อุตสาหกรรมการเงินการธนาคาร
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news18/08/07
โพสต์ที่ 121
หนาวซับไพรม์ลากหนี้เน่า
โพสต์ทูเดย์ ธปท.กังวลเอ็นพีแอลพุ่งไม่หยุด หลังครึ่งปีเพิ่ม 2.7 หมื่น ล้าน ห่วงแบงก์เจอปัญหาซับไพรม์ซ้ำ สะเทือนเศรษฐกิจแน่
นายไพบูลย์ กิตติศรีกังวาน ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายกลยุทธ์ สถาบันการเงิน กล่าวว่า ในการประชุม คณะกรรมการนโยบายสถาบันการเงิน ที่มีนางธาริษา วัฒนเกส ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เป็นประธาน มีความกังวลปัญหาหนี้ที่ไม่ ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) ของระบบธนาคารพาณิชย์ที่มีแนวโน้มสูงขึ้นในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2550
อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าแรงกดดัน เอ็นพีแอลในช่วงครึ่งปีหลังจะผ่อนคลายลง เนื่องจากปัจจัยในประเทศ เริ่มคลี่คลายในทางที่ดีขึ้น และกระทรวงการคลังมีการอัดเงินสู่ระบบเศรษฐกิจ และภาคธุรกิจมีการฟื้นตัว มีการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคมากขึ้น
นายไพบูลย์ กล่าวว่า ที่ประชุม ยังได้หารือถึงปัญหาสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ด้อยคุณภาพในสหรัฐ (ซับไพรม์) โดยยอมรับว่ากระทบกับตลาดเงินและตลาดหุ้นทั่วโลก รวมถึงตลาดหุ้นไทยยังผันผวน ส่งผลให้ธนาคารที่ลงทุนในต่างประเทศมีมูลค่าสินทรัพย์ลดลงบ้าง
อย่างไรก็ตาม ธปท.ได้ตรวจสอบตัวเลขการลงทุนแล้วเห็นว่าไม่น่าเป็นห่วง ลงทุนในสัดส่วนที่น้อยมาก ประกอบกับ ธปท.มีกฎเกณฑ์ให้ลงทุนในต่างประเทศไม่เกิน 15% ของเงินกองทุน และลงทุนในแต่ละประเทศหรือแต่ละสกุลเงินไม่เกิน 20% ของเงินลงทุนต่างประเทศทั้งหมด
ธปท.ได้ติดตามปัญหานี้อย่างใกล้ชิด ซึ่งมีการประเมินว่าหาก ปัญหาซับไพรม์ยืดเยื้อ และสถาบันการเงินต่างไม่ปล่อยสินเชื่อ อาจจะทำให้เศรษกิจสหรัฐซบเซา และลามมาถึงเศรษฐกิจโลกและไทยด้วย นายไพบูลย์ กล่าว
สำหรับผลประกอบการของธนาคารพาณิชย์ในช่วงครึ่งปีแรกของ ปี 2550 ซึ่งอยู่ในเกณฑ์ที่น่าพอใจ โดยมีกำไรจากการดำเนินงาน 9.12 หมื่นล้านบาท แต่มีกำไรสุทธิ 3 หมื่นล้านบาท ลดลง 42.5% เนื่องจากมีการกันสำรองเพิ่มขึ้นตามเกณฑ์มาตรฐานบัญชีใหม่ของ ธปท.หรือ IAS 39
ด้านอัตราส่วนเงินกองทุนอยู่ที่ 14.3% ของสินทรัพย์เสี่ยง ณ สิ้นเดือน มิ.ย. 2550 สูงกว่าเกณฑ์ขั้นต่ำตามกฎหมายที่กำหนด 8.5% โดยในครึ่งแรกระบบธนาคารพาณิชย์มีการเพิ่มทุนแล้ว 2.7 หมื่นล้านบาท
ทั้งนี้ มีการคาดว่าในครึ่งปีหลังจะ มีธนาคารพาณิชย์บางแห่งมีการเพิ่ม ทุนอีก
ด้านสินเชื่อรวมขยายตัว 3.1% ลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อน 9.6% แม้ว่าอัตราดอกเบี้ยลดลง สินเชื่อภาคธุรกิจลดลง 0.6% ในขณะที่สินเชื่ออุปโภคบริโภคเพิ่มขึ้น 17.9% ส่วนเงินฝากขยายตัว 2.2% สัดส่วนสินเชื่อต่อเงินฝาก (L/D Ratio) อยู่ที่ 88.4%
ธปท.รายงานยอดเอ็นพีแอลครึ่งปีแรกเพิ่มขึ้น 2.7 หมื่นล้านบาท หรือ เพิ่มขึ้นเป็น 7.8% ของยอดสินเชื่อรวม และเมื่อเทียบกับสิ้นปี 2549 ที่ยอด เอ็นพีแอลเพิ่มขึ้น 7.5% ส่วนเอ็นพีแอลสุทธิ (หักสำรองหนี้เสีย) เพิ่มขึ้น 1.83 หมื่นล้านบาท คิดเป็น 4.4% ของ สินเชื่อรวม
ภาคอุตสาหกรรมการผลิตมี เอ็นพีแอลเพิ่ม 11.3% เทียบกับไตรมาสแรกที่มีเอ็นพีแอลไม่ถึง 10% ภาคก่อสร้างมีเอ็นพีแอลเพิ่ม 13.9% ลดลงจากไตรมาสแรกที่มีอัตรา เพิ่ม 16.2% เนื่องจากมีฐานการปล่อยสินเชื่อก่อสร้างมากขึ้น
สินเชื่อเพื่อการบริโภคมีเอ็นพีแอลเพิ่มขึ้นเล็กน้อย โดยสินเชื่อบัตรเครดิตมีเอ็นพีแอล เพิ่มจาก 3.1% ในไตรมาสแรก เป็น 3.5% ของสินเชื่อรวม สินเชื่อที่อยู่อาศัยลดลงจาก 6% เป็น 5.7% สินเชื่อส่วนบุคคลภายใต้การกำกับ (กลุ่มนันแบงก์) เพิ่มจาก 4.4% เป็น 4.9% และเช่าซื้อรถเพิ่มจาก 1.3% เป็น 1.7%
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=185743
โพสต์ทูเดย์ ธปท.กังวลเอ็นพีแอลพุ่งไม่หยุด หลังครึ่งปีเพิ่ม 2.7 หมื่น ล้าน ห่วงแบงก์เจอปัญหาซับไพรม์ซ้ำ สะเทือนเศรษฐกิจแน่
นายไพบูลย์ กิตติศรีกังวาน ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายกลยุทธ์ สถาบันการเงิน กล่าวว่า ในการประชุม คณะกรรมการนโยบายสถาบันการเงิน ที่มีนางธาริษา วัฒนเกส ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เป็นประธาน มีความกังวลปัญหาหนี้ที่ไม่ ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) ของระบบธนาคารพาณิชย์ที่มีแนวโน้มสูงขึ้นในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2550
อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าแรงกดดัน เอ็นพีแอลในช่วงครึ่งปีหลังจะผ่อนคลายลง เนื่องจากปัจจัยในประเทศ เริ่มคลี่คลายในทางที่ดีขึ้น และกระทรวงการคลังมีการอัดเงินสู่ระบบเศรษฐกิจ และภาคธุรกิจมีการฟื้นตัว มีการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคมากขึ้น
นายไพบูลย์ กล่าวว่า ที่ประชุม ยังได้หารือถึงปัญหาสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ด้อยคุณภาพในสหรัฐ (ซับไพรม์) โดยยอมรับว่ากระทบกับตลาดเงินและตลาดหุ้นทั่วโลก รวมถึงตลาดหุ้นไทยยังผันผวน ส่งผลให้ธนาคารที่ลงทุนในต่างประเทศมีมูลค่าสินทรัพย์ลดลงบ้าง
อย่างไรก็ตาม ธปท.ได้ตรวจสอบตัวเลขการลงทุนแล้วเห็นว่าไม่น่าเป็นห่วง ลงทุนในสัดส่วนที่น้อยมาก ประกอบกับ ธปท.มีกฎเกณฑ์ให้ลงทุนในต่างประเทศไม่เกิน 15% ของเงินกองทุน และลงทุนในแต่ละประเทศหรือแต่ละสกุลเงินไม่เกิน 20% ของเงินลงทุนต่างประเทศทั้งหมด
ธปท.ได้ติดตามปัญหานี้อย่างใกล้ชิด ซึ่งมีการประเมินว่าหาก ปัญหาซับไพรม์ยืดเยื้อ และสถาบันการเงินต่างไม่ปล่อยสินเชื่อ อาจจะทำให้เศรษกิจสหรัฐซบเซา และลามมาถึงเศรษฐกิจโลกและไทยด้วย นายไพบูลย์ กล่าว
สำหรับผลประกอบการของธนาคารพาณิชย์ในช่วงครึ่งปีแรกของ ปี 2550 ซึ่งอยู่ในเกณฑ์ที่น่าพอใจ โดยมีกำไรจากการดำเนินงาน 9.12 หมื่นล้านบาท แต่มีกำไรสุทธิ 3 หมื่นล้านบาท ลดลง 42.5% เนื่องจากมีการกันสำรองเพิ่มขึ้นตามเกณฑ์มาตรฐานบัญชีใหม่ของ ธปท.หรือ IAS 39
ด้านอัตราส่วนเงินกองทุนอยู่ที่ 14.3% ของสินทรัพย์เสี่ยง ณ สิ้นเดือน มิ.ย. 2550 สูงกว่าเกณฑ์ขั้นต่ำตามกฎหมายที่กำหนด 8.5% โดยในครึ่งแรกระบบธนาคารพาณิชย์มีการเพิ่มทุนแล้ว 2.7 หมื่นล้านบาท
ทั้งนี้ มีการคาดว่าในครึ่งปีหลังจะ มีธนาคารพาณิชย์บางแห่งมีการเพิ่ม ทุนอีก
ด้านสินเชื่อรวมขยายตัว 3.1% ลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อน 9.6% แม้ว่าอัตราดอกเบี้ยลดลง สินเชื่อภาคธุรกิจลดลง 0.6% ในขณะที่สินเชื่ออุปโภคบริโภคเพิ่มขึ้น 17.9% ส่วนเงินฝากขยายตัว 2.2% สัดส่วนสินเชื่อต่อเงินฝาก (L/D Ratio) อยู่ที่ 88.4%
ธปท.รายงานยอดเอ็นพีแอลครึ่งปีแรกเพิ่มขึ้น 2.7 หมื่นล้านบาท หรือ เพิ่มขึ้นเป็น 7.8% ของยอดสินเชื่อรวม และเมื่อเทียบกับสิ้นปี 2549 ที่ยอด เอ็นพีแอลเพิ่มขึ้น 7.5% ส่วนเอ็นพีแอลสุทธิ (หักสำรองหนี้เสีย) เพิ่มขึ้น 1.83 หมื่นล้านบาท คิดเป็น 4.4% ของ สินเชื่อรวม
ภาคอุตสาหกรรมการผลิตมี เอ็นพีแอลเพิ่ม 11.3% เทียบกับไตรมาสแรกที่มีเอ็นพีแอลไม่ถึง 10% ภาคก่อสร้างมีเอ็นพีแอลเพิ่ม 13.9% ลดลงจากไตรมาสแรกที่มีอัตรา เพิ่ม 16.2% เนื่องจากมีฐานการปล่อยสินเชื่อก่อสร้างมากขึ้น
สินเชื่อเพื่อการบริโภคมีเอ็นพีแอลเพิ่มขึ้นเล็กน้อย โดยสินเชื่อบัตรเครดิตมีเอ็นพีแอล เพิ่มจาก 3.1% ในไตรมาสแรก เป็น 3.5% ของสินเชื่อรวม สินเชื่อที่อยู่อาศัยลดลงจาก 6% เป็น 5.7% สินเชื่อส่วนบุคคลภายใต้การกำกับ (กลุ่มนันแบงก์) เพิ่มจาก 4.4% เป็น 4.9% และเช่าซื้อรถเพิ่มจาก 1.3% เป็น 1.7%
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=185743
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news18/08/07
โพสต์ที่ 122
งัดไม้เด็ด"ดบ.0%-แจกเช็ค5พัน" แบงก์อัดแคมเปญสู้ศึกโค้งท้าย
แบงก์อัดแคมเปญ "ลดแลกแจกแถม" กระตุ้นยอดสินเชื่อรายย่อยช่วงโค้งท้าย กสิกรไทยยึดคัมภีร์ "อนุมัติเร็ว บริการดี มีของแถม" ไทยธนาคาร" ใจป้ำแจกเช็คของขวัญตั้งแต่ 500 ถึง 5,000 บาท "ทหารไทย" เขย่าผลิตภัณฑ์เดิมใส่อินเซนทีฟเพิ่ม "กรุงไทย" ขอลุยสินเชื่อบ้าน ด้านแบงก์นอก "เอชเอสบีซี" ไม่ยอมแพ้ งัดดอกเบี้ย 0% นาน 2 เดือน ถล่มตลาด
กสิกรไทย
"แจกของพรีเมี่ยม-ดบ.พิเศษ-อนุมัติเร็ว"
นายชาติชาย พยุหนาวีชัย ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายบริหารผลิตภัณฑ์และการตลาดสินเชื่อผู้บริโภค ธนาคารกสิกรไทย เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า ช่วงเวลา 4 เดือนที่เหลือคงไม่มีการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ สู่ตลาด แต่จะใช้ผลิตภัณฑ์เดิมที่มีอยู่นำเสนอต่อผู้บริโภค โดยจะใส่ลูกเล่นทางการตลาดเพื่อเพิ่มสีสันจูงใจผู้บริโภคให้มาใช้บริการผ่านแคมเปญกระตุ้นยอดขาย เช่น การแจกของพรีเมี่ยม การคิดดอกเบี้ยอัตราพิเศษ รวมถึงการอนุมัติสินเชื่อด้วยเวลาอันรวดเร็วภายใน 3 วันทำการ
ไทยธนาคาร
"แจกเช็คของขวัญ 500-5,000 บาท"
นายธาดา จารุกิจไพศาล ผู้ช่วยกรรมการ ผู้จัดการใหญ่ ธนาคารไทยธนาคาร กล่าวว่า กลยุทธ์การตลาดครึ่งปีหลังของไทยธนาคารจะมุ่งเน้นการออกลูกเล่นแคมเปญต่างๆ เพื่อกระตุ้นยอดการปล่อยสินเชื่อรายย่อย อาทิ แจกเช็คของขวัญมูลค่า 500-5,000 บาท ขึ้นอยู่กับวงเงินที่ลูกค้าขอกู้ ซึ่งเชื่อว่าธนาคารอื่นก็คงต้องงัดกลยุทธ์ลูกเล่นออกมากระตุ้นยอดเช่นเดียวกัน แต่น่าจะเป็นในลักษณะการแข่งขันด้านราคามากกว่า เช่น ให้ดอกเบี้ย 0% ระยะเวลา 2 เดือน พร้อมของแถม อย่างไรก็ตามในส่วนของผลิตภัณฑ์ใหม่คงจะไม่มีออกมาในช่วงครึ่งปีหลัง
ทหารไทยปัดฝุ่นผลิตภัณฑ์เดิมเพิ่มอินเซนทีฟ
นายสุภัค ศิวะรักษ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารทหารไทย กล่าวว่า จากการคาดการณ์ว่าภาพรวมเศรษฐกิจไทยในครึ่งปีหลังจะมีการจับจ่ายใช้สอยมากกว่าครึ่งปีแรก ทำให้ธนาคารนำผลิตภัณฑ์สินเชื่อบุคคลที่เคยให้บริการอยู่แล้วมาปรับโฉมใหม่ให้มีภาพลักษณ์ที่ทันสมัย พร้อมเพิ่มข้อเสนอที่ดีให้ลูกค้าตัดสินใจเลือกใช้ง่ายขึ้น ได้แก่ สินเชื่อ TMB Cash 2 Go ที่เป็นสินเชื่อประเภทวงเงินกู้แบบมีกำหนดระยะเวลาผ่อนชำระ, สินเชื่อ TMB Ready Cash หรือสินเชื่อบุคคลเบิกเกินบัญชีแบบหมุนเวียน และสินเชื่อ TMB Balance Transfer สินเชื่อบุคคลที่รับโอนภาระหนี้มาจากสถาบันการเงิน โดยสินเชื่อบุคคลตั้งเป้าไว้ 4 พันล้านบาท ซึ่งครึ่งปีแรกเพิ่งได้เพียง 1 พันกว่าล้านบาท นอกจากนี้ยังได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่เพื่อให้ครบวงจร บัตรเครดิตวีซ่า แพลทินัม เจาะกลุ่มผู้มีรายได้ตั้งแต่ 3 หมื่นบาทขึ้นไป ตั้งเป้า 5 หมื่นใบในสิ้นปีนี้
กรุงไทยครึ่งหลังลุยสินเชื่อบ้าน
นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ช่วง 5 เดือนหลังจากนี้ สินเชื่อที่อยู่อาศัยจะเป็นสินเชื่อเพื่อผู้บริโภครายย่อยที่ธนาคารมุ่งเน้น ซึ่งครึ่งปีแรกที่ผ่านมาถือว่ามีผลตอบรับจากตลาดที่ดี อาจด้วยเหตุผลดอกเบี้ยขาลง อย่างไรก็ตามถึงแม้จะยังไม่ได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ แต่ธนาคารก็ไม่ได้ผลักดันว่าต้องให้ได้ตามเป้า เพราะอีกขาหนึ่งก็ระมัดระวังการปล่อยสินเชื่อด้วย
"สแตนชาร์ต" พร้อมลุยทุกตลาดเต็มที่
นางกรรณิการ์ สิทธานุวัตธ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ฝ่ายบุคคลธนกิจ ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด (ไทย) กล่าวว่า ธนาคารรุกทำตลาดรายย่อยทุกด้าน ซึ่งด้านเงินฝากจะเน้นนำเสนอเงินฝากออมทรัพย์ Power Save Plus ที่ให้อัตราดอกเบี้ยสูงสุดที่ 2.8% และการเป็นที่ปรึกษาการลงทุนให้กับลูกค้า ด้วยการคัดเลือกกองทุนที่มีผลประกอบการดีและน่าเชื่อถือมานำเสนอ ทั้งยังมั่นใจว่าในครึ่งปีหลังภาวะเศรษฐกิจจะดีขึ้น จึงเร่งปล่อยสินเชื่อประเภทต่างๆ มากขึ้น แต่ยังคงเน้นคุณภาพการปล่อยสินเชื่อเช่นเดิม โดยปลายปีนี้จะออกบริการใหม่มากระตุ้นสินเชื่อที่อยู่อาศัยเพิ่มขึ้น ขณะที่สินเชื่อบุคคลที่ล่าสุดธนาคารได้เสนอสินเชื่อบุคคล 3 ชัวร์ ที่รับประกันดอกเบี้ยถูกชัวร์ อนุมัติชัวร์ และรู้ผลภายใน 3 วันชัวร์
"ยูโอบี" ดันโปรดักต์ใหม่เพียบ
ด้านธนาคารยูโอบีก็เตรียมออกบัตรเครดิตมาเป็นโปรดักต์ใหม่ช่วยกระตุ้นยอดในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี โดยจะเปิดตัวประมาณปลายเดือน ส.ค.นี้ ซึ่งก่อนหน้านี้ได้จับมือกับห้างสรรพสินค้า Zen จัดแคมเปญแจกส่วนลดเพิ่มขึ้นอีก 5% ให้กับผู้ถือบัตร UOB Ladyีs Card รวมไปถึงแคมเปญ i-Plan ที่ช่วยให้ผู้ถือบัตรสามารถแบ่งจ่ายสินค้าและบริการด้วยอัตราดอกเบี้ย 0% นานสูงสุดถึง 10 เดือน
"เอชเอสบีซี"ชู ดบ.0% 2เดือนแรก
แหล่งข่าวจากธนาคารเอชเอสบีซี ประเทศไทย กล่าวว่า ธุรกิจรีเทลแบงกิ้งของเอชเอสบีซีจะยังคงสร้างการเติบโตของผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่มีอยู่เป็นหลัก โดยมุ่งเน้นทำตลาดให้ครอบคลุมทุกเซ็กเมนต์ ซึ่งธุรกิจบัตรเครดิตยังคงเติบโตได้ทั้งยอดบัตรใหม่และยอดใช้จ่ายผ่านบัตร โดยเฉพาะบัตรเครดิตเอชเอสบีซี วีซ่า แพลทินัม ที่จับฐานลูกค้าระดับบน ซึ่งมั่นใจว่าขยายฐานบัตรได้ถึง 8 หมื่นใบภายในสิ้นปีนี้ ขณะที่สินเชื่อบุคคล ธนาคารมีรูปแบบสินเชื่อดอกเบี้ย 0% ใน 2 เดือนแรก หากได้รับอนุมัติวงเงินตั้งแต่ 5 หมื่นบาทขึ้นไป โดยเลือกผ่อนชำระแบบรายเดือนได้ตั้ง 12-60 เดือน ด้วยอัตราดอกเบี้ยลดต้นลดดอก
prachachart
http://www.matichon.co.th/prachachat/pr ... ionid=0206
แบงก์อัดแคมเปญ "ลดแลกแจกแถม" กระตุ้นยอดสินเชื่อรายย่อยช่วงโค้งท้าย กสิกรไทยยึดคัมภีร์ "อนุมัติเร็ว บริการดี มีของแถม" ไทยธนาคาร" ใจป้ำแจกเช็คของขวัญตั้งแต่ 500 ถึง 5,000 บาท "ทหารไทย" เขย่าผลิตภัณฑ์เดิมใส่อินเซนทีฟเพิ่ม "กรุงไทย" ขอลุยสินเชื่อบ้าน ด้านแบงก์นอก "เอชเอสบีซี" ไม่ยอมแพ้ งัดดอกเบี้ย 0% นาน 2 เดือน ถล่มตลาด
กสิกรไทย
"แจกของพรีเมี่ยม-ดบ.พิเศษ-อนุมัติเร็ว"
นายชาติชาย พยุหนาวีชัย ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายบริหารผลิตภัณฑ์และการตลาดสินเชื่อผู้บริโภค ธนาคารกสิกรไทย เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า ช่วงเวลา 4 เดือนที่เหลือคงไม่มีการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ สู่ตลาด แต่จะใช้ผลิตภัณฑ์เดิมที่มีอยู่นำเสนอต่อผู้บริโภค โดยจะใส่ลูกเล่นทางการตลาดเพื่อเพิ่มสีสันจูงใจผู้บริโภคให้มาใช้บริการผ่านแคมเปญกระตุ้นยอดขาย เช่น การแจกของพรีเมี่ยม การคิดดอกเบี้ยอัตราพิเศษ รวมถึงการอนุมัติสินเชื่อด้วยเวลาอันรวดเร็วภายใน 3 วันทำการ
ไทยธนาคาร
"แจกเช็คของขวัญ 500-5,000 บาท"
นายธาดา จารุกิจไพศาล ผู้ช่วยกรรมการ ผู้จัดการใหญ่ ธนาคารไทยธนาคาร กล่าวว่า กลยุทธ์การตลาดครึ่งปีหลังของไทยธนาคารจะมุ่งเน้นการออกลูกเล่นแคมเปญต่างๆ เพื่อกระตุ้นยอดการปล่อยสินเชื่อรายย่อย อาทิ แจกเช็คของขวัญมูลค่า 500-5,000 บาท ขึ้นอยู่กับวงเงินที่ลูกค้าขอกู้ ซึ่งเชื่อว่าธนาคารอื่นก็คงต้องงัดกลยุทธ์ลูกเล่นออกมากระตุ้นยอดเช่นเดียวกัน แต่น่าจะเป็นในลักษณะการแข่งขันด้านราคามากกว่า เช่น ให้ดอกเบี้ย 0% ระยะเวลา 2 เดือน พร้อมของแถม อย่างไรก็ตามในส่วนของผลิตภัณฑ์ใหม่คงจะไม่มีออกมาในช่วงครึ่งปีหลัง
ทหารไทยปัดฝุ่นผลิตภัณฑ์เดิมเพิ่มอินเซนทีฟ
นายสุภัค ศิวะรักษ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารทหารไทย กล่าวว่า จากการคาดการณ์ว่าภาพรวมเศรษฐกิจไทยในครึ่งปีหลังจะมีการจับจ่ายใช้สอยมากกว่าครึ่งปีแรก ทำให้ธนาคารนำผลิตภัณฑ์สินเชื่อบุคคลที่เคยให้บริการอยู่แล้วมาปรับโฉมใหม่ให้มีภาพลักษณ์ที่ทันสมัย พร้อมเพิ่มข้อเสนอที่ดีให้ลูกค้าตัดสินใจเลือกใช้ง่ายขึ้น ได้แก่ สินเชื่อ TMB Cash 2 Go ที่เป็นสินเชื่อประเภทวงเงินกู้แบบมีกำหนดระยะเวลาผ่อนชำระ, สินเชื่อ TMB Ready Cash หรือสินเชื่อบุคคลเบิกเกินบัญชีแบบหมุนเวียน และสินเชื่อ TMB Balance Transfer สินเชื่อบุคคลที่รับโอนภาระหนี้มาจากสถาบันการเงิน โดยสินเชื่อบุคคลตั้งเป้าไว้ 4 พันล้านบาท ซึ่งครึ่งปีแรกเพิ่งได้เพียง 1 พันกว่าล้านบาท นอกจากนี้ยังได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่เพื่อให้ครบวงจร บัตรเครดิตวีซ่า แพลทินัม เจาะกลุ่มผู้มีรายได้ตั้งแต่ 3 หมื่นบาทขึ้นไป ตั้งเป้า 5 หมื่นใบในสิ้นปีนี้
