคับแล้ว มีเงินทนเพียงพอแล้ว

หลายท่านก็ซื้อลงทนในห้นของสถาบันการเงิน เพราะเห็นว่าเศรษฐกิจของไทยดีขึ้น และฐานะทางการเงินของสถาบันการเงินไทยมั่นคงดีแล้ว ตั้งสำรองครบแล้ว

แต่หลังจากนั้นไม่นาน บางสถาบันการเงินก็ยังคงมีผลการดำเนินงานที่ขาดทน บางแห่งก็ต้องการเพิ่มทน เจ้าของธนาคารพาณิชย์บางแห่งถึงกับเลิกลงทนขายกิจการให้ผ้อื่น และแทบทกแห่งยังคงมีการตั้งสำรองเพิ่มขึ้นทกไตรมาส

พออ่านข่าวแล้วทำให้พอเข้าใจได้ว่ากฎเกณฑ์ต่างๆที่บังคับใช้อย่นั้นคงไม่ตามมาตรฐานสากลเป็นแน่แท้ เข้าใจว่าคงจะเป็นการผ่อนปรนให้สถาบันการเงินไทยไม่ให้ล้มละลาย แล้วสถานการณ์ดีขึ้นจึงเริ่มปรับให้เข้มขึ้นเป็นลำดับ แต่การที่ปรับให้เข้มขึ้นนั้นคงมีส่วนกระทบต่องบกำไรขาดทนของสถาบันการเงินไทยไม่มากก็น้อย

อย่างเช่น การตั้งสำรองหนี้ NPL ในปัจจบันนั้นจะมีการตั้งสำรองเฉพาะส่วนเกินของมลหนี้ที่เกินจากหลักประกัน เช่น มีหนี้เสีย 100 ล้านบาท แต่มีหลักประกันมลค่า 80 ล้านบาท ถ้าเสียเกิน 1 ปี ก็ตั้งสำรองเพียงแค่ 20 ล้านบาท

แต่จากกฎเกณฑ์ที่จะบังคับใช้ใหม่นั้นจะลดมลค่าหลักประกันที่จะนำมาหักออกจากที่หักได้ 100% ของมลค่าหลักประกัน ก็จะลดเหลือเพียง 80% 50% และสดท้ายก็ไม่สามารถนำมลค่าหลักประกันมาหักได้ ซึ่งก็หมายถึง ถ้ามีหนี้ NPL 100 ล้านบาท และมีหลักประกัน 80 ล้านบาท เดิมจะตั้งสำรองเพียงแค่ 20 ล้านบาท แต่ตามกฎใหม่นั้นจะต้องตั้งถึง 100 ล้านบาทครับ ซึ่งน่าจะเป็นไปตามหลักเกณฑ์สากลที่ใช้กันนะครับ

แล้วถึงตอนนั้นสถาบันการเงินไทยจะต้องตั้งสำรองเพิ่มขึ้นอีกเท่าไรครับ แล้วส่วนทนจะลดลงอีกมากน้อยเพียงไร ซึ่งสดท้ายอาจจะตามมาด้วยการต้องเพิ่มทน

และยังคงมีคำถามในใจว่าจะมีกฎเกณฑ์ที่เข้มงวดที่ยังคงไม่นำมาใช้อีกไหมครับ ที่สถาบันการเงินไทยต้องใช้ในอนาคต เพื่อเป็นไปตามกฎเกณฑ์สากล

การลงทนในอตสาหกรรมที่เราไม่ร้ถึงกฎเกณฑ์ที่จะถกนำมาบังคับใช้ ถือว่าเป็นความเสี่ยงที่สงยิ่งครับ ในอดีตเราคงมีประสบการณ์ว่าสถาบันการเงินที่ยังคงเปิดกิจการตามปรกติ วันดีคืนดีก็ล้มได้โดยที่ไม่สามารถวิเคราะห์ได้จากงบการเงินเลยครับ
Jeng
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 14783
ผู้ติดตาม: 0

กฎเกณฑ์ของธนาคารแห่งประเทศไทย

โพสต์ที่ 2

โพสต์

อืม ถ้าแบงค์ล้มเศรษฐกิจก็แย่ ใช่หรือไม่

ทำไม ไม่ออกกฏให้แบงค์ ได้กำไรเยอะๆ เช่น เงินฝาก ได้ 1 % เงินกู้ ให้คิด ที่ 10 เปอร์เซ็นต์ แบงค์ จะได้กำไรเยอะๆ แต่ห้ามไปใช้ ให้ เอา 5 % มาเก็บใส่กองทุน สำรองหนี้เสีย

