คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 129
- ผู้ติดตาม: 0
คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์ที่ 1021
ช่วงนี้ผมพยายามกำจัดวัชพืชอย่างที่คุณวิบูลย์ว่า และก็รดน้ำต้นไม้ แต่ช่วงนี้ดอกไม้ผมเฉาน่าดู เหี่ยวก็เหี่ยว แต่ยิ่งเหี่ยวก็จะยิ่งรด ก็จะดูเหมือนกันว่าผมจะทนดูดอกไม้มันเฉาได้สักขนาดไหน ก็ได้แต่หวังว่าดอกไม้ผมมันจะเป็นพันธุ์ที่ดี ทนแล้งได้นานๆ ตอนนี้ดอกไม้ผมเหลืออยู่แค่สามต้น อยู่ไปอยู่มาไม่แน่ใจว่าผมจะมองดอกไม้เป็นวัชพืชจนต้องกำจัดมันหรือเปล่า พยายามควานหาดอกไม้เพิ่มแต่ก็ไม่แน่ใจว่าเป็นวัชพืชหรือดอกไม้กันแน่ ผมกลัวเรื่องบรรษัทภิบาลที่สุด บัญชีก็ดูไม่ค่อยเข้าใจ กำลังพยายามศึกษาอยู่ ถ้าผมมีอะไรสงสัยก็ขอรบกวนเพื่อนๆพี่ๆและน้องๆในบอร์ดนี้ไขข้อข้องใจด้วยนะครับ
สวัสดีนะครับผมเพิ่งอ่านจบสามสิบหกหน้า ใช้เวลาหนึ่งเดือนพอดีค่อยๆอ่านไปเรื่อยๆ ตอนแรกเข้าใจว่าจะแจกหุ้นฟรี แต่พออ่านไปเรื่อยๆก็รู้ว่าที่แท้แจกเวลาหลังเกษียนนี่เอง
สวัสดีนะครับผมเพิ่งอ่านจบสามสิบหกหน้า ใช้เวลาหนึ่งเดือนพอดีค่อยๆอ่านไปเรื่อยๆ ตอนแรกเข้าใจว่าจะแจกหุ้นฟรี แต่พออ่านไปเรื่อยๆก็รู้ว่าที่แท้แจกเวลาหลังเกษียนนี่เอง
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 2035
- ผู้ติดตาม: 0
คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์ที่ 1022
ยินดีด้วยครับ ที่ปอดไม่มีปัญหานักดูดาว เขียน:สวัสดีครับท่านวิบูลย์
ผมก็สบายดีครับ ทั้งปอดและหัวใจยังปกติ
บุหรี่จะลวกบ้าง ผมก็เก็บๆไว้ฝึกจิตบ้างก็แล้วกัน
ผมไม่รู้เรื่องเศรษฐศาสตร์อะไรเลยครับ พวกดัชนี CPI PPI GDP
ไม่แน่ใจว่าอาจจะมีเกมส์แปลกๆเล่นกันในอนาคตหรือเปล่า ยกตัวอย่างเช่น ตัวเลขอัตราคนว่างงานสูงขึ้น ให้รีบขาย NMG เพราะโฆษณารับสมัครงานน้อยลง หรืออุณภูมิเฉลี่ยทั้งปีสูงขึ้นให้ซื้อ KYE หรือไซโจเด็นกิ(ได้ยินว่าจะเข้าตลาด)
ผมนึกขึ้นได้... ช่วงนี้ต้องซื้อหุ้นโรงพยาบาลครับ นักลงทุนกำลังเจ็บหนัก อย่างน้อยคนแถวนี้ก็โดนบุหรี่ลวกไปไม่มากก็น้อยล่ะ ฮ่าๆๆ
ผมคงต้องไปใช้บริการโรงพยาบาลครับ
เพราะควันบุหรี่เข้าตา แสบหูแสบตาไปหมด
แต่ตอนนี้ดับก้นบุหรี่ไปหมดแล้ว
เลยไม่มีควันให้แสบตาอีก
ก็เป็น"การทดลองวิชา"ของผมนะครับ
อยากรู้ว่าแต่ละวิธีเป็นอย่างไรก็ต้องลองดูด้วยตัวเอง
ถึงจะ"ซึ้ง" และจำไว้เป็น"บทเรียน"
ส่วนเรื่องความรู้ Macroeconomic ที่จะนำมาใช้ในการลงทุนนั้น
หนังสือกาแฟ บางบทผมอ่านแทบจะหลับ
เพราะผู้เขียนให้มุมมองเพียงด้านเดียว
การนำ Macroeconomic มาใช้นั้น
ไม่มีใครถูกหรือผิดหรอกครับ
เพียงแต่ใครจะ"เดา"ได้ใกล้เคียงกว่ากัน
และไม่ได้หมายความว่าเรา"ถูก"คราวนี้ แล้วคราวหน้าจะ"เดา"ไม่ผิด
ถ้าจะจับผิดพวกนักเศรษฐศาสตร์ก็ไม่ยาก
จดเอาไว้ว่า พวกเขาพูดอะไรบ้าง
แล้วเอามาเทียบกันสิ่งที่เกิดขึ้นจริง
เราจะพบว่า พวกนักเศรษฐศาสตร์พูดถูกไม่ถึง 50%
อย่างเช่นเรื่องเดียวกัน นักเศรษฐศาสตร์บางคนอาจจะบอกว่า ไปทางซ้าย
ขณะที่บางคนบอกว่า ไปทางขวา
ลองไปสังเกตุดูซิครับ
เอาพวกชอบเขียน ชอบพูดตามทีวีละครับ
จับได้ง่ายที่สุด
เพราะนักเศรษฐศาสตร์จะ"เดา"หรือ"พยากรณ์"มากกว่า"รู้แน่ๆ ชัวร์ๆ"
ทำให้ Buffet และ Lnych ถึงให้ความสำคัญกับความคิดเห็นของนักเศรษฐศาสตร์น้อยกว่าผลการดำเนินงานของบริษัท
ทั้งๆที่ผมว่า ทั้งสองก็มีความรู้ด้านเศรษฐศาสตร์มหภาคไม่น้อยเลยทีเดียว
สุดท้าย VI ก็พบว่า เชื่อตัวเองดีที่สุดครับ
อย่างที่คุณมนบอกหละครับMon Money เขียน:เหล่านี้น่าจะเป็นคำตอบว่าทำไมVIมองที่กิจการ ไม่มองตลาดที่ชอบแกว่งเป็นลูกตุ้ม ไม่สนใจสภาพเศรษฐกิจโดยรวม
VI สนใจในกิจการมากกว่า
เพราะแน่อนกว่าและมั่นใจได้มากกว่าการพยากรณ์เศรษฐศาสตร์มหภาค
ดังน้นทั้ง Buffet และ Lynch จึงบอกตรงกันว่า
ใช้เวลาสำหรับ Macro Economic เพียงสัปดาห์ละ 2 ชั่วโมง
ขณะที่เวลาที่เหลือวันละ 5-6 ชั่วโมง เอาไปสนใจ Annual Report
และผลการดำเนินงานของบริษัทมากกว่า
ขอบคุณครับพี่ไก่ติดตามมาอ่าน และช่วยลุ้นให้ถึง 50,000 ครั้งครับ
ตอนนี้กำลังฝึกปฎิบัติข้อสาม และข้อสี่ของอาจารย์วิบูลย์อยู่ครับ
กำจัดวัชพืช - แม้ว่าจะเป็นหุ้นที่ดีก็ทำใจกำจัดไปสองตัว คิดว่าจะให้เหลือสัก 5-6 ตัวให้ได้ครับ
จำไว้เป็นบทเรียน หลายตัวราคาขึ้นไปจนกำไรมากๆ ตอนนี้กำไรหายไปครึ่งนึง คงต้องจำไว้เป็นบทเรียนและต้องเรียนรู้บทเรียนที่ว่า when to sell
ตอนนี้อยากเห็นหุ้นที่ตัวเองถืออยู่ลงมาเยอะๆ
จะขอสะสมราคาดีๆ ได้เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่สักวันอย่างคุณ chatchai สักวันครับ
ผมว่าคงอ่านกันถึง 50,000 ครั้งภายในอาทิตย์สองอาทิตย์นี้ ก่อนสงกรานต์
ไม่น่าเชื่อจริงๆครับ
ตัวผมเองยังไม่อยากเชื่อเลยว่าจะมีการอ่านกันได้ขนาดนี้
เห็นที่คุณ dik dik เขียนมาบอกว่า อ่านทั้งหมด 36 หน้าใช้เวลาเป็นเดือน
อืมม์....อดทนจริงๆ สมเป็น VI
ส่วนตัวผมกำจัดวัชพืชไปหมดแล้ว
ตอนนี้ก็เหลือแต่หุ้นที่จะถือยาวแค่ไม่กี่ตัว
ตลาดจะเป็นอย่างไร ผมเฉยๆไม่ได้ตื่นเต้นอะไร
ถ้าลงไปอีกทีก็คงซื้อตัวที่มีอยู่เพิ่มเติม
เพราะมองว่า พื้นฐานกิจการยังดี อนาคตสดใส
จังหวะนี้หละที่ผมว่า เป็น"โอกาส"ของนักลงทุนระยะยาว
เพราะหุ้นหลายตัวที่มีศักยภาพ ถูกลากลงไปกับตลาดโดยรวมไปด้วย
ทุกคนกำลัง"กลัว"และ"ไม่กล้า"ที่จะขนเงินเข้ามาในตลาด
เพราะกลัวขาดทุน
แต่ผมมองว่า ถ้าทำใจไม่ได้หรือกลัว"การขาดทุนระยะสั้น"
หรือ Temporary Loss (ไม่ใช่ Permanent Loss)
ก็ไม่ควรจะมา"ลงทุน"ในตลาดหุ้น
เพราะโอกาสที่"ราคา"หุ้นที่เราถืออยู่"ต่ำกว่า"ราคาที่ซื้อมา มีมากเหลือเกิน
เพียงแต่เราต้องมองให้ออกว่า
เป็นการลดลงของราคาระยะสั้น หรือระยะยาว
ถ้าเศรษฐกิจจะเริ่มแย่ พื้นฐานบริษัทเปลี่ยน
การลดลงของ"ราคา"จะมีแนวโน้มที่จะ"ถาวร"
แต่ถ้าเป็นการลดลงของ"จิตวิทยามวลชน"
การลดลงของราคาหุ้นก็จะเป็นการลดลงเพียงชั่วคราว
นักลงทุน VI มือใหม่ต้องมองให้ออกครับ
เราจะได้ไม่"ตกใจ"และกลายเป็นส่วนหนึ่งของฝูงชนที่"บ้าคลั่ง"
เหมือนอย่างที่อาจารย์บัฟเฟตเคยบอกไว้
ส่วนเรื่องบทเรียน
ก็มีก้นบุหรี่บางตัวของผมเหมือนกันครับ
ที่ราคาขึ้นมาแล้วไม่ยอมขาย
อมไว้จน"ราคา"กลับมาอยู่ที่เดิม แถมกำลังสาระวันเตี้ยลง
เลยต้องกำจัดเอาไปซื้อตัวอื่นที่ราคากำลังลงดีกว่า
ตอนนี้กำจัดไปหมดแล้ว
ไม่เหลือรกปอดแล้วครับ
รู้สึกโล่งสบายใจเหมือนได้รับอากาศบริสุทธิ์อีกที
เงินค่าวิชารอบนี้ก็หลายอยู่ครับ
แต่พอทนได้ เพราะมี"ของเก่า"ให้เก็บกินอยู่บ้าง
เลยไม่เดือดร้อนเท่าไหร่
แต่ก็ดีตรงที่เราได้"เรียนรู้"อะไรมากขึ้น
ไม่ท้อครับ กลับทำให้มี"กำลังใจ"ในการลงทุนมากขึ้นซะอีก
เพราะอย่างน้อยก็มี"ประสบการณ์"มากขึ้น
ความมั่นใจก็มากขึ้นตามประสบการณ์ครับ
คาดว่า ปลายปีนี้คงทำได้ตามเป้าหมายที่วางไว้
ยินดีต้อนรับครับdik dik เขียน:ช่วงนี้ผมพยายามกำจัดวัชพืชอย่างที่คุณวิบูลย์ว่า และก็รดน้ำต้นไม้ แต่ช่วงนี้ดอกไม้ผมเฉาน่าดู เหี่ยวก็เหี่ยว แต่ยิ่งเหี่ยวก็จะยิ่งรด ก็จะดูเหมือนกันว่าผมจะทนดูดอกไม้มันเฉาได้สักขนาดไหน ก็ได้แต่หวังว่าดอกไม้ผมมันจะเป็นพันธุ์ที่ดี ทนแล้งได้นานๆ ตอนนี้ดอกไม้ผมเหลืออยู่แค่สามต้น อยู่ไปอยู่มาไม่แน่ใจว่าผมจะมองดอกไม้เป็นวัชพืชจนต้องกำจัดมันหรือเปล่า พยายามควานหาดอกไม้เพิ่มแต่ก็ไม่แน่ใจว่าเป็นวัชพืชหรือดอกไม้กันแน่ ผมกลัวเรื่องบรรษัทภิบาลที่สุด บัญชีก็ดูไม่ค่อยเข้าใจ กำลังพยายามศึกษาอยู่ ถ้าผมมีอะไรสงสัยก็ขอรบกวนเพื่อนๆพี่ๆและน้องๆในบอร์ดนี้ไขข้อข้องใจด้วยนะครับ
สวัสดีนะครับผมเพิ่งอ่านจบสามสิบหกหน้า ใช้เวลาหนึ่งเดือนพอดีค่อยๆอ่านไปเรื่อยๆ ตอนแรกเข้าใจว่าจะแจกหุ้นฟรี แต่พออ่านไปเรื่อยๆก็รู้ว่าที่แท้แจกเวลาหลังเกษียนนี่เอง
ใช้เวลาอ่านกระทู้เป็นเดือนเลยหรอครับ
นับว่า"อดทน"มากสมกับเป็น VI
เรื่องดอกไม้ก็ต้องดูแลรดน้ำให้ปุ๋ยบ้างครับ
ถ้า"เฉา"ชั่วคราวก็ต้องประคบประหงมกันไปครับ
แต่ถ้าดูแล้วท่าจะเป็น"เฉา"ถาวรแล้วละก็
ไปหาดอกใหม่ดีกว่าครับ ก่อนที่จะขายไม่ออก
ถ้าอยากหาแบบ"ทนแล้ง"ได้นานๆ
ผมแนะนำ"กระบองเพชร"ครับ
ไม่ต้องรดน้ำ ไม่ต้องพรวนดิน ก็ไม่ตาย
ถ้าเลือกดีๆก็มีดอกให้ดูเล่นนะครับ อิ อิ
ถ้ามีปัญหาอะไรก็เชิญถามพี่ๆแถวนี้ได้ครับ
ท่าทางใจดีทุกคน
ส่วนเรื่องชื่อกระทู้ก็มีคนเข้าใจผิดกันเยอะนะครับ
แต่ถ้าลองได้อ่านดูแล้วก็จะรู้ว่า คืออะไร
แต่ก็มีหลายท่าน อ่านไม่รู้เรื่องแล้วก็เลิกอ่านไปเลยก็มี
ก็นานาจิตตังครับ
ผมกับคุณมนก็คุยกันแล้วคิดว่า
เป้าหมายของกระทู้นี้ก็เพื่อ"จุดประกายความคิด"มากกว่า
ดังนั้น ใครจะอ่านไม่อ่าน สนใจไม่สนใจ ก็ไม่ว่ากันครับ ไม่ได้บังคับ
ส่วนผม คุณมน และท่านอื่นๆก็จะยังอยู่ที่นี่จนกว่าจะไม่มีใครถามตอบกันไปข้างนึงละครับ
สวัสดีครับ
- Mon money
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 3134
- ผู้ติดตาม: 0
คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์ที่ 1023
อ้าวคุณวิบูลย์ดับบุหรี่หมดเลยหรือครับ? สงสัยคุณวิบูลย์ไม่เหมาะกับบุหรี่แน่เลย ของผมยังคาบคาปากอยู่เลย พอมันลามมาใกล้ๆก็เอาน้ำลายพ่นๆมันไว้ไม่ร้อนปาก ใจเย็นๆครับเกมส์วัดใจ...ไม่ใช่การลงทุนที่แท้จริงครับ
อย่างที่คุณวิบูลย์ว่าไว้ครับ ถ้าตามเจ้ากาแฟคุณถือนานไม่ได้ครับ ยิ่งมาเร็วยิ่งไปเร็ว คาดเดาอยากเอาการ ถ้าไม่ไวและการข่าวดีจริงๆกินมันยากครับ
