กลุ่มธุรกิจการเกษตรและอาหาร

การลงทุนแบบเน้นคุณค่า เน้นที่ปัจจัยพื้นฐานเป็นหลัก
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news24/09/07

โพสต์ที่ 61

โพสต์

เจเทป้าหนุนอาหารไทย  

โดย ข่าวสด
วัน จันทร์ ที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2550 08:51 น.

นางพิมใจ มัตสึโมโต ผู้ประกอบการร้านอาหารไทย 7 แห่ง ในกรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น และผู้ดำเนินการนำเข้าวัตถุดิบผลิตอาหารไทย เปิดเผยว่า ข้อตกลงโครงการความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจไทย-ญี่ปุ่น หรือ เจเทป้า ที่จะมีผลทางปฏิบัติในวันที่ 1 พฤศจิกายน 2550 ถือเป็นข้อดีที่จะช่วยเหลือผู้ประกอบการธุรกิจร้านอาหารไทยในประเทศญี่ปุ่น หลังจากธุรกิจได้รับผลกระทบ 2 เรื่อง คือ ขาดแคลนพ่อครัวปรุงอาหารไทยที่ชำนาญ ซึ่งปัญหาดังกล่าวทำให้ผู้ประกอบการร้านอาหารไทยในกรุงโตเกียว ต้องปิดตัวลงจำนวนมาก โดยเชื่อว่าผลดีของเจเทป้า ที่จะช่วยลดกฎระเบียบของญี่ปุ่น และจะช่วยให้พ่อครัวแม่ครัวที่มีประสบการณ์เพียง 5 ปี สามารถประกอบวิชาชีพเป็นพ่อครัวแม่ครัวได้ จากเดิมที่ต้องมีประสบการณ์ไม่น้อยกว่า 10 ปี และยังช่วยลดภาษีนำเข้าวัตถุดิบเหลือ 0% จากเดิมต้องเสียภาษีเฉลี่ย 30% เป็นต้นทุนที่สูง ดังนั้น จึงถือว่าข้อตกลงเจเทป้านี้จะเป็นผลดีต่อธุรกิจร้านอาหารไทยในญี่ปุ่น และสนับสนุนนโยบายครัวไทยสู่ครัวโลก
http://news.sanook.com/economic/economic_185991.php
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news05/10/07

โพสต์ที่ 62

โพสต์

พ่อค้าเพิ่มราคาซื้อข้าว8แสนตัน สรุปผลเสนอเกริกไกร5ตลาฯ  
 
โดย มติชน
วัน ศุกร์ ที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2550 09:18 น.

นายพิสุทธิ์ ชลากรกุล ผู้อำนวยการองค์การคลังสินค้า (อคส.) กล่าวถึงความคืบหน้าการพิจารณาระบายข้าวในสต๊อครัฐบาลจำนวน 8.2 แสนตันที่เปิดประมูลเมื่อวันที่ 2 ตุลาคมที่ผ่านมาและมีผู้ยื่นประมูล 69 ราย ว่า คณะกรรมการระบายข้าวสามารถต่อรองราคาเสนอซื้อได้เพิ่มขึ้นทุกรายและให้ราคาเพิ่มขึ้นมาก เช่น เสนอราคาซื้อตันละ 15,000 บาท เพิ่มเป็น 16,000 บาท ราคาเสนอซื้อ 8,000-9,000 บาท เพิ่มเป็น 11,000-12,000 บาท โดยมีแนวโน้มจะระบายได้เกือบหมด 8 แสนตัน หรือคิดเป็นมูลค่าการระบายครั้งนี้ประมาณ 7,000-8,000 ล้านบาท และผู้ชนะประมูล 25-26 ราย คาดว่าจะสามารถสรุปผลและนำเสนอให้นายเกริกไกร จีระแพทย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ พิจารณาเห็นชอบในวันที่ 5 ตุลาคมนี้
นอกจากนั้น ในการประชุมอนุคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติด้านการตลาด ในวันที่ 5 ตุลาคม นี้ จะมีกำหนดราคารับจำนำข้าวเปลือกนาปี 2550/2551 เพื่อขอความเห็นชอบจากคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ (กขช.) ที่มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน ในการประชุมวันที่ 9 ตุลาคมนี้ ซึ่งมีความเป็นไปได้ที่จะกำหนดราคารับจำนำเพิ่มขึ้นอีกตันละ 100 บาทจากราคารับจำนำในครั้งที่ผ่านมา จากเดิมที่ได้รับนโยบายให้เป็นราคานำตลาดที่มีราคาเพิ่มจากเดิม 300-400 บาท/ตัน เนื่องจากต้องการให้ข้าวอยู่ในตลาดมากกว่าจะเข้าโครงการรับจำนำ
http://news.sanook.com/economic/economic_190457.php
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news08/10/07

โพสต์ที่ 63

โพสต์

คนกินเจอ่วม! -----พาณิชย์จำนนผักราคาพุ่ง

นายยรรยง พวงราช อธิบดีกรมการค้าภายใน เปิดเผยถึงการดูแลราคาสินค้าโดยเฉพาะผัก และผลไม้สดในช่วงเทศกาลกินเจ ที่จะเริ่มขึ้นระหว่างวันที่ 11-20 ต.ค.นี้ว่า ยอมรับว่าราคาสินค้าผักสดในเดือนต.ค.มีการปรับเพิ่มขึ้นจากเดือนก.ย. เนื่องจากความต้องการเพิ่มสูงขึ้นในช่วงเทศกาลกินเจ รวมทั้งผักบางส่วนเสียหายถูกน้ำท่วม ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อไปยังอาหารสำเร็จรูปเจอาจทำให้ราคาปรับเพิ่มขึ้นบ้างแต่คงไม่มากและเป็นช่วงสั้นแค่เทศกาลเท่านั้น

ทั้งนี้เพื่อดูแลไม่ให้ประชาชนทั่วไป และผู้ที่กินเจถูกเอาเปรียบจากการฉวยโอกาสปรับขึ้นราคาของพ่อค้าแม่ค้า กรมการค้าภายในเตรียมที่จะจัดเทศกาลกินเจขึ้น 1 สัปดาห์ โดยจะเริ่มตั้งแต่วันที่ 9 ต.ค.นี้ โดยจะร่วมมือกับตลาดจำหน่ายผักสด และผลไม้สดขนาดใหญ่ในพื้นที่ 11 จังหวัด ซึ่งมีประชาชนเชื้อสายจีนที่นิยมกินเจอาศัยอยู่มาก นำผัก และผลไม้ทุกชนิดจากแหล่งผลิตต้นทางในจังหวัดราชบุรี นครปฐม สุพรรณบุรี มาจำหน่ายแก่ประชาชน เพื่อเป็นการเชื่อมโยงผลผลิตสู่ตลาดซึ่งผู้บริโภคจะได้บริโภคผักในราคาที่เหมาะสม โดยนายเกริกไกร จีระแพทย์ รมว.พาณิชย์จะเดินทางไปเปิดเทศกาลกินเจที่จัดขึ้นที่ตลาดไทในวันที่ 9 ต.ค.นี้

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่า ช่วงเทศ กาลกินเจปีนี้ ราคาผักสด อาหารเจตามสั่งน่าจะมีแนวโน้มแพงขึ้น 5-10 บาท เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา เนื่องจากราคาวัตถุดิบผักสดปรับราคาเพิ่มขึ้น แม้ช่วงเทศกาลกินเจทุกปีราคาผักจะมีแนวโน้มสูงขึ้นเป็นประจำอยู่แล้ว แต่ในปีนี้มีแนวโน้มว่าราคาผักจะสูงเป็นประวัติการณ์ เนื่องจากราคาผักหลายประเภทมีแนวโน้มอยู่ในเกณฑ์สูงมาตั้งแต่ต้นปี ทำให้ผู้บริโภคอาหารเจต้องปรับตัว โดยการหันไปซื้ออาหารเจสำเร็จรูป เช่น อาหารกล่องแช่แข็ง ติ่มซำเจ เบเกอรี่เจ อาหารเจกระป๋อง รวมทั้งอาหารเจกึ่งสำเร็จรูปกันมากขึ้น จึงคาดว่าอาหารเจสำเร็จรูปรวมทั้งอาหารเจกึ่งสำเร็จรูปมีแนวโน้มจะมียอดจำหน่ายสูงขึ้น เนื่องจากราคาอาหารเจเหล่านี้ราคาไม่ได้ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นมากนัก นอกจากนี้คาดว่าเทศกาลกินเจปีนี้จะทำให้มีเม็ดเงินสะพัดทั่วไทยในช่วง 10 วันมากกว่า 6,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเกือบ 10% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมาแล้ว โดยเป็นมูลค่าตลาดอาหารเจในกรุงเทพฯ ประมาณ 2,000 ล้านบาท

อย่างไรก็ตาม คาดว่าปีนี้ คนไทยที่ตั้งใจจะกินเจมีมากขึ้น นอกจากเพื่อต้องการทำบุญทำทานงดเว้นการรับประทานเนื้อสัตว์แล้ว ปัจจัยสำคัญอีกประการหนึ่งคือ ต้องการทำบุญถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในวโรกาสทรงเจริญพระชนม พรรษาครบ 80 พรรษา รวมทั้งยังได้กระแสสนับสนุนการที่ผู้บริโภคหันมาสนใจบริโภคอาหารเพื่อสุขภาพมากขึ้น
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mor ... fault.aspx
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news11/10/07

โพสต์ที่ 64

โพสต์

โลกร้อน-เอฟทีเอดันยอดส่งออกอาหารปีนี้ทะลุ 6 แสนล้านบาท

11 ตุลาคม พ.ศ. 2550 11:46:00

กลุ่มอุตสาหกรรมอาหารคาดส่งออกอาหารปี 2550 มีมูลค่า 6 แสนล้านบาทเพิ่มขึ้น 7.8% จากปีก่อน ขณะที่ปี2551 คาดว่าจะขยายตัว10 % เหตุไทยทำข้อตกลงเอฟทีเอกับหลายประเทศ -ภาวะโลกร้อน

กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ : สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) และสถาบันอาหารได้ร่วมกันแถลงถึงสถานการณ์ธุรกิจการเกษตรและอาหารในปัจจุบันและแนวโน้มในอนาคต

นายยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้อำนวยการสถาบันอาหาร กล่าวว่า ภาพรวมการส่งออกสินค้าอาหารของไทยในช่วง 8 เดือนแรก ปี 2550 ต่ำกว่าศักยภาพ โดยมีมูลค่าการส่งออก 395,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้น9.7% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยสินค้าส่งออกเพิ่มขึ้น คือ ข้าว น้ำตาล มันสำปะหลัง และผักสด ขณะที่สินค้าส่งออกลดลง คือ ทูน่าแปรรูป สับปะรดกระป๋อง เนื่องจากขาดแคลนวัตถุดิบ ราคาวัตถุดิบตลาดโลกปรับตัวสูงขึ้น

นายยุทธศักดิ์ กล่าวว่าสาเหตุสำคัญที่ทำให้การส่งออกอาหารยังขยายตัวเพิ่มขึ้น เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจคู่ค้าและเศรษฐกิจโลกยังขยายตัวได้ดี อย่างไรก็ตาม อุตสาหกรรมอาหารต้องเผชิญกับปัจจัยลบทั้งการแข็งค่าของเงินบาท การชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐ การขาดแคลนวัตถุดิบ การเพิ่มขึ้นของต้นทุนการผลิต รวมทั้งมาตรการกีดกันทางการค้า มีผลกระทบต่อความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมอาหารของไทย

ส่วนแนวโน้มการส่งออกสินค้าอาหารไตรมาส 4 คาดว่าจะฟื้นตัวหลังจากชะลอตัวต่อเนื่อง โดยจะมีมูลค่า156,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้น3.8% สาเหตุเพราะเงินบาทมีเสถียรภาพมากขึ้นและเคลื่อนไหวในช่วงแคบ ๆ ทำให้การส่งออกอาหารทั้งปีจะมีมูลค่า 600,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7.8% จากปี 2549 ขณะที่การนำเข้าในช่วง 8 เดือนแรกขยายตัวต่ำ โดยเฉพาะกลุ่มวัตถุดิบ เช่น ทูน่าแช่แข็ง และถั่วเหลือง

เนื่องจากราคาตลาดโลกสูงขึ้น และภาวะการส่งออกเริ่มชะลอตัว เช่นเดียวกับสินค้าฟุ่มเฟือย ประเภทเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มีการนำเข้าลดลง เพราะเศรษฐกิจในประเทศยังไม่ฟื้นตัว สำหรับภาวะการผลิตอาหารในช่วง 8 ดือนแรก เพิ่มขึ้น 3% ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยทั้งปีของปี 2549 อยู่ที่ 8.2% โดยเฉพาะการผลิตทูน่ากระป๋องและสับปะรดกระป๋อง เพราะขาดแคลนวัตถุดิบและราคาปรับตัวสูงขึ้น โดยเฉพาะทูน่ากระป๋อง ปรับขึ้น 60% จาก 900 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน เป็น 1,450 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน

ด้านนายไพบูลย์ พลสุวรรณา ประธานกลุ่มอุตสาหกรรมอาหาร ส.อ.ท. กล่าวว่า การส่งออกอาหารที่เติบโต 8% ถือว่าประสบความสำเร็จ ยอดการส่งออกมีมูลค่าทะลุ 600,000 ล้านบาท ถือเป็นไปตามเป้าหมาย คาดว่าปี 2551 การส่งออกอาหารจะขยายตัว 10% เนื่องจากไทยจะทำข้อตกลงเปิดเขตการค้าเสรี (เอฟทีเอ) กับหลายประเทศ และผลจากภาวะโลกร้อน ทำให้มีความต้องการสินค้าเกษตรและอาหารจากไทย โดยไทยหวังเป็นศูนย์กลางผลิตอาหารและวัตถุดิบ เพื่อป้อนตลาดโลก
http://www.bangkokbiznews.com/2007/10/1 ... sid=191106
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news13/10/07

โพสต์ที่ 65

โพสต์

ตลาดข้าวเหนียวช็อก ! ทะลุ 22,000 บาท /ตัน [ ฉบับที่ 836 ประจำวันที่ 13-10-2007 ถึง 16-10-2007]  
>> จีนทุ่มซื้อกักตุนรับโอลิมปิก 2008

ราคาข้าวเหนียวพุ่งกระฉูดเป็นประวัติการณ์แซงหน้าข้าวหอมมะลิ หลังออเดอร์จีนสั่งไม่อั้น ราคากระโดดแตะ 12,000 บาท/ตัน ลูกอีสานเฮ! ปลูกจนพันธุ์ยอดนิยมขาดตลาด ทำราคาขายปลีกในประเทศสูงตาม คอส้มตำเอวังต้องควักตังค์เพิ่ม ขณะที่สถานการณ์ข้าวไม่สู้ดีหลังน้ำป่าถล่มทำพื้นที่เสียหายหลายพันไร่ ต้องยอมโดนหั่นราคา เร่งเกี่ยวขายก่อนกำหนด ด้านกรมการข้าวทุ่ม 3 พันล้านบาท ซัพพอร์ตกลยุทธ์ยกระดับชีวิต ชาวนา คต.ปลื้มโละสต็อกข้าว 8.2 แสนตัน ได้เงินเพิ่มกว่า 400 ล้านบาท

นายปราโมทย์ วาณิชานนท์ ประธานที่ปรึกษาโรงสีข้าวไทย และคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ (กขช.) เปิดเผย สยามธุรกิจ ว่าการประชุมคณะกรรมการนโยบายข้าวซึ่งมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน ได้ประกาศราคารับจำนำข้าว ปี 2550/2551 ประกอบ ด้วยข้าวหอมมะลิราคา 9,300 บาท/ตัน สูงขึ้นจาก ปีที่ผ่านมา 300 บาท/ตัน ข้าว 100% ราคา 6,700 บาท/ตัน เพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมา 200 บาท/ตัน ข้าว 5% 6,600 บาท/ตัน ลดลงจากปีที่ผ่านมา 100 บาท/ตัน ในขณะที่ข้าวเหนียวยกเลิกการรับจำนำ เนื่องจากราคาในตลาดสูงถึง 12,000 บาท/ตัน

ในอดีตราคารับจำนำข้าวเหนียวเคยได้สูงสุด 8,000 บาท/ตัน แต่วันนี้ราคาในตลาดพุ่งขึ้นไปถึง 12,000 บาท/ตัน เพราะฉะนั้นจึงไม่มีความจำเป็นต้องเปิดโครงการรับจำนำแต่อย่างไร ก็ตาม หากเกิดวิกฤติที่ไม่คาดคิดทำให้ราคาข้าวเหนียวตกต่ำ คณะกรรมการสามารถยกโครงการรับจำนำขึ้นมาประกาศใช้ได้ทันที นายปราโมทย์ กล่าว

นายปราโมทย์ยังกล่าวอีกว่า ปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ราคาข้าวเหนียวพุ่งสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์เนื่องจากประเทศจีนมีความต้องการสูง ทั้งการนำเข้าไปบริโภคในรูปแบบขนม บะจ่าง หรือสาเก และในปีหน้าจะมีการจัดงานกีฬาโอลิมปิกเชื่อว่าการนำเข้าจะยิ่งมากขึ้น นั่นหมายความว่าอาจทำให้ราคาข้าวเหนียวสูงขึ้นกว่าในปัจจุบันอีก เพราะฉะนั้น การช่วยเหลือผู้ปลูกข้าวเหนียววันนี้จึงไม่ใช่การเปิดโครงการรับจำนำ แต่เป็นการเข้าไปพัฒนาเพิ่มปริมาณผลผลิตต่อไร่ให้สูงขึ้น เช่นจากเดิมผลิตได้ไร่ละ 30 ถังก็เพิ่มเป็น 60 ถัง เป็นต้น

ต้องยอมรับว่าราคาข้าวเหนียวในตลาดตอนนี้ราคาแพงกว่าข้าวหอมมะลิด้วยซ้ำ คือกิโลกรัมละ 22 บาท ในขณะที่ข้าวหอมมะลิราคากิโลกรัมละ 17 บาท จึงไม่น่าแปลกใจที่วันนี้คนอีสานจะหันมาปลูกข้าวเหนียวแทนข้าวหอมมะลิ จากเดิมใช้พื้นที่ปลูกข้าวเหนียวเพียง 40% อีก 60% ปลูกข้าวหอมมะลิ แต่ปัจจุบันใช้พื้นที่ปลูกข้าวเหนียวมากถึง 80% อีก 20% ปลูกข้าวหอมมะลิ เป็นเหตุให้พันธุ์ข้าวเหนียว กข.6 ซึ่งเป็นพันธุ์ที่มีคุณภาพขาดตลาด ในขณะที่พันธุ์ข้าวหอมมะลิซึ่งเคยขาดตลาดเหลือเกินความต้องการ

อย่างไรก็ตาม นายปราโมทย์ยอมรับว่าความต้องการข้าวเหนียวในตลาดโลกอาจทำให้ข้าวเหนียวในประเทศขาดแคลน จากเดิมเคยส่งออกประมาณ 3 แสนตันและใช้บริโภคในประเทศกว่าล้านตันก็ต้องเพิ่มปริมาณการส่งออกมากขึ้น นั่นหมายความว่าเมื่อปริมาณข้าวเหนียวในประเทศ น้อยลงราคาขายก็ต้องแพงขึ้นตามสัดส่วนอุปสงค์กับอุปทาน

ด้านนายสุธนต์ เทียนเฮง ประธานหอการค้า จังหวัดพิจิตร เปิดเผย สยามธุรกิจ ว่าปัญหาข้าวในจังหวัดพิจิตรปีนี้นับว่ารุนแรงมากหลังเกิดปัญหาฝนตกหนักและน้ำป่าไหลบ่า ส่งผลให้ 3 อำเภอซึ่งเป็นพื้นที่ปลูกข้าวคือ อำเภอสากเหล็ก อำเภอทับคล้อ และอำเภอวังทรายพูน ต้องประสบ พื้นที่เสียหายหลายพันไร่ ทำให้ข้าวที่กำลังเข้าสู่ช่วงเก็บเกี่ยวต้องรีบเก็บเกี่ยวก่อนกำหนด และเป็น ข้าวมีความชื้นสูงเกินมาตรฐาน ซึ่งจะทำให้ราคาขายต่อโรงสีต่ำกว่าข้าวความชื้นปกติ อย่างไรก็ตาม ขณะนี้กำลังตรวจสอบอยู่ว่ามีพื้นที่เสียหายทั้งหมด เท่าไหร่แน่

ต้องยอมรับว่าทางเลือกของชาวนาตอนนี้แทบไม่มีเลย ถ้าไม่เร่งเก็บเกี่ยวก่อนกำหนดพอน้ำมามากก็เสียหายเก็บเกี่ยวไม่ได้ เพราะฉะนั้นชาวนาส่วนใหญ่จึงต้องยอมเกี่ยวข้าวที่มีสภาพไม่สมบูรณ์ไปขายให้โรงสี แม้รู้ว่าจะต้องได้ราคาต่ำ ซึ่งยังดีกว่าไม่ได้อะไรเลย นอกจากนี้ข้าวที่ได้มาก็เป็นข้าวเปียกต้องนำไปตากแห้งก่อนสัก 2-3 แดด เพื่อให้เหลือความชื้นต่ำกว่า 25% จะได้ราคาดีขึ้น แต่ชาวนาบางคนก็ไม่สามารถรอได้เพราะต้องรีบใช้เงิน จึงยอมขายข้าวในสภาพที่ยังเปียกเกินมาตรฐาน ประกอบกับถ้าจะตากให้แห้งก็ต้องเสียค่าเช่าโรงตาก ไม่อย่างนั้นก็ต้องตากตามข้างถนน ซึ่งอาจโดนลมพายุหรือมีปัญหาทำให้ข้าวที่ตากไว้เสียหายได้ นายสุธนต์ กล่าว

นายสุธนต์ยังกล่าวอีกว่า ไม่ว่ารัฐบาลจะให้ราคารับจำนาปีนี้เท่าไหร่ก็อาจไม่มีความหมาย เพราะข้าวที่ชาวนาเกี่ยวได้มีสภาพไม่สมบูรณ์ และบางส่วนก็เสียหายจากการถูกน้ำท่วม หากเป็นไปได้อยากให้รัฐบาลดำเนินการช่วยเหลือทางอื่นควบคู่ไปด้วย

ด้าน กรมการข้าว กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้เปิดยุทธศาสตร์ใหม่ฉบับล่าสุด ปี 2550 -2554 โดยเน้นพันธกิจหลัก 4 ด้านคือ 1.จัดระบบการผลิตและส่งเสริมชาวนา 2.จัดระบบตลาดและพัฒนาผลิตภัณฑ์ 3.การผลักดันการส่งออก และ 4.การจัดระบบกระจายสินค้าให้มีต้นทุนต่ำและรวดเร็วขึ้น โดยมีกลยุทธ์หลักคือ

1.กลยุทธ์เพิ่มผลผลิตเฉลี่ยต่อไร่ร้อยละ 20 และเพิ่มผลผลิตข้าวรวมร้อยละ 13.5 ซึ่งคาดว่าจะส่งผลให้รายได้ของชาวนาเพิ่มขึ้นประมาณ 28,000 ล้านบาท โดยใช้งบประมาณในการนี้กว่าพันล้านบาท 2.กลยุทธ์พัฒนาชาวนาตัวอย่าง 1 ล้านคนในปี 2554 โดยการจัดตั้งศูนย์บริการข้อมูลข่าวสารและการเรียนรู้ของชาวนาไม่น้อยกว่า 500 แห่ง ส่งเสริมสวัสดิการและพัฒนาอาชีพเสริมเพื่อเพิ่มรายได้ รวมถึงการตั้งธนาคารข้าว ใช้งบประมาณในการนี้อีกเกือบพันล้านบาท 3.กลยุทธ์เพิ่มปริมาณการซื้อขายข้าวในตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้าไม่น้อยกว่าร้อยละ 20 ของมูลค่าการส่งออกในปี 2554 ใช้งบประมาณในการนี้ 700 ล้านบาท และ 4.กลยุทธ์บริหารจัดการหลังการเก็บเกี่ยว ใช้งบยุทธศาสตร์จำนวน 15 ล้านบาท รวมงบประมาณเบ็ดเสร็จที่กรมการข้าวใช้ทั้งหมดประมาณ 3 พันล้านบาท

ขณะที่นางอภิรดี ตันตราภรณ์ อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ เปิดเผยว่า กระทรวงพาณิชย์โดยกรมการค้าต่างประเทศได้โละสต็อกข้าวสารในโกดังรัฐบาลครั้งล่าสุดอีก 8.2 ล้านตัน โดยการประกาศเชิญชวนให้ผู้สนใจเสนอราคาซื้อข้าวขาวชนิด 5% และข้าวหอมมะลิ 100% ชั้น 2 เพื่อจำหน่ายในประเทศและ/หรือส่งออกไปต่างประเทศ รวมทั้งสิ้น 820,615 ตัน โดยแยกเป็นข้าวขาว 5% ตามโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต 2547/48 และปี 2548/49 รวม 443,714 ตัน และข้าวหอมมะลิ ปีการผลิต 2547/48 และปี 2548/49 รวม 376,900 ตัน ปรากฏว่ามีผู้สนใจยื่นเสนอราคาซื้อข้าว จำนวน 68 ราย แยกเป็นข้าวขาว 5% เพื่อจำหน่ายในประเทศ จำนวน 7 ราย ราคาระหว่าง 8,300 - 9,030 บาท เพื่อส่งออกต่างประเทศ จำนวน 16 ราย ราคาระหว่าง 8,200-9,531 บาท ข้าวหอมมะลิ 100% ชั้น 2 เพื่อจำหน่ายในประเทศและ/หรือส่งออกไปต่างประเทศ จำนวน 25 ราย ราคาระหว่าง 9,000-13,950 บาท เพื่อส่งออกต่างประเทศ จำนวน 20 ราย ราคาระหว่าง 12,000 -15,850 บาท โดยกระทรวงพาณิชย์ได้ให้ความเห็นชอบให้จำหน่ายข้าวตามที่ได้มีผู้เสนอราคาดังกล่าวแล้ว

อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ เปิดเผยเพิ่มเติมว่าการจำหน่ายข้าวสารในสต็อกรัฐบาลครั้งนี้สะท้อนให้เห็นถึงการแข่งขันและความต้องการข้าวในตลาดทั้งภายในและต่างประเทศอย่างแท้จริง ซึ่งส่งผลดีต่อราชการหลายประการ คือ (1) สามารถกระจายการจำหน่ายให้กับผู้ซื้อหลายราย ไม่กระจุกตัวเฉพาะผู้ซื้อรายใดรายหนึ่ง (2) สามารถ ต่อรองราคาเพิ่มขึ้นจากราคาที่เสนอครั้งแรกมีมูลค่าถึง 409.33 ล้านบาท (3) การจำหน่ายครั้งนี้มีมูลค่าทั้งสิ้น 8,851.20 ล้านบาท และรัฐบาลสามารถลดภาระการเก็บรักษาข้าวได้ประมาณปีละ 258 ล้านบาท

การส่งออกข้าวตั้งแต่เดือนม.ค.-ก.ย.50 ปริมาณ 6.44 ล้านตัน มูลค่า 79,467 ล้านบาท โดยเฉพาะเดือน ก.ย. 50 สามารถส่งออกได้ถึง 8.2 แสนตัน เพิ่มขึ้นจากเดือน ส.ค.50 เป็นปริมาณเกือบ 2 แสนตัน หรือร้อยละ 31.54 ซึ่งหากในช่วงเดือนต.ค.-ธ.ค.50 สามารถส่งออกได้ในระดับเดียว กับเดือนก.ย.50 และปัญหาการขาดแคลนเรือบรรทุกบรรเทาลงคาดว่าการส่งออกจะเป็นไปตาม เป้าหมายหรือใกล้เคียงกับปริมาณที่ตั้งไว้ 8.5 ล้านตันแน่นอน  
http://www.siamturakij.com/home/news/di ... 12DDS45231
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news17/10/07

โพสต์ที่ 66

โพสต์

ผู้ผลิตกุ้งโวยอังกฤษตั้งมาตรฐานนำเข้าสูงเกินปกติ

17 ตุลาคม พ.ศ. 2550 15:01:00

นายกกุ้งไทยชี้อังกฤษตั้งมาตรฐานนำเข้าสูงเกินมาตรฐานทั่วไป ขาดหลักฐานพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ หวั่นไทยเสียเปรียบการค้าในเวทีโลก

กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ :
นายสมศักดิ์ ปณีตัธยาศัย นายกสมาคมกุ้งไทย เปิดเผยภายหลังการสัมมนาวิชาการ เรื่อง ลิสเทอเรีย โมโนซัยโตจีเนส (LISTERIA MONOCYTOGENES - ข้อกำหนดต่างประเทศกับผลกระทบต่ออุตสาหกรรมฯ) ว่า ปัจจุบันทั่วโลกให้ความสนใจกับเชื้อลิสเทอเรียในอาหารค่อนข้างมาก ซึ่งเชื้อในกลุ่มลิสเทอเรียนี้มีอยู่หลายสายพันธุ์ แต่มีเชื้อที่ก่อโรคได้เพียงสายพันธุ์เดียว คือ ลิสเทอเรีย โมโนซัยโตจีเนส หรือ แอล. โมโน (L. MONO) ทั้งนี้การกำจัดเชื้อลิสเทอเรียทุกสายพันธุ์มิให้ปนเปื้อนในอาหารเลยนั้น เป็นไปได้ยากมาก

ทางกลุ่มประเทศผู้นำเข้าอาหารอย่างสหรัฐ ญี่ปุ่น อียู และอื่นๆ จึงใช้มาตรการตรวจสอบเชื้อชนิดนี้ในมาตรฐานเดียวกัน คือ ต้องไม่พบเชื้อลิสเทอเรียสายพันธุ์ที่ก่อให้เกิดโรค (L. MONO) ต่อการตรวจสอบตัวอย่างสินค้าอาหาร 25 กรัม ก็จะสามารถส่งอาหารนั้นเข้าไปยังประเทศผู้นำเข้าได้

อย่างไรก็ตามอังกฤษซึ่งเป็นประเทศในกลุ่มสหภาพยุโรปหรืออียู กลับปฏิเสธมาตรฐานสากลที่ปฏิบัติอยู่ในกลุ่ม และหันไปใช้ข้อกำหนดที่ตัวเองตั้งขึ้น โดยสมาคมผู้นำเข้าอาหาร หรือผู้ค้าอาหารสหราชอาณาจักร (อังกฤษ) ถือว่าเป็นมาตรฐานที่ไม่สอดคล้องกับการกำหนดมาตรฐานอาหารระหว่างประเทศ ที่ต้องใช้พื้นฐานข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ มากำหนดเป็นมาตรฐานอาหาร

"มาตรฐานโอเวอร์สแตนดาร์ดที่ประเทศอังกฤษนำมาใช้อยู่ในขณะนี้คือ ถ้ามีการตรวจพบเชื้อกลุ่มลิสเทอเรีย ไม่ว่าเป็นชนิดใดหรือสายพันธุ์ที่ก่อให้เกิดโรคหรือไม่ก็ตาม จะถูกปฏิเสธและห้ามนำเข้าประเทศอังกฤษทั้งหมด ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่ออุตสาหกรรมการส่งออก รวมถึงเกษตรกรผู้เลี้ยงกุ้งและไก่ด้วย"

ไทยในฐานะผู้ส่งออกเกษตรอาหารรายใหญ่ของโลก จึงควรตระหนัก และมีความตื่นตัวในเรื่องนี้รวมทั้ง ผสานความร่วมมือทั้งภาครัฐ และภาคเอกชน ให้มีการทำงานด้านนี้อย่างจริงจัง มิฉะนั้นแล้วประเทศไทยจะตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบในเวทีการค้าโลก
http://www.bangkokbiznews.com/2007/10/1 ... sid=193035
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news17/10/07

โพสต์ที่ 67

โพสต์

ผู้ประกอบการไทยปรับตัวเจาะตลาด งานอาหารใหญ่สุดของโลก อานูก้า

โดย ผู้จัดการออนไลน์
17 ตุลาคม 2550 14:46 น.