สมัยก่อน จ่ายดอกเบี้ย OD 16.5 % ยังจ่ายได้ ทำไมตอนนี้จะจ่าย 10 %

ไม่ได้

เป็นแค่ความคิดนะครับ

ถ้าทุกแบงค์คิดดอกเบี้ย 10 % หมดเลย

ธุรกิจก็ยังต้องกู้เงินอยู่ดี

เพราะการไปกู้ต่างประเทศก็มีความเสี่ยง เรื่องค่าเงิน และธุรกิจเล็กๆก็กู้ไม่ได้อยู่แล้ว

ถ้า 10 %

ดูเยอะไป

ก็อาจจะบวกเพิ่ม จาก MLR อีก 2 % แล้ว เอา 2 % เข้ากองทุน เพื่อแก้ปัญหา NPL

ทำแบบนี้จะทำได้หรือไม่ครับ คุณฉัตรชัย
ภาพประจำตัวสมาชิก
โอ@
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 4244
ผู้ติดตาม: 0

กฎเกณฑ์ของธนาคารแห่งประเทศไทย

โพสต์ที่ 3

โพสต์

ถ้าดอกเบี้ย 10% เขากลัวว่าเศรษฐกิจจะพังอีกนะสิครับ
การที่ดอกเบี้ยต่ำๆเพื่อให้เศรษฐกิจเติบโตอย่างรวดเร็ว
มีการลงทุนเพิ่มมากขึ้น

แก้ปัญหา NPL ด้วยการเอาดอกเบี้ยของคนที่ซื่อสัตย์ไปช่วยคนที่เบี้ยหนี้
มันดูไม่ยุติธรรมกันคนซื่อสัตย์ครับ ผมคิดว่างั้น
_________
Jeng
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 14783
ผู้ติดตาม: 0

กฎเกณฑ์ของธนาคารแห่งประเทศไทย

โพสต์ที่ 4

โพสต์

โค้ด: เลือกทั้งหมด

ถ้าดอกเบี้ย 10% เขากลัวว่าเศรษฐกิจจะพังอีกนะสิครับ 
การที่ดอกเบี้ยต่ำๆเพื่อให้เศรษฐกิจเติบโตอย่างรวดเร็ว 
มีการลงทุนเพิ่มมากขึ้น 

แก้ปัญหา NPL ด้วยการเอาดอกเบี้ยของคนที่ซื่อสัตย์ไปช่วยคนที่เบี้ยหนี้ 
มันดูไม่ยุติธรรมกันคนซื่อสัตย์ครับ ผมคิดว่างั้น
เห็นด้วยครับ ว่า ไม่ควรเอา ดอกเบี้ยของคนที่ซื่อสัตย์ ไปช่วยคนที่เบียวหนี้

สิ่งที่ผมพยายาม จะพูดคงพูดได้ไม่ตรงประเด็นเท่าไร

คล้ายกับผมอยากจะพูดว่า

ตอนที่ส่วนต่างดอกเบี้ยสูงๆ เช่นมี gap 4 - 6 % gap ที่สูงขึ้น นี่ น่าจะเป็นการแก้หนี้เน่า เพื่อให้กิจการธนาคารมีความมั่นคง

ไม่ใช่ gap สูงขึ้น แล้วมาประกาศว่า กิจการดีขึ้น เพราะกำไรมากขึ้น

เรื่องหนี้เน่า น่าจะเป็น เรื่องของ ธนาคารที่ต้องรับผิดชอบ เพราะ ปล่อยสินเชื่อแล้ว เก็บเงินไม่ได้ ก็ต้องรับผิดชอบความเสี่ยงไปเอง

เมื่อได้กำไร ก็ต้อง เอามาสำรอง เผื่อหนี้เน่า ที่เกิดขึ้น

ไม่ควรมาโชว์ว่ากิจการมีกำไรแบบปัจจุบัน

เพราะปัจจุบัน เหมือนเน่า ส่วนเน่า กำไรส่วนกำไร ซึ่งเป็นเรื่องที่แปลกมากเลย
นักดูดาว
Verified User
โพสต์: 2513
ผู้ติดตาม: 0

กฎเกณฑ์ของธนาคารแห่งประเทศไทย

โพสต์ที่ 5

โพสต์

กลับมากันจุดเดิมเป็นงูกินหางครับพี่เจ๋ง แบงค์ไหนสร้าง gap (Net Interest Margin :NIM) สูงๆ เค้าก็ไปกู้แบงค์ที่ gap ต่ำๆ ...ถ้าแพงกันหมดก็ไปกู้ต่างประเทศ ... กลับมาที่เดิมอีกแล้ว แก้ปัญหาปลายเหตุมันไม่น่าจะเพียงพอ