ผมว่าระยะนี้เรามาคุยกันเรื่องBehavior investingกันดีไหมครับ พรุ่งนี้ผมจะเตะลูกเอง หรือคุณวิบูลย์จะเตะก่อนก้เชิญเลยครับ
อย่างที่คุณวิบูลย์ว่าไว้ครับ ถ้าตามเจ้ากาแฟคุณถือนานไม่ได้ครับ ยิ่งมาเร็วยิ่งไปเร็ว คาดเดาอยากเอาการ ถ้าไม่ไวและการข่าวดีจริงๆกินมันยากครับ
ผมว่าระยะนี้เรามาคุยกันเรื่องBehavior investingกันดีไหมครับ พรุ่งนี้ผมจะเตะลูกเอง หรือคุณวิบูลย์จะเตะก่อนก้เชิญเลยครับ
เป็นบุญหนักหนาเหลือเกินที่ได้เกิดมาเป็นคนไทย เป็นคนไทยของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชฯ
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 2035
- ผู้ติดตาม: 0
คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์ที่ 1024
ลองบุหรี่แล้วเป็นอันตรายต่อสุขภาพ(ปอด)ครับ
เลยต้องเลิก
คิดไปคิดมา ผมไม่ถนัดเข้าออกเร็วครับ
เพราะบ้านอยู่ไกลตลาด แถมถนนเป็นลูกรัง
ไปกลับตลาดใช้เวลานาน เลยไม่ทันเขาสักที
ต้องกลับมาพิจารณา"กลยุทธ"การลงทุนใหม่
ด้วยการ"กำจัดจุดอ่อน"ทิ้งให้หมด
เหลือเฉพาะที่ทนทานต่อการตกต่ำของตลาดได้จริงๆ
ไม่ต้องมานั่งลุ้นเหมือนพวก"ก้นบุหรี่"ว่าจะรอดหรือไม่รอด
พอดีหัวใจไม่ค่อยแข็งแรงเท่าไหร่
เอาแบบ 3-5 ปีสบายๆดีกว่า
ตลาดเด้งรอบนี้ ผมเลยกะกำจัดให้หมด
แล้วกลับมาในหลักการเดิม
เสียศูนย์ไปเล็กน้อย
แต่ก็กลับตัวทัน คืนกำไรที่หามาได้ให้ นายตลาด เล็กน้อย
ถือว่าเป็น ค่าวิชา
ไม่ได้เสียใจอะไร ได้ลองดูแล้วก็รู้
ได้รู้แล้วก็สบายใจ
เพื่อนผมเสียหายกว่าผมเยอะ
ก็ได้แต่ปลอบใจกันไป
เขาบอกว่า เขาละเมิดหลักการ"เก็งกำไร"
ซื้อมา หุ้นราคาลง แล้วไม่ยอม Cutloss
ปล่อยไว้จนเลยจุดคัท แล้วคิดว่าหุ้นนั้นเป็นหุ้นดี เดี๋ยวก็กลับมา
สุดท้ายราคาหุ้นก็ลงไปมาก ทำให้จะคัทก็เสียดาย
ไม่คัทก็ผิดหลักการ เงอะเงอะงะงะ ทำอะไรไม่ถูก
สุดท้ายก็ต้องใช้วิชา "ตัดอวัยวะ รักษาชิวิต"
กัดฟัน Cutloss ไปเลย แล้วก็โล่ง
ถึงแม้จะขาดทุน แต่ก็มีกระแสเงินสดมาลุยกับนายตลาดอีกรอบ
ถึงแม้จะเป็น"เก็งกำไร" ก็ต้องมี "หลักการ" เหมือนกันครับ
ไม่งั้นบอกคำเดียว"ไม่รอด" หมดตัวเอาง่ายๆ
ผมว่าหนังสือกาแฟ ก็สอนการ"เก็งกำไร"นะครับ
แต่เก็งกำไรบนพื้นฐานและความคาดการณ์ตามหลักเศรษฐศาสตร์
และในหนังสือยังบอกอีกว่า
บางครั้งสิ่งที่คุณคิดไม่ได้เป็นจริงเสมอไป
ดังนั้น หลักการป้องกันความเสี่ยงก็คือ ต้อง Cutloss ทันทีถ้าราคาหุ้นตก (คุ้นๆมั๊ยครับ)
ผู้เขียนยังบอกว่า "นักเก็งกำไร"ที่ไม่ยอมคัทลอสก็จะกลายเป็น"นักลงทุนจำเป็น"ไป (เขียนแบบประชดประชันนิดๆ)
ผมว่า เราคุ้นๆกันดีอยู่แล้วหละ เรื่อง"นักลงทุนระยะยาวจำเป็น"นี่ จริงมั๊ยครับ
ในหนังสือกาแฟแบ่งนักลงทุนออกเป็นสามแบบครับ
หนึ่ง - Day Trader
พวกนี้จะใช้คอมพิวเตอร์เป็นอาวุธครับ ถือหุ้นกันเป็นวินาที
ได้เสียก็ว่ากันไปเลย
ที่สำคัญ นักลงทุนแบบนี้ไม่ถือหุ้นข้ามวันครับ.......ขอบอก
อ้าว ใครคิดว่าตัวเองเป็น Day Trader ยกมือขึ้น
สอง - Swing Trader
นักลงทุนแบบนี้จะใช้ Technical Analysis เป็นอาวุธครับ
ดูกราฟ ดูแนวโน้ม ใช้หลัก Moving average และอื่นๆ
ระยะเวลาการถือหุ้นก็ข้ามวันครับ บางครั้งถือกันหนึ่งถึงสองอาทิตย์
หรือไม่ก็จนกว่าจะมีการกลับตัวของกราฟ
ผมเพิ่งรู้ว่าเพื่อนผมที่เป็นสาวกของ EMT (จำกันได้มั๊ยครับ)
ก็บรรจุอยู่ในนักลงทุนแบบนี้ด้วย เพิ่งรู้จริงๆ
เพราะเพื่อนผมเคยบอกว่าปรับพอร์ตทุกสองอาทิตย์
(เหมือนพวกกองทุนไม่มีผิด สงสัยตำราเดียวกัน)
สาม - Buy and Hold
ผมว่า คนแถวนี้น่าจะอยู่ในจำพวกนี้นะครับ
คือซื้อหุ้นมาแล้วก็ถือไว้
ระยะเวลาการถือก็แล้วแต่ละคน บางคนก็ชอบถือเป็นปี
บางคนก็ชอบถือจนกว่าจะได้ราคาที่พอใจ
ที่เหมือนกันก็คือ นักลงทุนแบบนี้จะไม่สนใจในความผันผวนของราคาระยะสั้น
ใครเป็นแบบไหนก็รู้กันเองนะครับ
ที่เล่ามานี่ เพราะในหนังสือบอกไว้ว่า
ไม่ว่าจะเป็นนักลงทุนประเภทไหนก็จำเป็นต้องมีความรู้เรื่องMacroeconomic.....จบ
--------------------------------------------------------------------------------------
กลับมาที่เรื่อง Behavior investing
บอกตามตรงว่า ไม่เคยอ่านหนังสือหัวข้อนี่เป็นเรืองเป็นราว
เพียงแต่เคยอ่านเจอในหนังสืออื่นๆที่พูดถึงเรื่องนี้มาบ้าง
แต่ก็ไม่รู้ถึงแก่น รู้แค่เพียงตัวอย่างสองสามอัน
เท่าที่รู้ "ทฤษฎี Behavior investing" นี้ถูกตั้งขึ้นมาเพื่อหักล้างกับ "ทฤษฎี Efficientcy Market (EMT)" นะครับ
เพราะในหลักการของ EMT จะบอกเอาไว้ว่า
"ราคา"ของหุ้นทุกตัวที่อยู่บนกระดานได้ซึมซับข้อมูลที่นักลงทุนทุกคนรู้ไว้หมดแล้ว
ดังนั้น ราคาของหุ้น ณ ตอนนั้นจึงเป็นราคาที่เหมาะสมที่สุดแล้ว
จึงไม่มีประโยชน์ที่จะทำการเลือกหุ้นทีละตัวเข้าพอร์ต
เนื่องจากราคาทุกตัวเหมาะสมอยู่แล้ว
วิธีที่ดีที่สุดในการลงทุนก็คือ Index Fund
คือการซื้อหุ้นทุกตัวที่ประกอบเป็น Index แล้วถือไว้
รับประกัน "ชนะ"คนอื่นชัวร์
Index Fund จึงเกิดขึ้นและได้รับความนิยมมากในอเมริกา
เจ้าของทฤษฎี EMT ได้รับรางวัลโนเบล
หลักการ EMT ถูกนำไปใช้บรรจุในการสอนตามมหาวิทยาลัย
รวมทั้งนำไปใช้ในการบริหารพอร์ตของกองทุนต่างๆ
โดยใช้หลักการ Beta และ Risk Management
หลักการ EMT เฟื่องฟูมากๆในสมัย ทศวรรษ 80-90
จนเมื่อเข้าปี 2000
ตลาดหุ้น Nasdaq แตก
Down Jones ร่วงระนาว
กองทุนใหญ่น้อยทั้งหลายต่าง"ขาดทุน"จากการลงทุนมากมายมหาศาล
บางกองทุนขาดทุนจนเหลือเงินแค่ 10%ของพอร์ตก็มี
ที่น่าแปลกใจก็คือ
ขณะที่มีกองทุน Index หรือ กองทุนที่นำหลักการ EMT ไปใช้ ต่างขาดทุนกันถ้วนหน้า
กลับมีกองทุนอีกแบบที่สามารถทนทานต่อการตกต่ำของตลาดได้อย่างไม่สะทกสะท้าน
นั่นคือกองทุนที่บริหารพอร์ตด้วยหลักของ Value Investing
เช่น Berkshire Hathaway ของ Warren Buffet หรือ
กองทุน Value Trust ของ Bill Miller และคนอื่นๆอีกมาก
ที่ยังสามารถบริหารกองทุนให้เป็นบวกได้แม้ในยามที่ตลาดตกต่ำอย่างหนัก
และยังมีผลงานที่สามารถชนะ Index ได้ในระยะยาว
ดังนั้น Behavior investing จึงถือกำเนิดขึ้นในมหาวิทยาลัย
เพื่อที่จะนำทฤษฎีมาอธิบายว่าทำไม Value Investing ถึงชนะ Index ได้ในระยะยาว
และทำไม ทฤษฎี Efficientcy Market ที่เชื่อถือกันมายาวนานจึงไม่ถูกต้อง
ส่วนเนื้อหาของ ทฤษฎี Behavior investing เป็นอย่างไร
ต้องให้คุณ Mon Money มาอธิบายครับ
เพราะผมความรู้ไม่พอ และศึกษาเรื่องนี้มาไม่มาก
เดี๋ยวจะดำน้ำจนหาทางขึ้นฝั่งไม่เจอ
ขอเชิญ อาจารย์ Mon Money มา lecture ต่อด้วยครับ
เลยต้องเลิก
คิดไปคิดมา ผมไม่ถนัดเข้าออกเร็วครับ
เพราะบ้านอยู่ไกลตลาด แถมถนนเป็นลูกรัง
ไปกลับตลาดใช้เวลานาน เลยไม่ทันเขาสักที
ต้องกลับมาพิจารณา"กลยุทธ"การลงทุนใหม่
ด้วยการ"กำจัดจุดอ่อน"ทิ้งให้หมด
เหลือเฉพาะที่ทนทานต่อการตกต่ำของตลาดได้จริงๆ
ไม่ต้องมานั่งลุ้นเหมือนพวก"ก้นบุหรี่"ว่าจะรอดหรือไม่รอด
พอดีหัวใจไม่ค่อยแข็งแรงเท่าไหร่
เอาแบบ 3-5 ปีสบายๆดีกว่า
ตลาดเด้งรอบนี้ ผมเลยกะกำจัดให้หมด
แล้วกลับมาในหลักการเดิม
เสียศูนย์ไปเล็กน้อย
แต่ก็กลับตัวทัน คืนกำไรที่หามาได้ให้ นายตลาด เล็กน้อย
ถือว่าเป็น ค่าวิชา
ไม่ได้เสียใจอะไร ได้ลองดูแล้วก็รู้
ได้รู้แล้วก็สบายใจ
เพื่อนผมเสียหายกว่าผมเยอะ
ก็ได้แต่ปลอบใจกันไป
เขาบอกว่า เขาละเมิดหลักการ"เก็งกำไร"
ซื้อมา หุ้นราคาลง แล้วไม่ยอม Cutloss
ปล่อยไว้จนเลยจุดคัท แล้วคิดว่าหุ้นนั้นเป็นหุ้นดี เดี๋ยวก็กลับมา
สุดท้ายราคาหุ้นก็ลงไปมาก ทำให้จะคัทก็เสียดาย
ไม่คัทก็ผิดหลักการ เงอะเงอะงะงะ ทำอะไรไม่ถูก
สุดท้ายก็ต้องใช้วิชา "ตัดอวัยวะ รักษาชิวิต"
กัดฟัน Cutloss ไปเลย แล้วก็โล่ง
ถึงแม้จะขาดทุน แต่ก็มีกระแสเงินสดมาลุยกับนายตลาดอีกรอบ
ถึงแม้จะเป็น"เก็งกำไร" ก็ต้องมี "หลักการ" เหมือนกันครับ
ไม่งั้นบอกคำเดียว"ไม่รอด" หมดตัวเอาง่ายๆ
ผมว่าหนังสือกาแฟ ก็สอนการ"เก็งกำไร"นะครับ
แต่เก็งกำไรบนพื้นฐานและความคาดการณ์ตามหลักเศรษฐศาสตร์
และในหนังสือยังบอกอีกว่า
บางครั้งสิ่งที่คุณคิดไม่ได้เป็นจริงเสมอไป
ดังนั้น หลักการป้องกันความเสี่ยงก็คือ ต้อง Cutloss ทันทีถ้าราคาหุ้นตก (คุ้นๆมั๊ยครับ)
ผู้เขียนยังบอกว่า "นักเก็งกำไร"ที่ไม่ยอมคัทลอสก็จะกลายเป็น"นักลงทุนจำเป็น"ไป (เขียนแบบประชดประชันนิดๆ)
ผมว่า เราคุ้นๆกันดีอยู่แล้วหละ เรื่อง"นักลงทุนระยะยาวจำเป็น"นี่ จริงมั๊ยครับ
ในหนังสือกาแฟแบ่งนักลงทุนออกเป็นสามแบบครับ
หนึ่ง - Day Trader
พวกนี้จะใช้คอมพิวเตอร์เป็นอาวุธครับ ถือหุ้นกันเป็นวินาที
ได้เสียก็ว่ากันไปเลย
ที่สำคัญ นักลงทุนแบบนี้ไม่ถือหุ้นข้ามวันครับ.......ขอบอก
อ้าว ใครคิดว่าตัวเองเป็น Day Trader ยกมือขึ้น
สอง - Swing Trader
นักลงทุนแบบนี้จะใช้ Technical Analysis เป็นอาวุธครับ
ดูกราฟ ดูแนวโน้ม ใช้หลัก Moving average และอื่นๆ
ระยะเวลาการถือหุ้นก็ข้ามวันครับ บางครั้งถือกันหนึ่งถึงสองอาทิตย์
หรือไม่ก็จนกว่าจะมีการกลับตัวของกราฟ
ผมเพิ่งรู้ว่าเพื่อนผมที่เป็นสาวกของ EMT (จำกันได้มั๊ยครับ)
ก็บรรจุอยู่ในนักลงทุนแบบนี้ด้วย เพิ่งรู้จริงๆ
เพราะเพื่อนผมเคยบอกว่าปรับพอร์ตทุกสองอาทิตย์
(เหมือนพวกกองทุนไม่มีผิด สงสัยตำราเดียวกัน)
สาม - Buy and Hold
ผมว่า คนแถวนี้น่าจะอยู่ในจำพวกนี้นะครับ
คือซื้อหุ้นมาแล้วก็ถือไว้
ระยะเวลาการถือก็แล้วแต่ละคน บางคนก็ชอบถือเป็นปี
บางคนก็ชอบถือจนกว่าจะได้ราคาที่พอใจ
