อุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วน

การลงทุนแบบเน้นคุณค่า เน้นที่ปัจจัยพื้นฐานเป็นหลัก
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news31/10/07

โพสต์ที่ 91

โพสต์

ปธ.ฮอนด้าญี่ปุ่นย้ำชัด อีโคคาร์ทำตลาดสมดุล

โพสต์ทูเดย์ ฮอนด้า ชี้ อีโคคาร์ถ่วงสมดุลตลาดรถยนต์ในไทย หลังโครงสร้างภาษีเอื้อปิกอัพมานาน จนทำตลาดใหญ่แบบไม่ธรรมดา


นายทาเคโอะ ฟูกูอิ ประธานบริษัท ฮอนด้า มอเตอร์ ประเทศญี่ปุ่น กล่าวถึงโครงการอีโคคาร์ที่ฮอนด้าให้ความสนใจการลงทุนในประเทศไทยมายาวนานกว่า 5 ปี ว่า เป็นโครงการที่จะทำให้อุตสาหกรรมยานยนต์ไทยกลับสู่ภาวะสมดุลอีกครั้ง หลังจาก ที่มีการเอื้อประโยชน์ให้กับรถปิกอัพ ด้วยโครงสร้างภาษีมาอย่างยาวนาน ซึ่งเงื่อนไขภาษีในอดีตทำให้ตลาดปิกอัพในประเทศไทยมีขนาดใหญ่โตในระดับไม่ธรรมดา

การที่มีอีโคคาร์เข้ามา จะทำ ให้ภาพรวมของตลาดดีขึ้นในที่สุด ซึ่งผมมองเห็นประโยชน์เรื่องนี้ของ อีโคคาร์ในเบื้องต้นมากที่สุด ส่วน จะสามารถส่งออกไปประเทศใดได้บ้าง เรายังอยู่ระหว่างการศึกษา ซึ่งคงต้องมาดูกันอีกครั้ง นายฟูกูอิ กล่าว

สำหรับแผนการลงทุนในประเทศไทย ขอยืนยันว่าประเทศไทยเป็นตลาดที่มีความสำคัญ และเก่าแก่ มากแห่งหนึ่งของฮอนด้า ซึ่งเริ่มต้นมาจากการทำตลาดรถจักรยานยนต์ ในปัจจุบันต้องถือว่าเป็นฐานในเรื่องการวิจัยและพัฒนา และเป็นหนึ่ง ในตลาดผู้นำของเอเชีย ที่ฮอนด้า ตั้งเป้าหมายจะพัฒนาธุรกิจ

ทั้งนี้ ฮอนด้ามองว่า จะต้อง ใช้เวลาในการพัฒนาเรื่องการวิจัย และพัฒนาในส่วนของรถยนต์อีกสักระยะ จึงจะสามารถพัฒนาขีดความสามารถได้เทียบเท่ากับในส่วนของรถจักรยานยนต์ ที่วิจัย และพัฒนาโดยทีมงานคนไทยทั้งหมด แต่ก็ ใช้เวลานานกว่า 10 ปี ซึ่งฮอนด้าเองยืนยันแนวนโยบายในการพัฒนาธุรกิจในทิศทางดังกล่าว

นายฟูกูอิ กล่าวว่า แม้ตลาดอินเดีย และจีนจะมีขนาดใหญ่ และมีการเติบโตที่น่าสนใจ แต่ก็จะไม่ ส่งผลกระทบต่อประเทศไทยอย่างแน่นอน เนื่องจากทั้ง 2 ประเทศ มีตลาด และแผนงานของแต่ละประเทศอยู่แล้ว ซึ่งตนขอยืนยันว่า ประเทศไทยมีความสำคัญอย่างมากในฐานะศูนย์กลางของตลาดภูมิภาคอาเซียน ซึ่งมีความสำคัญต่อฮอนด้าอย่างมากเช่นกัน
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=200698
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news02/11/07

โพสต์ที่ 92

โพสต์

ไฟเขียวยางรถ-แบตฯขึ้นราคา [2 พ.ย. 50 - 05:53]

นายยรรยง พวงราช อธิบดีกรมการค้าภายใน เปิดเผยภายหลังหารือผู้ประกอบการสินค้ากลุ่มยางรถยนต์ และแบตเตอรี่ ว่า ได้ขอให้ผู้ผลิตปรับปรุงรายการสินค้าที่จะขอขึ้นราคามาใหม่ โดยให้คำนึงถึง ผลกระทบต้นทุนการผลิต อุตสาหกรรมต่อเนื่อง ผู้บริโภค และภาวะเศรษฐกิจโดยรวม พร้อมทั้งหลักความสมเหตุสมผลเป็นธรรม และเทคนิคการปรับราคาที่ค่อยเป็นค่อยไป สำหรับยางรถยนต์มีกำลังผลิต 20 ล้านเส้นต่อปี ใช้ภายใน 15 ล้านเส้น ส่งออก 5 ล้านเส้น ต้นทุนคือยางธรรมชาติ และยางสังเคราะห์มีราคาสูงขึ้น โดยราคายางธรรมชาติปี 47 กิโลกรัมละ (กก.) 46.76 บาท แต่ปีนี้ กก.ละ 78.50 บาท สูงขึ้น 67.8% ยางสังเคราะห์เดิม กก.ละ 137 บาท ปีนี้ 155.6 บาท สูงขึ้น 12.8% ส่วนแบตเตอรี่ มีกำลังผลิต 9.5 ล้านลูกต่อปี ใช้ในประเทศ 8 ล้านลูก ส่งออก 1.5 ล้านลูก มีต้นทุนผลิตสูงขึ้นมาก โดยตะกั่วบริสุทธิ์ ราคาขึ้นจากตันละ 1,048 เหรียญสหรัฐฯ เป็นตันละ 3,743 เหรียญในปีนี้ หรือเพิ่มขึ้น 257% ตะกั่วผสม ราคาเพิ่มขึ้นจาก กก.ละ 41.30 บาท เป็น 71.70 บาท เพิ่มขึ้น 73.6% หากปรับขึ้นราคาสินค้า 2 รายการ 10% จะกระทบเงินเฟ้อแน่นอน โดยยางรถยนต์จะทำให้เงินเฟ้อเพิ่มขึ้น 0.0086% และแบตเตอรี่ เพิ่มขึ้น 0.0011%

ด้านนายศิริพล ยอดเมืองเจริญ ปลัดกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไป (เงินเฟ้อ) ของเดือน ต.ค.ว่า อยู่ที่ระดับ 118.4 เพิ่มขึ้น 0.9% เมื่อเทียบกับเดือนก่อน และเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อนสูงขึ้น 2.5% โดยเฉลี่ย 10 เดือนปีนี้ขยายตัว 2.1% ส่วนเงินเฟ้อพื้นฐานที่ตัดหมวดอาหารสด และพลังงานออกอยู่ที่ 106.1 เทียบเดือนก่อนเพิ่มขึ้น 0.3% เทียบช่วงเดียวกันปีก่อนเพิ่มขึ้น 1.0% เฉลี่ย 10 เดือนเพิ่มขึ้น 1. 1% โดยสินค้าทั้งหมวดอาหาร และไม่ใช่อาหารสูงขึ้นทุกรายการ เช่น ข้าวสารเหนียว สูงขึ้น 31.6% ไข่และผลิตภัณฑ์สูงขึ้น 6.5% ผลไม้สด 6.2% กับข้าวสำเร็จรูปสูงขึ้น 3.5% น้ำมันเชื้อเพลิง 16.6% บุหรี่ และสุรา 3.1% การบันเทิง การอ่าน และการศึกษา 1.2% และค่าโดยสาธารณะ 0.8%.
http://www.thairath.co.th/news.php?sect ... tent=66739
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news05/11/07

โพสต์ที่ 93

โพสต์

"มอเตอร์เอ็กซ์โป" คาดเงินสะพัด 1.8 หมื่นล.

โดย ผู้จัดการออนไลน์
5 พฤศจิกายน 2550 09:21 น.

      มอเตอร์เอ็กซ์โป 2007เตรียมเปิดฉากอลังการปลายเดือนนี้ ด้านประธานจัดงานสุดมั่นเศรษฐกิจ-การเมืองไม่ส่งผลกระทบ เชื่อปลุกตลาดรถไทยคึกคักด้วยยอดเงินสะพัดภายในงานกว่า 1.8 หมื่นล้านบาท
     
      นายขวัญชัย ปภัสร์พงษ์ ประธานบริษัท สื่อสากล จำกัด และประธานจัดงานมหกรรมยานยนต์หรือมอเตอร์เอ็กซ์โป เปิดเผยว่า ในการจัดงานครั้งที่ 24 นี้หากไม่มีสถานการณ์อะไรเปลี่ยนแปลง และการเลือกตั้งเป็นไปตามที่ประกาศไว้ช่วงกลางเดือนธันวาคม เชื่อว่าจะส่งผลดีต่อการจัดงานมอเตอร์เอ็กซ์โปรวมถึงตลาดรถยนต์โดยรวม เพราะจะทำให้ประชาชนมีความมั่นใจ กล้ากลับมาใช้จ่ายอีกครั้ง
     
      "ถึงแม้ยอดขายรถยนต์ในช่วง 9 เดือนแรกของปีจะตกลงไปกว่า 9% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว แต่เราเชื่อว่าสถานการณ์ในไตรมาสสุดท้ายน่าจะดีขึ้น เพราะเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัวและใกล้มีการเลือกตั้งรัฐบาลใหม่ คาดว่าตลาดรถยนต์ปีนี้จะเติบโตประมาณ 2-3% หรือยอดขายรวมใกล้เคียง 7 แสนคัน ส่วนงานมอเตอร์เอ็กซ์โปถือเป็นงานใหญ่ ที่ให้ผู้บริโภคมีทางเลือกในการซื้อรถอย่างคุ้มค่า ขณะเดียวกันภายในงานจะมีการเปิดตัวรถยนต์ยี่ห้อใหม่ๆทั้ง ฮุนไดและโปรตอน ก็จะส่งผลให้ตลาดรถยนต์กลับมาคึกคักอีกครั้ง
             
      สำหรับการจัดงานมอเตอร์ เอ็กซ์โปในปีนี้จะมีขึ้นระหว่างวันที่ 30 พฤศจิกายน - 10 ธันวาคมนี้ภายใต้คอนเซ็ปต์ "ยานยนต์อนาคตสะกดโลก" หรือ Future Vehicle Stun the World ในส่วนของรูปแบบการจัดงานจะมีการแยกส่วนของรถใหม่ รถเก่า และอุปกรณ์ตกแต่งออกจากกันชัดเจน ไม่นำมารวมกันเหมือนครั้งที่ผ่านมา แต่พื้นที่ยังจะคงจำนวนเท่าเดิม โดยอาจจะมีการเพิ่มในส่วนของจัดแสดงรถจักรยานยนต์เข้ามา ซึ่งเป็นรถจากต่างประเทศไม่ใช่ในไทย ส่วนกิจกรรมที่อยู่ภายนอกอาคารทั้ง Car Stereo Activties/ Car Stereo Alley สนามพัฒนาทักษะการขับรถขับเคลื่อน 4 ล้อ Spirit Of The 4x4 Driving School รวมถึงกิจกรรมบันเทิง กิจกรรมด้านวิชาการ ตลอดจนนิทรรศการ และการแสดงต่าง ๆ ยังคงมีอยู่เช่นเดิม
             
      ส่วนเป้าหมายตัวเลขผู้มาชมงานปีนี้ประมาณ 1.6 ล้านคน นายขวัญชัยกล่าวว่าถือว่าน่าพอใจมากแล้ว ขณะที่ยอดจองรถน่าจะอยู่ที่ 1.5 หมื่นคัน คิดเป็นเงิน 1.5 หมื่นล้านบาท รวมกับอุปกรณ์ตกแต่งอีก 3 พันล้านบาท เท่ากับภายในงานจะมีเงินสะพัดไม่ต่ำกว่า 1.8 หมื่นล้านบาท
http://www.manager.co.th/Business/ViewN ... 0000130923
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news14/11/07

โพสต์ที่ 94

โพสต์

ซีพี.จีบเชอร์รี/ลีนุตพงษ์ลงทุนรถยนต์

โพสต์ทูเดย์ ซี.พี.ชวนเชอร์รี-ลีนุตพงษ์ ลงทุนผลิตรถยนต์ หวังดันไทยศูนย์กลาง ส่งออก


นายธนากร เสรีบุรี รองประธานกรรมการ ในฐานะประธานกรรมการและประธานคณะผู้บริหาร กลุ่มธุรกิจยานยนต์และอุตสาหกรรมทั่วไป เครือเจริญโภคภัณฑ์ หรือ ซี.พี. กล่าวว่า บริษัทยังสนใจที่จะทำตลาดรถยนต์ยี่ห้อเชอร์รีเหมือนเดิม แต่จะปรับแผนผลักดันให้เชอร์รีมาลงทุนเพื่อตั้งโรงงานผลิตในไทย คาดว่าจะเริ่มได้ในปีหน้าเป็นต้นไป

การดำเนินงานจะร่วมลงทุน 3 ฝ่าย ได้แก่ เครือ ซี.พี. เชอร์รี และนายวิทิต ลีนุตพงษ์ ผู้บริหารค่ายรถในเครือยนตรกิจ ในสัดส่วนเท่าๆ กัน คาดว่าทั้งโครงการจะลงทุนไม่น้อยกว่าหลักพันล้านบาทขึ้นไป

การร่วมทุนครั้งนี้เพื่อแสดงให้เห็นว่าไม่สามารถขายแล้วทิ้งได้ ต้องสร้างเครือข่ายเพื่อดูแลลูกค้าอย่างต่อเนื่อง แต่ไม่ได้หวังจะทำกำไรตั้งแต่ปีแรก มองว่าต้องเตรียมตัวขาดทุนไว้อย่างต่ำ 3 ปี นายธนากร กล่าว

สำหรับแผนงานในปีหน้า อาจนำเข้ารถเชอร์รี รุ่นคิวคิว ซึ่งเป็นรถยนต์ขนาดเล็ก เข้ามาจำหน่ายในช่วงต้นปี วางราคาไว้ที่ 3 แสนบาทต้นๆ จากนั้นจะสรุปแผนงานว่าจะผลิตรุ่นไหนในไทย ที่น่าสนใจก็ได้แก่ ทิกเกอร์ เป็นรถเอสยูวี คาดว่าจะทำราคาจำหน่ายไม่เกิน 7-8 แสนบาท

สินค้าทั้งหมดของเชอร์รี จะทำตลาดในราคาไม่เกิน 1 ล้านบาททุกรุ่น ซึ่งในอนาคตเชอร์รีวางให้ไทยเป็นศูนย์กลางของภูมิภาคอาเซียนตอนเหนือ ที่ประกอบไปด้วย พม่า ลาว กัมพูชา เวียดนาม และไทย ประเทศที่เหลือจะใช้อินโดนีเซียเป็นศูนย์กลาง

นายธนากร กล่าวด้วยว่า นอกจากอุตสาหกรรมรถยนต์ ซี.พี.ยังบุกหนักรถจักรยานยนต์ด้วย ล่าสุดได้ลงทุนในฝ่ายวิจัยและพัฒนาที่เมืองกว่างโจว มูลค่ากว่า 2 พันล้านบาท ตั้งเป้าว่าจะเพิ่มกำลังการผลิต เป็น 3 แสนคัน ภายใน 3-4 ปีนับจากนี้ ภายใต้ตราสินค้าต้าหยางและต้าหยุน

ด้านนายมาร์ส วั่น-เฉิน กัว กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ซีพีพีซี ผู้ผลิตพลาสติกและผลิตภัณฑ์แปรรูปพลาสติก ในเครือ ซี.พี. กล่าวว่า ปีหน้าบริษัทจะลงทุน 200 ล้านบาท สร้างโรงงานแห่งใหม่ผลิต บรรจุภัณฑ์ เช่น แก้ว กล่อง จากข้าวโพดที่ย่อยสลายได้ทางชีวภาพ บนเนื้อที่ 200 ไร่ ที่ จ.ระยอง ร่วมลงทุนกับบริษัท ESCOSPAN จากสหรัฐอเมริกา ในสัดส่วน 50% คาดว่าจะเริ่มผลิตสินค้าได้ในไตรมาส 3 ของปี 2551

โรงงานแห่งใหม่จะมีกำลังผลิต 5 พันตัน/ปี สินค้าส่วนใหญ่เน้นส่งออก 60-70% ไปยังสหรัฐ ตั้งเป้ามียอดขาย 25 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือ 900 ล้านบาท

บริษัทมองว่าถ้วยหรือกล่องที่สามารถย่อยสลายได้ทางชีวภาพจะมีแนวโน้มเป็นที่ต้องการเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ สามารถลดปริมาณขยะ เพราะผลิตจากธรรมชาติ 100% แม้ว่าตอนนี้ต้นทุนจะสูงกว่าถ้วยที่ทำจากพลาสติก 15-20% แต่เมื่อความต้องการใช้สูงขึ้น ราคาจะลดลงใกล้เคียงกับถ้วยที่ทำจากพลาสติก และหากราคาน้ำมันสูงเกิน 80 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ถ้วยชนิดนี้จะเป็นที่ต้องการอย่างแน่นอน และบริษัทเป็นแห่งแรกที่ผลิตกล่องย่อยสลายตามธรรมชาติที่เม็ดพลาสติกทำจากข้าวโพด นายมาร์ส กล่าว