  ไทยจับมือผู้จัดแสดงสินค้านานาชาติแดนเบียร์ โดยกรมส่งเสริมการส่งออก กระทรวงพาณิชย์จับมือภาครัฐและเอกชน นำพาบริษัทไทยร่วม 150 บริษัท เข้าร่วมเป็นพาร์ทเนอร์คันทรีในงานแสดงสินค้าอาหารและเครื่องดื่มใหญ่สุดของโลก อานูก้า 2007 พุ่งเป้าขยายการส่งออกอาหาร โดยในปีนี้จะเริ่มเห็นผู้ประกอบการหลายรายมีการปรับปรุงแพคเกจ รูปแบบผลิตภัณฑ์เพื่อขยายตลาดในเวทีนานาชาติมากขึ้น
     
      หลังความสำเร็จของงาน THAIFEX World of food ASIA เวทีที่ทำให้ทั่วโลกเห็นศักยภาพความแข็งแกร่งในอุตสาหกรรมอาหารของประเทศไทย ล่าสุดประเทศไทยเดินหน้ารุกตลาดต่างประเทศ ด้วยการตอบรับความร่วมมือกับ โคโลญ เมสเซ จีเอ็มบีเอส (Koelnmesse GmbH) ผู้บริหารจัดงานแสดงสินค้านานาชาติจากเยอรมนี ที่ประกาศแต่งตั้งไทยเป็นประเทศพันธมิตร (Partner country)เข้าร่วมงานแสดงสินค้าอาหารและเครื่องดื่มที่ใหญ่ที่สุดในโลก อานูก้า 2007 ในวันที่ 13-17 ตุลาคม 2550 ณ ศูนย์แสดงสินค้านานาชาติ เมืองโคโลญจน์ ประเทศเยอรมนี พร้อมชูสโลแกน"ครัวไทย ครัวของโลก"
     
      ภายใต้การประสานงานโดยความร่วมมือของภาครัฐและเอกชน อาทิกรมส่งเสริมการส่งออก กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ บีโอไอ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย และบริษัทการบินไทย ได้ร่วมกันจัด Thailand Pavilion บนพื้นที่จัดแสดงสินค้าอาหารของไทยโดยรวมกว่า 2,000 ตารางเมตรและมีบริษัทผู้ผลิตอาหารไทยจะได้เข้าร่วมงาน 146 บริษัท โดยไทยจะเป็นไฮไลต์สำคัญของงานในการแสดงผลิตภัณฑ์อาหารไทยและการทำอาหารที่ ให้แก่นักธุรกิจและผู้เข้าชมงานกว่า 160,000 รายทั่วโลกจากกว่า 160 ประเทศ
     
      นายเกริกไกร จีระแพทย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า ปัจจัยที่สนับสนุนให้ไทยมีโอกาสเข้าร่วม อานูก้า อย่างต่อเนื่องเพราะเรามีศักยภาพและเอกลักษณ์ในด้านอาหารที่โดดเด่น ประกอบกับมีอัตราการเติบโตของอุตสาหกรรมอาหารอย่างรวดเร็ว โดยตัวเลขการส่งออกสินค้าอาหารของไทยในปี 2549 มีสูงถึง9,300 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และมูลค่าการส่งออกตั้งแต่เดือนม.ค.-ส.ค. ในปี 2550 ก็มีมูลค่าถึง 6,849ล้านเหรียญสหรัฐฯ ขยายตัวจากช่วงเวลาเดียวกันในปีที่แล้วร้อยละ 12.6
     
      สินค้าส่งออกสำคัญของไทยได้แก่อาหารทะเลแช่แข็ง กระป๋อง และแปรรูป ที่สร้างมูลค่าได้ 3,526 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ผัก ผลไม้สด ผลไม้แช่แข็ง กระป๋อง และแปรรูป 1,343 ล้านเหรียญสหรัฐฯและอื่นๆอีก รวมทั้งการที่ไทยได้เข้าร่วมจัดงานอานูก้าที่ผ่านมาอย่างต่อเนื่อง ทำให้นักธุรกิจทั่วโลกให้การยอมรับศักยภาพการเติบโตอุตสาหกรรมอาหารของไทยอย่างมาก นายเกริกไกร กล่าว
     
      ด้าน นายโวล์ฟกัง ครันซ์ รองประธานบริหารบริษัทโคโลญ เมสเซ ได้แสดงความพอใจกับการจัดงานที่ได้เริ่มต้นขึ้น พร้อมกล่าวว่า การที่โคโลญ เมสเซเลือกประเทศไทยเป็นพาร์ทเนอร์ คันทรี จากการที่ไทยมีความเข้มแข็งในด้านการส่งออกสินค้าอหาร อีกทั้งมีครัวเป็นของตัวเอง อีกทั้งในแต่ละภาคส่วนของประเทศได้ให้ความสำคัญกับการส่งเสริมธุรกิจในด้านนี้
     
      ด้าน นายสมหวัง ตั้งสมบัติวิสิทธิ์ กรรมการผู้จัดการบริษัทหยั่นหว่อหยุ่น จำกัด ผู้ผลิตผลิตภัณฑ์ซอสตราเด็กสมบูรณ์ที่ได้ไปเข้าร่วมในงาน กล่าวว่า เยอรมนีเป็นตลาดใหญ่ มีการขยายตัวของประชากรไทยในเยอรมันสูง ทำให้การเติบโตของอาหารไทยที่นี่อยู่ที่ราว 20% ต่อปี จากการสนับสนุนของภาครัฐ ทำให้อาหารไทยได้ไปสู่ตลาดต่างประเทศมากยิ่งขึ้น
     
      การท่องเที่ยวก็เป็นอีกส่วนที่ช่วย ชาวยุโรปเวลาไปเที่ยวไทย ก็จะรู้จักและชอบอาหารไทยกัน เพราะสำหรับฝรั่ง อาหารไทยอยู่ตรงกลางระหว่างอาหารจีนกับอาหารอินเดีย อาหารจีนอาจจะมันไป อาหารอินเดียจะมีเครื่องแกงที่รสจัดเกิน นอกจากนั้นอาหารไทยหลายอย่างยังประกอบด้วยสมุนไพรที่มีคุณค่าอีกด้วย นายสมหวัง กล่าว
     
      อย่างไรก็ตาม การเข้าสู่ตลาดยุโรป ก็ยังจำเป็นต้องมีการปรับตัวในหลายๆด้าน ไม่ว่าจะเป็นมาตรฐานสินค้า แพคเกจ หรือหีบห่อ บริษัทหยั่นหว่อหยุ่นได้ชี้ว่า ซอสของทางบริษัท จะมีการทำแพคเกจที่ต่างกับที่จำหน่ายในเอเชีย เช่นซีอิ๊วขาวสูตร 1 ก็จะมีการปรับปรุงรูปแบบของขวด แล้วฉลากที่ติดข้างขวด ให้มีตัวหนังสือภาษาอังกฤษที่เห็นชัดและเข้าใจง่ายขึ้น
     
      ทั้งนี้ สิ่งที่สำคัญสำหรับอาหารไทยที่ต้องการจะโกอินเตอร์ นอกจากการสนับสนุนจากภาครัฐ การปรับปรุงหีบห่อให้ทันสมัย เข้ากับวัฒนธรรมของแต่ละพื้นที่ และการโปรโมทสินค้าให้เป็นที่รู้จักแล้ว อีกอย่างหนึ่งที่สำคัญก็คือมาตรฐานอาหารสินค้า ตลาดยุโรปมีความท้าทายในด้านกฎหมาย ผู้ที่นำสินค้าอาหารเข้ามา จำเป็นต้องใช้การผลิตที่ได้มาตรฐาน และใช้วัตถุดิบที่ได้รับอนุญาตให้ใช้ในยุโรป นายสมหวัง กล่าว
     
      ในขณะเดียวกันหลังจากที่ผู้ประกอบการจากหลายชาติ อาทิจีน เวียดนาม ลาว ที่เริ่มเบียดด้วยการเข้ามาแข่งขายอาหารไทยในต่างแดน ชิงสัดส่วนเค้กในตลาดยุโรป ผู้ประกอบการไทยบางรายก็เริ่มมีการปรับตัวชิงตลาดต่างประเทศให้เห็น โดยในงานอานูก้า บริษัท เนเจอร์ เบสต์ ฟู้ด จำกัดก็ได้นำอาหารที่ทำจากสาหร่ายประเภทต่างๆอาทิ สาหร่ายแผ่น ขนมขบเคี้ยวที่ทำจากสาหร่าย หรือทำจากข้าว เข้าไปเปิดตลาด
     
      ด้าน นางวิภาดา เลิศสุวรรณภูมิ ผู้บริหารเครือเนเจอร์ เบสต์ ฟู้ด กล่าวว่า ในบูธของเรา ตอนแรกดูแล้วจะคิดว่าเป็นบูธญี่ปุ่น แต่ที่จริงเป็นของไทย โดยเราได้นำเข้าสาหร่าย จากนั้นก็ใช้โรงงานในไทยผลิตอาหารที่เกี่ยวกับสาหร่ายส่งกลับไปขายญี่ปุ่น และนำไปขายในต่างประเทศเพื่อเพิ่มมูลค่า
http://www.manager.co.th/Business/ViewN ... 0000123165
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news19/10/07

โพสต์ที่ 68

โพสต์

ห่วงแนวโน้มผู้นำเข้าซื้อมันลดลง  

โดย มติชน
วัน ศุกร์ ที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2550 12:41 น.

นายเกริกไกร จีระแพทย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ในการประชุมประเมินสถานการณ์และภาวการณ์ค้ามันสำปะหลัง เมื่อวันที่ 18 ตุลาคม ภาคเอกชนแสดงความกังวลต่อความต้องการนำเข้าแป้งมันสำปะหลังและมันเส้นในต่างประเทศลดลง โดยหันไปซื้อพืชชนิดอื่นแทน ซึ่งกระทรวงพาณิชย์จะรับไปพิจารณา โดยมอบหมายให้สมาคมไปประเมินสถานการณ์และทิศทางราคา เพื่อนำมาพิจารณาประกอบการกำหนดราคารับจำนำมันสำปะหลังในฤดูกาลใหม่ที่กำลังเริ่มในปลายปีนี้
http://news.sanook.com/economic/economic_196149.php
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news23/10/07

โพสต์ที่ 69

โพสต์

โบรกเกอร์ทั่วโลกแห่ซื้อข้าวไทย  
ส่งออกข้าวไทยกระฉูดโค้งท้ายปีต่อเนื่องถึงปีหน้า โบรกเกอร์ทั่วโลกแห่ช็อปสนั่น!ทั้ง


ในสต๊อกของรัฐและจากผู้ส่งออก หลังเวียดนาม อินเดีย ประกาศหยุดส่งออก เพราะผลผลิตไม่เพียงพอ ฟุ้งออเดอร์ไหลล้นมือพ่อค้าไทยยาวถึงไตรมาสแรกปี51แล้ว จนไม่กล้ารับออร์เดอร์ไว้แล้ว

เกรงว่าถึงเวลาส่งมอบราคาในประเทศพุ่งแซงราคาส่งออก ด้านธ.ก.ส.ประเมินปริมาณรับจำนำไม่เกิน 3 ล้านตัน

นางสาวกอบสุข เอี่ยมสุรีย์ เลขาธิการสมาคมผู้ส่งข้าวออกต่างประเทศ เปิดเผยกับ "ฐานเศรษฐกิจ" ถึงสถานการณ์ส่งออกข้าวของไทยในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ต่อเนื่องถึงปีหน้าว่า มีความคึกคักเป็นพิเศษ โดยเวลานี้ผู้ส่งออกแต่ละรายได้รับคำสั่งซื้อล่วงหน้าที่ต้องส่งมอบกันยาวไปถึงไตรมาสแรกของปี2551กันแล้ว สาเหตุหนึ่งที่มีคำสั่งซื้อข้าวเข้ามายังผู้ส่งออกไทยค่อนข้างมากนั้น เนื่องจากในปีนี้ประเทศเวียดนามและอินเดีย ได้ประกาศหยุดส่งออกข้าว จึงทำให้ผู้นำเข้าและผู้ค้าข้าว (โบรกเกอร์ข้าว) ซึ่งยังมีความต้องการและหวั่นวิตกว่าปีหน้าจะหาซื้อข้าวไม่ได้ จึงแห่กันเข้ามาจับจองซื้อจากผู้ส่งออกของไทย

อย่างไรก็ตาม สำหรับโบรกเกอร์ที่สนใจสั่งซื้อข้าวจากผู้ส่งออกข้าวไทยเวลานี้ ล้วนเป็นโบรกเกอร์รายใหญ่ระดับโลก และมีความต้องการข้าวทุกชนิดทั้งข้าวขาว และข้าวนึ่ง อาทิบริษัท ทอฟเฟอร์ จำกัด ซึ่งเป็นโบรกเกอร์จากสิงคโปร์ หรือบริษัท โนเวล จำกัด บริษัท หลุยส์ เดฟัด จำกัด โบรกเกอร์จากสวิสเซอร์แลนด์ และบริษัท เอดีเอ็ม จำกัด ซึ่งเป็นโบรกเกอร์ข้าวจากสหรัฐอเมริกา เป็นต้น

"การที่ประเทศเวียดนามและอินเดียหยุดส่งออกข้าว ประกอบกับสต๊อกข้าวโลกปี 2550/51 มีเพียง 71 ล้านตันข้าวสารลดลง เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีที่ผ่านมาที่มีสต๊อกถึง 77.20 ล้านตันข้าวสาร ขณะเดียวกันธัญพืชอื่นๆ ทั่วโลกมีราคาแพงมาอย่างต่อเนื่อง ทำให้ทั้งโบรกเกอร์และผู้นำเข้ามีความวิตกว่าปีหน้าจะหาซื้อข้าวไม่ได้และราคาจะแพงขึ้น จึงเข้ามาติดต่อสั่งซื้อไว้ล่วงหน้า"

นายสมบัติ เฉลิมวุฒินันท์ กรรมการบริหารบริษัท เอเชียโกลเด้นท์ไรซ์ จำกัด ผู้ส่งออกข้าวรายใหญ่ กล่าวเสริมว่า ไม่เพียงแต่โบรกเกอร์ข้าวโลกเท่านั้น ยังมีผู้นำเข้าข้าวโดยตรงเช่นรัฐบาลประเทศอิหร่าน ได้ให้ความสนใจสอบถามราคาและมีความต้องการสั่งซื้อข้าวจากทั้งภาครัฐและเอกชนไทยเป็นจำนวนมาก อย่างไรก็ดีขณะนี้ผู้ส่งออกไม่กล้ารับออเดอร์ไว้แล้ว เพราะเกรงว่าถึงเวลาส่งมอบราคาข้าวภายในประเทศจะแพงกว่าราคาที่รับคำสั่งซื้อไว้ จึงชะลอคำสั่งซื้อไว้ก่อน เพราะแต่ละรายถือคำสั่งซื้อไว้กันจำนวนมากและราคาก็อยู่ในเกณฑ์ที่ดี

"ผู้ส่งออกไทยต้องติดตามสถานการณ์ข้าวที่อินเดียอย่างใกล้ชิด เพราะว่าอีก 2 เดือนข้างหน้าจะถึงฤดูเก็บเกี่ยวข้าวแล้ว ทำไมอินเดียจึงห้ามส่งออกข้าว เท่าที่ทราบขณะนี้คืออินเดียจะมีการเลือกตั้งจึงอยากให้ประชาชนได้บริโภคข้าวราคาไม่แพง"

ด้านนายศิริพล ยอดเมืองเจริญ ปลัดกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า ในส่วนของสต๊อกข้าวของรัฐบาลถือว่ามีความโชคดี เพราะเวลานี้สถานการณ์ตลาดค่อนข้างเอื้ออำนวย กระทรวงพาณิชย์เองก็ได้รับการติดต่อสั่งซื้อในปริมาณที่มาก จึงไม่ค่อยห่วงเรื่องสต๊อกข้าวของรัฐบาล

แหล่งข่าวจากกระทรวงพาณิชย์ กล่าวในเรื่องเดียวกันว่า มีผู้ซื้อข้าวจากต่างประเทศ 3 ราย สนใจซื้อข้าวในสต๊อกของรัฐบาล รวมกันประมาณ 2.3 ล้านตัน ได้แก่ประเทศสาธารณรัฐแอฟริกาใต้สนใจซื้อข้าว 25% ปริมาณ 300,000 ตัน รวมถึงผู้นำเข้าจากยุโรปอีก 2 ราย ที่สนใจซื้อรายละ 1 ล้านตัน โดยทั้งสองประเทศ มีความต้องการซื้อข้าวเพื่อตุนไว้ในสต๊อก เนื่องจากเกรงว่าในปีนี้สต๊อกข้าวโลกลดจึงกลัวว่าจะเกิดการขาดแคลนข้าวได้

สำหรับสต๊อกข้าวรัฐบาล นางอภิรดี ตันตราภรณ์ อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ กล่าวว่า รัฐบาลยังคงมีสต๊อกข้าวคงเหลืออีกจำนวน 3.7 ล้านตัน เมื่อหักข้าวที่รัฐบาลต้องมีสำรองไว้ในประเทศ 1.2 ล้านตัน จึงมีข้าวที่รัฐบาลต้องระบายออกอีกจำนวน 2.5 ล้านตัน

ทั้งนี้กระทรวงเกษตรฯสหรัฐอเมริกา ได้คาดการณ์ว่าผลผลิตข้าวโลกปี 2550/51 จะมีปริมาณ 418.48 ล้านตันข้าวสาร มากกว่าปี2549/50 ร้อยละ 0.08 (418.16 ล้านตันข้าวสาร) และความต้องการบริโภคข้าวโลกจะมีประมาณ 424.68 ล้านตันข้าวสาร เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.49 และมากกว่าปริมาณผลผลิต จำนวน 6.197 ล้านตัน หรือร้อยละ 1.48 ส่งผลให้สต๊อกลดลงจาก 77.185 ล้านตันในช่วงต้นปี เป็น 71 ล้านตันในช่วงปลายปี หรือลดลงร้อยละ 8.03

ส่วนภาวะการค้าข้าวของโลกปี 2550/51 คาดว่าจะมีปริมาณ 29.65 ล้านตันข้าวสาร ปี 2549/50 ปริมาณการค้า 29.55 ล้านตันข้าวสาร โดยไทยยังจะเป็นผู้ส่งออกข้าวอันดับ 1 ของโลกปริมาณ 9 ล้านตันข้าวสาร เพิ่มขึ้นจากปีนี้ที่คาดว่าจะส่งออกได้ 8.6 ล้านตันข้าวสาร หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 4.65 รองลงมาเป็นเวียดนามคาดว่าจะส่งออกได้ 4.7 ล้านตันข้าวสารเท่ากับปีนี้ และ อินเดีย 4.1 ล้านตันข้าวสาร ลดลงจากปีนี้ที่คาดว่าจะส่งออกได้ 4.5 ล้านตันข้าวสาร


ส่วนประเทศผู้นำเข้าข้าวที่สำคัญได้แก่ฟิลิปปินส์ ไนจีเรีย อินโดนีเซีย อิรัก ซาอุดิอาระเบีย และอิหร่าน ขณะที่แหล่งข่าวจากกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้คาดการณ์ผลผลิตข้าวของไทย ปีการผลิต 2550/51 คาดว่าจะมีผลผลิต 23.48 ล้านตันข้าวเปลือก ข้าวเปลือกนาปรัง 6 ล้านตัน

นายนิสิต เมฆอรุณกมล ประธานชมรมโรงสีข้าวจังหวัดพิษณุโลก กล่าวว่าสถานการณ์ราคาข้าวเปลือกในพื้นที่ต่างจังหวัดขณะนี้ เนื่องจากข้าวเปลือกที่เกษตรกรเก็บเกี่ยวเป็นข้าวที่รีบเกี่ยวเพื่อหนีน้ำท่วมจึงทำให้คุณภาพข้าวไม่ค่อยดี ความชื้นสูงถึง 28-30% โรงสีจึงรับซื้อได้เพียงตันละ 4,000-5,000 บาทเท่านั้น

สำหรับราคาข้าวสารที่ผู้ส่งออกรับซื้อจากโรงสีปรับตัวสูงขึ้นเล็กน้อย อาจเป็นเพราะว่าผู้ส่งออกได้รับคำสั่งซื้อจากต่างประเทศเข้ามามาก โดยราคารับซื้อเช่นข้าวขาว 5% กระสอบละประมาณ 1,070 บาท จากช่วง 2 เดือนก่อนกระสอบละ 1,030 บาท แต่ปริมาณไม่มากเพราะผู้ส่งออกมีข้าวที่ประมูลซื้อจากรัฐบาลเมื่อเร็วๆ นี้ส่วนหนึ่งอยู่แล้ว

ด้านนายธีรพงษ์ ตั้งธีระสุนันท์ ผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เปิดเผยว่า จากสถานการณ์ตลาดส่งออกข้าวที่มีแนวโน้มในทิศทางที่ดี เชื่อว่าการรับจำนำข้าวปีนี้คงไม่ถึงตัวเลขที่คณะกรรมการนโยบายข้าว (กขช.)ตั้งไว้ 8 ล้านตัน ซึ่งในส่วนของธ.ก.ส.ได้เตรียมวงเงินรับจำนำไว้ที่ 24,000 ล้านบาท หรือคิดเป็นปริมาณข้าวเปลือก 3 ล้านตัน หรือสัดส่วน 10% ของผลผลิตข้าวทั้งประเทศ

อย่างไรก็ดีหากมีการรับจำนำเกินกว่านี้ ธ.ก.ส.ได้เสนอให้รัฐบาลจัดหางบประมาณมาดำเนินการ เพราะมากกว่านี้ธ.ก.ส.ไม่สะดวก "แต่เชื่อว่าปีนี้ตัวเลขรับจำนำไม่มาก อาจไม่ถึง 3 ล้านตัน เนื่องจากทิศทางตลาดข้าวไปได้"นายธีรพงษ์ กล่าวย้ำ
http://www.thannews.th.com/detialNews.p ... issue=2263
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news26/10/07

โพสต์ที่ 70

โพสต์

ไทยเร่งจดจีไอข้าวหอมทุ่งกุลาฯ

โพสต์ทูเดย์ ไทยเร่งเครื่องยื่นคำขอจดทะเบียนคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาข้าวหอมมะลิทุ่งกุลาร้องไห้ในอียู หวั่นเวียดนามยื่นจดคุ้มครองตีตราข้าวได้ก่อน


นางพวงรัตน์ อัศวพิศิษฐ์ อธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญา กล่าวว่า ขณะนี้กรมอยู่ระหว่างเตรียมความพร้อมในการยื่นคำขอจดทะเบียนสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (จีไอ) ข้าวหอมมะลิทุ่งกุลาร้องไห้ กับทางสหภาพยุโรป (อียู) เบื้องต้นได้มีการจัดตั้งคณะทำงานในการยกร่างคำขอ ซึ่งจะเชิญหน่วยงานด้านการเกษตรของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กรมการค้าต่างประเทศ และภาคเอกชนที่เกี่ยวข้องร่วมประชุมและจัดทำร่าง คาดว่าจะสามารถยื่นคำขอต่ออียูได้ภายในเดือน ก.พ. 2551 นี้

หากอียูยอมขึ้นทะเบียนจีไอให้กับข้าวหอมมะลิทุ่งกุลาร้องไห้ของไทย สินค้าดังกล่าวก็จะได้รับความคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญา ซึ่งจะไม่มีผู้ใดแอบอ้างมาชื่อข้าวหอมทุ่งกุลาร้องไห้ได้ โดยกรมก็จะเร่งขึ้นนำสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ของไทยไปยื่นรับการคุ้มครองยังประเทศต่างๆ เพื่อปกป้องทรัพย์สินทางปัญญา นางพวงรัตน์ กล่าว

รายงานข่าวจากกระทรวงพาณิชย์ แจ้งว่า อียูเพิ่งรับขึ้นทะเบียนจีไอของประเทศนอกกลุ่มอียู โดยกาแฟโคลัมเบีย เป็นจีไอตัวแรกที่ได้ขึ้นทะเบียน และคาดว่าข้าวหอมมะลิทุ่งกุลาร้องไห้ของไทย ซึ่งครอบคลุมพื้นที่ จ.ร้อยเอ็ด ยโสธร สุรินทร์ มหาสารคาม และศรีสะเกษ จะเป็นจีไอตัวแรกของอาเซียนที่อียูรับขึ้นทะเบียนคุ้มครอง อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ประเทศเวียดนามก็กำลังยื่นขอจดทะเบียนจีไอชนิดข้าวของเวียดนามเช่นกัน รวมทั้งฝรั่งเศสและโปรตุเกสก็เตรียมยื่นเรื่องขอจดจีไอข้าวเช่นกัน

สำหรับการยื่นคำขอจดทะเบียนคุ้มครองจีไอในประเทศไทย ปัจจุบันกรมได้รับขึ้นทะเบียนแล้ว 22 คำขอ จากทั้งหมด 41 คำขอ แบ่งเป็น สิ่งบ่งชี้ของคนไทยจำนวน 34 คำขอ ต่างประเทศจำนวน 7 คำขอ

นางพวงรัตน์ กล่าวอีกว่า ส่วนการหารือกับกระทรวงเกษตรและประมง และสำนักงานกำกับดูแลสินค้าแห่งชาติ ของประเทศฝรั่งเศสนั้น ทางไทยได้ขอให้หน่วยงานของฝรั่งเศสช่วยสนับสนุนการยื่นคำขอจดทะเบียนข้าวหอมทุ่งกุลาร้องไห้ให้กับไทยด้วย เพื่อเร่งให้ขึ้นทะเบียนและมีผลบังคับโดยเร็ว

พร้อมกับขยายความร่วมมือกิจกรรมสินค้าคู่แฝด (Twinning) โดยการเพิ่มมูลค่าทางการตลาดของสินค้าจีไอระหว่างไทยกับฝรั่งเศสให้เป็นรูปธรรม ซึ่งการเจรจาครั้งนี้ ทั้ง 2 ฝ่ายตกลงจะนำผ้าไหมทอยก ดอกลำพูนของไทยจัดทำกล่องบรรจุสินค้าแชมเปญฝรั่งเศส ทูลเกล้าฯ ถวายสมเด็จ พระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ในงานทรัพย์สินทางปัญญาเฉลิมพระเกียรติ ที่กระทรวงพาณิชย์จัดขึ้นระหว่าง 16-18 พ.ย. นี้
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=199666
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news26/10/07

โพสต์ที่ 71

โพสต์

มิวนิคเปิดทาง ตั้งศูนย์ผักผลไม้ เปิดประตูสู่ยุโรป

โพสต์ทูเดย์ สนามบินมิวนิคเปิดทางตั้งศูนย์กระจายสินค้าเกษตรฯ ชูผักผลไม้ไทยกระหึ่มเยอรมนี หวังปูทางสู่ยุโรปตะวันออกเฉียงใต้


นายรุ่งเรือง อิศรางกูร ณ อยุธยา รมช.เกษตรและสหกรณ์ กล่าวว่า ผู้บริหารสูงสุดของสนามบินมิวนิค ณ เมืองมิวนิค รัฐบาวาเรีย สหพันธรัฐเยอรมนี ได้เชิญผู้เกี่ยวข้องทางฝ่ายไทย อาทิ ตัวแทนจากสภาหอการค้าไทย สาขาอาหารและการเกษตร ผู้จัดการไทยคาร์โก้ของการบินไทย และประธานสมาคมตัวแทนขนส่งสินค้าทางอากาศไทยไปเยี่ยมชมสนามบินมิวนิค เพื่อใช้เป็นที่ตั้งศูนย์กระจายสินค้าผักผลไม้และของสดอื่นๆ ที่เมืองมิวนิค รวมทั้งเสนอให้ไทยพิจารณาการส่งออกสินค้าสดประเภทผักผลไม้และดอกไม้มาจำหน่ายที่เมืองมิวนิคโดยตรงด้วยการขนส่งทางอากาศด้วย

จากการพบปะกันดังกล่าว ทั้ง 2 ฝ่ายพร้อมจะลงนามในสัญญาความเป็นหุ้นส่วนร่วมกันระหว่างผู้บริหารสนามบินมิวนิคกับรัฐบาลไทย และภาคเอกชนไทย ได้แก่ ไทยแอร์เวย์ สมาคมตัวแทนขนส่งสินค้าทางอากาศไทย สภาหอการค้าไทย สาขาอาหารและการเกษตร สมาคมผู้ส่งออกกล้วยไม้ไทย ในวันที่ 19 พ.ย. นี้ที่ประเทศไทย

ความร่วมมือครั้งนี้สามารถดำเนินการได้ในทันทีใน 3 เรื่องคือ การจัดงานส่งเสริมสินค้าไทยที่สนามบินมิวนิค โดยสามารถเลือกพื้นที่จัดงานโดยไม่คิดค่าใช้จ่ายก่อนเทศกาลคริสต์มาสของปีนี้ การจัดทำระบบเทียบเคียงมาตรฐานอาหารไทยกับมาตรฐานสหภาพยุโรป เพื่อให้ตรวจสอบรับรองสินค้าสะดวก รวดเร็ว ที่จุดตรวจของสนามบินมิวนิค และเสนอให้ผู้ประกอบการไทย มีสถานที่จำหน่ายสินค้าผักและผลไม้สด ในตลาดสดของเมืองมิวนิค ซึ่งเป็นตลาดใหญ่ และยังเป็นจุดกระจายสินค้าไปยังเมืองอื่นๆ ด้วย

การกระจายสินค้าผักผลไม้ไปยังเมืองมิวนิคยังถือเป็นการเปิดเส้นทางใหม่ในการจำหน่ายสินค้าอาหารสดของไทยเข้าสู่บริเวณยุโรปตะวันออกเฉียงใต้ด้วย นาย รุ่งเรือง กล่าว
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=199708
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news26/10/07

โพสต์ที่ 72

โพสต์

ปลากระป๋องปี50 ส่งออกชะลอตัว...ปี51จับตาจุดเปลี่ยนอุตสาหกรรม

26 ตุลาคม พ.ศ. 2550 12:35:00

กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ :  อุตสาหกรรมปลากระป๋องในปี 2550 ต้องเผชิญปัญหาทั้งในด้านวัตถุดิบมีราคาแพงเป็นประวัติการณ์ เนื่องจากผลกระทบจากสภาพอากาศของโลกที่แปรปรวน แม้ว่าตลาดปลากระป๋องภายในประเทศจะยังคงขยายตัวอยู่ในเกณฑ์ดี แต่ภาวะการแข่งขันรุนแรงขึ้น จากการที่มีผู้ประกอบการรายใหม่เข้าตลาด ส่วนการส่งออกปลากระป๋องต้องเผชิญกับหลากหลายปัญหา ส่งผลให้อัตราการขยายตัวของมูลค่าการส่งออกปลากระป๋องมีแนวโน้มชะลอตัวลง เมื่อเทียบกับในปี 2549 ดังนั้นบรรดาผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมปลากระป๋องมีการปรับตัวเพื่อเตรียมรับมือกับปี 2551 ที่คาดว่าการส่งออกยังคงจะมีแนวโน้มชะลอตัว เนื่องจากผู้ส่งออกปลากระป๋องของไทยยังคงต้องเผชิญกับปัญหาเดิมในประเทศคู่ค้าหลัก ทั้งในสหรัฐฯ และสหภาพยุโรป  