กรุงไทยครึ่งหลังลุยสินเชื่อบ้าน
นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ช่วง 5 เดือนหลังจากนี้ สินเชื่อที่อยู่อาศัยจะเป็นสินเชื่อเพื่อผู้บริโภครายย่อยที่ธนาคารมุ่งเน้น ซึ่งครึ่งปีแรกที่ผ่านมาถือว่ามีผลตอบรับจากตลาดที่ดี อาจด้วยเหตุผลดอกเบี้ยขาลง อย่างไรก็ตามถึงแม้จะยังไม่ได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ แต่ธนาคารก็ไม่ได้ผลักดันว่าต้องให้ได้ตามเป้า เพราะอีกขาหนึ่งก็ระมัดระวังการปล่อยสินเชื่อด้วย
"สแตนชาร์ต" พร้อมลุยทุกตลาดเต็มที่
นางกรรณิการ์ สิทธานุวัตธ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ฝ่ายบุคคลธนกิจ ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด (ไทย) กล่าวว่า ธนาคารรุกทำตลาดรายย่อยทุกด้าน ซึ่งด้านเงินฝากจะเน้นนำเสนอเงินฝากออมทรัพย์ Power Save Plus ที่ให้อัตราดอกเบี้ยสูงสุดที่ 2.8% และการเป็นที่ปรึกษาการลงทุนให้กับลูกค้า ด้วยการคัดเลือกกองทุนที่มีผลประกอบการดีและน่าเชื่อถือมานำเสนอ ทั้งยังมั่นใจว่าในครึ่งปีหลังภาวะเศรษฐกิจจะดีขึ้น จึงเร่งปล่อยสินเชื่อประเภทต่างๆ มากขึ้น แต่ยังคงเน้นคุณภาพการปล่อยสินเชื่อเช่นเดิม โดยปลายปีนี้จะออกบริการใหม่มากระตุ้นสินเชื่อที่อยู่อาศัยเพิ่มขึ้น ขณะที่สินเชื่อบุคคลที่ล่าสุดธนาคารได้เสนอสินเชื่อบุคคล 3 ชัวร์ ที่รับประกันดอกเบี้ยถูกชัวร์ อนุมัติชัวร์ และรู้ผลภายใน 3 วันชัวร์
"ยูโอบี" ดันโปรดักต์ใหม่เพียบ
ด้านธนาคารยูโอบีก็เตรียมออกบัตรเครดิตมาเป็นโปรดักต์ใหม่ช่วยกระตุ้นยอดในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี โดยจะเปิดตัวประมาณปลายเดือน ส.ค.นี้ ซึ่งก่อนหน้านี้ได้จับมือกับห้างสรรพสินค้า Zen จัดแคมเปญแจกส่วนลดเพิ่มขึ้นอีก 5% ให้กับผู้ถือบัตร UOB Ladyีs Card รวมไปถึงแคมเปญ i-Plan ที่ช่วยให้ผู้ถือบัตรสามารถแบ่งจ่ายสินค้าและบริการด้วยอัตราดอกเบี้ย 0% นานสูงสุดถึง 10 เดือน
"เอชเอสบีซี"ชู ดบ.0% 2เดือนแรก
แหล่งข่าวจากธนาคารเอชเอสบีซี ประเทศไทย กล่าวว่า ธุรกิจรีเทลแบงกิ้งของเอชเอสบีซีจะยังคงสร้างการเติบโตของผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่มีอยู่เป็นหลัก โดยมุ่งเน้นทำตลาดให้ครอบคลุมทุกเซ็กเมนต์ ซึ่งธุรกิจบัตรเครดิตยังคงเติบโตได้ทั้งยอดบัตรใหม่และยอดใช้จ่ายผ่านบัตร โดยเฉพาะบัตรเครดิตเอชเอสบีซี วีซ่า แพลทินัม ที่จับฐานลูกค้าระดับบน ซึ่งมั่นใจว่าขยายฐานบัตรได้ถึง 8 หมื่นใบภายในสิ้นปีนี้ ขณะที่สินเชื่อบุคคล ธนาคารมีรูปแบบสินเชื่อดอกเบี้ย 0% ใน 2 เดือนแรก หากได้รับอนุมัติวงเงินตั้งแต่ 5 หมื่นบาทขึ้นไป โดยเลือกผ่อนชำระแบบรายเดือนได้ตั้ง 12-60 เดือน ด้วยอัตราดอกเบี้ยลดต้นลดดอก
prachachart
http://www.matichon.co.th/prachachat/pr ... ionid=0206
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news20/08/07
โพสต์ที่ 123
ครึ่งปีหลังแบงก์ทั้งระบบกำไรดี
แบงก์ชาติเชื่อครึ่งปีหลังแบงก์ทั้งระบบยังมีความสามารถทำกำไรดีต่อเนื่อง หากรัฐเร่งใช้จ่ายเงินงบประมาณ และมีเลือกตั้ง คาดช่วยดึงความเชื่อมั่นของประชาชนเพิ่มขึ้น ลดแรงกดดันการเร่งตัวของNPLคลี่คลายลง
นายไพบูลย์ กิตติศรีกังวาล ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายกลยุทธ์สถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) เปิดเผยว่า คณะกรรมการนโยบายสถาบันการเงินมองว่าธนาคารพาณิชย์ทั้งระบบยังมีความสามารถในการทำกำไรได้ดีในครึ่งปีแรก แม้ต้องเผชิญกับภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว และธนาคารบางแห่งจะมีภาระการกันสำรองตามเกณฑ์มาตรฐาน IAS39 จึงเชื่อว่าในช่วงต่อไปกำไรจะมีแนวโน้มเติบโตได้ดีต่อเนื่อง
ทั้งนี้ ในช่วงครึ่งแรกของปี 2550 ธนาคารพาณิชย์ทั้งระบบมีกำไรจากการดำเนินงาน 91.2 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 6.4% จากช่วงเดียวกันปีก่อน ขณะที่กำไรสุทธิ 30 พันล้านบาท ลดลง 42.5% เนื่องจากมีการกันสำรองเพิ่มขึ้นตามเกณฑ์ IAS 39 ส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง ณ สิ้นมิ.ย. 2550 ยังอยู่ในระดับสูงที่เฉลี่ย 14.3% จากเกณฑ์ของธปท.กำหนดไว้ที่ 8.5%
ระบบธนาคารพาณิชย์ได้มีการเพิ่มทุนไปแล้ว 27 พันล้านบาทในช่วงครึ่งแรกของปี และธนาคารบางแห่งยังมีความจำเป็นต้องเพิ่มทุนอีก ส่วนNPL เพิ่มขึ้นเป็น 7.8% ของสินเชื่อรวม ณ 30 มิ.ย.2550 จากระดับ 7.5% ณ สิ้นปี 2549 โดย Net NPL (หลังหักสำรองหนี้เสีย) เพิ่มขึ้น 1.83 พันล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วน 4.4% ของสินเชื่อรวม
นายไพบูลย์ กล่าวต่อว่า คณะกรรมการฯ แสดงความเป็นห่วงการเร่งตัวของ NPL เพราะในช่วงปี 2546-2549 สัดส่วนNPLลดลงมา และไตรมาสแรกยังทรงตัว แต่มาเร่งตัวในไตรมาส 2/2550 ซึ่งคณะกรรมการฯ มองว่าเหตุผลหลักคือภาวะเศรษฐกิจชะลอ แต่เชื่อว่าแรงกดดันต่อการเร่งตัวของ NPL จะคลี่คลายลงในช่วงครึ่งปีหลัง หากรัฐบาลเร่งใช้จ่ายเงินงบประมาณ และความเชื่อมั่นของประชาชนฟื้นตัวหากมีเลือกตั้งใหม่
ส่วนการลงทุนของธนาคารพาณิชย์ในตราสารหนี้ต่างประเทศประเภท CDO นั้น ธปท.ไม่กังวลมากนัก เนื่องจากมีสัดส่วนน้อยมาก และธนาคารพาณิชย์มีการประเมินความเสี่ยงระมัดระวังอยู่ตลอดเวลา แต่ไม่ได้นิ่งนอนใจคงต้องติดตามต่อไปเพราะอาจจะกระทบกับด้าน
อื่น ๆ
สำหรับสัดส่วนเงินฝากที่ลดลงในช่วงครึ่งปีแรก เพราะที่ผ่านมาภาคเอกชนระดมทุนผ่านตลาดทุนค่อนข้างมาก ผู้ฝากเงินบางส่วนโยกเงินไปลงทุนกับกองทุนรวม เพราะอัตราดอกเบี้ยอยู่ในช่วงขาลง โดยสัดส่วนสินเชื่อต่อเงินฝากอยู่ที่ 84% ลดลงจาก 89% ในปลายปี 2549 แต่ยังถือว่าสูง
http://www.msnth.com/msn/money2/content ... 320&ch=225
แบงก์ชาติเชื่อครึ่งปีหลังแบงก์ทั้งระบบยังมีความสามารถทำกำไรดีต่อเนื่อง หากรัฐเร่งใช้จ่ายเงินงบประมาณ และมีเลือกตั้ง คาดช่วยดึงความเชื่อมั่นของประชาชนเพิ่มขึ้น ลดแรงกดดันการเร่งตัวของNPLคลี่คลายลง
นายไพบูลย์ กิตติศรีกังวาล ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายกลยุทธ์สถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) เปิดเผยว่า คณะกรรมการนโยบายสถาบันการเงินมองว่าธนาคารพาณิชย์ทั้งระบบยังมีความสามารถในการทำกำไรได้ดีในครึ่งปีแรก แม้ต้องเผชิญกับภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว และธนาคารบางแห่งจะมีภาระการกันสำรองตามเกณฑ์มาตรฐาน IAS39 จึงเชื่อว่าในช่วงต่อไปกำไรจะมีแนวโน้มเติบโตได้ดีต่อเนื่อง
ทั้งนี้ ในช่วงครึ่งแรกของปี 2550 ธนาคารพาณิชย์ทั้งระบบมีกำไรจากการดำเนินงาน 91.2 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 6.4% จากช่วงเดียวกันปีก่อน ขณะที่กำไรสุทธิ 30 พันล้านบาท ลดลง 42.5% เนื่องจากมีการกันสำรองเพิ่มขึ้นตามเกณฑ์ IAS 39 ส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง ณ สิ้นมิ.ย. 2550 ยังอยู่ในระดับสูงที่เฉลี่ย 14.3% จากเกณฑ์ของธปท.กำหนดไว้ที่ 8.5%
ระบบธนาคารพาณิชย์ได้มีการเพิ่มทุนไปแล้ว 27 พันล้านบาทในช่วงครึ่งแรกของปี และธนาคารบางแห่งยังมีความจำเป็นต้องเพิ่มทุนอีก ส่วนNPL เพิ่มขึ้นเป็น 7.8% ของสินเชื่อรวม ณ 30 มิ.ย.2550 จากระดับ 7.5% ณ สิ้นปี 2549 โดย Net NPL (หลังหักสำรองหนี้เสีย) เพิ่มขึ้น 1.83 พันล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วน 4.4% ของสินเชื่อรวม
นายไพบูลย์ กล่าวต่อว่า คณะกรรมการฯ แสดงความเป็นห่วงการเร่งตัวของ NPL เพราะในช่วงปี 2546-2549 สัดส่วนNPLลดลงมา และไตรมาสแรกยังทรงตัว แต่มาเร่งตัวในไตรมาส 2/2550 ซึ่งคณะกรรมการฯ มองว่าเหตุผลหลักคือภาวะเศรษฐกิจชะลอ แต่เชื่อว่าแรงกดดันต่อการเร่งตัวของ NPL จะคลี่คลายลงในช่วงครึ่งปีหลัง หากรัฐบาลเร่งใช้จ่ายเงินงบประมาณ และความเชื่อมั่นของประชาชนฟื้นตัวหากมีเลือกตั้งใหม่
ส่วนการลงทุนของธนาคารพาณิชย์ในตราสารหนี้ต่างประเทศประเภท CDO นั้น ธปท.ไม่กังวลมากนัก เนื่องจากมีสัดส่วนน้อยมาก และธนาคารพาณิชย์มีการประเมินความเสี่ยงระมัดระวังอยู่ตลอดเวลา แต่ไม่ได้นิ่งนอนใจคงต้องติดตามต่อไปเพราะอาจจะกระทบกับด้าน
อื่น ๆ
สำหรับสัดส่วนเงินฝากที่ลดลงในช่วงครึ่งปีแรก เพราะที่ผ่านมาภาคเอกชนระดมทุนผ่านตลาดทุนค่อนข้างมาก ผู้ฝากเงินบางส่วนโยกเงินไปลงทุนกับกองทุนรวม เพราะอัตราดอกเบี้ยอยู่ในช่วงขาลง โดยสัดส่วนสินเชื่อต่อเงินฝากอยู่ที่ 84% ลดลงจาก 89% ในปลายปี 2549 แต่ยังถือว่าสูง
http://www.msnth.com/msn/money2/content ... 320&ch=225
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news20/08/07
โพสต์ที่ 124
ไอเอ็นจีบุกถือหุ้น24.9%
ทหารไทยหลุดบ่วง สิงคโปร์ลดสัดส่วนขุนคลังเปิดไฟเขียว
โพสต์ทูเดย์ บอร์ดธนาคารทหารไทยจูงมือ บิ๊กไอเอ็นจี เข้าจับเข่าคุย ฉลองภพ ซื้อหุ้นเพิ่มทุนยกล็อตเป็นพันธมิตรรายใหม่แทนที่ดีบีเอส
แหล่งข่าวกระทรวงการคลังเปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 17 ส.ค. 2550 ที่ผ่านมา นายสมใจนึก เองตระกูล ประธานกรรมการธนาคารทหารไทย และนาย จุลกร สิงหโกวินท์ ประธานกรรมการบริหาร ธนาคารทหารไทย ได้พาผู้บริหารระดับสูงจากบริษัท ไอเอ็นจี กรุ๊ป หารือกับนายฉลองภพ สุสังกร์กาญจน์ รมว.คลัง และผู้บริหารระดับสูง
แหล่งข่าวเปิดเผยว่า การเข้าพบครั้งนี้ได้มีการเจรจารายละเอียดในการเข้าซื้อหุ้นเพื่อเป็นพันธมิตรรายใหม่ และเสนอตัวขอซื้อหุ้นเพิ่มทุนธนาคารทหารไทยแทนที่ผู้ถือหุ้นเดิมที่ไม่ต้องการใช้สิทธิ์
แหล่งข่าวเปิดเผยว่า ไอเอ็นจีจะเข้ามาถือหุ้นธนาคารทหารไทยในสัดส่วนประมาณ 24.9% สำหรับกลุ่มดีบีเอส สิงคโปร์ ที่ถือหุ้น 18-20% คงจะปฏิเสธซื้อหุ้นเพิ่มทุนใหม่ในรอบนี้ ทำให้สัดส่วนการถือหุ้นของดีบีเอสลดลง
ทั้งนี้ มีการประเมินว่าทางไอเอ็นจีจะใช้เงินในการซื้อหุ้นเพิ่มทุนคราวนี้ประมาณ 8.5-9.0 พันล้านบาท
ธนาคารทหารไทย ได้เปิดการเจรจากับไอเอ็นจี ยักษ์ใหญ่ประกันของโลก มาเป็นเวลากว่า 2 เดือนแล้ว หลังจากไม่สามารถตกลงในรายละเอียดกับดีบีเอสได้โดยเฉพาะเงื่อนไขการ ให้ปรับโครงสร้างกรรมการและฝ่ายบริหารใหม่ทั้งหมด
นายสมใจนึก ปฏิเสธที่จะให้รายละเอียดการพบหารือกับนายฉลองภพ อย่างไรก็ตาม นายสมใจนึกได้เปิดเผยว่า การเพิ่มทุนของธนาคารทหารไทยไม่มีปัญหา ทุกอย่างตกลงได้หมดแล้ว รมว.คลัง ไม่ได้ว่าอะไร แต่ไม่สามารถบอกรายละเอียดได้ เพราะเป็นเรื่องที่จริงจังมาก
นายอารีพงศ์ ภู่ชอุ่ม ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) ไม่ปฏิเสธว่า ผู้บริหารธนาคารทหารไทย ได้พาผู้บริหาร ไอเอ็นจี เข้าพบนายฉลองภพ
ขณะที่ รมว.คลังกล่าวว่า จะเร่งสรุปแผนเพิ่มทุนทหารไทยให้มีเงินทุนสำรองตามมาตรฐานบัญชีใหม่ในสิ้นปีนี้
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=186068
ทหารไทยหลุดบ่วง สิงคโปร์ลดสัดส่วนขุนคลังเปิดไฟเขียว
โพสต์ทูเดย์ บอร์ดธนาคารทหารไทยจูงมือ บิ๊กไอเอ็นจี เข้าจับเข่าคุย ฉลองภพ ซื้อหุ้นเพิ่มทุนยกล็อตเป็นพันธมิตรรายใหม่แทนที่ดีบีเอส
แหล่งข่าวกระทรวงการคลังเปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 17 ส.ค. 2550 ที่ผ่านมา นายสมใจนึก เองตระกูล ประธานกรรมการธนาคารทหารไทย และนาย จุลกร สิงหโกวินท์ ประธานกรรมการบริหาร ธนาคารทหารไทย ได้พาผู้บริหารระดับสูงจากบริษัท ไอเอ็นจี กรุ๊ป หารือกับนายฉลองภพ สุสังกร์กาญจน์ รมว.คลัง และผู้บริหารระดับสูง
แหล่งข่าวเปิดเผยว่า การเข้าพบครั้งนี้ได้มีการเจรจารายละเอียดในการเข้าซื้อหุ้นเพื่อเป็นพันธมิตรรายใหม่ และเสนอตัวขอซื้อหุ้นเพิ่มทุนธนาคารทหารไทยแทนที่ผู้ถือหุ้นเดิมที่ไม่ต้องการใช้สิทธิ์
แหล่งข่าวเปิดเผยว่า ไอเอ็นจีจะเข้ามาถือหุ้นธนาคารทหารไทยในสัดส่วนประมาณ 24.9% สำหรับกลุ่มดีบีเอส สิงคโปร์ ที่ถือหุ้น 18-20% คงจะปฏิเสธซื้อหุ้นเพิ่มทุนใหม่ในรอบนี้ ทำให้สัดส่วนการถือหุ้นของดีบีเอสลดลง
ทั้งนี้ มีการประเมินว่าทางไอเอ็นจีจะใช้เงินในการซื้อหุ้นเพิ่มทุนคราวนี้ประมาณ 8.5-9.0 พันล้านบาท
ธนาคารทหารไทย ได้เปิดการเจรจากับไอเอ็นจี ยักษ์ใหญ่ประกันของโลก มาเป็นเวลากว่า 2 เดือนแล้ว หลังจากไม่สามารถตกลงในรายละเอียดกับดีบีเอสได้โดยเฉพาะเงื่อนไขการ ให้ปรับโครงสร้างกรรมการและฝ่ายบริหารใหม่ทั้งหมด
นายสมใจนึก ปฏิเสธที่จะให้รายละเอียดการพบหารือกับนายฉลองภพ อย่างไรก็ตาม นายสมใจนึกได้เปิดเผยว่า การเพิ่มทุนของธนาคารทหารไทยไม่มีปัญหา ทุกอย่างตกลงได้หมดแล้ว รมว.คลัง ไม่ได้ว่าอะไร แต่ไม่สามารถบอกรายละเอียดได้ เพราะเป็นเรื่องที่จริงจังมาก
นายอารีพงศ์ ภู่ชอุ่ม ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) ไม่ปฏิเสธว่า ผู้บริหารธนาคารทหารไทย ได้พาผู้บริหาร ไอเอ็นจี เข้าพบนายฉลองภพ
ขณะที่ รมว.คลังกล่าวว่า จะเร่งสรุปแผนเพิ่มทุนทหารไทยให้มีเงินทุนสำรองตามมาตรฐานบัญชีใหม่ในสิ้นปีนี้
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=186068
-
- Verified User
- โพสต์: 1289
- ผู้ติดตาม: 0
Re: news20/08/07
โพสต์ที่ 125
^^ มิน่า volume วันนี้มากมาย.. 

^
"เมื่อคุณเริ่มทำสิ่งที่รักแล้ว วันต่อๆไปก็จะไม่ใช่การทำงาน"..Brian Tracy
state exact goal/then analyze what fail the goal/then act/if you don't start/dream still be a dream
หุ้นไม่ใช่แค่เศษกระดาษ มันมีคนทำงานจริง
"เมื่อคุณเริ่มทำสิ่งที่รักแล้ว วันต่อๆไปก็จะไม่ใช่การทำงาน"..Brian Tracy
state exact goal/then analyze what fail the goal/then act/if you don't start/dream still be a dream
หุ้นไม่ใช่แค่เศษกระดาษ มันมีคนทำงานจริง
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news20/08/07
โพสต์ที่ 126
แบงก์ประกบลูกค้า เอสเอ็มอีผวาหนี้เน่า
โดย เดลินิวส์ วัน จันทร์ ที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2550 08:51 น.
นายภูมิชาย วัชรพงศ์ ประธานคณะเจ้าหน้าที่ด้านลูกค้าธุรกิจเอสเอ็มอี ธนาคารกรุงศรีอยุธยา เปิดเผยว่า ขณะนี้ มีลูกค้าเอสเอ็มอีของธนาคาร ได้รับผลกระทบ จากค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นบ้าง แต่ไม่มากนัก และธนาคารเองก็ให้ความสำคัญกับปัญหาดังกล่าวนี้ ด้วยการเน้นให้พนักงานเข้าไปพบลูกค้าเอสเอ็มอีทุก ๆ ราย ที่คาดว่าอาจจะได้รับผลกระทบ โดยเฉพาะธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการส่งออก พร้อมทั้งหาแนวทางช่วยเหลือ เพื่อให้ลูกค้าสามารถดำเนินธุรกิจต่อไปได้ และธนาคารก็จะไม่เกิดหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) ตามมาภายหลังด้วย
เน้นให้พนักงานสินเชื่อเร่งเข้าพบลูกค้าที่ได้รับผลกระทบจากค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น โดยแนะนำให้ลูกค้าใช้บริการป้องกันความเสี่ยงจากเงินบาทแข็งค่า ซึ่งธนาคารให้บริการอยู่แล้ว นอกจากนี้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ก็ได้ให้ความช่วยเหลือด้านสินเชื่อซอฟท์โลน ซึ่งธนาคารได้รับโควตาวงเงิน 678 ล้านบาท และจะเร่งนำไปช่วยเหลือลูกค้าโดยด่วน
ปัจจุบันธนาคารมีลูกค้าสินเชื่อเอสเอ็มอี 65,000 ราย มียอดสินเชื่อคิดเป็นสัดส่วน 42% ของสินเชื่อรวมของธนาคาร ซึ่งธนาคารเองก็ให้ความเอาใจใส่ลูกค้าเดิมเป็นหลัก โดยเน้น ทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาการเงิน และในช่วงที่ผ่านมา เราได้แนะนำลูกค้าให้เตรียมรับความเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ ๆ เช่น เรื่องเอฟทีเอ มาตรฐานสากลต่าง ๆ ที่อาจกระทบต่อธุรกิจของลูกค้า
นายตัน คอง คูน ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา กล่าวว่า ปัญหาความกังวลเรื่องซับไพร์ม ในตลาดอสังหาริมทรัพย์ สหรัฐที่ส่งผลให้นักลงทุนทั่วโลก ตื่นตระหนกและเทขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์รวมทั้งไทยในขณะนี้นั้น เชื่อว่าจะเป็นปัญหาระยะสั้น เพราะปัจจัยพื้นฐานเศรษฐกิจโลกปัจจุบันไม่ได้เปลี่ยนแปลง ขณะเดียวกันนโยบายการเสริมสภาพคล่องการเงินแก่ตลาดเงินของธนาคารกลางหลายประเทศนั้น จะยิ่งเป็นการตอกย้ำให้ความเชื่อมั่นนักลงทุนกลับมาเร็วขึ้น.
http://news.sanook.com/economic/economic_171232.php
โดย เดลินิวส์ วัน จันทร์ ที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2550 08:51 น.