ทั้งนี้ โรงงานที่ จ.ระยอง จะผลิตสินค้าหลัก 3 ชนิด คือ ถ้วยและแก้วน้ำ ถาดอาหาร และและบัตรพลาสติก ประเภทบัตรของขวัญ ภายใน 3-5 ปีจากนี้ บรรจุภัณฑ์ของ ซี.พี.จะใช้พลาสติกที่ย่อยสลายได้ตามธรรมชาติทั้งหมด และในอนาคตอันใกล้จะวิจัยและพัฒนาให้สินค้ากลุ่มนี้สามารถอุ่นไมโครเวฟและทนความร้อนได้ 100 องศาเซลเซียส จากปัจจุบันเหมาะสำหรับอาหารอุณหภูมิปกติและน้ำเย็น
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=203467
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news16/11/07

โพสต์ที่ 95

โพสต์

ยอดรถต.ค. โตฉิว12.6% แต่ทั้งปียังลบ

โพสต์ทูเดย์ ยอดจำหน่ายรถยนต์เริ่มสดใส เดือน ต.ค.โต 12.6% แต่ยอดขาย 10 เดือนยังทรุดอยู่


นายวุฒิกร สุริยะฉันทนานนท์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย รายงานยอดขายรถยนต์เดือน ต.ค. ปีนี้ว่า มียอดขายรวมทั้งสิ้น 57,860 คัน เพิ่มขึ้น 12.6% แบ่งเป็นรถยนต์นั่ง 15,299 คัน เพิ่มขึ้น 3% รถเพื่อการพาณิชย์ 42,561 คัน เพิ่มขึ้น 16.5%

ขณะที่ยอดจำหน่ายสะสม 10 เดือนของปี 2550 มียอดขายทั้งสิ้น 509,186 คัน ลดลง 5.7% เมื่อ เทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา โดยแบ่งเป็นรถยนต์นั่ง 144,454 คัน ลดลง 6.1% รถเพื่อการพาณิชย์ 364,732 คัน ลดลง 5.5%


ทั้งนี้ ยอดขายในเดือน ต.ค.นั้น เติบโตต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 4 โดยเป็นยอดขายสูงสุดในรอบ 10 เดือน โดยยอดขายที่เพิ่มขึ้นนั้นเป็นผล มาจากการที่ค่ายรถยนต์ทั้งหลาย จัดกิจกรรมส่งเสริมการขายต่อเนื่อง

สำหรับแนวโน้มตลาดรถยนต์ ในเดือน พ.ย.นี้ คาดว่าจะมีอัตรา การเติบโตเพิ่มขึ้นเป็นเดือนที่ 5 เนื่องจากอยู่ในช่วงไฮซีซันของตลาดรถยนต์ ทั้งเปิดตัวรถรุ่นใหม่ และ จัดกิจกรรมการขาย ประกอบกับงานมอเตอร์ เอ็กซ์โป ที่คาดว่าผู้ประกอบการจะออกแคมเปญเพื่อกระตุ้นยอดขายในช่วงที่เหลือของปี
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=203888
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news17/11/07

โพสต์ที่ 96

โพสต์

รถเล็กดุโปรตอนเคาะ3.9แสน

โพสต์ทูเดย์ พีเอ็นเอเปิดตัวโปรตอน แซฟวี่ รุ่นถูกสุดแค่ 3.99 แสนบาท


นายธวัชชัย จึงสงวนพรสุข กรรมการผู้จัดการ บริษัท พระนครโอโตเซลส์ ตัวแทนจำหน่ายรถยนต์โปรตอนในประเทศไทย กล่าวว่า ได้เปิดตัวรถยนต์รุ่นแซฟวี่ ราคาจำหน่ายเริ่มต้นเพียง 3.99 แสนบาทในประเทศไทย และในงานมอเตอร์ เอ็กซ์โป จะเปิดตัวรถอีก 2 รุ่น ได้แก่ ซาเทียร์ และเจน 2 ไมเนอร์เชนจ์ ซึ่งเป็นการเปิดตัวครั้งแรกในโลก โดยราคาจำหน่ายสูงสุดจะอยู่ที่ราว 6-7 แสนบาท

นอกจากนี้ โชว์รูมทั้ง 20 แห่งในปีนี้จะพร้อมให้บริการ แบ่งเป็นใน กรุงเทพฯ ประมาณ 6-7 แห่ง ที่เหลือจะเป็นในหัวเมืองใหญ่ โดยในปี 2551 จะเปิดตัวรถยนต์อีก 2 รุ่น พร้อมขยายดีลเลอร์อีก 4 แห่ง โดยคาดว่าจะขายได้ถึง 3 พันคัน

เราคงไม่เน้นขยายดีลเลอร์มาก แต่จะเน้นให้ดีลเลอร์แต่ละแห่งทำกำไร ซึ่งแซฟวี่จะเข้ามา เปิดเซ็กเมนต์ใหม่ให้กับวงการรถยนต์ในประเทศไทย นาย ธวัชชัย กล่าว

ทั้งนี้ บริษัทได้รับความร่วมมือทางด้านการเงินจากธนาคารธนชาตเข้ามาดูแลในเรื่องการให้บริการทางการเงินสำหรับลูกค้าของโปรตอน โดยคาดว่ากลุ่มลูกค้าหลักจะมีทั้งกลุ่มวัยรุ่น รวมไปถึงกลุ่มลูกค้าที่เปลี่ยนมาจากรถยนต์มือสองที่ไม่ต้องการจ่ายดอกเบี้ยเช่าซื้อสำหรับรถยนต์มือสอง ซึ่งสูงกว่ารถยนต์ป้ายแดงทั่วไป
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=204112
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news19/11/07

โพสต์ที่ 97

โพสต์

ค่ายรถโหมรุ่นใหม่ซิวยอดขายปลายปี

โพสต์ทูเดย์ ฮอนด้าเคาะราคาแอคคอร์ดใหม่ต่ำกว่า 1.4 ล้านบาท หวังสูงถึงแชมป์ตลาดเซ็กเมนต์เดียวกัน ส่วนนิสสันเพิ่มทางเลือกใหม่ด้วยนาวาร่า เอ็กซ์อี 5.39 แสนบาท ชิงแชร์ปิกอัพ


แหล่งข่าวจากบริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า แม้ตลาดรถยนต์จะยังหดตัวอยู่ในปีนี้ แต่เชื่อว่าสถานการณ์น่าจะดีขึ้นในช่วงที่เหลือของปี ฮอนด้าจึงเตรียมเปิดตัวฮอนด้า แอคคอร์ด ใหม่ล่าสุด ซึ่งเป็นเจเนอเรชันที่ 8 ของแอคคอร์ด โดยในรุ่นที่จำหน่ายในประเทศไทยจะติดตั้งเครื่องยนต์เป็นทางเลือกให้ลูกค้า 3 รุ่น ได้แก่ เครื่องยนต์ 2.0 ลิตร ขนาด 156 แรงม้า เปิดราคาเริ่มต้นต่ำกว่า 1.4 ล้านบาท และเครื่องยนต์ 2.4 ลิตร ที่พัฒนาใหม่ 180 แรงม้า มีให้เลือก 3 รุ่น ราคาจำหน่าย 1.4-1.7 ล้านบาท

นอกจากนี้ จะนำรุ่นเครื่องยนต์ 3.5 ลิตร ที่ให้แรงม้าสูงถึง 275 แรงม้า เข้ามาทำตลาดด้วย คาดระดับราคาจะอยู่ที่ 2.7 ล้านบาท ซึ่งฮอนด้าคาดหวังกับการเปิดตัวแอคคอร์ดรุ่นนี้ในไทยมาก โดยเฉพาะการขึ้นสู่เป้าหมายเป็นผู้นำในตลาดรถยนต์กลุ่ม ซี-เซ็กเมนต์ในประเทศไทยได้ในอนาคต

รถคันนี้ได้รับการออกแบบมาใหม่หมด มีการขยายพื้นที่ห้องโดยสารเพื่อเพิ่มความสะดวกสบาย ลดน้ำหนักตัวถัง และเพิ่มความทนทานในด้านต่างๆ ให้กับตัวรถทั้งหมด ซึ่งเชื่อว่าลูกค้าชาวไทยน่าจะให้การตอบรับเป็นอย่างดี แหล่งข่าวระบุ

นอกจากนี้ นิสสันก็เป็นอีกค่ายที่จะเปิดตัวสินค้าใหม่เช่นเดียวกัน โดยแหล่งข่าวจากบริษัท สยามนิสสัน ออโตโมบิล เปิดเผยว่า จะเปิดตัว นาวาร่า เอ็กซ์อี เพื่อเจาะกลุ่มลูกค้าที่ต้องการรถบรรทุกเพื่อการใช้งานเป็นหลัก ขนาดเครื่องยนต์ 2.5 ลิตร 144 แรงม้าที่ติดตั้งในนาวาร่ารุ่นปัจจุบัน โดยวางราคาจำหน่ายที่ 5.39 แสนบาท เพื่อขยายฐานลูกค้าของนาวาร่าให้กว้างขึ้น เนื่องจากเป็นรถที่เน้นกลุ่มลูกค้าที่ต้องการบรรทุกเป็นหลัก และน่าจะทำให้นิสสันมียอดจำหน่ายเพิ่มขึ้นในช่วงที่เหลือของปี

รายงานข่าวเพิ่มเติมระบุว่า ค่ายรถยนต์หลายค่ายเตรียมพร้อมที่จะเปิดตัวรถรุ่นใหม่ๆ ในงานมอเตอร์ เอ็กซ์โป ในช่วงปลายเดือนนี้ และแม้ว่ารถที่อยู่ในกลุ่มแมสจะปรับตัวไม่มาก แต่ก็จะเข้ามาช่วยสร้างสีสันให้กับตลาดรถยนต์ในช่วงที่เหลือของปีได้พอสมควร โดยเฉพาะผู้ประกอบการรายใหม่ๆ ที่จะเปิดตัวสินค้าที่น่าสนใจ อาทิ โปรตอนจะเปิดตัวรถรุ่นเจน 2 ไมเนอร์เชนจ์ครั้งแรกในโลก และฮุนไดเปิดตัวรถตู้ 12 ที่นั่งเป็นครั้งแรกในไทย

ในช่วงสุดสัปดาห์ ค่ายรถหรูอย่างเมอร์เซเดส-เบนซ์ ก็เตรียมจัดแคมเปญสำหรับกระตุ้นยอดขายในงานสตาร์เฟสเช่นกัน โดยลูกค้าที่จองเมอร์เซเดส-เบนซ์ ซี-คลาส โมเดลดับบลิว 203 รับส่วนลดสูงสุดถึง 4 แสนบาท หรือรับบัตรเติมน้ำมันฟรีมูลค่า 6 หมื่นบาท เมื่อจองเมอร์เซเดส-เบนซ์ วีโต้ 123 เครื่องยนต์เบนซิน เพื่อกระตุ้นยอดขายในช่วงโค้งสุดท้ายของปีนี้
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=204379
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news21/11/07

โพสต์ที่ 98

โพสต์

สภาอุตฯ หวังงาน Motor Expo 2007 ดันยอดขายรถยนต์ปีนี้ตามเป้า
--------------------------------------------------------------------------------
Posted on Tuesday, November 20, 2007
นายสุรพงษ์ ไพสิฐพัฒนพงษ์ โฆษกกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ให้สัมภาษณ์ผ่านรายการ Hard Topic ทาง Money Channel ว่า ในช่วง 10 เดือนแรกของปี 2550 ยอดขายรถยนต์ของทั้งอุตสาหกรรมอยู่ที่ 5.09 แสนคัน ลดลง 5% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ส่วนยอดจำหน่ายรถยนต์เฉพาะเดือนตุลาคมที่ผ่านมาอยู่ที่ 5.7 หมื่นคัน เพิ่มขึ้น 12% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนซึ่งเป็นช่วงที่มีการปฏิรูปการปกครอง

อย่างไรก็ตาม ถ้าในช่วง 2 เดือนที่เหลือของปีนี้ผู้ประกอบการสามารถจำหน่ายรถได้เดือนละ 5.7 หมื่นคัน เนื่องจากเป็นช่วงฤดูกาลขายรถยนต์ที่มักจะเพิ่มขึ้นหลังจากผ่านพ้นหน้าฝนไปแล้ว ประกอบกับยอดขายที่จะได้จากงานมหกรรมยานยนต์ครั้งที่ 24 ก็ทำให้เชื่อได้ว่า ยอดขายรถยนต์ปีนี้น่าจะเป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ที่ 6.5 แสนคัน ขณะที่ยอดขายรถยนต์ปีที่แล้วอยู่ที่ 6.8 แสนคัน

ขณะเดียวกันภาวะเศรษฐกิจก็มีผลต่อยอดขายรถยนต์เช่นกัน เห็นได้จากช่วงปี 2542 ยอดขายรถยนต์ลดลงถึง 75% จากเดิม 6.89 แสนคัน มาอยู่ที่ 1.44 แสนคัน เนื่องจากผลกระทบที่ต่อเนื่องมาจากวิกฤติเศรษฐกิจปี 2540 ทำให้ประชาชนไม่มีเงินมาใช้จ่าย ส่วนปี 2550 ประชาชนยังมีอำนาจซื้อ เพียงแต่ไม่มีความเชื่อมั่น ทำให้ไม่กล้าใช้จ่าย ดังนั้น หากภาครัฐสามารถกระตุ้นความเชื่อมั่นของประชาชนให้กลับคืนมาได้ ยอดขายรถยนต์ก็จะเพิ่มขึ้นมา

ปัจจุบันรถยนต์ที่สามารถบรรจุคนได้มากกว่า 5 คน กำลังได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เป็นเพราะครอบครัวคนไทยส่วนใหญ่ยังเป็นครอบครัวขนาดใหญ่ ดังนั้น รถที่สามารถบรรจุคนได้มากจะมีความสะดวกมากกว่า

สำหรับยอดการส่งออกรถยนต์ก็เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน โดยในปี 2549 ไทยสามารถส่งออกรถยนต์ได้ทั้งหมด 5.4 แสนคัน คิดเป็นรายได้เข้าประเทศมากเป็นอันดับ 2 รองจากกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ ส่วนปี 2550 ตั้งเป้ายอดส่งออกไว้ที่ 6.31 แสนคัน เพิ่มขึ้น 16% จากปีที่ผ่านมา

นายสุรพงษ์ยังกล่าวถึงโครงการรถยนต์นั่งประหยัดพลังงานตามมาตรฐานสากล (ECO Car) ด้วยว่า ขณะนี้กลุ่มยานยนต์กำลังหารือถึงวิธีการป้องกันไม่ให้รถนำเข้ามาแย่งตลาดรถ ECO Car เนื่องจากคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) กำหนดให้ผู้ผลิตรถ ECO Car จะต้องผลิตรถได้ 1 แสนคันภายในปีที่ 5 ของการผลิต ถ้าไม่สามารถทำได้ตามที่กำหนด ก็จะถูกยึดสิทธิประโยชน์ทั้งหมด ดังนั้น ถ้าภาครัฐไม่สามารถป้องกันการแย่งตลาดได้ ผู้ผลิตรถ ECO Car ก็อาจจะไม่สามารถผลิตรถได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้

นายขวัญชัย ปภัสร์พงษ์ ประธานจัดงาน มหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 24" กล่าวว่า งานมหกรรมยานยนต์ครั้งที่ 24 หรือ The 24th Thailand International Motor Expo 2007 ที่จัดขึ้นภายใต้แนวคิด "ยานยนต์อนาคต...สะกดโลก" จะมีค่ายรถยนต์ถึง 36 แห่ง มาร่วมแสดงรถยนต์รุ่นใหม่ภายในงาน นอกจากนี้ยังมีการนำนวัตกรรมของรถยนต์ในโลกอนาคตมาจัดแสดงด้วย เช่น ค่ายฮุนไดจะนำรถไฮโดรเจนมาแสดง ซึ่งเป็นรถที่สามารถวิ่งได้จริง และมีราคาสูงมาก รวมถึงยังมีการสัมมนาเชิงปฏิบัติการเกี่ยวกับการใช้รถยนต์อย่างไรให้ปลอดภัยด้วย แสดงให้เห็นว่า ค่ายรถยนต์มีความเชื่อมั่น และมองเห็นโอกาสในการทำธุรกิจ

นายขวัญชัยบอกว่า ในการจัดงานมหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 23 มียอดจำหน่ายรถยนต์ทั้งสิ้น 1.7 หมื่นคัน คิดเป็นมูลค่าประมาณ 1.7 หมื่นล้านบาท และยอดการจำหน่ายอุปกรณ์รถยนต์อีกประมาณ 3 พันล้านบาท ทำให้ในปีที่ผ่านมามีเงินสะพัดภายในงานประมาณ 2 หมื่นล้านบาท ส่วนการจัดงานในปีนี้ ได้ตั้งเป้าหมายจำหน่ายรถยนต์ขั้นต่ำไว้ที่ 1.5 หมื่นคัน และคาดว่าจะมีเงินสะพัดภายในงานไม่ต่ำกว่าปีที่ผ่านมาแน่นอน