ที่เหมือนกันก็คือ นักลงทุนแบบนี้จะไม่สนใจในความผันผวนของราคาระยะสั้น
ใครเป็นแบบไหนก็รู้กันเองนะครับ
ที่เล่ามานี่ เพราะในหนังสือบอกไว้ว่า
ไม่ว่าจะเป็นนักลงทุนประเภทไหนก็จำเป็นต้องมีความรู้เรื่องMacroeconomic.....จบ
--------------------------------------------------------------------------------------
กลับมาที่เรื่อง Behavior investing
บอกตามตรงว่า ไม่เคยอ่านหนังสือหัวข้อนี่เป็นเรืองเป็นราว
เพียงแต่เคยอ่านเจอในหนังสืออื่นๆที่พูดถึงเรื่องนี้มาบ้าง
แต่ก็ไม่รู้ถึงแก่น รู้แค่เพียงตัวอย่างสองสามอัน
เท่าที่รู้ "ทฤษฎี Behavior investing" นี้ถูกตั้งขึ้นมาเพื่อหักล้างกับ "ทฤษฎี Efficientcy Market (EMT)" นะครับ
เพราะในหลักการของ EMT จะบอกเอาไว้ว่า
"ราคา"ของหุ้นทุกตัวที่อยู่บนกระดานได้ซึมซับข้อมูลที่นักลงทุนทุกคนรู้ไว้หมดแล้ว
ดังนั้น ราคาของหุ้น ณ ตอนนั้นจึงเป็นราคาที่เหมาะสมที่สุดแล้ว
จึงไม่มีประโยชน์ที่จะทำการเลือกหุ้นทีละตัวเข้าพอร์ต
เนื่องจากราคาทุกตัวเหมาะสมอยู่แล้ว
วิธีที่ดีที่สุดในการลงทุนก็คือ Index Fund
คือการซื้อหุ้นทุกตัวที่ประกอบเป็น Index แล้วถือไว้
รับประกัน "ชนะ"คนอื่นชัวร์
Index Fund จึงเกิดขึ้นและได้รับความนิยมมากในอเมริกา
เจ้าของทฤษฎี EMT ได้รับรางวัลโนเบล
หลักการ EMT ถูกนำไปใช้บรรจุในการสอนตามมหาวิทยาลัย
รวมทั้งนำไปใช้ในการบริหารพอร์ตของกองทุนต่างๆ
โดยใช้หลักการ Beta และ Risk Management
หลักการ EMT เฟื่องฟูมากๆในสมัย ทศวรรษ 80-90
จนเมื่อเข้าปี 2000
ตลาดหุ้น Nasdaq แตก
Down Jones ร่วงระนาว
กองทุนใหญ่น้อยทั้งหลายต่าง"ขาดทุน"จากการลงทุนมากมายมหาศาล
บางกองทุนขาดทุนจนเหลือเงินแค่ 10%ของพอร์ตก็มี
ที่น่าแปลกใจก็คือ
ขณะที่มีกองทุน Index หรือ กองทุนที่นำหลักการ EMT ไปใช้ ต่างขาดทุนกันถ้วนหน้า
กลับมีกองทุนอีกแบบที่สามารถทนทานต่อการตกต่ำของตลาดได้อย่างไม่สะทกสะท้าน
นั่นคือกองทุนที่บริหารพอร์ตด้วยหลักของ Value Investing
เช่น Berkshire Hathaway ของ Warren Buffet หรือ
กองทุน Value Trust ของ Bill Miller และคนอื่นๆอีกมาก
ที่ยังสามารถบริหารกองทุนให้เป็นบวกได้แม้ในยามที่ตลาดตกต่ำอย่างหนัก
และยังมีผลงานที่สามารถชนะ Index ได้ในระยะยาว
ดังนั้น Behavior investing จึงถือกำเนิดขึ้นในมหาวิทยาลัย
เพื่อที่จะนำทฤษฎีมาอธิบายว่าทำไม Value Investing ถึงชนะ Index ได้ในระยะยาว
และทำไม ทฤษฎี Efficientcy Market ที่เชื่อถือกันมายาวนานจึงไม่ถูกต้อง
ส่วนเนื้อหาของ ทฤษฎี Behavior investing เป็นอย่างไร
ต้องให้คุณ Mon Money มาอธิบายครับ
เพราะผมความรู้ไม่พอ และศึกษาเรื่องนี้มาไม่มาก
เดี๋ยวจะดำน้ำจนหาทางขึ้นฝั่งไม่เจอ
ขอเชิญ อาจารย์ Mon Money มา lecture ต่อด้วยครับ
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 11443
- ผู้ติดตาม: 0
คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์ที่ 1025
สำหรับนักเกร็งกำไรเคยเป็นแบบนี้ไหมครับ
เวลาตัดสินใจลงทน ก็พยายามพิจารณาเลือกลงทนแต่บริษัทที่มีพื้นฐานดี คัดบริษัทแย่ๆออกก่อน ตั้งจด Cut Loss ไว้ล่วงหน้า พิจารณากราฟหาจดซื้อ
พอราคาตกลงมาก็เข้าซื้อตามที่คิดไว้ หลังจากนั้น
ราคาก็ค่อยๆตกลงเรื่อยๆวันละนิด จนวันหนึ่งตกลงถึงจดที่เราตั้งใจจะ Cut Loss แต่ใจหนึ่งก็คิดว่าบริษัทที่เราซื้อเป็นบริษัทที่มีพื้นฐานดี เงินที่ซื้อก็เงินเย็นไม่ต้องรีบขายก็ได้ เลยไม่ขาย
ราคาก็ยังคงลงเรื่อยๆ มี Rebound บ้างบางครั้ง สดท้ายก้ทำใจไม่ได้ขายขาดทนไปกว่า 30% หวังว่าจะได้เงินสดมาเพื่อคอยช้อนห้นใหม่
แต่เหมือนสวรรค์กลั่นแกล้ง พอขายป๊บ ราคาก็กลับวิ่งขึ้นไปเป็นกระทิง เราก็เลยตกรถ เพราะทำใจไม่ได้ที่จะซื้อแพงกว่าราคาที่ขายไป
แต่ทำใจว่าไม่เป็นไร สรปเป็นบทเรียน คราวหลังให้เข้มงวดกับการ Cut Loss
หลังจากนั้นก็เริ่มซื้อห้นใหม่ แต่เนื่องจากตอนราคาห้นพ่งขึ้น ยังคงทำใจกับการตกรถไม่ได้เลยไม่ได้ซื้อ กว่าทำใจได้ก็นานโข ราคาก็ไปสงแล้ว ราคาที่ลงทนใหม่ก็เลยแพงพอควร
หลังจากซื้อ ห้นก็เริ่มลงอีก แต่คราวนี้ขาย Cut Loss ตามที่ตั้งใจไว้ หลังจากขายราคาก็ลงต่ออีกนิด เราก็ตั้งใจว่าถ้าลงกว่า 5% จากราคาที่เราขายจะเริ่มซื้อคืน สดท้ายราคาก็ลงแค่ 3%-4% แล้วก็กลับพ่งไปอีก ตกรถอีกแล้วครับ
เมาหมัดเลยครับ ซื้อเป็นลง ขายเป็นขึ้น
ที่เขียนมาเพื่อจะบอกว่าการเกร็งกำไรสดท้ายก็ไม่มีอะไรมารับประกันได้ครับ
เวลาตัดสินใจลงทน ก็พยายามพิจารณาเลือกลงทนแต่บริษัทที่มีพื้นฐานดี คัดบริษัทแย่ๆออกก่อน ตั้งจด Cut Loss ไว้ล่วงหน้า พิจารณากราฟหาจดซื้อ
พอราคาตกลงมาก็เข้าซื้อตามที่คิดไว้ หลังจากนั้น
ราคาก็ค่อยๆตกลงเรื่อยๆวันละนิด จนวันหนึ่งตกลงถึงจดที่เราตั้งใจจะ Cut Loss แต่ใจหนึ่งก็คิดว่าบริษัทที่เราซื้อเป็นบริษัทที่มีพื้นฐานดี เงินที่ซื้อก็เงินเย็นไม่ต้องรีบขายก็ได้ เลยไม่ขาย
ราคาก็ยังคงลงเรื่อยๆ มี Rebound บ้างบางครั้ง สดท้ายก้ทำใจไม่ได้ขายขาดทนไปกว่า 30% หวังว่าจะได้เงินสดมาเพื่อคอยช้อนห้นใหม่
แต่เหมือนสวรรค์กลั่นแกล้ง พอขายป๊บ ราคาก็กลับวิ่งขึ้นไปเป็นกระทิง เราก็เลยตกรถ เพราะทำใจไม่ได้ที่จะซื้อแพงกว่าราคาที่ขายไป
แต่ทำใจว่าไม่เป็นไร สรปเป็นบทเรียน คราวหลังให้เข้มงวดกับการ Cut Loss
หลังจากนั้นก็เริ่มซื้อห้นใหม่ แต่เนื่องจากตอนราคาห้นพ่งขึ้น ยังคงทำใจกับการตกรถไม่ได้เลยไม่ได้ซื้อ กว่าทำใจได้ก็นานโข ราคาก็ไปสงแล้ว ราคาที่ลงทนใหม่ก็เลยแพงพอควร
หลังจากซื้อ ห้นก็เริ่มลงอีก แต่คราวนี้ขาย Cut Loss ตามที่ตั้งใจไว้ หลังจากขายราคาก็ลงต่ออีกนิด เราก็ตั้งใจว่าถ้าลงกว่า 5% จากราคาที่เราขายจะเริ่มซื้อคืน สดท้ายราคาก็ลงแค่ 3%-4% แล้วก็กลับพ่งไปอีก ตกรถอีกแล้วครับ
เมาหมัดเลยครับ ซื้อเป็นลง ขายเป็นขึ้น
ที่เขียนมาเพื่อจะบอกว่าการเกร็งกำไรสดท้ายก็ไม่มีอะไรมารับประกันได้ครับ
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 1139
- ผู้ติดตาม: 0
คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์ที่ 1026
ถ้าเป็นเรื่องเกี่ยวกับ Behavioral Finance ผมขออนุญาตแนะนำหนังสือชื่อ Why Smart People Make Big Money Mistakes and How to Correct Them โดย Gary Belsky & Thomas Gilovich กับ The Winner' s Curse โดย Richard Thaler ครับ
-
- ผู้ติดตาม: 0
คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์ที่ 1027
ช่วยวิจารยณ์ Beyond Zulu Principle หน่อยว่าน่าอ่านหรือเปล่า เห็นบอกว่าหายาก
-
- Verified User
- โพสต์: 2513
- ผู้ติดตาม: 0
คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์ที่ 1028
ตลาดหุ้นไทย ผมว่าห่างไกลจาก EMT มากๆครับ แถมเหตุผลที่หุ้นจะขึ้นลงในระยะสั้นก็แทบจะไม่มีอะไรเกี่ยวกับกำไรเลย ผมก็เลยคิดว่าอะไรที่เป็นการดักความคิดของคนที่มีต่อ macroeconomics น่าจะเป็นวิธีที่ใช้ได้
ยกตัวอย่างง่ายๆ พอมีข่าวภาครัฐมีการขยายงานก่อสร้างทั่วประเทศ หุ้นก่อสร้างวิ่งทันทีครับ หุ้นวิ่งขึ้นไปเท่าตัว แล้วยังวิ่งต่อได้อีกหลายเท่า... แม้กำไรที่ได้จากโครงการต่างๆอาจจะน้อยนิด พอผลประกอบการณ์ออกจริงๆ กำไรแทบไม่โตเลย บ้างก็กำไรหดด้วยซ้ำไป
ยกตัวอย่างง่ายๆ พอมีข่าวภาครัฐมีการขยายงานก่อสร้างทั่วประเทศ หุ้นก่อสร้างวิ่งทันทีครับ หุ้นวิ่งขึ้นไปเท่าตัว แล้วยังวิ่งต่อได้อีกหลายเท่า... แม้กำไรที่ได้จากโครงการต่างๆอาจจะน้อยนิด พอผลประกอบการณ์ออกจริงๆ กำไรแทบไม่โตเลย บ้างก็กำไรหดด้วยซ้ำไป
เสรีภาพก็เหมือนอากาศที่เราไม่อาจมองเห็นด้วยตา แต่จะรู้สึกได้ในทันทีหากมีมันอยู่เบาบางหรือขาดหายไป
-จีรนุช เปรมชัยพร
-จีรนุช เปรมชัยพร
- Mon money
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 3134
- ผู้ติดตาม: 0
คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์ที่ 1029
เรื่อง Behavioral Investing ที่ผมจะเอามาคุยวันนี้จริงๆแล้วผมตัดต่อมาจาก Behavioral Finance หรือ Behavioral Economic เอาเป็นว่าผมขอเริ่มในเรื่องที่ผมอยากคุยก่อนแล้วกันครับ
เรื่องแรกที่อยากคุยก็คือเรื่องการแยกแยะค่าของเงินในสมองของมนุษย์หรือ Mental Accounting
แล้วเรื่องนี้มันอย่างไงกันแน่..........ต้องเอาตัวอย่างมาให้ดูครับ
เรื่องมีอยู่ว่ามีนักเล่นหุ้นสองคนเป็นเพื่อนกัน หลังจากทั้งสองคนเล่นหุ้นตัวเดียวกัน(ซึ่งอาจจะได้ข่าววงในมาเหมือนกัน) ต่างก็ขาดทุนจนเกียบหมดตัวด้วยกันทั้งคู่ ซึ่งก็แยกย้ายกันกลับบ้าน คนหนึ่งหมดเลยเข็ดเลิกเล่นหุ้น ส่วนอีกคนบังเอิญเดินทางกลับบ้านแล้วพบเงินที่หาเจ้าของไม่ได้มา 20,000บาท วันรุ่งขึ้นเขาก็เดินเข้าตลาดหุ้นอีกครั้งโดยเอาเงินที่เก็บได้มาซื้อหุ้นบริษัทหนึ่ง ปรากฏว่าหุ้นตัวนั้นขึ้นแล้วขึ้นอีกหลายเท่าตัวสมมุติว่าเป็นเงินที่ได้จากการซื้อหุ้นตัวนี้มาเป็น 200,000บาท ในวันต่อๆมาเขาก็เอาเงินทั้งหมดที่ได้มาไปซื้อหุ้นอีกครั้งปรากฏว่าคราวนี้โชคไม่ได้อยู่ข้างเขาอีกต่อไป หุ้นที่ซื้อราคาลงเอาลงเอาจนเงินที่ได้มาทั้งหมดเหลือไม่กี่บาท
วันหนึ่งนักเล่นหุ้นทั้งสองก็ได้มาพบกัน จึงไถ่ถามกันว่าที่ผ่านมาทำอะไรบ้าง นักเล่นหุ้นที่เก็บเงินได้บอกว่าไปเล่นหุ้นต่อ เพื่อนเลยถามว่าแล้วได้เสียอย่างไรบ้าง เพื่อนตอบว่าไม่เลวเกินไป เสียไปแค่เกือบสองหมื่นเอง
และนี่คือเหตุผลที่เจ้า(มือ)จึงรวยเสมอ!!