สภาวการณ์ปัจจุบันการผลิตเผชิญปัญหาวัตถุดิบ

 แม้ว่าอุตสาหกรรมปลากระป๋องจะเป็นอุตสาหกรรมที่พึ่งพิงการนำเข้าวัตถุดิบจากต่างประเทศ กล่าวคือใช้วัตถุดิบในประเทศเพียง 20.0% เท่านั้น ที่เหลือต้องพึ่งพาการนำเข้า ซึ่งน่าจะเป็นอุตสาหกรรมเกษตรที่ได้รับอานิสงส์จากการแข็งค่าของเงินบาท แต่ในปี 2550 ปรากฏการณ์เอลนีโญและสภาพอากาศที่แปรปรวนส่งผลให้ปลาซาร์ดีน ทูน่า และแมคคาเรล ซึ่งเป็นวัตถุดิบสำคัญในการผลิตปลากระป๋องหายากขึ้น เพราะปลามีการกระจายตัวไม่อยู่กันเป็นฝูง และไปอยู่น้ำที่ลึกมากขึ้นเพื่อหนีร้อน ราคาปลาเหล่านี้ในตลาดโลกปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง  กล่าวคือ ในช่วง 7 เดือนแรกของปี 2550 ราคาปลาทูน่าสูงขึ้นถึง 40.0% โดยปัจจุบันราคานำเข้าทูน่าเฉลี่ยตันละ 1,600 ดอลลาร์สหรัฐฯนับว่าสูงสุดเป็นประวัติการณ์ จากในอดีตที่เคยสูงสุดไม่เกิน 1,200 ดอลาร์สหรัฐฯต่อตัน เมื่อเทียบกับช่วงปลายปี 2549 ราคาเพียงตันละ 1,000 ดอลลาร์สหรัฐฯเท่านั้น

 นอกจากนี้ ผู้ผลิตปลากระป๋องต้องเผชิญกับต้นทุนอื่นๆ โดยเฉพาะบรรจุภัณฑ์กระป๋อง มะเขือเทศที่ใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตซอสมะเขือเทศ รวมทั้งต้นทุนค่าจ้างแรงงานที่ปรับเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ต้นทุนการผลิตปลากระป๋องเพิ่มขึ้นไม่ต่ำกว่า 10-20% สวนทางกับสินค้าหมวดปลากระป๋องขึ้นบัญชีเป็นสินค้าควบคุมราคาจากกระทรวงพาณิชย์  ทำให้ไม่สามารถปรับขึ้นราคาได้ตามต้นทุนที่เพิ่มขึ้น

การปรับตัวของผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมปลากระป๋อง มีดังนี้

    1.ผู้ประกอบการเปลี่ยนประเภทปลา เมื่อปริมาณการจับปลาลดลง ผู้ผลิตปลากระป๋องป้อนตลาดในประเทศเริ่มหาปลาทะเลชนิดอื่นๆมาทดแทน โดยเริ่มจากผู้ประกอบการผลิตปลาซาร์ดีนกระป๋องบางรายก็หันมาใช้ปลาแมคคาเรลแทน และแนวโน้มผู้ประกอบการกำลังมองหาปลาทะเลชนิดอื่นมาแทนปลาแมคคาเรลและทูน่าที่ต้นทุนแพงขึ้นและมีปริมาณลดลง

  2.ผู้ประกอบการปรับลดกำลังการผลิต ปัญหาวัตถุดิบโดยเฉพาะราคาปลาที่มีแนวโน้มสูงขึ้น ทำให้ผู้ประกอบการต้องแบกรับภาระต้นทุนที่เพิ่มสูงขึ้นมาก แต่ไม่สามารถปรับราคาขึ้นได้มากเท่ากับต้นทุนที่เพิ่มขึ้น เนื่องจากเป็นสินค้าควบคุมราคาและภาวะการแข่งขันที่รุนแรงทั้งตลาดในประเทศและตลาดส่งออก ดังนั้นแนวทางในการแก้ปัญหาในเวลานี้โรงงานผลิตปลากระป๋อง โดยเฉพาะทูน่ากระป๋องที่ผลิตเพื่อส่งออกส่วนใหญ่ได้ปรับลดกำลังการผลิตลงเฉลี่ยแต่ละรายไม่ต่ำกว่า 30.0% นอกจากนี้ ผู้ประกอบการบางรายก็ได้มีการปรับลดคนงานตามกำลังการผลิตที่ลดลงเพื่อลดต้นทุนด้วย

ตลาดในประเทศตลาดขยายตัว การแข่งขันรุนแรง

    คาดการณ์ว่าในปี 2550 ตลาดปลากระป๋องในประเทศไทยมีมูลค่าประมาณ 4,000 ล้านบาท เมื่อเทียบกับในปีที่ผ่านมาเพิ่มขึ้น 20.0% โดยถ้าแยกตามประเภทปลาแล้ว ปลาซาร์ดีนกระป๋องซึ่งเป็นตลาดใหญ่ที่สุดมีสัดส่วนถึง 67.0% ของตลาดรวมปลากระป๋อง ปลาแมคเคอเรลกระป๋อง 18.0% และปลาทูน่ากระป๋อง 12.0% ส่วนที่เหลืออีก 3.0% เป็นปลาอื่นๆบรรจุกระป๋อง อย่างไรก็ตาม ตลาดปลากระป๋องนั้นยังแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ คือ ปลากระป๋องในซอสมะเขือเทศ ในน้ำมันและน้ำเกลือ ซึ่งมีส่วนแบ่งตลาด 80.0% ของตลาดปลากระป๋องทั้งหมด ส่วนอีก 20.0% เป็นตลาดปลากระป๋องปรุงรส ซึ่งส่วนใหญ่จะอยู่ในลักษณะการปรุงรสด้วยเครื่องแกงประเภทต่างๆ เช่น แกงเขียวหวาน แพนง มัสหมั่น เป็นต้น

  แม้สถานการณ์โดยรวมของธุรกิจปลากระป๋องในปี 2550 ยังประสบปัญหาการขาดแคลนวัตถุดิบ แต่ในปี 2550 การแข่งขันของตลาดปลากระป๋องภายในประเทศยังคงมีความรุนแรงต่อเนื่อง ทั้งนี้สาเหตุเกิดจาก

  - มีผู้ประกอบการรายใหม่เข้าตลาด ในเดือนมีนาคม 2550 มีผู้ประกอบการรายใหม่เข้ามาในตลาดปลากระป๋อง เนื่องจากผู้ประกอบการรายใหม่เล็งเห็นช่องว่างทางการตลาด จากปัญหาด้านวัตถุดิบซึ่งปัจจุบันปลาซาร์ดีนขาดตลาด

 เนื่องจากได้รับผลกระทบจากปรากฎการณ์เอลนินโญ กระแสน้ำจึงมีการเปลี่ยนแปลง ทำให้คู่แข่งที่อยู่ในตลาดหันมาทำตลาดปลากระป๋องแมคคาเรลแทน ในขณะที่ปลากระป๋องจากปลาซาร์ดีนเป็นตลาดใหญ่ที่สุด ผู้ประกอบการรายใหม่อาศัยความได้เปรียบในด้านวัตถุดิบ เพราะมีพันธมิตรที่แข็งแกร่งกับประเทศญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ ทำให้ไม่มีปัญหาด้านการขาดแคลนปลาซาร์ดีน หลังจากประสบความสำเร็จในการเข้ามารุกตลาดปลาซาร์ดีนกระป๋องโดยเน้นการจับตลาดบนในช่วงต้นปี ในช่วงปลายปีผู้ประกอบการรายใหม่เริ่มเข้าไปแย่งส่วนแบ่งตลาดปลาแมคเคอเรลด้วย โดยจะเน้นจับตลาดปลากระป๋องราคาต่ำเพื่อแย่งชิงส่วนแบ่งทางการตลาดกับผู้ประกอบการรายเดิมโดยตรง

 นอกจากนี้ทั้งผู้ประกอบการรายเดิมและรายใหม่ต่างเร่งพัฒนาผลิตภัณฑ์โดยการผลิตปลากระป๋องที่ใช้ปลาทะเลชนิดอื่นๆ หรือการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ เช่น น้ำพริกปลาทูน่า มัสมั่นปลาซาบะ เป็นต้น ทั้งนี้เพื่อเพิ่มทางเลือกให้กับผู้บริโภค และเป็นการขยายฐานตลาดปลากระป๋องด้วย

  - ผู้ส่งออกปลากระป๋องหันมาขยายตลาดในประเทศมากขึ้น เนื่องจากผู้ส่งออกปลากระป๋อง โดยเฉพาะปลาทูน่ากระป๋องต้องเผชิญกับการแข่งขันที่รุนแรงในตลาดโลก และประเทศคู่ค้าสำคัญชะลอการนำเข้า เนื่องจากผู้บริโภคบางส่วนวิตกเกี่ยวกับปัญหาโลหะหนักตกค้างในผลิตภัณฑ์อาหารทะเล ทำให้ลดปริมาณการบริโภคอาหารทะเล ดังนั้นผู้ส่งออกปลากระป๋องจึงหันมาขยายตลาดปลากระป๋องในประเทศมากขึ้น

  - ตลาดปลากระป๋องขยายตัวอย่างมาก ปลากระป๋องเป็นสินค้าประเภทหนึ่งที่ได้รับอานิสงส์จากภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว ผู้บริโภคมีความระมัดระวังการจับจ่ายใช้สอย โดยหันมาเลือกรับประทานอาหารที่ราคาประหยัดและมีคุณภาพสอดคล้องกับกำลังซื้อ โดยมูลค่าตลาดปลากระป๋องจะมีการขยายตัวมากกว่าในช่วงภาวะปกติ กล่าวคือ ในช่วงเศรษฐกิจชะลอตัว ผู้บริโภคในประเทศหันไปบริโภคอาหารประเภทปลากระป๋องมากขึ้น ส่งผลให้อัตราการขยายตัวของตลาดเพิ่มขึ้นเป็น 20.0% จากในช่วงภาวะปกติตลาดปลากระป๋องเติบโตร้อยละ 10.0-15.0 ซึ่งการที่ตลาดปลากระป๋องขยายตัวอย่างมาก ส่งผลให้บรรดาผู้ประกอบการในธุรกิจปลากระป๋องต่างหันมาเพิ่มกลยุทธ์ต่างๆเพื่อช่วงชิงส่วนแบ่งตลาด

ส่งออกปี50...ขยายตัวต่ำลงเมื่อเทียบกับปี49

    ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2550 มูลค่าการส่งออกปลากระป๋องเท่ากับ 933.74 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนแล้วเพิ่มขึ้น 4.6% ทั้งนี้เนื่องจากมูลค่าการส่งออกปลาทูน่ากระป๋องมีอัตราการขยายตัวที่ต่ำลง ในขณะที่การส่งออกปลาซาร์ดีนกระป๋องมีแนวโน้มลดลง กล่าวคือ มูลค่าการส่งออกปลาทูน่ากระป๋องในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2550 เท่ากับ 887.73 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนแม้ว่าจะยังคงเพิ่มขึ้น 13.2% แต่นับว่าอัตราการขยายตัวของมูลค่าส่งออกมีแนวโน้มลดลงเมื่อเทียบกับในปี 2549 โดยในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2549 นั้นอัตราการขยายตัวของมูลค่าการส่งออกปลาทูน่ากระป๋องเท่ากับ 18.3%

 การชะลอตัวดังกล่าวเป็นผลเนื่องมาจากผู้ส่งออกปลาทูน่ากระป๋องของไทยเผชิญการแข่งขันที่รุนแรงในตลาดส่งออกหลัก และกระแสความวิตกเกี่ยวกับสารโลหะหนักตกค้างใน  ผลิตภัณฑ์อาหารทะเล ส่วนมูลค่าการส่งออกปลาซาร์ดีนกระป๋องในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2550 เท่ากับ 46.01 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนแล้วลดลงร้อยละ 4.0 เนื่องจากปัญหาการขาดแคลนปลาซาร์ดีน


ปัญหาที่ผู้ส่งออกปลากระป๋องเผชิญในปี 2550 ได้แก่

    1.การแข็งค่าของเงินบาท ทำให้ความสามารถในการแข่งขันของผู้ส่งออกไทยลดลง เพราะทำให้สินค้าปลากระป๋องของไทยในตลาดโลกมีราคาสูงขึ้น และผู้ส่งออกได้รับเงินจากการส่งออกในรูปเงินบาทที่ลดลง ปัจจุบันผู้ผลิตปลากระป๋องของไทยพึ่งพิงตลาดส่งออก กล่าวคือ ผู้ผลิตปลาทูน่ากระป๋องมีสัดส่วนการส่งออก 90.0% ของปริมาณการผลิตปลาทูน่ากระป๋องทั้งหมด และสำหรับปลาซาร์ดีนกระป๋องพึ่งพาตลาดส่งออก 50.0% ดังนั้นเมื่อค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นจะเป็นตัวแปรหลักที่ส่งผลกระทบต่อรายได้ของผู้ส่งออกปลากระป๋อง

  2.ความวิตกต่อการปนเปื้อนโลหะหนักในผลิตภัณฑ์ ขณะนี้ในหลายภูมิภาคของโลกกำลังประสบปัญหาจากการปนเปื้อนในเนื้อปลาของโลหะหนักที่เป็นอันตรายบางชนิด เช่น สารปรอท เป็นต้น โดยเฉพาะผู้บริโภคชาวอเมริกันให้ความระมัดระวังต่อสารปรอทตกค้างในผลิตภัณฑ์อาหารกระป๋อง ทำให้การนำเข้าทูน่ากระป๋องในรอบ 3 ปีชะลอตัวลงและมีราคาจำหน่ายลดลง ในอนาคตคาดว่าผู้บริโภคและประเทศผู้นำเข้าจะให้ความสำคัญต่อเรื่องนี้มากยิ่งขึ้น มากกว่าที่จะเน้นด้านราคาแต่เพียงอย่างเดียว ดังนั้นการสร้างความเชื่อมั่นให้ผู้บริโภคตระหนักถึงมาตรฐานความปลอดภัยของสินค้าปลากระป๋องจากไทยว่าปลอดจากสารตกค้างประเภทสารปรอทจะเป็นการสร้างความได้เปรียบประเทศคู่แข่ง

  3.ปัญหาความเสียเปรียบด้านภาษีนำเข้าในตลาดส่งออกสำคัญ ปัจจุบันการส่งออกปลากระป๋องของไทยโดยเฉพาะการส่งออกไปยังตลาดสำคัญนั้นเสียเปรียบประเทศคู่แข่งในแง่ของภาษีนำเข้า กล่าวคือ ในตลาดสหรัฐฯ ประเทศเอกวาดอร์ไม่ต้องเสียภาษีสำหรับผลิตภัณฑ์ทูน่าบรรจุถุง แต่ไทยเสีย 12.5% และในตลาดสหภาพยุโรปผู้ส่งออกปลากระป๋องของไทยโดยเฉพาะปลาทูน่ากระป๋องเสียเปรียบกลุ่มประเทศในแอฟริกา ทะเลแคริบเบียน และมหาสมุทรแปซิฟิก (Africa Caribbean and Pacific Countries : ACP) ที่สหภาพยุโรปได้ยกเว้นภาษีนำเข้าภายใต้สนธิสัญญา Cotonou Agreement  

 ขณะที่ไทยต้องเสียภาษีนำเข้าร้อยละ 18-20 ดังนั้นถ้าหากมีการเจรจาเพื่อลดภาษีการนำเข้าจะส่งผลให้ไทยสามารถเบียดแย่งส่วนแบ่งตลาดได้เพิ่มขึ้น    ถ้าพิจารณาสถานะการแข่งขันของผู้ส่งออกปลากระป๋องของไทยแยกตามตลาดส่งออกที่สำคัญได้ ดังนี้

  1.ตลาดสหรัฐฯ ไทยเป็นผู้ส่งออกทูน่ากระป๋อง (canned tuna)และผลิตภัณฑ์ทูน่าบรรจุถุง (tuna in foil pouches) รายใหญ่ที่สุดของสหรัฐฯ แต่เนื่องจากในขณะนี้ผู้บริโภคชาวอเมริกันให้ความระมัดระวังต่อสารปรอทตกค้างในผลิตภัณฑ์อาหารกระป๋อง จึงส่งผลให้การนำเข้าทูน่ากระป๋องในรอบ 3 ปีชะลอตัวลง และมีราคาจำหน่ายลดลงด้วยเช่นกัน รวมทั้งขณะนี้กำลังซื้อของผู้บริโภคชาวอเมริกันมีแนวโน้มลดลง จากภาวะเศรษฐกิจ และปัญหาซับไพรม์(หนี้เสียภาคอสังหาริมทรัพย์) แม้จะไม่ส่งผลกระทบต่อปริมาณการบริโภคปลากระป๋องมากนัก แต่ปัญหาเศรษฐกิจก็ส่งผลต่อการเลือกซื้อของอุปโภคบริโภค ในขณะที่ราคาปลากระป๋องโดยเฉพาะปลาทูน่ากระป๋องในสหรัฐฯปรับตัวสูงขึ้น

 เนื่องจากปัญหาปริมาณปลาทูน่ามีน้อยลงและราคาแพงขึ้น ทำให้คนอเมริกันมีแนวโน้มจะซื้อปลาทูน่ากระป๋องเกรด พรีเมี่ยมลดลง และหันไปบริโภคปลาทูน่ากระป๋องเกรดรองลงไปมากขึ้น นอกจากนี้คนอเมริกันบางส่วนก็หันไปบริโภคทูน่าสด เนื่องจากกระแสอาหารเพื่อสุขภาพ ดังนั้นผู้ส่งออกปลาทูน่ากระป๋องของไทยจำเป็นต้องปรับตัวสำหรับตลาดหลักอย่างสหรัฐฯ เพราะหากส่งออกเกรดพรีเมียมทั้งหมดก็ขายได้ยากขึ้น ทางออกคือต้องหันมาจับตลาดระดับกลางมากขึ้น รวมทั้งเพิ่มมูลค่าของสินค้า เช่น รุกตลาดสินค้าพร้อมรับประทานที่นอกจากจะเป็นการเพิ่มทางเลือกให้กับผู้บริโภคแล้วยังเป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าด้วย เป็นต้น

  นอกจากนี้ผู้ส่งออกทูน่ากระป๋องจากไทยต้องเผชิญการแข่งขันที่รุนแรงมากขึ้นจากคู่แข่งรายใหม่คือ จีนและเวียดนามที่กำลังส่งสินค้าเข้าไปแข่งขันกับไทยในตลาดสหรัฐฯด้วย แม้ว่าในปัจจุบันมูลค่าการส่งออกของทั้งสองประเทศนี้ยังอยู่ในเกณฑ์ที่ไม่สูงนัก แต่ก็มีอัตราการขยายตัวที่น่าจับตามองตั้งแต่ปี 2549

  อย่างไรก็ตามประเด็นข้อได้เปรียบของผู้ประกอบการธุรกิจปลากระป๋องของไทย คือ การเข้าไปลงทุนในโรงงานปลากระป๋องในสหรัฐฯ ซึ่งนับว่าเป็นกลยุทธ์การรุกขยายตลาดในประเทศคู่ค้าสำคัญโดยตรง นอกจากนี้ยังรับจ้างผลิตและส่งสินค้าไพรเวตแบรนด์หรือเฮาส์แบรนด์ให้กับห้างสรรพสินค้าหรือซูเปอร์มาร์เก็ตต่างๆในสหรัฐฯอีกด้วย

  2.ตลาดอียู ปัจจุบันส่วนแบ่งตลาดทูน่ากระป๋องในอียูมาจากผู้ผลิตในอียูกว่าครึ่งหนึ่ง โดยมีผู้ผลิตรายใหญ่คือ สเปน อิตาลี โปรตุเกส ฝรั่งเศส และอังกฤษตามลำดับ ที่เหลืออีกครึ่งหนึ่งสัดส่วน 2 ใน 3 ของจำนวนนี้มาจากประเทศ ACP 14 ประเทศ และอีก 1 ใน 3 มาจากกลุ่มอาเซียนซึ่งมีไทยเป็นผู้ส่งออกรายใหญ่ จากการที่กลุ่มประเทศในแอฟริกา ทะเลแคริบเบียน และมหาสมุทรแปซิฟิก ซึ่งได้รับการยกเว้นภาษีนำเข้าทูน่ากระป๋องจากอียู ทำให้นับจากปี 2546 เป็นต้นมาอียูชดเชยสิทธิในการส่งออกทูน่ากระป๋องให้ไทยและฟิลิปปินส์

 สำหรับไทยนั้นโควตาชดเชยเริ่มต้นที่ปีละ 25,000 ตัน บวกกับอัตราการขยายตัวอีกร้อยละ 3 ต่อปี โดยอียูให้โควตาสินค้าทูน่ากระป๋องจากไทย 27,500 ตัน เสียภาษีนำเข้าภายใต้โควตาร้อยละ 12 ภาษีนอกโควตาร้อยละ 24 ซึ่งโควตาดังกล่าวจะหมดอายุลงในเดือนธันวาคม 2550ซึ่งหากอียูจะต่อสิทธิการลดภาษีให้กับกลุ่ม ACP ก็จะต้องให้การชดเชยกับไทยต่อไปด้วย

  3.ตลาดญี่ปุ่น กรณีที่รัฐบาลไทยได้ลงนามความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจไทย-ญี่ปุ่น (JTEPA) จะส่งผลดีต่อการส่งออกทูน่าของไทยไปตลาดญี่ปุ่นที่จะขยายตัวเพิ่มขึ้น ซึ่งจะช่วยทำให้ตัวเลขการส่งออกในภาพรวมดีขึ้น เพราะตามข้อตกลงญี่ปุ่นจะลดภาษีนำเข้าสินค้าทูน่าให้ไทยจากอัตราภาษีนำเข้าปัจจุบันที่ 9.6% และจะลดลงเป็น 0% ในอีก 5 ปีถัดไป ขณะที่เรื่องแหล่งกำเนิดสินค้าญี่ปุ่นยอมให้ไทยนำเข้าวัตถุดิบจากประเทศที่สามแต่ปลานั้นต้องได้จากการจับโดยเรือที่จดทะเบียนภายใต้คณะกรรมาธิการทูน่ามหาสมุทรอินเดีย (IOTC) ที่ไทยเป็นหนึ่งในประเทศสมาชิก 24 ประเทศ จากข้อตกลง JTEPA ดังกล่าวสินค้าทูน่ากระป๋องจะยกเลิกภาษีลงเป็นร้อยละ 0 ภายใน 5 ปี ทยอยลดร้อยละ 1.6 ต่อปี (อัตราภาษีนำเข้าปัจจุบันอยู่ที่ร้อยละ 9.6)ทำให้สินค้าทูน่ามีโอกาสขยายในตลาดญี่ปุ่นได้มาก โดยขณะนี้ได้เกิดความเคลื่อนไหวทยอยปิดกิจการของผู้ผลิตทูน่าในญี่ปุ่นแล้ว และเตรียมแผนที่จะมาใช้ประเทศไทยเป็นฐานการผลิตส่งกลับไปจำหน่ายในญี่ปุ่นแทน เนื่องจากต้นทุนการผลิตทูน่าในญี่ปุ่นค่อนข้างสูงโดยเฉพาะต้นทุนด้านแรงงาน การหันมานำเข้าจากไทยในอัตราภาษีที่ทยอยลดลงและยกเลิกในที่สุดน่าจะคุ้มกว่า

  ปัจจุบันชาวญี่ปุ่นบริโภคทูน่ากระป๋อง 12 ล้านหีบ/ปี(1 หีบบรรจุ 48กระป๋อง)ในจำนวนนี้นำเข้าจากไทยประมาณ 3-4 ล้านหีบ/ปี คิดเป็นสัดส่วน 25-30% ของการนำเข้า ผลจาก JTEPA คาดไทยจะสามารถส่งออกทูน่าไปญี่ปุ่นได้เพิ่มขึ้น 10-12% ในปีแรกของการลดภาษี โดยในปี 2551 คาดยอดส่งออกไปญี่ปุ่นจะขยายตัวเพิ่มขึ้น 15-20% อย่างไรก็ตามการส่งออกไปญี่ปุ่นยังต้องเผชิญการแข่งขันที่รุนแรงจากเวียดนามและอินโดนีเซีย

แนวโน้มปี51จับตาจุดเปลี่ยนของอุตสาหกรรม

    ประเด็นที่น่าจับตามองสำหรับธุรกิจปลากระป๋องคือ ปริมาณการจับปลาที่มีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยบรรดานักวิทยาศาสตร์คาดการณ์ว่าความผันแปรของสภาพอากาศโดยเฉพาะในเขตมหาสมุทรแอตแลนติก ซึ่งเป็นแหล่งประมงทูน่าที่สำคัญจะยังคงส่งผลต่อเนื่องไปจนถึงเดือนเมษายนปี 2551 ส่งผลให้ปริมาณปลาจะยังคงมีไม่เพียงพอในการที่จะป้อนโรงงานปลากระป๋อง โดยเฉพาะปลาสคิบแจ็ค และเยลโลฟิน ราคาปลาทูน่ามีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นมีแนวโน้มว่าในอนาคตปลากระป๋องอาจจะไม่ใช่สินค้าที่มีราคาถูกเมื่อเทียบกับอาหารประเภทอื่นๆ

  นอกจากปริมาณปลาที่มีแนวโน้มลดลงและราคาที่มีแนวโน้มสูงขึ้นแล้ว จุดเปลี่ยนของอุตสาหกรรมปลากระป๋องของไทยที่ต้องจับตามอง มีดังนี้

  1.ธุรกิจกองเรือหาปลา เนื่องจากในปัจจุบันไทยต้องพึ่งพาการนำเข้าปลาเพื่อป้อนโรงงานอุตสาหกรรมปลากระป๋อง ดังนั้นผู้ประกอบการบางรายจึงหันมาลงทุนในธุรกิจกองเรือหาปลาในทะเลลึก นอกจากประโยชน์ในเรื่องของวัตถุดิบที่ช่วยสนับสนุนการดำเนินกิจการ สำหรับฐานการผลิตปลากระป๋องในประเทศไทยให้มีวัตถุดิบได้อย่างต่อเนื่องแล้ว ในอนาคตยังช่วยรองรับกับกฎแหล่งกำเนิดสินค้า (Rule of Origin) สำหรับการลดภาษีในประเทศสหภาพยุโรปและญี่ปุ่นอีกด้วย เนื่องจากสินค้าปลาทูน่าที่ส่งออกไปยังสหภาพยุโรปต้องเสียภาษีในอัตราที่สูงถึง24.0% ในปัจจุบัน แต่การที่ไทยมีกองเรือเองจะช่วยลดความเสียเปรียบทางด้านภาษีลงเหลือ 20.5% เพราะวัตถุดิบที่มาจากประเทศไทยจะได้รับสิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากรเป็นการทั่วไปหรือจีเอสพี

 ขณะเดียวกันสำหรับข้อตกลงเรื่องหุ้นส่วนเศรษฐกิจไทย-ญี่ปุ่น (JTEPA) ก็มีข้อกำหนดว่าปลาทูน่ากระป๋องที่นำเข้าญี่ปุ่นจะต้องเป็นวัตถุดิบที่มีแหล่งมาจากกองเรือสัญชาติอาเซียน หรือกองเรือที่เป็นสมาชิกของคณะกรรมาธิการทูน่ามหาสมุทรอินเดีย (Indian Ocean Tuna Commission : IOTC) ถึงจะได้รับการลดภาษีภายใต้ข้อตกลงทางการค้า และยังมีส่วนช่วยสนับสนุนให้มีกองเรือจับปลาน้ำลึกสัญชาติไทยสามารถจับปลา ในน่านน้ำมหาสมุทรอินเดีย ปัจจุบันการจับปลาทูน่าในมหาสมุทรแปซิฟิกตะวันตก และมหาสมุทรอินเดียส่วนใหญ่จะเป็นเรือของไต้หวัน ญี่ปุ่น และสเปน

  2.การผลักดันสินค้าทูน่ากระป๋องเข้าสู่บัญชีลดภาษีภายใต้กรอบข้อตกลงเขตการค้าเสรีอาเซียน-สหภาพยุโรป จากการที่สหภาพยุโรป (อียู) ให้โควตาภาษีสินค้าทูน่ากระป๋องแก่ไทย ฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซียเพื่อชดเชยความเสียหายกรณีที่อียูให้สิทธิพิเศษทางภาษี 0% ในสินค้าทูน่ากระป๋องแก่กลุ่มประเทศในแอฟริกา แคริบเบียน และแปซิฟิก โดยในปี 2546 อียูให้โควตาที่ 25,000 ตัน อัตราภาษีในโควตา 12% และเพิ่มเป็น 25,750 ตัน ในปี 2547-2550 ส่วนไทยได้รับโควตาเท่าเดิมคือ 25,750 ตัน และการชดเชยดังกล่าวจะสิ้นสุดในปี 2550 ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อไทยและประเทศสมาชิกอาเซียน

 ดังนั้นกระทรวงพาณิชย์กำลังผลักดันสินค้าทูน่ากระป๋องเข้าสู่บัญชีลดภาษีภายใต้กรอบข้อตกลงเขตการค้าเสรีอาเซียน-สหภาพยุโรป เพราะคาดว่าหลังจากสิ้นปีนี้อียูจะไม่เพิ่มโควตานำเข้าสินค้าปลาทูน่ากระป๋องตามที่ไทยร้องขอ  เนื่องจากไทยมีสถิติการส่งออกทูน่ากระป๋องไปอียูเพิ่มขึ้นทุกปี ขณะที่สถิติการส่งออกของประเทศในกลุ่มประเทศแอฟริกา แคริเบียน และแปซิฟิก(ACP)ลดลง ซึ่งแสดงว่าไทยไม่ได้รับผลกระทบจากกรณีที่อียูลดภาษีปลาทูน่ากระป๋องเหลือร้อยละ 0 ให้กับกลุ่ม ACP ซึ่งเป็นคู่แข่งสำคัญของไทยในตลาดอียู จึงเป็นไปได้ว่าอียูอาจไม่ให้โควตานำเข้าแก่ไทยเป็นการชดเชยอีกต่อไป

  ถ้าไทยสามารถดึงให้ปลาทูน่ากระป๋องเข้าไปอยู่ในการเจรจาข้อตกลงการค้าเสรีอาเซียน-สหภาพยุโรปสำเร็จคาดว่าอัตราภาษีทูน่ากระป๋องจากกลุ่มอาเซียน ซึ่งรวมถึงไทยจะอยู่ที่ประมาณร้อยละ 7.0-9.0 อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบันกลุ่ม Eurothon (กลุ่มผู้พิทักษ์ผลประโยชน์อุตสาหกรรมปลาทูน่ากระป๋องในยุโรป และในกลุ่มประเทศแอฟริกา แคริบเบียน และแปซิฟิก) ขัดขวางการดำเนินการดังกล่าว โดยอ้างว่าการยกเลิกหรือการลดภาษีให้ไทยรวมถึงกลุ่มประเทศอาเซียนจะส่งผลเสียหายต่อผู้ผลิตในอียูและ ACP เพราะประเทศผู้ส่งออกหลักอย่างไทย ฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซียมีความได้เปรียบจากค่าแรงงานต่ำ สามารถเข้าถึงวัตถุดิบและการขนส่งทางเรือในต้นทุนที่ต่ำกว่า และจะทำให้ส่วนแบ่งตลาดของผู้ผลิตจากอียู และ ACP ลดลง ส่งผลกระทบต่อแรงงานจำนวนนับแสนคน โดยผู้ผลิตในเอเชียจะได้รับประโยชน์เพียงผู้เดียว และจะกลายเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมทูน่ากระป๋องของโลก ซึ่งเรื่องนี้ยังคงต้องติดตามผลสรุปของการเจรจาต่อไป โดยผลการเจรจานี้จะเป็นปัจจัยสำคัญที่จะกำหนดทิศทางการส่งออกปลาทูน่ากระป๋องของไทยไปยังตลาดสหภาพยุโรป