นายภูมิชาย วัชรพงศ์ ประธานคณะเจ้าหน้าที่ด้านลูกค้าธุรกิจเอสเอ็มอี ธนาคารกรุงศรีอยุธยา เปิดเผยว่า ขณะนี้ มีลูกค้าเอสเอ็มอีของธนาคาร ได้รับผลกระทบ จากค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นบ้าง แต่ไม่มากนัก และธนาคารเองก็ให้ความสำคัญกับปัญหาดังกล่าวนี้ ด้วยการเน้นให้พนักงานเข้าไปพบลูกค้าเอสเอ็มอีทุก ๆ ราย ที่คาดว่าอาจจะได้รับผลกระทบ โดยเฉพาะธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการส่งออก พร้อมทั้งหาแนวทางช่วยเหลือ เพื่อให้ลูกค้าสามารถดำเนินธุรกิจต่อไปได้ และธนาคารก็จะไม่เกิดหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) ตามมาภายหลังด้วย
เน้นให้พนักงานสินเชื่อเร่งเข้าพบลูกค้าที่ได้รับผลกระทบจากค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น โดยแนะนำให้ลูกค้าใช้บริการป้องกันความเสี่ยงจากเงินบาทแข็งค่า ซึ่งธนาคารให้บริการอยู่แล้ว นอกจากนี้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ก็ได้ให้ความช่วยเหลือด้านสินเชื่อซอฟท์โลน ซึ่งธนาคารได้รับโควตาวงเงิน 678 ล้านบาท และจะเร่งนำไปช่วยเหลือลูกค้าโดยด่วน
ปัจจุบันธนาคารมีลูกค้าสินเชื่อเอสเอ็มอี 65,000 ราย มียอดสินเชื่อคิดเป็นสัดส่วน 42% ของสินเชื่อรวมของธนาคาร ซึ่งธนาคารเองก็ให้ความเอาใจใส่ลูกค้าเดิมเป็นหลัก โดยเน้น ทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาการเงิน และในช่วงที่ผ่านมา เราได้แนะนำลูกค้าให้เตรียมรับความเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ ๆ เช่น เรื่องเอฟทีเอ มาตรฐานสากลต่าง ๆ ที่อาจกระทบต่อธุรกิจของลูกค้า
นายตัน คอง คูน ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา กล่าวว่า ปัญหาความกังวลเรื่องซับไพร์ม ในตลาดอสังหาริมทรัพย์ สหรัฐที่ส่งผลให้นักลงทุนทั่วโลก ตื่นตระหนกและเทขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์รวมทั้งไทยในขณะนี้นั้น เชื่อว่าจะเป็นปัญหาระยะสั้น เพราะปัจจัยพื้นฐานเศรษฐกิจโลกปัจจุบันไม่ได้เปลี่ยนแปลง ขณะเดียวกันนโยบายการเสริมสภาพคล่องการเงินแก่ตลาดเงินของธนาคารกลางหลายประเทศนั้น จะยิ่งเป็นการตอกย้ำให้ความเชื่อมั่นนักลงทุนกลับมาเร็วขึ้น.
http://news.sanook.com/economic/economic_171232.php
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news20/08/07
โพสต์ที่ 127
บาทปิดตลาด แข็งค่าที่ 33.35 บาท คาด ธปท.แทรกแซงเพื่อรับความผันผวนขอเงินทุนไหลเข้าล่วงหน้า
Posted on Monday, August 20, 2007
ปิดตลาดซื้อขายเงินบาทในตลาดภายในประเทศวันนี้ เงินบาทปรับแข็งค่าขึ้นมาเป็นลำดับ จากเปิดตลาดบริเวณ 34.45 - 34.50 บาท ต่อ 1 ดอลลาร์สหรัฐ ขึ้นมาปิดตลาดบริเวณ 34.33 - 34.36 บาท ต่อ 1 ดอลลาร์สหรัฐ โดยเงินบาทแข็งค่าที่สุดในรอบวันที่ 33.35 บาท ต่อ 1 ดอลลาร์สหรัฐ
ทั้งนี้ นักค้าเงิน มองว่า การแข็งค่าของเงินบาทในวันนี้ มีผลจากการที่ค่าเงินในภูมิภาคทุกสกุล ปรับแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ และอีกส่วนหนึ่งมีผลจากการที่ ธปท. มีการเข้าแทรกแซงตลาด เพื่อรับมือการไหลเข้าของเงินทุนจากต่างประเทศล่วงหน้า ซึ่งจะกดดันให้เงินบาทปรับตัวผันผวนเร็วเกินไป โดยคาดกันว่า น่าจะเริ่มเห็นสัญญาณจากการดีดตัวของตลาดหุ้น ซึ่งในรอบวันนี้ ปิดตลาด ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ กระชากตัวขึ้นมา 33.60 จุด หรือ 4.43% มาปิดที่ดัชนี 792.02 จุด
ขณะที่เงินเยน ปรับอ่อนค่าสวนภูมิภาค โดยอ่อนค่าจากระดับ 113 เยน ในวันศุกร์ ลงมาซื้อขาย บริเวณ 115.20 เยน ต่อ 1 ดอลลาร์สหรัฐ เนื่องจากการ Carrytrade จบลงไปแล้ว แถมยังมีการคาดหมายกันด้วยว่า ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) จะไม่ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ในการประชุมวันพฤหัสบดีที่ 23 สิงหาคมนี้ หลังตลาดเห็น BOJ ประกาศอัดฉีดสภาพคล่องเข้าตลาดการเงินญี่ปุ่นเพิ่ม หวังช่วยผ่อนคลายปัญหาวิกฤต Subprime เพิ่มเติมในรอบวันนี้
มันนี่ ชาเนล - วรนนท์ อัศวพิริยานนท์ - 02- 229 -2000 ต่อ 2616
อีเมล - voranondha@set.or.th
http://www.moneychannel.co.th/BreakingN ... fault.aspx
Posted on Monday, August 20, 2007
ปิดตลาดซื้อขายเงินบาทในตลาดภายในประเทศวันนี้ เงินบาทปรับแข็งค่าขึ้นมาเป็นลำดับ จากเปิดตลาดบริเวณ 34.45 - 34.50 บาท ต่อ 1 ดอลลาร์สหรัฐ ขึ้นมาปิดตลาดบริเวณ 34.33 - 34.36 บาท ต่อ 1 ดอลลาร์สหรัฐ โดยเงินบาทแข็งค่าที่สุดในรอบวันที่ 33.35 บาท ต่อ 1 ดอลลาร์สหรัฐ
ทั้งนี้ นักค้าเงิน มองว่า การแข็งค่าของเงินบาทในวันนี้ มีผลจากการที่ค่าเงินในภูมิภาคทุกสกุล ปรับแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ และอีกส่วนหนึ่งมีผลจากการที่ ธปท. มีการเข้าแทรกแซงตลาด เพื่อรับมือการไหลเข้าของเงินทุนจากต่างประเทศล่วงหน้า ซึ่งจะกดดันให้เงินบาทปรับตัวผันผวนเร็วเกินไป โดยคาดกันว่า น่าจะเริ่มเห็นสัญญาณจากการดีดตัวของตลาดหุ้น ซึ่งในรอบวันนี้ ปิดตลาด ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ กระชากตัวขึ้นมา 33.60 จุด หรือ 4.43% มาปิดที่ดัชนี 792.02 จุด
ขณะที่เงินเยน ปรับอ่อนค่าสวนภูมิภาค โดยอ่อนค่าจากระดับ 113 เยน ในวันศุกร์ ลงมาซื้อขาย บริเวณ 115.20 เยน ต่อ 1 ดอลลาร์สหรัฐ เนื่องจากการ Carrytrade จบลงไปแล้ว แถมยังมีการคาดหมายกันด้วยว่า ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) จะไม่ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ในการประชุมวันพฤหัสบดีที่ 23 สิงหาคมนี้ หลังตลาดเห็น BOJ ประกาศอัดฉีดสภาพคล่องเข้าตลาดการเงินญี่ปุ่นเพิ่ม หวังช่วยผ่อนคลายปัญหาวิกฤต Subprime เพิ่มเติมในรอบวันนี้
มันนี่ ชาเนล - วรนนท์ อัศวพิริยานนท์ - 02- 229 -2000 ต่อ 2616
อีเมล - voranondha@set.or.th
http://www.moneychannel.co.th/BreakingN ... fault.aspx
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news20/08/07
โพสต์ที่ 128
ธุรกิจบัตรเครดิตครึ่งหลังปี 50 ปัญหาที่ต้องระวัง
20 สิงหาคม พ.ศ. 2550 18:00:00
ธุรกิจบัตรเครดิตครึ่งหลังปี 50 ปัญหาที่ต้องระวัง
กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ :
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยรายงานว่า ธุรกิจบัตรเครดิตในช่วงครึ่งแรกของปี 2550 ที่ผ่านมา ถูกรุมเร้าจากปัจจัยลบต่างๆที่มีมาอย่างต่อเนื่อง อาทิ ภาวะเศรษฐกิจที่ยังคงชะลอตัว ความผันผวนทางการเมือง และการแข็งค่าของค่าเงินบาท ที่อาจส่งผลกระทบต่อธุรกิจส่งออกที่มีความเกี่ยวเนื่องกับอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ ซึ่งอาจทำให้เกิดผลกระทบต่อภาวะการจ้างงานได้ ปัจจัยลบรอบด้านส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภค โดยผู้บริโภคมีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการจับจ่ายซื้อสินค้าอย่างระมัดระวังมากขึ้น นอกจากนี้ยังมีตัวแปรสำคัญที่มีผลต่อการดำเนินธุรกิจบัตรเครดิต ได้แก่ การปรับขึ้นยอดการผ่อนชำระขั้นต่ำของผู้ถือบัตรเดิมจากเดิมที่ชำระขั้นต่ำ 5% ของยอดค้างทั้งหมด เป็นชำระขั้นต่ำ 10% ของยอดค้างทั้งหมดที่มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2550 และการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยบัตรเครดิตจาก 18% เป็น 20 %( รวมค่าธรรมเนียมไม่เกิน 20%) ซึ่งปัจจัยทั้ง 2 นี้ อาจส่งผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิต และที่สำคัญคือ ความสามารถในการผ่อนชำระยอดคงค้างสินเชื่อบัตรเครดิตของผู้บริโภคบางกลุ่มด้วย ทั้งนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ได้สรุปประเด็นสำคัญของธุรกิจบัตรเครดิตในไตรมาส 2 ปี 2550 ทิศทางธุรกิจบัตรเครดิตครึ่งหลังในปี 2550 และประเด็นสำคัญที่ต้องระวัง ดังต่อไปนี้
ประเด็นสำคัญของธุรกิจบัตรเครดิตไตรมาส 2 ของปี 2550
ทั้งนี้ จากการพิจารณาตัวเลขบัตรเครดิต ณ ไตรมาส 2 ปี 2550 ศูนย์วิจัยกสิกรไทยพบว่า:
ุ ปริมาณบัตรเครดิตไตรมาส 2 ปี 2550 ชะลอตัวลงทุกกลุ่ม
ภาพรวมปริมาณบัตรเครดิตในไตรมาส 2 ปี 2550 มีจำนวน 11,254,587 บัตร และขยายตัว 7.38% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งชะลอลงจากที่ขยายตัว 9.17% ในไตรมาส 1 ปี 2550 ทั้งนี้ปริมาณบัตรเครดิตที่ขยายตัวในอัตราที่ชะลอลงสาเหตุน่าจะมาจาก ผู้ประกอบการชะลอแคมเปญการขยายฐานบัตรเครดิตใหม่ เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจที่ยังคงชะลอตัวส่งผลต่อกระทบต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภค และการใช้จ่ายของผู้บริโภค ซึ่งในขณะเดียวกันผู้ประกอบการทุกกลุ่มเพิ่มความระมัดระวังมากขึ้นในการพิจารณาอนุมัติบัตรเครดิตใหม่ และคุณสมบัติของผู้ที่สามารถสมัครสินเชื่อบัตรเครดิตที่มีจำนวนจำกัด นอกจากนี้การแข่งขันที่รุนแรงของผลิตภัณฑ์สินเชื่อส่วนบุคคลประเภทอื่นๆ อาทิ สินเชื่อบัตรเบิกเงินสด สินเชื่อเงินสดอเนกประสงค์ ของกลุ่มสถาบันการเงิน
โดยเมื่อแยกพิจารณาตามกลุ่มผู้ประกอบการ พบว่า ไตรมาส 2 ปี 2550 ปริมาณบัตรเครดิตธนาคารพาณิชย์ไทยมีการขยายฐานบัตรเครดิตที่ชะลอลง โดยในไตรมาส 2 ปี 50 มีจำนวนบัตรเครดิตทั้งสิ้น 4,492,614 บัตร และมีการเติบโต 11.03% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ชะลอตัวลงจาก 12.73% ในไตรมาส 1 ปี 50 ในขณะที่กลุ่มสาขาธนาคารต่างประเทศที่เคยมีอัตราการขยายตัวของบัตรเครดิตใหม่ที่ค่อนข้างโดดเด่นกว่ากลุ่มอื่นในช่วงที่ผ่านมา แต่ในไตรมาส 2 ปี 50 กลับมีการขยายฐานบัตรใหม่ในอัตราที่ชะลอลงเช่นกัน โดยมีจำนวนบัตรเครดิตทั้งสิ้น 1,246,920 บัตร และขยายตัว 7.27% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งลดลงจากที่ขยายตัว 14.18% ในไตรมาส 1 ปี 50
สำหรับสถาบันที่ไม่ใช่ธนาคาร หรือ Nonbank มีจำนวนบัตรเครดิตทั้งสิ้น 5,515,053 บัตร โดยขยายตัวเพียง 4.6% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ลดลงเล็กน้อยจากที่ขยายตัว 5.38% ในไตรมาส 1 ปี 50 ทั้งนี้การขยายฐานบัตรเครดิตของกลุ่ม Nonbank ที่มีอัตราการขยายตัวที่ชะลอลง สาเหตุส่วนหนึ่งน่าจะมาจากการเปรียบเทียบจากฐานที่สูงกว่า ซึ่งหากเปรียบเทียบปริมาณบัตรเครดิตที่เพิ่มขึ้นระหว่างไตรมาส 1 และไตรมาส 2 ปี 2550 จะเห็นได้ว่าในไตรมาสนี้ปริมาณบัตรเครดิตของกลุ่ม Nonbank มีจำนวนบัตรใหม่เพิ่มขึ้นประมาณ 102,052 บัตร ซึ่งมีจำนวนสูงขึ้นกว่ากลุ่มธนาคารพาณิชย์ไทย ที่มีจำนวนบัตรใหม่เพิ่มขึ้นประมาณ 51,523 บัตร และกลุ่มสาขาธนาคารต่างประทศ ที่มีจำนวนบัตรใหม่เพิ่มขึ้นประมาณ 13,669 บัตร
ุ การใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิต ในไตรมาส 2 ปี 2550 ขยายตัวในอัตราใกล้เคียงกับไตรมาส 1 ปี 2550
ภาพรวมปริมาณการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตในทุกกลุ่มผู้ประกอบการไตรมาส 2 ปี 2550 มีปริมาณการใช้จ่ายทั้งสิ้น 174,114 ล้านบาท โดยขยายตัว 13.38% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งใกล้เคียงกับไตรมาส 1 ปี 2550 ที่ขยายตัว 13.39% ภาพรวมของปริมาณการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตที่ยังคงชะลอตัวนั้น สาเหตุน่าจะเป็นผลมาจากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ส่งผลกระทบทางจิตวิทยาทำให้ผู้บริโภคชะลอการใช้จ่ายลง โดยเมื่อแยกพิจารณาตามกลุ่มผู้ประกอบการ พบว่า ไตรมาส 2 ปี 2550 ปริมาณการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตของธนาคารพาณิชย์ไทยมีมูลค่า 83,686 ล้านบาท และขยายตัว 15.19% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ลดลงเล็กน้อยจากที่ขยายตัว 16.19% ในไตรมาส 1 ปี 50 สำหรับสาขาธนาคารต่างประเทศมีปริมาณการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตในอัตราที่สูงกว่ากลุ่มอื่นในไตรมาสนี้ โดยมีปริมาณการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตทั้งสิ้น 27,437 ล้านบาท และขยายตัว 23.51% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งสูงกว่าที่ขยายตัว 22.22% ในไตรมาส 1 ปี 50 ในขณะที่ปริมาณการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตของสถาบันที่ไม่ใช่ธนาคารพาณิชย์ก็มีการเติบโตเช่นกัน โดยไตรมาส 2 ปี 50 มีปริมาณการใช้จ่ายทั้งสิ้น 62,992 ล้านบาท และมีอัตราการขยายตัว 7.31% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เพิ่มขึ้นจากที่ขยายตัว 6.25% ในไตรมาส 1 ปี 50
ทั้งนี้หากพิจารณาจากมูลค่าของการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิต จะเห็นได้ว่า มูลค่าการใช้จ่ายผ่านบัตรเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง สาเหตุน่าจะมาจาก
- ผู้บริโภคบางกลุ่มเริ่มหันมาใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตแทนเงินสดมากขึ้น เนื่องจากที่ผ่านมาผู้ประกอบการทำแคมเปญการตลาดเพื่อกระตุ้นการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิต โดยเพิ่มสิทธิประโยชน์ในการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตมากขึ้น
- ผู้ประกอบการมีการขยายฐานรานค้ารับบัตรเพิ่มขึ้นรวมถึงการทำการตลาดแบบ Cross Sell และการเน้นการทำธุรกรรมผ่านบัตรเครดิตให้มากขึ้น
- ปัญหาการขาดสภาพคล่องที่เกิดขึ้นกับผู้บริโภคบางกลุ่มที่ทำให้ต้องหันมาพึ่งการใช้สินเชื่อบัตรเครดิตมากขึ้น
ุ ปริมาณสินเชื่อคงค้างบัตรเครดิตไตรมาส 2 ของปี 2550 ชะลอตัวทุกกลุ่ม
ทั้งนี้ภาพรวมปริมาณสินเชื่อคงค้างบัตรเครดิตโดยรวมชะลอลง โดยไตรมาส 2 ปี 50 มีปริมาณสินเชื่อคงค้างทั้งสิ้น 169,017 ล้านบาท และขยายตัวในอัตรา 9.86% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน ซึ่งลดลงจากที่ขยายตัว 15.89% ในไตรมาส 1 โดยหากแยกพิจารณาเป็นรายผู้ประกอบการแล้วจะพบว่า ยอดสินเชื่อคงค้างบัตรเครดิตของธนาคารพาณิชย์ไทย มีปริมาณอยู่ที่ 57,011 ล้านบาท โดยขยายตัว 13.5% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ชะลอลงเล็กน้อยจากที่ขยายตัว 14.96% ในไตรมาส 1ปี 50 สำหรับยอดสินเชื่อคงค้างบัตรเครดิตของสาขาธนาคารพาณิชย์ต่างประเทศมีปริมาณสินเชื่อคงค้างในไตรมาส 2 ปี 50 อยู่ที่ 34,356 ล้านบาท โดยมีอัตราการขยายตัว 10.58% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งขยายตัวลดลงจาก 20.51% ในไตรมาส 1 ปี 50 ในส่วนของยอดสินเชื่อคงค้างบัตรเครดิตของสถาบันที่ไม่ใช่ธนาคารพาณิชย์ มีปริมาณยอดคงค้างทั้งสิ้น 77,649 ล้านบาท หรือขยายตัว 7.03% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ลดลงจากที่ขยายตัว 14.65% จากไตรมาส 1 ปี 50
ทั้งนี้อัตราการขยายตัวที่ชะลอลงของยอดสินเชื่อคงค้างบัตรเครดิตสาเหตุหนึ่งน่าจะมาจากสัดส่วนการผ่อนชำระสินเชื่อที่คาดว่า จะเพิ่มขึ้นในลูกค้าบางกลุ่ม เนื่องจากการปรับขึ้นการผ่อนชำระขั้นต่ำบัตรเครดิตจากเดิม 5% เป็น 10% มีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 เมษายน 2550 ที่ผ่านมา นอกจากนี้สถาบันการเงินบางแห่งมีการออกผลิตภัณฑ์สินเชื่อเงินสดเพื่อรีไฟแนนซ์ สำหรับผู้ที่เป็นหนี้บัตรเครดิตที่ไม่สามารถผ่อนชำระบัตรเครดิตได้ตามเวลาที่กำหนดจำเป็นต้องกู้ยืมเงินเพื่อนำไปชำระบัตรเครดิต ในขณะเดียวกันผู้ประกอบการบัตรเครดิตได้มีการเพิ่มความระมัดระวังมากขึ้นและมีการติดตามผู้ถือบัตรที่มีพฤติกรรมผิดปกติ เพื่อป้องกันความเสี่ยงในเรื่องของคุณภาพของสินเชื่อในระบบ เนื่องจากปัญหาหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ในระบบสินเชื่อบัตรเครดิตเริ่มมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น จะเห็นได้จากหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ของสินเชื่ออุปโภคบริโภคส่วนบุคคล (ซึ่งประกอบด้วย สินเชื่อบัตรเครดิต สินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย สินเชื่อเพื่อการเดินทาง ฯลฯ) ต่อสินเชื่อรวมในไตรมาส 1 ปี 2550 มีประมาณ 14.11% ซึ่งเพิ่มขึ้นจาก 13.79% ในไตรมาส 4 ปี 2549 ซึ่งสาเหตุน่าจะมาจากความสามารถในการผ่อนชำระสินเชื่อที่ลดลง อันเกิดมาจากการปรับขึ้นยอดการผ่อนชำระขั้นต่ำของผู้ถือบัตรเดิมจากเดิมที่ชำระขั้นต่ำ 5% ของยอดค้างทั้งหมด เป็นชำระขั้นต่ำ 10% ของยอดค้างทั้งหมดที่มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2550 การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยบัตรเครดิต และภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว และการแข็งค่าของเงินบาทที่ได้ส่งผลกระทบต่อธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับอัตราแลกเปลี่ยน ที่อาจส่งผลกระทบต่อระดับรายได้ของผู้บริโภคบางกลุ่มเช่นกัน
ุ ปริมาณการเบิกเงินสดล่วงหน้าบัตรเครดิตของไตรมาส 2 ปี 2550 โดยรวมปรับตัวลดลง
ภาพรวมของการเบิกเงินสดล่วงหน้าในทุกกลุ่มผู้ประกอบการไตรมาส 2 ปี 2550 มีปริมาณอยู่ที่ 49,224 ล้านบาท มีอัตราการขยายตัวอยู่ที่ 11.22% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน ซึ่งลดลงจากที่เคยขยายตัว 15.88% ในไตรมาสก่อนหน้า โดยเมื่อแยกพิจารณาเป็นรายผู้ประกอบการแล้วพบว่า ธนาคารพาณิชย์ไทยมีปริมาณการเบิกเงินสดล่วงหน้าในไตรมาส 2 ปี 50 มีปริมาณอยู่ที่ 34,030 ล้านบาท ขยายตัว 14% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งลดลงจากที่เคยขยายตัว 17.53% ในไตรมาส 1 สำหรับกลุ่มสาขาธนาคารต่างประเทศนั้น ยังคงมีอัตราการขยายตัวที่ค่อนข้างสูงแม้ว่าจะชะลอตัวก็ตาม โดยมีปริมาณอยู่ที่ 3,325 ล้านบาท ขยายตัว 35.54% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน จากที่เคยขยายตัว 41.56% ในไตรมาส 1 ซึ่งอัตราการขยายตัวที่สูงมากดังกล่าว ส่วนหนึ่งน่าจะยังคงเป็นผลจากการเทียบจากฐานที่ต่ำกว่า อย่างไรก็ตามกลุ่มผู้ประกอบการสถาบันที่ไม่ใช่ธนาคารพาณิชย์นั้น มีปริมาณอยู่ที่ 11,869 ล้านบาท อัตราการขยายตัวการเบิกเงินสดล่วงหน้าลดลง 0.7% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งลดลงจากที่ขยายตัว 5.4% ในไตรมาสก่อนหน้า ทั้งนี้การปรับลดลงของการเบิกเงินสดล่วงหน้า สาเหตุน่าจะมาจากผู้ถือบัตรเครดิตยังมีผลิตภัณฑ์สินเชื่ออื่น เช่น สินเชื่อบัตรเบิกเงินสด ที่ผู้ขอสินเชื่อสามารถเลือกที่จะผ่อนชำระขั้นตํ่า 3% ถึง 6% ของยอดค้างชำระได้ หรือสินเชื่อเงินสด ที่มีการขยายระยะเวลาการผ่อนชำระคืนให้นานขึ้น เป็นต้น ซึ่งมีส่วนทำให้การเบิกเงินสดล่วงหน้ามีอัตราการขยายตัวที่ชะลอลง
ทิศทางธุรกิจบัตรเครดิตครึ่งหลังปี 50...ประเด็นที่พึงระวัง
ทั้งนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มีความเห็นว่า ธุรกิจบัตรเครดิตในช่วงครึ่งหลังของปี 2550 คาดว่าจะยังคงชะลอตัว เนื่องจากปัจจัยความไม่แน่นอนทางการเมือง และทิศทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะเรื่องค่าเงินบาทที่อาจส่งผลกระทบเกี่ยวเนื่องกับธุรกิจส่งออกในขณะนี้ และอาจทำให้เกิดผลกระทบต่อภาวะการจ้างงาน ซึ่งเป็นปัจจัยที่สร้างความกังวลต่อผู้บริโภคให้เพิ่มความระมัดระวังในการใช้จ่ายมากขึ้น แต่ถึงแม้ว่าปัจจัยลบจะส่งผลกระทบต่อการดำเนินการของธุรกิจบัตรเครดิตก็ตาม คาดว่าการแข่งขันระหว่างผู้ประกอบการบัตรเครดิต ยังคงมีอยู่อย่างเข้มข้น ไม่ว่าจะเป็นการกระเน้นส่งเสริมให้มีการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตมากขึ้น การขยายฐานบัตรเครดิต การเพิ่มเครื่องรับบัตร เป็นต้น ทั้งนี้แนวโน้มการดำเนินการธุรกิจบัตรเครดิต ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มีความเห็นว่า ในช่วงครึ่งหลังของปี 2550 นี้
ุ ผู้ประกอบการทุกกลุ่มให้ความสำคัญต่อกลยุทธ์การส่งเสริมการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิต โดยน่าจะเป็นการแข่งขันระหว่างผู้ประกอบการรายใหญ่ในกลุ่มธนาคารพาณิชย์ไทยและกลุ่มสาขาธนาคารต่างประเทศ ทั้งนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มีความเห็นว่า ผู้ประกอบการยังคงเน้นการจัดแคมเปญส่งเสริมการขายและบริการมากขึ้น เพื่อกระตุ้นให้ผู้ถือบัตรใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิต ทั้งนี้ผู้ประกอบการยังคงพยายามหาความแปลกใหม่ โดยการหาพันธมิตรเข้ามาร่วมในการส่งเสริมการขาย อาทิ การเพิ่มสิทธิประโยชน์ของบัตรเครดิต เช่น ห้างสรรพสินค้า ร้านอาหาร สถานบริการน้ำมัน โดยการเสนอส่วนลด ของรางวัลต่อไป การคืนเงินให้ในรูปแบบของบัตรกำนัล เป็นต้น เพื่อสร้างความแตกต่างจากคู่แข่งในการทำตลาด