สำหรับราคาน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้นในขณะนี้ เชื่อว่าจะไม่ส่งผลกระทบต่อยอดจำหน่ายรถยนต์มากนัก เพราะประชาชนสามารถใช้แก๊สโซฮอล์ที่มีราคาถูกกว่าน้ำมันได้ เพียงแต่ในช่วงแรกประชาชนอาจจะตกใจกับราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว

นายขวัญชัยยังกล่าวถึงโครงการรถ ECO Car ด้วยว่า เป็นเรื่องดีที่ไทยสนับสนุนการผลิตรถ ECO Car เพราะจะทำให้อุตสาหกรรมรถยนต์ไทยมีความแข็งแกร่งมากขึ้น ส่วนการตั้งเป้าหมายการเป็นศูนย์กลางการผลิตรถยนต์ (HUB) ก็จะขึ้นอยู่กับการจำหน่ายของผู้ผลิตมากกว่า เพียงแต่ภาครัฐก็ควรจะมีมาตรการสนับสนุนผู้ผลิตรถ ECO Car ด้วย

สำหรับงานมหกรรมงานยนต์ครั้งที่ 24 จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 29 พ.ย. - 10 ธ.ค. 50 ที่อาคารชาเลนเจอร์ ฮอลล์ 1 3 เมืองทองธานี โดยในวันจันทร์ - ศุกร์ จะเริ่มเวลา 12.00 น. เป็นต้นไป ส่วนวันเสาร์ - อาทิตย์ และวันหยุดราชการ จะเริ่มเวลา 11.00 22.00 น.
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Har ... fault.aspx
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news26/11/07

โพสต์ที่ 99

โพสต์

มิตซูฯลงทุนเพิ่ม ทุ่มซื้อที่200ไร่ ไร้แววแลนเซอร์

โพสต์ทูเดย์ มิตซูบิชิเตรียมลงทุนเพิ่มในไทยแน่นอนแล้ว หลังเช่าที่เพิ่มกว่า 200 ไร่ ที่แหลมฉบัง เตรียมขยายโรงงานพร้อมจัดการเรื่องโลจิสติกส์ใหม่ในปีหน้า


นายคาซูฮิโร่ วาตาชิเกะ กรรมการรองผู้จัดการใหญ่ บริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส (ประเทศไทย) เปิดเผยถึงความคืบหน้าของแผนการลงทุนเพิ่มสำหรับโรงงานในประเทศไทย ว่า อยู่ระหว่างการดำเนินการ และอาจจะได้เห็นในช่วง ปีหน้า หลังจากที่ล่าสุดมีความคืบหน้า ด้วยการที่บริษัทตัดสินใจเช่าพื้นที่เพิ่มเติมบริเวณแหลมฉบังราว 200 ไร่ เพื่อเตรียมรองรับการขยายโรงงานและการจัดการด้านโลจิสติกส์ในอนาคต ซึ่งอยู่ระหว่างการตัดสินใจเรื่องแผนงานทั้งหมดว่าจะขยายเพื่อรองรับโครงการใดบ้าง

ทั้งนี้ กำลังการผลิตที่ใช้อยู่ในปัจจุบันถือว่าเต็มที่แล้ว จากยอดจำหน่ายที่มีอยู่ในประเทศไทยราว 2.6-2.7 หมื่นคัน ต่อปี และยอดส่งออกรถยนต์อีกกว่า 1.5 แสนคัน ซึ่งจำเป็นต้องลงทุนเพิ่ม แต่ต้องรอให้บริษัทแม่เป็นผู้ตัดสินใจว่าจะผลิตรถรุ่นใดในอนาคต เพราะส่งผลถึงเรื่องของการลงทุนในเรื่องเครื่องจักรต่างๆ

ตอนนี้เรากำลังศึกษาสินค้าอยู่หลายกลุ่มว่าจะมีการนำเข้ามาทำตลาดในประเทศไทยหรือไม่ ไม่ว่าจะเป็น แลนเซอร์รุ่นใหม่

หรือแม้แต่รถในกลุ่มบี-เซกเมนต์ก็อยู่ในแผนการศึกษา แต่ที่แน่ๆ ตอนนี้โรงงานกำลังเร่งมือในการผลิตรถพีพีวี รุ่นใหม่ที่จะเปิดตัวปีหน้า จึงยังไม่คิดเรื่องอื่นในขณะนี้ นายวาตาชิเกะ กล่าว
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=205710
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news27/11/07

โพสต์ที่ 100

โพสต์

ยอด2ล้อต.ค.กระเตื้อง เกียร์ออโต้ช่วยโต7%

โพสต์ทูเดย์ ตลาดรถจักรยานยนต์เดือน ต.ค. เริ่มฟื้นตัวหลังได้รับอานิสงส์ รถเกียร์อัตโนมัติโตต่อเนื่อง


นายธีระพัฒน์ จิวะวงศ์ กรรมการบริหารฝ่ายขาย บริษัท เอ.พี.ฮอนด้า กล่าวถึงยอดจดทะเบียน ป้ายวงกลมของรถจักรยานยนต์ โดยรวมในเดือน ต.ค. ซึ่งเป็นช่วง เริ่มต้นเข้าสู่เดือนแรกของไตรมาสสุดท้ายปีนี้ ปรากฏว่าตลาดเริ่ม มีสัญญาณของการขยายตัวใน กลุ่มรถประเภท เอ.ที. หรือรถแบบเกียร์อัตโนมัติ โดยมีสัดส่วนตลาดเพิ่มขึ้นเป็น 46% จากที่ก่อนหน้านี้นับตั้งแต่เดือน เม.ย. เป็นต้นมา มีสัดส่วนลดลงมาโดยตลอด จาก 47% ลดลงเหลือเพียง 44% ในเดือนที่ผ่านมา

ทั้งนี้ ปริมาณจดทะเบียนใน เดือน ต.ค. ที่ผ่านมามีจำนวนทั้งสิ้นกว่า 1.25 แสนคัน สูงกว่าเดือน ก.ย. ที่มียอดจดทะเบียนทั้งสิ้น 117,210 คัน หรือเพิ่มเกือบ 7% แต่เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนถือว่ามีอัตราลดลง 15%

การเปิดตัวรถจักรยานยนต์ฮอนด้า ไอคอน พร้อมกับการรุกประชาสัมพันธ์และเดินสายจัดกิจกรรมเปิดตัวรถรุ่นนี้ในเขตท้องถิ่นเพื่อเข้าถึงผู้บริโภค ทำให้เกิดความตื่นตัวและความคึกคักในตลาดรถประเภทนี้ อันเป็นแรงกระตุ้นช่วยผลักดันให้ได้รับความสนใจจากผู้ใช้รถเป็นอย่างมาก นายธีระพัฒน์ กล่าว

สำหรับปริมาณจดทะเบียนสะสมตั้งแต่เดือน ม.ค.ต.ค. มีทั้งสิ้น 1,366,050 คัน ลดลง 17% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้าที่มีจำนวน 1,644,604 คัน มีปริมาณลดลง 278,554 คัน หรือมีอัตราการเติบโตลดลง 17%
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=205884
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news28/11/07

โพสต์ที่ 101

โพสต์

Automotive: ครม.ไฟเขียว ลดภาษีสรรพสามิตให้รง.ผลิตอีโคคาร์จาก 30% เหลือ 17% หนุนใช้รถประหยัดพลังงาน  
         นายสุรพล สุประดิษฐ์ รองอธิบดีกรมสรรพสามิต เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่าครม.อนุมัติให้กระทรวงการคลัง
ออกประกาศลดภาษีสรรพสามิตให้แก่โรงงานที่ผลิตรถยนต์ประหยัดพลังงานขนาดเล็ก หรือ อีโคคาร์ จาก 30% เหลือเพียง 17% ทั้งนี้เบื้องต้นมีบริษัท
ฮอนด้าเพียงบริษัทเดียวที่ขอผลิตรถยนต์ประหยัดพลังงานขนาดเล็ก ซึ่งได้รับการอนุมัติจาก BOI แล้ว ส่วนบริษัทอื่นๆ อีก 2-3 ราย ที่มีแนวโน้มจะยื่น
ความจำนงในการขอผลิตรถยนต์ประหยัดพลังงานนั้นสามารถแจ้งต่อ BOI ได้ภายใน 30 พ.ย. นี้ โดยคาดว่าจะทราบข้อสรุปว่ามีบริษัทใดต้องการผลิต
รถยนต์ขนาดเล็กจาก BOI ภายในต้นเดือน ธ.ค. นี้ (E-Finance)          

ความเห็นและคำแนะนำ
         ประเด็นข่าวดังกล่าวถือเป็นปัจจัยบวกในระยะยาวสำหรับกลุ่มอุตสาหกรรมชิ้นส่วนรถยนต์  โดยเบื้องต้นคาดว่าจะมี 3 บริษัทที่คาดว่าผลิต
รถอีโคคาร์ คือ ฮอนด้า ,โตโยต้า  และ นิสสัน  ซึ่งเราคาดว่า การผลิตรถอีโคคาร์จะเริ่มผลิตในปี 2552 หรืออีกประมาณ 2ปีข้างหน้า โดยบริษัทที่
คาดว่าจะได้รับประโยชน์คาดว่าจะเป็นกลุ่มผู้ผลิตชิ้นส่วนรายใหญ่ ที่มีส่วนแบ่งตลาดสูงในผลิตภัณฑ์ของตัวเอง ได้แก่ AH , STANLY ,SAT ,TSC และ
YNP โดยหุ้น Top Pick ของเรายังคงเป็น SAT (ราคาเป้าหมาย 17.60) และ STANLY (ราคาเป้าหมาย 165) ทั้งนี้เนื่องจาก SAT ได้รับ
ประโยชน์จากการที่โมเดลส่วนใหญ่ที่ได้รับเป็นโมเดลเพื่อการส่งออกที่เติบโตดี ประกอบกับการที่บริษัทมีการขยายฐานลูกค้าไปยังกลุ่มเครื่องจักรกลการ
เกษตร ซึ่งล่าสุดได้ลูกค้าใหม่จากคูโบต้า ทำให้ได้รับออร์เดอร์ใหม่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ซึ่งเราคาดอัตราการเติบโตของกำไรสุทธิเฉลี่ยในงวดปี 50-51
ที่ 9% ต่อปี ในขณะที่ STANLY ถือเป็นผุ้ผลิตชิ้นส่วน โคมไฟ และหลอดไฟ รถยนต์รายใหญ่ ซึ่งมีส่วนแบ่งตลาดมากกว่า 70% ในตลาดรถยนต์  ทำให้
รับผลดีจากการที่ค่ายรถยนต์ประกาศขยายกำลังการผลิตเพิ่ม ซึ่งเราคาดอัตราการเติบโตของกำไรสุทธิเฉลี่ยในงวดปี 50-51 ที่ 7%ต่อปี   นอกจากนี้
บริษัท STANLY ยังมีฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง ไม่มีภาระหนี้สิน และมีการจ่ายเงินปันผลสม่ำเสมอ
http://www.thunhoon.com/home/
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news28/11/07

โพสต์ที่ 102

โพสต์

รีดภาษีอีโคคาร์17% จูงใจขายคันละ3แสน

โพสต์ทูเดย์ ครม. อนุมัติเก็บ ภาษีอีโคคาร์ 17% ช่วยค่ายรถ ผลิตในไทยประหยัดภาษีคันละ 1.2 แสนบาท


นายสุรพล สุประดิษฐ์ รองอธิบดีกรมสรรพสามิต กล่าวว่า คณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้เห็นชอบให้ คลังจัดเก็บภาษีสรรพสามิตรถยนต์ประหยัดพลังงาน (อีโคคาร์) ใน อัตรา 17% จากปกติเก็บในอัตรา 30% เพื่อให้ผู้ประกอบการสามารถวางแผนการลงทุนผลิต และจำหน่ายรถยนต์ประหยัดพลังงานมาตรฐานสากลได้ทันในวันที่ 1 ต.ค. 2552

อีโคคาร์ที่จะได้รับสิทธิภาษี 17% ต้องเป็นรถยนต์นั่ง หรือรถยนต์โดยสารที่มีที่นั่งไม่เกิน 10 ที่นั่ง มีความจุของกระบอกสูบไม่เกิน 1.3 พัน ลบ.ซม. สำหรับเครื่องยนต์เบนซิน และมีความจุของกระบอกสูบไม่เกิน 1.4 พัน ลบ.ซม. สำหรับเครื่องยนต์ดีเซล

ทั้งนี้ จะต้องแสดงหนังสือรับรองการอนุมัติคุณสมบัติรถยนต์ประหยัดพลังงานมาตรฐานสากล ที่ออกโดยกระทรวงอุตสาหกรรม และต้อง ใช้น้ำมัน 5 ลิตรต่อ100 กม.

นอกจากนี้ ต้องมีปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่ปล่อยจาก ท่อไอเสียไม่เกิน 120 ก. ต่อ กม.

สำหรับรถยนต์นำเข้าจะไม่ได้รับสิทธิภาษี 17% แม้ว่าจะมีคุณสมบัติเป็นอีโคคาร์ เพราะนโยบายต้องการให้มีการผลิตในประเทศ

นายสุรพล กล่าวว่า การลดภาษีอีโคคาร์เหลือ 17% จะทำให้รถยนต์มีภาระภาษีที่น้อยลงคันละ 1.2 แสนบาท เมื่อเทียบกับการเก็บภาษีรถยนต์ในอัตราต่ำสุด 30% ในปัจจุบัน และจะทำให้อีโคคาร์มีราคาขาย 3-4 แสนบาทต่อคัน

นายสุรพล กล่าวว่า สิทธิประโยชน์ทางภาษีของผู้ผลิตรถยนต์จะต้องได้รับการส่งเสริมการลงทุนจากบีโอไอเท่านั้น และปัจจุบันมี แค่บริษัท ฮอนด้า ที่ได้รับการอนุมัติการลงทุน 5 พันล้านบาท เพื่อผลิตอีโคคาร์
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=206070
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news29/11/07

โพสต์ที่ 103

โพสต์

นิสสันยื่นลงทุนอีโคคาร์ 30พ.ย.นี้โตโยต้าร่วมวง

โพสต์ทูเดย์ นิสสัน ทิ้งไพ่ยื่นขอบีโอไอโครงการอีโคคาร์แล้ว ส่วนโตโยต้ายังนิ่งรอยื่นวันสุดท้ายก่อนปิดรับข้อเสนอสิ้นเดือนนี้


นายกิโยม ลองก์เลอร์ รองผู้จัดการใหญ่อาวุโส การตลาดและขาย บริษัท สยามนิสสัน ออโตโมบิล กล่าวว่า บริษัทได้ยื่นข้อเสนอในการลงทุนโครงการรถยนต์นั่งประหยัดพลังงานมาตรฐานสากล หรืออีโคคาร์ กับทางสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เป็นที่เรียบร้อยแล้ว

ทั้งนี้ บริษัทไม่มีข้อขัดแย้งใดๆ กับข้อกำหนดของรัฐบาล ทั้งในเรื่องของการลงทุน และการกำหนดจำนวนผลิตที่ 1 แสนคัน ในปีที่ 5 เนื่องจากมองว่าต้องผลิตเพื่อส่งออกอยู่แล้ว ขณะเดียวกัน ในอีก 2 ปีข้างหน้า ค่ายรถยนต์หลายค่ายจะทำการผลิตอีโคคาร์ เชื่อว่าตลาดรถยนต์จะกลับมาโตอีกครั้งหนึ่ง และทุกค่ายคงมองไปที่เรื่องของการส่งออกรถยนต์ในโครงการดังกล่าวจากประเทศไทยแน่นอน

ตอนนี้คงไม่สามารถให้รายละเอียดในโครงการดังกล่าวได้ แต่คาดว่าทุกอย่างจะเปิดเผยได้ในสัปดาห์หน้า นายลองก์เลอร์ กล่าว

ด้านแหล่งข่าวจากบริษัท สยามนิสสัน ออโตโมบิล เปิดเผยว่า นิสสันยังอยู่ระหว่างพิจารณาโครงการลงทุนสำหรับรถยนต์ในกลุ่มบีเซ็กเมนต์ ที่คาดว่าจะลงทุนเพิ่มอีก

แหล่งข่าวจากบริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย เปิดเผยว่า บริษัทพร้อมที่จะยื่นข้อเสนอในโครงการอีโคคาร์เช่นกัน โดยอยู่ระหว่างการเจรจาขั้นสุดท้าย และพร้อมจะยื่นข้อเสนอในวันที่ 30 พ.ย.นี้ ซึ่งเป็นวันสุดท้ายของการยื่นโครงการดังกล่าวให้กับบีโอไอ
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=206306
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news30/11/07

โพสต์ที่ 104

โพสต์

ตะกั่วขึ้นเอฟบียิ้มดันรายได้โตเท่าตัว

โพสต์ทูเดย์ เอฟบี แบตเตอรี่ คุยฟุ้งรายได้เติบโตเท่าตัว หลังปรับราคาจำหน่ายจากราคาตะกั่วพุ่งไม่หยุด