  นอกจากการส่งออกปลาทูน่ากระป๋องแล้ว ผู้ส่งออกของไทยร้องขอให้กระทรวงพาณิชย์เจรจากับอียูเพื่อขอขยายโควตาส่งออกเนื้อทูน่าด้วย จากปี 2549 ที่ไทยได้โควตาส่งออกไปอียู 5,000 ตัน ภาษีในโควตาร้อยละ 6.0 ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปี 2548 ที่ได้โควตาเพียง 4,000 ตัน ภาษีในโควตาร้อยละ 6.0 เช่นกัน โดยการส่งออกเนื้อทูน่านั้นกำลังเป็นสินค้าที่มีแนวโน้มแจ่มใสในตลาดอียู      

  3.การลงทุนในต่างประเทศ นอกจากการเข้าไปซื้อกิจการโรงงานผลิตปลาทูน่ากระป๋องในสหรัฐฯ โดยการรุกขยายตลาดในประเทศคู่ค้าสำคัญแล้ว คาดว่าผู้ผลิตปลากระป๋องรายใหญ่ของไทยจะยังคงดำเนินการขยายการลงทุนในต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง โดยประเทศที่น่าสนใจ คือ อินโดนีเซีย และเวียดนาม ซึ่งการเข้าไปลงทุนในอินโดนีเซียเพื่อลดต้นทุน ขณะที่น่านน้ำของอินโดนีเซียก็ถือเป็นแหล่งทูน่าขนาดใหญ่ เรือทุกลำจึงเริ่มไปจับปลาที่แหล่งนั้น ส่วนเวียดนามเป็นการเข้าไปร่วมทุนในบริษัทผู้ผลิตปลากระป๋องรายใหญ่ในเวียดนามเพื่อทำตลาดทั้งในประเทศเวียดนามและส่งออก

ที่มา : บริษัทศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด
http://www.bangkokbiznews.com/2007/10/2 ... sid=196139
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news26/10/07

โพสต์ที่ 73

โพสต์

นายสมศักดิ์ ปณีตัธยาศัย นายกสมาคมกุ้งไทย กล่าวว่า ตั้งแต่ต้นปี 2550 จนถึงเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ไทยส่งออกกุ้งไปสหรัฐฯ คิดเป็นมูลค่ากว่า 3 หมื่นล้านบาท หรือคิดเป็น 55% ของสัดส่วนการส่งออกกุ้งทั้งหมด ส่วนยอดการส่งออกกุ้งไปสหภาพยุโรป (EU) ก็เพิ่มขึ้นถึง 80% จากปีที่ผ่านมา หลังจากที่ไทยได้สิทธิพิเศษทางการค้า (GSP) จาก EU

นายสมศักดิ์บอกว่า ในช่วงที่ผ่านมาผู้ส่งออกกุ้งไทยก็ได้รับผลกระทบจากปัญหาเงินบาทแข็งค่าเช่นกัน แต่เนื่องจากจีน ซึ่งเป็นผู้ผลิตรายใหญ่อีกหนึ่งรายที่ต้องเสียภาษีจากมาตรการตอบโต้การทุ่มตลาด (Anti-Dumping : AD) ถึง 50% ประกอบกับกุ้งจีนมีปัญหาเรื่องคุณภาพสินค้า จึงทำให้กุ้งไทยยังคงได้รับความนิยมจากผู้บริโภคชาวสหรัฐฯ อย่างไรก็ตามไทยจะต้องระวังจีนไม่ให้ใช้ไทยเป็นช่องทางในการส่งออกกุ้ง เพราะจะทำให้กุ้งไทยเสียชื่อได้ ส่วนปัญหาการกีดกันทางการค้านั้น ถ้าใช้มาตรฐานเดียวกันกับทุกประเทศที่มีการส่งออกกุ้ง เชื่อว่ากุ้งไทยจะสามารถสู้ได้แน่นอน

สำหรับปัญหา Subprime ที่เกิดขึ้นในช่วงเดือนสิงหาคมถึงกันยายนที่ผ่านมานั้น ก็ยังไม่สามารถบอกได้ว่าจะส่งผลกระทบต่อการส่งออกกุ้งไทยไปสหรัฐฯ หรือไม่ เนื่องจากมูลค่าการส่งออกกว่า 3 หมื่นล้านบาท เป็นยอดการส่งออกถึงเดือนสิงหาคมเท่านั้น โดยจะขอดูตัวเลขการส่งออกในช่วงเวลาที่เหลือของปีนี้ก่อน จึงจะทราบว่ากุ้งไทยได้รับผลกระทบจากปัญหา Subprime มากน้อยเพียงใด

ส่วนราคาน้ำมันที่เพิ่มสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในขณะนี้นั้น จะส่งผลกระทบต่อชาวประมงที่ต้องออกไปหาสัตว์น้ำในทะเล เนื่องจากต้องใช้น้ำมันในการออกเรือเป็นจำนวนมาก ทำให้จับกุ้งในทะเลได้น้อยลง แต่จะเป็นประโยชน์ต่อผู้ที่เลี้ยงกุ้งบริเวณชายฝั่ง

นายสมศักดิ์บอกว่า ในปี 2551 คาดว่าจะผลิตกุ้งแค่ 5 แสนตัน ทรงตัวจากปี 2550 เนื่องจากการผลิตกุ้งมากเกินไป จะทำให้ราคากุ้งตกต่ำ เห็นได้จากปีนี้การส่งออกกุ้งไทยขยายตัว 10% จากปีที่ผ่านมา แต่มูลค่ากุ้งโดยรวมกลับลดลงจาก 8.4 หมื่นล้านบาทในปีที่ผ่านมา เหลือเพียง 8.2 หมื่นล้านบาท หรือลดลง 4 5%

นายสมศักดิ์ฝากว่า ผู้ประกอบการควรกระจายการส่งออกไปยังตลาดอื่น เช่น กลุ่มอีสเทิร์นบล็อก ได้แก่ ประเทศรัสเซีย โปแลนด์ สาธารณรัฐเช็ค และฮังการี เพราะประชาชนมีกำลังซื้อมากขึ้น รวมทั้งควรลดสัดส่วนการส่งออกไปสหรัฐฯ ให้เหลือเพียง 30% เนื่องจากการส่งออกกุ้งไปสหรัฐฯ กว่า 50% ถือว่ามีความเสี่ยงมาก ส่วนที่เหลือเห็นว่าควรส่งไป EU 30% ญี่ปุ่น 20% และกลุ่มอีสเทิร์นบล็อก 20%

ส่วนรัฐบาลชุดต่อไปก็ควรดูแลค่าเงินให้มีเสถียรภาพ มีการแข่งขันในเชิงรุก นอกจากนี้ยังอยากให้รีบเซ็นสัญญาเขตการค้าเสรี (FTA) กับเกาหลีใต้โดยเร็วที่สุด เพราะกุ้งไทยไม่สามารถแข่งขันในตลาดเกาหลีใต้ได้ เนื่องจากไทยเสียภาษีสูงกว่าประเทศผู้ส่งออกกุ้งอื่น ๆ
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Har ... fault.aspx
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news29/10/07

โพสต์ที่ 74

โพสต์

เกษตรฯฝันส่งออกสับปะรด3หมื่นล้าน  
 
โดย ข่าวสด
วัน จันทร์ ที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2550 09:18 น.

นายธีระ สูตะบุตร รมว.เกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายและพัฒนาสับปะรดแห่งชาติว่า ที่ประชุมมีมติเห็นควรให้มีการเจรจากับญี่ปุ่นในประเด็นขนาดของสับปะรด และปริมาณการส่งออก เพื่อเอื้อประโยชน์ให้แก่ไทยมากขึ้น ซึ่งเป็นเรื่องเกี่ยวกับการจัดสรรปริมาณการส่งออกสับปะรดสด ภายใต้ความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจไทย-ญี่ปุ่น(เจเทปป้า) เนื่องจากสับปะรดเป็นพืชเศรษฐกิจที่สำคัญและไทยยังเป็นประเทศผู้ผลิตสับปะรดเป็นอันดับ 1 ของโลก เป็นประเทศผู้ส่งออกสับปะรดกระป๋องและน้ำสับปะรดรายใหญ่ของโลก ซึ่งมีส่วนแบ่งการตลาดประมาณ 40-45% ปัจจุบันไทยมีมูลค่าการส่งออกสับปะรดปีละประมาณ 2 หมื่นกว่าล้านบาท แต่ตั้งเป้าที่จะเพิ่มมูลค่าการส่งออกสับปะรดให้ได้ 30,000 ล้านบาทต่อปี ซึ่งจากการหารือเพื่อให้ไปถึงเป้าหมายที่วางไว้ จึงตั้งคณะอนุกรรมการ 2 ชุดเพื่อทบทวนแผนยุทธศาสตร์สับปะรดทั้ง 2 ฉบับ ได้แก่ ยุทธ ศาสตร์สับปะรด ปี46-55 จัดทำโดยกระทรวงอุตสาหกรรม และยุทธศาสตร์สับปะรด ปี47-51 ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เพื่อจัดทำแผนแก้ไขปัญหาเร่งด่วนปี50 รวมถึงปี51 รองรับผล ผลิตสับปะรดที่กำลังจะออกสู่ตลาดในช่วงปลายปีนี้
http://news.sanook.com/economic/economic_203563.php
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news02/11/07

โพสต์ที่ 75

โพสต์

สามแม่ครัวทุ่ม850ล.ตั้งโรงงานปลากระป๋องในเวียดนาม

"สามแม่ครัว" ทุ่มเงินกว่า 15 ล้านเหรียญสหรัฐ สร้างโรงงานปลากระป๋องแห่งใหม่ที่เวียดนาม ผลิตทั้งซาร์ดีน/แมกเคอเรลกระป๋องขายในเวียดนาม 50% ที่เหลือส่งกลับไทย พร้อมออกแบรนด์ใหม่ "Number 9-Saling Wave" คลุมทุกเซ็กเมนต์ กะฟันยอดขาย 800 ล้านบาท

นายสุรศักดิ์ เอี่ยมสำอางค์ รองกรรมการ ผู้จัดการ บริษัทรอแยลฟู้ดส์ จำกัด ผู้ผลิตและ จำหน่ายปลากระป๋องซาร์ดีนและแมกเคอเรลในซอสมะเขือเทศภายใต้แบรนด์ "สามแม่ครัว" กล่าวกับ "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า บริษัทได้ใช้เงินลงทุนมากกว่า 15 ล้านเหรียญสหรัฐ ในการก่อสร้างโรงงานภายใต้ชื่อ "บริษัทรอแยลฟู้ดส์ จำกัด (เวียดนาม)" ทุนจดทะเบียน 10 ล้านเหรียญสหรัฐ บริษัทถือหุ้น 76% อีก 24% เป็นของบริษัทไทย คอร์ป จำกัด ใช้เงินทุนหมุนเวียน 10 ล้านเหรียญสหรัฐ/ปี ในการดำเนินการผลิต รวม 25 ล้านเหรียญสหรัฐ (850 ล้านบาท)

โรงงานแห่งใหม่นี้ตั้งอยู่บนเนื้อที่ 50,000 ตร.ม. ภายในเขตนิคมอุตสาหกรรมของเมืองเตียนยาง แบ่งการลงทุนออกเป็น 2 เฟส ระยะแรกจัดสร้างอาคารและโรงงานในเนื้อที่ 30,000 ตร.ม. ต่อจากนั้นอีก 1-2 ปี จะขยายการลงทุนเฟส 2 ให้เต็มพื้นที่ ด้วยการก่อสร้างโรงงาน ROYAL CAN เพื่อผลิตกระป๋องป้อนโรงงานและจำหน่ายให้แก่ลูกค้าในเวียดนาม และจะก้าวเข้าสู่ธุรกิจอาหารแช่แข็งเต็มตัว

โดยบริษัทรอแยลฟู้ดส์ (เวียดนาม) ได้รับสิทธิพิเศษ "ยกเว้น" ภาษีการค้าจากรัฐบาลเวียดนามในช่วง 3 ปีแรก และในช่วง 7 ปีต่อมาบริษัทจะได้รับการลดหย่อนภาษีลงอีก 50% โดยจ่ายจริงเพียง 10% และได้รับสิทธิครอบครองที่ดินที่ตั้งโรงงานเป็นเวลา 43 ปี มีเป้าหมายที่จะผลิตปลาซาร์ดีน-แมกเคอเรลกระป๋องจำหน่ายในเวียดนาม 50% ส่วนอีก 50% ที่เหลือจะส่งกลับเข้ามาจำหน่ายในประเทศไทยและประเทศใกล้เคียง คาดว่าในปีแรก จะมีรายได้ไม่ต่ำกว่า 800 ล้านบาท คืนทุนภายใน 2-3 ปี

"สินค้าที่เราผลิตและจำหน่ายในตลาดเวียดนามส่วนใหญ่จะเป็นสินค้าพรีเมี่ยมเกรด คือปลาแมกเคอเรลในซอสมะเขือเทศจำหน่ายในชื่อการค้า "สามแม่ครัว" นอกจากนี้เรายังวางแผนผลิตปลากระป๋องคุณภาพระดับกลาง-ล่างจำหน่ายในชื่อตราสินค้าใหม่ๆ เพิ่มขึ้น เช่น Number 9 เป็นสินค้าปลากระป๋องระดับกลาง จำหน่ายราคาต่ำกว่าสินค้าเกรดพรีเมียร์ 30% หรือตราสินค้า Saling Wave เจาะตลาดระดับล่าง เพื่อให้สินค้าของเราครอบคลุมทุกตลาดในเวียดนาม" นายสุรศักดิ์กล่าว

ด้านนายมงคล บัณฑรุ่งโรจน์ ผู้อำนวยการ บริษัทรอแยลฟู้ดส์ จำกัด (เวียดนาม) กล่าวว่า สินค้าของสามแม่ครัวประสบความสำเร็จในการขยายตลาดในเวียดนามมาก ปัจจุบันมีส่วนแบ่ง 75-80% และบริษัทจึงตัดสินใจที่จะเข้ามาลงทุนตั้งโรงงานภายในประเทศเวียดนาม เพื่อเพิ่มกำลังการผลิตสนองความต้องการของตลาดได้อย่างเต็มที่ โดยมีทีมงานขายตรงเข้าถึงผู้บริโภคกลุ่มเป้าหมาย เน้นขายสินค้าเงินสด "ยกเว้น" การขายส่งห้างสรรพสินค้าที่มีระยะเวลาการให้สินเชื่อ 30 วัน โดยกำหนดเป้าหมายผลักดันยอดขายให้มีอัตราเติบโตเพิ่มขึ้นไม่ต่ำกว่าปีละ 30%

สำหรับโรงงานแห่งใหม่ที่เมืองเตียนยางได้เริ่มการผลิตสินค้ามาตั้งแต่เดือนสิงหาคมที่ผ่านมา โดยมีเป้าหมายผลิต ปลาแมกเคอเรลในซอสมะเขือเทศเดือนละ 10 ล้านกระป๋อง ซึ่งต้องใช้ปริมาณปลาป้อนเข้าสู่กระบวนการผลิตเฉลี่ย 1.5 ล้าน ก.ก./เดือน เพื่อให้โรงงานแห่งนี้มีแหล่งวัตถุดิบที่มั่นคงและเพียงพอสำหรับป้อนเข้าสู่กระบวนการผลิตได้อย่างต่อเนื่อง

บริษัทจึงได้ลดความเสี่ยงกับปัญหาการขาด แคลนวัตถุดิบในอนาคต ด้วยการเปิดการเจรจากับรัฐบาลเวียดนาม ขอสัมปทานนำกองเรือประมงไทยเข้ามาจับปลาในน่านน้ำเวียดนาม โดยระยะแรกได้ยื่นขออนุญาตนำเข้าเรือประมงอวนล้อมติดธงไทยเข้ามาจับปลาในน่านน้ำเวียดนามจำนวน 5 ลำคาดว่าการนำเรือออกไปจับปลาแต่ละครั้งจะสามารถจับปลาได้ไม่ต่ำกว่า 5-10 ตัน/ลำ

"รัฐบาลเวียดนามแสดงท่าทีสนใจข้อเสนอในการนำกองเรือประมงไทยเข้ามาจับปลาภายใต้สัมปทานของบริษัท ขณะนี้รัฐบาลเวียดนามกำลังพิจารณาความเหมาะสมอยู่ว่าจะเปิดพื้นที่ใดให้กับกองเรือของเรา รวมทั้งสัดส่วนแรงงานบนเรือประมงระหว่างแรงงานไทยกับแรงงานเวียดนามด้วย" นายมงคลกล่าว

ล่าสุดมีรายงานจากผู้ประกอบการเรือประมงเข้ามาว่า กลุ่มประมงปากน้ำประแส, กลุ่มเรือประมงมหาชัย, ปัตตานีและสงขลาได้แสดงความสนใจที่จะเข้ามาร่วมทำประมงกับบริษัทรอแยลฟู้ดส์ เนื่องจากปัจจุบันกองเรือประมงไทยกำลังประสบปัญหาในเรื่องแหล่งพื้นที่ทำประมงอยู่

ที่ผ่านมาน่านน้ำเวียดนามถือเป็นแหล่งประมงที่สมบูรณ์ มีทรัพยากรสัตว์น้ำจำนวนมาก แต่มีปัญหาอุปสรรคด้านกฎหมาย ทำให้เรือไทยไม่สามารถเข้ามาจับปลาในแหล่งนี้ได้ หากรัฐบาลเวียดนามเปิดสัมปทานจับปลาในเวียดนามได้จริง เรือประมงไทยก็สนใจที่จะเข้ามาจับปลาในแหล่งนี้
http://matichon.co.th/prachachat/pracha ... ionid=0201
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news02/11/07

โพสต์ที่ 76

โพสต์

ยุทธศักดิ์ปั้นอุตสาหกรรมอาหารไทย ดันเอกชน ขึ้นแท่นสู่เวทีโลก [2 พ.ย. 50 - 05:51]

นายยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้อำนวยการสถาบันอาหาร เปิดเผยว่า ได้วางวิสัยทัศน์ช่วง 5 ปีข้างหน้าของสถาบันอาหาร มุ่งมั่นที่จะเป็นสถาบันพัฒนาและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมอาหารไทย ให้เป็นที่ยอมรับในระดับสากล ภายใต้ความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน

การทำให้เป็นที่ยอมรับในระดับสากล มีความจำเป็นทำให้ผู้ประกอบการไทยจะต้องเรียนรู้ และรู้จักกฎระเบียบการนำเข้าและส่งออกสินค้าอาหาร ที่ถูกกำหนดโดยประเทศคู่ค้าที่มีอำนาจทางการตลาดที่เหนือกว่า เนื่องจากประเทศ ไทยยังไม่มีอำนาจต่อรอง จะได้นำเอาความรู้มาเอื้อประโยชน์ให้กับตัวเอง ให้สามารถก้าวไปยืนอยู่ในระดับเวทีโลก และเป็นที่ยอมรับในระดับสากลได้ สถาบันอาหารจึงมีบทบาทเป็นตัวกลางทำให้เกิดความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน รวมถึงผู้ประกอบการต่างๆทำงานไปด้วยกันได้ เพื่อให้เกิดผลในเชิงรูปธรรม เพิ่มความเข้มแข็งให้กับอุตสาหกรรมอาหารไทย เสมือนหนึ่งสถาบันเป็นพลังขับเคลื่อนของอุตสาหกรรมอาหาร

ทั้งนี้ ในรัฐบาลชุดที่ผ่านมา ได้มอบหมายให้สถาบันอาหารผลักดัน ครัวไทยสู่ครัวโลก มาตั้งแต่ปี 2547 ประกอบด้วย กิจกรรมการสร้างและรักษาภาพลักษณ์อาหารไทย และร้านอาหารไทยในตลาดโลก การสำรวจข้อมูลความต้องการอาหารไทย การสนับสนุนด้านเงินทุนเพื่อส่งเสริมธุรกิจร้านอาหารไทยในต่างประเทศ การพัฒนาบุคลากรผู้ปรุงอาหารไทยการแก้ไขปัญหาเรื่องวีซ่าและใบอนุญาตทำงาน การยกระดับการบริหารร้านอาหารไทย การพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหารโดยส่งเสริมให้วิจัยพัฒนาด้านเทคโนโลยีการผลิตและบรรจุภัณฑ์ การสนับสนุนมาตรฐานและประสิทธิภาพการแข่งขันเพื่อการส่งออก

โดยในการดำเนินโครงการครัวไทยสู่โลกนั้น ได้รับความร่วมมือจากหน่วยงานต่างๆ เช่น กรมส่งเสริมการส่งออก กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน กระทรวงการต่างประเทศ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต สมาคมภัตตาคารไทย ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย และธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย รวมทั้งภาคเอกชนอื่นๆ

ยกเครื่องครัวไทยสู่ครัวโลก

ผู้อำนวยการสถาบันอาหาร กล่าวว่า การดำเนินงานที่ผ่านมา ได้มีการจัดตั้งศูนย์พัฒนาอาหารไทยและครัวไทยสู่โลกขึ้น เพื่อเป็นศูนย์กลางในการบริหารอำนวยการโครงการครัวไทยสู่โลก มีสถานะเป็นหน่วยงานภายในของสถาบันอาหาร รวมถึงการเข้าร่วมงานนิทรรศการอาหารระดับโลก ไม่ว่าจะเป็น ANUGA ประเทศเยอรมนี งาน FOODEX ประเทศญี่ปุ่น งาน SIAL ประเทศฝรั่งเศส และจัดงานครัวไทยสู่ครัวโลกขึ้น ณ ศูนย์ไบเทคบางนา ซึ่งทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศ เป็นจำนวนมากเข้าร่วม นอกจากนี้ ยังร่วมกับกรมส่งเสริมการส่งออกได้จัดให้มีการมอบเครื่องหมายมาตรฐานร้านอาหารไทยในต่างประเทศ หรือ Thai Select ขึ้น โดยเมื่อปี 2549 ได้จัดงาน Thai Select Summit ขึ้น โดยได้เชิญเจ้าของร้านอาหารไทยในต่างประเทศกว่า 400 รายเข้าร่วมงานดังกล่าว

อย่างไรก็ตาม แม้ในรัฐบาลปัจจุบันจะมีนโยบายให้กรมส่งเสริมการส่งออกเป็นหน่วยงานหลักในการพัฒนาร้านอาหารไทยในต่างประเทศ แต่ สถาบันอาหารยังดำเนินงานโครงการครัวไทยสู่โลกต่อไป โดยปรับเปลี่ยนวิธีการทำงานมามุ่งเน้นในกิจกรรมสนับสนุนมาตรฐาน และประสิทธิภาพการแข่งขันเพื่อการส่งออก โดยจัดตั้งศูนย์พัฒนาบุคลากรเพื่อยกระดับมาตรฐานอุตสาหกรรมอาหารไทย ยกระดับมาตรฐานห้องปฏิบัติการทดสอบและวิธีการทด สอบในการตรวจสอบ คุณภาพผลิตภัณฑ์อาหารเพื่อการส่งออก และยกระดับมาตรฐานการผลิตในสถานประกอบการอุตสาหกรรมอาหาร รวมทั้งมุ่งพัฒนาบรรจุภัณฑ์สำหรับอาหารไทยสำเร็จรูปเพื่อการส่งออก พัฒนานวัตกรรมเพื่อใช้ในกระบวนการผลิตหรือแปรรูปอาหารไทย

ดันอาหารไทยโกอินเตอร์

นายยุทธศักดิ์กล่าวต่อไปว่า สถาบันอาหารมีแนวทางเน้นการทำงานเชิงรุก ด้วยจุดมุ่งหมายที่ชัดเจนคือ การส่งเสริมและพัฒนาอุตสาหกรรมอาหารของประเทศไทยให้เติบโตต่อไปอย่างมีประสิทธิภาพและสามารถแข่งขันได้ในระดับโลก เพราะเป็นอุตสาหกรรมหลักของ ประเทศที่สร้างรายได้จากการส่งออกมูลค่าสูงกว่า 560,000 ล้านบาท ในปี 2549 ซึ่งคิดเป็น 7.2 % ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) และคาดว่าเมื่อสิ้นปี 2550 นี้ จะสร้างมูลค่ากว่า 600,000 ล้านบาท โดยรายได้ดังกล่าวยังส่งกลับคืนเข้าสู่ ระบบเศรษฐกิจของไทยมากกว่า 90 % เนื่องจากวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิต สามารถหาได้ภายในประเทศ ประกอบกับอุตสาหกรรมอาหารเป็นอุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่องกับแรงงานทั้งภาคอุตสาหกรรมและภาคการเกษตร

ทั้งนี้ ตลอดกว่า 10 ปีที่ผ่านมา สถาบันอาหารได้มุ่งเน้นการปฏิบัติใน 4 ภารกิจหลัก ประกอบด้วย การยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยของอาหาร (Food Safety) การวิจัยและพัฒนานวัตกรรมใหม่ การสนับสนุนข้อมูลเชิงลึกด้านอุตสาหกรรมอาหาร (Food Intelligence Center) และการขยายตลาดและพัฒนาธุรกิจ

นอกจากนี้ ยังเข้าไปแก้ไขปัญหาของอุตสาห-กรรมอาหาร เช่น การแก้ไขปัญหาการส่งออกสินค้าไก่ไปสาธารณรัฐเช็ก การแก้ไขปัญหาการปนเปื้อนของเชื้อโรคอันเนื่องมาจากคุณภาพของน้ำแข็งที่ใช้ในอุตสาหกรรมสินค้าประมงส่งออก รวมถึงการจัดทำแผนแม่บทการพัฒนาอุตสาหกรรมอาหาร และการจัดทำโครงการพัฒนาสัตว์น้ำเศรษฐกิจตัวใหม่เพื่อการส่งออก โดยทำการเพาะเลี้ยงและแปรรูป รวมถึงการส่งออกปลาเผาะ (Pangasius bocourti) เป็นครั้งแรกของไทย อันส่งผลให้เกิดการพัฒนาวิสาหกิจชุมชน การจ้างแรงงานในท้องถิ่น และเกิดอุตสาหกรรมต่อเนื่อง.
http://www.thairath.co.th/news.php?sect ... tent=66736
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news03/11/07

โพสต์ที่ 77

โพสต์

อาหารแช่แข็งจาก Mass สู่ Fragment  

โดย ผู้จัดการออนไลน์
3 พฤศจิกายน 2550 10:23 น.