และถ้าคิดว่าที่เจ้ามือมักได้เสมอ ก็เจ้ามือมีสัดส่วนความได้เปรียบเหนือนักเล่นหุ้นอื่นๆมากๆก็คนไม่ผิด แต่ก็ไม่ใช่เหตุผลสำคัญที่สุดอย่างเดียว
เหตุผลที่ใครๆอยากเป็นเจ้ามือก็เพราะ มีนักเล่นหุ้นที่คิดแบบเดียวกันกับนักเล่นหุ้นคนที่เก็บเงินได้นั้นมากมายทีเดียว
คือเมื่อเริ่มต้นด้วยเงินที่เก็บได้ 20,000บาท เมื่อเสียเงินที่เล่นได้มาทั้งหมด ก็ทำเป็นคิดว่าเสียไปแค่20,000บาทเท่านั้น
เขาทำเป็นลืมคิดไปว่า ถ้าเลิกเล่นเมื่อได้เงินทั้งหมดมา 2,000,000บาทแล้วเขาคือเจ้าของเงินจำนวนนั้นทันที
จริงๆแล้วเขาเสียเงินนั้นไปทั้งจำนวน นั้นหมายถึงเขาเสียไป2,000,000บาท
ในใจเจ้ามือทุกคนรู้ดีอยู่ว่า นักเล่นส่วนใหญ่จะมองว่าเงินที่ได้กำไรมาระหว่างการเล่นหุ้นนั้นเป็นเงินของคนอื่นที่โง่เสียให้เขา ดังนั้นเขาจะใจถึงขึ้นเลื่อยๆ และตราบใดที่เขายังไม่เลิกเล่น เจ้ามือก็ยังมีโอกาสเอาเงินนั้นกลับคืนมาเสมอ ด้วยข้อได้เปรียบที่เขามีอยู่มากกว่านั่นเอง
นี่แหละคือคำตอบว่าทำไม เจ้ามือจึงรวยทุกทีโดยไม่จำเป็นต้องโกง หรือมีข้อมูลภายใน หรืออะไรก็แล้วแต่
นี่คือผลของภาพลวงตาและการแยกแยะมูลค่าของเงินที่ได้มาจากแหล่งต่างๆของมนุษย์กอปรกับความโลภ จึงทำให้นักเล่นส่วนใหญ่แพ้ตลาดอยู่เป็นประจำ
เขียนมายาวมากแล้วใครมีอะไรจะถกกันก็เชิญได้เลย
ต่อไปผมจะเอาเรื่องอื่นๆในหัวข้อ Behavioral Investing มาคุยกันต่ออีกครับซึ่งอาจตอบคำถามคุณนักดูดาวได้นะครับ
เรื่องแรกที่อยากคุยก็คือเรื่องการแยกแยะค่าของเงินในสมองของมนุษย์หรือ Mental Accounting
แล้วเรื่องนี้มันอย่างไงกันแน่..........ต้องเอาตัวอย่างมาให้ดูครับ
เรื่องมีอยู่ว่ามีนักเล่นหุ้นสองคนเป็นเพื่อนกัน หลังจากทั้งสองคนเล่นหุ้นตัวเดียวกัน(ซึ่งอาจจะได้ข่าววงในมาเหมือนกัน) ต่างก็ขาดทุนจนเกียบหมดตัวด้วยกันทั้งคู่ ซึ่งก็แยกย้ายกันกลับบ้าน คนหนึ่งหมดเลยเข็ดเลิกเล่นหุ้น ส่วนอีกคนบังเอิญเดินทางกลับบ้านแล้วพบเงินที่หาเจ้าของไม่ได้มา 20,000บาท วันรุ่งขึ้นเขาก็เดินเข้าตลาดหุ้นอีกครั้งโดยเอาเงินที่เก็บได้มาซื้อหุ้นบริษัทหนึ่ง ปรากฏว่าหุ้นตัวนั้นขึ้นแล้วขึ้นอีกหลายเท่าตัวสมมุติว่าเป็นเงินที่ได้จากการซื้อหุ้นตัวนี้มาเป็น 200,000บาท ในวันต่อๆมาเขาก็เอาเงินทั้งหมดที่ได้มาไปซื้อหุ้นอีกครั้งปรากฏว่าคราวนี้โชคไม่ได้อยู่ข้างเขาอีกต่อไป หุ้นที่ซื้อราคาลงเอาลงเอาจนเงินที่ได้มาทั้งหมดเหลือไม่กี่บาท
วันหนึ่งนักเล่นหุ้นทั้งสองก็ได้มาพบกัน จึงไถ่ถามกันว่าที่ผ่านมาทำอะไรบ้าง นักเล่นหุ้นที่เก็บเงินได้บอกว่าไปเล่นหุ้นต่อ เพื่อนเลยถามว่าแล้วได้เสียอย่างไรบ้าง เพื่อนตอบว่าไม่เลวเกินไป เสียไปแค่เกือบสองหมื่นเอง
และนี่คือเหตุผลที่เจ้า(มือ)จึงรวยเสมอ!!
และถ้าคิดว่าที่เจ้ามือมักได้เสมอ ก็เจ้ามือมีสัดส่วนความได้เปรียบเหนือนักเล่นหุ้นอื่นๆมากๆก็คนไม่ผิด แต่ก็ไม่ใช่เหตุผลสำคัญที่สุดอย่างเดียว
เหตุผลที่ใครๆอยากเป็นเจ้ามือก็เพราะ มีนักเล่นหุ้นที่คิดแบบเดียวกันกับนักเล่นหุ้นคนที่เก็บเงินได้นั้นมากมายทีเดียว
คือเมื่อเริ่มต้นด้วยเงินที่เก็บได้ 20,000บาท เมื่อเสียเงินที่เล่นได้มาทั้งหมด ก็ทำเป็นคิดว่าเสียไปแค่20,000บาทเท่านั้น
เขาทำเป็นลืมคิดไปว่า ถ้าเลิกเล่นเมื่อได้เงินทั้งหมดมา 2,000,000บาทแล้วเขาคือเจ้าของเงินจำนวนนั้นทันที
จริงๆแล้วเขาเสียเงินนั้นไปทั้งจำนวน นั้นหมายถึงเขาเสียไป2,000,000บาท
ในใจเจ้ามือทุกคนรู้ดีอยู่ว่า นักเล่นส่วนใหญ่จะมองว่าเงินที่ได้กำไรมาระหว่างการเล่นหุ้นนั้นเป็นเงินของคนอื่นที่โง่เสียให้เขา ดังนั้นเขาจะใจถึงขึ้นเลื่อยๆ และตราบใดที่เขายังไม่เลิกเล่น เจ้ามือก็ยังมีโอกาสเอาเงินนั้นกลับคืนมาเสมอ ด้วยข้อได้เปรียบที่เขามีอยู่มากกว่านั่นเอง
นี่แหละคือคำตอบว่าทำไม เจ้ามือจึงรวยทุกทีโดยไม่จำเป็นต้องโกง หรือมีข้อมูลภายใน หรืออะไรก็แล้วแต่
นี่คือผลของภาพลวงตาและการแยกแยะมูลค่าของเงินที่ได้มาจากแหล่งต่างๆของมนุษย์กอปรกับความโลภ จึงทำให้นักเล่นส่วนใหญ่แพ้ตลาดอยู่เป็นประจำ
เขียนมายาวมากแล้วใครมีอะไรจะถกกันก็เชิญได้เลย
ต่อไปผมจะเอาเรื่องอื่นๆในหัวข้อ Behavioral Investing มาคุยกันต่ออีกครับซึ่งอาจตอบคำถามคุณนักดูดาวได้นะครับ
แก้ไขล่าสุดโดย Mon money เมื่อ เสาร์ เม.ย. 03, 2004 9:33 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
เป็นบุญหนักหนาเหลือเกินที่ได้เกิดมาเป็นคนไทย เป็นคนไทยของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชฯ
- harry
- Verified User
- โพสต์: 4200
- ผู้ติดตาม: 0
คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์ที่ 1030
ชอบมากเลยพี่มน มาเล่าให้ฟังอีกครับ ใจคนนี่เดายากจริงๆ ตอนนี้ผมถือนโยบายว่า เมื่อขึ้นมากพอก็จะขายเอาเงินสดมาถือ เพื่อรอดูหุ้นที่สามารถแข่งขันยั่งยืนและราคาลงแบบชั่วคราว ในแนวของบัฟเฟตต์ครับ
Expecto Patronum!!!!!!