นายอธิธร จิตรานนท์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท สยามฟูรูกาวาเทรดดิ้ง ผู้แทนจำหน่ายแบตเตอรี่รถยนต์ ยี่ห้อ เอฟบี แบตเตอรี่ กล่าวว่า ในปีนี้บริษัทตั้งเป้าจะมีรายได้จากการจำหน่ายแบตเตอรี่ทั้งสิ้น 3 พันล้านบาท มีส่วนแบ่งตลาดอยู่ประมาณ 18-20% ของตลาดรวม หรือเติบโตเพิ่มขึ้น 1 เท่าตัว จากปีที่แล้วที่มีรายได้อยู่ที่ 1.6 พันล้านบาท ส่วน ในปีหน้าบริษัทคาดว่าจะมีรายได้จากการจำหน่ายแบตเตอรี่เพิ่มเป็น 4 พันล้านบาท

สำหรับปัจจัยที่ทำให้บริษัทมี ยอดการจำหน่ายเพิ่มขึ้นกว่า 1 เท่าตัวนั้น เนื่องจากการปรับตัวสูงขึ้นของต้นทุนการผลิต โดยเฉพาะราคาตะกั่วที่ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องมาตั้งแต่ในช่วงไตรมาส 4 ของ 2548 ทำให้บริษัทจำเป็นที่จะต้องปรับขึ้นราคาจำหน่ายแบตเตอรี่ และส่งผลให้ ยอดรายได้ของบริษัทเพิ่มขึ้น แม้ว่าปริมาณจำนวนแบตเตอรี่ที่จำหน่ายจะเท่าเดิม

อย่างไรก็ตาม ในขณะนี้ บริษัทไม่มีแผนการปรับราคาสินค้าแต่อย่างใด แต่จะพิจารณาหลังจากผ่านช่วงปีใหม่ไปแล้ว เนื่องจากกระทรวงพาณิชย์ได้อนุมัติให้แบตเตอรี่ ปรับราคาได้แล้ว แต่ได้ขอให้ผู้ผลิตสินค้าตรึงราคาสินค้าไปจนกว่าจะพ้นช่วงเทศกาลปีใหม่

สำหรับแผนการดำเนินธุรกิจของบริษัทในปีหน้านั้น บริษัทมีแผนที่ลงทุนเพิ่มอีก 70-80 ล้านบาท เพื่อใช้ปรับปรุงไลน์การผลิตแบตเตอรี่ให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น จากปัจจุบันที่ผลิตได้ 1.8 ล้านลูกต่อปี เป็น 2.05 ล้านลูกต่อปี

นายอธิธร กล่าวต่อว่า ในปีนี้บริษัทได้ส่งแบตเตอรี่รุ่นใหม่ เอฟบี ซูเปอร์โกลด์ นวัตกรรมใหม่ของตลาด ที่มีอายุการใช้งานยาวนานถึง 3-4 ปี เพื่อเป็นการกระตุ้นตลาดในช่วงปลายปี เพื่อเจาะกลุ่มลูกค้า ในระดับพรีเมียม พร้อมตั้งเป้าจะมียอดการจำหน่ายไว้ที่ 50 ล้านบาทในปีหน้า

ทั้งนี้ แบตฯ รุ่นดังกล่าว จะเปิดตัวในวันที่ 1 ธ.ค.นี้ ในราคาไม่เกิน 4 พันบาท พร้อมการรับประกันสูงสุด 24 เดือน หรือ 4 หมื่นกิโลเมตร

ด้านนายชิเกโนริ โมอูเอะ กรรมการรองผู้จัดการ กล่าวว่า นอกจากนี้ เอฟบี ซูเปอร์โกลด์ ยังได้ มีการติดตั้ง ตาแมว เพื่อแสดงสถานะของกระแสไฟและระดับน้ำกรด เพื่อแสดงถึงสถานความสมบูรณ์ในการใช้งานให้ลูกค้าได้มั่นใจและ ได้รับความสะดวกเพิ่มขึ้น และการบำรุงรักษาเพียงเติมน้ำกลั่นอย่างน้อยปีละ 1 ครั้งเท่านั้น
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=206479
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news01/12/07

โพสต์ที่ 105

โพสต์

โตโยต้ามาแล้ว ยื่นผลิตอีโคคาร์ 7ธ.ค.สรุปผล

โพสต์ทูเดย์ เห็นแววอีโคคาร์เมืองไทย โตโยต้า มิตซูบิชิ ซูซูกิ ยื่นข้อเสนอขอลงทุน ตามหลังฮอนด้า นิสสัน


แหล่งข่าวจากวงการรถยนต์เปิดเผยว่า บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย ได้ยื่นข้อเสนอในการลงทุนโครงการรถยนต์นั่งประหยัดพลังงานมาตรฐานสากล หรืออีโคคาร์ กับทางสำนักงานคณะกรรม การส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เมื่อเวลา 15.00 น. วันที่ 30 พ.ย. ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นวันสุดท้ายของการยื่นโครงการดังกล่าวให้บีโอไอพิจารณา

นอกจากบริษัท โตโยต้า จะยื่นข้อเสนอการลงทุนแล้ว ยังมีค่ายรถยนต์ญี่ปุ่นอีก 2 ค่ายคือ มิตซูบิชิ และซูซูกิ ยื่นข้อเสนอขอลงทุนเข้ามาเช่นกัน

อย่างไรก็ตาม ในเบื้องต้น คาดว่าข้อเสนอของมิตซูบิชิ และ ซูซูกิ จะไม่ผ่านการพิจารณาในเบื้องต้น เพราะไม่สามารถทำตาม ข้อกำหนดบางประการที่บีโอไอกำหนดได้

ส่วนข้อเสนอของนิสสัน และโตโยต้านั้น ผ่านการพิจารณาในเบื้องต้น โดยนิสสันจะผลิตรถยนต์อีโคคาร์ใน 2 โมเดล คือรุ่น 4 ประตู และ 5 ประตู (แฮตช์แบ็ก) แต่อยู่บนแพลตฟอร์มเดียวกัน ขณะที่โตโยต้านั้น จะผลิตเพียงรุ่นเดียว โดยเป็นรุ่นใหม่ของโลก เหมือนกับของฮอนด้า

แหล่งข่าวเปิดเผยต่อว่า จะมีการประชุมข้อเสนอการลงทุนของบริษัทรถยนต์ทั้ง 2 รายคือ นิสสัน และโตโยต้า ในวันที่ 7 ธ.ค. นี้

ปัจจุบันนี้ โครงการอีโคคาร์ มีเพียงบริษัท ฮอนด้า เพียงรายเดียว ที่ได้รับการอนุมัติให้ประกอบรถประเภทดังกล่าวภายใต้กรอบการส่งเสริมการลงทุนของบีโอไอ
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=206686
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news03/12/07

โพสต์ที่ 106

โพสต์

ค่ายรถฟันธงปีหน้าโตน้อย

โพสต์ทูเดย์ ฟอร์ด-มาสด้า คาดรถยนต์ปีหน้าโตไม่มาก แค่ 3-5% ผลจากน้ำมันแพงและเช่าซื้อรถยนต์ ระวังปล่อยกู้


นายสาโรช เกียรติเฟื่องฟู รองประธานอาวุโส ฟอร์ด ประเทศไทย กล่าวว่า แม้ปัจจัยทางการเมืองจะชัดเจนขึ้นหลังเลือกตั้งทั่วประเทศปลายปีนี้ แต่เชื่อว่าตลาดรถยนต์ปีหน้าจะไม่เติบโตมาก โดยคาดว่าน่าจะยังโตในระดับ 3-5% ซึ่งเป็นอัตราไม่สูง หรือภาพรวมรถยนต์จะเพิ่มจากปีนี้คาด 6.35-6.4 แสนคัน เป็นปีหน้า 6.5-6.7 แสนคัน (ยังไม่เท่ากับยอดขายรวมของรถยนต์เมื่อปีก่อนที่ตลาดรวม เคยขายได้ปีละ 6.8 แสนคัน)

ทั้งนี้ เหตุที่ทำให้ภาพรวมรถยนต์เพิ่มไม่มาก เนื่องจากผลกระทบโดยตรงจากเรื่องของแนวโน้มราคาน้ำมันที่ยังปรับตัวขึ้นสูง ประกอบกับแนวโน้มการปล่อยสินเชื่อของผู้ประกอบการที่จะเริ่มตึงเครียดขึ้นอีกครั้งหนึ่ง หลังจากจำนวนรถ ที่โดนยึดคืนมีสถิติเพิ่มสูงขึ้น

ขณะนี้จะเห็นได้ว่าปริมาณรถ ที่โดนยึดเริ่มมีแนวโน้มสูงขึ้น ดังนั้น แม้ภาพรวมเศรษฐกิจในปีหน้าจะ ดี ก็คงไม่ส่งผลดีต่ออุตสาหกรรมยานยนต์มากนัก นายสาโรช กล่าว

ส่วนบริษัท ฟอร์ด ตั้งเป้าจะโตตามการขยายตัวของตลาดรวม เพราะมองว่าจะสร้างความมั่นคงในการเติบโตกว่าการอัดโปรโมชัน เพื่อโตหวือหวา โดยฟอร์ดตั้งเป้าขาย 1.5 หมื่นคันปีนี้ จากตลาดรวม คาดขาย 6.35-6.4 แสนคัน ซึ่ง หดตัวลงไปเล็กน้อยเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา

นายจอห์น เรย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท มาสด้า เซลส์ (ประเทศไทย) กล่าวว่า ปีหน้าบริษัทตั้งเป้าการเติบโตของยอดจำหน่ายไม่มากนัก คาดจะขายได้ 1.5-1.6 หมื่นคันเท่านั้น เติบโตขึ้นเล็กน้อยเทียบกับปีนี้ที่ทำได้ตามเป้า 1.5 หมื่นคัน ในขณะที่ตลาดรถยนต์ภาพรวมก็จะขยายตัวไม่มาก ส่วนปีหน้าคาดภาพรวมรถยนต์จะขยายตัวเพิ่มเป็น 6.5 แสนคันเท่านั้น จากปีนี้ตลาดรวมน่าจะทำได้ 6.2-6.3 แสนคัน

สาเหตุที่ทำให้ตลาดรถยนต์ปีหน้าไม่ขยายตัวมาก น่าจะเป็นในเรื่องของราคาน้ำมันที่ยังปรับตัว เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับสถานการณ์ด้านอื่นๆ ก็ยังไม่มีความชัดเจนมากนัก จึงไม่น่าจะเห็นการเติบโตแบบก้าวกระโดดในปีหน้า นายเรย์ กล่าว

สำหรับแผนบริษัทปีหน้าจะไม่เน้นบุกตลาดรุนแรง แต่จะเน้นไปที่การเตรียมความพร้อมในส่วน ของตัวแทนจำหน่ายของบริษัท ที่ปัจจุบันมีอยู่ 90 ราย ทั้งในเรื่องของจำนวนที่จะเพิ่มเป็น 100 ราย และเรื่องของศักยภาพในการให้บริการ ทั้งนี้ การเตรียมการดังกล่าวเพื่อรองรับเป้าหมายการบุกตลาดอย่างจริงจังอีกครั้งในปี 2552 ที่คาดว่าจะมีสินค้ารุ่นใหม่ๆ เข้ามารองรับความต้องการของผู้บริโภคมากขึ้น
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=206920
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news05/12/07

โพสต์ที่ 107

โพสต์

กระบะทาทาลั่นกลองรบ
ประกาศขายปีหน้า1.2หมื่นคันฟันรายได้เฉียด7พันล.-หวังเป็นฮับส่งออกอาเซียน


โพสต์ทูเดย์ ทาทา บุกไทยแน่ ปีหน้า เตรียมเปิดไลน์ผลิตรถปิกอัพป้อนอาเซียน หวังฟันรายได้เฉียด 6 พันล้านบาท

แหล่งข่าวจากบริษัท ทาทา มอเตอร์ส (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า ในวันที่ 6 ธ.ค.นี้ บริษัทจะแถลงข่าวการเปิดตัวบริษัทอย่างเป็นทางการในประเทศไทย เพื่อประกาศแผนการผลิตและทำตลาดรถกระบะ ทาทา รุ่นสปรินท์จากประเทศอินเดียอย่างเป็นทางการ ในช่วงปลายไตรมาสแรกของปี 2551

ทั้งนี้ บริษัทมีแผนจะผลิตรถ ปิกอัพจำนวน 1.5 หมื่นคันในปี 2551 แบ่งเป็นสำหรับการจำหน่ายในประเทศ 1.2 หมื่นคัน คิดเป็นส่วนแบ่งการตลาดปิกอัพในประเทศไทยประมาณ 3-5% คิดเป็นมูลค่า 5,668 ล้านบาท และส่งออกอีก 3 พันคัน คิดเป็นมูลค่า 1.26 พันล้านบาท รวมแล้วจะมีรายได้เกือบ 6 พันล้านบาท

ทาทา มอเตอร์ส ได้ร่วมทุน กับบริษัท ธนบุรีประกอบรถยนต์ กว่า 1.3 พันล้านบาท ขึ้นไลน์การผลิตรถปิกอัพทาทาในโรงงานที่ 2 ของธนบุรีประกอบรถยนต์ โดยวางเป้าหมายที่จะใช้โรงงานแห่งนี้เป็นฐานผลิตสำหรับภูมิภาคอาเซียน ทั้งหมด ที่คาดว่าน่าจะเริ่มทำการตลาดได้พร้อมกันในปีหน้า

สำหรับโรงงานของธนบุรีฯ มีกำลังการผลิตทั้งสิ้น 3.5 หมื่นคัน โดยการที่ทาทามาลงทุนในประเทศไทย เนื่องจากมองว่าเป็นฐานการผลิตที่สำคัญที่สามารถส่งออกไปได้ทั้งในอาเซียน ผ่านเขตการค้า เสรีอาเซียน ไปออสเตรเลีย ผ่าน ข้อตกลงเอฟทีเอไทย-ออสเตรเลีย รวมไปถึงการส่งไปยังประเทศอินเดียหากมีการเจรจาเอฟทีเอไทย-อินเดียในอนาคต ซึ่งตลาดปิกอัพ ในประเทศไทยก็มีความใหญ่โตและ มีพื้นฐานที่ดีอยู่แล้ว แม้ตลาด ส่วนใหญ่จะถูกถือครองโดยผู้ผลิตยักษ์ใหญ่เพียง 2 รายก็ตาม

นอกจากนี้ ยังได้ดึงทีมงาน มืออาชีพซึ่งเป็นลูกหม้อของธนบุรีฯ เข้ามานั่งในตำแหน่งสำคัญๆ ของบริษัททั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นนาย อาจิต เวนทาคารามัน ที่ดำรงตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหาร นายอภิเชต สีตกะลิน ที่มารับตำแหน่งผู้อำนวยการฝ่ายขาย รวมไปถึงนายสมพงษ์ ผลจิตจรูญ ที่รับตำแหน่งผู้จัดการทั่วไป-การตลาด รวมถึงมีการดึงทีมงานและตัวแทนจำหน่ายเก่าๆ ของธนบุรีฯ เข้ามาร่วมทำธุรกิจในครั้งนี้ด้วย

สำหรับเครือข่ายการจำหน่ายและศูนย์บริการนั้น ตามแผนงานเดิมคาดว่าจะมีการตั้งตัวแทนจำหน่ายได้ในช่วงปลายปีนี้ โดย ตั้งเป้าหมายที่จะเปิดดีลเลอร์อย่างน้อยจังหวัดละ 1 รายทั่วประเทศ ซึ่งที่ผ่านมาก็มีผู้ที่สนใจและพร้อมจะลงทุนกับทาทามากมาย แต่คงต้องรอดูความชัดเจนของเศรษฐกิจและการเมืองอีกครั้งว่าจะออกมาในรูปแบบใด
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=207321
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news07/12/07

โพสต์ที่ 108

โพสต์

ซูซูกิ/นิสสันยื่นบีโอไอร่วมวงอีโคคาร์

โพสต์ทูเดย์ ประชุมบอร์ดบีโอไอนัดส่งท้ายรัฐบาลชุดปัจจุบัน ซูซูกิ นิสสัน โดดร่วมวงอีโคคาร์


แหล่งข่าวจากกระทรวง อุตสาหกรรม เปิดเผยว่า การประชุมคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บอร์ดบีโอไอ) ในวันที่ 7 ธ.ค. 2550 จะพิจารณาอนุมัติส่งเสริมการลงทุน 9 โครงการ มูลค่าลงทุน 4.51 หมื่นล้านบาท ประกอบด้วย บริษัท ซูซูกิ มอเตอร์ คอร์ปอเรชั่น ประเทศญี่ปุ่น ได้รับการส่งเสริมกิจการผลิตรถยนต์ประหยัดพลังงานมาตรฐานสากล (อีโคคาร์) และชิ้นส่วนมูลค่าเงินลงทุน 9.5 พันล้านบาท ตั้งโรงงานที่ จ.ระยอง เริ่มผลิตได้ปี 2553

บริษัท สยามนิสสัน ออโตโมบิล ได้รับส่งเสริมกิจการผลิตรถอีโคคาร์ และชิ้นส่วน มูลค่าเงินลงทุน 5.5 พันล้านบาท ตั้งโรงงานที่ จ.สมุทรปราการ เริ่มผลิตได้อีก 3 ปีข้างหน้า