      ผู้จัดการรายสัปดาห์ - * ตลาดอาหารแช่แข็งหนาวสุดขั้ว ซีพีเอฟ ผุดแบรนด์ใหม่ สมาร์ท มีล ลุยเซกเมนต์เพื่อสุขภาพที่สร้างขึ้นใหม่หมาดๆ * พรานทะเล โต้กลับทันควันสนองตลาดเชิงลึก แตกแฟรกเมนต์พรึ่บ จากเมนูมื้อเช้า-กลางวัน-เย็น ซอยย่อยสู่เมนูเด็ก-ผู้ใหญ่, ชาย-หญิง * จับตาต่างจังหวัดบูมไม่แพ้เมืองกรุง ผุดหลากเมนูเปลี่ยนไลฟ์สไตล์ใหม่ กินข้าวกล่องแทนข้าวแกงริมทาง
     
      การเปิดตัวแบรนด์ใหม่ Smart Meal ในตลาดอาหารสำเร็จรูปแช่แข็งของซีพีเอฟ ถือเป็นสเตปที่ 2 ของบริษัทในการก้าวสู่สมรภูมิรบดังกล่าว โดยก่อนหน้านี้บริษัทเคยผลิตอาหารสำเร็จรูปแช่แข็งภายใต้แบรนด์ ซีพีมีล บีเคมีล และอีซี่โก พร้อมกับการสื่อสารกับผู้บริโภคด้วย Emotional Marketing ในเรื่องรสชาติ โดยเห็นได้จากโฆษณาล่าสุดไก่เทอริยากิที่สื่อสารในเรื่องของรสชาติ หรือตัวอีซี่โกเองก็มีการโคแบรนด์กับผู้ที่ได้รับการยอมรับในเรื่องการทำอาหาร เช่น อีซี่โกบายคุณหรีด เนื่องจากที่ผ่านมาตลาดอาหารสำเร็จรูปแช่แข็งไม่เติบโตเท่าที่ควรเพราะผู้บริโภคมีทัศนคติในเชิงลบกับอาหารแช่แข็ง เช่น ไม่สด ไม่อร่อย ขาดคุณค่าทางโภชนาการ
     
      ทว่าพฤติกรรมผู้บริโภคไทยจะเน้นไปที่รสชาติความอร่อยมากกว่าคุณค่าทางโภชนาการ ซึ่งที่ผ่านมาไม่ว่าสินค้านั้นจะมีจุดดีในด้านใดก็ตามแต่ถ้าเป็นของเข้าปากแล้วจะต้องชูเรื่องรสชาติมาก่อน จากนั้นจึงเสริมด้วยจุดแข็งอื่นๆในภายหลัง เช่นเดียวกับซีพีเอฟที่ผ่านสเตปแรกในการสื่อสารให้ผู้บริโภคยอมรับรสชาติความอร่อยของอาหารสำเร็จรูปแช่แข็ง
     
      ซีพีเอฟ งัดฟังก์ชันนอล
      ชูสุขภาพ ชิงบัลลังก์แชมป์

     
      สเตป 2 คือการสร้างการยอมรับในเรื่องของคุณค่าทางโภชนาการของอาหารสำเร็จรูปแช่แข็งภายใต้แนวคิด กินอย่างสมดุล อยู่อย่างสมดุล ซึ่งเป็นวิสัยทัศน์ที่ ธนินทร์ เจียรวนนท์ ประธานเครือเจริญโภคภัณฑ์กล่าวไว้ ดังนั้น Smart Meal อาหารกล่องแช่แข็งแบรนด์ใหม่ของซีพีเอฟจึงวางคอนเซ็ปต์ให้เป็นอาหารแช่แข็งพร้อมรับประทาน 1 กล่อง สำหรับ 1 มื้อ โดยตัดสิ่งที่ไม่จำเป็นออกจากเมนูเช่นไม่มีวัตถุกันเสีย ไม่มีผงชูรส ไม่เติมน้ำตาล เน้นกากใยมาก ไขมันต่ำ
     
      ผลการสำรวจในช่วง 2 3 ปีที่ผ่านมา พบว่าพฤติกรรมการบริโภคอาหารของคนในสังคมเมือง เปลี่ยนแปลงไปมาก ด้วยวิถีชีวิตอันเร่งรีบ แม้ว่าภาวะเศรษฐกิจที่ผ่านมาจะอยู่ในช่วงชะลอตัว ธุรกิจอาหารซึ่งถือเป็น 1 ในปัจจัย 4 ซึ่งนอกจากจะมีความต้องการของตลาดอย่างมาก ขณะเดียวกันก็มีการปรับรูปแบบผลิตภัณฑ์เพื่อเอื้ออำนวยความสะดวกและคุณสมบัติให้สอดรับกับความต้องการของผู้บริโภคเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะบทบาทของอาหารกล่องแช่แข็งพร้อมทานซึ่งเข้ามามีบทบาทมากในชีวิตประจำวันของเรา และเป็นทางเลือกที่ได้รับความนิยม เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เพราะสามารถ ตอบสนองความต้องการของคนเมืองรุ่นใหม่ ที่ไม่ถนัดทำอาหาร เบื่อการออกไปกินอาหารนอกบ้าน ร้านอาหารใกล้บ้านมีอาหารหรือเมนูอาหารตามสั่งไม่มากนัก ในขณะที่อาหารแช่แข็งพร้อมทานช่วยลดเวลาการทำอาหาร ไม่ต้องทำความสะอาดครัว หรือภาชนะบรรจุให้ยุ่งยาก ซึ่งซีพีเอฟ ให้ความสนใจ และพัฒนามาอย่างตลอด โดยเฉพาะตลาดของอาหารกล่องแช่แข็งพร้อมทานเพื่อสุขภาพ Smart Meal จะเป็นผลิตภัณฑ์กลุ่มใหม่ และยังไม่มีสัดส่วนการตลาดภายในบ้านเรามากนักในปัจจุบัน แต่นับเป็นตลาดที่มีศักยภาพการเติบโตสูง สุขวัฒน์ ด่านเสริมสุข กรรมการผู้จัดการ ซีพีเอฟ ผลิตภัณฑ์อาหาร กล่าว
     
      เมนู Smart Meal จำหน่ายในราคา 69 บาท ประกอบด้วย ข้าวกล้องแดงแกงเขียวหวานไก่, ข้าวกล้องขาวแกงเหลืองปลาทับทิม, ข้าวกล้องขาวแกงป่าไก่, ข้างกล้องแดงผัดกะเพราไก่, ข้าวกล้องขาวผัดขี้เมาหมู และข้าวกล้องขาวหมูกระเทียม ซึ่งทุกกล่องจะระบุตัวเลขบอกปริมาณแคลอรี่ทั้งหมดของอาหารในแต่ละกล่องที่รับประทาน ซึ่งถูกควบคุมให้อยู่ในระดับ 300 450 กิโลแคลอรี่ต่อกล่อง
     
      นอกจากนี้ยังชูจุดขายด้านสุขภาพที่ผ่านการตรวจสอบคุณภาพอาหาร และวิเคราะห์ผลโภชนาการ จากสถาบันวิจัยโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดลและรับรองโดยองค์การอาหารและยา กระทรวงสาธารณสุข ทำให้ซีพีเอฟมั่นใจว่า Smart Meal จะสามารถตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคได้ตรงใจ อีกทั้งสามารถหาซื้อได้สะดวก ด้วยช่องทางการจัดจำหน่ายตามซุปเปอร์มาร์เก็ต ไฮเปอร์มาร์เก็ตทั่วประเทศ และ ร้านซีพีเฟรชมาร์ท
     
      ซีพีเอฟ ตั้งเป้ารายได้ปีแรกไว้ที่ 2,000 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นตลาดภายในประเทศ 40% และตลาดต่างประเทศอีก 60% ครอบคลุมทั้งในอเมริกา ญี่ปุ่น สิงคโปร์ ฮ่องกง จีน และยุโรป เนื่องจากปัจจุบัน ผู้บริโภคมีความใส่ใจต่อสุขภาพ และให้ความสำคัญต่อสัดส่วนหรือปริมาณคุณภาพของอาหารที่ให้คุณประโยชน์ต่อร่างกายเพิ่มมากขึ้น รวมถึงความสด สะอาด และการผลิตที่ได้มาตรฐาน นอกเหนือจากความสะดวกสบายหรือความอร่อย ดังนั้น Smart Meal จึงให้ความสนใจเข้ารุกตลาดในส่วนนี้อย่างจริงจังพร้อมพัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคภายใต้แนวความคิด อาหารเพื่อสุขภาพ ที่เหมาะสมกับวิถีชีวิต อาทิ Smart Diet / Smart Health / Smart Veggie / Smart Soup
     
      ซีพีเอฟใช้งบการตลาดในช่วงแรกไม่ต่ำกว่า 30 ล้านบาท ในการรุกตลาด Smart Meal โดยมีทั้งการทำ Above the Line และ Below the Line เพื่อสร้างการรับรู้ของผลิตภัณฑ์และกระตุ้นยอดขาย มีการโฆษณา ณ จุดขาย และประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อสิ่งพิมพ์ และสื่อกลางแจ้ง พร้อมกับออกบูธไปตาม โรงพยาบาล อาคารสำนักงาน ศูนย์การค้า ห้างสรรพสินค้า และ โมเดิร์นเทรดต่างๆ
     
      ทว่าพรานทะเลซึ่งเป็นผู้นำในตลาดโฟรเซนซีฟู้ดมองว่าภาพลักษณ์ของคู่แข่งอย่างซีพีคือจุดเด่นในเรื่องไก่ การจะชูไก่เพื่อสุขภาพหรือหมูเพื่อสุขภาพ ไม่สามารถสร้างจุดขายด้านสุขภาพได้อย่างชัดเจน ดังนั้นซีพีเอฟจึงหาลูกเล่นกับเมนูอื่นๆเพื่อขายความเป็นฟังก์ชันนอลในเรื่องสุขภาพ แต่กระนั้นพรานทะเลก็เชื่อว่าโพสิชันนิ่งในการเป็นอาหารทะเลจะสะท้อนจุดเด่นในเรื่องสุขภาพได้ดีกว่า Smart Meal ของซีพีเอฟ ในขณะที่สุรพล ฟู้ด เคยโปรโมตคำว่าสุรพล ซีฟู้ด แต่ในความเป็นจริงเมนูต่างๆมิได้สอดคล้อง เพราะติ่มซำซึ่งเป็นสินค้าเอกของสุรพลยังคงเป็นไส้หมู มิใช่ติ่มซำซีฟู้ด ทั้งนี้ พรานทะเลมีการปรับสโลแกนก่อนหน้านี้ประมาณ 3 เดือน เพื่อให้สอดคล้องกับภาพลักษณ์ในเรื่องสุขภาพจากที่เคยใช้ว่า ทางเลือกสดใหม่จากทะเล เปลี่ยนมาเป็น อาหารทะเลเพื่อสุขภาพ
     
      อย่างไรก็ดี ซีพีเอฟ มั่นใจว่า Smart Meal จะเป็น แบรนด์ที่แข็งแกร่งในกลุ่มอาหารกล่องแช่แข็งพร้อมทานเพื่อสุขภาพ และสามารถสร้างรายได้จากการเปิดตัวในปีแรกประมาณ 800 ล้านบาทของของตลาดอาหารกล่องแช่แข็งพร้อมทานในประเทศในปี 2551 ซึ่งถือว่าสูงกว่าพรานทะเลที่ทำตลาดในปีแรกได้ 300 ล้านบาท ทว่าในยุคนั้นผู้บริโภคไทยยังไม่ยอมรับอาหารสำเร็จรูปแช่แข็งเท่ากับยุคปัจจุบัน นอกจากนี้ซีพีเอฟยังตั้งเป้าที่จะขึ้นเป็นผู้นำในด้านอาหารกล่องแช่แข็งพร้อมทานเพื่อสุขภาพทั้งตลาดภายในประเทศและตลาดต่างประเทศ ดังจะเห็นได้จากการตั้งเป้ายอดขายในประเทศปีแรก
     
      ถ้าทำสำเร็จ ต้องเรียกได้ว่าเขย่าบัลลังก์พรานทะเลมิใช่น้อย เพราะพรานทะเลตั้งเป้ายอดขายปีนี้ซึ่งเป็นปีที่ 5 ไว้ 1,000 ล้านบาท ซึ่งมากกว่ายอดขายในประเทศที่ซีพีเอฟตั้งเป้าปีแรกไว้เล็กน้อย ในขณะที่ปีหน้าซีพีเอฟตั้งเป้าเติบโตไว้สูงถึง 50% นั่นหมายถึงยอดขาย 1,200 ล้านบาทในปีหน้า ซึ่งยังไม่รวมรายได้จากอาหารแช่แข็งแบรนด์อื่นๆที่ซีพีเอฟผลิต จึงถือได้ว่าเป็นผู้เล่นที่มีบทบาทสำคัญในการผลักดันตลาดอาหารสำเร็จรูปแช่แข็งมีการเติบโตแบบก้าวกระโดด
     
      พรานทะเล แตกแฟรกเมนต์
      ขยายฐาน เพิ่มความถี่ในการบริโภค

     
      ส่งผลให้พรานทะเลต้องเร่งสปีดในการขยายฐานลูกค้ากลุ่มใหม่ เนื่องจากตลาดโฟรเซนซีฟู้ดที่พรานทะเลเป็นผู้นำนั้นเป็นตลาดที่เล็ก มีมูลค่าเพียง 400 กว่าล้านบาทสำหรับอาหารแช่แข็งพร้อมปรุง และ 3,000 ล้านบาทสำหรับอาหารทะเลแช่แข็งพร้อมรับประทาน ดังนั้นพรานทะเลจึงต้องขยายฐานลูกค้ากลุ่มใหม่ เช่น การทำร้านซูชิเพื่อรองรับตลาดคนญี่ปุ่นในเมืองไทยซึ่งมีมากถึง 40,000 คนในกรุงเทพฯและปริมณฑล โดยมีการทำโบรชัวร์เป็นภาษาญี่ปุ่น พร้อมกับบริการดิลิเวอรี่ให้ลูกค้าในย่านสุขุมวิทซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีชาวญี่ปุ่นอาศัยมาก
     
      นอกจากนี้ก็ยังมีการทำตลาดแบรนด์ พรานไพร เพื่อขยายฐานลูกค้าที่ไม่ชอบอาหารทะเล โดยข้าวกล่องพรานไพรจะเป็นเมนูประเภท หมู ไก่ เช่น ข้าวมันไก่ ข้าวหมูน้ำแดง ข้าวขาหมู ข้าวไข่พะโล้ ข้าวหมกไก่ ข้าวแกงกะหรี่ไก่ ข้าวซี่โครงหมูอบ ข้าวผัดน้ำพริกลงเรือ ก๋วยเตี๋ยวคั่วไก่ และมักกะโรนีซอสมะเขือเทศไก่อบ โดยจำหน่ายในราคากล่องละ 49 บาท
     
      อาหารแช่แข็งพร้อมรับประทานก็เหมือนกับร้านข้าวแกงที่ผู้บริโภคไม่มีแบรนด์ลอยัลตี้มากนัก แต่ผู้บริโภคจะดูว่าร้านไหนมีเมนูให้เลือกมากกว่ากัน อาหารแช่แข็งก็เช่นกันต้องมีเมนูให้ผู้บริโภคเลือกมาก ถ้าไม่มีเมนูใหม่ๆดึงดูดให้เขาลอง เขาก็ไปหาแบรนด์อื่น อนุรัตน์ กล่าว
     
      ดังนั้นจึงมีการทำแฟรกเมนเตชั่นด้วยการลอนช์เมนูใหม่เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคในเชิงลึก โดยก่อนหน้านี้พรานทะเลมีการลอนช์อาหารแช่แข็งตามมื้อต่างๆ เช่น มื้อเช้าประกอบด้วย ข้าวต้มซีฟู้ด ราคา 26-29 บาท ข้าวต้มโกลด์ทะเล 59 บาท โจ๊กทะเล 39 บาท มื้อกลางวันประกอบด้วยเมนูอาหารภาคต่างๆกล่องละ 32 บาท เมนูรสจัดจ้าน 49 บาท ส่วนมื้อเย็นจำหน่ายเป็นชุดกับข้าว 2 อย่างราคาเริ่มต้นที่ 60 บาท
     
      ทว่าจากนี้ไปจะมีการซอยย่อยเมนูดังกล่าวเป็นเมนูมื้อเช้า กลางวัน เย็น สำหรับ เด็ก สำหรับผู้ใหญ่ สำหรับผู้ชาย หรือสำหรับผู้หญิง เนื่องจากผู้บริโภคแต่ละกลุ่มจะมีความต้องการและความชอบที่แตกต่างกัน โดยก่อนหน้านี้ สุรพล ฟู้ดส์ ก็มีการลอนช์ สุรพล ฟอร์ คิดส์ หรือเมนูสำหรับเด็ก
     
      ในขณะที่ Smart Meal ที่ชูเรื่องสุขภาพก็มีการแตกแฟรกเมนต์เป็นเมนูอาหารกลุ่มต่างๆ เช่น Smart Diet, Smart Health, Smart Veggie และ Smart Soup ซึ่งแต่ละกลุ่มตอบโจทย์ความต้องการด้านสุขภาพที่แตกต่างกันออกไป
     
      นอกจากนี้การแฟรกเมนเตชั่นยังเป็นการเพิ่มความถี่ในการบริโภคอาหารสำเร็จรูปแช่แข็ง เนื่องจากในอดีตอาหารประเภทนี้ถูกมองเป็นมื้อสำรอง หรือเป็นอาหารที่ผู้บริโภคคิดถึงเมื่อหาร้านอาหารไม่ได้โดยเฉพาะในช่วงค่ำหลังเลิกงานดึกๆ ซึ่งทำให้อาหารสำเร็จรูปแช่แข็งเป็นสินค้าที่ไกลตัว ดังนั้นจึงมีการผลิตเป็นเมนูประจำวันเหมาะสมกับมื้อต่างๆ เหมาะกับเพศและวัยต่างๆมากขึ้น เพื่อให้อาหารแช่แข็งเป็นส่วนหนึ่งของผู้บริโภค
     
      ชีลฟู้ด สร้างภาพลักษณ์สดใหม่
     
      การเคลื่อนตัวของยักษ์ใหญ่แห่งวงการอาหารอย่งซีพีเอฟเป็นตัวสะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพของตลาดอาหารสำเร็จรูปแช่แข็งได้เป็นอย่างดี ทว่ารูปแบบการแข่งขันในตลาดมิได้เป็นไปตามสเตปที่ซีพีเอฟเดิน
     
      หากจำกันได้ประมาณ 4-5 ปีที่แล้วที่พรานทะเลเบนเข็มจากผู้ผลิตอาหารแช่แข็งเพื่อการส่งออกมา หันมาสร้างแบรนด์ของตัวเองเพื่อรุกตลาดอาหารสำเร็จรูปแช่แข็งในประเทศ พร้อมกับการทุ่มงบการตลาดกว่า 120 ล้านบาท โดยมีโฆษณาออกมาหลายชุด โดยเฉพาะโฆษณาชุดปลาเก๋าที่สามารถสร้างการรับรู้และจดจำให้กับผู้บริโภคได้อย่างดี ซึ่งมีการสื่อสารในเรื่องของความสด ความอร่อย ควบคู่ไปกับคุณค่าทางโภชนาการพร้อมๆกัน
     
      ทว่าสเตปแรกของพรานทะเลคือการลอนช์อาหารสำเร็จรูปแช่แข็งพร้อมปรุง หรือ Ready to Cook เพื่อจับตลาดครอบครัว พ่อบ้าน แม่บ้าน ยุคใหม่วัย 25 ปีไปถึง 60 ปี ที่ต้องทำงานนอกบ้านด้วย แต่อยากโชว์ฝีมือในการเข้าครัว แต่ก็ไม่อยากยุ่งยากกับการขอดเกล็ดปลา แร่เนื้อปลา หรือแกะเปลือกกุ้ง จากนั้นพรานทะเลก็ก้าวสู่สเตป 2 ด้วยการลอนช์อาหารสำเร็จรูปแช่แข็งพร้อมรับประทาน หรือ Ready to Eat ซึ่งมีการออกเมนูรสชาติใหม่ๆเพื่อตอบสนองผู้บริโภควัย 25-40 ปี ที่ต้องการความรวดเร็ว ไม่พิถีพิถันกับมื้ออาหารมากนัก
     
      ในฐานะผู้จุดกระแสในตลาดทำให้หลายค่ายนำมาศึกษาเป็นโมเดลในการดำเนินธุรกิจ ซึ่งพรานทะเลภายใต้การกุมบังเหียนของ อนุรัตน์ โค้วคาสัย ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการตลาดและประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ พรานทะเล มาร์เก็ตติ้ง พยายามล้างทัศนคติที่ไม่ดีต่ออาหารสำเร็จรูปแช่แข็ง
     
      อาหารสำเร็จรูปแช่แข็งเป็นที่ยอมรับกันทั่วโลกว่ามีความสด ครบคุณค่าโภชนาการ แต่กระบวนการต้องดีด้วย ของจากทะเลขึ้นสู่เรือก็มีการแช่แข็งที่-20 องศาเซลเซียส และเมื่อนำมาละลายเข้าสู่กระบวนการปรุงแต่ง เสร็จแล้วก็แช่แข็งที่อุณหภูมิ-20 องศาฯ เมื่อไปถึงมือลูกค้าก็ยังคงความสดมากกว่าของสดในตลาดที่หลายครั้งน้ำแข็งกลบไปไม่ถึงด้านบน ทำให้อาหารขาดความสด สิ่งเหล่านี้ได้รับการยอมรับในต่างประเทศ และเราเองก็เห็นโอกาสในการทำตลาดในเมืองไทย อนุรัตน์ กล่าว
     
      สเตป 2 ของตลาดอาหารสำเร็จรูปแช่แข็งพร้อมรับประทานนอกจาจะมีอาหารแช่แข็งแล้ว มีเซกเมนต์ใหม่เกิดขึ้นคือ ชีลฟู้ด Chill Food หรืออาหารสำเร็จรูปแช่เย็นซึ่งมีความสดกว่าอาหารแช่แข็งเนื่องจากเก็บได้ 4-5 วัน ขณะที่อาหารแช่แข็งเก็บได้นาน 2 ปี และอาหารแช่เย็นเก็บไว้ที่อุณหภูมิเพียง 5 องศาเซลเซียส ทำให้หน้าตาของอาหารน่ารับประทานกว่าอาหารแช่แข็งที่ถูกปกคลุมด้วยน้ำแข็งเพราะต้องเก็บที่อุณหภูมิต่ำกว่า 0 องศาเซลเซียส อีกทั้งอาหารแช่เย็นยังใช้เวลาน้อยกว่าอาหารแช่แข็งในการอบด้วยไมโครเวฟ โดยอาหารแช่เย็นใช้เวลาเพียง 1-2 นาที ในขณะที่อาหารแช่แข็งต้องใช้เวลา 4-5 นาที
     
      พรานทะเลพยายามผลักดันให้อาหารกล่องเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตของผู้บริโภค ดังนั้นจึงมีการผุดร้าน พรานทะเล ฟาสต์ ซีฟู้ด เพื่อให้ผู้บริโภคได้สัมผัสรสชาติความอร่อยและความสดของอาหารแช่แข็งจนเกิดความคุ้นเคย ตลอดจนการเปิดร้านพรานทะเลตามสถานีรถไฟฟ้าบีทีเอส 22 แห่ง รถไฟฟ้าใต้ดิน 3 แห่ง สถานีรถไฟหัวลำโพง และตามฟู้ด คอร์ท ในห้างสรรพสินค้าต่างๆ โดยนำอาหารสำเร็จรูปแช่เย็นมาปรุงจำหน่ายเพื่อเจาะกลุ่มลูกค้ารุ่นใหม่ นอกจากนี้ยังมีจำหน่ายในคอนวีเนียนสโตร์ และไฮเปอร์มาร์เกต ซูเปอร์มาร์เกต
     
      นอกจากนี้ชีลฟู้ดยังได้รับความสนใจจากเทสโก้ โลตัส จึงมีการว่าจ้างพรานทะเลผลิตข้าวกล่องแช่เย็นภายใต้ชื่อ เรดี้ มีล ให้กับเทสโก้ โลตัส พร้อมกับการใช้พรีเซ็นเตอร์คือ โอ๋-ภัคจีรา วรรณสุทธิ์ เพื่อสร้างการรับรู้ไปสู่กลุ่มเป้าหมายอย่างรวดเร็ว และเป็นอีกแรงหนึ่งในการผลักดันให้ตลาดข้าวกล่องมีการเติบโตเนื่อง
     
      ที่ประเทศอังกฤษตลาดอาหารแช่แข็งกับตลาดอาหารแช่เย็นมีขนาดตลาดพอๆกัน การที่พรานทะเลไม่ได้เน้นไปที่อาหารแช่เย็นพร้อมๆกับการทำตลาดอาหารแช่แข็งเนื่องจากเราบุกตลาดอาหารแช่แข็งซึ่งยังอยู่ในยุคเริ่มต้น เราจึงต้องทุ่มเทให้กับตรงนั้นมากกว่า เมื่อโลตัสให้เราผลิตให้เราก็ไม่แข่งกับโลตัส ส่วนการที่โลตัสเลือกที่จะเข้าสู่ตลาดอาหารแช่เย็นก็เนื่องมากจากต้องการสร้างความแตกต่างเพราะในตลาดข้าวกล่องแช่เย็นยังไม่ค่อยมีผู้เล่นมากนัก ถ้าโลตัสทำสำเร็จ สามารถสร้างตลาดให้โตเท่าอาหารสำเร็จรูปแช่แข็ง เท่ากับว่าตลาดอาหารแช่เย็นเป็นของโลตัสเกือบหมด อนุรัตน์ กล่าว
     
      ต่างจังหวัดบูมไม่แพ้เมืองกรุง
      ข้าวกล่องแทนข้าวแกง

     
      ปัจจุบันพฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนไปมาก เราสำรวจตลาดเมื่อ 5 ปีที่แล้ว มีคนรู้จักอาหารแช่แข็งเพียง 5% วันนี้ผู้บริโภคกว่า 50% ที่รู้จัก และทดลองบริโภคอาหารแช่แข็ง ตู้แช่ที่เคยมีแต่ติมซำ ซาลาเปา ไอศกรีม วันนี้มีข้าวกล่องแช่แข็งให้ผู้บริโภคได้ซื้อหามากขึ้น ไม่เว้นแม่ตลาดต่างจังหวัดที่ผู้บริโภครู้จักโดยเราไม่ต้องมาอธิบายว่าดีอย่างไร ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลจากตอนเรารุกตลาดในปีแรกมีการโหมโฆษณาสร้างการรับรู้ และลูกค้าก็จดจำเราได้จากโฆษณาชุดปลาเก๋า โฆษณาไปถึง สินค้าไปถึง ทำให้เขาบริโภคสินค้าไม่ต่างจากคนกรุงเทพฯ อนุรัตน์ กล่าว
     
      ทั้งนี้สัดส่วนยอดขายพรานทะเลในต่างจังหวัดมากพอๆกับกรุงเทพฯ จึงเป็นเครื่องชี้ให้เห็นว่าแนวโน้มการบริโภคอาหารสำเร็จรูปแช่แข็งได้รับความนิยมมากขึ้น ส่งผลให้โครงสร้างตลาดมีการเปลี่ยนแปลงจากเดิมที่เคยซื้อของสดตามตลาดเปลี่ยนมาสู่การซื้ออาหารสำเร็จรูปแช่แข็งพร้อมปรุง โดยวัยของลูกค้าเริ่มลดลงจากคนมีครอบครัวมาสู่คนรุ่นใหม่ที่ซื้อไปใส่ในบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ในขณะที่อาหารแช่แข็งพร้อมรับประทานถูกสำรองในตู้เย็นเพื่อที่จะหยิบออกมาบริโภคได้ตลอดเวลา
     
      นับแต่วันที่พรานทะเลเปิดตลาดอาหารสำเร็จรูปแช่แข็งพร้อมรับประทาน ซึ่งในยุคนั้นมีเพียงค่ายสุรพลฟู้ด กับ เอสแอนด์พี เท่านั้น แต่วันนี้มีแบรนด์ต่างๆกระโดดเข้าสู่สมรภูมิแช่แข็งมากมายไม่ว่าจะเป็น ค่าย PFP ที่ผันตัวจากผู้ส่งออกอาหารทะเลแช่แข็งโดยมีการแตกแบรนด์ ทัพพี สำหรับข้าวกล่องแช่แข็ง ส่วนแบรนด์ PFP จะเป็นอาหารแช่แข็งพร้อมปรุง ค่ายไอ-อิ่มที่รุกตลาดเมื่อ 3 ปีที่แล้วด้วยกลยุทธ์ราคาช่วงแนะนำ 19 บาท จากปรกติ 25 บาท ทำให้ตลาดอาหารแช่แข็งพร้อมรับประทานมีการขยายตัวมากขึ้น เนื่องจากในอดีตอาหารแช่แข็งจะมีราคาเริ่มต้นที่ 49 บาท ซึ่งทำให้ผู้บริโภคจับต้องได้ยาก และยังมีอีกหลายแบรนด์ที่ให้ความสนใจกับตลาดดังกล่าวมากขึ้น
     
      ทว่าวันนี้ตลาดที่ถูกขยายฐานลูกค้าไปสู่กลุ่มแมส กำลังพลิกโฉมไปสู่การเจาะตลาดเฉพาะกลุ่มมากขึ้น ด้วยเมนูที่ถูกพัฒนาในเชิงลึกเพื่อให้สอดคล้องกับกลุ่มเป้าหมายแต่ละกลุ่ม
http://www.manager.co.th/Business/ViewN ... 0000130515
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news05/11/07

โพสต์ที่ 78

โพสต์

วงจรอุบาทว์เศรษฐกิจอุบัติ ธุรกิจประมงเจ๊งระนาวยกแผง [ ฉบับที่ 842 ประจำวันที่ 3-11-2007 ถึง 6-11-2007]  
ประมงไทยถึงคราววิกฤติปิดกิจการระนาว เหตุ น้ำมันถีบตัวพุ่งไม่หยุด แบกค่า ขนส่งบาน หนำซ้ำ แรงงานยังระส่ำ อุตฯ เกี่ยวข้องกระทบ เป็นลูกโซ่ ทั้งห้องเย็น-โรงงาน แปรรูป-โรงงานอาหารสัตว์ อาหารปลาขึ้นราคายกล็อต ห้างค้าปลีกสบช่องปรับราคาอาหารแช่แข็งเงียบ 5 บาท

นายธนกฤต ปิยสิรินันท์ รองประธานหอการค้าจังหวัดสมุทรปราการ และเจ้าของกิจการเรือโชคพามา เปิดเผย สยามธุรกิจ ว่า สถานการณ์ผู้ประกอบการประมงนอกน่าน น้ำขณะนี้อยู่ในขั้นที่ต้องบอกว่า วิกฤติอย่างมาก


เนื่องจากราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้เรือที่ออกหาปลาต้องประสบภาวะขาดทุนทุกเที่ยว เพราะฉะนั้นเรือส่วนใหญ่เมื่อกลับจากหาปลาแล้วจะไม่ออกไปอีก เนื่องจากไม่คุ้มทุน ยอมจอดเรือทิ้งไว้เฉยๆ หรือไม่ก็ขายกิจการต่อ ยกเว้นเรือที่ซื้อสัมปทานปีต่อปี ต้องทำจนกว่าจะหมดสัมปทาน หลังจากนั้นก็อาจจะหยุดกิจการหรือเลิกกิจการไปเลย

ปัจจุบันมีผู้ประกอบการจับปลาทะเลนอกน่านน้ำหยุดกิจการแล้วประมาณ 10% เป็นเรือที่กลับจากทะเลแล้วไม่ออกไปอีก ยังไม่นับเรืออีกจำนวนหนึ่งที่อยู่ระหว่างการจับปลาและเรือที่ซื้อใบสัมปทานปีต่อปี ถ้ารวมจำนวนี้เข้าไปอีกก็น่าจะเพิ่มอีกไม่ต่ำกว่า 20-30% นายธนกฤต กล่าว

นายธนกฤตยังกล่าวอีกว่าผลกระทบที่เกิดจากการหยุดกิจการที่เห็นชัดเจนอย่างแรกคือแรงงานในอุตสาหกรรมนี้จะตกงานแน่นอน ซึ่งมีทั้งแรงงานไทยและแรงงานต่างชาติ รวมถึงอุตสาหกรรมเกี่ยวข้องที่จะต้องได้รับผลกระทบ อาทิ อุตสาหกรรมห้องเย็น อุตสาหกรรมโรงงานแปรรูป อุตสาหกรรมอาหารสัตว์ ซึ่งจะขาดวัตถุดิบป้อนกำลังการผลิต ฯลฯ อุตสาหกรรมเกษตรเช่น ผู้เลี้ยงปลา เลี้ยงไก่ เลี้ยงกุ้ง ฯลฯ ที่ต้องใช้วัตถุดิบจากปลาเป็นอาหารก็ต้องขาดแคลหรือต้องซื้อในราคาที่สูงขึ้นเนื่องจากปลามีน้อย นอกจากนี้ยังส่งผลกระทบต่อผู้บริโภคปลาทั่วไปที่จะต้องซื้อปลาราคาแพง

อย่างไรก็ตาม นายธนกฤตยอมรับว่าทางรอดของผู้ประกอบการนั้นมีทางเดียวคือต้องจับปลาให้มากขึ้นซึ่งในภาวะอย่างในปัจจุบันนี้แทบจะไม่มีทางเป็นไปได้ หรืออีกทางหนึ่งคือการขึ้นราคาปลาตามราคาน้ำมัน นั่นหมายความว่าอุตสาหกรรมอาหารในตลาดเช่นปลากระป๋อง ปลาทู ปลาทะเล ก็ต้องมีราคาแพงตาม ซึ่งก็ยอมรับว่าเป็นการเพิ่มภาระให้แก่ผู้บริโภค โดยเฉพาะในภาวะเช่นนี้ถือเป็นเรื่องหนักหนาสาหัส แต่ก็คงไม่สมารถหาทางออกอื่นที่ดีกว่านี้ได้

สมัยก่อนเราซื้อน้ำมันลิตรละ 13 บาท แต่ปัจจุบันต้องซื้อในราคา 28 บาท สูงขึ้นกว่า 100% ในขณะราคาปลาขึ้นจาก 20 บาทเป็น 22 บาท นับเป็นสัดส่วนที่ไม่สอดคล้องกัน เพราะฉะนั้นอีกไม่นานราคาปลาจะต้องขึ้นอีกแน่นอน แต่อย่างไรก็ตาม ถ้าราคาน้ำมันยังพุ่งขึ้นไม่หยุดก็ยังจะมีการปิดกิจการอย่างต่อเนื่อง เพราะทำไปก็ขาดทุน ตอนนี้ผู้ประกอบการพูดกันว่าแค่ออกเรือไปกลับมาเสมอตัวก็ถือว่าโชคดีแล้ว และการออกเรือแต่ละเที่ยวใช้เวลานานหลายเดือน เมื่อเข้าฝั่งแต่ละครั้งเจ้าของเรือต้องเตรียมเงินต่อเที่ยวไม่น้อยกว่า 15 ล้านบาท สำหรับเงินเดือนค้างจ่าย เงินค่าซ่อมเรือ เงินค่าซื้อสัมปทานรายเดือน ซึ่งถ้าไม่มีเงินสำรองตรงนี้ก็ต้องขายกิจการ ซึ่งราคาเรือก็ตกต่ำอย่างมาก ตอนซื้อมาราคา 10 ล้านบาทขายต่อได้เต็มที่ไม่เกิน 2 ล้านบาท และหาคนซื้อยาก เพราะคนซื้อต่อไปแล้วก็ยังเสี่ยงต่อการทำธุรกิจ และส่วนหนึ่งก็นำไปดัดแปลงใช้เป็นเรือโยงขนส่งทางน้ำแทน