ุ การขยายฐานบัตรใหม่ผู้ประกอบการเน้นแบบเจาะกลุ่มลูกค้า (Segmentation Marketing) ทั้งนี้การขยายฐานบัตรเครดิตมีแนวโน้มที่ชะลอตัวลง ภาวะเศรษฐกิจที่ยังคงชะลอตัวอย่างต่อเนื่องยังคงเป็นปัจจัยซึ่งน่าจะส่งผลกระทบทางจิตวิทยาต่อผู้บริโภคชะลอการใช้จ่าย จึงอาจเป็นสาเหตุที่ผู้บริโภคยังไม่เห็นความจำเป็นในการสมัครบัตรเครดิต นอกจากนี้การอนุมัติบัตรใหม่ของสถาบันการเงินยังคงอยู่บนพื้นฐานของความระมัดระวัง อย่างไรก็ตามผู้ประกอบการบัตรเครดิตยังคงเน้นการขยายฐานลูกค้าใหม่ โดยเน้นการเจาะลูกค้าเฉพาะกลุ่ม อาทิ การสร้างบัตรเครดิตเฉพาะกลุ่มลูกค้า การสร้างบัตรเครดิตเฉพาะประเภทหรือเฉพาะบางธุรกิจในการรับบัตรเครดิต เป็นต้น อย่างไรก็ดีผู้ประกอบการบางรายได้มีการปรับกลยุทธ์ โดยได้มีการปรับเปลี่ยนกลุ่มลูกค้าบัตรแพลตินั่มจากเดิมที่ต้องมีรายได้ประมาณ 50,000 บาทต่อเดือนขึ้นไปนั้น ได้ถูกปรับมาเป็นรายได้ประมาณ 35,000-40,000 บาทต่อเดือนขึ้นไป ทั้งนี้สิทธิประโยชน์ที่ได้จากการถือบัตรแพลตตินั่มให้มากกว่าบัตรทอง หรือ บัตรเงิน ซึ่งกลยุทธ์นี้อาจทำให้ผู้บริโภคมีการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตมากขึ้น และผู้ประกอบการยังได้ค่าธรรมเนียมจากการใช้จ่ายผ่านบัตรแพลตินั่มของลูกค้า
นอกจากนี้ผู้ประกอบการได้มีการปรับกลยุทธ์การขยายฐานบัตรเครดิต ซึ่งธนาคารพาณิชย์ไทยรายใหญ่ได้เน้นการตลาดในรูปแบบของการจับมือร่วมกับบริษัทในเครือของตนเอง โดยเสนอผลิตภัณฑ์บัตรเครดิตให้แก่ลูกค้าที่มาติดต่อทำธุรกรรม อาทิ ผลิตภัณฑ์สินเชื่อที่อยู่อาศัย ผลิตภัณฑ์กองทุนประเภทต่างๆ และผลิตภัณฑ์สินเชื่อเช่าซื้อประเภทต่างๆ เป็นต้น ซึ่งการทำตลาดในรูปแบบนี้เป็นการช่วยลดต้นทุนในการทำตลาด ลดขั้นตอนและเวลาในการตรวจสอบคุณสมบัติของผู้ขอสินเชื่อ และยังได้กลุ่มลูกค้าที่มีคุณภาพด้วย
ุ การขยายร้านค้ารับบัตรเครดิต โดยเฉพาะการขยายร้านค้ารับบัตรเครดิตเพื่อให้ครอบคลุม ซึ่งผู้ประกอบการรายใดสามารถขยายฐานร้านค้ารับบัตรได้มาก ก็จะสามารถสร้างรายได้ให้แก่ผู้ประกอบการเช่นกัน อย่างไรก็ตามผู้ประกอบการบัตรเครดิตควรเร่งหาข้อสรุป ในเรื่องของการที่ร้านค้าบางแห่ง โดยเฉพาะร้านค้าที่มีขนาดเล็กมักจะผลักภาระค่าธรรมเนียมให้แก่ผู้ที่ซื้อสินค้าผ่านบัตรเครดิต ด้วยสาเหตุนี้การใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตตามร้านเหล่านี้จึงมีจำนวนที่น้อย
อย่างไรก็ตาม ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มีความเห็นว่า ประเด็นที่ยังคงเป็นที่จับตามองที่อาจก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อธุรกิจสินเชื่อบัตรเครดิตในอนาคต คือ ความสามารถในการผ่อนชำระสินเชื่อของผู้บริโภคบางกลุ่ม ทั้งนี้การปรับขึ้นการชำระขั้นต่ำยอดสินเชื่อคงค้างบัตรเครดิตจาก 5% เป็น 10% ที่มีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 30 เมษายน 2550 และการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยบัตรเครดิตจาก 18% เป็น 20 %(รวมค่าธรรมเนียมไม่เกิน 20%) มีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 2550 (ทั้งผู้ที่ทำบัตรใหม่และผู้ที่มียอดสินเชื่อคงค้างบัตรเครดิตที่เกิดขึ้นก่อนวันที่ 1 ธันวาคม 2549 ที่ได้รับความคุ้มครองจากประกาศของธนาคารแห่งประเทศไทยให้มีระยะเวลาปรับตัวจนถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2550 ที่ผ่านมานั้น) อาจส่งผลต่อความสามารถในการผ่อนชำระสินเชื่อลดลง โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ถือบัตรเครดิตที่มียอดสินเชื่อคงค้างต่อบัตรสูง และมียอดสินเชื่อคงค้างบัตรเครดิตมากกว่า 1 บัตร หรือผู้ที่มีภาระการผ่อนชำระสินเชื่อมากกว่า 1 ประเภท ถึงแม้ว่าการปรับขึ้นการชำระขั้นต่ำจะมีส่วนช่วยให้ระยะเวลาการผ่อนชำระยอดสินเชื่อคงค้างบัตรเครดิตให้หมดเร็วขึ้นก็ตาม นอกจากนี้การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยบัตรเครดิตที่ยังส่งผลต่อยอดสินเชื่อคงค้างเพิ่มขึ้น และวงเงินชำระขั้นต่ำในรอบบัญชีถัดไปเพิ่มขึ้นด้วย ซึ่งมีผลให้ผู้ที่เป็นหนี้บัตรเครดิตจะต้องผ่อนชำระในเวลาที่ยาวนานขึ้นกว่าเดิมหากรายได้ไม่ได้เพิ่มขึ้น ทั้งนี้มีความเป็นไปได้ที่ในระยะแรกเริ่มผู้ถือบัตรเครดิตอาจยังคงสามารถหมุนหนี้ โดยการนำสินเชื่อจากแหล่งอื่น เช่น สินเชื่อเงินสดอเนกประสงค์ บัตรเบิกเงินสด หรือการขอสินเชื่อนอกระบบ เป็นต้น เพื่อมาจ่ายชำระขั้นต่ำบัตรเครดิตที่ 10% ของยอดคงค้าง แต่เมื่อผู้ถือบัตรไม่สามารถหมุนเงินเพื่อนำมาชำระหนี้ได้แล้ว ความเสี่ยงต่อระบบสินเชื่อก็จะปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็นวงกว้างได้ในอนาคต ซึ่งคาดว่าผู้ประกอบการคงจะเฝ้าระวังและติดตามตัวเลขการเพิ่มขึ้นของยอดสินเชื่อคงค้างบัตรเครดิตในช่วงครึ่งหลังของปี 2550 นี้
บทสรุปและข้อคิดเห็น
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่า ในช่วงครึ่งหลังปี 2550 การเติบโตของธุรกิจบัตรเครดิตน่าจะมีการชะลอตัว จากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวต่อเนื่อง และการแข่งขันบัตรเครดิตที่ยังคงมีความเข้มข้น ซึ่งผู้ออกบัตรคงจะต้องรักษาคุณภาพของบัตรเครดิตมากกว่าปริมาณ หรือการเน้นสร้างฐานบัตรเครดิตที่ใหญ่ โดยต้องพยายามรักษาลูกค้าไม่ให้ยกเลิกบัตร เพื่อเปลี่ยนไปใช้บริการผู้ออกบัตรรายอื่น ในขณะเดียวกันยังคงทำแคมเปญการตลาดเพื่อส่งเสริมการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตไว้ให้ได้ นอกจากนี้จากการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลง ย่อมที่จะส่งผลให้ผู้ออกบัตรต้องดูแลคุณภาพสินเชื่อให้เคร่งครัดมากขึ้นไปอีก ซึ่งย่อมที่จะกระทบปริมาณบัตรและการใช้จ่ายผ่านบัตรในระบบได้
ทั้งนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มีความเห็นว่า ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาสถาบันการเงินหลายแห่งได้ปรับแผนการดำเนินธุรกิจ โดยหันมาเน้นขยายฐานธุรกิจไปยังกลุ่มลูกค้ารายย่อย ทำให้การแข่งขันในกลุ่มลูกค้ารายย่อยมีความรุนแรงมากขึ้น โดยสถาบันการเงินมีการออกผลิตภัณฑ์ต่างๆ เพื่อจับกลุ่มลกค้ากลุ่มนี้ ธุรกิจสินเชื่อส่วนบุคคล เป็นอีกหนึ่งผลิตภัณฑ์ที่สถาบันการเงินให้ความสำคัญและมีการทำการตลาดสำหรับกลุ่มลูกค้ารายย่อยอย่างเข้มข้นในช่วงที่ผ่านมา โดยผลิตภัณฑ์ที่การแข่งขันกันรุนแรงในขณะนี้ นอกจากสินเชื่อเงินสด แล้วยังมีสินเชื่อบัตรเครดิต ซึ่งจะเห็นได้ว่าที่ผ่านมาผู้ประกอบการต่างพยายามปรับเปลี่ยนรูปแบบของผลิตภัณฑ์สินเชื่อบัตรเครดิต โดยเพิ่มสิทธิประโยชน์ในบัตรเครดิต อาทิ ใช้เป็นส่วนลดในการซื้อสินค้า เติมน้ำมัน และเมื่อมีการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิต สามารถที่จะสะสมคะแนน เพื่อนำมาแลกของรางวัล เป็นต้น ทั้งนี้การแข่งขันที่รุนแรงระหว่างสถาบันการเงินทำให้ผู้บริโภคเข้าถึงสินเชื่อง่ายขึ้น และยังมีส่วนทำให้เกิดกระแสความนิยมใช้บัตรเครดิตแทนเงินสดในปัจจุบันจากปริมาณบัตรเครดิตและปริมาณการใช้จ่ายผ่านบัตรที่เพิ่มมากขึ้น เนื่องมาจากสิทธิประโยชน์ที่จะได้รับเมื่อชำระสินค้าผ่านบัตรเครดิตแทนการชำระสินค้าด้วยเงินสด
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าการแข่งขันที่รุนแรงระหว่างผู้ประกอบการจะทำให้ผู้บริโภคได้รับประโยชน์จากแคมเปญการตลาดก็ตาม แต่ผู้ใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตควรเพิ่มความระมัดระวังและควรมีการวางแผนในการใช้จ่ายผ่านบัตรมากขึ้น เนื่องจากการซื้อสินค้าผ่านบัตรเครดิตเปรียบเสมือนการนำเงินในอนาคตมาใช้ เมื่อถึงรอบบัญชีเรียกเก็บหากชำระไม่เต็มจำนวนก็จะถูกคิดอัตราดอกเบี้ยในรอบบัญชีถัดไป ซึ่งหากผู้ที่ใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตไม่มีความระมัดระวัง อาจก่อให้เกิดการสะสมเป็นวงเงินที่สูงขึ้น ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อความสามารถในการผ่อนชำระในอนาคต โดยเฉพาะภายใต้ความไม่แน่นอนทางภาวะเศรษฐกิจ ที่อาจจะส่งผลต่อความมั่นคงทางรายได้ในอนาคต
สำหรับการปรับตัวของผู้ประกอบการในภาวะเช่นนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มีความเห็นว่า โดยอาจจะพิจารณาติดตามพฤติกรรมของลูกค้าที่มีบัตรหลายใบ การตรวจสอบลูกหนี้ที่มีพฤติกรรมผิดปกติ เช่น จ่ายชำระสินเชื่อไม่สม่ำเสมอ หรือเบิกถอนเงินสดอยู่เป็นประจำ รวมทั้งการใช้จ่ายผ่านบัตรในบางช่วงที่สูงผิดปกติ หรือมีการขอสินเชื่อจากแหล่งอื่นในการหมุนหนี้ เช่น สินเชื่อบุคคลของสถาบันการเงินอื่น รวมทั้งการเบิกถอนเงินสดจากบัตรเครดิตใบอื่น เป็นต้น ซึ่งล้วนเป็นสัญญาณบอกเหตุของปัญหาความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้นต่อระบบสินเชื่อ ซึ่งผู้ประกอบการบัตรเครดิตส่วนใหญ่คงมีมาตรการดำเนินการต่างๆ ได้แก่ การพิจารณาปรับลดวงเงินหรือยกเลิกบัตรล่วงหน้า ก่อนเวลาต่ออายุบัตรจริง หากประเมินว่าลูกค้ามีความเสี่ยงสูง เป็นต้น
http://www.bangkokbiznews.com/2007/08/2 ... wsid=89574
20 สิงหาคม พ.ศ. 2550 18:00:00
ธุรกิจบัตรเครดิตครึ่งหลังปี 50 ปัญหาที่ต้องระวัง
กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ :
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยรายงานว่า ธุรกิจบัตรเครดิตในช่วงครึ่งแรกของปี 2550 ที่ผ่านมา ถูกรุมเร้าจากปัจจัยลบต่างๆที่มีมาอย่างต่อเนื่อง อาทิ ภาวะเศรษฐกิจที่ยังคงชะลอตัว ความผันผวนทางการเมือง และการแข็งค่าของค่าเงินบาท ที่อาจส่งผลกระทบต่อธุรกิจส่งออกที่มีความเกี่ยวเนื่องกับอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ ซึ่งอาจทำให้เกิดผลกระทบต่อภาวะการจ้างงานได้ ปัจจัยลบรอบด้านส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภค โดยผู้บริโภคมีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการจับจ่ายซื้อสินค้าอย่างระมัดระวังมากขึ้น นอกจากนี้ยังมีตัวแปรสำคัญที่มีผลต่อการดำเนินธุรกิจบัตรเครดิต ได้แก่ การปรับขึ้นยอดการผ่อนชำระขั้นต่ำของผู้ถือบัตรเดิมจากเดิมที่ชำระขั้นต่ำ 5% ของยอดค้างทั้งหมด เป็นชำระขั้นต่ำ 10% ของยอดค้างทั้งหมดที่มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2550 และการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยบัตรเครดิตจาก 18% เป็น 20 %( รวมค่าธรรมเนียมไม่เกิน 20%) ซึ่งปัจจัยทั้ง 2 นี้ อาจส่งผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิต และที่สำคัญคือ ความสามารถในการผ่อนชำระยอดคงค้างสินเชื่อบัตรเครดิตของผู้บริโภคบางกลุ่มด้วย ทั้งนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ได้สรุปประเด็นสำคัญของธุรกิจบัตรเครดิตในไตรมาส 2 ปี 2550 ทิศทางธุรกิจบัตรเครดิตครึ่งหลังในปี 2550 และประเด็นสำคัญที่ต้องระวัง ดังต่อไปนี้
ประเด็นสำคัญของธุรกิจบัตรเครดิตไตรมาส 2 ของปี 2550
ทั้งนี้ จากการพิจารณาตัวเลขบัตรเครดิต ณ ไตรมาส 2 ปี 2550 ศูนย์วิจัยกสิกรไทยพบว่า:
ุ ปริมาณบัตรเครดิตไตรมาส 2 ปี 2550 ชะลอตัวลงทุกกลุ่ม
ภาพรวมปริมาณบัตรเครดิตในไตรมาส 2 ปี 2550 มีจำนวน 11,254,587 บัตร และขยายตัว 7.38% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งชะลอลงจากที่ขยายตัว 9.17% ในไตรมาส 1 ปี 2550 ทั้งนี้ปริมาณบัตรเครดิตที่ขยายตัวในอัตราที่ชะลอลงสาเหตุน่าจะมาจาก ผู้ประกอบการชะลอแคมเปญการขยายฐานบัตรเครดิตใหม่ เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจที่ยังคงชะลอตัวส่งผลต่อกระทบต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภค และการใช้จ่ายของผู้บริโภค ซึ่งในขณะเดียวกันผู้ประกอบการทุกกลุ่มเพิ่มความระมัดระวังมากขึ้นในการพิจารณาอนุมัติบัตรเครดิตใหม่ และคุณสมบัติของผู้ที่สามารถสมัครสินเชื่อบัตรเครดิตที่มีจำนวนจำกัด นอกจากนี้การแข่งขันที่รุนแรงของผลิตภัณฑ์สินเชื่อส่วนบุคคลประเภทอื่นๆ อาทิ สินเชื่อบัตรเบิกเงินสด สินเชื่อเงินสดอเนกประสงค์ ของกลุ่มสถาบันการเงิน
โดยเมื่อแยกพิจารณาตามกลุ่มผู้ประกอบการ พบว่า ไตรมาส 2 ปี 2550 ปริมาณบัตรเครดิตธนาคารพาณิชย์ไทยมีการขยายฐานบัตรเครดิตที่ชะลอลง โดยในไตรมาส 2 ปี 50 มีจำนวนบัตรเครดิตทั้งสิ้น 4,492,614 บัตร และมีการเติบโต 11.03% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ชะลอตัวลงจาก 12.73% ในไตรมาส 1 ปี 50 ในขณะที่กลุ่มสาขาธนาคารต่างประเทศที่เคยมีอัตราการขยายตัวของบัตรเครดิตใหม่ที่ค่อนข้างโดดเด่นกว่ากลุ่มอื่นในช่วงที่ผ่านมา แต่ในไตรมาส 2 ปี 50 กลับมีการขยายฐานบัตรใหม่ในอัตราที่ชะลอลงเช่นกัน โดยมีจำนวนบัตรเครดิตทั้งสิ้น 1,246,920 บัตร และขยายตัว 7.27% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งลดลงจากที่ขยายตัว 14.18% ในไตรมาส 1 ปี 50
สำหรับสถาบันที่ไม่ใช่ธนาคาร หรือ Nonbank มีจำนวนบัตรเครดิตทั้งสิ้น 5,515,053 บัตร โดยขยายตัวเพียง 4.6% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ลดลงเล็กน้อยจากที่ขยายตัว 5.38% ในไตรมาส 1 ปี 50 ทั้งนี้การขยายฐานบัตรเครดิตของกลุ่ม Nonbank ที่มีอัตราการขยายตัวที่ชะลอลง สาเหตุส่วนหนึ่งน่าจะมาจากการเปรียบเทียบจากฐานที่สูงกว่า ซึ่งหากเปรียบเทียบปริมาณบัตรเครดิตที่เพิ่มขึ้นระหว่างไตรมาส 1 และไตรมาส 2 ปี 2550 จะเห็นได้ว่าในไตรมาสนี้ปริมาณบัตรเครดิตของกลุ่ม Nonbank มีจำนวนบัตรใหม่เพิ่มขึ้นประมาณ 102,052 บัตร ซึ่งมีจำนวนสูงขึ้นกว่ากลุ่มธนาคารพาณิชย์ไทย ที่มีจำนวนบัตรใหม่เพิ่มขึ้นประมาณ 51,523 บัตร และกลุ่มสาขาธนาคารต่างประทศ ที่มีจำนวนบัตรใหม่เพิ่มขึ้นประมาณ 13,669 บัตร
ุ การใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิต ในไตรมาส 2 ปี 2550 ขยายตัวในอัตราใกล้เคียงกับไตรมาส 1 ปี 2550
ภาพรวมปริมาณการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตในทุกกลุ่มผู้ประกอบการไตรมาส 2 ปี 2550 มีปริมาณการใช้จ่ายทั้งสิ้น 174,114 ล้านบาท โดยขยายตัว 13.38% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งใกล้เคียงกับไตรมาส 1 ปี 2550 ที่ขยายตัว 13.39% ภาพรวมของปริมาณการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตที่ยังคงชะลอตัวนั้น สาเหตุน่าจะเป็นผลมาจากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ส่งผลกระทบทางจิตวิทยาทำให้ผู้บริโภคชะลอการใช้จ่ายลง โดยเมื่อแยกพิจารณาตามกลุ่มผู้ประกอบการ พบว่า ไตรมาส 2 ปี 2550 ปริมาณการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตของธนาคารพาณิชย์ไทยมีมูลค่า 83,686 ล้านบาท และขยายตัว 15.19% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ลดลงเล็กน้อยจากที่ขยายตัว 16.19% ในไตรมาส 1 ปี 50 สำหรับสาขาธนาคารต่างประเทศมีปริมาณการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตในอัตราที่สูงกว่ากลุ่มอื่นในไตรมาสนี้ โดยมีปริมาณการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตทั้งสิ้น 27,437 ล้านบาท และขยายตัว 23.51% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งสูงกว่าที่ขยายตัว 22.22% ในไตรมาส 1 ปี 50 ในขณะที่ปริมาณการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตของสถาบันที่ไม่ใช่ธนาคารพาณิชย์ก็มีการเติบโตเช่นกัน โดยไตรมาส 2 ปี 50 มีปริมาณการใช้จ่ายทั้งสิ้น 62,992 ล้านบาท และมีอัตราการขยายตัว 7.31% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เพิ่มขึ้นจากที่ขยายตัว 6.25% ในไตรมาส 1 ปี 50
ทั้งนี้หากพิจารณาจากมูลค่าของการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิต จะเห็นได้ว่า มูลค่าการใช้จ่ายผ่านบัตรเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง สาเหตุน่าจะมาจาก
- ผู้บริโภคบางกลุ่มเริ่มหันมาใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตแทนเงินสดมากขึ้น เนื่องจากที่ผ่านมาผู้ประกอบการทำแคมเปญการตลาดเพื่อกระตุ้นการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิต โดยเพิ่มสิทธิประโยชน์ในการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตมากขึ้น
- ผู้ประกอบการมีการขยายฐานรานค้ารับบัตรเพิ่มขึ้นรวมถึงการทำการตลาดแบบ Cross Sell และการเน้นการทำธุรกรรมผ่านบัตรเครดิตให้มากขึ้น
- ปัญหาการขาดสภาพคล่องที่เกิดขึ้นกับผู้บริโภคบางกลุ่มที่ทำให้ต้องหันมาพึ่งการใช้สินเชื่อบัตรเครดิตมากขึ้น
ุ ปริมาณสินเชื่อคงค้างบัตรเครดิตไตรมาส 2 ของปี 2550 ชะลอตัวทุกกลุ่ม
ทั้งนี้ภาพรวมปริมาณสินเชื่อคงค้างบัตรเครดิตโดยรวมชะลอลง โดยไตรมาส 2 ปี 50 มีปริมาณสินเชื่อคงค้างทั้งสิ้น 169,017 ล้านบาท และขยายตัวในอัตรา 9.86% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน ซึ่งลดลงจากที่ขยายตัว 15.89% ในไตรมาส 1 โดยหากแยกพิจารณาเป็นรายผู้ประกอบการแล้วจะพบว่า ยอดสินเชื่อคงค้างบัตรเครดิตของธนาคารพาณิชย์ไทย มีปริมาณอยู่ที่ 57,011 ล้านบาท โดยขยายตัว 13.5% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ชะลอลงเล็กน้อยจากที่ขยายตัว 14.96% ในไตรมาส 1ปี 50 สำหรับยอดสินเชื่อคงค้างบัตรเครดิตของสาขาธนาคารพาณิชย์ต่างประเทศมีปริมาณสินเชื่อคงค้างในไตรมาส 2 ปี 50 อยู่ที่ 34,356 ล้านบาท โดยมีอัตราการขยายตัว 10.58% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งขยายตัวลดลงจาก 20.51% ในไตรมาส 1 ปี 50 ในส่วนของยอดสินเชื่อคงค้างบัตรเครดิตของสถาบันที่ไม่ใช่ธนาคารพาณิชย์ มีปริมาณยอดคงค้างทั้งสิ้น 77,649 ล้านบาท หรือขยายตัว 7.03% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ลดลงจากที่ขยายตัว 14.65% จากไตรมาส 1 ปี 50
ทั้งนี้อัตราการขยายตัวที่ชะลอลงของยอดสินเชื่อคงค้างบัตรเครดิตสาเหตุหนึ่งน่าจะมาจากสัดส่วนการผ่อนชำระสินเชื่อที่คาดว่า จะเพิ่มขึ้นในลูกค้าบางกลุ่ม เนื่องจากการปรับขึ้นการผ่อนชำระขั้นต่ำบัตรเครดิตจากเดิม 5% เป็น 10% มีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 เมษายน 2550 ที่ผ่านมา นอกจากนี้สถาบันการเงินบางแห่งมีการออกผลิตภัณฑ์สินเชื่อเงินสดเพื่อรีไฟแนนซ์ สำหรับผู้ที่เป็นหนี้บัตรเครดิตที่ไม่สามารถผ่อนชำระบัตรเครดิตได้ตามเวลาที่กำหนดจำเป็นต้องกู้ยืมเงินเพื่อนำไปชำระบัตรเครดิต ในขณะเดียวกันผู้ประกอบการบัตรเครดิตได้มีการเพิ่มความระมัดระวังมากขึ้นและมีการติดตามผู้ถือบัตรที่มีพฤติกรรมผิดปกติ เพื่อป้องกันความเสี่ยงในเรื่องของคุณภาพของสินเชื่อในระบบ เนื่องจากปัญหาหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ในระบบสินเชื่อบัตรเครดิตเริ่มมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น จะเห็นได้จากหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ของสินเชื่ออุปโภคบริโภคส่วนบุคคล (ซึ่งประกอบด้วย สินเชื่อบัตรเครดิต สินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย สินเชื่อเพื่อการเดินทาง ฯลฯ) ต่อสินเชื่อรวมในไตรมาส 1 ปี 2550 มีประมาณ 14.11% ซึ่งเพิ่มขึ้นจาก 13.79% ในไตรมาส 4 ปี 2549 ซึ่งสาเหตุน่าจะมาจากความสามารถในการผ่อนชำระสินเชื่อที่ลดลง อันเกิดมาจากการปรับขึ้นยอดการผ่อนชำระขั้นต่ำของผู้ถือบัตรเดิมจากเดิมที่ชำระขั้นต่ำ 5% ของยอดค้างทั้งหมด เป็นชำระขั้นต่ำ 10% ของยอดค้างทั้งหมดที่มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2550 การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยบัตรเครดิต และภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว และการแข็งค่าของเงินบาทที่ได้ส่งผลกระทบต่อธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับอัตราแลกเปลี่ยน ที่อาจส่งผลกระทบต่อระดับรายได้ของผู้บริโภคบางกลุ่มเช่นกัน