บริษัท ออโต้อัลลายแอนซ์ (ประเทศไทย) ได้รับส่งเสริมการลงทุนกิจการผลิตรถยนต์นั่งส่วนบุคคล มูลค่าเงินลงทุน 2.08 หมื่นล้านบาท ตั้งโรงงานที่ จ.ระยอง

นายแพทริค เอส แลนซาเตอร์ ได้รับส่งเสริมกิจการผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ ลงทุน 1.3 พันล้านบาท เน้นขายผู้ผลิตรถยนต์ในประเทศ เพื่อนำไปผลิตรถรุ่นใหม่

บริษัท ทีพีไอ โพลีนเพาเวอร์ ได้รับส่งเสริมกิจการผลิตเอทานอล เงินลงทุน 1.78 พันล้านบาท ตั้งโรงงานที่ จ.สระบุรี เป็นการผลิตเพื่อส่งออก

บริษัท แม่สอดพลังงานสะอาด ได้รับส่งเสริมกิจการผลิตเอทานอล และการผลิตไฟฟ้าจากชานอ้อย 8 เมกะวัตต์ เงินลงทุนทั้งสิ้น 2 พันล้านบาท ตั้งโรงงานที่ จ.ตาก

บริษัท กรีนสปอต (ประเทศไทย) ได้รับส่งเสริมกิจการผลิตเครื่องดื่มจากธัญพืช ได้แก่ น้ำนมถั่วเหลืองยี่ห้อไวตามิลค์ และวีซอย แบบบรรจุกล่อง มูลค่าเงินลงทุนทั้งสิ้น 1.06 พันล้านบาท ตั้งโรงงานที่ จ.ปทุมธานี

บริษัท ข้าว ซี.พี. ได้รับการส่งเสริมกิจการคัดคุณภาพข้าว ตั้งโรงงานที่ จ.อยุธยา และบริษัท ปตท. ได้รับส่งเสริมกิจการขนส่งทางท่อ เงินลงทุน 2 พันล้านบาท

เป็นที่น่าสังเกตว่าไม่มีโครงการอีโคคาร์ของบริษัท โตโยต้า มอเตอร์ และ มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย เข้าสู่การพิจารณาทั้งที่มีข่าวก่อนหน้านี้ว่า ค่ายรถทั้ง 2 ค่าย ได้เข้าร่วมรับการส่งเสริมอีโคคาร์ด้วย
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=207649
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news10/12/07

โพสต์ที่ 109

โพสต์

ตลาดรถเล็กเดือด รับยุคน้ำมันแพง โฟล์ก-โตโยต้าโดดชิงเค้กอีโคคาร์
   
ตลาดรถเล็กพร้อมระอุ "โตโยต้า มิตซูบิชิ" ยันไม่ตกขบวนอีโคคาร์ มั่นใจภายใน 20 ธ.ค.นี้ได้รับอนุมัติส่งเสริมแน่นอน มูลค่าโครงการมากกว่า 5,000 ล้านบาท "โฆสิต" แย้มมีโฟล์กสวาเกนเพิ่มอีกราย  

   นายศุภรัตน์ ศิริสุวรรณางกูร ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่อาวุโส กล่าวว่า โตโยต้าได้ยื่นขอรับการอนุมัติสนับสนุนการลงทุนในโครงการอีโคคาร์ไปก่อนวันที่ 30 พ.ย.ที่ผ่านมา และได้มีการปรับปรุงเงื่อนไขให้ตรงกับแบบฟอร์มของบีโอไอ พร้อมกับผู้ผลิตรถยนต์รายอื่นๆ ทันตามกำหนดพอดี
โดยบีโอไอจะพิจารณาข้อขอเสนอของโตโยต้า และผู้ผลิตรถยนต์อีก 3 รายล่าสุดในวันที่ 20 ธ.ค.นี้ เพื่อให้เสร็จสิ้นก่อนรัฐบาลชุดนี้ สำหรับรายละเอียดใครงการยังไม่สามารถเปิดเผย แต่ทุกอย่างเป็นไปตามหลักเกณฑ์บีโอไอที่กำหนด 5,000 ล้านบาทอย่างแน่นอน

    ส่วนโรงงานผลิต ใช้โรงงานเดิมทั้งเกตเวย์และบ้านโพธิ์ เนื่องจากยังคงมีศักยภาพพอรองรับกับโครงการดังกล่าวได้ แต่ทั้งนี้ก็คงจะต้องมีการพิจารณากันอีกครั้งหนึ่ง หากมีการส่งออกอีโคคาร์ และตลาดใหญ่ของโตโยต้าก็คาดว่าจะเป็นภูมิภาคอาเซียน ออสเตรเลีย เอเชีย โอเชียเนีย และนิวซีแลนด์ ว่าจะมีความเป็นไปได้มากน้อยเพียงใด
   โดยเบื้องต้น อีโคคาร์จะเป็นรถซับคอมเพล็กซ์ขนาดเล็กกว่ารถในระดับ B เซ็กเมนต์ ส่วนข้อกำหนดในด้านขนาด ตัวถัง และอื่นๆ นั้น วันนี้ถือว่าไม่เป็นปัญหาแต่อย่างใดสำหรับโตโยต้า แต่ในส่วนของตลาดส่งออกนั้นยังถือเป็นเรื่องหนักใจ แต่กว่าจะมีผลผลิตรถอีโคคาร์ออกมาจริงๆ ก็คาดว่าน่าจะได้เห็นในช่วงปี 2553-2554 และกว่าจะมีการส่งออกได้ก็ในปี 2558 ซึ่งยังพอมีเวลาที่จะเตรียมการและยังพอมีเวลาในการศึกษาอยู่

  ด้านนายทาเคโอะ ซากุไร ผู้อำนวยการใหญ่สำนักประธาน บริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย จำกัด กล่าวว่า ได้ตัดสินใจนำเสนอแผนการลงทุนในโครงการอีโคคาร์ เบื้องต้นบริษัทคาดว่าจะต้องใช้งบประมาณในการลงทุนขั้นต่ำ 5,000 ล้านบาทอย่างแน่นอน ส่วนรายละเอียดในข้อกำหนดอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นจำนวน 100,000 คันภายในปีที่ 5 หรือขนาดตัวถัง มาตรฐานเครื่องยนต์นั้น บริษัทไม่มีปัญหาแต่อย่างใด และพร้อมที่จะผลิตรถเพื่อให้เข้ากับสเป็กที่รัฐบาลกำหนด
   โดยหลักการแล้ว ผมมองว่าคนที่จะยื่นอีโคคาร์นี้จะต้องพิจารณารถยนต์ที่เข้าร่วมระหว่างเซ็กเมนต์ A-B แต่ตลาดในประเทศไทยรถในระดับนี้ยังไม่เป็นที่นิยม และโดยเชื่อว่าตลาดบ้านเราคงจะมีความต้องการรถในระดับนี้ไม่มาก ดังนั้นเราคงจะต้องโฟกัสไปที่ตลาดส่งออกเป็นสำคัญ"
บริษัทไม่ต้องการสร้างความผิดหวังให้กับลูกค้าชาวไทย ซึ่งบริษัทยังไม่สามารถเปิดเผยได้ว่ารถที่จะนำมาเข้าร่วมโครงการนี้จะเป็นรถในเซ็กเมนต์ใดระหว่าง A-B แต่ที่สำคัญบริษัทจะต้องกำหนดโมเดลเพื่อทำตลาดในประเทศก่อน

   ส่วนตลาดส่งออกนั้น บริษัทคงจะต้องมาพิจารณากันว่าจะส่งรถไปทำตลาดในประเทศใด โดยเฉพาะต้องมีการศึกษาความต้องการของแต่ละตลาดว่ามีความต้องการแบบใดเพราะอย่างน้อยตลาดส่งออกเรายังมีระยะเวลาในการศึกษาอีกระยะ
  สำหรับรถยนต์ที่บริษัทจะนำเข้าร่วมโครงการนี้มีความเป็นไปได้ว่าอาจจะเป็นโมเดลที่มีอยู่แล้วในตลาดโลก หรืออาจจะเป็นโมเดลใหม่ เพื่อให้รองรับกับความต้องการของตลาด ส่วนจะมีการลงทุนเพื่อตั้งโรงงานใหม่หรือใช้วิธีขยายพื้นที่โรงงานเดิมหรือไม่นั้นคงจะต้องมีการพิจารณากันอีกที ซึ่งหากระบบโลจิสติกส์ที่โรงงานไม่พอเราก็อาจจะต้องมีการขยายไปที่อื่นด้วย

  ทั้งนี้คาดว่าบีโอไอจะนำข้อเสนอของเราขึ้นมาพิจารณาในรอบที่ 2 ซึ่งคาดว่าจะเป็นวันที่ 20 ธ.ค.นี้ พร้อมกับผู้ประกอบรถยนต์รายอื่นๆ ด้านนายสมพงษ์ ผลจิตจรูญ ผู้จัดการทั่วไป-การตลาด บริษัท ทาทา มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า บริษัทได้แสดงเจตจำนงและยื่นขอรับการอนุมัติโครงการนี้ไปยังบีโอไอด้วย เพราะหลังจากที่บริษัทได้ตัดสินเข้ามาลงทุนในประเทศไทยเช่นกัน
  ขณะที่นายโฆสิต ปั้นเปี่ยมรัษฎ์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยภายหลังเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บอร์ด BOI) ว่า ที่ประชุมได้มีการอนุมัติส่งเสริมการลงทุนในกิจการรถยนต์ประหยัดพลังงานมาตรฐานสากล หรือ Eco-Car เพิ่มอีก 2 โครงการ คือ โครงการของบริษัทซูซูกิ มอเตอร์ คอร์ปอเรชั่น ประเทศญี่ปุ่น ผลิต Eco-Car และชิ้นส่วน (CKD) มูลค่าเงินลงทุน 9,500 ล้านบาท กำลังการผลิตปีละประมาณ 138,000 คัน จำหน่ายในประเทศร้อยละ 19 และส่งออกร้อยละ 81 ในตลาดเอเชีย ออสเตรเลีย และแอฟริกา ตั้งโรงงานที่จังหวัดระยอง จะเริ่มการผลิตได้ในปี 2553

  กับโครงการของบริษัท สยามนิสสัน ออโตโมบิล จำกัด ผลิต Eco-Car และชิ้นส่วน (CKD) มูลค่าเงินลงทุน 5,550 ล้านบาท กำลังการผลิตปีละประมาณ 120,000 คัน ผลิตเพื่อส่งออกเป็นส่วนใหญ่ ตลาดส่งออก คือ ประเทศในเอเชีย และออสเตรเลีย ตั้งโรงงานอยู่ที่จังหวัดสมุทรปราการ โดยเมื่อรวมกับโครงการของบริษัทฮอนด้า ที่ได้รับอนุมัติส่งเสริมการลงทุนเมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายนที่ผ่านมาแล้ว เท่ากับปัจจุบันมีโครงการอีโคคาร์ที่รับอนุมัติส่งเสริมการลงทุนทั้งสิ้น 3 โครงการ เงินลงทุนรวมประมาณ 19,000 ล้านบาท
  นายโฆสิตได้กล่าวต่อไปว่า นอกเหนือจาก 3 บริษัท บริษัทที่ได้รับส่งเสริมการลงทุนในกิจการผลิตรถอีโคคาร์แล้ว ยังมีโครงการของบริษัทรถยนต์ที่ยื่นเสนอ และรอการพิจารณาอยู่อีก 4 โครงการ คือ โครงการของบริษัทมิตซูบิซิ, ทาทา, โตโยต้า และโฟล์กสวาเกน โดยคาดว่าจะผ่านการพิจารณาของคณะอนุกรรมการส่งเสริมการลงทุนเพื่อเข้าสู่การพิจารณาอนุมัติของบอร์ด BOI ได้ภายในเดือนมกราคม 2551 ซึ่งนอกเหนือจากโครงการอีโคคาร์ของทั้ง 7 ค่ายรถยนต์ดังกล่าวแล้ว ก็คงจะไม่มีโครงการอื่นอีก เพราะที่ประชุมมีมติร่วมกันที่จะ "ปิด" รับ และไม่ขยายระยะเวลาการขอรับการส่งเสริมการลงทุนในกิจการอีโคคาร์เพิ่มอีกต่อไป

"สำหรับโครงการอีโคคาร์ของทั้ง 7 บริษัทนี้ ยื่นเสนอโครงการมาทันภายในระยะเวลาที่ BOI กำหนด โดยเฉพาะ 4 บริษัทหลัง ที่ยื่นเสนอโครงการมาวันสุดท้ายที่ BOI กำหนดไว้พอดี คือ วันที่ 30 พฤศจิกายน ก็นับว่าเป็นเรื่องน่าพึงพอใจสำหรับวิธีการให้ส่งเสริมการลงทุนในลักษณะใหม่ ที่สามารถดึงดูดการลงทุนได้มากขึ้น สร้างประโยชน์อุตสาหกรรม และเศรษฐกิจของประเทศ กล่าวคือ เป็นวิธีที่ BOI ประกาศนโยบายส่งเสริม แต่ยังไม่กำหนดสิทธิประโยชน์ที่ชัดเจน โดยให้เอกชนเสนอโครงการ แผนงานการผลิต และความต้องการขอรับสิทธิประโยชน์ส่งเสริมการลงทุนแทน คิดว่า BOI ก็จะนำวิธีการให้ส่งเสริมการลงทุนในลักษณะดังกล่าวไปใช้กับกิจการอื่นๆ ต่อไป" นายโฆสิตกล่าว
 ด้านสาธิต ชาญเชาวน์กุล เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน กล่าวว่า ในส่วนของ 4 โครงการหลัง ขณะนี้ยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดที่ชัดเจนได้ แต่อย่างไรก็ตาม แผนการลงทุนก็จะต้องเป็นไปตามเงื่อนไขที่ BOI กำหนด คือ ต้องเสนอการลงทุนเป็นโครงการรวม (package) ทั้งโครงการประกอบรถยนต์ การผลิตเครื่องยนต์ และการผลิตหรือจัดหาชิ้นส่วนยานยนต์ มูลค่าการลงทุนรวมไม่น้อยกว่า 5,000 ล้านบาท ปริมาณการผลิต การผลิตไม่ต่ำกว่าปีละ 100,000 คัน ตั้งแต่ปีที่ 5 เป็นต้นไป ประหยัดพลังงานเชื้อเพลิง 5 ลิตร ต่อ 100 กิโลเมตร ได้รับมาตรฐานสิ่งแวดล้อม EURO 4 หรือสูงกว่า และมาตรฐานความปลอดภัย                                    

"แต่ละโครงการที่เสนอมาลงทุนไม่ต่ำกว่า 5,000 ล้านบาทแน่นอน โดยเฉพาะค่ายรถของโฟล์กสวาเกน ที่ปัจจุบันยังไม่มีฐานการผลิตอยู่ในประเทศไทย ดังนั้นโครงการผลิตอีโคคาร์จึงถือเป็นโครงการแรกที่ใช้ฐานการผลิตรถยนต์ในประเทศไทย ซึ่งอาจจะใช้เงินลงทุนสูงกว่ารถยนต์ค่ายอื่น ที่มีฐานการผลิตเดิม และสามารถต่อยอดการผลิตได้" นายสาธิตกล่าว
และนอกเหนือจากกิจการรถยนต์อีโคคาร์แล้ว บอร์ด BOI ยังได้อนุมัติโครงการลงทุนผลิตรถยนต์นั่งส่วนบุคคลอีก 1 โครงการ เป็นของบริษัท ออโต้อัลลายแอนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด มูลค่าเงินลงทุน 20,893 ล้านบาท มีกำลังการผลิตปีละประมาณ 140,000 คัน ผลิตชิ้นส่วนรถยนต์สำเร็จรูปปีละประมาณ 42,000 ชุด และมีกำลังการผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ปั๊มขึ้นรูปปีละ 105,000 ชิ้น โดยจะจำหน่ายในประเทศร้อยละ 22 และส่งออกร้อยละ 78 ในตลาดแอฟริกาใต้ ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ และกลุ่มประเทศในอาเซียน ตั้งโรงงานที่จังหวัดระยอง
http://matichon.co.th/prachachat/news_d ... 25&catid=1
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news15/12/07

โพสต์ที่ 110

โพสต์

ปิดมอเตอร์ เอ็กซ์โปยอดจองรถพุ่ง 1.7หมื่นคัน

11 ธันวาคม พ.ศ. 2550 09:59:00
 
ยอดจองรถยนต์จากงานมหกรรมยานยนต์ หรือ มอเตอร์ เอ็กซ์โป ครั้งที่ 24 สะท้อนภาพกำลังซื้อที่อั้นมาทั้งปีถูกระบายด้วยยอดจอง 17,605 คัน เติบโตขึ้น 2.9% ค่ายโตโยต้าแชมป์ด้วยยอดจอง 5,074 คัน ทิ้งห่างค่ายรถอันดับสองเกือบเท่าตัว

กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ : นายขวัญชัย ปภัสร์พงษ์ ประธานบริษัท สื่อสากล จำกัด และประธานจัดงานมหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 24 ที่ เมืองทองธานี เปิดเผยถึงยอดจองรถในงานครั้งนี้ว่า เป็นบทพิสูจน์สภาวะเศรษฐกิจเมืองไทยได้เป็นอย่างดี เมื่อผู้บริโภคให้ความสนใจจองรถยนต์รุ่นใหม่ๆ ในงานมหกรรมยานยนต์ โดยมียอดจองเพิ่มสูงจากปี 2549 ถึง 2.9% จำนวนรถทั้งสิ้น 17,605 คัน โดย โตโยต้า ที่ถึงแม้ไม่มีรถใหม่เปิดตัวในงานครั้งนี้ แต่ผู้บริโภคก็ยังให้ความสนใจจองรถถึง 5,074 คัน

สำหรับอันดับค่ายรถยนต์ที่ได้รับยอดจองสูงสุด มีดังนี้ อันดับ1 โตโยต้า ยอดจอง 5,074 คัน คิดเป็นส่วนแบ่งในงาน 28.8% อันดับ2 อีซูซุ ยอดจอง 2,552 คัน คิดเป็นส่วนแบ่ง 14.5% อันดับ3 ฮอนด้า ยอดจอง 2,125 คัน คิดเป็นส่วนแบ่ง 12.1% อันดับ4 เชฟโรเลต ยอดจอง 1,889 คัน คิดเป็นส่วนแบ่ง 10.7% อันดับ5 มิตซูบิชิ ยอดจอง 1,220 คัน คิดเป็นส่วนแบ่ง 6.9%

อันดับ6 โปรตอน ยอดจอง 1,058 คัน คิดเป็นส่วนแบ่ง 6.0% อันดับ7 นิสสัน ยอดจอง 1,000 คัน คิดเป็นส่วนแบ่ง 5.7% อันดับ8 มาสด้า ยอดจอง 765 คัน คิดเป็นส่วนแบ่ง 4.3%, อันดับ9 ฟอร์ด ยอดจอง 477 คัน คิดเป็นส่วนแบ่ง 2.7% และอันดับ10 ฮุนได ยอดจอง 389 คัน คิดเป็นส่วนแบ่ง 2.2%


นายขวัญชัย กล่าวว่า จากการพูดคุยกับค่ายรถยนต์ที่มียอดจองสูงเหล่านี้ ค่ายฮอนด้า ซึ่งมียอดจองมากเป็นอันดับที่3 ได้รับจองรถยนต์ฮอนด้า แอคคอร์ด รุ่นใหม่ มากที่สุด กว่า 700 คัน แม้ว่ารถจะยังไม่ขึ้นโชว์บนโชว์รูม และยังไม่ได้นำออกจำหน่าย แต่นำมารับจองในงานเป็นครั้งแรก ค่ายเชฟโรเลต ได้รับความนิยมจากผู้บริโภคแห่จอง เชฟโรเลต อาวีโอ ที่นับว่าประสบความสำเร็จมากในงาน ค่ายมิตซูบิชิ ที่มีทั้ง รถยนต์มิตซูบิชิ สเปซ แวกอน รุ่นปรับโฉม และกระบะ ไทรทัน พลัส สีขาวมุก ก็ได้รับความสนใจจากผู้บริโภคพอควร

นายขวัญชัย กล่าวว่า ส่วนค่ายรถยนต์น้องใหม่อย่างโปรตอน จากมาเลเซีย ที่มียอดจองติดอันดับที่7 คว้ายอดจองไปถึง 1,058 คัน นับเป็นครั้งแรกในการออกงาน ได้รับความสนใจจากผู้บริโภค ไปทดลองขับในสนามทดสอบของงาน จนพนักงานแทบไม่มีเวลาพักผ่อน และจากค่ายเกาหลี ฮุนได ก็ถือว่าประสบความสำเร็จอีกเช่นกัน แม้ยอดจองรถโซนาต้า จะได้รับจองพอสมควร แต่ลูกค้าก็ให้ความสนใจกับรถตู้ เฮช-1 รุ่นใหม่ อย่างมาก

ในส่วนของรถยนต์มือสอง ที่นำรถมาแสดงในงาน ปรากฏว่า ทั้ง 5 ค่ายที่นำมาจัดแสดง สามารถรับจองรถยนต์ได้ทั้งหมด 434 คัน โดยค่ายโตโยต้า สามารถรับจองรถที่นำมาจัดแสดงได้ถึง 193 คัน มากเป็นอันดับ1 คิดเป็นส่วนแบ่งในงาน 44.5%, อันดับ2 บีเอ็มดับเบิลยู รับจอง 169 คัน ส่วนแบ่ง 38.9% และอันดับที่3 เชฟโรเลต รับจองเพียง 48 คัน ส่วนแบ่ง 11.1% ทางด้านอุปกรณ์ประดับยนต์ กลุ่มที่ได้รับความนิยมมากที่สุดเป็นอุปกรณ์นำทางที่ใช้ในรถยนต์ หรือจีพีเอส
http://www.bangkokbiznews.com/2007/12/1 ... sid=210136
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news17/12/07

โพสต์ที่ 111

โพสต์

ผู้ผลิตชิ้นส่วนวิ่งวุ่นรับ'อีโคคาร์' ไทยซัมมิททุ่มพันล.ขึ้นไลน์ใหม่
   
ผู้ผลิตชิ้นส่วนวิ่งวุ่นรับงานรถอีโคคาร์ 'ซัมมิทกรุ๊ป' เตรียมแผนลงทุน 1,000 ล้านบาท ตั้งไลน์ผลิตชิ้นส่วนป้อนรถอีโคคาร์ คาดลูกค้าเก่า ฮอนด้า-โตโยต้า-นิสสัน ยังให้ความไว้วางใจ ชี้แนวโน้มอุตสาหกรรมชิ้นส่วนไปได้สวย

   รัฐบาลชุดนี้มีนโยบายสนับสนุนอุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วนยานยนต์ โดยให้สิทธิประโยชน์ยกเว้นภาษีสำหรับโครงการลงทุนต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการผลิตชิ้นส่วนยานยนต์, การประกอบยานยนต์ เป็นต้น ทำให้ช่วงที่ผ่านมาบริษัทรถยนต์   ค่ายต่างๆ ก็ขยายการลงทุนเข้ามาผลิตรถยนต์ในประเทศ มีการแข่งขันกันมากขึ้น ล่าสุดคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ได้ประกาศนโยบายส่งเสริมการลงทุนในกิจการผลิตรถยนต์ประหยัดพลังงานมาตรฐานสากล (อีโคคาร์) ซึ่งขณะนี้มีบริษัทรถยนต์ถึง 7 ค่าย ให้ความสนใจที่จะลงทุน คือ ฮอนด้า, ซูซูกิ, นิสสัน, โตโยต้า, มิตซู   บิซิ, ทาทา และโฟล์กสวาเกน โดย 3 บริษัทแรกได้รับอนุมัติส่งเสริมการลงทุนจากบอร์ด BOI

   นายพูลศักดิ์ วุฒิกุล ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายวางแผนพัฒนาธุรกิจ บริษัท ซัมมิท โอโต บอดี้ อินดัสตรี จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายชิ้นส่วนยานยนต์ ในเครือซัมมิท กรุ๊ป เปิดเผยกับ "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า ขณะนี้อุตสาหกรรมผู้ผลิตชิ้นส่วนและอุตสาหกรรมผู้รับช่วงการผลิตจากอุตสาหกรรมยานยนต์เริ่มตื่นตัว และมีการแข่งขันกันอย่างรุนแรงเช่นเดียวกัน เนื่องจากผู้ประกอบการต้องพยายามเสนอแผนงานให้กับลูกค้าให้ยอมรับสินค้าชิ้นส่วนของตัวเองให้มากที่สุด
  ตามแผนงานของบริษัทรถยนต์ต้องพยายามผลิตรถรุ่นใหม่ออกมาเป็นระยะๆ ซึ่งผู้ผลิตชิ้นส่วนก็ต้องตามให้ทัน เพื่อจะทำแผนเสนอการผลิตชิ้นส่วนที่จะใช้กับแผนการขยายงานของบริษัทรถยนต์ได้ โดยเฉพาะโครงการรถยนต์อีโคคาร์ที่มาแรงมากขณะนี้ ก็มีผู้ผลิตชิ้นส่วนหลายรายเริ่มเคลื่อนไหวเข้าไปติดต่อ เสนอแผนงานการผลิตกับทั้ง 7 บริษัทแล้ว จึงต้องยอมรับเลยว่า ตอนนี้นอกจากการแข่งขันในอุตสาหกรรมยานยนต์จะดุเดือดแล้ว อุตสาหกรรมชิ้นส่วนก็ดุเดือดไม่แพ้กัน

   "สำหรับโครงการอีโคคาร์ บริษัทมีแผนการ ลงทุนประมาณ 1,000 ล้านบาท สำหรับไลน์การผลิตชิ้นส่วนที่ใช้ในรถยนต์อีโคคาร์ โดยขณะนี้ก็ได้ติดต่อไปยังผู้ผลิตรถยนต์ทั้ง 7 รายไปบ้างแล้ว คาดว่าทั้งบริษัทฮอนด้า, โตโยต้า และนิสสัน ที่เป็นลูกค้าเดิมของบริษัทอยู่ ก็ยังคงมีความเป็นไปได้ที่จะสั่งซื้อชิ้นส่วนจากบริษัทต่อไป" นายพูลศักดิ์กล่าว

  สำหรับทิศทางของอุตสาหกรรมชิ้นส่วน มีแนวโน้มที่จะเติบโตเพิ่มขึ้นอย่างมาก เนื่องจากอุตสาหกรรมยานยนต์ที่ปัจจุบันปริมาณการผลิตอยู่ปีละ 1.5 ล้านคัน และคาดว่าภายในอีก 5 ปี ปริมาณการผลิตจะเพิ่มขึ้นไปอีกไม่ต่ำกว่าปีละ 2 ล้านคัน ผลักดันการใช้ชิ้นส่วนยานยนต์มากขึ้น อย่างไรก็ตาม แม้ความต้องการจะเพิ่มขึ้น แต่การแข่งขันก็รุนแรง โดยเฉพาะคู่แข่งที่เป็นบริษัทต่างชาติ    หรือมีต่างชาติถือหุ้น ซึ่งบางรายก็จะมีความได้เปรียบ เนื่องจากมีบริษัทรถยนต์เข้าถือหุ้นอยู่ในบริษัทด้วย และบางรายก็ผลิตได้ในราคาที่ถูกกว่า ซึ่งผู้ประกอบการไทยก็ต้องเร่งปรับตัว

   ด้านนายประเสริฐ ธรรมมนุญกุล นายกสมาคมส่งเสริมการรับช่วงการผลิตไทย กล่าวว่า สมาคมมีสมาชิกที่เป็นผู้ผลิตชิ้นส่วน และผู้รับช่วงการผลิตอีก 300 บริษัท ครอบคลุม 5 กลุ่ม ได้แก่ ผู้ผลิตชิ้นส่วนและโลหะ, ชิ้นส่วนพลาสติกและยาง, ชิ้นส่วนสำหรับอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็ก ทรอนิกส์, การบริการและโลจิสติกส์ และวิศวกรรมอุตสาหการ สนับสนุนในหลายอุตสาหกรรมไม่เน้นแต่อุตสาหกรรมยานยนต์ มูลค่าของอุตสาหกรรมเมื่อคิดจากจำนวนสมาชิก 300 ราย รายละ 100 ล้านบาท ประมาณ 30,000 ล้านบาท เป็นอุตสาห กรรมที่มีอัตราการเติบโตปีละประมาณ 10-15%
ปัจจุบันรัฐบาลมีนโยบายสนับสนุนอุตสาหกรรมเป้าหมายต่างๆ อาทิ อุตสาหกรรมยานยนต์, อุตสาหกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์, อุตสาห กรรมอาหาร, อุตสาหกรรมปิโตรเคมี เป็นต้น ซึ่งอุตสาหกรรมดังกล่าวก็จำเป็นต้องใช้ชิ้นส่วนประกอบในอุตสาหกรรมทั้งสิ้น ส่งผลให้อุตสาห กรรมชิ้นส่วนเติบโตอย่างต่อเนื่อง

  ด้านนางสาวสุดจิตร อินทรไทยวงค์ รองเลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) เปิดเผยว่า ยอดขอรับการส่งเสริมการลงทุน 11 เดือน อุตสาหกรรมชิ้นส่วนมูลค่าการลงทุน 1.7 แสนล้านบาท คิดเป็น 30% ของมูลค่าขอรับการส่งเสริมการลงทุนทั้งหมด
http://matichon.co.th/prachachat/news_d ... 50&catid=1
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news18/12/07

โพสต์ที่ 112

โพสต์

ยอดรถ11เดือนไม่พ้นเหววูบ5%

โพสต์ทูเดย์ ยอดจำหน่ายรถยนต์ 11 เดือน ยังไม่พ้นเหว ยอดจำหน่ายรถรวมทุกประเภทหดตัวกว่า 5%


รายงานข่าวจากบริษัท ตรีเพชร อีซูซุ เซลส์ รายงานยอดจำหน่ายรถยนต์รวมทุกประเภทในช่วง 11 เดือน (ม.ค.-พ.ย.) ของปีนี้ ว่า มี ยอดจำหน่ายรวมทั้งสิ้น 566,905 คัน ลดลงจากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน 5.14% โตโยต้า มียอดจำหน่ายมากที่สุด คือ 251,671 คัน มีส่วนแบ่งตลาด 44.39% ลดลง จากช่วงเดียวกันของปีก่อน 0.77% รองลงมาคือ อีซูซุ มียอดจำหน่าย ทั้งสิ้น 16,014 คัน มีส่วนแบ่งตลาด 27.74% ลดลง 12.8%

ทั้งนี้ หากพิจารณายอดจำหน่ายเฉพาะเดือน พ.ย. พบว่า มียอดจำหน่ายรถยนต์รวมลดลงจากเดือนต.ค. 0.24% แม้ว่าค่ายรถยนต์ ทั้งหลายจะพยายามจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายอย่างหนักแล้ว ก็ตาม โดยยอดจำหน่ายรถในเดือน พ.ย. มีทั้งสิ้น 57,719 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือน ต.ค. 1.3% อันดับ 2 ได้แก่ อีซูซุ มียอดจำหน่าย 16,014 คัน เพิ่มขึ้น 9.86% ฮอนด้า เป็นอันดับ 3 ด้วยยอดจำหน่าย 3,506 คัน ลดลง 32.82%

รายงานข่าว แจ้งถึงยอดจำหน่ายรถกระบะขนาด 1 ตัน ตลอด 11 เดือนที่ผ่านมา ว่า มียอดจำหน่ายทั้งสิ้น 344,350 คัน ลดลง 7.69% ขณะที่ยอดจำหน่ายรถกระบะขนาด 1 ตัน ในเดือน พ.ย. เพิ่มขึ้น 5.26% หรือมียอดจำหน่ายทั้งสิ้น 37,888 คัน จากกิจกรรมการส่งเสริมการขายอย่างหนักของทุกค่ายรถ

อย่างไรก็ตาม ยอดจำหน่ายรถยนต์นั่งส่วนบุคคลยังคงน่าเป็นห่วง เพราะมียอดจำหน่ายลดลงมากถึง 10.81% ในเดือน พ.ย.ที่ผ่านมา โดยมียอดจำหน่ายทั้งสิ้น 13,645 คัน โตโยต้า ยังคงมียอดจำหน่าย เป็นอันดับ 1 คือ 8,232 คัน ลดลง 0.3% เมื่อเทียบกับเดือน ต.ค. ที่ผ่านมา หรือมีส่วนแบ่งตลาด 60.33% ฮอนด้า มาเป็นอันดับ 2 ด้วยยอดจำหน่าย 3,162 คัน ลดลง 32.29% มีส่วนแบ่งตลาด 23.17% เชฟโรเลต มียอดจำหน่ายเป็นอันดับ 3 ด้วยยอดจำหน่าย 610 คัน เพิ่มขึ้น 6.78%

ขณะที่ยอดจำหน่ายรถยนต์นั่ง ในช่วง 11 เดือน มียอดจำหน่าย ทั้งสิ้น 158,099 คัน ลดลง 6.94% เมื่อเทียบกับปีก่อน
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=209643
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news20/12/07

โพสต์ที่ 113

โพสต์

ฮอนด้าอวดส่งออกโต19%

โพสต์ทูเดย์ ฮอนด้าโชว์ตัวเลขการส่งออกปีนี้เติบโต 19% คิดเป็นมูลค่ากว่า 9.88 หมื่นล้านบาท


นายทัตสึฮิโร่ โอยาม่า ประธานกรรมการบริหารและซีอีโอ บริษัท เอเชี่ยน ฮอนด้า มอเตอร์ สำนักงานใหญ่ของฮอนด้าประจำภูมิภาคเอเชีย-โอเชียเนีย เปิดเผยถึงยอดการส่งออกของกลุ่มบริษัทฮอนด้าในประเทศไทย ประจำปี 2550 ว่า ขยายตัวเพิ่มขึ้น 19% หรือกว่า 9.88 หมื่นล้านบาท โดยการส่งออกรถยนต์มีมูลค่า 6.39 หมื่นล้านบาท คิดเป็น 65% รถจักรยานยนต์ 2.12 หมื่นล้านบาท คิดเป็น 21% และเครื่องยนต์อเนกประสงค์ 1.06 หมื่นล้านบาท คิดเป็น 11% ของมูลค่าการส่งออกรวม และอีก 3.1 พันล้านบาท หรือ 3% เป็นมูลค่าการส่งออกชิ้นส่วนอะไหล่และอุปกรณ์ตกแต่ง