วิธีที่ถูกต้องก็คือต้องเริ่มที่การพิจารณาปล่อยสินเชื่อ ให้มีหลักประกันเพียงพอ พิจารณาความสามารถในการชำระหนี้ เช่นพิจารณาแผนธุรกิจที่ลูกหนี้จะนำไปลงทุน ฯลฯ

เรื่องดอกเบี้ย ผมไม่สันทัด แต่ผมว่ามันอ่อนไหวมากกับบริษัท สำหรับหุ้นหลายๆตัวในตลาด หาก MLR เพิ่มซัก 1 % หลายๆบริษัทอาจจะงดจ่ายปันผลก็ได้ครับ
เสรีภาพก็เหมือนอากาศที่เราไม่อาจมองเห็นด้วยตา แต่จะรู้สึกได้ในทันทีหากมีมันอยู่เบาบางหรือขาดหายไป

-จีรนุช เปรมชัยพร
Jeng
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 14783
ผู้ติดตาม: 0

กฎเกณฑ์ของธนาคารแห่งประเทศไทย

โพสต์ที่ 6

โพสต์

อืม ก็คงเป็นอย่างนั้นแหละ ครับ ก็ลองเสนอดู
ภาพประจำตัวสมาชิก
harry
Verified User
โพสต์: 4200
ผู้ติดตาม: 0

กฎเกณฑ์ของธนาคารแห่งประเทศไทย

โพสต์ที่ 7

โพสต์

ผมมองว่าธนาคารเป็นหนึ่งในกลไกเศรษฐกิจ ถ้าเศรษฐกิจไม่ดี ก็ค้าขายไม่ได้ ก็ไม่มีเงินไปจ่ายหนี้ แบงค์ก็ซวยไปด้วย เป็นหนี้เน่า แต่ถ้าเจรจาตกลงกันได้ พอค้าขายได้ดีเหมือนเคย ก็ค่อยชำระหนี้ จะเหมาะสมกว่า

ส่วนอัตราดอกเบี้ย นั้นผมคิดว่าเป็นไปตามสภาวะเศรษฐกิจ เพราะตอนนี้คนยังฝากเงินกับแบงค์เหมือนเดิม แถมเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ถ้าแบงค์ไม่คงอัตราดอกเบี้ยไว้ หรือลดลง ก็คงไม่สามารถแก้ปัญหาสภาพคล่องล้นระบบ ที่มีเงินฝากไหลเข้าเยอะได้

แต่ถ้าดอกเบี้ยขึ้นก็ดีนะ บัฟเฟตต์กับเกรแฮมบอกว่าถ้าดอกเบี้ยขึ้น ตลาดฯจกตกต่ำลง จะได้มีของถูกๆให้ซื้อ
Expecto Patronum!!!!!!
chatchai
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 11443
ผู้ติดตาม: 0

กฎเกณฑ์ของธนาคารแห่งประเทศไทย

โพสต์ที่ 8

โพสต์

จริงแล้วการตั้งสำรองนั้นมีเงื่อนไขมากมายที่นักลงทนรายย่อยคนไทยไม่ทราบครับ อาศัยว่าผมเคยทำงานสินเชื่อธนาคารในช่วงก่อนวิกฤตและช่วงวิกฤตมาก่อนเลยพอทราบบ้าง แต่ก็ไม่มีความร้ในระดับนโยบายนะครับ คือร้แต่ในระดับปฎิบัติการนะครับ

การตั้งสำรองหนี้นั้นมีหลายเงื่อนไขครับ อาจะผิดพลาดในรายละเอียดนะครับ เพราะนานแล้วที่ลาออกมา

หนี้ที่เป็น NPL นั้นจะมีการตั้งระดับสำรองไม่เท่ากัน ขึ้นอย่กับระยะเวลาที่ผิดเงื่อนไขครับ

ค้างชำระไม่เกิน 3 เดือน จะไม่ถือว่าเป็น NPL ครับ สำรองจะน้อย
ถ้าเกิน 3 เดือน แต่ไม่เกิน 6 เดือนก็สำรองในอัตราที่มากขึ้น
ถ้าเกิน 6 เดือน แต่ไม่เกิน 1 ปี ก็จะเพิ่มขึ้นเป็นลำดับ
สดท้ายค้างเกิน 1 ปี จะต้องสำรอง 100% ครับ