ุ ปริมาณการเบิกเงินสดล่วงหน้าบัตรเครดิตของไตรมาส 2 ปี 2550 โดยรวมปรับตัวลดลง
ภาพรวมของการเบิกเงินสดล่วงหน้าในทุกกลุ่มผู้ประกอบการไตรมาส 2 ปี 2550 มีปริมาณอยู่ที่ 49,224 ล้านบาท มีอัตราการขยายตัวอยู่ที่ 11.22% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน ซึ่งลดลงจากที่เคยขยายตัว 15.88% ในไตรมาสก่อนหน้า โดยเมื่อแยกพิจารณาเป็นรายผู้ประกอบการแล้วพบว่า ธนาคารพาณิชย์ไทยมีปริมาณการเบิกเงินสดล่วงหน้าในไตรมาส 2 ปี 50 มีปริมาณอยู่ที่ 34,030 ล้านบาท ขยายตัว 14% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งลดลงจากที่เคยขยายตัว 17.53% ในไตรมาส 1 สำหรับกลุ่มสาขาธนาคารต่างประเทศนั้น ยังคงมีอัตราการขยายตัวที่ค่อนข้างสูงแม้ว่าจะชะลอตัวก็ตาม โดยมีปริมาณอยู่ที่ 3,325 ล้านบาท ขยายตัว 35.54% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน จากที่เคยขยายตัว 41.56% ในไตรมาส 1 ซึ่งอัตราการขยายตัวที่สูงมากดังกล่าว ส่วนหนึ่งน่าจะยังคงเป็นผลจากการเทียบจากฐานที่ต่ำกว่า อย่างไรก็ตามกลุ่มผู้ประกอบการสถาบันที่ไม่ใช่ธนาคารพาณิชย์นั้น มีปริมาณอยู่ที่ 11,869 ล้านบาท อัตราการขยายตัวการเบิกเงินสดล่วงหน้าลดลง 0.7% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งลดลงจากที่ขยายตัว 5.4% ในไตรมาสก่อนหน้า ทั้งนี้การปรับลดลงของการเบิกเงินสดล่วงหน้า สาเหตุน่าจะมาจากผู้ถือบัตรเครดิตยังมีผลิตภัณฑ์สินเชื่ออื่น เช่น สินเชื่อบัตรเบิกเงินสด ที่ผู้ขอสินเชื่อสามารถเลือกที่จะผ่อนชำระขั้นตํ่า 3% ถึง 6% ของยอดค้างชำระได้ หรือสินเชื่อเงินสด ที่มีการขยายระยะเวลาการผ่อนชำระคืนให้นานขึ้น เป็นต้น ซึ่งมีส่วนทำให้การเบิกเงินสดล่วงหน้ามีอัตราการขยายตัวที่ชะลอลง
ทิศทางธุรกิจบัตรเครดิตครึ่งหลังปี 50...ประเด็นที่พึงระวัง
ทั้งนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มีความเห็นว่า ธุรกิจบัตรเครดิตในช่วงครึ่งหลังของปี 2550 คาดว่าจะยังคงชะลอตัว เนื่องจากปัจจัยความไม่แน่นอนทางการเมือง และทิศทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะเรื่องค่าเงินบาทที่อาจส่งผลกระทบเกี่ยวเนื่องกับธุรกิจส่งออกในขณะนี้ และอาจทำให้เกิดผลกระทบต่อภาวะการจ้างงาน ซึ่งเป็นปัจจัยที่สร้างความกังวลต่อผู้บริโภคให้เพิ่มความระมัดระวังในการใช้จ่ายมากขึ้น แต่ถึงแม้ว่าปัจจัยลบจะส่งผลกระทบต่อการดำเนินการของธุรกิจบัตรเครดิตก็ตาม คาดว่าการแข่งขันระหว่างผู้ประกอบการบัตรเครดิต ยังคงมีอยู่อย่างเข้มข้น ไม่ว่าจะเป็นการกระเน้นส่งเสริมให้มีการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตมากขึ้น การขยายฐานบัตรเครดิต การเพิ่มเครื่องรับบัตร เป็นต้น ทั้งนี้แนวโน้มการดำเนินการธุรกิจบัตรเครดิต ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มีความเห็นว่า ในช่วงครึ่งหลังของปี 2550 นี้
ุ ผู้ประกอบการทุกกลุ่มให้ความสำคัญต่อกลยุทธ์การส่งเสริมการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิต โดยน่าจะเป็นการแข่งขันระหว่างผู้ประกอบการรายใหญ่ในกลุ่มธนาคารพาณิชย์ไทยและกลุ่มสาขาธนาคารต่างประเทศ ทั้งนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มีความเห็นว่า ผู้ประกอบการยังคงเน้นการจัดแคมเปญส่งเสริมการขายและบริการมากขึ้น เพื่อกระตุ้นให้ผู้ถือบัตรใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิต ทั้งนี้ผู้ประกอบการยังคงพยายามหาความแปลกใหม่ โดยการหาพันธมิตรเข้ามาร่วมในการส่งเสริมการขาย อาทิ การเพิ่มสิทธิประโยชน์ของบัตรเครดิต เช่น ห้างสรรพสินค้า ร้านอาหาร สถานบริการน้ำมัน โดยการเสนอส่วนลด ของรางวัลต่อไป การคืนเงินให้ในรูปแบบของบัตรกำนัล เป็นต้น เพื่อสร้างความแตกต่างจากคู่แข่งในการทำตลาด
ุ การขยายฐานบัตรใหม่ผู้ประกอบการเน้นแบบเจาะกลุ่มลูกค้า (Segmentation Marketing) ทั้งนี้การขยายฐานบัตรเครดิตมีแนวโน้มที่ชะลอตัวลง ภาวะเศรษฐกิจที่ยังคงชะลอตัวอย่างต่อเนื่องยังคงเป็นปัจจัยซึ่งน่าจะส่งผลกระทบทางจิตวิทยาต่อผู้บริโภคชะลอการใช้จ่าย จึงอาจเป็นสาเหตุที่ผู้บริโภคยังไม่เห็นความจำเป็นในการสมัครบัตรเครดิต นอกจากนี้การอนุมัติบัตรใหม่ของสถาบันการเงินยังคงอยู่บนพื้นฐานของความระมัดระวัง อย่างไรก็ตามผู้ประกอบการบัตรเครดิตยังคงเน้นการขยายฐานลูกค้าใหม่ โดยเน้นการเจาะลูกค้าเฉพาะกลุ่ม อาทิ การสร้างบัตรเครดิตเฉพาะกลุ่มลูกค้า การสร้างบัตรเครดิตเฉพาะประเภทหรือเฉพาะบางธุรกิจในการรับบัตรเครดิต เป็นต้น อย่างไรก็ดีผู้ประกอบการบางรายได้มีการปรับกลยุทธ์ โดยได้มีการปรับเปลี่ยนกลุ่มลูกค้าบัตรแพลตินั่มจากเดิมที่ต้องมีรายได้ประมาณ 50,000 บาทต่อเดือนขึ้นไปนั้น ได้ถูกปรับมาเป็นรายได้ประมาณ 35,000-40,000 บาทต่อเดือนขึ้นไป ทั้งนี้สิทธิประโยชน์ที่ได้จากการถือบัตรแพลตตินั่มให้มากกว่าบัตรทอง หรือ บัตรเงิน ซึ่งกลยุทธ์นี้อาจทำให้ผู้บริโภคมีการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตมากขึ้น และผู้ประกอบการยังได้ค่าธรรมเนียมจากการใช้จ่ายผ่านบัตรแพลตินั่มของลูกค้า
นอกจากนี้ผู้ประกอบการได้มีการปรับกลยุทธ์การขยายฐานบัตรเครดิต ซึ่งธนาคารพาณิชย์ไทยรายใหญ่ได้เน้นการตลาดในรูปแบบของการจับมือร่วมกับบริษัทในเครือของตนเอง โดยเสนอผลิตภัณฑ์บัตรเครดิตให้แก่ลูกค้าที่มาติดต่อทำธุรกรรม อาทิ ผลิตภัณฑ์สินเชื่อที่อยู่อาศัย ผลิตภัณฑ์กองทุนประเภทต่างๆ และผลิตภัณฑ์สินเชื่อเช่าซื้อประเภทต่างๆ เป็นต้น ซึ่งการทำตลาดในรูปแบบนี้เป็นการช่วยลดต้นทุนในการทำตลาด ลดขั้นตอนและเวลาในการตรวจสอบคุณสมบัติของผู้ขอสินเชื่อ และยังได้กลุ่มลูกค้าที่มีคุณภาพด้วย
ุ การขยายร้านค้ารับบัตรเครดิต โดยเฉพาะการขยายร้านค้ารับบัตรเครดิตเพื่อให้ครอบคลุม ซึ่งผู้ประกอบการรายใดสามารถขยายฐานร้านค้ารับบัตรได้มาก ก็จะสามารถสร้างรายได้ให้แก่ผู้ประกอบการเช่นกัน อย่างไรก็ตามผู้ประกอบการบัตรเครดิตควรเร่งหาข้อสรุป ในเรื่องของการที่ร้านค้าบางแห่ง โดยเฉพาะร้านค้าที่มีขนาดเล็กมักจะผลักภาระค่าธรรมเนียมให้แก่ผู้ที่ซื้อสินค้าผ่านบัตรเครดิต ด้วยสาเหตุนี้การใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตตามร้านเหล่านี้จึงมีจำนวนที่น้อย
อย่างไรก็ตาม ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มีความเห็นว่า ประเด็นที่ยังคงเป็นที่จับตามองที่อาจก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อธุรกิจสินเชื่อบัตรเครดิตในอนาคต คือ ความสามารถในการผ่อนชำระสินเชื่อของผู้บริโภคบางกลุ่ม ทั้งนี้การปรับขึ้นการชำระขั้นต่ำยอดสินเชื่อคงค้างบัตรเครดิตจาก 5% เป็น 10% ที่มีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 30 เมษายน 2550 และการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยบัตรเครดิตจาก 18% เป็น 20 %(รวมค่าธรรมเนียมไม่เกิน 20%) มีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 2550 (ทั้งผู้ที่ทำบัตรใหม่และผู้ที่มียอดสินเชื่อคงค้างบัตรเครดิตที่เกิดขึ้นก่อนวันที่ 1 ธันวาคม 2549 ที่ได้รับความคุ้มครองจากประกาศของธนาคารแห่งประเทศไทยให้มีระยะเวลาปรับตัวจนถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2550 ที่ผ่านมานั้น) อาจส่งผลต่อความสามารถในการผ่อนชำระสินเชื่อลดลง โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ถือบัตรเครดิตที่มียอดสินเชื่อคงค้างต่อบัตรสูง และมียอดสินเชื่อคงค้างบัตรเครดิตมากกว่า 1 บัตร หรือผู้ที่มีภาระการผ่อนชำระสินเชื่อมากกว่า 1 ประเภท ถึงแม้ว่าการปรับขึ้นการชำระขั้นต่ำจะมีส่วนช่วยให้ระยะเวลาการผ่อนชำระยอดสินเชื่อคงค้างบัตรเครดิตให้หมดเร็วขึ้นก็ตาม นอกจากนี้การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยบัตรเครดิตที่ยังส่งผลต่อยอดสินเชื่อคงค้างเพิ่มขึ้น และวงเงินชำระขั้นต่ำในรอบบัญชีถัดไปเพิ่มขึ้นด้วย ซึ่งมีผลให้ผู้ที่เป็นหนี้บัตรเครดิตจะต้องผ่อนชำระในเวลาที่ยาวนานขึ้นกว่าเดิมหากรายได้ไม่ได้เพิ่มขึ้น ทั้งนี้มีความเป็นไปได้ที่ในระยะแรกเริ่มผู้ถือบัตรเครดิตอาจยังคงสามารถหมุนหนี้ โดยการนำสินเชื่อจากแหล่งอื่น เช่น สินเชื่อเงินสดอเนกประสงค์ บัตรเบิกเงินสด หรือการขอสินเชื่อนอกระบบ เป็นต้น เพื่อมาจ่ายชำระขั้นต่ำบัตรเครดิตที่ 10% ของยอดคงค้าง แต่เมื่อผู้ถือบัตรไม่สามารถหมุนเงินเพื่อนำมาชำระหนี้ได้แล้ว ความเสี่ยงต่อระบบสินเชื่อก็จะปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็นวงกว้างได้ในอนาคต ซึ่งคาดว่าผู้ประกอบการคงจะเฝ้าระวังและติดตามตัวเลขการเพิ่มขึ้นของยอดสินเชื่อคงค้างบัตรเครดิตในช่วงครึ่งหลังของปี 2550 นี้
บทสรุปและข้อคิดเห็น
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่า ในช่วงครึ่งหลังปี 2550 การเติบโตของธุรกิจบัตรเครดิตน่าจะมีการชะลอตัว จากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวต่อเนื่อง และการแข่งขันบัตรเครดิตที่ยังคงมีความเข้มข้น ซึ่งผู้ออกบัตรคงจะต้องรักษาคุณภาพของบัตรเครดิตมากกว่าปริมาณ หรือการเน้นสร้างฐานบัตรเครดิตที่ใหญ่ โดยต้องพยายามรักษาลูกค้าไม่ให้ยกเลิกบัตร เพื่อเปลี่ยนไปใช้บริการผู้ออกบัตรรายอื่น ในขณะเดียวกันยังคงทำแคมเปญการตลาดเพื่อส่งเสริมการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตไว้ให้ได้ นอกจากนี้จากการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลง ย่อมที่จะส่งผลให้ผู้ออกบัตรต้องดูแลคุณภาพสินเชื่อให้เคร่งครัดมากขึ้นไปอีก ซึ่งย่อมที่จะกระทบปริมาณบัตรและการใช้จ่ายผ่านบัตรในระบบได้
ทั้งนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มีความเห็นว่า ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาสถาบันการเงินหลายแห่งได้ปรับแผนการดำเนินธุรกิจ โดยหันมาเน้นขยายฐานธุรกิจไปยังกลุ่มลูกค้ารายย่อย ทำให้การแข่งขันในกลุ่มลูกค้ารายย่อยมีความรุนแรงมากขึ้น โดยสถาบันการเงินมีการออกผลิตภัณฑ์ต่างๆ เพื่อจับกลุ่มลกค้ากลุ่มนี้ ธุรกิจสินเชื่อส่วนบุคคล เป็นอีกหนึ่งผลิตภัณฑ์ที่สถาบันการเงินให้ความสำคัญและมีการทำการตลาดสำหรับกลุ่มลูกค้ารายย่อยอย่างเข้มข้นในช่วงที่ผ่านมา โดยผลิตภัณฑ์ที่การแข่งขันกันรุนแรงในขณะนี้ นอกจากสินเชื่อเงินสด แล้วยังมีสินเชื่อบัตรเครดิต ซึ่งจะเห็นได้ว่าที่ผ่านมาผู้ประกอบการต่างพยายามปรับเปลี่ยนรูปแบบของผลิตภัณฑ์สินเชื่อบัตรเครดิต โดยเพิ่มสิทธิประโยชน์ในบัตรเครดิต อาทิ ใช้เป็นส่วนลดในการซื้อสินค้า เติมน้ำมัน และเมื่อมีการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิต สามารถที่จะสะสมคะแนน เพื่อนำมาแลกของรางวัล เป็นต้น ทั้งนี้การแข่งขันที่รุนแรงระหว่างสถาบันการเงินทำให้ผู้บริโภคเข้าถึงสินเชื่อง่ายขึ้น และยังมีส่วนทำให้เกิดกระแสความนิยมใช้บัตรเครดิตแทนเงินสดในปัจจุบันจากปริมาณบัตรเครดิตและปริมาณการใช้จ่ายผ่านบัตรที่เพิ่มมากขึ้น เนื่องมาจากสิทธิประโยชน์ที่จะได้รับเมื่อชำระสินค้าผ่านบัตรเครดิตแทนการชำระสินค้าด้วยเงินสด
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าการแข่งขันที่รุนแรงระหว่างผู้ประกอบการจะทำให้ผู้บริโภคได้รับประโยชน์จากแคมเปญการตลาดก็ตาม แต่ผู้ใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตควรเพิ่มความระมัดระวังและควรมีการวางแผนในการใช้จ่ายผ่านบัตรมากขึ้น เนื่องจากการซื้อสินค้าผ่านบัตรเครดิตเปรียบเสมือนการนำเงินในอนาคตมาใช้ เมื่อถึงรอบบัญชีเรียกเก็บหากชำระไม่เต็มจำนวนก็จะถูกคิดอัตราดอกเบี้ยในรอบบัญชีถัดไป ซึ่งหากผู้ที่ใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตไม่มีความระมัดระวัง อาจก่อให้เกิดการสะสมเป็นวงเงินที่สูงขึ้น ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อความสามารถในการผ่อนชำระในอนาคต โดยเฉพาะภายใต้ความไม่แน่นอนทางภาวะเศรษฐกิจ ที่อาจจะส่งผลต่อความมั่นคงทางรายได้ในอนาคต
สำหรับการปรับตัวของผู้ประกอบการในภาวะเช่นนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มีความเห็นว่า โดยอาจจะพิจารณาติดตามพฤติกรรมของลูกค้าที่มีบัตรหลายใบ การตรวจสอบลูกหนี้ที่มีพฤติกรรมผิดปกติ เช่น จ่ายชำระสินเชื่อไม่สม่ำเสมอ หรือเบิกถอนเงินสดอยู่เป็นประจำ รวมทั้งการใช้จ่ายผ่านบัตรในบางช่วงที่สูงผิดปกติ หรือมีการขอสินเชื่อจากแหล่งอื่นในการหมุนหนี้ เช่น สินเชื่อบุคคลของสถาบันการเงินอื่น รวมทั้งการเบิกถอนเงินสดจากบัตรเครดิตใบอื่น เป็นต้น ซึ่งล้วนเป็นสัญญาณบอกเหตุของปัญหาความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้นต่อระบบสินเชื่อ ซึ่งผู้ประกอบการบัตรเครดิตส่วนใหญ่คงมีมาตรการดำเนินการต่างๆ ได้แก่ การพิจารณาปรับลดวงเงินหรือยกเลิกบัตรล่วงหน้า ก่อนเวลาต่ออายุบัตรจริง หากประเมินว่าลูกค้ามีความเสี่ยงสูง เป็นต้น
http://www.bangkokbiznews.com/2007/08/2 ... wsid=89574
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news21/08/07
โพสต์ที่ 129
หมดยุคดอกเบี้ยขาขึ้น
โพสต์ทูเดย์ ดอกเบี้ยหมดสิทธิ์เป็นขาขึ้น หลังวิกฤตซับไพรม์ป่วนตลาดเงินโลก
แหล่งข่าวจากสมาคมธนาคารไทย เปิดเผยว่า ก่อนหน้านี้นายแบงก์และนักค้าเงินคาดว่าแนวโน้มดอกเบี้ยในประเทศจะปรับขึ้นภายในไตรมาส 2 ของปี 2551 ตามแนวโน้มดอกเบี้ยในตลาดโลก แต่หลังจากเกิดวิกฤตซับไพรม์ในสหรัฐอเมริกา ก็ทำให้โอกาสที่ดอกเบี้ยโลกจะปรับขึ้นมีน้อยมาก ซึ่งจะทำให้ดอกเบี้ยในประเทศไม่มีโอกาสจะปรับขึ้นเช่นกัน
อย่างไรก็ดี อัตราดอกเบี้ยในประเทศนั้นขึ้นอยู่กับสภาพคล่องเป็นหลัก ซึ่งเดิมก็คาดกันว่ารัฐบาลจะพยายามผลักดันให้เกิดโครงการลงทุนขนาดใหญ่ (เมกะโปรเจกต์) แต่สุดท้ายรัฐบาลนี้ก็ไม่ทำอะไร ทำให้ที่ประเมินว่าสภาพคล่องในประเทศจะหดตัวลงเพราะปล่อยกู้เมกะโปรเจกต์ก็ไม่เป็นไปตามคาดการณ์
นอกจากนี้ ธนาคารพาณิชย์ปล่อยสินเชื่อไม่ออก เนื่องจากเศรษฐกิจชะลอตัวมาก ทำให้แรงกดดันให้ดอกเบี้ยในประเทศปรับขึ้นไม่มีเลย
หากดอกเบี้ยไม่ขึ้น จะส่งผลดีต่อภาพรวมของเศรษฐกิจ แต่ในมุมกลับกันผู้สูงอายุที่ยังชีพด้วยดอกเบี้ยจะเดือดร้อนบ้าง ซึ่งต้องหาช่องทางการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนที่สูงกว่าฝากเงินในธนาคารพาณิชย์ ซึ่งพันธบัตรของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่จะออกจำหน่าย 4 หมื่นล้านบาท ในวันที่ 27 ส.ค.นี้ ก็น่าสนใจ เพราะให้ดอกเบี้ยค่อนข้างจูงใจ แหล่งข่าวกล่าว
นายเชาวน์ เก่งชน รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย กล่าวว่า คิดว่าดอกเบี้ยในประเทศนั้นคงจะขึ้นไม่ได้ เพราะภาวะความผันผวนที่รออยู่ข้างหน้ามีอยู่สูง ขณะนี้ธนาคารกลางของประเทศต่างๆ กำลังรอดูเหตุการณ์ในสหรัฐว่าจะคลี่คลายไปอย่างไร เนื่องจากเห็นว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) แก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าฉีดเงินเข้าระบบ แต่ปัญหาคุณภาพสินทรัพย์ยังไม่เปลี่ยนแปลง
ที่น่าเป็นห่วงก็คือ ในปี 2551 สัญญาเงินกู้ของอสังหาริมทรัพย์ในอเมริกาจะปรับดอกเบี้ยขึ้น โดยการปล่อยกู้ของสหรัฐใน 2 ปีแรก บางสัญญาจะให้กู้แบบปลอดดอกเบี้ย และกลางปีนี้ส่วนใหญ่จะต้องขึ้นดอกเบี้ย ปัญหานี้จะยิ่งทำให้วิกฤตซับไพรม์เลวร้ายลง นายเชาวน์ กล่าว
ดังนั้น จากการที่จะต้องขึ้นดอกเบี้ยอสังหาริมทรัพย์ทำให้มองกันว่าคุณภาพของสินทรัพย์ในสหรัฐไม่ได้ดีขึ้น ดังนั้นก็ไม่น่าที่จะทำให้สหรัฐจะขึ้นดอกเบี้ยได้อีก ซึ่งธนาคารกลางของประเทศต่างๆ ก็จะไม่ขึ้นดอกเบี้ยเช่นกัน เนื่องจากเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าของสหรัฐจะอ่อนแอลงไปด้วยจากการส่งออกที่ลดลง
ด้านนายชัยวัฒน์ อุทัยวรรณ์ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารนครหลวงไทย กล่าวว่า หากดอกเบี้ยในประเทศไม่ปรับขึ้น น่าจะช่วยให้ธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม หรือเอสเอ็มอี ปรับตัวได้บ้างหลังจากที่ได้รับผลกระทบมากจากเศรษฐกิจชะลอตัว
อย่างไรก็ตาม ดอกเบี้ยที่จะไม่ปรับขึ้นจะไม่ส่งผลอะไรกับหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ หรือเอ็นพีแอล ของธนาคารพาณิชย์ทั้งระบบดีขึ้น เพราะธนาคารแห่งประเทศไทยได้สั่งการให้ธนาคารตั้งสำรองหนี้ตามเกณฑ์คุณภาพ และตามมาตรฐานบัญชี IAS 39 ไปแล้ว
การสำรองหนี้สูงขนาดนี้ ทำให้ธนาคารพาณิชย์ทั้งหลายมีภูมิคุ้มกันต่อหนี้เสียสูงมากแล้ว นายชัยวัฒน์ กล่าว
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=186251
โพสต์ทูเดย์ ดอกเบี้ยหมดสิทธิ์เป็นขาขึ้น หลังวิกฤตซับไพรม์ป่วนตลาดเงินโลก
แหล่งข่าวจากสมาคมธนาคารไทย เปิดเผยว่า ก่อนหน้านี้นายแบงก์และนักค้าเงินคาดว่าแนวโน้มดอกเบี้ยในประเทศจะปรับขึ้นภายในไตรมาส 2 ของปี 2551 ตามแนวโน้มดอกเบี้ยในตลาดโลก แต่หลังจากเกิดวิกฤตซับไพรม์ในสหรัฐอเมริกา ก็ทำให้โอกาสที่ดอกเบี้ยโลกจะปรับขึ้นมีน้อยมาก ซึ่งจะทำให้ดอกเบี้ยในประเทศไม่มีโอกาสจะปรับขึ้นเช่นกัน
อย่างไรก็ดี อัตราดอกเบี้ยในประเทศนั้นขึ้นอยู่กับสภาพคล่องเป็นหลัก ซึ่งเดิมก็คาดกันว่ารัฐบาลจะพยายามผลักดันให้เกิดโครงการลงทุนขนาดใหญ่ (เมกะโปรเจกต์) แต่สุดท้ายรัฐบาลนี้ก็ไม่ทำอะไร ทำให้ที่ประเมินว่าสภาพคล่องในประเทศจะหดตัวลงเพราะปล่อยกู้เมกะโปรเจกต์ก็ไม่เป็นไปตามคาดการณ์
นอกจากนี้ ธนาคารพาณิชย์ปล่อยสินเชื่อไม่ออก เนื่องจากเศรษฐกิจชะลอตัวมาก ทำให้แรงกดดันให้ดอกเบี้ยในประเทศปรับขึ้นไม่มีเลย
หากดอกเบี้ยไม่ขึ้น จะส่งผลดีต่อภาพรวมของเศรษฐกิจ แต่ในมุมกลับกันผู้สูงอายุที่ยังชีพด้วยดอกเบี้ยจะเดือดร้อนบ้าง ซึ่งต้องหาช่องทางการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนที่สูงกว่าฝากเงินในธนาคารพาณิชย์ ซึ่งพันธบัตรของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่จะออกจำหน่าย 4 หมื่นล้านบาท ในวันที่ 27 ส.ค.นี้ ก็น่าสนใจ เพราะให้ดอกเบี้ยค่อนข้างจูงใจ แหล่งข่าวกล่าว
นายเชาวน์ เก่งชน รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย กล่าวว่า คิดว่าดอกเบี้ยในประเทศนั้นคงจะขึ้นไม่ได้ เพราะภาวะความผันผวนที่รออยู่ข้างหน้ามีอยู่สูง ขณะนี้ธนาคารกลางของประเทศต่างๆ กำลังรอดูเหตุการณ์ในสหรัฐว่าจะคลี่คลายไปอย่างไร เนื่องจากเห็นว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) แก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าฉีดเงินเข้าระบบ แต่ปัญหาคุณภาพสินทรัพย์ยังไม่เปลี่ยนแปลง
ที่น่าเป็นห่วงก็คือ ในปี 2551 สัญญาเงินกู้ของอสังหาริมทรัพย์ในอเมริกาจะปรับดอกเบี้ยขึ้น โดยการปล่อยกู้ของสหรัฐใน 2 ปีแรก บางสัญญาจะให้กู้แบบปลอดดอกเบี้ย และกลางปีนี้ส่วนใหญ่จะต้องขึ้นดอกเบี้ย ปัญหานี้จะยิ่งทำให้วิกฤตซับไพรม์เลวร้ายลง นายเชาวน์ กล่าว
ดังนั้น จากการที่จะต้องขึ้นดอกเบี้ยอสังหาริมทรัพย์ทำให้มองกันว่าคุณภาพของสินทรัพย์ในสหรัฐไม่ได้ดีขึ้น ดังนั้นก็ไม่น่าที่จะทำให้สหรัฐจะขึ้นดอกเบี้ยได้อีก ซึ่งธนาคารกลางของประเทศต่างๆ ก็จะไม่ขึ้นดอกเบี้ยเช่นกัน เนื่องจากเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าของสหรัฐจะอ่อนแอลงไปด้วยจากการส่งออกที่ลดลง
ด้านนายชัยวัฒน์ อุทัยวรรณ์ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารนครหลวงไทย กล่าวว่า หากดอกเบี้ยในประเทศไม่ปรับขึ้น น่าจะช่วยให้ธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม หรือเอสเอ็มอี ปรับตัวได้บ้างหลังจากที่ได้รับผลกระทบมากจากเศรษฐกิจชะลอตัว
อย่างไรก็ตาม ดอกเบี้ยที่จะไม่ปรับขึ้นจะไม่ส่งผลอะไรกับหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ หรือเอ็นพีแอล ของธนาคารพาณิชย์ทั้งระบบดีขึ้น เพราะธนาคารแห่งประเทศไทยได้สั่งการให้ธนาคารตั้งสำรองหนี้ตามเกณฑ์คุณภาพ และตามมาตรฐานบัญชี IAS 39 ไปแล้ว
การสำรองหนี้สูงขนาดนี้ ทำให้ธนาคารพาณิชย์ทั้งหลายมีภูมิคุ้มกันต่อหนี้เสียสูงมากแล้ว นายชัยวัฒน์ กล่าว
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=186251
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news22/08/07
โพสต์ที่ 130
กระตุ้นคนไทยใช้บัตรแทนเงินสด
โดย เดลินิวส์ วัน พุธ ที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2550 08:51 น.