ทั้งนี้ พบว่ายอดส่งออกรถยนต์นั่งสำเร็จรูปเติบโตอย่างมาก โดยคาดว่าในปี 2550 ปริมาณการส่งออกรถยนต์นั่งสำเร็จรูปจะสูงถึง 7.74 หมื่นคัน เพิ่มขึ้น 35% ซึ่งการเติบโตดังกล่าวมาจากปัจจัยของการขยายตัวในตลาดออสเตรเลีย ฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซีย

ขณะที่ยอดส่งออกรถจักรยานยนต์ก็ยังเติบโต โดยคาดว่าในปีนี้จะมีปริมาณการส่งออกถึง 3.13 หมื่นคัน หรือเพิ่มขึ้น 25% โดยมีปัจจัยมาจากความนิยมของรถจักรยานยนต์รุ่นซีบีอาร์ 125 อาร์ ในตลาดยุโรป รวมถึงตลาดใหม่ๆ เช่น ประเทศออสเตรเลียและแคนาดา

ปี 2550 นี้นับเป็นก้าวสำคัญอีกก้าวหนึ่งของฮอนด้า โดยรถจักรยานยนต์ฮอนด้ามียอดผลิตสะสมครบ 15 ล้านคัน เครื่องยนต์อเนกประสงค์มียอดผลิตสะสม 10 ล้านเครื่อง และรถยนต์มียอดผลิตสะสมครบ 1 ล้านคัน นายโอยาม่า กล่าว

สำหรับปีที่ผ่านมาฮอนด้ายังได้ลงทุนเพิ่มจำนวนมากในประเทศไทย โดยเฉพาะการลงทุนมูลค่า 6.2 พันล้านบาท เพื่อสร้างโรงงานผลิตรถยนต์แห่งที่สอง ซึ่งเป็นจำนวนเงินลงทุนสูงสุดในประวัติการณ์ตั้งแต่เริ่มเข้ามาดำเนินธุรกิจในประเทศไทย โดยคาดว่าจะสามารถเริ่มเดินสายพานการผลิตได้ในปลายปี 2551 นี้ ส่งผลให้กำลังการผลิตรถยนต์ฮอนด้าในประเทศไทยเพิ่มขึ้นจาก 1.2 แสนคัน เป็น 2.4 แสนคันต่อปี รวมถึงได้ประกาศเพื่อเตรียมลงทุนในโครงการอีโคคาร์ ซึ่งฮอนด้าเป็น ผู้ประกอบการรายแรกที่ยื่นขอรับการส่งเสริมการลงทุนจากบีโอไอ
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=210050
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news24/12/07

โพสต์ที่ 114

โพสต์

ผลิตรถโตเกินคาด ปีนี้ทะลุ1.3ล้านคัน

โพสต์ทูเดย์ สถาบันยานยนต์ มั่นใจยอดขายรถยนต์ปี 2550 จะ อยู่ที่ 1.3 ล้านคัน ซึ่งเกินเป้าหมาย ที่คาดไว้


นายวัลลภ เตียศิริ ผู้อำนวยการสถาบันยานยนต์ กล่าวว่า ยอดการผลิตรถยนต์ปีนี้คาดว่าจะอยู่ที่ 1.3 ล้านคัน ซึ่งเกินเป้าหมายที่ประมาณการไว้ในช่วงต้นปีที่ 1.25 ล้านคัน สาเหตุที่ยอดผลิตรถยนต์เกินเป้าหมาย เนื่องจากยอดส่งออกเพิ่มขึ้นเป็น 7 แสนคัน ส่วนยอดขายในประเทศคาดว่าเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ที่ 6.4-6.5 แสนคัน ทั้งนี้คาดว่ายอดขายรถยนต์ในเดือน ธ.ค.นี้ จะอยู่ที่ประมาณ 7-8 หมื่นคัน

อย่างไรก็ตาม ในช่วง 11 เดือนที่ผ่านมา ยอดขายในประเทศรวมทั้งสิ้นประมาณ 5.6 แสนคัน แต่ยอดขายทั้งปีคงเป็นไปตามเป้าหมาย หรือใกล้เคียง เพราะปลายเดือน พ.ย.-ธ.ค. มีงานมอเตอร์เอ็กซ์โป ซึ่งในงานดังกล่าวประชาชนต่างเข้าไปจองซื้อรถกว่า 1.7 หมื่นคัน โดยเฉพาะรถยนต์นั่ง ส่วนหนึ่งมาจากการที่รถยนต์ใหม่เปิดตัวในราคาไม่แพงมากนัก และปัจจัยกระตุ้นการซื้อที่สำคัญคือ กระแสน้ำมัน อี 20 ที่รัฐบาลลดภาษีลงอีก 5% ทำให้ราคารถยนต์ที่ใช้ เชื้อเพลิง อี 20 ลดราคาขายคันละ 3 หมื่น-1 แสนบาท หรือแม้แต่รถยนต์ธรรมดาก็ลดราคาลง

สำหรับการหารือร่วมกับค่ายรถยนต์ ถึงการปรับเปลี่ยน และเพิ่มอุปกรณ์ระบบจ่ายเชื้อเพลิงสำหรับรถยนต์รุ่นต่างๆ ที่มีอยู่ในปัจจุบันว่า ต้องใช้งบประมาณดำเนินการเรื่องดังกล่าวในแต่ละรุ่น ของแต่ละยี่ห้อ จะต้องใช้เงินจำนวนเท่าใด เพื่อแจ้งต่อผู้บริโภค คาดว่าจะสรุปได้ประมาณเดือน ม.ค. 2551

แหล่งข่าวจากวงการรถยนต์ เปิดเผยว่า กระแส อี 20 มาแรง จนทำให้ผู้ประกอบการรถยนต์ที่ไม่สามารถใช้เชื้อเพลิง อี 20 ได้ ก็ปรับลดราคาขายลง ทำให้ยอดขายรวมของรถยนต์ในประเทศใกล้เคียงกับเป้าหมายที่ตั้งไว้ อีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ผู้บริโภคมีความเชื่อมั่นเพิ่มขึ้นมา คือ ความชัดเจนด้านการเมือง คาดว่าปี 2551 เมื่อสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ คาดว่า จะมีเงินลงสู่ระดับรากหญ้า ซึ่งจะกระตุ้นให้ตลาดรถยนต์มีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้น
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=210729
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news24/12/07

โพสต์ที่ 115

โพสต์

เกาะติด "ทาทา มอเตอร์" เมื่อรถปิกอัพอินเดียพร้อมบุกไทย

หลังจากประเทศไทยประสบผลสำเร็จ ด้วยการก้าวขึ้นเป็นฐานการผลิตรถปิกอัพขนาด 1 ตันที่สำคัญของโลก เห็นได้จากการย้ายฐานการผลิตรถปิกอัพของบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ชั้นนำมาไว้ที่ประเทศไทย ด้วยขีดความสามารถในการเป็นผู้ผลิตรถปิกอัพมากกว่า 1 ล้านคัน รวมทั้งการเป็นฐานการผลิตของชิ้นส่วนสนับสนุนในอุตสาหกรรมยานยนต์ เพื่อรองรับกับความต้องการทั้งตลาดภายประเทศและตลาดส่งออก

จากกำลังการผลิตดังกล่าว แบ่งเป็นการผลิตของค่ายโตโยต้า จำนวน 345,000 คันต่อปี ค่ายอีซูซุ จำนวน 200,000 คันต่อปี ค่ายนิสสัน 200,000 คันต่อปี ค่ายมิตซูบิชิ 116,000 คัน และค่ายออโต้อัลลายแอนซ์ที่ผลิตให้กับฟอร์ด-มาสด้าอีก 200,000 คัน

ด้วยศักยภาพ ขีดความสามารถ และความพร้อมในด้านการเป็นฐานการผลิตที่สำคัญ ส่งผลให้ บริษัท ทาทา มอเตอร์ จำกัด บริษัทผู้ผลิตรถยนต์ชื่อดังจากอินเดีย ได้แสดงเจตจำนงและเข้ามามีส่วนแบ่งในตลาดปิกอัพของไทย

โดยล่าสุด "อาจิต เวนคาทารามัน" ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ทาทา มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด (TMTL) ได้ประกาศความมั่นใจภายหลังจากบริษัทตัดสินใจเข้ามาลงทุนในเมืองไทย ด้วยการขอสนับสนุนการลงทุนจากคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือบีโอไอ ในการประกอบกิจการประกอบรถยนต์เป็นมูลค่าการลงทุนประมาณ 1,302 ล้านบาท

พร้อมทั้งมีการระบุถึงแผนการผลิตและจำหน่ายในแผน 5 ปีไว้อย่างชัดเจน โดยเริ่มตั้งแต่ปี 2551 จนถึงปี 2554 โดยระบุว่าปี 2551 จะเริ่มผลิตรถปิกอัพจำนวน 7,000 คัน แบ่งเป็นสัดส่วนจำหน่ายในประเทศ 5,600 คัน ตั้งเป้ายอดขาย 2,645 ล้านบาท ส่งออกจำนวน 1,400 คัน คิดเป็นมูลค่ายอดขายประมาณ 588 ล้านบาท

ส่วนการดำเนินธุรกิจในปีหน้านั้น "ทาทา มอเตอร์" ได้ประกาศความมั่นใจและความท้าทายเบื้องต้นว่า จะมีกำลังผลิตทั้งสิ้น 35,000 คันต่อปี พร้อมทั้งตั้งเป้าที่จะมียอดขายเริ่มต้นที่ 5,000 คัน และมีส่วนแบ่งในตลาดประมาณ 5% ภายในระยะเวลา 5 ปีนับจากนี้ ด้านตลาดส่งออกนั้น "อาจิต" บอกว่า ขอทำตลาดในประเทศไทยให้มีความชัดเจนและมั่นคง ก่อนที่จะเดินหน้าทำตลาดส่งออกต่อไป

แม้ว่าการเข้ามาลงทุนของ "ทาทา มอเตอร์" ในตลาดรถปิกอัพ ซึ่งถือเป็นตลาดที่มีความเฉพาะตัวค่อนข้างสูง ทำให้การทำตลาดเป็นได้ค่อนข้างยาก แต่ "อาจิต" ยังมองว่า พอมีพื้นที่สำหรับทาทาอยู่ค่อนข้างมาก แม้ว่าจะมีบริษัทผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่จากญี่ปุ่น 2 ค่ายใหญ่อย่างโตโยต้าและ อีซูซุ ที่มีส่วนแบ่งรวมกันเกินกว่า 75% แล้ว ส่วนอีก 25% ที่เหลือเป็นผู้ผลิตอื่นๆ ถึง 5 ค่ายที่เข้ามาทำตลาดอยู่ก่อน

แต่จากการสำรวจตลาดในประเทศไทยตั้งแต่ปี 2546 ถึงความพึงพอใจและความต้องการของลูกค้าชาวไทยมาเป็นอย่างดี บวกกับการมีพันธมิตรที่แข็งแกร่งและมีประสบการณ์ในอุตสาหกรรมยานยนต์ของไทยมายาวนานอย่าง "ธนบุรีประกอบรถยนต์" ที่จะช่วยสนับสนุนทั้งในแง่ของการผลิต การตลาด และเครือข่าย ยิ่งทำให้ "ทาทา มอเตอร์" มีความมั่นใจกับการเข้ามาทำตลาดในครั้งนี้มากยิ่งขึ้น

ในเบื้องต้น "ทาทา มอเตอร์" เตรียมนำเสนอรถปิกอัพออกสู่ตลาดประเทศไทย โดยจะเริ่มต้นที่รถปิกอัพ รุ่นทีแอล สปรินต์ (TL Sprint) เครื่องยนต์ขนาด 2 และ 3 ลิตร ที่เพิ่งเปิดตัวอย่างเป็นทางการในยุโรป โดยจะมีครบในทุกไลน์ทั้งรถกระบะหนึ่งตอน ตอนครึ่ง และ สองตอน ซึ่งจะเป็นเทคโนโลยีคอมมอนเรล และจะมีการเปิดตัวอย่างเป็นทางการ ในงาน "มอเตอร์โชว์ 2008" ระหว่างเดือนมีนาคมถึงเมษายนปี 2551

นอกจากความท้าทายในการเข้ามาบุกตลาดรถปิกอัพแล้ว "อาจิต" ยังมองข้ามชอตไปถึงความท้าทายที่จะนำรถยนต์ในเซ็กเมนต์อื่นๆ ที่บริษัทแม่ผลิตเข้ามาจำหน่ายยังประเทศไทยอีกด้วย

และการเสนอตัวขอเข้ารับการส่งเสริมสิทธิประโยชน์จากบีโอไอ ในโครงการรถยนต์ขนาดเล็กประหยัดพลังงานอย่าง "อีโคคาร์" ถือเป็นอีกหนึ่งความท้าทายที่น่าจับตามอง

นอกเหนือไปจากความท้าทายข้างต้นแล้ว การทำให้รถยนต์จากอินเดียเป็นที่ยอมรับและเข้าไปอยู่ในใจลูกค้าชาวไทยซึ่งมีมาตรฐานค่อนข้างสูง คงเป็นเรื่องที่น่าสนใจว่า ทาทา มอเตอร์ จะงัดกลยุทธ์รูปแบบใดมาต่อกรกับเจ้าตลาดในเวลานี้
http://matichon.co.th/prachachat/pracha ... ionid=0210
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news27/12/07

โพสต์ที่ 116

โพสต์

News Comment

Automotive: ส่งออกรุ่ง-ยอดผลิตทะลุ1.4ล.คัน ส.ยานยนต์ชี้ปี"51อุตฯรถยนต์โต

         นายวัลลภ เตียศิริ ผู้อำนวยการสถาบันยานยนต์ เปิดเผยถึงทิศทางของอุตสาหกรรมรถยนต์ในปี 2551 ว่า อุตสาหกรรมรถยนต์น่าจะมีอัตราการเติบโตค่อนข้างสูง โดยคาดว่าจะมีการผลิต  อยู่ที่ 1,430,000 คัน มีอัตราเติบโตประมาณ 10% จากปีนี้   โดยแบ่งออกเป็นการผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศ 650,000-660,000 คัน และผลิตเพื่อการส่งออก 770,000 คัน ซึ่งอัตราเติบโตจะไปอยู่ที่ตลาดต่างประเทศเป็นหลัก ประกอบกับบรรดา ผู้ผลิตรถยนต์ต่างมองเห็นโอกาสในตลาดส่งออก โดยเฉพาะการเติบโตในตลาดใหม่ๆ ทั้งอเมริกาใต้ อเมริกากลาง และแอฟริกา ทำให้มีการเจาะตลาดเหล่านี้เพิ่มขึ้น (ประชาชาติธุรกิจ)
ความเห็นและคำแนะนำ
         AYS ประเมินทิศทางการเติบโตของอุตสาหกรรมใกล้เคียงกับที่สถาบันยานยนต์ประเมิน โดยคาดว่าปี 50 ยอดผลิตรถยนต์จะอยู่ที่ 1.31 ล้านคันปรับเพิ่มขึ้น 10.5%YoY และปี 51 ปรับเพิ่มขึ้น 9%YoY เป็น 1.43 ล้านคัน ส่วนแนวโน้มหลังปี 52 คาดว่าอุตสาหกรรมจะได้รับประโยชน์จากการส่งเสริมการผลิตรถประหยัดพลังงานที่มีค่ายรถยนต์ 7 ค่าย(ฮอนด้า, ซูซูกิ, นิสสัน, โตโยต้า, มิตซู   บิซิ, ทาทา และโฟล์กสวาเกน) ยื่นผลิตรถอีโคคาร์ และค่ายอื่นๆ อาทิ ฟอร์ด-มาสด้า ที่ประกาศแผนผลิตรถประเภท B-Car (รถที่ใช้น้ำมัน E-20) ทำให้ยอดผลิตรถยนต์คาดว่าจะปรับเพิ่มขึ้นเป็น 1.8 2 ล้านคัน ภายในปี 2553 ตามที่ทางสถาบันยานยนต์เคยตั้งเป้าไว้ก่อนหน้านี้  สำหรับหุ้น Top pick ในกลุ่ม เรายังคงเลือก SAT (ราคาเป้าหมาย 20.50) และ STANLY (ราคาเป้าหมาย 173) ทั้งนี้เนื่องจาก SAT ได้รับประโยชน์จากการที่โมเดลส่วนใหญ่ที่ได้รับเป็นโมเดลเพื่อการส่งออกที่เติบโตดี ประกอบกับการที่บริษัทมีการขยายฐานลูกค้าไปยังกลุ่มอื่นๆ ได้แก่ เครื่องจักรกลการเกษตร และกลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้า ทำให้ได้รับออร์เดอร์ใหม่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ทำให้คาดว่ากำไรในปี 50 -51 จะเติบโต 29%YoY และ 30%YoY ตามลำดับ ในขณะที่ STANLY ถือเป็นผุ้ผลิตชิ้นส่วน โคมไฟ และหลอดไฟ รถยนต์รายใหญ่ ซึ่งมีส่วนแบ่งตลาดมากกว่า 70% ในตลาดรถยนต์  ทำให้รับผลดีจากการที่ค่ายรถยนต์ประกาศขยายกำลังการผลิตเพิ่ม ซึ่งเราคาดอัตราการเติบโตของกำไรสุทธิเฉลี่ยในงวดปี 50-51 ที่ 10%ต่อปี   นอกจากนี้บริษัท STANLY ยังมีฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง ไม่มีภาระหนี้สิน และมีการจ่ายเงินปันผลสม่ำเสมอ
โดย บมจ. หลักทรัพย์กรุงศรีอยุธยา ประจำวันที่ 27 ธ.ค. 2550
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news29/12/07