- Mon money
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 3134
- ผู้ติดตาม: 0
คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์ที่ 1032
ไม่ค่อนมีใครมาคุยด้วยเลยครับมันยากไปหรืออย่างไง วันนี้ค่ำๆผมจะคุยเรื่อง Overreactครับ
เป็นบุญหนักหนาเหลือเกินที่ได้เกิดมาเป็นคนไทย เป็นคนไทยของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชฯ
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 2035
- ผู้ติดตาม: 0
คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์ที่ 1033
เพิ่งเข้ามาครับ คุณมน อย่าเพิ่งน้อยใจMon money เขียน:ไม่ค่อนมีใครมาคุยด้วยเลยครับมันยากไปหรืออย่างไง วันนี้ค่ำๆผมจะคุยเรื่อง Overreactครับ
ผมยังอยู่ คุยกับผมก็ได้ ไม่คิดค่าชั่วโมง ฮ่า ฮ่า
เรื่อง Behavior ผมมีตัวอย่างคล้ายๆกันอีกสองตัวอย่างนะครับ
เอามาจากอาจารย์ Thaler
เรื่องมีอยู่ว่า
เหตุการณ์ที่หนึ่ง:
เราได้ตั๋วคอนเสิร์ทพี่เบริด ธงไชยมา"ฟรี"หนึ่งใบ
ด้วยความดีใจเป็นล้นพ้น เลยคิดแต่จะรอให้ถึงวันแสดงเสียที เฝ้ารอ ได้แต่รอ
พอวันแสดงคอนเสิร์ทจริงๆ ด้วยความรีบร้อน พอไปถึง
ปรากฏว่า "ตั๋วหาย"
ถามว่า
หนึ่ง - ถ้าเป็นคุณ คุณจะควักตังค์ตัวเอง"ซื้อ"ตั๋วคอนเสิร์ทใบใหม่ในราคาเต็มแล้วเข้าไปดูพี่เบิร์ดเลยหรือเปล่า
หรือ
สอง - กลับบ้าน
-----ให้เวลาสองนาที-------------------- ติ้กต้อก ติ้กต้อก
----หมดเวลา-------------------------------
มีการทำแบบสอบถามทำนองนี้ปรากฏว่า
คนส่วนใหญ่เลือกกลับบ้าน เพราะ คิดว่าตั๋วได้มาฟรี เลยคิดว่าไม่ต้องเสียเงิน
และไม่อยากควักเงินซื้ออีก
แต่ถ้า เรา"ซื้อ"ตั๋วนั้นมาเอง และ"ตั๋ว"หาย
เราจะยินดีควักเงิน"ซื้อ"ตั๋วเข้าไปดูคอนเสิร์ทแบบเบิร์ดๆแทนใบที่หายไป
จริงมั๊ยครับ
นี่เป็นการทดสอบว่า คนเรามี"อารมณ์"และ"ความรู้สึก"กับเรื่องอย่างเดียวกัน
ทั้งๆที่เป็นการ"จ่ายเงิน"จำนวนเท่ากัน แต่เรามีเหตุผลที่จะจ่ายหรือไม่จ่ายไม่เหมือนกัน
บางครั้งเงินที่เราคิดว่า ได้มา"ฟรี"
แต่ในความเป็นจริงมี"มูลค่า"เท่ากับเงินที่เราจ่ายไปจริงๆ
ถ้าไม่เชื่อจะขอยกอีกหนึ่งตัวอย่าง
เหตุการณ์ที่สอง:
เราเดินไปซื้อของที่ 7-11 หน้าปากซอย
แคชเชียร์คิดเงินทั้งหมด 100 บาท
เราเอามือล้วงกระเป๋าตังค์........ไอ้หย๋า ไม่มีเงินสด
แต่โชคยังดี เอาบัตร ATM ติดตัวมากันเหนียว
เลยเดินไปกด ATM มาร้อยนึง แล้วจ่ายเงินแคชเชียร์ไป
กลับมาถึงบ้าน กลับพบว่า
กระเป๋าหลังกางเกงมีแบงค์ 100 บาท อยู่ในกระเป๋า
ถ้าคุณเหมือนคนทั่วไป
คุณจะคิดว่า หวานหมูแล้วเรา มีเงิน"ส้มหล่น"
และเราจะคิดว่า เงินนี้เป็นเงินแถม
ทั้งๆที่มันเป็นเงินที่เราทนทำงานหามาเหมือนกัน ไม่มีอะไรต่างกันสักนิด
ระหว่างเงินที่กดจาก ATM และ เงินในกนะเป๋าหลัง
แต่เรามักจะมีแนวโน้มที่จะคิดว่า เงินที่เรา"พบ"นั้นเอาไปใช้ทำอะไรก็ได้
.................จริงมั๊ยครับ
เอาละ คุณมน
ผมยกตัวอย่างมาให้สองตัวอย่างแล้วน่ะ
ที่เหลือ ลุยต่อได้เลย
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 2035
- ผู้ติดตาม: 0
คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์ที่ 1034
ผมไม่เคยอ่านครับAnonymous เขียน:ช่วยวิจารยณ์ Beyond Zulu Principle หน่อยว่าน่าอ่านหรือเปล่า เห็นบอกว่าหายาก
ต้องคุณมน หรือคุณWeb ครับจะบอกได้
ผมว่านี่เป็นโอกาสของนักลงทุนที่ชอบกาแฟเลยละครับนักดูดาว เขียน:ตลาดหุ้นไทย ผมว่าห่างไกลจาก EMT มากๆครับ แถมเหตุผลที่หุ้นจะขึ้นลงในระยะสั้นก็แทบจะไม่มีอะไรเกี่ยวกับกำไรเลย ผมก็เลยคิดว่าอะไรที่เป็นการดักความคิดของคนที่มีต่อ macroeconomics น่าจะเป็นวิธีที่ใช้ได้
ยกตัวอย่างง่ายๆ พอมีข่าวภาครัฐมีการขยายงานก่อสร้างทั่วประเทศ หุ้นก่อสร้างวิ่งทันทีครับ หุ้นวิ่งขึ้นไปเท่าตัว แล้วยังวิ่งต่อได้อีกหลายเท่า... แม้กำไรที่ได้จากโครงการต่างๆอาจจะน้อยนิด พอผลประกอบการณ์ออกจริงๆ กำไรแทบไม่โตเลย บ้างก็กำไรหดด้วยซ้ำไป
ถ้าตลาดเป็น VI หรือ EMT หมด
พวกเราคงแย่ เพราะไม่รู้ว่าจะไปซื้อหุ้นจากใคร หรือจะไปขายใคร
VI ก็ถือหุ้นข้ามปี
EMT ก็ถือหุ้นดัชนีไม่เคยเปลี่ยนมือ
โชคยังดีที่มี Day Trader มาช่วยสร้างสภาพคล่องให้ตลาด
และสำหรับเมืองไทย ผมคิดว่า Day Trader Never Died
เพราะอะไรครับ ผมว่า เพราะความง่าย(ในการหาเงิน (และง่ายในการเสียเงิน)) และความตื่นเต้นเร้าใจ
ที่กระตุ้นให้คนเข้ามาเล่นหุ้นด้วย Day Trade มากมายครับ
การลงทุนด้วย VI มันช้าไม่ทันใจ แถมต้องมีความู้อีก
สู้ Day Trade ไม่ได้ รู้ผลไว แถมไม่ต้องรู้อะไรมากอีก
ตอนนี้ผมกำลังลองวิชา "กาแฟ" อยู่ครับ
ลองเอา"ความรู้"ที่ได้มามาลองดูซะหน่อย
คือไม่ใช่"ก้นบุหรี่"แบบไม่มีพื้นฐานหรอกครับ
เพียงแต่ดูอาศัยหลัก "Macroecomonic" นิดหน่อย
แต่ตอนนี้หุ้นขึ้นๆมานี่ ผมคงไม่ต้องไปขาย"เต้าฮวย"แล้ว
ก้นบุหรี่ก็คายๆออกไปแล้ว
ที่ถืออยู่ก็กะถือยาวอย่างเดียว
ตลาดจะขึ้นจะลงไม่สน
ดูผลประกอบการและพื้นฐานธุรกิจอย่างเดียว
แล้วสักวันตลาดจะเข้ามาให้"ราคา"ที่เหมาะสมที่เราคิดเอาไว้เอง
จากประสบการณ์คราวนี้พบว่า
เล่นหุ้นต้องมี"หลักการ"ครับ
อย่าเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา ดังคำโบราณที่ว่า "อย่าเปลี่ยนม้ากลางศึก"
จะแพ้สงครามได้ง่ายๆ
เอาล่ะครับ โชคดีในการลงทุนทุกท่านครับ
สวัสดีครับ
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 2035
- ผู้ติดตาม: 0
คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์ที่ 1035
และแล้ววันนี้กระทู้นี้ก็มีการอ่านผ่าน 50,000 ครั้ง
กระทู้นี้เริ่มโดยคุณธันวาเมื่อวันที่ 29 สิงหาคม 2546
ผ่าน 10,000 ครั้งแรก เมื่อวันที่ 15 ตุลาคม 2546
รวม 48 วัน อ่านเฉลี่ยวันละ 209 ครั้ง
ผ่าน 20,000 ครั้ง เมื่อวันที่ 17 ธันวาคม 2546
รวม 63 วัน อ่านเฉลี่ยวันละ 159 ครั้ง
ผ่าน 30,000 ครั้ง เมื่อวันที่ 15 มกราคม 2547
รวม 29 วัน อ่านเฉลี่ยวันละ 344 ครั้ง
ผ่าน 40,000 ครั้งล่าสุด เมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2547
รวม 35 วัน อ่านเฉลี่ยวันละ 285 ครั้ง
และผ่าน 50,000 ครั้งล่าสุด เมื่อวันที่ 4 เมษายน 2547
รวม 45 วัน อ่านเฉลี่ยวันละ 222 ครั้ง
ที่มีการอ่านกันมากขึ้น
ส่วนหนึ่งเป็นเพราะมีการขยับกระทู้นี้มาเป็น"เรื่องด่วน"
ให้ผู้สนใจได้เข้ามารับชมได้ทันที ไม่ต้องค้นหา
อีกส่วนหนึ่งก็คือ มีผู้ให้ความสนใจให้ความคิดเห็นและแง่มุมต่างๆหลากหลายขึ้น
ดังนั้น ผมจึงขอยกความดีความชอบทั้งหมด
ให้กับทุกท่านที่มีส่วนร่วมในกระทู้นี้ทั้งหมด
ทั้งผู้อ่าน, ผู้ตั้งคำถาม และ ผู้ตอบกระทู้ทุกท่าน
ถ้ากระทู้นี้สามารถเปลี่ยนแปลงสิ่งใดในการลงทุนของท่านให้ดีขึ้น
แม้เพียงสักเล็กน้อย
ผมก็ถือว่า ผมบรรลุวัตถุประสงค์ที่ผมและผู้บริหารเวปได้ตั้งไว้แล้ว
ขอขอบคุณทุกท่านที่มีส่วนสนับสนุนกระทู้นี้มาโดยตลอด
ขอบคุณและสวัสดีครับ
กระทู้นี้เริ่มโดยคุณธันวาเมื่อวันที่ 29 สิงหาคม 2546
ผ่าน 10,000 ครั้งแรก เมื่อวันที่ 15 ตุลาคม 2546
รวม 48 วัน อ่านเฉลี่ยวันละ 209 ครั้ง
ผ่าน 20,000 ครั้ง เมื่อวันที่ 17 ธันวาคม 2546
รวม 63 วัน อ่านเฉลี่ยวันละ 159 ครั้ง
ผ่าน 30,000 ครั้ง เมื่อวันที่ 15 มกราคม 2547
รวม 29 วัน อ่านเฉลี่ยวันละ 344 ครั้ง
ผ่าน 40,000 ครั้งล่าสุด เมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2547
รวม 35 วัน อ่านเฉลี่ยวันละ 285 ครั้ง
และผ่าน 50,000 ครั้งล่าสุด เมื่อวันที่ 4 เมษายน 2547
รวม 45 วัน อ่านเฉลี่ยวันละ 222 ครั้ง
ที่มีการอ่านกันมากขึ้น
ส่วนหนึ่งเป็นเพราะมีการขยับกระทู้นี้มาเป็น"เรื่องด่วน"
ให้ผู้สนใจได้เข้ามารับชมได้ทันที ไม่ต้องค้นหา
อีกส่วนหนึ่งก็คือ มีผู้ให้ความสนใจให้ความคิดเห็นและแง่มุมต่างๆหลากหลายขึ้น
ดังนั้น ผมจึงขอยกความดีความชอบทั้งหมด
ให้กับทุกท่านที่มีส่วนร่วมในกระทู้นี้ทั้งหมด
ทั้งผู้อ่าน, ผู้ตั้งคำถาม และ ผู้ตอบกระทู้ทุกท่าน
ถ้ากระทู้นี้สามารถเปลี่ยนแปลงสิ่งใดในการลงทุนของท่านให้ดีขึ้น
แม้เพียงสักเล็กน้อย
ผมก็ถือว่า ผมบรรลุวัตถุประสงค์ที่ผมและผู้บริหารเวปได้ตั้งไว้แล้ว
ขอขอบคุณทุกท่านที่มีส่วนสนับสนุนกระทู้นี้มาโดยตลอด
ขอบคุณและสวัสดีครับ
- Mon money
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 3134
- ผู้ติดตาม: 0
คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์ที่ 1036
ไม่ได้น้อยอกน้อยใจอะไรครับ ผมกำลังคิดว่าคงมีอะไรเปลี่ยนไปบางอย่าง ซึ่งผมเองไม่เข้าใจว่าเป้นอะไร ไม่เข้าใจจริงๆ แต่ผมก็จะทำส่วนที่เหลือนี่ต่อไป แต่ไม่รู้ว่ามันจะไปได้ถึงแค่ไหนต้องลองกันไปครับ
และตามที่สัญญาครับว่าวันนี้จะคุยเรื่อง Overreact แต่ก่อนจะไปเรื่องนั้นผมขอคุยเรื่อง ความมั่นใจเกินควร Overconfidence
จากการศึกษาของนักจิตวิทยาพบว่า การตัดสินใจที่ผิดพลาดของผู้คนมักจะเกิดจากคนคนนั้นมีความมั่นใจที่สูงเกินไป จากคำถามที่นักจิตวิทยาถามกลุ่มตัวอย่างว่า ท่านมีความชำนาญในการขับรถสูงมากแค่ไหน คำตอบที่ได้จากคนส่วนใหญ่ในกลุ่มตัวอย่างจะตอบว่าความสามารถของเขาสูงกว่าเกณฑ์เฉลี่ย นั่นแสดงให้เห็นว่าคนส่วนใหญ่มักจะมีความมั่นใจในการตัดสินใจอะไรบางอย่างที่สูงเกินไป
การที่คนมีความมั่นใจไม่ใช่สิ่งที่ไม่ดี แต่หากมั่นใจจนเกินไปจะเป็นสิ่งที่น่ากลัวครับโดยเฉพาะกับเรื่องเงินๆทองอย่างการลงทุน ในช่วงตลาดขาขึ้นเมื่อนักลงทุนได้รับข้อมูลต่างๆมาและเมื่อได้วิเคราะห์ดูแล้วอาจจะเกิดความมั่นใจว่าเขาได้รับข้อมูลที่ลึกและสามารถวิเคราะห์ข้อมูลได้ดีกว่าคนอื่นจนบางครั้งลืมที่จะพิจารณาถึงข้อมูลในด้านอื่นๆโดยเฉพาะข้อมูลเกี่ยวกับความเสี่ยง
จากความมั่นใจที่สูงเกินไปในบางครั้งนี่เองจึงส่งผลให้เกิดการซื้อหรือขายหุ้นจนบางครั้งเกิดอาการOverreact และหลายๆครั้งเราจะเห็นว่ามันกระทบกับสภาพตลาดโดยรวม
ลองเอามาคิดกันต่อครับว่ามันเป็นไปอย่างนั้นจริงหรือเปล่า นั่นเป็นผลจากการศึกษาของฝรั่ง ลองคิดตามแบบเราว่าใช่ไหม