นางธาริษา วัฒนเกส ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ในฐานะประธานคณะกรรมการระบบการชำระเงิน เปิดเผยในงานสัมมนาระบบการชำระเงินประจำปี 50 ว่า สังคมไทยอยู่ในระดับแนวหน้าเรื่องสังคมทันสมัย มีรูปแบบใช้ชีวิตสมัยใหม่ ยอมรับเทคโนโลยีมาใช้ในชีวิตประจำวัน แต่ด้านสื่อการชำระเงิน ยังเป็นสังคมอนุรักษนิยมอยู่ ประชาชนยังนิยมใช้เงินสดเป็นหลักแม้มีสื่อ ชำระเงินอิเล็กทรอนิกส์เข้ามาเหมือนในอดีต กว่าคนไทยจะยอมเปลี่ยนจากใช้เปลือกหอย และเบี้ยมาเป็นเงินสดก็มีวิวัฒนาการยาวนาน
อย่างไรก็ตาม เราปล่อยให้ระบบการชำระเงินพัฒนาโดยขาดกลยุทธ์ที่ชัดเจนไม่ได้ เพราะเศรษฐกิจโลกผันผวน แข่งขันสูง ทุกประเทศต้องสร้างความเข้มแข็งทุกด้าน เพื่อให้แข่งขันได้บนเวทีโลก ซึ่งระบบการชำระเงินเป็นโครงสร้างพื้นฐานหลักของระบบเศรษฐกิจ มีบทบาทสำคัญมากในการเพิ่มศักยภาพการแข่งขัน จึงจำเป็นต้องพัฒนาให้มีเป้าหมายและกลยุทธ์ที่ชัดเจน
นายสมชัย จิตสุชน ผู้อำนวยการวิจัย สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ ไอ) ในฐานะกรรมการระบบการชำระเงิน กล่าวว่า สื่อการชำระเงินที่ช่วยลดการใช้เงินสดได้ดีที่สุดคือ บัตรเดบิต ซึ่งขณะนี้ทุกฝ่ายมีความพยายามส่งเสริมให้ใช้มากขึ้น และนักศึกษาจบใหม่ คนรุ่นใหม่นิยมใช้มากขึ้นแล้ว อย่างไรก็ตามคนรุ่นเก่ายังไม่นิยมนัก ส่วนหนึ่งเพราะสถาบันการเงินคิดค่าธรรมเนียมบัตรเดบิตสูง และไม่ส่งเสริมบัตรเดบิตมากนัก เนื่องจากได้กำไรต่ำกว่าบัตรเครดิต เพราะมีค่าธรรมเนียมการเชื่อมโยงระหว่างธนาคาร (อิน เตอร์เชน) ที่ต้องจ่ายให้กับวีซ่า ซึ่งเป็นตัวกลางสูงอยู่ อย่างไรก็ตามที่ผ่านมา ธปท. เคยไปเจรจาอย่างไม่เป็นทางการกับวีซ่าแล้ว หากในอนาคตค่าธรรมเนียมส่วนนี้ลดลงได้ ก็ไม่น่าจะเป็นปัญหากับการส่งเสริมบัตรเดบิตแล้ว
นายฉิม ตันติยาสวัสดิกุล ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายระบบข้อสนเทศ ธปท. กล่าวว่า การใช้เงินสดของคนไทยยังมีปัญหาอยู่ เพราะสัดส่วนการใช้มาก ทำให้ต้นทุนสูง แม้จะมีเทคโนโลยี แต่คนไทยยังไม่ใช้มากนัก ทั้งนี้ ธปท. อยากเห็นคนไทยใช้บัตรเอทีเอ็ม ไม่เฉพาะสำหรับการเบิกเงินสดเพียงอย่างเดียว แต่ใช้สำหรับทำธุรกรรมอื่นด้วย
นายรณศักดิ์ เรืองวีรยุทธ ผู้อำนวยการสำนักนโยบายและกำกับระบบการชำระเงิน ธปท. กล่าวถึงแผนกลยุทธ์ระบบการชำระเงินปี 53 ว่า เน้นให้มีความร่วมมือให้ภาครัฐและเอกชน ในการผลักดันให้มีการใช้ระบบการชำระเงินทางอิเล็ก ทรอนิกส์มากขึ้น ด้วยบริการที่มีประสิทธิภาพ มั่นคงปลอดภัย และค่าธรรมเนียมที่เป็นธรรม มีกฎหมายและการบังคับใช้ที่มีประสิทธิผล.
http://news.sanook.com/economic/economic_172137.php
โดย เดลินิวส์ วัน พุธ ที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2550 08:51 น.
นางธาริษา วัฒนเกส ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ในฐานะประธานคณะกรรมการระบบการชำระเงิน เปิดเผยในงานสัมมนาระบบการชำระเงินประจำปี 50 ว่า สังคมไทยอยู่ในระดับแนวหน้าเรื่องสังคมทันสมัย มีรูปแบบใช้ชีวิตสมัยใหม่ ยอมรับเทคโนโลยีมาใช้ในชีวิตประจำวัน แต่ด้านสื่อการชำระเงิน ยังเป็นสังคมอนุรักษนิยมอยู่ ประชาชนยังนิยมใช้เงินสดเป็นหลักแม้มีสื่อ ชำระเงินอิเล็กทรอนิกส์เข้ามาเหมือนในอดีต กว่าคนไทยจะยอมเปลี่ยนจากใช้เปลือกหอย และเบี้ยมาเป็นเงินสดก็มีวิวัฒนาการยาวนาน
อย่างไรก็ตาม เราปล่อยให้ระบบการชำระเงินพัฒนาโดยขาดกลยุทธ์ที่ชัดเจนไม่ได้ เพราะเศรษฐกิจโลกผันผวน แข่งขันสูง ทุกประเทศต้องสร้างความเข้มแข็งทุกด้าน เพื่อให้แข่งขันได้บนเวทีโลก ซึ่งระบบการชำระเงินเป็นโครงสร้างพื้นฐานหลักของระบบเศรษฐกิจ มีบทบาทสำคัญมากในการเพิ่มศักยภาพการแข่งขัน จึงจำเป็นต้องพัฒนาให้มีเป้าหมายและกลยุทธ์ที่ชัดเจน
นายสมชัย จิตสุชน ผู้อำนวยการวิจัย สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ ไอ) ในฐานะกรรมการระบบการชำระเงิน กล่าวว่า สื่อการชำระเงินที่ช่วยลดการใช้เงินสดได้ดีที่สุดคือ บัตรเดบิต ซึ่งขณะนี้ทุกฝ่ายมีความพยายามส่งเสริมให้ใช้มากขึ้น และนักศึกษาจบใหม่ คนรุ่นใหม่นิยมใช้มากขึ้นแล้ว อย่างไรก็ตามคนรุ่นเก่ายังไม่นิยมนัก ส่วนหนึ่งเพราะสถาบันการเงินคิดค่าธรรมเนียมบัตรเดบิตสูง และไม่ส่งเสริมบัตรเดบิตมากนัก เนื่องจากได้กำไรต่ำกว่าบัตรเครดิต เพราะมีค่าธรรมเนียมการเชื่อมโยงระหว่างธนาคาร (อิน เตอร์เชน) ที่ต้องจ่ายให้กับวีซ่า ซึ่งเป็นตัวกลางสูงอยู่ อย่างไรก็ตามที่ผ่านมา ธปท. เคยไปเจรจาอย่างไม่เป็นทางการกับวีซ่าแล้ว หากในอนาคตค่าธรรมเนียมส่วนนี้ลดลงได้ ก็ไม่น่าจะเป็นปัญหากับการส่งเสริมบัตรเดบิตแล้ว
นายฉิม ตันติยาสวัสดิกุล ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายระบบข้อสนเทศ ธปท. กล่าวว่า การใช้เงินสดของคนไทยยังมีปัญหาอยู่ เพราะสัดส่วนการใช้มาก ทำให้ต้นทุนสูง แม้จะมีเทคโนโลยี แต่คนไทยยังไม่ใช้มากนัก ทั้งนี้ ธปท. อยากเห็นคนไทยใช้บัตรเอทีเอ็ม ไม่เฉพาะสำหรับการเบิกเงินสดเพียงอย่างเดียว แต่ใช้สำหรับทำธุรกรรมอื่นด้วย
นายรณศักดิ์ เรืองวีรยุทธ ผู้อำนวยการสำนักนโยบายและกำกับระบบการชำระเงิน ธปท. กล่าวถึงแผนกลยุทธ์ระบบการชำระเงินปี 53 ว่า เน้นให้มีความร่วมมือให้ภาครัฐและเอกชน ในการผลักดันให้มีการใช้ระบบการชำระเงินทางอิเล็ก ทรอนิกส์มากขึ้น ด้วยบริการที่มีประสิทธิภาพ มั่นคงปลอดภัย และค่าธรรมเนียมที่เป็นธรรม มีกฎหมายและการบังคับใช้ที่มีประสิทธิผล.
http://news.sanook.com/economic/economic_172137.php
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news23/08/07
โพสต์ที่ 131
ปล่อยกู้ก.ค.ไม่คึก หายวูบ2.4หมื่นล.
โพสต์ทูเดย์ สินเชื่อแบงก์พาณิชย์เดือน ก.ค. หด 2.4 หมื่นล้าน กรุงไทย-กสิกรไทย เพิ่ม แต่ ทหารไทย หดหนักสุด
บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทยรายงานตัวเลขสินเชื่อ เงินฝาก และสินทรัพย์ ในระบบธนาคารพาณิชย์ไทยตามฐานข้อมูลที่ปรากฏในแบบรายงาน ธ.พ. 1.1 พบว่า ยอดคงค้างสินเชื่อ (หักค่าเผื่อ หนี้สงสัยจะสูญแล้ว) ในระบบธนาคารพาณิชย์ไทยเดือน ณ ก.ค. 2550 มี จำนวน 4.9 ล้านล้านบาท ลดลงจากเดือนที่แล้ว 2.45 หมื่นล้านบาท คิดเป็นอัตราการลดลง 0.5% แต่เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับระยะเดียวกันปีก่อน 3.57%
ทั้งนี้ ธนาคารกรุงไทยมียอดสินเชื่อคงค้างเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า เพิ่มขึ้น 4.1 พันล้านบาท ทำให้ในช่วง 7 เดือนแรก ยอดปล่อยสินเชื่อเพิ่มขึ้น 465 ล้านบาทหรือเติบโตขึ้น 0.05% จากสิ้นปีก่อน
ส่วนธนาคารกสิกรไทยที่แม้จะมียอดสินเชื่อคงค้างเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้า 3.3 พันล้านบาท แต่เป็นการเติบโตอย่างต่อเนื่องตลอด 7 เดือนที่ผ่านมา เพิ่มขึ้น 2.8 หมื่นล้านบาท หรือ 4.34% จากสิ้นปีก่อน และเป็นอัตราที่เพิ่มมากที่สุดในบรรดาธนาคารขนาดใหญ่และกลาง
ด้านธนาคารไทยพาณิชย์มียอดสินเชื่อคงค้างเทียบเดือนก่อนหน้าลดลง 7.2 พันล้านบาท แต่ช่วง 7 เดือนแรกยอดสินเชื่อคงค้างเติบโต 2.5 หมื่นล้านบาท หรือเติบโต 3.88%
ขณะที่ธนาคารกรุงเทพมียอดสินเชื่อคงค้างเดือน ก.ค. ลดลงจากเดือนก่อนหน้าที่ 7.3 พันล้านบาท แต่ยอดคงค้าง 7 เดือนแรกเพิ่มขึ้น 1.9 หมื่นล้านบาท หรือ 2.14%
ขณะที่ธนาคารทหารไทย ยอดสินเชื่อลดลง 8.2 พันล้านบาท ทำให้ 7 เดือนแรกยอดสินเชื่อหดลง 4.4 หมื่นล้านบาทแล้ว หรือคิดเป็นอัตรา ลดลง 8.7% จากสิ้นปีก่อน
ทั้งนี้ ผู้บริหารธนาคารทหารไทย ได้ระบุไว้ก่อนหน้านี้ว่าเป็นผลมาจากนโยบายปรับคุณภาพสินทรัพย์ ไม่เน้นปล่อยสินเชื่อและมีการชำระคืนหนี้ จากลูกค้ารายใหญ่ นอกจากนี้ ธนาคารกรุงศรีอยุธยาก็มียอดสินเชื่อคงค้าง ก.ค. ลดลง 3.6 พันล้านบาท และ 7 เดือนแรกสินเชื่อลดลง 1.7 หมื่น ล้านบาท
สำหรับธนาคารขนาดกลางรวมถึงธนาคารขนาดเล็กส่วนใหญ่มียอดสินเชื่อคงค้างลดลงต่อเนื่อง
สำหรับยอดเงินฝากเดือน ก.ค. กสิกรไทยมีเงินฝากเพิ่มมากที่สุดที่ 2.7 หมื่นล้านบาท ตามมาด้วยกรุงไทยที่เงินฝากเพิ่มขึ้น 1.9 หมื่นล้านบาท และสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด (ไทย) 1.8 หมื่นล้านบาท ขณะที่ธนาคารสินเอเซียมีเงินฝากเพิ่มขึ้น 1 หมื่นล้านบาท ส่งผลให้ยอดเงินฝากปัจจุบันของสินเอเซียที่ 4.6 หมื่นล้านบาท ขยับแซงหน้าธนาคารเกียรตินาคิน ซึ่งมีเงินฝาก 3.8 หมื่นล้านบาทแล้ว
ด้านอัตราส่วนสินเชื่อต่อเงินฝากเดือน ก.ค. ของทั้งระบบไม่รวมธนาคารธนชาตโดยเฉลี่ยอยู่ที่ 80% ซึ่งปรับตัวลดลงเล็กน้อยจากเดือน ก่อนหน้าและสิ้นปีก่อนที่อยู่ประมาณ 82% จากยอดรวมสินเชื่อคงค้างช่วง 7 เดือนแรก ที่ไม่รวมธนชาตปรับเพิ่ม ขึ้นเพียง 0.41% ด้านเงินฝาก 7 เดือนแรกไม่รวมธนชาตปรับเพิ่มขึ้น 2.91%
สินทรัพย์รวมในระบบธนาคารพาณิชย์ไทย ณ วันที่ 31 ก.ค. 2550 มีจำนวน 7.8 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้า 1.16 แสนล้านบาท หรือ 1.51%
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=186791
โพสต์ทูเดย์ สินเชื่อแบงก์พาณิชย์เดือน ก.ค. หด 2.4 หมื่นล้าน กรุงไทย-กสิกรไทย เพิ่ม แต่ ทหารไทย หดหนักสุด
บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทยรายงานตัวเลขสินเชื่อ เงินฝาก และสินทรัพย์ ในระบบธนาคารพาณิชย์ไทยตามฐานข้อมูลที่ปรากฏในแบบรายงาน ธ.พ. 1.1 พบว่า ยอดคงค้างสินเชื่อ (หักค่าเผื่อ หนี้สงสัยจะสูญแล้ว) ในระบบธนาคารพาณิชย์ไทยเดือน ณ ก.ค. 2550 มี จำนวน 4.9 ล้านล้านบาท ลดลงจากเดือนที่แล้ว 2.45 หมื่นล้านบาท คิดเป็นอัตราการลดลง 0.5% แต่เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับระยะเดียวกันปีก่อน 3.57%
ทั้งนี้ ธนาคารกรุงไทยมียอดสินเชื่อคงค้างเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า เพิ่มขึ้น 4.1 พันล้านบาท ทำให้ในช่วง 7 เดือนแรก ยอดปล่อยสินเชื่อเพิ่มขึ้น 465 ล้านบาทหรือเติบโตขึ้น 0.05% จากสิ้นปีก่อน
ส่วนธนาคารกสิกรไทยที่แม้จะมียอดสินเชื่อคงค้างเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้า 3.3 พันล้านบาท แต่เป็นการเติบโตอย่างต่อเนื่องตลอด 7 เดือนที่ผ่านมา เพิ่มขึ้น 2.8 หมื่นล้านบาท หรือ 4.34% จากสิ้นปีก่อน และเป็นอัตราที่เพิ่มมากที่สุดในบรรดาธนาคารขนาดใหญ่และกลาง
ด้านธนาคารไทยพาณิชย์มียอดสินเชื่อคงค้างเทียบเดือนก่อนหน้าลดลง 7.2 พันล้านบาท แต่ช่วง 7 เดือนแรกยอดสินเชื่อคงค้างเติบโต 2.5 หมื่นล้านบาท หรือเติบโต 3.88%
ขณะที่ธนาคารกรุงเทพมียอดสินเชื่อคงค้างเดือน ก.ค. ลดลงจากเดือนก่อนหน้าที่ 7.3 พันล้านบาท แต่ยอดคงค้าง 7 เดือนแรกเพิ่มขึ้น 1.9 หมื่นล้านบาท หรือ 2.14%
ขณะที่ธนาคารทหารไทย ยอดสินเชื่อลดลง 8.2 พันล้านบาท ทำให้ 7 เดือนแรกยอดสินเชื่อหดลง 4.4 หมื่นล้านบาทแล้ว หรือคิดเป็นอัตรา ลดลง 8.7% จากสิ้นปีก่อน
ทั้งนี้ ผู้บริหารธนาคารทหารไทย ได้ระบุไว้ก่อนหน้านี้ว่าเป็นผลมาจากนโยบายปรับคุณภาพสินทรัพย์ ไม่เน้นปล่อยสินเชื่อและมีการชำระคืนหนี้ จากลูกค้ารายใหญ่ นอกจากนี้ ธนาคารกรุงศรีอยุธยาก็มียอดสินเชื่อคงค้าง ก.ค. ลดลง 3.6 พันล้านบาท และ 7 เดือนแรกสินเชื่อลดลง 1.7 หมื่น ล้านบาท
สำหรับธนาคารขนาดกลางรวมถึงธนาคารขนาดเล็กส่วนใหญ่มียอดสินเชื่อคงค้างลดลงต่อเนื่อง
สำหรับยอดเงินฝากเดือน ก.ค. กสิกรไทยมีเงินฝากเพิ่มมากที่สุดที่ 2.7 หมื่นล้านบาท ตามมาด้วยกรุงไทยที่เงินฝากเพิ่มขึ้น 1.9 หมื่นล้านบาท และสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด (ไทย) 1.8 หมื่นล้านบาท ขณะที่ธนาคารสินเอเซียมีเงินฝากเพิ่มขึ้น 1 หมื่นล้านบาท ส่งผลให้ยอดเงินฝากปัจจุบันของสินเอเซียที่ 4.6 หมื่นล้านบาท ขยับแซงหน้าธนาคารเกียรตินาคิน ซึ่งมีเงินฝาก 3.8 หมื่นล้านบาทแล้ว
ด้านอัตราส่วนสินเชื่อต่อเงินฝากเดือน ก.ค. ของทั้งระบบไม่รวมธนาคารธนชาตโดยเฉลี่ยอยู่ที่ 80% ซึ่งปรับตัวลดลงเล็กน้อยจากเดือน ก่อนหน้าและสิ้นปีก่อนที่อยู่ประมาณ 82% จากยอดรวมสินเชื่อคงค้างช่วง 7 เดือนแรก ที่ไม่รวมธนชาตปรับเพิ่ม ขึ้นเพียง 0.41% ด้านเงินฝาก 7 เดือนแรกไม่รวมธนชาตปรับเพิ่มขึ้น 2.91%
สินทรัพย์รวมในระบบธนาคารพาณิชย์ไทย ณ วันที่ 31 ก.ค. 2550 มีจำนวน 7.8 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้า 1.16 แสนล้านบาท หรือ 1.51%
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=186791
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news23/08/07
โพสต์ที่ 132
Banking Sector
23 สิงหาคม พ.ศ. 2550 10:20:00
Loan Growth in Jul07 slightly decrease
กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ : สินเชื่อเดือนก.ค. 2550 ของกลุ่มธนาคารพาณิชย์ทั้ง 6 แห่ง ได้แก่ BAY BBL KBANK KTB SCB และ TMB โดยรวมมีการปรับตัวลดลงเมื่อเทียบกับเดือน มิ.ย. 2550 โดยปรับตัวลดลง 0.47% mom แต่เพิ่มขึ้น 3.36% yoy และหากเปรียบเทียบกับสิ้นปี 2549 พบว่าเพิ่มขึ้น 0.28% YTD หรือ 1.1 หมื่นล้านบาท
KBANK และ KTB เป็น 2 ธนาคารที่มีสินเชื่อปรับเพิ่มขึ้นทั้ง mom และ yoy โดย KBANK สินเชื่อขยายตัว 0.49% mom และ 12% yoy และ KTB รายงานการเติบโตของสินเชื่อที่ 0.47% mom และ 3% yoy ในขณะที่ BAY และ TMB สินเชื่อลดลงต่อเนื่อง โดย BAY ลดลง 0.86% mom และ 3.7% yoy จาการชำระคืนหนี้ของลูกค้ารายใหญ่ TMB เดือน ก.ค. 2550 ลดลง 1.7% mom และ 10.4% yoy
หากพิจารณาการขยายตัวของสินเชื่อนับจากสิ้นปี 2549 พบว่า KBANK มีอัตราการเติบโตของสินเชื่อเพิ่มขึ้นสูงสุดที่ 4.3% YTD รองลงมาได้แก่ SCB ที่ 3.9% และ BBL ที่ 2.1% YTD ขณะที่ BAY และ TMB ยังคงเป็น 2 ธนาคารที่มีอัตราการเติบโตลดลง YTD ที่ 3.9% และ 8.7% YTD ตามลำดับ
ทางด้านเงินฝากเพิ่มขึ้น 1.3% mom และ 3.4% yoy KBANK เป็นธนาคารที่มีเงินฝากเพิ่มขึ้นมากที่สุดในกลุ่มทั้ง mom และ yoy ที่ 3.63% mom และ 16.2% yoy ทำให้สภาพคล่องปรับตัวดีขึ้นโดย LDR ลดลงจาก 0.88 เป็น 0.85 ขณะที่ BBL เป็นธนาคารเดียวที่มีเงินฝากลดลง mom ที่ 0.14% ส่วน BAY และ TMB เป็น 2 ธนาคารที่มีตัวเลขเงินฝากลดลงทั้ง yoy และ YTD โดย BAY มีเงินฝากลดลง 7% yoy และ 6.1% YTD TMB ลดลง 13% yoy และ 12% YTD
จากสินเชื่อที่ลดลง 0.48% mom ในขณะที่เงินฝากเติบโต 1.3% mom ส่งผลให้สภาพคล่องเดือน ก.ค. 2550 มีการปรับตัวลดลงเล็กน้อย โดยสัดส่วนสินเชื่อต่อเงินฝาก (Loan to Deposit Ratio: LDR) เฉลี่ยของกลุ่มลดลงจาก 0.85 ในเดือน มิ.ย. 2550 มาอยู่ที่ 0.83