นายธนกฤตยังกล่าวอีกว่าสำหรับน้ำมันเขียวที่รัฐบาลออกมาตรการมาช่วยเหลือชาวประมงด้วยการลดราคาต่อลิตรถูกกว่าน้ำมันปกติลิตรละ 2 บาทนั้น มีเงื่อนไขว่าต้องใช้กับเรือที่จับปลาในอ่าวไทยเท่านั้น ไม่สามารถให้บริการเรือที่จับปลานอกน่านน้ำได้ ซึ่งหากจะให้เรือจับปลานอกน่านน้ำใช้น้ำมันเขียวก็ต้องไปตกลงกับประเทศที่เข้าไปจับปลาในน่านน้ำของเขา เช่นอินโดนีเซีย มาเลเซีย พม่า เพื่อส่งน้ำมันผ่านไปยังประเทศดังกล่าวโดยมีขั้นตอนด้านศุลกากรเข้ามาเกี่ยวข้อง ซึ่งเบ็ดเสร็จแล้วน้ำมันพิเศษที่นำออกมาขายอาจแพงกว่าซื้อน้ำมันปกติก็ได้

ด้านนายสถิต วีรรัตนวรรณ กรรมการผู้จัดการบริษัท ชัยเจริญมารีน (2002) จำกัด เจ้าของแพปลาจังหวัดปัตตานี เปิดเผย สยามธุรกิจ ว่าได้รับผลกระทบจากราคาน้ำมันอย่างมาก แต่ยังออกเรือหาปลาอย่างต่อเนื่อง โดยนำปลาที่จับได้มาแปรรูปเป็นลูกชิ้นปลา เต้าหู้ปลา ส่งขายทั้งในและต่างประเทศ โดยตลาดในประเทศนั้นมีทั้งทำส่งขายให้กับโรงงานทั่วไปและขายปลีกโดยตรงกับผู้บริโภค ซึ่งที่ผ่านมาก็ได้ปรับราคาขึ้นไปบ้างแล้ว ซึ่งลูกค้าก็เข้าใจ อย่างไรก็ตาม ในภาวะอย่างนี้เชื่อว่าผู้ประกอบการทุกรายต้องปรับขึ้นราคาแน่ เพราะถ้าไม่ปรับอยู่ไม่ได้

ไปสำรวจได้เลยตอนนี้ราคาอาหารในห้างค้าปลีกปรับขึ้นแล้ว 4 -5 บาท คือในระหว่างที่รัฐบาลกำลังเจรจาเพื่อขอความร่วมมือให้ขายราคาเดิมไปก่อนจนกว่าจะสิ้นปี แต่ขณะที่คุยกันไปเขาก็แอบปรับราคาเงียบๆ พอรัฐบาลไฟเขียวให้ขึ้นก็ใช้ราคานั้นเลย ถ้ารัฐบาลไม่ยอมให้ขึ้นก็ค่อยกลับมาใช้ราคาเดิม แต่เป็นไปไม่ได้ที่รัฐบาลจะไม่ยอมให้ขึ้นราคา เพียงแต่ว่าในระหว่างนี้เขาโกยราคาใหม่ไปแล้วไม่รู้เท่าไหร่ นายสถิต กล่าว

นางสาวอาภรณ์ สุขเจริญ เจ้าหน้าที่บริษัท สามัคคีการประมง จำกัด บริษัททำธุรกิจห้องเย็น เปิดเผย สยามธุรกิจ โดยปกติบริษัทรับฝากผลิตภัณฑ์สัตว์น้ำทุกประเภท ถ้าพูดถึงเฉพาะปลาช่วงนี้มีปริมาณลดลง ซึ่งยอมรับว่าส่วนหนึ่งมาราคาน้ำมันที่สูงขึ้นทำให้ผู้ประกอบการออกหาปลาน้อยลง ทำให้รายได้ในส่วนนี้ของบริษัทพลอยได้รับผลกระทบตามไปด้วย

สมัยก่อนปริมาณปลาที่ลดลงมาจากการปิดอ่าวหรือเกิดลมพายุทำให้เรือออกหาปลาไม่ได้ แต่ปัจจุบันไม่ว่าจะปิดอ่าวหรือไม่ปิดอ่าวปลาก็ลดจำนวนลง ซึ่งมีผลกระทบต่ออุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องทั้งระบบ

ด้านนายกิตติพงษ์ เจริญ ผู้จัดการบริษัท ปิติห้องเย็น จำกัด เปิดเผย สยามธุรกิจ ว่าปัจจุบันพื้นที่ของห้องเย็นที่ให้บริการรับฝากปลามีประมาณ 20-30%ที่เหลือเป็นผลิตภัณฑ์ประเภทอื่น ซึ่งปลาส่วนใหญ่เป็นปลาที่จับจากนอกน่านน้ำ อย่างไรก็ตาม ผลกระทบจากปริมาณการจับปลาที่น้อยลงยังไม่รุนแรงเท่ากับปัญหาการแข่งขันในอุตสาหกรรมห้องเย็นซึ่งปัจจุบันมีปริมาณห้องเย็นมากเกินไป ทำให้เกิดการแข่งขันด้วยการตัดราคา

โดยปกติบริการห้องเย็นมี 3 ประเภทคือ 1.ห้องเย็นบริการรับฝากสินค้าอย่างเดียว 2.ห้องเย็นที่ผลิตสินค้าด้วยและรับฝากสินค้าด้วย 3.ห้องเย็นที่ผลิตสินค้าอย่างเดียว เฉพาะในจังหวัดสมุทรปราการมีห้องเย็นประมาณ 13 แห่งในปีที่แล้วเปิดเพิ่มอีก 3-4 แห่ง ขณะที่ปริมาณสินค้ารับฝากในตลาดเท่าเดิม กลายเป็นว่าผู้ประกอบการห้องเย็นต้องมาตัดราคากันเองเพื่อแย่งลูกค้า ปัจจุบันนอกจากจำนวนห้องเย็นที่มากเกินจนต้องแข่งขันด้วยสงครามราคาแล้ว ความผันผวนของค่าเงินบาทก็ทำให้ผู้ประกอบการส่งออกนำเข้าผลิตภัณฑ์แช่แข็งไม่ต้องการสต็อกสินค้าด้วยการใช้บริการห้องเย็นทำให้รายได้ยิ่งน้อยลง เมื่อมาผสมกับราคาน้ำมันที่ทำให้การจับปลาในทะเลน้อยลงอุตสหกรรมห้องเย็นก็มีแต่ทรงกับทรุด เชื่อว่านับจากนี้คงไม่มีใครกล้าสร้างห้องเย็นใหม่แน่นอน นายกิตติพงษ์ กล่าว  
http://www.siamturakij.com/home/news/di ... ws_id=8389
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news07/11/07

โพสต์ที่ 79

โพสต์

รัฐฟุ้งโละสต๊อกข้าวเก่า รีดเงินคืนเฉียดหมื่นล้าน

โพสต์ทูเดย์ รัฐเคาะขายข้าว 8.88 แสนตัน ให้เอกชน 39 ราย หลังต่อรองได้ราคาเพิ่ม 402 ล้านบาท รวมขายยกล็อตเกือบหมื่นล้าน


นางอภิรดี ตันตราภรณ์ อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ กล่าวว่า กระทรวงพาณิชย์ได้อนุมัติขายข้าวสารในสต๊อกรัฐบาลให้เอกชน 39 ราย รวม 8.88 แสนตัน จากปริมาณเปิดประมูลทั้งหมด 9.1 แสนตัน

ทั้งนี้ เป็นผลจากที่เรียกเอกชนต่อรองราคาเพิ่มจากราคาที่เสนอประมูลได้ถึง 402 ล้านตัน ทำให้รัฐบาลได้เงินจากการขายข้าวสารครั้งนี้รวมเป็นเงิน 9.93 พันล้านบาท ลดภาระเก็บรักษาข้าวได้เดือนละ 25 ล้านบาท หรือปีละ 301 ล้านบาท

ผลการอนุมัติขายข้าว 8.88 แสนตัน แบ่งเป็น ข้าวหอมมะลิไทย 100% ชั้น 2 ปี 2548/49 เพื่อจำหน่าย หรือส่งออกต่างประเทศ อนุมัติขาย 200,783 ตัน ราคาตันละ 1.55-1.763 หมื่นบาท

ข้าวหอมจังหวัดปี 2547/48 เพื่อจำหน่ายในประเทศ อนุมัติขาย 45,173 ตัน ราคาตันละ 1.3-1.44 หมื่นบาท ข้าวขาว 5% ปี 2547/48 เพื่อจำหน่ายภายในประเทศ อนุมัติขาย 139,208 ตัน ราคาระหว่าง ตันละ 9-9.65 พันบาท ข้าวขาว 5% นาปรัง ปี 2548 เพื่อจำหน่ายภายในประเทศ อนุมัติขาย 133,020 ตัน ราคาระหว่างตันละ 9.32-9.53 พันบาท

ข้าวขาว 5% ปี 2548/49 เพื่อส่งออกต่างประเทศ อนุมัติขาย 269,219 ตัน ราคาระหว่างตันละ 9.35-9.75 พันบาท

ข้าวขาว 25% เลิศ ปี 2547/48 เพื่อส่งออกต่างประเทศ อนุมัติขาย 15,039 ตัน ราคาตันละ 8.5 พันบาท ขายให้ 1 รายและข้าวขาว 25% เลิศ ปี 2548/49 เพื่อส่งออก ไปต่างประเทศ อนุมัติขาย 85,878 ตัน ราคาระหว่างตันละ 8.7-9.03 พันบาท

นางอภิรดี กล่าวเพิ่มเติมว่า แนวโน้มการส่งออกข้าวในปีนี้ก็อยู่ในเกณฑ์ดี เดือน ต.ค. ส่งออกข้าวได้สูงสุดในรอบปีนี้ 1.1 ล้านตัน เพิ่มขึ้นจากเดือนที่ผ่านมาถึง 2.5 แสนตัน ส่งผลให้ 10 เดือนแรก (ม.ค.-ต.ค.) ส่งออกข้าวได้รวม 7.27 ล้านตัน มูลค่า 9.36 หมื่นล้านบาท
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=202146
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news07/11/07

โพสต์ที่ 80

โพสต์

ปุ๋ย-ยาปราบศัตรูพืช-อาหารสัตว์ขยับราคา

โดย Post Digital 7 พฤศจิกายน 2550 18:32 น.

กรมการค้าภายในไฟเขียว ปุ๋ย-ยาปราบศัตรูพืช-อาหารสัตว์ขยับราคา หลังพบต้นทุนราคาสินค้าขยับเพิ่มขึ้นจริง แต่ขอให้ทบทวนการปรับราคาก่อนยื่นข้อมูลอีกครั้ง คาดจะปรับราคาใหม่ประมาณต้นปีหน้า

นายยรรยง พวงราช อธิบดีกรมการค้าภายใน กล่าวภายหลังประชุมร่วมกับกลุ่มปุ๋ย ยาป้องกันปราบศัตรูพืช และอาหารสัตว์ ว่า ทั้ง 3 กลุ่มได้แจ้งต้นทุนการผลิต โดยส่วนใหญ่มีการนำเข้าจากต่างประเทศ ประกอบกับได้รับผลกระทบจากต้นทุนขนส่งค่อนข้างมาก แม้ว่าทั้ง 3 กลุ่มพยายามลดต้นทุน แต่เนื่องจากส่วนใหญ่จะผลิตสินค้าแบบครบวงจร จึงไม่สามารถแบกรับภาระต้นทุนที่สูงขึ้นได้ กรมฯ จึงเห็นว่าผลกระทบดังกล่าวที่เกิดขึ้นจำเป็นต้องอนุมัติให้ปรับราคาสินค้าทั้ง 3 กลุ่มได้ แต่ให้กลับไปพิจารณาผลกระทบและให้ยื่นข้อมูลกลับมาให้กรมฯ พิจารณาอีกครั้ง โดยให้แบบสมเหตุสมผล อย่าฉวยโอกาส และเมื่อปรับแล้วจะไม่ส่งผลกระทบต่อผู้บริโภคโดยตรง ทั้งนี้คาดว่าทั้ง 3 กลุ่มจะสามารถปรับราคาใหม่ประมาณต้นปีหน้า


นายยรรยงกล่าวว่า หากดูต้นทุนวัตถุดิบ เช่น ข้าวโพด จากราคา 4 บาท เพิ่มเป็น 8 บาทต่อกิโลกรัม ปุ๋ย จาก 250-260 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน เป็น 300 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน ยาปราบศัตรูพืช จาก 29 ดอลลาร์สหรัฐ เป็น 30 ดอลลาร์สหรัฐต่อกิโลกรัม ปลาป่น จาก 18 บาท เป็น 20 บาทต่อกิโลกรัม ซึ่งเป็นต้นทุนที่สูงขึ้น หากดูผลกำไรแยกเป็นกลุ่มปุ๋ยมีกำไรเพียงร้อยละ 2 ยาปราบศัตรูพืช กำไรร้อยละ 4 อาหารสัตว์ กำไรร้อยละ 2.4-2.8 ซึ่งถือว่าน้อยมากเมื่อเทียบกับกลุ่มสินค้าอื่น จึงเห็น่วาหากจะมีการจขอปรับขึ้นราคาสินค้าก็จะต้องดูถึงผลกระทบต่อต้นทุนที่แท้จริง ซึ่งกรมฯ ไม่ขัดข้อง สำหรับสินค้าทั้ง 3 กลุ่มไม่กระทบต่ออัตราเงินเฟ้อโดยตรง แต่จะกระทบทางอ้อม

ทั้งนี้ ที่ผ่านมามีผู้ประกอบการขอปรับสินค้ามา 5 ราย แบ่งเป็นปุ๋ย 4 ราย ยาปราบศัตรูพืช 1 ราย เชื่อว่าการเสนอขอข้อมูลผลกระทบต้นทุนมาให้กรมการค้าใหม่ กรมฯ จะพิจารณาให้รอบคอบ ทั้งนี้ มีผู้เสนอขอปรับราคาสินค้าและยื่นมาใหม่ คือ อาหารกระป๋อง ซึ่งกรมฯ อยู่ระหว่างการพิจารณาต้นทุนที่แท้จริง ส่วนกลุ่มสินค้ามาม่ายังไม่ได้ยื่นขอปรับราคามาใหม่ แต่หากยื่นมาก็จะขอร้องให้ช่วยตรึงราคาไปจนถึงต้นปีหน้า เพื่อลดผลกระทบ
http://www.posttoday.com/breakingnews.php?id=202224
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news08/11/07

โพสต์ที่ 81

โพสต์

ครม.ไฟเขียวยุทธศาสตร์ข้าว5ปีทุ่มพันล้านรักษาเบอร์1โลก

6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2550 15:29:00

ครม.ไฟเขียวยุทธศาสตร์ข้าวไทยระยะ 5 ปี พร้อมอนุมัติงบ 959 ล้านบาท ดำเนินการในปีงบ 2551ตั้งเป้าไทยเป็น ผู้นำ คุณภาพข้าวและผลิตภัณฑ์ข้าวอันดับหนึ่งของโลก

กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ : นายไชยา ยิ้มวิไล โฆษกประจำสำนักรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) มีมติเห็นชอบยุทธศาสตร์ข้าวไทย ระยะ 5 ปี (พ.ศ.2550-54) วงเงิน 3.87 พันล้านบาท พร้อมอนุมัติงบประมาณปี 2551 วงเงิน 959 ล้านบาท สำหรับใช้ดำเนินการตามแผนงานและโครงการในปีงบ 2551 ส่วนงบประมาณที่ใช้ดำเนินการในปีงบ 2552-54 วงเงิน 2.91 พันล้านบาทนั้น ให้กระทรวงพาณิชย์เสนอที่ประชุมครม.อนุมัติเป็นรายปีงบประมาณไป

ทั้งนี้ รัฐบาลกำหนดให้มียุทธศาสตร์ข้าวเพื่อแก้ปัญหาข้าวอย่างเป็นระบบทั้งระยะสั้น ระยะปานกลางและระยะยาว เพื่อสร้างความเข้มแข็งให้ระบบการผลิต การค้าข้าวทั้งภายในและต่างประเทศอย่างยั่งยืน โดยภายใต้ยุทธศาสตร์ข้าวไทยดังกล่าว ได้กำหนดวิสัยทัศน์ให้ไทยเป็นผู้นำคุณภาพข้าวและผลิตภัณฑ์ข้าวเป็นหนึ่งของโลก เพื่อเกษตรกรมีรายได้มั่นคง และผู้บริโภคมั่นใจ

พร้อมกำหนดพันธกิจไว้ 4 ด้าน ได้แก่
1.การจัดการระบบการผลิตและพัฒนาเกษตรกร
2.การจัดระบบตลาดและพัฒนาผลิตภัณฑ์
3.การผลักดันการส่งออก และ
4.การจัดระบบการกระจายสินค้าให้มีต้นทุนต่ำและรวดเร็ว
http://www.bangkokbiznews.com/2007/11/0 ... sid=199528
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news10/11/07

โพสต์ที่ 82

โพสต์

วงจรธุรกิจอ้อย-นาตาลโคม่า [ ฉบับที่ 844 ประจำวันที่ 10-11-2007 ถึง 13-11-2007]  
> กองทุนฯหนี้สินล้นพ้นตัวชาวไร่-โรงงานเล่นชักดาบ

ลางหายนะเปิดหีบอ้อยฤดูผลิตปี 50/51 รัฐบาลช็อก! ชาวไร่ส่งสัญญาณอาจไม่จ่ายค่าชดเชย 200 บาท หลัง กอน.เคาะราคาขั้นต้นต่ำติดดิน 600 บาทต่อตัน ทั้งที่ต้นทุน การผลิตอยู่ที่ 807 บาทต่อตัน เหตุเพราะรัฐมนตรีอยู่ใน ช่วงสุญญากาศ แถมอาจซวยซ้ำสองโดนโรงงานเบี้ยวค่าเกี่ยวอ้อย ที่จะขนเข้าสู่สายการผลิตในวันที่ 23 พ.ย.นี้ เนื่อง จากโรงงานขาดสภาพคล่องชวดหนี้กว่า 9 พันล้าน ซึ่งกองทุน อ้อยฯ บอกตรงๆ ว่ายังไม่รู้จะหาเงินที่ไหนมาจ่าย

นายบัญชา คันธชมภู รองผู้อำนวยการสำนักงานกอง ทุนอ้อยและน้ำตาลทราย เปิดเผย สยามธุรกิจ ว่าคณะกรรม-การอ้อยและน้ำตาลทราย (กอน.) ได้ประกาศราคาอ้อยขั้นสุดท้ายประจำฤดูการผลิต 2549/2550 ออกมาแล้วโดยมีราคาอยู่ที่ 750 บาทต่อตัน ซึ่ง ต่ำกว่าราคาอ้อยขั้นต้นที่โรงงาน จ่ายให้กับชาวไร่อ้อยคือ 800 บาทต่อตัน

เท่ากับว่ากองทุนฯจะต้องหาเงินคืนโรงงาน 50 บาทต่อตัน หรือคิดเป็นเงินประมาณ 5 พันกว่าล้านบาท นอกจากนี้ค่าผลตอบแทนการผลิต ซึ่งใน พ.ร.บ.อ้อยและน้ำตาลทรายกำหนดว่า ถ้าราคาอ้อยขั้นต้นสูงกว่าราคาอ้อยขั้นสุดท้ายกองทุนฯต้องจ่ายเงินชดเชยในส่วนนี้ รวมแล้วตัวเลขจำนวนเงินที่กองทุนจะต้องใช้คืนโรงงานจะอยู่ที่ 9 พันกว่าล้านบาท โดยในเบื้องต้นกองทุนฯจะชดใช้โดยวิธีหักเงิน 2 พันล้านบาทจากหนี้ที่โรงงานค้างชำระกองทุนฯอยู่ ส่วนอีก 3 พันล้านบาทใช้วิธีหักกลบลบหนี้กับเงินในอนาคตที่โรงงานจะต้องส่งเข้ากองทุน เท่ากับว่าจะมีหนี้คงค้างอีก 4 พันล้านบาท ซึ่งกองทุนยอมรับตามตรงว่าไม่รู้จะหาเงินจากที่ไหนมาจ่าย

อย่างไรก็ตาม หลังกอน.ประกาศราคาอ้อยขั้นสุดท้ายแล้วจะต้องนำเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาและลงประกาศในราชกิจจานุเบกษา ซึ่งต้องใช้เวลาอีกระยะหนึ่ง เพราะขณะนี้ยังไม่มีการกำหนดว่าจะนำเรื่องดังกล่าวเข้าสู่วาระการประชุมของคณะรัฐมนตรีเมื่อใด

ขณะเดียวกันที่ประ ชุมกอน.ได้มีการประกาศราคาอ้อยขั้นต้น ฤดูการผลิตอ้อยปี 2550/2551 ซึ่งกำหนดราคา 600 บาทต่อตัน ต่ำกว่าราคาอ้อยขั้นต้นฤดูการผลิตปี 2549/2550 ซึ่งให้ในราคา 800 บาทต่อตัน เนื่องจากการแข็งค่าของเงินบาท จาก 37 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯในปี 2549 เป็น 33 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯในปี 2550 ประกอบกับราคาน้ำตาลในตลาดโลกลดลง นั่นหมายความว่ากองทุนฯมีหน้าที่ต้องหาเงินมาชดเชยส่วนต่างให้ชาวไร่ในราคาเท่าเดิม

เรื่องการกู้เงินมาชดเชยส่วนต่างดังกล่าวคงไม่มีปัญหาเพราะใช้แหล่งเงินกู้ของรัฐบาลได้ แต่ปัญหาคือเมื่อกู้เงินมาแล้วจะหาเงินไหนไปคืน เพราะลำพังเงินใช้คืนโรงงานก็ยังไม่จบ ซึ่งเข้าใจว่าผลผลิตอ้อยปีนี้น่าจะมีไม่ต่ำกว่า 70 ล้านตัน หากต้องชดเชยเงินตันละ 200 บาท กองทุนฯจะต้องใช้เงินมากถึง 1.4 หมื่นล้านบาท นายบัญชา กล่าว

อย่างไรก็ตามแหล่งข่าวในอุตสาหกรรมอ้อยได้เปิดเผย สยามธุรกิจ ว่าเงินที่กองทุนฯต้องใช้คืนโรงงานครั้งนี้ถือเป็นวงเงินที่สูงมากเป็นประวัติศาสตร์ การคำนวณราคาอ้อยขั้นต้นกับขั้นสุดท้ายเคยเกิดความผิดพลาดมาประมาณ 45 ครั้งแต่วงเงินไม่สูงมากเหมือนครั้งนี้ ซึ่งการคำนวณราคาอ้อยขั้นต้นปี 49/50 นั้นต้องบอกว่าสูงเกินเหตุ ซึ่งในการประชุมคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลเมื่อปีการผลิต 48/49 ในรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ กองทุนฯก็เคยคัดค้านแล้วว่าเป็นราคาที่สูงมากเกินไป เพราะคำนวณอย่างไรก็ไม่น่าจะสูงถึง 800 บาทต่อตัน แต่รัฐบาลก็ยืนยันให้ราคานั้นกับชาวไร่อ้อย เมื่อมาถึงปีการผลิต 49/50 ในยุครัฐบาล คมช.ก็ยึดเอาตามราคาเดิม โดยวัดจากปัจจัยขณะนั้นคือราคาน้ำตาลในตลาดโลกอยู่ที่ 13.5 เซ็นต์ต่อปอนด์ แต่ต่อมาราคาลดลงไปที่ 11.5 เซ็นต์ต่อปอนด์ อัตราแลกเปลี่ยนขณะนั้น 37 บาท วันนี้เหลือแค่ 33 บาท เรียกว่าปัจจุบันทุกตัวเป็นลบหมด ประกอบกับอ้อยปีการผลิต 49/50 มีมากถึง 64 ล้านตัน เงินที่ต้องใช้คืนโรงงานเลยสูงถึง 9 พันล้านบาท

แหล่งข่าวคนดังกล่าวยังกล่าวต่อไปว่าหลังประกาศราคาอ้อยขั้นสุดท้ายในพระราชกิจจานุเบกษาแล้วยังมองไม่ออกว่ากองทุนฯจะหาเงินที่ไหนมาใช้คืนโรงงานได้ทัน เพราะคงไม่สามารถกู้จาก ธ.ก.ส.ได้ เนื่องจากที่ผ่านมาการกู้เงินจาก ธ.ก.ส.ต้องกู้เพื่อช่วยเหลือชาวไร่อ้อยเท่านั้น เช่น การคำนวณราคาอ้อยขั้นต้น 600 บาทต่อตัน แต่ชาวไร่บอกว่ามีต้นทุน 800 บาทต่อตัน กองทุนฯก็ต้องไปกู้เงินมาช่วยเหลือส่วนต่างตรงนั้น แต่การกู้เงินเพื่อมาใช้คืนโรงงานยังไม่เคยทำมาก่อน และเงินที่สูงขาดนี้ ธ.ก.ส.คงไม่ปล่อยกู้ ซึ่งกองทุนเองก็ยังมีหนี้อีกถึง 1.3 หมื่นล้านบาทที่ยังไม่ใช้คืน ธ.ก.ส. ส่วนกรณีให้รัฐบาลช่วยเหลือโดยนำงบประมาณแผ่นดินมาแก้ปัญหาก็เป็นไปได้ยาก ซึ่งกรณีนี้เคยทำครั้งเดียวสมัยรัฐบาลบรรหาร ศิลปอาชา ซึ่งวงเงินขณะนั้นก็เพียง 500 ล้านบาท ประกอบกับขณะนี้ WTO ก็จับตามองอยู่ ถ้านำเงินงบประมาณแผ่นดินมาใช้คืนโรงงาน เขาก็จะกล่าวหาเราได้ว่าให้การอุดหนุนเกษตรกรในประเทศในลักษณะที่ขัดกับ WTO

ต้องยอมรับว่าสถานการณ์เวลานี้อยู่ในภาวะมืดมนมาก ทางออกที่พอมองเห็นเวลานี้ก็คือโรงงานยังมีหนี้ค้างชำระกองทุนอยู่ 2 พันล้านบาทถ้าหักจากเงินติดค้าง 9 พันล้านบาทก็จะเหลือ 7 พันล้านบาท และถ้าหักอีก 3 พันล้านบาทที่กองทุนฯบอกว่าจะหักกลบลบหนี้กับเงินที่โรงงานจะต้องส่งเข้ากองทุนฯเป็นระยะจนกว่าจะหมดก็เท่ากับว่ากองทุนฯยังมีหนี้ติดค้างโรงงานอีก 4 พันล้านบาท ซึ่งยังมองไม่เห็นทางว่าจะหาได้จากที่ไหน แม้จะขอเงินที่รัฐบาลอนุญาตให้ขึ้นราคาน้ำตาลเมื่อวันที่ 7 มีนาคม 2549 กิโลกรัมละ 3 บาท โดยขอให้กระทรวงอุตสาหกรรมตัดให้กองทุนฯกิโลกรัมละ 1 บาท เพื่อนำเงินจากส่วนนี้อีก 2 พันล้านบาทต่อปี ไปค้ำประกันขอกู้เงินจาก ธ.ก.ส.แต่ก็อย่างที่บอกแล้วว่าการกู้เงินจาก ธ.ก.ส.เพื่อมาใช้หนี้โรงงานเป็นเรื่องที่ทำได้ยาก

สรุปก็คือว่าถ้ากองทุนฯหาเงินใช้หนี้ไม่ได้ อาจทำให้โรงงานบางแห่งไม่มีเงินใช้หนี้แบงก์ ซึ่งอาจกระทบกับธุรกรรมโดยรวมของโรงงาน เพราะโรงงานบางแห่งมีหนี้ส่วนอื่นกับแบงก์นอกเหนือจากเงินจ่ายค่าเกี๊ยวอ้อยดังกล่าว ซึ่งอาจทำให้ไม่สามารถขอสินเชื่อเพื่อใช้ในฤดูเปิดหีบอ้อยซึ่งจะเปิดหีบในวันที่ 23 พฤศจิกายนนี้ได้ นั่นก็หมายความว่าโรงงานบางแห่งอาจไม่มีเงินจ่ายค่าอ้อย หรือจ่ายได้เพียงเงินสดบางส่วน และจ่ายเป็นเช็คอีกจำนวนหนึ่ง ซึ่งไม่การันตีว่าเช็คที่สั่งจ่ายนั้นจะติดสปริงหรือเปล่า

แต่สิ่งที่เลวร้ายกว่านั้นคือเมื่อราคาอ้อยขั้นต้นฤดูผลิตปี 50/51 ซึ่งประกาศราคา 600 บาทต่อตัน แม้กองทุนฯยืนยันว่าจะชดเชยส่วนต่างให้ชาวไร่ตันละ 200 บาทตามราคาต้นทุนการผลิต แต่ในทางกฎหมายไม่ได้ระบุว่ากองทุนฯจะต้องปฏิบัติตามนั้น (ต่างกับการชดใช้ส่วนต่างราคาอ้อยขั้นต้นกับขั้นสุดท้ายซึ่งกฎหมายกำหนดว่าถ้าราคาอ้อยขั้นสุดท้ายถูกกว่าอ้อยขั้นต้นกองทุนฯต้องหาเงินมาชดใช้ส่วนต่างให้กับโรงงานซึ่งจ่ายเงินให้กับชาวไร่ไปแล้ว) การจ่ายเงินชดเชยส่วนต่างให้กับชาวไร่ขึ้นอยู่คณะรัฐมนตรีว่าจะชดเชยให้หรือไม่ หรือชดเชยเท่าไหร่ กองทุนฯมีหน้าที่ทำเรื่องเสนอเพื่อทราบ หลังจากรัฐบาลอนุมัติแล้วจึงทำหน้าที่หาเงินมาชดเชยตามจำนวน ซึ่งน่าเป็นห่วงว่ารัฐบาลชุดนี้อยู่ในช่วงสุญญากาศ จึงไม่แน่ใจว่าจะชดเชยส่วนต่างให้หรือเปล่า ซึ่งหากไม่มีการชดเชยหรือชดเชยน้อย จะสร้างความเดือดร้อนให้กับกลุ่มชาวไร่อ้อยอย่างมาก

สถานการณ์ชาวไร่อ้อยปีนี้ลำบากมาก แหล่งข่าวกล่าว

ด้านนายจำรูญ ชินธรรมมิตร ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท น้ำตาลขอนแก่น จำกัด (มหาชน) เปิดเผย สยามธุรกิจ ว่าอยากให้กองทุนฯเร่งจ่ายเงินคืนโรงงงานเร็วหน่อย เพื่อโรงงานจะได้นำเงินไปคืนแบงก์แล้วขอสินเชื่อเพื่อใช้จ่ายค่าผลผลิตอ้อยปีหน้าต่อไป ซึ่งเชื่อว่ากองทุนฯคงไม่มีปัญหาเรื่องแหล่งเงินกู้ เนื่องจากธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์พร้อมให้กู้ เพราะมีโควตาน้ำตาลค้ำประกัน ส่วนการจะคืนเพียงบางส่วนก่อนนั้นก็ขึ้นกับการเจรจากับแบงก์ที่ปล่อยสินเชื่อให้โรงงานว่าจะยอมหรือไม่ ถ้าแบงก์ยอมก็ไม่มีปัญหา