คิดมาก รู้มาก ลองมาก ผิดมาก แต่ได้ประสบการณ์มากครับ
และตามที่สัญญาครับว่าวันนี้จะคุยเรื่อง Overreact แต่ก่อนจะไปเรื่องนั้นผมขอคุยเรื่อง ความมั่นใจเกินควร Overconfidence
จากการศึกษาของนักจิตวิทยาพบว่า การตัดสินใจที่ผิดพลาดของผู้คนมักจะเกิดจากคนคนนั้นมีความมั่นใจที่สูงเกินไป จากคำถามที่นักจิตวิทยาถามกลุ่มตัวอย่างว่า ท่านมีความชำนาญในการขับรถสูงมากแค่ไหน คำตอบที่ได้จากคนส่วนใหญ่ในกลุ่มตัวอย่างจะตอบว่าความสามารถของเขาสูงกว่าเกณฑ์เฉลี่ย นั่นแสดงให้เห็นว่าคนส่วนใหญ่มักจะมีความมั่นใจในการตัดสินใจอะไรบางอย่างที่สูงเกินไป
การที่คนมีความมั่นใจไม่ใช่สิ่งที่ไม่ดี แต่หากมั่นใจจนเกินไปจะเป็นสิ่งที่น่ากลัวครับโดยเฉพาะกับเรื่องเงินๆทองอย่างการลงทุน ในช่วงตลาดขาขึ้นเมื่อนักลงทุนได้รับข้อมูลต่างๆมาและเมื่อได้วิเคราะห์ดูแล้วอาจจะเกิดความมั่นใจว่าเขาได้รับข้อมูลที่ลึกและสามารถวิเคราะห์ข้อมูลได้ดีกว่าคนอื่นจนบางครั้งลืมที่จะพิจารณาถึงข้อมูลในด้านอื่นๆโดยเฉพาะข้อมูลเกี่ยวกับความเสี่ยง
จากความมั่นใจที่สูงเกินไปในบางครั้งนี่เองจึงส่งผลให้เกิดการซื้อหรือขายหุ้นจนบางครั้งเกิดอาการOverreact และหลายๆครั้งเราจะเห็นว่ามันกระทบกับสภาพตลาดโดยรวม
ลองเอามาคิดกันต่อครับว่ามันเป็นไปอย่างนั้นจริงหรือเปล่า นั่นเป็นผลจากการศึกษาของฝรั่ง ลองคิดตามแบบเราว่าใช่ไหม
คิดมาก รู้มาก ลองมาก ผิดมาก แต่ได้ประสบการณ์มากครับ
เป็นบุญหนักหนาเหลือเกินที่ได้เกิดมาเป็นคนไทย เป็นคนไทยของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชฯ
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 1011
- ผู้ติดตาม: 0
คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์ที่ 1037
มาแสดงความยินดีกับกระทู้ยอดนิยมของคุณวิบูลย์ที่ผ่านการอ่าน 50,000 ครั้งด้วยคนครับ
ถึงแม้ผมเป็นคนตั้งกระทู้ แต่ก็ไม่ได้ช่วยอะไรมาก นอกจากกำลังใจที่มีให้ครับ
ก็เลยคิดว่า น่าจะมีการร่วมสนุกเกี่ยวกับกระทู้นี้สักอย่างหนึ่งครับ
วันก่อนผมอ่านพบว่า มีท่านหนึ่งใช้เวลาอ่านเดือนกว่าๆ จึงจะจบ
เอาอย่างนี้ไหมครับ คือผมมีหนังสืออยู่ห้าเล่ม
1. Buffettology ของ Mary Buffett and David Clark ผมทำสำเนาไว้เกินหนึ่งเล่ม
2. คิดใหม่เพื่ออนาคต (Rethinking the future) ฉบับแปล พิมพ์ครั้งที่ 10
3. ตีแตก ของ ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร พร้อมลายเซนต์ ดร.นิเวศน์
4. เคล็ดลับเซียนหุ้นพันธุ์แท้ ของ ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร พร้อมลายเซนต์ ดร.นิเวศน์
5. เซียนหุ้นมือทอง ของ ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร พร้อมลายเซนต์ ดร.นิเวศน์
กติกาง่ายๆ ครับ
1) สำหรับนักลงทุนหน้าใหม่ ที่เริ่มอ่านกระทู้นี้ตั้งแต่แรก จนถึงกระทู้นี้ (ที่กำลังอ่านอยู่นี้ หน้า 37) เมื่ออ่านจนถึงกระทู้นี้แล้ว ช่วยส่ง PM มาบอกผมว่า"อ่านกระทู้นี้แล้วได้อะไรบ้าง" และ "ใช้เวลาอ่านนานเท่าใด"
2) ให้เวลาจนถึงวันที่ 30 พฤษภาคมครับ หากใครส่งมาร่วมสนุกแล้วโดนใจที่สุด ผมจะส่งหนังสือทั้งห้าเล่มไปให้ครับ
3) ช่วยสมัครเป็นสมาชิกด้วยครับ จะได้ส่ง PM มาถึงผมได้ ยังไม่ต้องบอกที่อยู่มาก็ได้ครับ หากท่านให้เวลาน้อยสุดผมจะ PM ไปถามที่อยู่ครับ
4) ใช้ระบบเชื่อใจครับเพราะชาว TVI ชอบความโปร่งใสอยู่แล้ว ผมถือจากข้อมูลที่ผมได้ใน PM เป็นสำคัญ
5) ถือว่าเป็นการร่วมสนุกกัน นอกจากผู้อ่านจะได้ความรู้แล้ว ยังได้หนังสือที่น่าอ่านกลับไปด้วยครับ
หมายเหตุ
หากมีเพื่อนๆ หรือคนรู้จักยังไม่ได้อ่านกระทู้นี้ ก็ช่วยบอกต่อเพื่อจะได้มาร่วมสนุกกันครับ
ถึงแม้ผมเป็นคนตั้งกระทู้ แต่ก็ไม่ได้ช่วยอะไรมาก นอกจากกำลังใจที่มีให้ครับ
ก็เลยคิดว่า น่าจะมีการร่วมสนุกเกี่ยวกับกระทู้นี้สักอย่างหนึ่งครับ
วันก่อนผมอ่านพบว่า มีท่านหนึ่งใช้เวลาอ่านเดือนกว่าๆ จึงจะจบ
เอาอย่างนี้ไหมครับ คือผมมีหนังสืออยู่ห้าเล่ม
1. Buffettology ของ Mary Buffett and David Clark ผมทำสำเนาไว้เกินหนึ่งเล่ม
2. คิดใหม่เพื่ออนาคต (Rethinking the future) ฉบับแปล พิมพ์ครั้งที่ 10
3. ตีแตก ของ ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร พร้อมลายเซนต์ ดร.นิเวศน์
4. เคล็ดลับเซียนหุ้นพันธุ์แท้ ของ ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร พร้อมลายเซนต์ ดร.นิเวศน์
5. เซียนหุ้นมือทอง ของ ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร พร้อมลายเซนต์ ดร.นิเวศน์
กติกาง่ายๆ ครับ
1) สำหรับนักลงทุนหน้าใหม่ ที่เริ่มอ่านกระทู้นี้ตั้งแต่แรก จนถึงกระทู้นี้ (ที่กำลังอ่านอยู่นี้ หน้า 37) เมื่ออ่านจนถึงกระทู้นี้แล้ว ช่วยส่ง PM มาบอกผมว่า"อ่านกระทู้นี้แล้วได้อะไรบ้าง" และ "ใช้เวลาอ่านนานเท่าใด"
2) ให้เวลาจนถึงวันที่ 30 พฤษภาคมครับ หากใครส่งมาร่วมสนุกแล้วโดนใจที่สุด ผมจะส่งหนังสือทั้งห้าเล่มไปให้ครับ
3) ช่วยสมัครเป็นสมาชิกด้วยครับ จะได้ส่ง PM มาถึงผมได้ ยังไม่ต้องบอกที่อยู่มาก็ได้ครับ หากท่านให้เวลาน้อยสุดผมจะ PM ไปถามที่อยู่ครับ
4) ใช้ระบบเชื่อใจครับเพราะชาว TVI ชอบความโปร่งใสอยู่แล้ว ผมถือจากข้อมูลที่ผมได้ใน PM เป็นสำคัญ
5) ถือว่าเป็นการร่วมสนุกกัน นอกจากผู้อ่านจะได้ความรู้แล้ว ยังได้หนังสือที่น่าอ่านกลับไปด้วยครับ
หมายเหตุ
หากมีเพื่อนๆ หรือคนรู้จักยังไม่ได้อ่านกระทู้นี้ ก็ช่วยบอกต่อเพื่อจะได้มาร่วมสนุกกันครับ
แก้ไขล่าสุดโดย thanwa เมื่อ พุธ เม.ย. 07, 2004 9:57 pm, แก้ไขไปแล้ว 2 ครั้ง.
- kotaro
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1495
- ผู้ติดตาม: 0
คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์ที่ 1038
ผมไม่แน่ใจเรื่องการศึกษานี้ครับ พี่มน
ไม่รู้ว่าฝรั่งเขาวัดกันยังไง ว่าคนไหนมั่นใจมากหรือมั่นใจน้อย
พูดถึงเรื่อง overconfidence ผมยังรู้สึกว่าดีกว่า low-self confidence นะครับ
บางคนไม่มั่นใจจนไม่กล้าทำอะไรเลยก็มี ส่วนเรืองตลาดหุ้น ที่ทำให้เกิด overreact ผมก็ว่าน่าจะเกิดจาก คนที่ซื้อไม่ค่อยมั่นใจหุ้นที่ตัวเองถือ ทำให้ซื้อขายหุ้นบ่อย น่าจะมากกว่า คนที่ซื้อแล้วมั่นใจมากนะครับ แต่ไม่มีหลักฐานยืนยัน เป็นแค่ความรู้สึกของผมครับ
ติดตามอยู่เรื่อยๆ ครับ กำลังรออ่าน Behavioral economic ครับ
พี่ธันวามีของมาล่อใจแล้ว เดี๋ยวยอดกระทู้นี้ต้องพุ่งแน่นอน :lol:
ไม่รู้ว่าฝรั่งเขาวัดกันยังไง ว่าคนไหนมั่นใจมากหรือมั่นใจน้อย
พูดถึงเรื่อง overconfidence ผมยังรู้สึกว่าดีกว่า low-self confidence นะครับ
บางคนไม่มั่นใจจนไม่กล้าทำอะไรเลยก็มี ส่วนเรืองตลาดหุ้น ที่ทำให้เกิด overreact ผมก็ว่าน่าจะเกิดจาก คนที่ซื้อไม่ค่อยมั่นใจหุ้นที่ตัวเองถือ ทำให้ซื้อขายหุ้นบ่อย น่าจะมากกว่า คนที่ซื้อแล้วมั่นใจมากนะครับ แต่ไม่มีหลักฐานยืนยัน เป็นแค่ความรู้สึกของผมครับ
ติดตามอยู่เรื่อยๆ ครับ กำลังรออ่าน Behavioral economic ครับ
พี่ธันวามีของมาล่อใจแล้ว เดี๋ยวยอดกระทู้นี้ต้องพุ่งแน่นอน :lol:
“Laughter is timeless. Imagination has no age. And dreams are forever.” ― Walt Disney Company
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 2035
- ผู้ติดตาม: 0
คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์ที่ 1039
ขอบคุณครับพี่ไก่ธันวาthanwa เขียน:มาแสดงความยินดีกับกระทู้ยอดนิยมของคุณวิบูลย์ที่ผ่านการอ่าน 50,000 ครั้งด้วยคนครับ
ถึงแม้ผมเป็นคนตั้งกระทู้ แต่ก็ไม่ได้ช่วยอะไรมาก นอกจากกำลังใจที่มีให้ครับ
ก็เลยคิดว่า น่าจะมีการร่วมสนุกเกี่ยวกับกระทู้นี้สักอย่างหนึ่งครับ
วันก่อนผมอ่านพบว่า มีท่านหนึ่งใช้เวลาอ่านเดือนกว่าๆ จึงจะจบ
กติกาง่ายๆ ครับ
1) สำหรับนักลงทุนหน้าใหม่ ที่เริ่มอ่านกระทู้นี้ตั้งแต่แรก จนถึงกระทู้นี้ (ที่กำลังอ่านอยู่นี้ หน้า 37) เมื่ออ่านจนถึงกระทู้นี้แล้ว ช่วยส่ง PM มาบอกผมว่าใช้เวลาอ่านนานเท่าไหร่
2) หากท่านใดอ่านแล้วใช้เวลาน้อยที่สุด ผมจะส่งหนังสือทั้งสองเล่มไปให้ครับ ให้เวลาจนถึงวันที่ 30 พฤษภาคมครับ
3) ช่วยสมัครเป็นสมาชิกด้วยครับ จะได้ส่ง PM มาถึงผมได้ ยังไม่ต้องบอกที่อยู่มาก็ได้ครับ หากท่านให้เวลาน้อยสุดผมจะ PM ไปถามที่อยู่ครับ
4) ใช้ระบบเชื่อใจครับเพราะชาว TVI ชอบความโปร่งใสอยู่แล้ว ผมถือจากข้อมูลที่ผมได้ใน PM เป็นสำคัญ
5) ถือว่าเป็นการร่วมสนุกกัน นอกจากผู้อ่านจะได้ความรู้แล้ว ยังได้หนังสือที่น่าอ่านกลับไปด้วยครับ
หมายเหตุ
หากมีเพื่อนๆ หรือคนรู้จักยังไม่ได้อ่านกระทู้นี้ ก็ช่วยบอกต่อเพื่อจะได้มาร่วมสนุกกันครับ
ถ้าไม่มีก้าวแรกก็ไม่มีก้าวต่อไปครับ
หนทางหมื่นลี้เริ่มต้นที่ก้วแรกเสมอครับ
ดังนั้น พี่เป็น"ก้าวแรก"ของกระทู้นี้ครับ
ขอคารวะด้วยความจริงใจ
เรื่องการร่วมสนุกนี่ ผมมี"ความเห็น"ครับ
คือ ใครอ่านแล้วใช้เวลาน้อยสุดชนะนี่ผมว่ามัน"ง่าย"ไป
ผมอยากได้ Feedback จากผู้อ่านนะครับว่าคิดอย่างไร
ดังนั้น ขอเปลี่ยนกติกาได้มั๊ยครับ
ขอเปลี่ยนจากส่งมาว่าใช้เวลาอ่านเท่าไหร่
เพิ่มเติมเป็น
ส่งบทความสั้นๆมาถึงพี่ไก่ธันวาว่า
"อ่านกระทู้นี้แล้วได้อะไรบ้าง" และ.ใช้เวลาอ่านนานแค่ไหน"
ใครตอบได้"โดนใจ"พี่ไก่ที่สุดก็รับ"รางวัล"ไป
แล้วพี่ไก่ก็นำบทความเหล่านั้นมาแปะไว้ในกระทู้นี้ ดีมั๊ยครับ
ผมว่ามัน"ท้าทาย"ขึ้นมาหน่อย
ผมไม่ถามพี่ไก่หละว่าเห็นด้วยหรือเปล่า
เอาตามนี้หล่ะ....โอเค้
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 2035
- ผู้ติดตาม: 0
คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์ที่ 1040
แล้วจะอ่านตามทันเหรอครับพี่เจ๋ง อิ อิJeng เขียน:ดินพอกหางหมูจริง ว่าจะตั้งใจอ่าน ตอน 20,000 เผลอแผลบเดียว 50,000 ไปแย้ว
มีน้องบางคนอ่านเป็นเดือนเลยนา..ไม่น่าเชื่อ