จากตัวเลขสินเชื่อเดือน ก.ค. 2550 SCIBS ประเมินว่า KBANK และ BBL มีแนวโน้มในการขยายสินเชื่อปี 2550 ได้ตามคาดที่ 8% และ 4% ตามลำดับจากตัวเลขสินเชื่อ ณ ก.ค. 2550 ที่ KBANK เพิ่มขึ้น 4.3% และ BBL ที่ 2.1% YTD ขณะที่ BAY คาดสินเชื่อจะมีการเร่งขยายตัวมากขึ้นหลังการปรับโครงสร้างเสร็จในช่วง มิ.ย. 2550 ที่ผ่านมา ด้าน SCB , KTB และ TMB เป็น 3 ธนาคารที่มีแนวโน้มการขยายสินเชื่อไม่เป็นไปตามเป้าซึ่งต้องจับตามองต่อไป
In Brief
BAY คาดเร่งขยายสินเชื่อเต็มที่ใน 2H/50 : BAY มีนโยบายในการรุกสินเชื่อรายย่อยมากขึ้นในช่วง 2H/50 ทั้งจากธนาคารเองและบริษัทในเครือ โดยล่าสุดได้มีการเข้าซื้อบริษัท จีอี แคปปิตอล ออโต้ ลีส จำกัด (มหาชน) (GECAL) จาก General Electric Capital Asia Investment, Inc. (GECAI) และผู้ถือหุ้นรายอื่น คิดเป็นเงินลงทุนทั้งสิ้น 17,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นการเสริมธุรกิจเช่าซื้อของกลุ่มธนาคารและเพื่อเป็นการเพิ่มศักยภาพการเติบโตของสินเชื่อมากขึ้นตามนโยบายในการเร่งสินเชื่อรายย่อยภายใต้การสนับสนุนของ GE ประกอบกับมีฐานเงินกองทุนที่แข็งแกร่งถึง 19% เพียงพอต่อการขยายตัวของสินเชื่อ อีกทั้ง BAY ได้มีการตั้งสำรองเกินกว่าเกณฑ์สูงสุดในกลุ่มที่ 148% ทำให้คาด BAY จะเป็นธนาคารที่มีอัตราการเติบโตของผลการดำเนินงานโดดเด่นที่สุดในช่วง 2H/50 และต่อเนื่องถึงปี 2551 จึงแนะนำ ซื้อ ราคาเป้าหมาย 31.22 บาทต่อหุ้นโดยใช้ PBV08F ที่ 2x
KBANK สินเชื่อโตต่อเนื่องและคาดทำได้ตามเป้า : จากการที่ KBANK เป็นธนาคารที่มีอัตราการเติบโตของสินเชื่อที่ต่อเนื่อง ทำให้คาดว่าจะสามารถขยายสินเชื่อได้ตามเป้าที่ 8% ในปี 2550 นี้ ประกอบกับการเป็นธนาคารที่มีความโดดเด่นสินเชื่อ SME และเป็นธนาคารที่มี NIM สูงสุดในกลุ่ม รวมถึงมีการจัดการควบคุมความเสี่ยงที่ดี จึงแนะนำ ซื้อ ราคาเหมาะสม 96.20 บาทต่อหุ้น โดยใช้ PBV08F ที่ 2.1x
BBL คาดสินเชื่อขยายตัวจากฐานลูกค้าใหญ่ : SCIBS ประเมินการเติบโตของสินเชื่อในปี 2550 ที่ 4% โดย 7 เดือนแรกธนาคารมีสินเชื่อเพิ่มขึ้น 2.1% จึงคาดว่า BBL จะเป็นธนาคารที่มีสินเชื่อตามเป้าได้ ภายใต้สมมติฐานที่คาดสินเชื่อในช่วง 2H/50 เติบโตตามเศรษฐกิจที่ค่อยๆ ฟื้นตัวและส่งผลต่อความสินเชื่อของลูกค้าขนาดใหญ่ที่ธนาคารมีฐานลูกค้าดังกล่าวสูงถึง 49% ของพอร์ตสินเชื่อรวม จึงแนะนำ ซื้อ ราคา
เหมาะสม 156.33 บาทต่อหุ้น โดยใช้ PBV08F ที่ 1.7x
ที่มา : บล.นครหลวงไทย
http://www.bangkokbiznews.com/2007/08/2 ... wsid=90873
23 สิงหาคม พ.ศ. 2550 10:20:00
Loan Growth in Jul07 slightly decrease
กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ : สินเชื่อเดือนก.ค. 2550 ของกลุ่มธนาคารพาณิชย์ทั้ง 6 แห่ง ได้แก่ BAY BBL KBANK KTB SCB และ TMB โดยรวมมีการปรับตัวลดลงเมื่อเทียบกับเดือน มิ.ย. 2550 โดยปรับตัวลดลง 0.47% mom แต่เพิ่มขึ้น 3.36% yoy และหากเปรียบเทียบกับสิ้นปี 2549 พบว่าเพิ่มขึ้น 0.28% YTD หรือ 1.1 หมื่นล้านบาท
KBANK และ KTB เป็น 2 ธนาคารที่มีสินเชื่อปรับเพิ่มขึ้นทั้ง mom และ yoy โดย KBANK สินเชื่อขยายตัว 0.49% mom และ 12% yoy และ KTB รายงานการเติบโตของสินเชื่อที่ 0.47% mom และ 3% yoy ในขณะที่ BAY และ TMB สินเชื่อลดลงต่อเนื่อง โดย BAY ลดลง 0.86% mom และ 3.7% yoy จาการชำระคืนหนี้ของลูกค้ารายใหญ่ TMB เดือน ก.ค. 2550 ลดลง 1.7% mom และ 10.4% yoy
หากพิจารณาการขยายตัวของสินเชื่อนับจากสิ้นปี 2549 พบว่า KBANK มีอัตราการเติบโตของสินเชื่อเพิ่มขึ้นสูงสุดที่ 4.3% YTD รองลงมาได้แก่ SCB ที่ 3.9% และ BBL ที่ 2.1% YTD ขณะที่ BAY และ TMB ยังคงเป็น 2 ธนาคารที่มีอัตราการเติบโตลดลง YTD ที่ 3.9% และ 8.7% YTD ตามลำดับ
ทางด้านเงินฝากเพิ่มขึ้น 1.3% mom และ 3.4% yoy KBANK เป็นธนาคารที่มีเงินฝากเพิ่มขึ้นมากที่สุดในกลุ่มทั้ง mom และ yoy ที่ 3.63% mom และ 16.2% yoy ทำให้สภาพคล่องปรับตัวดีขึ้นโดย LDR ลดลงจาก 0.88 เป็น 0.85 ขณะที่ BBL เป็นธนาคารเดียวที่มีเงินฝากลดลง mom ที่ 0.14% ส่วน BAY และ TMB เป็น 2 ธนาคารที่มีตัวเลขเงินฝากลดลงทั้ง yoy และ YTD โดย BAY มีเงินฝากลดลง 7% yoy และ 6.1% YTD TMB ลดลง 13% yoy และ 12% YTD
จากสินเชื่อที่ลดลง 0.48% mom ในขณะที่เงินฝากเติบโต 1.3% mom ส่งผลให้สภาพคล่องเดือน ก.ค. 2550 มีการปรับตัวลดลงเล็กน้อย โดยสัดส่วนสินเชื่อต่อเงินฝาก (Loan to Deposit Ratio: LDR) เฉลี่ยของกลุ่มลดลงจาก 0.85 ในเดือน มิ.ย. 2550 มาอยู่ที่ 0.83
จากตัวเลขสินเชื่อเดือน ก.ค. 2550 SCIBS ประเมินว่า KBANK และ BBL มีแนวโน้มในการขยายสินเชื่อปี 2550 ได้ตามคาดที่ 8% และ 4% ตามลำดับจากตัวเลขสินเชื่อ ณ ก.ค. 2550 ที่ KBANK เพิ่มขึ้น 4.3% และ BBL ที่ 2.1% YTD ขณะที่ BAY คาดสินเชื่อจะมีการเร่งขยายตัวมากขึ้นหลังการปรับโครงสร้างเสร็จในช่วง มิ.ย. 2550 ที่ผ่านมา ด้าน SCB , KTB และ TMB เป็น 3 ธนาคารที่มีแนวโน้มการขยายสินเชื่อไม่เป็นไปตามเป้าซึ่งต้องจับตามองต่อไป
In Brief
BAY คาดเร่งขยายสินเชื่อเต็มที่ใน 2H/50 : BAY มีนโยบายในการรุกสินเชื่อรายย่อยมากขึ้นในช่วง 2H/50 ทั้งจากธนาคารเองและบริษัทในเครือ โดยล่าสุดได้มีการเข้าซื้อบริษัท จีอี แคปปิตอล ออโต้ ลีส จำกัด (มหาชน) (GECAL) จาก General Electric Capital Asia Investment, Inc. (GECAI) และผู้ถือหุ้นรายอื่น คิดเป็นเงินลงทุนทั้งสิ้น 17,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นการเสริมธุรกิจเช่าซื้อของกลุ่มธนาคารและเพื่อเป็นการเพิ่มศักยภาพการเติบโตของสินเชื่อมากขึ้นตามนโยบายในการเร่งสินเชื่อรายย่อยภายใต้การสนับสนุนของ GE ประกอบกับมีฐานเงินกองทุนที่แข็งแกร่งถึง 19% เพียงพอต่อการขยายตัวของสินเชื่อ อีกทั้ง BAY ได้มีการตั้งสำรองเกินกว่าเกณฑ์สูงสุดในกลุ่มที่ 148% ทำให้คาด BAY จะเป็นธนาคารที่มีอัตราการเติบโตของผลการดำเนินงานโดดเด่นที่สุดในช่วง 2H/50 และต่อเนื่องถึงปี 2551 จึงแนะนำ ซื้อ ราคาเป้าหมาย 31.22 บาทต่อหุ้นโดยใช้ PBV08F ที่ 2x
KBANK สินเชื่อโตต่อเนื่องและคาดทำได้ตามเป้า : จากการที่ KBANK เป็นธนาคารที่มีอัตราการเติบโตของสินเชื่อที่ต่อเนื่อง ทำให้คาดว่าจะสามารถขยายสินเชื่อได้ตามเป้าที่ 8% ในปี 2550 นี้ ประกอบกับการเป็นธนาคารที่มีความโดดเด่นสินเชื่อ SME และเป็นธนาคารที่มี NIM สูงสุดในกลุ่ม รวมถึงมีการจัดการควบคุมความเสี่ยงที่ดี จึงแนะนำ ซื้อ ราคาเหมาะสม 96.20 บาทต่อหุ้น โดยใช้ PBV08F ที่ 2.1x
BBL คาดสินเชื่อขยายตัวจากฐานลูกค้าใหญ่ : SCIBS ประเมินการเติบโตของสินเชื่อในปี 2550 ที่ 4% โดย 7 เดือนแรกธนาคารมีสินเชื่อเพิ่มขึ้น 2.1% จึงคาดว่า BBL จะเป็นธนาคารที่มีสินเชื่อตามเป้าได้ ภายใต้สมมติฐานที่คาดสินเชื่อในช่วง 2H/50 เติบโตตามเศรษฐกิจที่ค่อยๆ ฟื้นตัวและส่งผลต่อความสินเชื่อของลูกค้าขนาดใหญ่ที่ธนาคารมีฐานลูกค้าดังกล่าวสูงถึง 49% ของพอร์ตสินเชื่อรวม จึงแนะนำ ซื้อ ราคา
เหมาะสม 156.33 บาทต่อหุ้น โดยใช้ PBV08F ที่ 1.7x
ที่มา : บล.นครหลวงไทย
http://www.bangkokbiznews.com/2007/08/2 ... wsid=90873
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news28/08/07
โพสต์ที่ 133
จี้รัฐช่วยเงินกู้ดอกต่ำอุ้มรายย่อย
โพสต์ทูเดย์ เอสเอ็มอีแบงก์ วอนรัฐอุดหนุนดอกเบี้ย 2% ช่วยรายย่อย หลังเลื่อนออกหุ้นกู้ 5 พันล้าน
นายพงษ์ศักดิ์ ชิวชรัตน์ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) หรือเอสเอ็มอีแบงก์ กล่าวว่า ธนาคารต้องการให้รัฐบาลสนับสนุนงบประมาณเพื่อชดเชย ภาระดอกเบี้ยจากการระดมทุน เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการราย เล็กรายย่อยประมาณ 2% เพื่อ นำมาจัดตั้งกองทุนช่วยเหลือผู้ประกอบการ
นายพงษ์ศักดิ์ กล่าวว่า ที่ผ่านมาการจัดตั้งกองทุน 5 พันล้านบาท ของรัฐบาล เพื่อเยียวยาเอสเอ็มอีที่ เป็นผู้ส่งออก ไม่ได้เข้าถึงลูกค้าของธนาคาร เพราะคนส่วนใหญ่ที่ได้ประโยชน์เป็นลูกหนี้ของธนาคารพาณิชย์ จึงพยายามเร่งรัดการจัดตั้งกองทุนนี้ขึ้น เพื่อช่วยลูกหนี้ที่ได้รับการปฏิเสธเงินกู้จากธนาคารพาณิชย์ และลูกหนี้ที่มีปัญหาทางการเงิน แต่ที่ยังทำไม่ได้ตามที่ตั้งเป้าไว้ เพราะต้นทุนตอนนี้ปรับตัวสูงขึ้นหลังนักลงทุน กลัวความเสี่ยง
เราต้องการจัดตั้งกองทุนให้ทัน กับสถานการณ์ เนื่องจากเกรงว่าวิกฤตซับไพรม์ในสหรัฐจะส่งผลลุกลามกระทบต่อการขยายตัวเศรษฐกิจ โลก ทำให้ความต้องการสั่งซื้อสินค้าจากประเทศไทยลดลง ซึ่งจะมีผลต่อเนื่องทั้งทางตรงและทางอ้อมกับ ผู้ประกอบการส่งออก นายพงษ์ศักดิ์ กล่าว
สำหรับโครงการออกหุ้นกู้เพื่อนำมาจัดตั้งกองทุน 5 พันล้านบาทนั้น ธนาคารคงต้องเลื่อนการออกหุ้นกู้เพื่อระดมทุนออกไปก่อน
ถ้ากู้ตอนนี้เกรงว่าต้นทุนจะสูงกว่าที่คาดไว้ จะทำให้ต้องคิดดอกเบี้ยปล่อยกู้ให้กับลูกค้าต่อในระดับที่สูง นายพงษ์ศักดิ์ กล่าว
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=187688
โพสต์ทูเดย์ เอสเอ็มอีแบงก์ วอนรัฐอุดหนุนดอกเบี้ย 2% ช่วยรายย่อย หลังเลื่อนออกหุ้นกู้ 5 พันล้าน
นายพงษ์ศักดิ์ ชิวชรัตน์ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) หรือเอสเอ็มอีแบงก์ กล่าวว่า ธนาคารต้องการให้รัฐบาลสนับสนุนงบประมาณเพื่อชดเชย ภาระดอกเบี้ยจากการระดมทุน เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการราย เล็กรายย่อยประมาณ 2% เพื่อ นำมาจัดตั้งกองทุนช่วยเหลือผู้ประกอบการ
นายพงษ์ศักดิ์ กล่าวว่า ที่ผ่านมาการจัดตั้งกองทุน 5 พันล้านบาท ของรัฐบาล เพื่อเยียวยาเอสเอ็มอีที่ เป็นผู้ส่งออก ไม่ได้เข้าถึงลูกค้าของธนาคาร เพราะคนส่วนใหญ่ที่ได้ประโยชน์เป็นลูกหนี้ของธนาคารพาณิชย์ จึงพยายามเร่งรัดการจัดตั้งกองทุนนี้ขึ้น เพื่อช่วยลูกหนี้ที่ได้รับการปฏิเสธเงินกู้จากธนาคารพาณิชย์ และลูกหนี้ที่มีปัญหาทางการเงิน แต่ที่ยังทำไม่ได้ตามที่ตั้งเป้าไว้ เพราะต้นทุนตอนนี้ปรับตัวสูงขึ้นหลังนักลงทุน กลัวความเสี่ยง
เราต้องการจัดตั้งกองทุนให้ทัน กับสถานการณ์ เนื่องจากเกรงว่าวิกฤตซับไพรม์ในสหรัฐจะส่งผลลุกลามกระทบต่อการขยายตัวเศรษฐกิจ โลก ทำให้ความต้องการสั่งซื้อสินค้าจากประเทศไทยลดลง ซึ่งจะมีผลต่อเนื่องทั้งทางตรงและทางอ้อมกับ ผู้ประกอบการส่งออก นายพงษ์ศักดิ์ กล่าว
สำหรับโครงการออกหุ้นกู้เพื่อนำมาจัดตั้งกองทุน 5 พันล้านบาทนั้น ธนาคารคงต้องเลื่อนการออกหุ้นกู้เพื่อระดมทุนออกไปก่อน
ถ้ากู้ตอนนี้เกรงว่าต้นทุนจะสูงกว่าที่คาดไว้ จะทำให้ต้องคิดดอกเบี้ยปล่อยกู้ให้กับลูกค้าต่อในระดับที่สูง นายพงษ์ศักดิ์ กล่าว
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=187688
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news28/08/07
โพสต์ที่ 134
ชมรมบัตรเครดิตเต้นผาง กำหนดทางแก้ทวงหนี้โหด
โพสต์ทูเดย์ ชมรมบัตรเครดิตถกทวงหนี้โหด จีอีลุยสอบพนักงานเอาต์ซอร์ส ย้ำทวงหนี้โหดไม่ใช่นโยบาย เปิดช่องทางให้ลูกค้าร้องเรียนตรง
นายโชค ณ ระนอง ผู้จัดการสายบัตรเครดิต ธนาคารกรุงเทพ ใน ฐานะประธานชมรมธุรกิจบัตรเครดิต กล่าวว่า ในวันที่ 28 ส.ค. ชมรมจะมีการพูดคุยหารือกับสมาชิกถึงปัญหาติดตามทวงหนี้ไม่สุภาพ ว่าจะมี แนวทางแก้ไขให้ปัญหาเหล่านี้หมด ไปอย่างไร เพราะสถาบันการเงิน ทุกแห่งต่างคำนึงถึงชื่อเสียงขององค์กรอยู่แล้ว จึงไม่มีนโยบายทวงหนี้ ไม่สุภาพ
ข้อหารือของชมรมคงไม่สามารถกำหนดเป็นข้อปฏิบัติ แต่เป็นการขอความร่วมมือ และเชื่อว่าหลังจากนี้จะมีการแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างผู้ประกอบการในการพิจารณาว่าจ้างเอาต์ซอร์ส นายโชค กล่าว
นายโชค กล่าวว่า เมื่อเกิดปัญหาขึ้นแล้วก็ต้องดำเนินการแก้ไข กรณีที่ลูกค้ายังร้องเรียนเข้ามาเรื่อยๆ ก็ต้องยกเลิกสัญญาว่าจ้าง
การติดตามหนี้เป็นขั้นตอนก่อนเข้าสู่กระบวนการทางกฎหมายเท่านั้น เริ่มจากส่งจดหมายถึงลูกค้า หลังจากนั้นจึงโทรศัพท์ ถ้าติดต่อไม่ได้ก็ต้องหาทางอื่นๆ ในการติดต่อ แต่การกระทำที่ไร้มารยาทอย่างเช่นการนำข้อมูลลูกค้าไปบอกบุคคลอื่นไม่สมควรทำอยู่แล้ว เราไม่สนับสนุน นายโชค กล่าว
นายภารไดย ธีระธาดา ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายสื่อสารองค์กรและรัฐกิจสัมพันธ์ บริษัท จีอี มันนี่ ประเทศไทย กล่าวว่า กรณีที่เกิดขึ้นบริษัทไม่ได้ นิ่งนอนใจ และกำลังอยู่ในระหว่าง การสืบหาข้อเท็จจริงในเรื่องดังกล่าวต่อไป โดยหากพนักงานได้ละเมิด ข้อปฏิบัติของบริษัทจริง บริษัทจะดำเนินการจัดการแก้ไขทันที หลังจาก นี้จะเพิ่มช่องทางในการติดต่อกับ ลูกค้าที่ค้างชำระให้มากขึ้นผ่านทางคอลเซ็นเตอร์
นายภารไดย กล่าวว่า บริษัทให้ความสำคัญกับการพัฒนาคุณภาพของการติดตามหนี้
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=187692
โพสต์ทูเดย์ ชมรมบัตรเครดิตถกทวงหนี้โหด จีอีลุยสอบพนักงานเอาต์ซอร์ส ย้ำทวงหนี้โหดไม่ใช่นโยบาย เปิดช่องทางให้ลูกค้าร้องเรียนตรง
นายโชค ณ ระนอง ผู้จัดการสายบัตรเครดิต ธนาคารกรุงเทพ ใน ฐานะประธานชมรมธุรกิจบัตรเครดิต กล่าวว่า ในวันที่ 28 ส.ค. ชมรมจะมีการพูดคุยหารือกับสมาชิกถึงปัญหาติดตามทวงหนี้ไม่สุภาพ ว่าจะมี แนวทางแก้ไขให้ปัญหาเหล่านี้หมด ไปอย่างไร เพราะสถาบันการเงิน ทุกแห่งต่างคำนึงถึงชื่อเสียงขององค์กรอยู่แล้ว จึงไม่มีนโยบายทวงหนี้ ไม่สุภาพ
ข้อหารือของชมรมคงไม่สามารถกำหนดเป็นข้อปฏิบัติ แต่เป็นการขอความร่วมมือ และเชื่อว่าหลังจากนี้จะมีการแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างผู้ประกอบการในการพิจารณาว่าจ้างเอาต์ซอร์ส นายโชค กล่าว
นายโชค กล่าวว่า เมื่อเกิดปัญหาขึ้นแล้วก็ต้องดำเนินการแก้ไข กรณีที่ลูกค้ายังร้องเรียนเข้ามาเรื่อยๆ ก็ต้องยกเลิกสัญญาว่าจ้าง
การติดตามหนี้เป็นขั้นตอนก่อนเข้าสู่กระบวนการทางกฎหมายเท่านั้น เริ่มจากส่งจดหมายถึงลูกค้า หลังจากนั้นจึงโทรศัพท์ ถ้าติดต่อไม่ได้ก็ต้องหาทางอื่นๆ ในการติดต่อ แต่การกระทำที่ไร้มารยาทอย่างเช่นการนำข้อมูลลูกค้าไปบอกบุคคลอื่นไม่สมควรทำอยู่แล้ว เราไม่สนับสนุน นายโชค กล่าว
นายภารไดย ธีระธาดา ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายสื่อสารองค์กรและรัฐกิจสัมพันธ์ บริษัท จีอี มันนี่ ประเทศไทย กล่าวว่า กรณีที่เกิดขึ้นบริษัทไม่ได้ นิ่งนอนใจ และกำลังอยู่ในระหว่าง การสืบหาข้อเท็จจริงในเรื่องดังกล่าวต่อไป โดยหากพนักงานได้ละเมิด ข้อปฏิบัติของบริษัทจริง บริษัทจะดำเนินการจัดการแก้ไขทันที หลังจาก นี้จะเพิ่มช่องทางในการติดต่อกับ ลูกค้าที่ค้างชำระให้มากขึ้นผ่านทางคอลเซ็นเตอร์
นายภารไดย กล่าวว่า บริษัทให้ความสำคัญกับการพัฒนาคุณภาพของการติดตามหนี้
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=187692
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news29/08/07
โพสต์ที่ 135
คลอดสถาบันคุ้มครองเงินฝาก