แต่ยอดที่ต้องสำรองนั้น ยังสามารถนำมลค่าหลักประกันมาหักออกได้
เช่น บริษัทมีหนี้ 100 ล้านบาท ผิดนัดเกิน 6 เดือนแต่ไม่ถึง 1 ปี ต้องสำรองที่ 50% คือ 50 ล้านบาท แต่มีหลักประกัน 40 ล้านบาท สถาบันการเงินก็จะสำรองเพียง 10 ล้านบาทเท่านั้น ซึ่งในจดนี้ก็มีการประเมินมลค่าหลักประกันให้สงกว่าราคาตลาดเพื่อที่จะหักสำรองได้มากๆ

และยังมีกรณีที่บริษัทที่ผิดนัดได้มีการปรับโครงสร้างหนี้ เช่น ยืดระยะเวลาในการผ่อนชำระออกไป โดยในช่วงแรกอาจจะจ่ายชำระอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำกว่าปรกติ การปรับโครงสร้างหนี้ลักษณะนี้ก็จะมีการคิดคำนวณการตั้งสำรองครับ

การคำนวณคิดจากกระแสเงินสดที่ธนาคารจะได้รับตลอดระยะเวลาเงินก้และ Discount กลับมาเป็นมลค่าปัจจบันด้วยอัตราดอกเบี้ย MLR ครับ เมื่อได้มลค่าปัจจบันแล้วก็นำมาหักกับมลหนี้ ส่วนที่ขาดก็คือส่วนที่ธนาคารต้องตั้งสำรอง แต่ก็ยังสามารถนำหลักประกันมาหักได้อีกครับ

ดังนั้นการที่อัตราดอกเบี้ย MLR ลดลงก็มีส่วนช่วยให้ธนาคารมียอดการตั้งสำรองลดน้อยลงครับ

การตกแต่งบัญชีหนี้เสียของธนาคารก็มีครับ ในกรณีที่บางบริษัทไม่มีแนวทางในการจ่ายคืนชำระหนี้แล้ว แต่ก็ยังปรับโครงสร้างหนี้เป็นการชั่วคราว เช่น ในปีแรกมีการคิดดอกเบี้ยที่ MLR แต่ให้สำรองไว้ จ่ายจริงเพียงแค่ 1% แล้วปีต่อไปค่อยจ่ายที่ MLR เพื่อที่จะทำให้บริษัทนั้นไม่เป็นหนี้มีปัญหา แต่พอปีต่อไปบริษัทก็ไม่สามารถที่จะจ่ายหนี้ที่ MLR ได้อย่ดี ก็แก็หนี้ลักษณะนี้เป็นปีๆไปครับ หนี้เสียของเราเลยไม่ลดเท่าไรครับ

ยังมีอีกเยอะครับ สำหรับการตกแต่งบัญชีธนาคาร บางทีบริษัทเดียวกันมีบัญชีเงินก้หลายบัญชี เช่น บัญชีเงินก้ระยะยาวผิดนัดเป็นปี แต่บัญชีเงินเบิกเกินบัญชี (O/D) และบัญชี Packing T/R เพื่อธรกิจนำเข้าส่งออกยังคงเดินบัญชีได้
Stock Broker
Verified User
โพสต์: 2509
ผู้ติดตาม: 0

กฎเกณฑ์ของธนาคารแห่งประเทศไทย

โพสต์ที่ 9

โพสต์

Jeng เขียน:ทำไม ไม่ออกกฏให้แบงค์ ได้กำไรเยอะๆ เช่น เงินฝาก ได้ 1 % เงินกู้ ให้คิด ที่ 10 เปอร์เซ็นต์ แบงค์ จะได้กำไรเยอะๆ แต่ห้ามไปใช้ ให้ เอา 5 % มาเก็บใส่กองทุน สำรองหนี้เสีย
ขืนทำอย่างนั้น ประเทศเรา นายทุนที่รวยก็จะรวยยิ่งขึ้นไปอีก เพราะออกหุ้นกู้เองก็ได้ หรือระดมทุนเองก็ดี ต้นทุนถูกกว่าแน่นอน

ส่วนพวกรายเล็กรายน้อย ก็ก้มหน้าก้มตากู้แบงค์ในอัตราสูงปรี๊ด

ทุกวันนี้ คนก็หาว่ารัฐบาลอุ้มแบงค์อยู่แล้วนะ
ล็อคหัวข้อ