มีอะไร"เปลี๋ยนไป๋" หรือครับ คุณมนMon Money เขียน:ไม่ได้น้อยอกน้อยใจอะไรครับ ผมกำลังคิดว่าคงมีอะไรเปลี่ยนไปบางอย่าง ซึ่งผมเองไม่เข้าใจว่าเป้นอะไร ไม่เข้าใจจริงๆ แต่ผมก็จะทำส่วนที่เหลือนี่ต่อไป แต่ไม่รู้ว่ามันจะไปได้ถึงแค่ไหนต้องลองกันไปครับ
และตามที่สัญญาครับว่าวันนี้จะคุยเรื่อง Overreact แต่ก่อนจะไปเรื่องนั้นผมขอคุยเรื่อง ความมั่นใจเกินควร Overconfidence
แล้วจะให้พี่ๆน้องๆแถวนี้ช่วยได้บ้างป่าว
ถ้าต้องการความช่วยเหลืออะไร บอกได้นะครับ
ถ้าผมทำไม่ได้ก็ต้องขอแรงพี่ๆน้องๆแถวนี้มาช่วยกันเด้อ
ส่วนเรื่อง Overconfidence
ถ้ามีมากไปไม่ดีแน่ ถ้ามีน้อยไปก็ไม่ดีอีกเช่นกัน
ผมขอยกคำพูดของอาจารย์ของผมอีกท่านแล้วกันครับ
อาจารย์ Bill Miller บอกเอาไว้ว่า
เมื่อเวลาผ่านไป นักลงทุนรุ่นเก่าๆจะพบว่าเขาไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควรในการลงทุน
เพราะอะไร
อาจารย์บอกว่า เป็นเพราะเขาเหล่านั้น"หยุด"ที่จะเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ
อาจารย์บอกว่า การลงทุนคือการเรียนรู้ และเป็นการเรียนรู้ที่ไม่มีวันสิ้นสุด
ดังนั้น นักลงทุนที่ Overconfidence จะหยุดที่จะรับรู้สิ่งใหม่ๆ
ทำให้เขาเหล่านั้นไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร
จริงไม่จริงก็ต้องไปพิสูจน์กันเองหละครับ
เอาละอาจารย์มน รอฟังเรื่อง Behavior Investing ต่ออยู่ครับ ว่ามาเลย
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 2035
- ผู้ติดตาม: 0
คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์ที่ 1042
เล่นมุกเดียวกันเลยนะครับ พี่ไก่
ก็เอามาดูก็ได้ครับ เดี๋ยวนิมนต์อาจารย์ Mon Money มาเป็นกรรมการอีกคน
ฐานะสอนอยู่หน้าชั้นเรียน (กระทู้นี้) นานที่สุด อิ อิ
คำตัดสินของสามคนถือว่าสิ้นสุดแล้วกัน ไม่มีอุทรณ์
เอ้า...... ใครอยากได้หนังสือแถมลายเซ็นต์อาจารย์นิเวศน์ ตัวจริงเสียงจริง
ก็รีบเขียนบทความเดาใจกรรมการได้แล้วครับ
ขอบอกนิดนึงว่า ผมชอบบทความยาวๆๆๆครับ ฮ่า ฮ่า
จริงๆแล้ว....หนังสือลายเซ็นต์อาจารย์นิเวศน์ ผมยังไม่มีเลย (อยากได้เหมือนกัน)
มีแต่หนังสือพร้อมลายเซ็นต์ของ อ.วิกรม เกษมวุติ อาจารย์ของผมอีกท่าน
แต่ไม่แจกครับ เพราะมีเล่มเดียว อิ อิ
อ้อ ส่งPM ให้คุณธันวาเหมือนเดิมนะครับ ส่งให้คนเดียวพอ
เดี๋ยวพี่ไก่จะพิมพ์ออกมาแล้วค่อยตัดสินอีกที
สวัสดีครับ
ก็เอามาดูก็ได้ครับ เดี๋ยวนิมนต์อาจารย์ Mon Money มาเป็นกรรมการอีกคน
ฐานะสอนอยู่หน้าชั้นเรียน (กระทู้นี้) นานที่สุด อิ อิ
คำตัดสินของสามคนถือว่าสิ้นสุดแล้วกัน ไม่มีอุทรณ์
เอ้า...... ใครอยากได้หนังสือแถมลายเซ็นต์อาจารย์นิเวศน์ ตัวจริงเสียงจริง
ก็รีบเขียนบทความเดาใจกรรมการได้แล้วครับ
ขอบอกนิดนึงว่า ผมชอบบทความยาวๆๆๆครับ ฮ่า ฮ่า
จริงๆแล้ว....หนังสือลายเซ็นต์อาจารย์นิเวศน์ ผมยังไม่มีเลย (อยากได้เหมือนกัน)
มีแต่หนังสือพร้อมลายเซ็นต์ของ อ.วิกรม เกษมวุติ อาจารย์ของผมอีกท่าน
แต่ไม่แจกครับ เพราะมีเล่มเดียว อิ อิ
อ้อ ส่งPM ให้คุณธันวาเหมือนเดิมนะครับ ส่งให้คนเดียวพอ
เดี๋ยวพี่ไก่จะพิมพ์ออกมาแล้วค่อยตัดสินอีกที
สวัสดีครับ
- raruen
- Verified User
- โพสต์: 161
- ผู้ติดตาม: 0
it's me
โพสต์ที่ 1043
ผมเนี่ยแหละครับ ใช้เวลาอ่านเดือนกว่าๆ
ตั้งแต่ช่วงกลางๆธันวาคม มาจบปลายๆมกราคม ถึงตามทัน
อ่านวันละหน้า เพราะงง เลยอ่านนานๆ
ตอนแรกสนใจเรื่อง valuation มาก ตอนนี้ก็ยังสนใจอยู่
แต่ว่าปีใหม่มาเนี่ย เปลี่ยนงานแล้วงานยุ่งมาก เลยไม่ค่อยได้ดูบ่อย
พลังการอ่านหนังสือก็ลดลง
แต่ก็ยังอ่านกระทู้ทันตลอดแม้จะไม่ได้ตอบ
อย่างไรก็ดี ขอเป็นกำลังใจให้ทุกท่านครับ
พี่ๆทุกคนคุยกันไปก็ถือเป็นการสร้างประโยชน์ คือเป้นความรู้ให้กัยผมมาก
แน่นอนว่ากับคนอื่นๆที่ได้อ่านด้วย
ที่เห็นว่าคุณปรัชญามีเรื่องมีราวอะไรนั้น ผมไม่ทราบรายละเอียดมาก
แต่ผมชอบเห็นคนดีกันมากกว่าครับ แต่พี่ๆก็อาบน้ำร้อนก่อนผมทุกท่าน ไปแนะนำอะไรคงไม่ได้
เนื้อยเหนื่อยครับ
อย่างไรก็ดี
ถ้ามีงานใช้แรงอะไรก็บอกผมได้นะครับ
ยินดีตอบแทนความรู้เต็มที่
^__^
ถึงวันนี้ผมก็ยังงงอยู่ดีว่า
Discounted FCF แล้วมันกลายเป็นมูลค่าหุ้นได้อย่างไร
เหมือนว่าเราซื้อเงินสดที่บริษัทผลิตได้ยังงั้นเหรอครับ
ง้งงง
ที่ถามกลับไปกลับมาเพราะสมองน้อยครับ อยากรู้แต่เกรงใจเลยเงียบๆมานาน
สำหรับรางวัลนั้น ผมขอเล่มที่สองละกันครับ
เล่มแรกมีแล้ว สามสี่ห้าก็มีแล้ว
ลายเซ็น ดร นิเวศน์ ก็มีแล้วด้วย แต่บนนามบัตร หิหิ
ยาวพอไหมครับพี่
เอิกๆ.
ตั้งแต่ช่วงกลางๆธันวาคม มาจบปลายๆมกราคม ถึงตามทัน
อ่านวันละหน้า เพราะงง เลยอ่านนานๆ
ตอนแรกสนใจเรื่อง valuation มาก ตอนนี้ก็ยังสนใจอยู่
แต่ว่าปีใหม่มาเนี่ย เปลี่ยนงานแล้วงานยุ่งมาก เลยไม่ค่อยได้ดูบ่อย
พลังการอ่านหนังสือก็ลดลง
แต่ก็ยังอ่านกระทู้ทันตลอดแม้จะไม่ได้ตอบ
อย่างไรก็ดี ขอเป็นกำลังใจให้ทุกท่านครับ
พี่ๆทุกคนคุยกันไปก็ถือเป็นการสร้างประโยชน์ คือเป้นความรู้ให้กัยผมมาก
แน่นอนว่ากับคนอื่นๆที่ได้อ่านด้วย
ที่เห็นว่าคุณปรัชญามีเรื่องมีราวอะไรนั้น ผมไม่ทราบรายละเอียดมาก
แต่ผมชอบเห็นคนดีกันมากกว่าครับ แต่พี่ๆก็อาบน้ำร้อนก่อนผมทุกท่าน ไปแนะนำอะไรคงไม่ได้
เนื้อยเหนื่อยครับ
อย่างไรก็ดี
ถ้ามีงานใช้แรงอะไรก็บอกผมได้นะครับ
ยินดีตอบแทนความรู้เต็มที่
^__^
ถึงวันนี้ผมก็ยังงงอยู่ดีว่า
Discounted FCF แล้วมันกลายเป็นมูลค่าหุ้นได้อย่างไร
เหมือนว่าเราซื้อเงินสดที่บริษัทผลิตได้ยังงั้นเหรอครับ
ง้งงง
ที่ถามกลับไปกลับมาเพราะสมองน้อยครับ อยากรู้แต่เกรงใจเลยเงียบๆมานาน
สำหรับรางวัลนั้น ผมขอเล่มที่สองละกันครับ
เล่มแรกมีแล้ว สามสี่ห้าก็มีแล้ว
ลายเซ็น ดร นิเวศน์ ก็มีแล้วด้วย แต่บนนามบัตร หิหิ
ยาวพอไหมครับพี่
เอิกๆ.
เผ่งอังๆ
-
- Verified User
- โพสต์: 129
- ผู้ติดตาม: 0
คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์ที่ 1044
กระทุ้นี้มีประโยชน์มากๆครับ คุ้มค่ามากๆในการใช้เวลาอ่าน แม้ผมจะไม่สามารถเข้าใจได้หมด ความรู้พื้นฐานทางด้านบัญชีของผมน้อยมาก แต่ที่ผมได้ประโยชน์จากกระทู้นี้ก็คือเข้าใจในหลักการการลงทุนแบบ VI มากขึ้น แต่การจะลงทุนให้ได้ตามหลักการนี่กำลังฝึกอย่างหนักอยู่ครับ มันทำใจยากและมันทนไม่ไหวน่ะครับ เวลาเห็นหุ้นสวิงลงมีหุ้นอยู่ก็ใจหาย มีเงินอยู่ก็คันมือ เวลาหุ้นขึ้นมีหุ้นก็คันมือ มีเงินอยู่ก็ยิ่งคันมืออยู่อีก ปัจจุบันผมต้องทำใจให้ดูราคาหุ้นแค่ตอนหุ้นตกเท่านั้นเพราะจะรอจังหวะซื้อเพิ่ม ถ้าหุ้นขึ้นจะไม่ดูมัน ก็รู้สึกช่วยได้เยอะครับ
ไม่รู้ในกระทู้นี้เป็นอย่างผมหรือเปล่า ตั้งแต่มาลงทุนในตลาดหุ้นแทนการฝากเงิน ผมรู้สึกว่าผมประหยัดเงินที่ใช้ในชีวิตประจำวันได้มากขึ้น คือมันขี้เหนียวขึ้นน่ะครับ แฮ่ะๆ แฟนผมบอกเลยว่าเดี๋ยวนี้ขี้เหนียว อันนั้นก็ไม่ซื้อ อันนี้ก็ไม่ซื้อหรือถ่วงเวลาการซื้อ แต่ที่แฟนผมชอบมากขึ้นคือไปเป็นเพื่อนเขาช๊อปปิ้งด้วยแม้ผมจะไม่ซื้อก็ตาม ผมจะไปดูผลิตภัณท์ที่เจ้าของอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ว่าเขาขายดีหรือเปล่า เลียนแบบVI บ้าง
ขอบคุณอาจารย์ทุกๆท่านในบอร์ดนี้ที่ให้ความรู้มหาศาลครับ
ไม่รู้ในกระทู้นี้เป็นอย่างผมหรือเปล่า ตั้งแต่มาลงทุนในตลาดหุ้นแทนการฝากเงิน ผมรู้สึกว่าผมประหยัดเงินที่ใช้ในชีวิตประจำวันได้มากขึ้น คือมันขี้เหนียวขึ้นน่ะครับ แฮ่ะๆ แฟนผมบอกเลยว่าเดี๋ยวนี้ขี้เหนียว อันนั้นก็ไม่ซื้อ อันนี้ก็ไม่ซื้อหรือถ่วงเวลาการซื้อ แต่ที่แฟนผมชอบมากขึ้นคือไปเป็นเพื่อนเขาช๊อปปิ้งด้วยแม้ผมจะไม่ซื้อก็ตาม ผมจะไปดูผลิตภัณท์ที่เจ้าของอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ว่าเขาขายดีหรือเปล่า เลียนแบบVI บ้าง
ขอบคุณอาจารย์ทุกๆท่านในบอร์ดนี้ที่ให้ความรู้มหาศาลครับ
-
- ผู้ติดตาม: 0
คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์ที่ 1045
ขอถามเกี่ยวกับ Look-Through Earnings หน่อยครับว่าคืออะไร
เคยอ่านแล้วลืมว่าอ่านมาจากที่ไหน
ผมอ่านหนังสือ The warren buffett way ของ hagstrom เค้าบอกว่า buffett ใช้ rate ของ 30 yrs treasury bond เป็น discount rate สำหรับทุกบริษัท โดยไม่ใช้ cost of capital ของธุรกิจนั้น โดยอาจจะมีการ Adjust บ้าง ดูก็ง่ายดีนะครับ ไม่ทราบว่าแกเข้าใจถูกหรือเปล่า เข้าใจว่าแกตีความจาก Berkshire's chairman letter
อีกอย่างหลังจากเราหา discounted value ของ owner earnings แล้ว เราควรลบออกด้วย long-term debt แล้วบวกด้วย excess cash หรือเปล่าครับ เห็นในหนังสือไม่ได้เอามาคิด แต่รู้สึกว่าเคยอ่านเจอที่ไหน
เคยอ่านแล้วลืมว่าอ่านมาจากที่ไหน
ผมอ่านหนังสือ The warren buffett way ของ hagstrom เค้าบอกว่า buffett ใช้ rate ของ 30 yrs treasury bond เป็น discount rate สำหรับทุกบริษัท โดยไม่ใช้ cost of capital ของธุรกิจนั้น โดยอาจจะมีการ Adjust บ้าง ดูก็ง่ายดีนะครับ ไม่ทราบว่าแกเข้าใจถูกหรือเปล่า เข้าใจว่าแกตีความจาก Berkshire's chairman letter
อีกอย่างหลังจากเราหา discounted value ของ owner earnings แล้ว เราควรลบออกด้วย long-term debt แล้วบวกด้วย excess cash หรือเปล่าครับ เห็นในหนังสือไม่ได้เอามาคิด แต่รู้สึกว่าเคยอ่านเจอที่ไหน
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 2035
- ผู้ติดตาม: 0
Re: it's me
โพสต์ที่ 1046
เก็บคำถามเอาไว้นานๆ ระวังจะบูดนะครับraruen เขียน: ถึงวันนี้ผมก็ยังงงอยู่ดีว่า
Discounted FCF แล้วมันกลายเป็นมูลค่าหุ้นได้อย่างไร
เหมือนว่าเราซื้อเงินสดที่บริษัทผลิตได้ยังงั้นเหรอครับ
ง้งงง
ที่ถามกลับไปกลับมาเพราะสมองน้อยครับ อยากรู้แต่เกรงใจเลยเงียบๆมานาน
เรื่อง DCF นี่ ถ้าจะพูดง่ายๆก็คือว่า
สมมุติเราเป็นเจ้าของธุรกิจหนึ่ง ยกตัวอย่าง ร้านขายบะหมี่หมูแดงปากซอยแล้วกัน
ปรากฏว่า มีคนมาขอซื้อกิจการของเราทั้งร้านเลย
เราจะคิด"ราคา"เท่าไหร่
คิดออกมั๊ยครับ ให้เวลา 2 นาที........