โดยส่วนตัวผมยังเชื่อว่ากองทุนสามารถหาเงินมาคืนได้ เพราะปัญหาเหล่านี้เป็นเรื่องที่รู้ล่วงหน้าอยู่แล้ว ถ้ากองทุนฯไม่สามารถหาเงินมาจ่ายได้ทันตามกำหนดก็ต้องประกาศให้ชัดเจนว่าจะคืนได้เมื่อไหร่ ทางออกหนึ่งคือกองทุนฯควรให้รัฐบาลมาค้ำประกันเงินก้อนนี้แล้วเปลี่ยนเป็นโอนหนี้ใช้คืนแบงก์เลย ไม่ต้องคืนมาที่โรงงานก็ได้ ซึ่งถ้าแบงก์มั่นใจว่าได้เงินคืนแน่ก็จะยอมปล่อยสินเชื่อก้อนใหม่ให้โรงงานเพื่อนำไปจ่ายค่าอ้อยฤดูผลิตใหม่ที่จะเข้าสู่โรงงานในเดือนนี้ แต่ถ้าเงินก้อนนี้ไม่ชัดเจนว่าจะใช้คืนเมื่อไหร่ แบงก์อาจไม่ปล่อยสินเชื่อให้โรงงานหรือปล่อยน้อยกว่าราคาอ้อยขั้นต้น ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้นอาจทำให้โรงงานมีปัญหาไม่มีเงินจ่ายให้ชาวไร่อ้อย นายจำรูญ กล่าว

ส่วนในเรื่องราคาอ้อยขั้นต้นฤดูผลิตปี 2550/2551 ที่อยู่ในราคา 600 บาทต่อตันนั้นนายจำรูญมองว่าเป็นราคาที่ต่ำเกินไป ไม่คุ้มกับต้นทุนการผลิต อย่างน้อยควรได้ 800 บาทต่อตันเท่าเดิม อย่างไรก็ตาม รัฐบาลควรรีบจ่ายเงินชดเชยส่วนต่างให้เร็วที่สุดก่อนที่ชาวไร่อ้อยจะถอดใจหันไปปลูกพืชอย่างอื่นแทน

ด้านนายณัฐปัญญ์ ศิรวิริยะกุล กรรมการกลุ่มอุตสาหกรรมน้ำตาล สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เปิดเผย สยามธุรกิจ ว่ากองทุนฯน่าจะเตรียมข้อมูลว่าจะนำเงินจากตรงไหนมาใช้คืนโรงงาน เพราะช่วงนี้หลายโรงงานก็เจอปัญหาขาดสภาพคล่องเนื่องจากเงินไปจมอยู่ในกองทุนฯ อย่างไรก็ตาม ถ้ากองทุนฯจะใช้งบประมาณภาครัฐหรือกู้จาก ธ.ก.ส.โดยให้รัฐบาลค้ำประกัน ต้องอธิบายให้ชัดเจนว่าต้องการนำเงินจำนวนดังกล่าวไปช่วยเหลือชาวไร่อ้อย เพราะชาวไร่อ้อยได้รับเงินไปเกินจำนวน แต่แทนที่ชาวไร่จะต้องมารับผิดชอบใช้คืนโรงงาน กองทุนฯก็เข้ามาช่วยเหลือแทน ไม่ใช่เป็นเงินที่นำมาอุดหนุนโรงงาน เนื่องจากเงินดังกล่าวโรงงานจ่ายไปแล้ว

ขณะที่นายนราธิป อนันตสุข หัวหน้าสมาคมกลุ่มชาวไร่อ้อยเขต 7 กาญจนบุรี เปิดเผย สยามธุรกิจ ว่าราคาอ้อยขั้นต้นฤดูผลิตปี 2550/2551 ที่ประกาศออกมาเป็นความเห็นชอบของคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย ซึ่งเมื่อเสนอเข้าสู่การประชุมคณะรัฐมนตรีอาจมีการปรับราคาขึ้นอีก อย่างไรก็ตาม ถ้าราคายังเป็นไปตามที่คณะกรรมการอ้อยกำหนดคือ 600 บาท/ตัน คงต้องขอให้รัฐบาลชดเชยเงินส่วนต่างให้ชาวไร่อ้อยตันละ 200 บาท เนื่องจากต้นการผลิตตอนนี้อยู่ที่ 807 บาทต่อตัน

ต้องยอมรับว่าแม้ชาวไร่จะได้ราคา 800 บาทต่อตันก็ยังต่ำกว่าต้นทุนการผลิต ซึ่งเงินช่วยเหลือดังกล่าวคงไม่สามารถช่วยแก้วิกฤติให้ชาวไร่อ้อยได้ สมาคมกลุ่มชาวไร่อ้อยจึงได้ทำหนังสือถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมช่วยเหลืออีกทางในลักษณะเงินให้เปล่า ซึ่งปัจจุบันมีเกษตรกรเปลี่ยนจากอาชีพอื่นหันมาปลูกอ้อยจำนวนมากขึ้น เนื่องจากราคาที่ดีในปีที่ผ่านมา ทำให้ผลผลิตปีนี้สูงกว่าปีก่อนหน้า โดยปัจจุบันมีชาวไร่อ้อยประมาณ 3 แสนราย นายนราธิป กล่าว

ปัจจุบันผลผลิตอ้อยยังอยู่ในช่วงเก็บเกี่ยว คาดว่าจะขนเข้าโรงงานได้ในวันที่ 23 พฤศจิกายน ซึ่งต้องรออีก 15 วันกว่าโรงงานจะลงบัญชี และจะจ่ายเงินให้ชาวไร่อ้อยได้ในวันที่ 21 เดือนถัดไป โดยจะจ่ายเป็นเงินสดครึ่งหนึ่งและเช็คเงินสดอีกครึ่งหนึ่ง ซึ่งหากชาวไร่ต้องการเงินสดทั้งหมดก็ต้องนำเช็คดังกล่าวไปขึ้นเงินกับธนาคารโดยยอมเสียดอกเบี้ย ส่วนเงินชดเชยอีก 200 บาทนั้นยังกำหนดไม่ได้ว่ารัฐบาลจะช่วยเหลือหรือไม่อย่างไรดังได้กล่าวแล้ว  
http://www.siamturakij.com/home/news/di ... 12DDS45231
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news10/11/07

โพสต์ที่ 83

โพสต์

'ไทยฮั้ว'ลุยลาวปลูกยาง2แสนไร่ +คอนแทร็กต์อีกแสนไร่ เล็งแผนสองผุดโรงงานรองรับ  
"ไทยฮั้วยางพารา" ข้ามแม่น้ำโขงลงทุนธุรกิจยางพาราครบวงจรในลาว ประเดิมปลูกยาง 2 แสนไร่ คอนแทร็กฟาร์มมิ่งอีกแสนไร่ พร้อมเตรียมตั้งโรงงานรองรับ เผยเป็นนักลงทุนไทยเจ้าแรกที่เข้าไปลงทุนยางพาราในลาว หลังจีน เวียดนามนำหน้าไปก่อน ส่วนในไทยขยายน้ำยางข้นกับยางแท่งหยุดยางแผ่นรมควันเพราะพฤติกรรมผู้ผลิตผู้ใช้เปลี่ยน

นายหลักชัย กิตติพล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไทยฮั้วยางพารา จำกัด (มหาชน) เปิดเผยกับ "ฐานเศรษฐกิจ" ว่าปีที่ผ่านมาบมจ.ไทยฮั้วยางพารา ได้เข้าไปลงทุนปลูกยางพาราในสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) โดยร่วมทุนกับนักธุรกิจลาวตั้งบริษัท ลาวไทยฮั้วยางพารา จำกัด สัดส่วนร่วมทุน 51:49 ขึ้นมาดำเนินธุรกิจ มีเป้าหมายปลูกยางพารา 200,000 ไร่ ภายในระยะเวลา 5 ปี (ปี2549-2553)ขณะนี้ได้ปลูกไปจำนวนหนึ่งแล้วปีหน้าคาดว่าจะได้ 100,000 ไร่ และ2ปีสุดท้ายอีก 100,000 ไร่

"เหตุที่บมจ.ไทยฮั้วฯเข้าไปลงทุนปลูกยางพาราในลาว เนื่องจากพื้นที่ปลูกยางในประเทศไทยที่เป็นทำเลลักษณะที่ดินผืนเดียวกันเป็นจำนวนหลักหมื่นไร่ หรือหลักแสนไร่ ไม่มีแล้วหากจะปลูกต้องปลูกเป็นหย่อมๆ แหล่งละหลักร้อยไร่หรือหลักพันไร่เท่านั้น ซึ่งการลงทุนในนามบริษัทต้องมีการบริหารมีความจำเป็นต้องใช้พื้นที่ดินผืนใหญ่จึงได้เข้าไปปลูกที่ลาวซึ่งยังมีที่ดินผืนใหญ่อยู่ โดยบมจ.ไทยฮั้วฯนับเป็นักลงทุนไทยรายแรกที่เข้าไป ส่วนนักลงทุนประเทศอื่นที่เข้าไปแล้วคือจีนและเวียดนาม ซึ่งจีนเข้าไปเมื่อสองปีที่แล้ว เวียดนามเข้าไปปีที่แล้ว"นายหลักชัยกล่าวและว่า

ทั้งนี้สำหรับพื้นที่จำนวน200,000 ไร่ ที่บริษัทมีเป้าหมายเข้าไปปลูกยางพาราในลาว เป็นสัญญาเช่านาน 40 ปี หากครบกำหนดสามารถต่อได้อีก 40 ปี นอกจากนี้บริษัทยังได้เข้าไปทำคอนแทร็กฟาร์มมิ่งกับเกษตรกรในลาวอีกจำนวน 100,000 ไร่ รวมเป็นพื้นที่ปลูกยางของบริษัททั้งหมด 300,000 ไร่ ซึ่งบริษัทฯจะมีการตั้งโรงงานผลิตขึ้นมารองรับคาดว่าประมาณ 2-3 โรง ภายหลังจากที่ต้นยางใกล้กรีดน้ำยางได้ ส่วนจะเป็นโรงงานผลิตยางประเภทใดต้องดูสถานการณ์ตลาดและทิศทางความต้องการใช้ยางว่าต้องการประเภทใดมากที่สุดจะลงทุนตั้งโรงงานประเภทนั้น เพราะการตั้งโรงงานใช้เวลาไม่นาน

นายหลักชัย กล่าวถึงการขยายธุรกิจยางพาราในประเทศไทย ของกลุ่มไทยฮั้วยางพารา ว่า ปัจจุบันธุรกิจยางพาราของกลุ่มไทยฮั้วฯประกอบด้วยยางแท่ง ยางแผ่นรวมควันและน้ำยางข้น ขณะนี้ได้มีนโยบายหยุดขยายธุรกิจยางแผ่นรมควันแล้ว เนื่องจากสถานการณ์เปลี่ยนไปทั้งผู้ใช้และผู้ผลิตโดยผู้ใช้ยางหันไปใช้ยางแท่งมากขึ้นเพื่อลดต้นทุน ส่วนผู้ผลิตคือชาวสวนยางหลังจากที่ราคาน้ำยางแพงชาวสวนหันไปขายน้ำยางแทนที่จะทำยางแผ่นดิบป้อนให้กับโรงงานผลิตยางแผ่นรมควันทำให้โรงงานวัตถุดิบไม่เพียงพอ

ส่วนการขยายธุรกิจยางแท่งและน้ำยางข้นรวมถึงยางประเภทอื่นๆ ปีนี้ได้ใช้เงินลงทุนประมาณ 100 ล้านบาท สร้างโรงงานผลิตน้ำยางข้นที่จังหวัดสกลนคร ขนาดกำลังผลิต 2,000 ตันต่อเดือน เริ่มเดินเครื่องผลิตได้ปลายเดือนนี้ ซึ่งโรงงานที่จังหวัดสกลนครได้ตั้งขึ้นมาเพื่อรองรับผลผลิตยางพาราจากพื้นที่โครงการส่งเสริมปลูกยาง 1 ล้านไร่ ของรัฐบาลด้วยขณะเดียวกันบริษัทได้ปลูกยางในพื้นที่ดังกล่าว และที่จังหวัดกระบี่อีก 1 โรง อยู่ระหว่างเตรียมตั้งโรงงานผลิตยางแท่งทางภาคใต้อีก 1 โรง ขนาดกำลังผลิต 60,000 ตันต่อปี ขณะนี้อยู่ระหว่างการเลือกทำเลที่ตั้ง นอกจากนี้ได้ร่วมทุนกับบริษัท SEAGIFT ผู้ผลิตล้อยางรายใหญ่จากจีนลงทุนผลิตยางผสมสารเคมี (Compound Rubber) ที่จังหวัดระยอง กำลังผลิต 25,000 ตันต่อปี คาดว่าจะเดินเครื่องผลิตได้ราวเดือนมกราคมปีหน้า โดยเบื้องต้นจะเดินเครื่องผลิตที่ 12,000 ตันก่อน โครงการนี้ใช้เงินลงทุนประมาณ 80 ล้านบาท

สำหรับพื้นที่ปลูกยางพาราในประเทศไทย กลุ่มไทยฮั้วฯได้ลงทุนปลูกเช่นเดียวกัน แต่มีเป้าหมายต่ำกว่าที่ลาว โดยตั้งเป้าพื้นที่ปลูกไว้ประมาณ 50,000 ไร่ ซึ่งขณะนี้ได้ปลูกไปแล้ว 30,000-40,000 ไร่ เนื่องจากในไทยมีพื้นที่จำนวนจำกัด

เขากล่าวตอนท้ายถึงเป้าหมายรายได้รวมของกลุ่มไทยฮั้วฯว่า ปี 2551 คาดว่าจะมีรายได้รวมทั้งสิ้นประมาณ 22,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีนี้ที่คาดว่าจะมีรายได้รวม 20,000 ล้านบาท  
http://www.thannews.th.com/detialnews.p ... issue=2268
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news13/11/07

โพสต์ที่ 84

โพสต์

อาชว์ เตาลานนท์ จี้รัฐปล่อยราคาสินค้าเกษตรลอยตัว
Posted on Tuesday, November 13, 2007
นายอาชว์ เตาลานนท์ รองประธานกรรมการ เครือเจริญโภคภัณฑ์ บอกว่า รัฐบาลควรปล่อยให้ราคาสินค้าเกษตรลอยตัว เนื่องจากปัจจุบันเกษตรกรได้แบกรับต้นทุนสูงขึ้น จนรายได้ลดลงมาก ทั้งนี้ หากเกษตรกรมีรายได้ที่ดีขึ้น ก็จะทำให้มีเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจมากขึ้น

ในส่วนการปรับขึ้นราคาสินค้าของกลุ่ม ซี.พี. ขณะนี้ยังไม่ได้ขอปรับขึ้นอย่างเป็นทางการ แต่เชื่อว่าหากต้นทุนปรับตัวสูงขึ้น โดยเฉพาะจากราคาน้ำมันที่เป็นต้นทุนการขนส่งอยู่ที่ 20 - 30% ก็มีแนวโน้มที่จะขอปรับราคาสินค้าของกลุ่มขึ้นอย่างแน่นอน

สำหรับนโยบายที่อยากให้รัฐบาลชุดใหม่ดำเนินการ คือ เร่งสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุน โดยเฉพาะชาวต่างชาติ และพยายามหาทางเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันของไทยให้เท่าเทียมกับประเทศเพื่อนบ้าน รวมถึงหามาตรการที่ชัดเจนในการแก้ปัญหาน้ำมันที่สูงขึ้น โดยควรเร่งใช้พลังงานทดแทนจากพืช เช่น ข้าวโพด มันสำปะหลัง และอ้อย

นายอาชว์บอกอีกว่า สิ่งสำคัญที่จะต้องจับตาดูปีหน้าคือปัญหาการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก ที่คาดว่าจะขยายตัวเพียง 4.8% จาก 5.2% ในปีนี้ เนื่องจากปัญหาวิกฤต Subprime และต้องติดตามดูปัญหาราคาน้ำมัน ซึ่งปีหน้าคาดว่าราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกเฉลี่ยทั้งปีจะอยู่ที่ 85 เหรียญ จากเดิมที่คาดว่าจะอยู่ที่ 71 เหรียญ ซึ่งจะส่งผลให้ต้นทุนการผลิตสูงขึ้น แต่สำหรับเศรษฐกิจในเอเชียเชื่อว่าจะยังคงขยายตัวเติบโตต่อเนื่อง ทั้งจีน อินเดีย และเวียดนาม ที่ขยายตัวในระดับ 8 - 10% ขณะที่ไทยคาดว่าจะขยายตัวได้ 4.5 - 5% ดีขึ้นกว่าปีนี้ที่ขยายตัวประมาณ 4 - 4.5% เนื่องจากการบริโภคและการลงทุนจะฟื้นตัวหลังการเลือกตั้ง

ในส่วนการส่งออก คาดว่า จะขยายตัวได้เพียง 10.3% ในปีหน้า คิดเป็นมูลค่าประมาณ 1.6 แสนล้านเหรียญสหรัฐ เนื่องจากเศรษฐกิจโลกชะลอตัว และเงินบาทจะแข็งค่ามาอยู่ที่ระดับ 33 บาทต่อดอลลาร์
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mon ... fault.aspx
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news16/11/07

โพสต์ที่ 85

โพสต์

เอกชนจี้รัฐรับมือมาเลเซีย ยึดพม่าปลูกปาล์มแข่งไทย  
มาเลเซียเสือปืนไว ยึดหัวหาดพม่าเขตตะนาวศรีกว่า 200,000 ไร่ให้เอกชนเข้าส่งเสริมปลูกปาล์ม ก่อนเดินแผนตั้งโรงสกัดและกลั่นครบวงจร ด้านผู้ประกอบการไทยเต้น ชี้ระยะยาวมีผลกระทบต่อฐานตลาดไทย มีแนวโน้มจะถูกมาเลย์เบียดแย่งตลาด จี้ภาครัฐเร่งส่งเสริมศักยภาพการผลิต และขยายพื้นที่ปลูกปาล์ม สร้างความพร้อมรับมือคู่แข่ง


นายสมชาย สุทธิรักษาวงศ์ ประธานกรรมการ บริษัท ชุมพรอุตสาหกรรมน้ำมันปาล์ม จำกัด และประธานสภาอุตสาหกรรมจังหวัดชุมพร เปิดเผยกับ"ฐานเศรษฐกิจ"ว่า ขณะนี้ทางประเทศมาเลเซีย ซึ่งเป็นคู่แข่งอุตสาหกรรมปาล์มของไทย ได้เข้ามาเช่าสัมปทานพื้นที่ปลูกปาล์มในสหภาพพม่า บริเวณเขตตะนาวศรีซึ่งมีพรมแดนติดกับจังหวัดระนองถึงจังหวัดเกาะสองแล้วไม่ต่ำกว่า 200,000 ไร่ ตามนโยบายของรัฐบาลมาเลเซียที่ต้องการส่งเสริมและขยายพื้นที่การปลูกปาล์มออกนอกประเทศ เนื่องจากพื้นที่ในประเทศที่มีอยู่ไม่สามารถรองรับได้อีกต่อไป

" การที่ผมทราบเรื่องนี้ เนื่องจากก่อนหน้าทางภาคเอกชนของไทย และผมได้เดินทางเข้าไปยังสหภาพพม่า เพื่อดูสภาพพื้นที่ที่รัฐบาลทหารพม่าประกาศให้สัมปทานระยะยาวในการปลูกพืชด้านการเกษตรโดยเฉพาะปาล์มน้ำมัน และยางพาราในย่านเขตตะนาวศรีนับล้านไร่ ซึ่งเป็นสภาพพื้นที่มีความน่าสนใจมาก เพราะมีสภาพภูมิศาสตร์ ทำเลที่ตั้งที่เหมาะแก่การปลูกปาล์ม หรือยางพาราเป็นอย่างมาก แต่ที่เอกชนไทยไม่กล้าเข้าไปลงทุน เนื่องจากยังหวั่นว่านโยบายของรัฐบาลทหารพม่า จะมีการเปลี่ยนแปลงบ่อย ซึ่งเกรงว่าจะมีความเสี่ยง

นายสมชายกล่าวต่อว่า การที่ภาคเอกชนรายใหญ่ของมาเลเซียเข้าไปขยายพื้นที่ปลูกปาล์มได้ เป็นเพราะได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาล ทั้งการเข้าไปเจรจา และการค้ำประกัน ทำให้ภาคเอกชนมั่นใจและกล้าเสี่ยงลงทุน ซึ่งการลงทุนในครั้งนี้ มาเลเซียจะใช้เป็นฐานวัตถุดิบเพื่อป้อนอุตสาหกรรมในประเทศ และที่สำคัญหวังใช้เป็นฐานรุกเข้าไปยังพื้นที่อื่นเพื่อหาแหล่งปลูกปาล์มในสหภาพพม่าอนาคต โดยเป็นการเข้ามาทำครบวงจรทั้งโรงสกัดและโรงกลั่น

ที่ผ่านมาประเทศไทยครองส่วนแบ่งตลาดในสหภาพพม่ามากสุดเป็นสัดส่วนกว่า 50% โดยเฉพาะน้ำมันปาล์มที่กลั่นแล้ว ส่วนน้ำมันปาล์มดิบปัจจุบันประเทศไทยมีการส่งออกไปยังประเทศมาเลเซียและสาธารณรัฐอินโดนีเซียประมาณ 10-20% ของปริมาณผลผลิตในประเทศ ขึ้นอยู่กับภาวะตลาด ดังนั้นการที่มาเลเซียมาตั้งฐานผลิตในสหภาพพม่าแน่นอนย่อมมีผลกระทบต่อผู้ประกอบการไทยแน่ ไม่เกิน 10 ปีจากนี้ เพราะปาล์มใช้เวลาไม่นาน 3-5 ปี ก็สามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตได้

" สิ่งที่ไทยต้องเร่งดำเนินการ คือ การพัฒนาศักยภาพการผลิต ปริมาณผลผลิตต่อไร่ ซึ่งสถานการณ์ปัจจุบันราคาปาล์มอยู่ระดับ 4.50-5 บาทต่อกิโลกรัม ถือว่าเหมาะสมอย่างยิ่งต่อการเร่งส่งเสริมให้มีการขยายพื้นที่การปลูกปาล์มน้ำมันในประเทศให้เพิ่มมากขึ้น เพื่อรองรับทั้งภาคอุตสาหกรรม และนโยบายด้านพลังงานทดแทน ที่คาดว่าจะต้องใช้ปริมาณปาล์มดิบจำนวนมหาศาลในการรองรับความต้องการ โดยเฉพาะโครงการพลังงานทดแทน ซึ่งหากนโยบายการพัฒนาศักยภาพ และการส่งเสริมขยายพื้นที่การปลูกปาล์มของไทยยิ่งล่าช้าก็จะส่งผลเสียต่อศักยภาพการแข่งขันที่ลดลงเช่นกัน

ปัจจุบันพื้นที่ปลูกปาล์มในประเทศมีทั้งหมดประมาณ 1.5 ล้านไร่ ผลผลิตปาล์มสดทั้งทะลายมีปริมาณ 2.78 ล้านตันต่อปี ผลิตน้ำมันปาล์มได้ประมาณกว่า 5 แสนตันต่อปี โดยพื้นที่เขตเศรษฐกิจปาล์มน้ำมันของไทย ได้แก่ จังหวัดกระบี่ สุราษฏร์ธานี ชุมพร สตูล ตรัง ประจวบคีรีขันธ์ ระนอง นครศรีธรรมราช ,สงขลา และพังงา โดยมีพื้นที่ปลูกปาล์มน้ำมันทั้งสิ้นประมาณ 1.3 ล้านไร่

ด้านนายวรพงษ์ กลางประพันธ์ เกษตรจังหวัดชุมพร เปิดเผยว่า จากแนวโน้มความต้องการบริโภคที่เพิ่มขึ้นทั้งในประเทศและต่างประเทศ ส่งผลให้เกิดการขยายตัวของอุตสาหกรรมแปรรูปปาล์มน้ำมัน รวมถึงการเกิดขึ้นของโรงกลั่นน้ำมันไบโอดีเซล ทำให้เกิดความวิตกถึงผลผลิตปาล์มน้ำมันดิบที่จะนำมาป้อนโรงงาน และภาคอุตสาหกรรมมีไม่เพียงพอกับความต้องการ จนส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมและแผนงาน รวมถึงแนวนโยบายต่างๆของรัฐ โดยเฉพาะพลังงานทดแทน ทำให้ขณะนี้ทางกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้เตรียมเดินหน้าแผนการขยายพื้นที่ปลูกปาล์มน้ำมันอีกครั้ง เพื่อรองรับความต้องการที่จะเกิดขึ้นในอนาคต

โดยมีการตั้งเป้าหมายไว้ว่านับจากนี้จะหาแนวทางส่งเสริมให้เกษตรกรขยายพื้นที่ปลูกปาล์มน้ำมันให้ได้ไม่ต่ำกว่า 500,000-1 ล้านไร่ต่อปี โดยจะเน้นในเขตพื้นที่ 14 จังหวัดภาคใต้เป็นหลัก เนื่องจากมีสภาพทางภูมิศาสตร์ที่เอื้ออำนวย โดยกลุ่มเป้าหมาย คือ พื้นที่นาร้าง และสวนผลไม้ รวมถึงสวนยางพาราเดิม ซึ่งจะต้องหาทางทำความเข้าใจ และชี้แจงให้เห็นถึงผลดีที่จะเกิดขึ้นในอนาคต เหตุที่ภาครัฐต้องเร่งหาทางส่งเสริมอุตสาหกรรมปาล์มในประเทศอย่างเร่งด่วนในขณะนี้เป็นเพราะปาล์มน้ำมันเป็นพืชที่มีศักยภาพในการแข่งขันสูงกว่าพืชน้ำมันอื่นๆ ทั้งยังสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้อย่างหลากหลายทั้งในสินค้าอุปโภคและบริโภค ส่งผลให้ส่วนแบ่งการผลิตน้ำมันปาล์มต่อน้ำมันพืชโลก มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องและรวดเร็ว

จาก 11.71% ในช่วงปี 2519-2543 มาเป็น 27.48% ในปี 2544-2548 และคาดว่าน้ำมันปาล์มจะมีส่วนแบ่งการผลิตน้ำมันพืชโลกเป็น31.24% ในปี 2559-2563 สำหรับอุตสาหกรรมน้ำมันปาล์มของไทยมีอัตราการขยายตัวสูงเช่นกัน โดยพื้นที่ปลูกเพิ่มขึ้นจาก 69,625 ไร่ ในปี 2520 เป็น 2.04 ล้านไร่ในปี 2548 และคาดว่าในอีก 10 ข้างหน้าจะเพิ่มเป็น 10 ล้านไร่

นายมนตรี เมืองพรหม ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตรเขต 8 สุราษฏร์ธานี ซึ่งรับผิดชอบดูแลในเขตพื้นที่ 7 จังหวัดภาคใต้ตอนบน เปิดเผยว่า จากโครงการปลูกปาล์มน้ำมันเพื่อรองรับนโยบายพลังงานทดแทนที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้มอบหมายให้กรมส่งเสริมการเกษตร สำนักงานเกษตรจังหวัดและสำนักงานเกษตรอำเภอต่างๆ รับไปดำเนินการนั้น ปรากฏว่าขณะนี้ในพื้นที่ 7 จังหวัดภาคใต้ตอนบนที่อยู่ในความรับผิดชอบของสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตรเขต 8 ประกอบด้วยสุราษฏร์ธานี กระบี่ ชุมพร ระนอง พังงา ภูเก็ต และนครศรีธรรมราช ปรากฏว่าได้มีเกษตรกรที่มีพื้นที่มีพื้นที่เหมาะสมในการปลูกปาล์มสนใจเข้าร่วมโครงการเป็นจำนวนมากกว่า 20,000 ราย

ทั้งนี้เพราะราคาปาล์มน้ำมันที่มีแนวโน้มที่ดีมาอย่างต่อเนื่องตลอดช่วงปีที่ผ่านมา และยังเป็นเพราะ มีการนำน้ำมันปาล์มไปผลิตไบโอดีเซลเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ อันเป็นผลจากราคาน้ำมันเชื้อเพลิงที่ปรับตัวสูงขึ้น โดยผลผลิตปาล์มน้ำมันยังมีปริมาณไม่เพียงพอกับความต้องการของตลาด จากแนวโน้มและกระแสความต้องการดังกล่าวจึงสร้างความมั่นใจให้กับเกษตรกร ที่เกิดความมั่นใจว่าปาล์มน้ำมันเป็นพืชพลังงานทดแทนในอนาคต

ทางสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตรเขต 8 จึงได้มีการกำหนดเป้าหมายและจัดทำแผนการขยายพื้นที่การปลูกปาล์มน้ำมันในเขตพื้นที่ 7 จังหวัดภาคใต้ตอนบนให้เพิ่มขึ้นจากเดิมได้ไม่ต่ำกว่า 240,000 ไร่ภายในระยะ 5 ปีนับจากนี้ โดยทางสำนักงานฯได้ให้ความช่วยเหลือ แนะนำ และคอยเป็นพี่เลี้ยงแก่เกษตรที่เข้าร่วมโครงการอย่างต่อเนื่อง
http://www.thannews.th.com/detialnews.p ... issue=2270
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news16/11/07

โพสต์ที่ 86

โพสต์

รง.น้ำมันปาล์มออกอาการเซ วัตถุดิบขาดทยอยขายกิจการ
โรงงานสกัดน้ำมันปาล์มกว่าครึ่งร้อยแห่งทั่วประเทศระส่ำ วัตถุดิบไม่เพียงพอป้อนต้องแข่งขันกันซื้อ หลายโรงแบกต้นทุนไม่ไหวเริ่มขายกิจการ นายกสมาคมโรงงานสกัดน้ำมันปาล์มแนะรัฐต้องสร้างความมั่นใจให้เกษตรกรขยายพื้นที่ปลูกปาล์มน้ำมัน

นายกฤษดา ชวนะนันท์ นายกสมาคมโรงงานสกัดน้ำมันปาล์ม เปิดเผยกับ "ฐานเศรษฐกิจ" ว่า จากกระแสผลิตพลังงานทดแทนโดยเฉพาะไบโอดีเซล ซึ่งจะมีการใช้น้ำมันปาล์มเป็นวัตถุดิบ ทำให้ช่วง2-3 ปีที่ผ่านมามีผู้ประกอบการทั้งในวงการและนอกวงการปาล์มน้ำมัน ลงทุนสร้างโรงงานสกัดน้ำมันปาล์มกันเป็นจำนวนมาก กระทั่งปัจจุบันมีโรงงานสกัดน้ำมันปาล์มทั่วประเทศรวมทั้งสิ้น 64 โรง จากเดิมมีเพียงประมาณ 20 30 โรงเท่านั้น

อย่างไรก็ดีจำนวนโรงงานสกัดน้ำมันที่เพิ่มขึ้น ไม่ได้มีโครงการสวนปาล์มเกิดขึ้นมารองรับกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้นในระบบ สวนปาล์มที่มีอยู่จึงไม่เพียงพอสนองความต้องการของโรงงาน ผลที่ตามมาคือเกิดการแย่งซื้อวัตถุดิบจากเกษตรกรกจนเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ราคาผลปาล์มเพิ่มจากกิโลกรัมละ 2 บาทเศษ ขึ้นมาเป็นกิโลกรัมละ 4 5 บาทในปัจจุบัน