โพสต์ที่ 117

โพสต์

ปีหน้าส่งออกรถยนต์รุ่ง
สถาบันยานยนต์คาดโต10%หลังค่ายรถยนต์แห่ลุย-ตลาดมอเตอร์ไซค์ยังทรุด


โพสต์ทูเดย์ สถาบันยานยนต์มั่นใจตลาดส่งออกรถยนต์ปีหน้าโตอีก 10% ดันยอดผลิตเพิ่มเป็น 1.43 ล้านคัน ส่วนตลาด 2 ล้อ ยังน่าเป็นห่วง หลังตลาดหดตัวรุนแรง

นายวัลลภ เตียศิริ ผู้อำนวยการสถาบันยานยนต์ กล่าวถึงแนวโน้มอุตสาหกรรมยานยนต์ในปี 2551 ว่า ทิศทางของอุตสาหกรรมยังมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะตลาดส่งออกที่จะขยายตัวในตลาดใหม่อย่างอเมริกาใต้ อเมริกากลาง และแอฟริกา ซึ่งจะทำให้ยอดการส่งออกใน ปีหน้าเติบโตอย่างต่ำ 10% เป็น 7.7 แสนคัน เมื่อรวมกับยอดการจำหน่ายในประเทศที่คาดว่าจะอยู่ที่ราว 6.5 แสนคัน ทำให้ภาพรวมการผลิตรถยนต์ในปีหน้าน่าจะเพิ่มขึ้นเป็นไม่น้อยกว่า 1.43 ล้านคัน หรือคิดเป็นอัตราการเติบโตของยอดการผลิต 10% เมื่อเทียบกับยอดการผลิต 1.29 ล้านคันในปีนี้

ปีนี้ผู้ผลิตรถยนต์หันไปเน้นเรื่องการส่งออกเป็นหลัก ทำให้ตลาดเติบโตมากกว่า 20% ซึ่งมองว่าทิศทางดังกล่าวน่าจะเกิดขึ้นอีกในปีหน้า เพราะมีลู่ทางการขายที่สดใส และจะทำให้ยอดการผลิตและจำหน่ายเติบโตอย่างแน่นอน นายวัลลภ กล่าว

อย่างไรก็ตาม การจำหน่ายรถยนต์ในประเทศยังมีปัจจัยที่เกี่ยวข้องอีกมากในปีหน้า ที่จะต้องนำมาพิจารณาว่าตลาดจะออกมาในทิศทางใด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการเมืองและเศรษฐกิจ โดยปัจจัยหลักที่จะส่งผลกระทบในปีหน้า ได้แก่ อัตราดอกเบี้ยที่มีแนวโน้มปรับตัว ค่าเงินบาท และปัญหาในเรื่องของราคาน้ำมัน ซึ่งต้องดูว่ารัฐบาลใหม่จะมีแผนงานจัดการเรื่องเหล่านี้อย่างไร

นายวัลลภ กล่าวว่า ตลาดที่น่าเป็นห่วง คือ รถจักรยานยนต์ ซึ่งมียอดจำหน่ายลดลงมาอย่างต่อเนื่อง โดยในปีที่ผ่านมามียอดจำหน่ายเหลือเพียงเดือนละ 1.2 แสนคัน จากยอดจำหน่ายเดือนละ 2 แสนคัน และเริ่มไม่ขยับไปมากกว่านี้ ทำให้มองว่าตลาดมีความน่าเป็นห่วง โดยเฉพาะในปีหน้าที่มีแนวโน้มจะไม่ปรับตัวเพิ่มขึ้นไปมากกว่าที่เป็นอยู่

ทั้งนี้ มองว่าการผลิตรถจักรยานยนต์ในปีหน้าจะอยู่ที่ราว 1.6 ล้านคัน เทียบเท่ากับการผลิตในปีนี้ และลดลงจากยอดการผลิต 2 ล้านคัน ในปี 2549 โดยในช่วง 11 เดือนแรกของปี 2550 มียอดจำหน่ายรถจักรยานยนต์ในประเทศราว 1.495 ล้านคัน ส่งออกในรูปแบบสำเร็จรูป 91,813 คัน ลดลงราว 1 หมื่นคัน แต่เพิ่มในส่วนของชุดซีเคดีที่ส่งออก 1.525 ล้านชุด เพิ่มขึ้นจาก 1.322 ล้านชุด ทำให้มูลค่าการส่งออกเพิ่มขึ้นจาก 3.5 หมื่นล้านบาทในปีที่ผ่านมา เป็น 3.8 หมื่นล้าน บาทในปีนี้ และเชื่อว่าการส่งออกรถ จักรยานยนต์ในปีหน้าจะยังเติบโตอยู่
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=211653
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news02/01/08

โพสต์ที่ 118

โพสต์

บีโอไอเล็งหนุนอีโคคาร์อีก 4 บริษัท

การประชุมคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) เดือน ม.ค. 2551 ซึ่งเป็นนัดสุดท้ายที่นายโฆสิต ปั้นเปี่ยมรัษฎ์ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.อุตสาหกรรม เป็นประธานการประชุม โดยที่ประชุมจะพิจารณาคำขอส่งเสริมการลงทุนโครงการรถยนต์ประหยัดพลังงานมาตรฐานสากล (อีโคคาร์) รวมมูลค่าการลงทุน 43,600 ล้านบาท

ทั้งนี้ โครงการที่จะพิจารณาประกอบด้วย บริษัท ทาทา มอเตอร์ ใช้เงินลงทุน 7,300 ล้านบาท ผลิตรถอีโคคาร์ และชิ้นส่วนปีละประมาณ 1 แสนคัน บริษัทโตโยต้า มอเตอร์ (ประเทศไทย) ใช้เงินลงทุน 4,640 ล้านบาท ผลิตรถอีโคคาร์และชิ้นส่วน 1 แสนคัน ส่งออก 50% และขายในประเทศ 50%

นอกจากนี้ยังมีบริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ (ประเทศไทย) ลงทุน 4,700 ล้านบาท ผลิตรถอีโคคาร์และชิ้นส่วนปีละ 1.07 แสนคัน ส่งออก 88% และขายในประเทศ 12% และบริษัท โฟล์ค สวาเก้น ลงทุน 27,000 ล้านบาท ผลิตรถอีโคคาร์ และชิ้นส่วนปีละ 1 แสนคัน แบ่งเป็นส่งออก 65% และขายในประเทศ 35%

ขณะเดียวกันที่ประชุมจะพิจารณาอนุมัติโครงการลงทุนปิโตรเคมี อิเล็กทรอนิกส์ และอีกหลายโครงการ
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mor ... fault.aspx
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news03/01/08

โพสต์ที่ 119

โพสต์

ฮอนด้าชี้น้ำมัน-อาฟตาหนุนอีโคคาร์

โพสต์ทูเดย์ ฮอนด้าชี้น้ำมัน-อาฟตา ดันค่ายรถร่วมอีโคคาร์ 7 ค่าย มั่นใจเพิ่มศักยภาพอุตสาหกรรม ไม่ต้องพึ่งปิกอัพเพียงขาเดียว


นายอดิศักดิ์ โรหินศุน รองประธานกรรมการบริหารอาวุโส บริษัท เอเชี่ยน ฮอนด้า มอเตอร์ สำนักงานใหญ่ประจำภูมิภาคเอเชีย-โอเชียเนียของฮอนด้า กล่าวถึงโครงการอีโคคาร์ ที่ล่าสุดมีค่ายรถยื่นเรื่องเพื่อขอรับการสนับสนุนการลงทุนถึง 7 บริษัท ว่าการที่ค่ายรถให้ความสนใจมากขนาดนี้น่าจะเป็นผลมาจากการที่ราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้น ทำให้ความต้องการของรถยนต์ที่ประหยัดพลังงานในประเทศไทยเพิ่มมากขึ้น

ทั้งนี้ รวมไปถึงเรื่องของระยะเวลาที่รัฐบาลกำหนดไว้ จะสอดคล้องกับเขตการค้าเสรีอาเซียนจะเริ่มดำเนินการตั้งแต่ปี 2553 เป็นต้นไป ผู้ประกอบการทั่วไปจึงมองว่าเป็นโครงการที่ผลักดันได้ทั้งตลาดในประเทศและตลาดส่งออก ประกอบกับอัตราภาษีพิเศษที่รัฐบาลกำหนด ก็ทำให้ผู้ประกอบการทุกรายสนใจในโครงการนี้

ผมเชื่อว่าค่ายรถทั้ง 7 ค่ายเป็นนักลงทุน พอมีโอกาสก็ต้องสนใจลงทุน ถึงแม้ว่าบางคนอาจจะศึกษาโครงการมาไม่ลึกซึ้ง อย่างบางรายที่หายไปจากประเทศไทยนานๆ แต่พอมองเห็นโอกาสที่ดีก็ย่อมต้องลงทุนแน่นอน นายอดิศักดิ์ กล่าว

ทั้งนี้ มองว่าการที่ผู้ประกอบการเข้ามาลงทุนในครั้งนี้ จะช่วยเพิ่มกำลังการผลิตให้กับรถยนต์นั่งอีกกว่า 7 แสนคันในระยะเวลา 5 ปี นับตั้งแต่เริ่มโครงการ จะทำให้ประเทศไทยก้าวขึ้นเป็นฐานผลิตรถยนต์นั่งขนาดใหญ่ และจะช่วยเพิ่มศักยภาพของอุตสาหกรรมยานยนต์ในประเทศไทยให้ไม่ต้องพึ่งพารถปิกอัพเพียงอย่างเดียวเหมือนที่ผ่านมา ซึ่งเป็นเรื่องที่ดี เพราะหากในอนาคตตลาดปิกอัพมีปัญหา อุตสาหกรรมก็จะได้รับผลกระทบไม่มากนัก

อย่างไรก็ตาม มองว่าอีโคคาร์จะไม่ส่งผลกระทบต่อรถปิกอัพ เนื่องจากโครงสร้างภาษี 3% จะยังคง ก็ทำให้รถปิกอัพมีความน่าสนใจต่อไป ซึ่งอีโคคาร์จะเข้ามาเป็นทางเลือกใหม่ๆ ให้กับผู้บริโภคที่อยากมีรถ แต่มีรายได้ไม่มาก ซึ่งที่ผ่านมากลุ่มลูกค้าเหล่านี้มีทางเลือกแค่ปิกอัพเป็นหลัก ขณะที่ตลาดรถยนต์นั่งจะเห็นได้ว่ารถยนต์ขนาดเล็กสุดในปัจจุบัน มีขนาดและการเติบโตมากที่สุด ซึ่งเชื่อว่าอีโคคาร์จะเข้ามาตอบสนองความต้องการนี้ได้

นายอดิศักดิ์ กล่าวถึงตลาดรถยนต์โลกว่า แนวโน้มในอนาคต การเติบโตจะยังคงอยู่ที่รถยนต์นั่ง และเชื่อว่าตลาดรถยนต์นั่งจะใหญ่ขึ้น เห็นได้จากปริมาณรถทั่วโลก 65 ล้านคันในปีที่ผ่านมา เป็นส่วนของปิกอัพเพียง 5 ล้านคัน และเป็นรถยนต์นั่งถึง 60 ล้านคัน ซึ่งการเป็นฐานผลิตรถยนต์นั่ง จะทำให้ประเทศไทยมีโอกาสเติบโตในตลาดโลก และมองว่าอีโคคาร์จะเป็นจุดเริ่มต้นของการต่อยอดโครงการใหม่ๆ ที่จะตามมา และการมีสินค้าที่พึ่งพาได้ 2 ประเภท ก็ย่อมดีกว่าการทำตลาดด้วยสินค้าประเภทเดียว จึงเชื่อว่าอีโคคาร์จะทำให้ไทยก้าวขึ้นเป็นฐานการผลิตระดับโลกอย่างแท้จริง
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=212406
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news07/01/08

โพสต์ที่ 120

โพสต์

ศก.ซบแห่เช่ารถแทนซื้อ

โพสต์ทูเดย์ ภัทรลิสซิ่งไม่หวั่นเศรษฐกิจตก ได้เฮลูกค้าลดต้นทุนเลิกซื้อรถหันมาเช่าแทน


นายเกริกชัย ศิริภักดี กรรมการผู้จัดการ บริษัท ภัทรลิสซิ่ง (PL) กล่าวว่า แม้แนวโน้มเศรษฐกิจในปีนี้จะยังชะลอตัว แต่คาดว่าจะไม่ส่งผลกระทบต่อบริษัทแต่อย่างใด เนื่องจากกลุ่มลูกค้าก็ยังจำเป็นต้องใช้รถยนต์เหมือนเดิม และยังจะเปลี่ยนจากวิธีการซื้อรถไปใช้เองหันมาเช่ารถใช้แทนอีกด้วย ซึ่งช่วยให้ลูกค้าสามารถควบคุมต้นทุนค่าใช้จ่ายได้ จึงเป็นโอกาสของบริษัท

ทั้งนี้ บริษัทได้ตั้งเป้าการเติบโตปีนี้ไว้ที่ 7.5% หรือมีรายได้ประมาณ 1.6 พันล้านบาท และจะใช้เงินลงทุนเพื่อซื้อรถให้เช่าอีกประมาณ 1.8-2 พันล้านบาท

นอกจากนี้ บริษัทพยายามขยายฐานลูกค้าเช่าใช้ยานพาหนะอื่นให้มากขึ้น เช่น ให้เช่าใช้เครื่องบินเพื่อการเดินทาง ที่ขณะนี้มีจำนวน 4 ลำ มีราคาตั้งแต่ 50-300 ล้านบาท ซึ่งแม้จะมีสัดส่วนไม่ถึง 10% ของรายได้ แต่ก็เป็นอีกช่องทางหนึ่งในการขยายตลาด นอกเหนือจากการให้เช่าใช้เรือยอชต์ไปก่อนหน้านี้ แต่ธุรกิจหลักก็ยังคงเป็นรถยนต์เช่าใช้เหมือนเดิม โดยมีสัดส่วน 90% ของรายได้ และในปัจจุบันบริษัทมีส่วนแบ่งตลาดถึง 30%

นายเกริกชัย กล่าวว่า ขณะนี้ลูกค้าของบริษัทยังไม่ได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจแต่อย่างใด ยอดขายในช่วง 2 เดือนแรก (ต.ค.-พ.ย. 2550) ของปีงบประมาณ 2551 ก็ยังเกินกว่าที่ตั้งเป้าไว้ และการจ่ายค่าเช่าใช้ก็ยังเป็นปกติทุกเดือน แต่หากลูกค้าเริ่มส่งสัญญาณว่ามีปัญหาเมื่อใดบริษัทก็จะเข้าไปคุยทันที ซึ่งในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจเวลาลูกค้ามีปัญหาก็ใช้วิธีปรับลดจำนวนรถลง หรือยืดเวลาจ่ายค่าเช่าออกไปก่อน

สำหรับข้อดีของการเช่าอยู่ที่การไม่ต้องลงทุนมาก เพียงจ่ายค่าเช่าเป็นรายเดือนๆ และมีความคล่องตัวในการปรับนโยบายธุรกิจตามภาวะเศรษฐกิจโดยรวม และไม่ต้องรับผิดชอบกับการเสื่อมค่าลงของรถ ไม่มีภาระค่าเบี้ยประกันภัย ค่าซ่อมบำรุง และภาษี เพราะบริษัทผู้ให้เช่ารถเป็นผู้รับผิดชอบทั้งหมด โดยผู้เช่าใช้รถจะรับผิดชอบเฉพาะค่าน้ำมันเท่านั้น

นอกจากนี้ ยังสามารถนำค่าเช่าไปรวมเป็นค่าใช้จ่าย ซึ่งจะได้สิทธิประโยชน์ทางภาษีค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน หรือนำไปลดหย่อนภาษีได้ด้วย และไม่ทำให้หนี้สินต่อทุน เพิ่มเหมือนกับการลงทุนไปกู้เงินมาซื้อรถยนต์ ทั้งนี้จากอดีตที่ผ่านมาองค์กรธุรกิจจะหันมาใช้บริการรถเช่าเพิ่มขึ้น หากภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว โดยคาดว่าในปีนี้องค์กรธุรกิจจะหันมาใช้บริการรถเช่ามากขึ้น เพื่อประหยัดต้นทุนในการดำเนินงาน
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=213032