ติ้กต้อก ติ้กต้อก
....................................................
....................................................
.......................................หมดเวลา
เอาล่ะ เฉลย
วิธีที่หนึ่ง
สมมุติเราไม่ได้กู้เงินอะไรเลย ใช้เงินตัวเองล้วนๆ
เราคิดว่า เอาแค่ต้นทุนก็พอแล้ว
ดังนั้นก็เลยคิดเฉพาะทรัพย์สินที่มี
คิดค่ารถเข็น ค่าหม้อก๋วยเตี๋ยว ค่าถ้วยชาม ค่าบะหมี่หมูแดงที่ค้างสต๊อค
ได้"มูลค่า"ออกมาค่านึง แล้วบอก"ราคา"เขาไป
วิธีนี้คือ Reproduction Cost of Asset
วิธีที่สอง
เราคิดว่า ถ้าเราเอาเงินกำไรที่เราได้แต่ละเดือนไปเทียบกับการฝากแบงค์กินดอก
ต้องใช้เงินต้นเท่าไหร่
เช่น ได้กำไรวันละ 500 บาท
ก็ตกปีละ 500*30*12 = 180,000 บาท
ถ้าเราจะเอาเงินไปฝากแบงค์เพื่อได้ดอกเบี้ยปีละ 180,000 บาท ต้องใช้เงินต้นเท่าไหร่
สมมุติดอกเบี้ยแบงค์ร้อยละสองต่อปี
ดังน้น ต้องใช้เงินต้น 180,000/0.02 = 9,000,000 บาท
นี่เป็นมูลค่าของร้านขายบะหมี่หมูแดงปากซอยของเรา เยอะเหมือนกันนะ (แล้วใครจะซื้อล่ะ ราคานี้)
วิธีนี้เรียกว่า Earning Power Value
วิธีที่สาม
สมมุติว่า เราใช้เทอมเงินสดหมด
ดังน้น กำไรที่ได้แต่ละวันก็คือ เงินสดที่เราได้รับ
ถ้าเราคิดว่า ถ้าเราขายไปเรื่อยๆ ยอดขายโตขึ้นเรื่อยๆ กำไรมากขึ้นทุกปี
แล้วก็ประมาณการกำไรในอนาคตเป็นเท่าไหร่จนเลิกกิจการ
แล้วคำนวณย้อนกลับมาเป็น เงินสดที่เราจะได้รับ (ถ้าเราทนขายก๋วยเตี๋ยวจนเลิกกิจการ)
เป็น "ราคา" ที่เราจะเรียกเก็บจาก"ผู้ซื้อ"
วิธีนี้คือ DCF
คงเข้าใจมากขึ้นนะครับ
แต่ก่อนผมจะถูกภรรยาต่อว่าบ่อยว่า ขี้ตืด ไม่ยอมใช้ตังค์dikdik เขียน: ตั้งแต่มาลงทุนในตลาดหุ้นแทนการฝากเงิน ผมรู้สึกว่าผมประหยัดเงินที่ใช้ในชีวิตประจำวันได้มากขึ้น คือมันขี้เหนียวขึ้นน่ะครับ แฮ่ะๆ แฟนผมบอกเลยว่าเดี๋ยวนี้ขี้เหนียว อันนั้นก็ไม่ซื้อ อันนี้ก็ไม่ซื้อหรือถ่วงเวลาการซื้อ แต่ที่แฟนผมชอบมากขึ้นคือไปเป็นเพื่อนเขาช๊อปปิ้งด้วยแม้ผมจะไม่ซื้อก็ตาม ผมจะไปดูผลิตภัณท์ที่เจ้าของอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ว่าเขาขายดีหรือเปล่า เลียนแบบVI บ้าง
คงต้องร้องเพลง "มันเป็นยังงี้ตั้งแต่เกิด" ของนูโวนะครับ (ถ้าเกิดทันฟังกันนะ)
ตั้งแต่ยังไม่ได้รู้จักกับตลาดหุ้น ก็เป็นอย่างนี้มาแต่ไหนแต่ไร
จะควักเงินทีต้องคิดแล้วคิดอีกว่า"คุ้ม"หรือเปล่า
แต่ก่อนผมก็นึกว่า ในการเล่นหุ้นก็มีแค่ซื้อมาขายไปแบบเกร็งกำไรไปวันๆ
พอได้เข้าไปซื้อขายหุ้นเองก็"เจ๊ง"ตามระเบียบ
จนได้เจอวิธีลงทุนแบบ Value Investing
ก็เลยรู้สึกว่า เข้ากับวิถีชีวิตดั้งเดิมของเราดี
ทำเหมือนเราซื้อของใช้ในชีวิตประจำวัน
ซึ่งเราทำเป็นประจำอยู่แล้ว
เออ.......มันก็เหมาะกับเราดีน่ะ
จนเดี๋ยวนี้ ภรรยาไม่ว่าผมอีกแล้วครับที่ไม่ยอมใช้เงิน
เพราะกระทู้นี้หละครับ ที่ผมมีโอกาสได้เขียนให้ภรรยาอ่าน
เพราะพูดไปก็"ไม่เชื่อ" ต้องเขียนให้อ่านและลองทำดูครับ ถึงจะ"เชื่อ"
ปัจจุบัน เธอเป็นคนบอกผมเองครับว่าผมใช้เงินเยอะ....เป็นงั้นไป
อาจารย์บัฟเฟตเคยบอกเอาไว้ว่า
"การลงทุนแบบ Value Investing ถ้าคุณไม่ปิ้งมันตั้งแต่แรก คุณก็จะไม่ชอบมันเลย"
จริงไม่จริง ก็ต้อง"พิสูจน์"กันเอาเองครับ
มีหลายคนเดินมาทาง Value Investing ในตอนแรก
แต่ตอนนี้ก็"เลิก"เพราะมันช้า ไม่ทันใจ และไม่ตื่นเต้น
พูดง่ายๆก็คือ "น่าเบื่อ" นั่นเอง
ก็ของอย่างนี้ ต่างจิตต่างใจครับ บังคับกันไม่ได้
ทำให้ผมคิดถึงคำพูดของ "โรเบิร์ต คิโยซากิ" ครับที่ว่า
"คนส่วนใหญ่มีชีวิตอยู่โดยไม่มีการวางแผนชีวิต
ทำงานไปวันๆรอวันที่ฟ้าจะประทานเงินมาให้ เช่น ถูกล๊อตเตอรี่ หรือไม่ก็คิดว่าจะได้มรดก
คนเหล่านี้ถึงแม้จะได้ลาภก้อนใหญ่ ส่วนใหญ่ก็จะรักษาเงินไว้ไม่ได้
เพราะไม่มีความรู้ทางการเงินที่เพียงพอ
คนอีกกลุ่มหนึ่งมีการวางแผนชีวิต
แต่เมื่อเวลาผ่านไป การทำตามแผนที่วางไว้จะเริ่มรู้สึกว่า มันน่าเบื่อ ไม่น่าตื่นเต้น
คนเหล่านี้ก็เลยละเลยแผนการเดิมของตนแล้วหันไปหาสิ่งอื่นที่น่าตื่นเต้น เร้าใจแทน
แล้วก้หลงทางออกจากแผนเดิมที่วางไว้ไปเรื่อยๆ"
ไม่ได้ว่าใครนะครับ เพียงแต่เล่าให้ฟังเป็นอุทาหรณ์
เพราะผมก็หลงแสงสีในการลงทุนไปพักนึงในตอนต้นปี
ทำให้ขาดทุนไป 10%
ตอนนี้กลับเข้า Track เดิมแล้วครับ
หลุดโค้งไปนิดหน่อย ยังดีที่รถ(พอร์ต)ไม่พัง
ท่าทางผมจะเอาดีทาง"ทำกำไรระยะสั้น"ไม่ได้
เพราะบ้านอยู่ไกลตลาดแย่งซื้อขายไม่ทันชาวบ้านเขา
คงกลับมาทำในสิ่งที่เราถนัดดีกว่า
เอาล่ะครับ
ปีนี้ผมขอเท่าท่านดร.นิเวศน์ก็พอ ปีนี้ขอเท่าทุนครับ
ท่าทางจะกิน"ตลาดลิง"ปีนี้ยากเอาการ
ก็ขอให้โชคดีในการลงทุนทุกท่านครับ
สวัสดีครับ
อ้อ...อย่าลืมส่งบทความมาร่วมสนุกกับคุณธันวาด้วยนะครับ....เอ้า..เร่เข้ามาๆ
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 2035
- ผู้ติดตาม: 0
คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์ที่ 1047
มาจากหนังสือ The warren buffett way ครับAnonymous เขียน:ขอถามเกี่ยวกับ Look-Through Earnings หน่อยครับว่าคืออะไร
เคยอ่านแล้วลืมว่าอ่านมาจากที่ไหน
เป็นการแปลง กำไรจากงบกำไรขาดทุนให้เป็นเงินสด
โดยใช้กำไรมาหักลบด้วยค่าเสื่อมราคาและค่าใช้จ่ายในการลงทุน
เพราะกำไรที่เห็นในงบกำไรขาดทุนไม่ใช่กำไรที่แท้จริง
เพราะยังไม่ได้หักค่าใช้จ่ายในการลงทุน
บัฟเฟตก็เลยให้ใช้ Look-Through Earnings แทน
จะเป็นเงินที่ผู้ถือหุ้นได้รับจริงๆ
ถูกแล้วครับAnonymous เขียน:ผมอ่านหนังสือ The warren buffett way ของ hagstrom เค้าบอกว่า buffett ใช้ rate ของ 30 yrs treasury bond เป็น discount rate สำหรับทุกบริษัท โดยไม่ใช้ cost of capital ของธุรกิจนั้น โดยอาจจะมีการ Adjust บ้าง ดูก็ง่ายดีนะครับ ไม่ทราบว่าแกเข้าใจถูกหรือเปล่า เข้าใจว่าแกตีความจาก Berkshire's chairman letter
แต่ต้องเอา Inflation เข้าไปคิดด้วยจะถูกต้องมากขึ้น
สำหรับการใช้ WACC ตามหลัก EMT นั้น
บัฟเฟตบอกว่า ไม่ถูกต้องเพราะจะทำให้เปรียบเทียบ"มูลค่า"ระหว่างบริษัทผิดไป
เพราะคิดค่า"Beta"ในการคำนวณ
บัฟเฟตมองว่า ค่าBeta ไม่ได้เกี่ยวกับ"มูลค่า"ของกิจการ
ถ้าเราคิด Cash แล้วใน Working Cap ก็ไม่ต้องหักออกคับAnonymous เขียน:อีกอย่างหลังจากเราหา ของ owner earnings แล้ว เราควรลบออกด้วย long-term debt แล้วบวกด้วย excess cash หรือเปล่าครับ เห็นในหนังสือไม่ได้เอามาคิด แต่รู้สึกว่าเคยอ่านเจอที่ไหน
แต่ควรหัก long-term debt ออกจาก discounted value
เพราะถือว่าเป็นเงินกู้ที่ต้องคืนเจ้าหนี้ก่อนครับ
-
- ผู้ติดตาม: 0
คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์ที่ 1048
ขอบคุณครับ ถามต่ออีกนิด ถ้าด้วยหลักการเดียวกันมาใช้ในเมืองไทย ควรจะอะไรให้เทียบได้กับ treasury bond ครับ ไม่รู้ว่าเรามีพันธบัตรรัฐบาล หรืออะไรที่ใกล้เคียงกันหรือเปล่าครับ และ จะหาข้อมูลดอกเบี้ยได้ที่ไหน ขอบคุณอีกครั้งครับVIB007 เขียน: ถูกแล้วครับ
แต่ต้องเอา Inflation เข้าไปคิดด้วยจะถูกต้องมากขึ้น
สำหรับการใช้ WACC ตามหลัก EMT นั้น
บัฟเฟตบอกว่า ไม่ถูกต้องเพราะจะทำให้เปรียบเทียบ"มูลค่า"ระหว่างบริษัทผิดไป
เพราะคิดค่า"Beta"ในการคำนวณ
บัฟเฟตมองว่า ค่าBeta ไม่ได้เกี่ยวกับ"มูลค่า"ของกิจการ
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 2035
- ผู้ติดตาม: 0
คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์ที่ 1049
ใช้ดอกเบี้ยพันธบัตรรัฐบาลไทยก็ได้ครับAnonymous เขียน:
ขอบคุณครับ ถามต่ออีกนิด ถ้าด้วยหลักการเดียวกันมาใช้ในเมืองไทย ควรจะอะไรให้เทียบได้กับ treasury bond ครับ ไม่รู้ว่าเรามีพันธบัตรรัฐบาล หรืออะไรที่ใกล้เคียงกันหรือเปล่าครับ และ จะหาข้อมูลดอกเบี้ยได้ที่ไหน ขอบคุณอีกครั้งครับ
ดูจาก นสพ กรุงเทพธุรกิจ
แต่ที่ผมชอบคือ ใช้ MLR ของแบงค์
เพราะถือว่าเป็นต้นทุนเงินทุนที่ดีอันหนึ่ง
ค่อนข้างเชื่อถือได้ ไม่สวิงมาก
เป็นเหตุผลหนึ่งทีทำไมดอกเบี้ยขึ้นแล้วหุ้นตก
ก็เพราะต้นทุนทางการเงินสูงขึ้น
"มูลค่า"ของกิจการก็เลยลดลง
คงได้ไอเดียนะครับ