นอกจากโรงงานต้องแข่งกันซื้อวัตถุดิบราคาสูงแล้ว ยังไม่คำนึงถึงคุณภาพ ขอเพียงให้มีวัตถุดิบเข้าสู่โรงงานเท่านั้น ซึ่งในอนาคตจะไม่เป็นผลดีเพราะจะทำให้เกษตรกรไม่ดูแลเอาใจใส่คุณภาพผลผลิต ที่สำคัญ ณ วันนี้ผู้ประกอบการณ์โรงงานสกัดน้ำมันปาล์มหลายรายเกิดการขาดทุน และจำเป็นต้องขายกิจการให้กับนักลงทุนรายใหม่ที่สนใจในธุรกิจนี้

"ธุรกิจโรงงานสกัดน้ำมันปาล์ม เริ่มมีทยอยขายกิจการ ยังไม่ถึงกับปิดกิจการหากแต่มีการขายหรือเปลี่ยนมือเจ้าของ เพราะกระแสไบโอดีเซล ยังสร้างแรงจูงใจให้นักลงทุนเข้าสู่วงการ เมื่อเจ้าของเดิมประกาศขายกิจการก็มีคนใหม่เข้ามาซื้อ" นายกฤษดา กล่าวตอนหนึ่ง

นายกสมาคมโรงงานสกัดน้ำมันปาล์ม กล่าวว่า โรงสกัดน้ำมันปาล์ม 1 แห่งจะต้องมีพื้นที่ปลูกปาล์มน้ำมันรองรับประมาณ 100,000ไร่ ดังนั้นปริมาณพื้นที่ปลูกปาล์มที่เพียงพอกับกำลังการผลิตของโรงสกัดน้ำมันปาล์มทั้ง 64 แห่ง ควรจะมี 6.4 ล้านไร่ ขณะที่ปัจจุบันมีพื้นที่ปลูกปาล์มน้ำมันเพียงประมาณ 3 ล้านไร่เท่านั้น พื้นที่ปลูกปาล์มจึงมีความจำเป็นต้องขยายเพิ่มขึ้นอีก

"ตอนนี้ผลปาล์มที่ผลิตได้ทั้งประเทศ สามารถป้อนโรงงานให้เดินเครื่องผลิตได้เพียง 40% ของกำลังการผลิตทั้งหมด นั่นหมายความว่าหากมีการขยายพื้นที่เพาะปลูกปาล์มน้ำมันไปอีก 1 เท่าตัว โดยไม่มีการสร้างโรงสกัดน้ำมันปาล์มเพิ่ม ก็จะไม่เกิดปัญหาราคาตกต่ำอย่างแน่นอน เพราะมีโรงงานรองรับผลผลิตอยู่แล้ว"

เขากล่าวตอนท้ายว่าภาครัฐต้องสร้างความมั่นใจให้กับเกษตรกรว่าอุตสาหกรรมปาล์มมีอนาคต เพื่อให้เกษตรกรมีแรงจูงใจในการปลูกปาล์ม พร้อมกับยกตัวอย่างกรณีศึกษาจากประเทศมาเลเซียว่าในประเทศมาเลเซียจะไม่อนุญาตให้สร้างโรงสกัดน้ำมันปาล์มหากไม่มีพื้นที่ปลูกปาล์มหรือเกษตรกรที่ทำสัญญาขายผลผลิตให้มารองรับ และเกษตรกรกลุ่มนั้นจะต้องไม่ได้ทำสัญญาซื้อขายกับโรงสกัดน้ำมันปาล์มอื่นๆมาก่อนด้วย
http://www.thannews.th.com/detialnews.p ... issue=2270
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news16/11/07

โพสต์ที่ 87

โพสต์

โรงสี-ยี่ปั๊วแห่ซื้อหอมมะลิตุน +เชื่อผลผลิตลดดันราคาพุ่งกลุ่มขายล่วงหน้าขาดทุน!
ยี่ปั๊วข้าวประเมินผลผลิตหอมมะลิปีนี้ลดลง เหตุจากชาวนาหันไปปลูกข้าวเหนียวหลังจากปีที่ผ่านมาได้ราคาดี แห่ซื้อหอมมะลิตุนเก็งกำไรจนราคาพุ่งพรวด กลุ่มโรงสีที่ขายล่วงหน้าให้กับผู้ส่งออกขาดทุนบาน ขณะที่สมาคมผู้ส่งออกข้าวออกสำรวจพบอีสานเหนือหันปลูกข้าวเหนียวเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์

แหล่งข่าวในวงการโรงสีข้าวภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เปิดเผยกับ "ฐานเศรษฐกิจ" ว่า ขณะนี้เป็นช่วงต้นฤดูเก็บเกี่ยวข้าวหอมมะลิ ปีการผลิต 2550/51 ซึ่งได้เริ่มทยอยออกสู่ตลาดบ้างแล้ว และได้เกิดปรากฎการณ์สำคัญที่มีผลต่อราคาข้าวเปลือกหอมมะลิเป็นอย่างมาก นั่นคือทั้งพ่อค้าคนกลาง (ยี่ปั๊วข้าวเปลือก)และโรงสี ได้ออกมาแข่งขันกันรับซื้อข้าวเปลือก จนทำให้ราคาข้าวเปลือกหอมมะลิขยับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันมีการซื้อกันสูงถึงตันละ 10,200-10,500 บาท(ข้าวเปลือกแห้ง)และ 8,000 บาท(ข้าวเปลือกสด)

เหตุที่ทั้งพ่อค้าคนกลางและโรงสีต่างออกมาซื้อข้าวเปลือกหอมมะลิเพื่อตุนไว้ในสต๊อก เนื่องจากปีนี้มีการประเมินกันว่าผลผลิตข้าวเปลือกหอมมะลิในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือลดลงอย่างแน่นอน เพราะชาวนาได้นำพื้นที่ที่เคยปลูกข้าวหอมมะลิไปปลูกข้าวเหนียวกันเป็นจำนวนมาก หลังจากที่ราคาข้าวเหนียวปี 2549และปี2550 ขึ้นสูงเป็นประวัติการณ์ หากไม่รีบซื้อข้าวเปลือกหอมมะลิในช่วงต้นฤดูช่วงกลางปีอาจไม่มีข้าวเปลือกสีขายได้

"ที่สำคัญพ่อค้าคนกลางซึ่งใกล้ชิดชาวนามากที่สุด และเป็นผู้รวบรวมข้าวเปลือกจากชาวนาเพื่อมาส่งมอบให้กับโรงสี เริ่มโก่งราคาขายให้กับโรงสี หากโรงสีใดต้องการข้าวเปลือกต้องเสนอซื้อในราคาที่สูงจึงจะได้ข้าว หากเสนอราคาต่ำพ่อค้าคนกลางจะไม่ยอมขายให้ เวลานี้กลุ่มพ่อค้าคนกลางจะเป็นกลุ่มที่มีความได้เปรียบมากที่สุด" แหล่งข่าวกล่าว

ทั้งนี้จากปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้น เป็นผลดีต่อเกษตรกร เพราะสามารถขายข้าวได้ราคาดี แต่คนที่ได้รับความเดือดร้อนมากที่สุดในขณะนี้คือกลุ่มโรงสีที่ได้รับคำสั่งซื้อข้าวสารจากผู้ส่งออกล่วงหน้าไว้แล้ว ต้องซื้อข้าวเปลือกราคาที่แพงขึ้นทำให้โรงสีหลายแห่งประสบปัญหาขาดทุน เพราะมีโรงสีจำนวนมากที่รับออเดอร์ข้าวสารจากผู้ส่งออกเมื่อเดือนตุลาคมเพื่อส่งมอบเดือนพฤศจิกายนถึงธันวาคม โดยรับออเดอร์ข้าวสารกระสอบละประมาณ 1,750-1,800 บาท ซึ่งราคานี้ต้องซื้อข้าวเปลือกที่ตันละ 9,500-9,700 บาท แต่เวลานี้ข้าวเปลือกขึ้นไปถึงตันละ 10,200 บาท ทั้งยังหาซื้อได้ยากอีกด้วย

นายชูเกียรติ โอภาสวงศ์ นายกสมาคมผู้ส่งข้าวออกต่างประเทศ เปิดเผยว่าสัปดาห์ที่ผ่านมา สมาชิกสมาคมฯได้เดินทางไปสำรวจผลผลิตข้าวฤดูการผลิตปี 2550/51 พื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ผลการสำรวจอย่างไม่เป็นทางการพบว่าพื้นที่ภาคอีสานเหนือชาวนาที่เคยปลูกข้าวหอมมะลิเกือบ 90% หันไปปลูกข้าวเหนียว ส่วนภาคอีสานใต้หันไปปลูกข้าวเหนียวประมาณ 10% แต่ผลผลิตข้าวหอมมะลิค่อนข้างอยู่ในเกณฑ์ดี อย่างไรก็ดีขณะนี้สมาคมฯอยู่ระหว่างรวบรวมตัวเลขอย่างเป็นทางการว่าผลผลิตข้าวหอมมะลิและข้าวเหนียวปีนี้เทียบกับปีที่ผ่านมาเป็นอย่างไร

ด้านนายเจริญ เหล่าธรรมทัศน์ ประธานบริษัท อุทัยโปรดิวส์ จำกัด ผู้ส่งออกข้าวหอมมะลิรายใหญ่ กล่าวว่าสำหรับตลาดข้าวหอมมะลิโดยภาพรวมยังอยู่ในเกณฑ์ที่ดี มีตลาดใหม่ๆ เพิ่มขึ้นเช่นแอฟริกาซึ่งมีคนจีนเข้าไปอาศัยอยู่มากขึ้น ประกอบกับภูมิภาคแอฟริกามีเศรษฐกิจที่ดีขึ้นจากราคาน้ำมันในตลาดโลกที่สูง จึงทำให้มีกำลังซื้อ แต่มีความเป็นห่วงว่าการที่ข้าวหอมมะลิของไทยราคาแพงขึ้นมากๆ ผู้บริโภคสามารถเลือกซื้อข้าวหอมปทุมธานี1 ทดแทนได้ ในอนาคตจะเกิดผลเสียต่อข้าวหอมมะลิได้ ซึ่งทางภาครัฐจะต้องมีนโยบายให้ชัดเจนเกี่ยวกับตลาดข้าวของไทย

นอกจากนี้การที่ราคาข้าวเหนียวที่แพงขึ้นอย่างมากในช่วงปี 2549-2550 เป็นเพราะว่าปี 2549 ผลผลิตข้าวเหนียวของจีนลดลง จึงมีความต้องการนำเข้าจำนวนมากและดันให้ราคาข้าวเหนียวของไทยแพงขึ้น แต่ปีนี้ผลผลิตข้าวเหนียวจีนเพียงพออาจจะกระทบราคาได้ เพราะข้าวเหนียวตลาดรองรับน้อย ชาวนาจะแห่ปลูกตามราคาไม่ได้ ปีนี้จึงมีความเป็นห่วงภาวะราคาข้าวเหนียว และคิดว่ารัฐบาลควรจะเร่งเจรจาขายจีทูจี (รัฐบาลต่อรัฐบาล)กับจีน มาเลเซียและอินโดนีเซีย เพื่อระบายสินค้า เนื่องจากข้าวเหนียวเก็บไว้นานไม่ได้
http://www.thannews.th.com/detialnews.p ... issue=2270
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news17/11/07

โพสต์ที่ 88

โพสต์

บัวหลวงทุบโต๊ะ ส่งออกอาหาร ขยายตัว10%

โพสต์ทูเดย์ ส่งออกอาหารปีหน้าโตแค่ 10% จากเดิม 15% เหตุคู่แข่งเพิ่ม บาทแข็ง


นายปิยะ ซอโสตถิกุล ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ผู้อำนวยการสายลูกค้าธุรกิจรายกลางต่างจังหวัด ธนาคารกรุงเทพ (BBL) กล่าวว่า คาดว่า ปีหน้าสินเชื่อที่เกี่ยวกับธุรกิจอาหาร ทั้งหมดจะมีอัตราเติบโต 10% จากปัจจุบันเติบโต 15% คิดเป็นหนี้ คงค้างเกือบ 1 แสนล้านบาท

ทั้งนี้ ปัจจุบันไทยมีส่วนแบ่งทางการตลาดโลกอยู่ที่ 2.4% โดยสหรัฐมีส่วนแบ่งทางการตลาดรายใหญ่สุด 7% รองลงมาเป็นจีน

นายปิยะ กล่าวว่า ขณะที่ปีหน้ามองว่ายอดสินเชื่อการส่งออกอาหารของธนาคารกรุงเทพดูแลอยู่นั้นอาจชะลอตัวลงจากปีนี้ โดยจะอยู่ที่ประมาณ 10% เนื่องมาจากผล ของการส่งออกที่คาดว่าจะชะลอตัวลงจากภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว ประกอบกับมีคู่แข่งใหม่ เช่น จีน เวียดนาม กลุ่มอาหารทะเลแช่แข็ง ผัก-ผลไม้กระป๋อง ข้าว และไก่ปรุงสุกจะยังเติบโตได้

ด้านนายสุวรรณ แทนสถิตย์ กรรมการรองผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ กล่าวว่า ปีหน้าภาคธุรกิจยังมีความกังวลเรื่องอัตราแลกเปลี่ยนและราคาน้ำมัน ส่วนการเมือง หากได้พรรคการเมืองที่ดีก็ไม่มีปัญหา

สำหรับหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) ของธนาคารขณะนี้ ลดลงเหลือ 8% จากเดิม 10% จากการปรับโครงสร้างหนี้ ซึ่งภาพรวมไม่มีปัญหา แต่ที่ต้องจับตาคือ เอ็นพีแอลใหม่ ที่มีอัตราเพิ่มมากกว่าปีก่อนตามสถานการณ์เศรษฐกิจที่ชะลอตัวในช่วงปีที่ผ่านมา

เอ็นพีแอลที่ไหลเข้ามาทีละนิด แม้เปอร์เซ็นต์ไม่ได้สูง เหมือนพวกเป็นไข้หวัดเจ็บป่วยเล็กๆ น้อยๆ แต่ก็ต้องติดตามสถานการณ์ใกล้ชิด ต้องจับตา เพราะเศรษฐกิจไม่ดี เท่าไร นายสุวรรณ กล่าว
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=204067
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news17/11/07

โพสต์ที่ 89

โพสต์

'กสิกรฯ'มั่นใจราคาอ้อยขาดทุนกระทบถึงรัฐบาลใหม่แน่

17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2550 18:09:00

"ศูนย์วิจัยกสิกรไทย"คาดการณ์หากรัฐแก้ปัญหาเกษตรกรขาดทุนราคอ้อย ต้องอุดหนุนเงินถึง 14,000 ล้านบาท ระบุจะนำมาสู่ความขัดแย้งระหว่างรัฐบาลหน้ากับชาวไร่อ้อยต่อเนื่อง

กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ :
บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด ประเมินว่าในช่วงปลายเดือนพฤศจิกายน 2550 โรงงานน้ำตาลจะเริ่มเดิน เครื่องจักรเปิดหีบอ้อยของฤดูการผลิตปี 2550/51 ซึ่งจะผลผลิตอ้อยทั่วประเทศสูงถึงประมาณ 70 ล้านตัน เพิ่มขึ้นจากฤดูการผลิตปีก่อนที่ผลผลิตอ้อย 63.8 ล้านตัน แต่ราคาอ้อยขั้นต้นที่ภาครัฐคำนวณ คาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 600 บาท/ตันอ้อย ต่ำกว่าฤดูการผลิตปีที่ผ่านมาที่ราคาอ้อยขั้นต้นอยู่ที่ 800 บาท/ตันอ้อย ราคาอ้อยขั้นต้นต่ำกว่าถึงตันละ 200 บาท และเป็นราคาอ้อยขั้นต้นที่ต่ำที่สุดในรอบ 2 ปีนับตั้งแต่ฤดูการผลิตปี 2548/49 เป็นต้นมา

ด้านชาวไร่อ้อยต้องการให้คณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทรายกำหนดราคาอ้อยขั้นต้นไม่ต่ำกว่าต้นทุนการผลิตคือประมาณ 800 บาท/ตันอ้อย เพื่อจะได้ไม่ขาดทุนประมาณ 200 บาท/ตัน หรือคิดเป็นการขาดทุนทั้งระบบประมาณ 14,000 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม ผลพวงจากการพยุงราคาอ้อยในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ส่งผลให้กองทุนอ้อยและน้ำตาลทรายเป็นหนี้เงินกู้กับสถาบันการเงินที่ต้องผ่อนชำระในช่วงปี 2550-2555รวมเงินต้นและดอกเบี้ยถึงประมาณ 14,500 ล้านบาท และหากภาครัฐตัดสินใจช่วยชาวไร่อีกต้องใช้ถึง 14,000 ล้านบาท จึงคาดว่าปัจจัยดังกล่าวจะนำมาซึ่งความขัดแย้งระหว่างภาครัฐกับชาวไร่อ้อย โดยโดยชาวไร่อ้อยภาคตะวันออกเฉียงเหนือจะได้รับผลกระทบมากที่สุด เนื่องจากมีพื้นที่เพาะปลูกอ้อยมากที่สุดของประเทศ โดยมีผลผลิตคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 38 ของผลผลิตอ้อยทั่วประเทศ รองลงมาคือภาคกลางสัดส่วนร้อยละ 32 ภาคเหนือสัดส่วนร้อยละ 24 และภาคตะวันออกสัดส่วนร้อยละ 6

สำหรับฤดูการผลิตปี 2550/51 โรงงานน้ำตาลจะเริ่มเปิดหีบอ้อยในวันที่ 23 พฤศจิกายน 2550 คาดว่า จะมีอ้อยเข้าโรงงานทั้งสิ้นประมาณ 70 ล้านตันเพิ่มขึ้นร้อยละ 9.7 เมื่อเทียบกับผลผลิตอ้อยในฤดูการผลิตก่อนที่มีผลผลิตทั้งสิ้น 63.8 ล้านตัน คาดว่าจะมีผลผลิตน้ำตาล ประมาณ 7.4 ล้านตันเพิ่มขึ้นร้อยละ 10.4 เมื่อเทียบกับฤดูการผลิตก่อนที่มีผลผลิตน้ำตาล 6.7 ล้านตัน

บริษัทศูนย์วิจัยกสิกรไทย ระบุว่า ราคาอ้อยขั้นต้นฤดูการผลิตปี 2550/51 ตกต่ำเป็นผลมาจากราคาน้ำตาลในตลาดโลกในปี 2551 ที่คาดว่าจะยังคงทรงตัวในระดับต่ำเพียงประมาณ 10-11 เซนต์/ปอนด์ เพราะยังคงมีปริมาณน้ำตาลส่วนเกินสูงถึงประมาณ 10.81 ล้านตัน นอกจากนี้ ปัญหาเงินบาทยังคงมีทิศทางแข็งค่าขึ้น ซึ่งนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าเงินบาทในปี 2551 จะมีค่าเฉลี่ยที่ประมาณ 33.3 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ เทียบกับเงินบาทในปี 2550 ที่มีค่าเฉลี่ยประมาณ 34.5 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งปัจจัยทั้งสองประการดังกล่าวมีผลกระทบต่อราคาอ้อยที่เกษตรกรได้รับมาก เนื่องจากไทยต้องพึ่งพาการส่งออกน้ำตาลถึงประมาณร้อยละ 65-70 ของปริมาณน้ำตาลที่ผลิตโดยการผลิต 2550/51 นี้ คาดว่าไทยจะส่งออกน้ำตาลไปตลาดโลกได้ประมาณ 5.2-5.4 ล้านตันคิดเป็นมูลค่าประมาณ 1,200 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับปีการผลิตก่อนหน้าที่ส่งออกได้ประมาณ 4.4 ล้านตันคิดเป็นมูลค่าประมาณ 1,100 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เนื่องจากปริมาณอ้อยที่ผลิตได้เพิ่มขึ้น ประกอบกับเงินบาทที่แข็งค่า ส่งผลให้เมื่อเฉลี่ยรายได้ต่อตันอ้อยออกมาแล้วจะปรับลดลง

ในขณะที่ภาครัฐมีความต้องการที่จะลดการแทรกแซงราคาอ้อยให้มากที่สุด เพื่อไม่ให้เป็นภาระทางด้านการกู้เงินมาพยุงราคาอ้อยเหมือนเช่นปีก่อน ๆ เนื่องจากหากตั้งราคาอ้อยขั้นต้นไว้สูง ภาครัฐโดยกองทุนอ้อยและน้ำตาลทรายจะมีภาระหน้าที่ตามพระราชบัญญัติอ้อยและน้ำตาลทราย พ.ศ. 2527 ที่จะต้องหาเงินมาใช้คืนโรงงานน้ำตาลหากว่าราคาน้ำตาลขั้นสุดท้ายต่ำกว่า ดังจะสังเกตได้จากการกำหนดราคาอ้อยขั้นต้นในฤดูการผลิตปี 2550/51 ซึ่งมีการคำนวณตามปัจจัยทางด้านผลผลิตอ้อย ราคาน้ำตาลตลาดโลก และค่าเงินบาทตามข้อเท็จจริง โดยไม่กล้าตั้งราคาอ้อยขั้นต้นในระดับสูงเพื่อลดข้อขัดแย้งกับชาวไร่อ้อย

บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย เชื่อว่าแนวทางช่วยเหลือชาวไร่อ้อยเกี่ยวกับผลกระทบทางด้านราคาจำหน่ายผลผลิตต่ำกว่าต้นทุนการผลิตนั้น มีแนวโน้มที่ภาครัฐจะส่งต่อไปให้กับรัฐบาลชุดใหม่ เป็นผู้ตัดสิน สำหรับทางออกในการแก้ปัญหาราคาอ้อยตกต่ำในฤดูการผลิตปี 2550/51 มี 2 แนวทาง ซึ่งก็มีปัญหาและอุปสรรคค่อนข้างมาก ดังนี้

ภาครัฐกู้เงินมาอุดหนุนราคาอ้อย เพื่อเพิ่มราคาอ้อยขั้นต้นให้ได้ 800 บาท/ตันอ้อย โดยต้องกู้ยืมเงินจากสถาบันการเงินมาพยุงราคาอ้อยอีกประมาณ 14,000 ล้านบาท และเมื่อรวมกับเงินที่จะต้องนำมาชดเชยราคาอ้อยขั้นสุดท้ายที่ต่ำกว่าราคาอ้อยขั้นต้นปีการผลิต 2549/50 อีกประมาณ 5,600 ล้านบาท ทำให้อาจจะต้องกู้เพิ่มขึ้นอีกประมาณเกือบ 20,000 ล้านบาท ซึ่งอาจทำให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรขาดความมั่นใจที่จะปล่อยกู้ใหม่ให้กับกองทุนอ้อยและน้ำตาลทราย เพราะปัจจุบันหนี้เดิมที่มีอยู่ก็มากอยู่แล้ว

อีกแนวทางคือ ขึ้นราคาจำหน่ายน้ำตาลในประเทศ ที่ใช้ปีละประมาณ 2 ล้านตัน เพื่อนำไปเพิ่มราคาอ้อยขั้นต้นได้ในระดับหนึ่ง และการขึ้นราคาน้ำตาลในประเทศยังทำให้สถาบันการเงินมีความเชื่อมั่นต่อความสามารถด้านการชำระหนี้เงินกู้ของกองทุนอ้อยและน้ำตาลทรายมากขึ้น อย่างไรก็ตาม เมื่อไม่นานมานี้ภาครัฐก็อนุมัติให้มีการปรับขึ้นราคาจำหน่ายน้ำตาลในประเทศไปเมื่อปี 2549 อีกทั้งราคาน้ำตาลในประเทศยังคงอยู่ในระดับที่สูงกว่าตลาดโลก จึงควรปรับลดลงมาหากยึดตามกลไกตลาด ดังนั้น การขึ้นราคาจำหน่ายน้ำตาลในประเทศจึงน่าจะถูกคัดค้านค่อนข้างมาก
http://www.bangkokbiznews.com/2007/11/1 ... sid=203280
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news24/11/07

โพสต์ที่ 90

โพสต์

ปาล์มน้ำมันเป็นพืชที่น่าจับตามอง [ ฉบับที่ 847 ประจำวันที่ 21-11-2007 ถึง 23-11-2007]  
นอกจากจะเป็นพืชน้ำมันที่มีบทบาทสำคัญ ในธุรกิจน้ำมันพืชเพื่อการบริโภคและเป็นวัตถุดิบสำหรับอุตสาหกรรมต่อเนื่องอีกหลายอุตสาหกรรม ไม่ว่าจะเป็นสบู่ บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป นมข้นหวาน เนยเทียม ขนมขบเคี้ยว เป็นต้น นอกจากนี้ในอนาคตปาล์มน้ำมันยังจะมีบทบาท สำคัญในการใช้ผลิตไบโอดีเซล ซึ่งคาดว่าจะเป็นพลังงานทดแทนน้ำมันในอนาคตอีกด้วย ซึ่งปัจจุบันกระทรวงเกษตรฯ ได้ร่วมมือกับจังหวัดที่เป็นแหล่งปลูกปาล์มน้ำมันที่สำคัญ ในการกำหนดแผนยุทธศาสตร์ของจังหวัดที่ จะเข้าไปส่งเสริมให้เกษตรกรขยายพื้นที่ปลูกปาล์มน้ำมันพันธุ์ดีมากขึ้น เพื่อให้ผลผลิตมีคุณภาพและเพียงพอกับการผลิตไบโอดีเซล โดยการส่งเสริมปลูกปาล์มพันธุ์ดีแทนในที่สวนยางเก่า และต้นปาล์มอายุมาก รวม ทั้งพื้นที่นารกร้างที่ไม่ได้นำมาใช้ประโยชน์ นอกจากนี้ยังจะเน้นส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีในการผลิตและการเก็บเกี่ยวเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตปาล์มน้ำมันให้สูงขึ้น เพื่อให้สามารถรองรับการขยายตัวของความต้อง การผลผลิตปาล์มน้ำมันสำหรับใช้เป็นพลังงานทดแทนในอนาคต

สถานการณ์ปาล์มน้ำมันในช่วงปี 2547-2549 พื้นที่ปลูกปาล์มน้ำมันเพิ่มขึ้นจาก 2.41 ล้านไร่ เป็น 3.07 ไร่ พื้นที่ให้ผลเพิ่มขึ้น จาก 1.93 ล้านไร่  เป็น 2.37 ล้านไร่ โดยมีผล ผลิตปาล์มทะลายสดเพิ่มขึ้นจาก 5.18 ล้านตัน เป็น 6.24 ล้านตัน ซึ่งสอดคล้องตามการเพิ่มขึ้นของพื้นที่เก็บเกี่ยว และมีผลผลิตเฉลี่ยต่อไร่อยู่ในระดับ 2.60 ตันต่อไร่ต่อปี ด้านราคาผลปาล์มน้ำมันเฉลี่ยกิโลกรัมละ 1.92-3.00 บาท ราคาน้ำมันปาล์มดิบเฉลี่ยกิโลกรัมละ 14.50-19.50 บาท ส่วนปริมาณความต้องการ ใช้ภายในประเทศมีประมาณ 0.78-0.98 ล้านตันต่อปี และปริมาณการส่งออกประมาณ 0.2-0.3 ล้านตันต่อปีสำหรับในปี 2550 มีประ มาณการพื้นที่ให้ผลจำนวน 2.74  ล้านไร่ ผล ผลิตปาล์มทะลายสด 7.38 ล้านตัน ปริมาณผล ผลิตน้ำมันปาล์มเท่ากับ 1.45 ล้านตัน และปริมาณความต้องการใช้ประมาณ 9.8 ล้านตัน ด้านราคาคาดว่าจะอยู่ในเกณฑ์ดี เนื่องจาก ตลาดยังมีความต้องการทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ เพื่อการบริโภคและเป็นวัตถุดิบในการผลิตไบโอดีเซล  

จากที่กล่าวมาข้างต้นจะเห็นได้ว่าปาล์มน้ำมันนับว่าเป็นพืชน้ำมันที่ยังคงมีแนวโน้มความต้องการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งจากการบริโภคโดยตรงในรูปของน้ำมันพืช และอุตสาหกรรมต่อเนื่องที่ใช้น้ำมันปาล์มเป็นวัตถุดิบ รวมถึงอุตสาหกรรมใหม่ที่มีศักยภาพและโอกาสในการใช้น้ำมันปาล์มเป็นวัตถุดิบ แต่อย่างไรก็ตามประเด็นที่ทั้งภาครัฐบาลและผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมน้ำมันปาล์มต้องเฝ้าระวังและมีการวางแผนรองรับ คือการยกระดับการสกัดน้ำมันปาล์มดิบ เนื่องจากโดยปกติการสกัดน้ำมันปาล์มดิบของไทยจะอยู่ในระดับร้อยละ 14-16 ในขณะที่มาเลเซียนั้น มีการสกัดน้ำมันปาล์มดิบร้อยละ 17-19

โดยต้องมีการพัฒนาเริ่มตั้งแต่เกษตรกรที่ปลูกปาล์มน้ำมันที่ต้องปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต โดยเฉพาะพันธุ์และเทคโนโลยีหลังการเก็บเกี่ยว จนถึงโรงงานสกัดน้ำมันปาล์มดิบก็ต้องเพิ่มประสิทธิภาพการสกัดน้ำมันของ โรงงาน และอีกประเด็นหนึ่งที่สำคัญคือการจัดรวบรวมและจัดทำฐานข้อมูลปริมาณการผลิต การส่งออก การนำเข้า และราคาผลิต ภัณฑ์หลักอย่างเป็นระบบ ซึ่งการเก็บข้อมูลต่างๆเหล่านี้จะเป็นประโยชน์ต่อการวางแผนกำหนดนโยบายปาล์มน้ำมันของไทยในอนาคต อีกทั้งข้อมูลด้านต้นทุนการผลิตก็มีความสำคัญเช่นกัน โดยรวบรวมตั้งแต่ระดับการผลิตปาล์มน้ำมัน การสกัดน้ำมันปาล์ม และการกลั่นน้ำมันปาล์มบริสุทธิ์ ซึ่งข้อมูลเหล่านี้ มีความสำคัญอย่างมากต่อการกำหนดนโยบาย พัฒนาปาล์มน้ำมันของไทย ดังนั้นการเก็บรวบรวมข้อมูลอย่างถูกต้องและทันต่อเหตุการณ์ นับว่าเป็นเรื่องที่จำเป็นอย่างยิ่งในการวาง แผนพัฒนาอุตสาหกรรมน้ำมันปาล์มทั้งระบบของไทย

นอกเหนือจากนั้นแล้ว เกษตรกรผู้ปลูกปาล์มน้ำมันของไทยเองก็ต้องเร่งปรับตัวเพื่อรองรับการแข่งขันที่จะรุนแรงมากขึ้นจากน้ำมันปาล์มนำเข้าเมื่อไทยต้องเปิดเสรีทาง การค้า โดยนอกจากการขยายพื้นที่ปลูกปาล์มน้ำมันเพื่อรองรับการผลิตไบโอดีเซลแล้ว ไทยยังมีโอกาสในการปรับการผลิตปาล์มน้ำมันให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ทั้งในแง่ของการเพิ่มผลผลิตเฉลี่ยต่อไร่ การเพิ่มเปอร์เซ็นต์การให้น้ำมัน การแยกประเภทของน้ำมันปาล์ม (น้ำมันจากเนื้อและเมล็ดใน) ซึ่งแนวทางเหล่านี้จะเป็นการขยายประเภทของอุตสาหกรรม ที่ใช้น้ำมันปาล์มในประเทศได้อีกอย่างหลากหลายและมีความแข็งแกร่งมากขึ้น
http://www.siamturakij.com/home/news/di ... ws_id=8947