โพสต์ทูเดย์ ครม.ไฟเขียว พ.ร.บ.สถาบันคุ้มครองเงินฝาก อุ้มบัญชีลูกค้าแค่ 1 ล้านบาทต่อธนาคาร
นายโชติชัย สุวรรณาภรณ์ ผู้ช่วยโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) อนุมัติร่าง พ.ร.บ.สถาบันคุ้มครองเงินฝากตามที่กระทรวงการคลังเสนอ โดยกำหนดให้คุ้มครองเงินฝากแก่ผู้ฝากเงินไม่เกิน 1 ล้านบาท ต่อธนาคาร ต่อราย
นอกจากนี้ ในบทเฉพาะกาลได้กำหนดให้เป็นหน้าที่ของสถาบันจะ ต้องดำเนินการให้มีการตราพระราชกฤษฎีกาเพื่อกำหนดจำนวนเงินการคุ้มครองเงินฝากให้สูงกว่า 1 ล้านบาท ได้ในช่วงเวลา 4 ปีแรกของการใช้บังคับใช้พ.ร.บ.นี้ เพื่อให้สถาบันการเงินปรับตัว
ก่อนหน้านี้ กระทรวงการคลังกำหนดให้สถาบันการเงินมีโอกาสปรับตัว โดยปีแรกจะคุ้มครองเงินฝากวงเงินไม่เกิน 100 ล้านบาท, ปีที่ 2 ลดลงเป็น 50 ล้านบาท, ปีที่ 3 ลดลงเป็น 20 ล้านบาท, ปีที่ 4 ลดลงเป็น 10 ล้านบาท และปีที่ 5 จะคุ้มครองไม่เกิน 1 ล้านบาท
นายโชติชัย กล่าวว่า ครม.ยังเห็นชอบตามข้อเสนอของคณะกรรมการกฤษฎีกาให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องมีมาตรการสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ผู้ฝากเงิน เพื่อไม่ให้เกิดความตื่นตระหนก แล้วมีการย้ายเงินฝากจากสถาบันการเงินเอกชนไปฝากกับสถาบันการเงินของรัฐ
ทั้งนี้ ควรกำหนดมาตรการเพื่อไม่ให้เกิดความแตกต่าง อาทิ พ.ร.บ.ธนาคารออมสิน พ.ศ.2489 กำหนดให้รัฐบาลเป็นประกันการคืนเงินต้นและชำระดอกเบี้ยเงินฝากซึ่งเป็นการให้ความคุ้มครองเต็มจำนวน แต่ร่าง พ.ร.บ.นี้ให้ความคุ้มครองแบบจำกัดวงเงิน ซึ่งอาจทำให้ประชาชนถอนเงินมาฝากกับธนาคารออมสินได้
นอกจากนี้ จะพิจารณาว่าการคุ้มครองเงินฝากของกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ และกองทุนอื่นที่มีลักษณะเดียวกัน จะมีหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่แตกต่างกับเงินฝากของประชาชนหรือไม่
นายโชติชัย กล่าวว่า พ.ร.บ.ดังกล่าวจะนำเข้าสู่การพิจารณา ของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) เร็วๆ นี้
สำหรับเงินนำส่งเข้ากองทุนคุ้มครองเงินฝากของสถาบันการเงินนั้น พ.ร.บ.นี้ให้กำหนดใน พ.ร.ฎ.ที่จะออกมาในภายหลังต่อไป แต่เบื้องต้นกำหนดเพดานไว้ไม่เกิน 1% ของยอดเงินฝาก ซึ่งจะกำหนดในอัตราที่ไม่ให้เป็นภาระแก่สถาบันการเงินมากที่สุด จากปัจจุบันต้องส่งเงินเข้ากองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินที่ 0.4% ของยอดเงินฝาก
นายสมชาย สกุลสุรรัตน์ สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ กล่าวว่า คาดว่ากฎหมายนี้จะผ่านการพิจารณาอย่างไม่มีปัญหา แต่ที่ สนช.ตั้งข้อสังเกตคือ รัฐบาลจะทำอย่างไรในการให้ข้อมูลประชาชนในการประเมินฐานะของธนาคารได้ว่าแห่งไหนมีฐานะดีอย่างไร
ธนาคารมีเครดิตบูโรเพื่อแยกฐานะลูกหนี้ แต่ผู้ฝากเงินกลับไม่มีเครื่องมือใดๆ เลย แถมธนาคารมีปัญหา ธปท.ก็ไม่ให้ข้อมูลบอกว่าเป็นความลับ นายสมชาย กล่าว
ปัจจุบันสถาบันการเงินมียอดเงินฝากรวม 71 ล้านบัญชี คิดเป็นวงเงิน 6.6 ล้านล้านบาท เงินฝาก 500 ล้านบาทขึ้นไป มี 463 บัญชี วงเงิน 6 แสนล้านบาท, ฝาก 200-500 ล้านบาท มี 1,084 บัญชี วงเงิน 3.3 แสนล้านบาท , ฝาก 100-200 ล้านบาท มี 2,106 บัญชี วงเงิน 2.9 แสนล้านบาท, ฝาก 50-100 ล้านบาท มี 5,261 บัญชี วงเงิน 3.6 แสนล้านบาท, ฝาก 25-50 ล้านบาท มี 13,268 บัญชี วงเงิน 4.6 แสนล้านบาท, ฝาก 10-25 ล้านบาท มี 49,128 บัญชี วงเงิน 7.2 แสนล้านบาท, ฝาก 1-10 ล้านบาท มี 8.08 แสนบัญชี วงเงิน 2.06 ล้านล้านบาท
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=187999
โพสต์ทูเดย์ ครม.ไฟเขียว พ.ร.บ.สถาบันคุ้มครองเงินฝาก อุ้มบัญชีลูกค้าแค่ 1 ล้านบาทต่อธนาคาร
นายโชติชัย สุวรรณาภรณ์ ผู้ช่วยโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) อนุมัติร่าง พ.ร.บ.สถาบันคุ้มครองเงินฝากตามที่กระทรวงการคลังเสนอ โดยกำหนดให้คุ้มครองเงินฝากแก่ผู้ฝากเงินไม่เกิน 1 ล้านบาท ต่อธนาคาร ต่อราย
นอกจากนี้ ในบทเฉพาะกาลได้กำหนดให้เป็นหน้าที่ของสถาบันจะ ต้องดำเนินการให้มีการตราพระราชกฤษฎีกาเพื่อกำหนดจำนวนเงินการคุ้มครองเงินฝากให้สูงกว่า 1 ล้านบาท ได้ในช่วงเวลา 4 ปีแรกของการใช้บังคับใช้พ.ร.บ.นี้ เพื่อให้สถาบันการเงินปรับตัว
ก่อนหน้านี้ กระทรวงการคลังกำหนดให้สถาบันการเงินมีโอกาสปรับตัว โดยปีแรกจะคุ้มครองเงินฝากวงเงินไม่เกิน 100 ล้านบาท, ปีที่ 2 ลดลงเป็น 50 ล้านบาท, ปีที่ 3 ลดลงเป็น 20 ล้านบาท, ปีที่ 4 ลดลงเป็น 10 ล้านบาท และปีที่ 5 จะคุ้มครองไม่เกิน 1 ล้านบาท
นายโชติชัย กล่าวว่า ครม.ยังเห็นชอบตามข้อเสนอของคณะกรรมการกฤษฎีกาให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องมีมาตรการสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ผู้ฝากเงิน เพื่อไม่ให้เกิดความตื่นตระหนก แล้วมีการย้ายเงินฝากจากสถาบันการเงินเอกชนไปฝากกับสถาบันการเงินของรัฐ
ทั้งนี้ ควรกำหนดมาตรการเพื่อไม่ให้เกิดความแตกต่าง อาทิ พ.ร.บ.ธนาคารออมสิน พ.ศ.2489 กำหนดให้รัฐบาลเป็นประกันการคืนเงินต้นและชำระดอกเบี้ยเงินฝากซึ่งเป็นการให้ความคุ้มครองเต็มจำนวน แต่ร่าง พ.ร.บ.นี้ให้ความคุ้มครองแบบจำกัดวงเงิน ซึ่งอาจทำให้ประชาชนถอนเงินมาฝากกับธนาคารออมสินได้
นอกจากนี้ จะพิจารณาว่าการคุ้มครองเงินฝากของกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ และกองทุนอื่นที่มีลักษณะเดียวกัน จะมีหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่แตกต่างกับเงินฝากของประชาชนหรือไม่
นายโชติชัย กล่าวว่า พ.ร.บ.ดังกล่าวจะนำเข้าสู่การพิจารณา ของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) เร็วๆ นี้
สำหรับเงินนำส่งเข้ากองทุนคุ้มครองเงินฝากของสถาบันการเงินนั้น พ.ร.บ.นี้ให้กำหนดใน พ.ร.ฎ.ที่จะออกมาในภายหลังต่อไป แต่เบื้องต้นกำหนดเพดานไว้ไม่เกิน 1% ของยอดเงินฝาก ซึ่งจะกำหนดในอัตราที่ไม่ให้เป็นภาระแก่สถาบันการเงินมากที่สุด จากปัจจุบันต้องส่งเงินเข้ากองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินที่ 0.4% ของยอดเงินฝาก
นายสมชาย สกุลสุรรัตน์ สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ กล่าวว่า คาดว่ากฎหมายนี้จะผ่านการพิจารณาอย่างไม่มีปัญหา แต่ที่ สนช.ตั้งข้อสังเกตคือ รัฐบาลจะทำอย่างไรในการให้ข้อมูลประชาชนในการประเมินฐานะของธนาคารได้ว่าแห่งไหนมีฐานะดีอย่างไร
ธนาคารมีเครดิตบูโรเพื่อแยกฐานะลูกหนี้ แต่ผู้ฝากเงินกลับไม่มีเครื่องมือใดๆ เลย แถมธนาคารมีปัญหา ธปท.ก็ไม่ให้ข้อมูลบอกว่าเป็นความลับ นายสมชาย กล่าว
ปัจจุบันสถาบันการเงินมียอดเงินฝากรวม 71 ล้านบัญชี คิดเป็นวงเงิน 6.6 ล้านล้านบาท เงินฝาก 500 ล้านบาทขึ้นไป มี 463 บัญชี วงเงิน 6 แสนล้านบาท, ฝาก 200-500 ล้านบาท มี 1,084 บัญชี วงเงิน 3.3 แสนล้านบาท , ฝาก 100-200 ล้านบาท มี 2,106 บัญชี วงเงิน 2.9 แสนล้านบาท, ฝาก 50-100 ล้านบาท มี 5,261 บัญชี วงเงิน 3.6 แสนล้านบาท, ฝาก 25-50 ล้านบาท มี 13,268 บัญชี วงเงิน 4.6 แสนล้านบาท, ฝาก 10-25 ล้านบาท มี 49,128 บัญชี วงเงิน 7.2 แสนล้านบาท, ฝาก 1-10 ล้านบาท มี 8.08 แสนบัญชี วงเงิน 2.06 ล้านล้านบาท
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=187999
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news29/08/07
โพสต์ที่ 136
ธปท.ตื่นทวงหนี้โหด เงื้อง่าสร้างกติกาคุม
โพสต์ทูเดย์ ธปท.ตื่นศึกษามาตรการควบคุมการทวงหนี้โหด
นายเกริก วณิกกุล ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายนโยบายสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า ปัจจุบันการติดตามทวงหนี้แรงมากขึ้น ควรมีมาตรการดูแลที่เหมาะสมและเป็นธรรมต่อทั้งฝ่ายลูกหนี้และเจ้าหนี้ แต่การจะออกมาตรการมากำกับดูแล อยู่ระหว่างการเก็บรวบรวมข้อมูลปัญหาการทวงหนี้
ธปท.เก็บข้อมูลเรื่องนี้มาเป็นครึ่งปีแล้ว และคิดว่าต้องเริ่มทำอะไรสักอย่างในการดูแลปัญหานี้ เพราะเรื่องนี้ยังไม่เคยมีมาตรการที่ชัดเจนออกมาดูแลมาก่อน แต่ขอดูจังหวะและอำนาจที่ชัดเจนของ ธปท.ในการจัดการปัญหานี้ให้ดีก่อนว่าสามารถทำอะไรได้แค่ไหน นายเกริก กล่าว
นายเกริก กล่าวต่อว่า การจะออกกฎเกณฑ์มาดูแลปัญหาทวงหนี้โหด ทำได้ไม่ง่ายเหมือนออกกฎมา ควบคุมการฆ่าคนตาย การทวงหนี้จะบอกว่าทวงได้ระดับไหนจึงจะพอดีและเป็นธรรมกับทุกฝ่าย ฉะนั้นจะออกมาตรการอะไรมาควบคุม ต้องดูให้ดีและรอบคอบ
นายเกริก กล่าวว่า อย่างไรก็ตาม ธปท.ยืนยันว่าเกณฑ์ชำระหนี้ขั้นต่ำบัตรเครดิตที่ปรับจาก 5% เป็น 10% ผู้บริโภคได้ประโยชน์ เพราะไม่ต้องเสียดอกเบี้ยนาน
แหล่งข่าวจากชมรมธุรกิจบัตรเครดิต เปิดเผยว่า ได้หารือเรื่อง การทวงหนี้โหดในที่ประชุมและ ได้ข้อสรุปว่า ผู้ประกอบการไม่ได้ประสบปัญหาการทวงหนี้แบบ ไร้จรรยาบรรณ แต่ส่วนใหญ่จะเป็นลูกค้าสินเชื่อบุคคล สินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ ของธุรกิจที่ไม่ใช่สถาบัน การเงิน (นันแบงก์) มากกว่าที่ประสบปัญหาการทวงหนี้แบบไม่สุภาพจากบริษัทภายนอกที่รับจ้างทวงหนี้ แต่ของชมรมนั้นควบคุมได้
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=187996
โพสต์ทูเดย์ ธปท.ตื่นศึกษามาตรการควบคุมการทวงหนี้โหด
นายเกริก วณิกกุล ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายนโยบายสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า ปัจจุบันการติดตามทวงหนี้แรงมากขึ้น ควรมีมาตรการดูแลที่เหมาะสมและเป็นธรรมต่อทั้งฝ่ายลูกหนี้และเจ้าหนี้ แต่การจะออกมาตรการมากำกับดูแล อยู่ระหว่างการเก็บรวบรวมข้อมูลปัญหาการทวงหนี้
ธปท.เก็บข้อมูลเรื่องนี้มาเป็นครึ่งปีแล้ว และคิดว่าต้องเริ่มทำอะไรสักอย่างในการดูแลปัญหานี้ เพราะเรื่องนี้ยังไม่เคยมีมาตรการที่ชัดเจนออกมาดูแลมาก่อน แต่ขอดูจังหวะและอำนาจที่ชัดเจนของ ธปท.ในการจัดการปัญหานี้ให้ดีก่อนว่าสามารถทำอะไรได้แค่ไหน นายเกริก กล่าว
นายเกริก กล่าวต่อว่า การจะออกกฎเกณฑ์มาดูแลปัญหาทวงหนี้โหด ทำได้ไม่ง่ายเหมือนออกกฎมา ควบคุมการฆ่าคนตาย การทวงหนี้จะบอกว่าทวงได้ระดับไหนจึงจะพอดีและเป็นธรรมกับทุกฝ่าย ฉะนั้นจะออกมาตรการอะไรมาควบคุม ต้องดูให้ดีและรอบคอบ
นายเกริก กล่าวว่า อย่างไรก็ตาม ธปท.ยืนยันว่าเกณฑ์ชำระหนี้ขั้นต่ำบัตรเครดิตที่ปรับจาก 5% เป็น 10% ผู้บริโภคได้ประโยชน์ เพราะไม่ต้องเสียดอกเบี้ยนาน
แหล่งข่าวจากชมรมธุรกิจบัตรเครดิต เปิดเผยว่า ได้หารือเรื่อง การทวงหนี้โหดในที่ประชุมและ ได้ข้อสรุปว่า ผู้ประกอบการไม่ได้ประสบปัญหาการทวงหนี้แบบ ไร้จรรยาบรรณ แต่ส่วนใหญ่จะเป็นลูกค้าสินเชื่อบุคคล สินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ ของธุรกิจที่ไม่ใช่สถาบัน การเงิน (นันแบงก์) มากกว่าที่ประสบปัญหาการทวงหนี้แบบไม่สุภาพจากบริษัทภายนอกที่รับจ้างทวงหนี้ แต่ของชมรมนั้นควบคุมได้
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=187996
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news29/08/07
โพสต์ที่ 137
ลดค่าธรรมเนียมเช็กเครดิตตัวเอง
โดย เดลินิวส์ วัน พุธ ที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2550 11:50 น.
นายนิวัฒน์ กาญจนภูมินทร์ ผู้จัดการใหญ่ บริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด เปิดเผยว่า ตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค.เป็นต้นไป บริษัทได้ลดค่าธรรมเนียมตรวจเช็กข้อมูลเครดิต กรณีบุคคลธรรมดาจาก 200 บาทต่อคนต่อครั้งเหลือ 100 บาท เพื่อลดภาระในการตรวจเช็กข้อมูลเครดิต และเพิ่มโอกาสให้ผู้บริโภคเข้าถึงข้อมูลประวัติสินเชื่อตนเองได้มากขึ้น สำหรับการตรวจสอบความถูกต้อง ก่อนขอสินเชื่อจากแหล่งการเงินในระบบ ประกอบกับมีประชาชนใส่ใจตรวจสอบเครดิตตัวเองมากขึ้น จากปีก่อนที่มีผู้ตรวจสอบ 2,000 กว่าราย เพิ่มเป็น 4,500 รายในปีนี้ รวมทั้งขอคำปรึกษาในการขอสินเชื่อและวิธีที่จะทำให้มีประวัติเครดิตดีขึ้น
เชื่อว่า การลดค่าธรรมเนียมนี้ จะช่วยจูงใจและปรับเปลี่ยนพฤติกรรมประชาชนอีกมากที่ยังไม่เคยตรวจเช็กข้อมูลเครดิตหันมาให้ความสำคัญกับข้อมูลเครดิต เพื่อประโยชน์ทางธุรกรรมการเงินของตนเองในอนาคต ซึ่งบริษัทแนะนำให้ตรวจสอบเครดิตตนเองอย่างน้อยปีละครั้ง แต่ค่าธรรมเนียมในส่วนนิติบุคคลยัง 200 บาทต่อครั้งเท่าเดิม โดยปัจจุบันมีลูกค้าบุคคลธรรมดา 1.5 ล้านราย คิดเป็น 49 ล้านบัญชี และมีนิติบุคคล 250,000 ราย คิดเป็น 3.6 ล้านบัญชี มีสมาชิกบริษัท 80 ราย มีสถาบันการเงินขอตรวจสอบข้อมูลเดือนละ 1.1 ล้านรายการ
เมื่อเร็ว ๆ นี้ บริษัทได้ยื่นเรื่องไปยังกระทรวงการคลัง เพื่อขอเสนอขอแก้ พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจข้อมูลเครดิต พ.ศ.2545 ให้บริษัทจัดระดับเครดิตในลักษณะสกอริ่งได้ รวมถึงให้สิทธิประชาชนหรือเจ้าของข้อมูลตรวจสอบข้อมูลเครดิตของตนได้ปีละ 1 ครั้ง โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย เพื่อให้สถาบันการเงินพิจารณาอนุมัติสินเชื่อตามประวัติการชำระเงินของลูกค้าได้ และสร้างมาตรฐานการวิเคราะห์สินเชื่อที่แม่นยำและรวดเร็วขึ้น ส่วนกรณีที่มีการติดตามหนี้แบบไม่เป็นธรรมนั้น บริษัทเห็นด้วยกับลูกค้า เพราะแม้ว่าสถาบันการเงินไม่ได้ดำเนินการเอง แต่ต้องว่าจ้างบริษัทที่ติดตามหนี้ให้ปฏิบัติตามกรอบที่ถูกต้อง.
http://news.sanook.com/economic/economic_175297.php
โดย เดลินิวส์ วัน พุธ ที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2550 11:50 น.
นายนิวัฒน์ กาญจนภูมินทร์ ผู้จัดการใหญ่ บริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด เปิดเผยว่า ตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค.เป็นต้นไป บริษัทได้ลดค่าธรรมเนียมตรวจเช็กข้อมูลเครดิต กรณีบุคคลธรรมดาจาก 200 บาทต่อคนต่อครั้งเหลือ 100 บาท เพื่อลดภาระในการตรวจเช็กข้อมูลเครดิต และเพิ่มโอกาสให้ผู้บริโภคเข้าถึงข้อมูลประวัติสินเชื่อตนเองได้มากขึ้น สำหรับการตรวจสอบความถูกต้อง ก่อนขอสินเชื่อจากแหล่งการเงินในระบบ ประกอบกับมีประชาชนใส่ใจตรวจสอบเครดิตตัวเองมากขึ้น จากปีก่อนที่มีผู้ตรวจสอบ 2,000 กว่าราย เพิ่มเป็น 4,500 รายในปีนี้ รวมทั้งขอคำปรึกษาในการขอสินเชื่อและวิธีที่จะทำให้มีประวัติเครดิตดีขึ้น
เชื่อว่า การลดค่าธรรมเนียมนี้ จะช่วยจูงใจและปรับเปลี่ยนพฤติกรรมประชาชนอีกมากที่ยังไม่เคยตรวจเช็กข้อมูลเครดิตหันมาให้ความสำคัญกับข้อมูลเครดิต เพื่อประโยชน์ทางธุรกรรมการเงินของตนเองในอนาคต ซึ่งบริษัทแนะนำให้ตรวจสอบเครดิตตนเองอย่างน้อยปีละครั้ง แต่ค่าธรรมเนียมในส่วนนิติบุคคลยัง 200 บาทต่อครั้งเท่าเดิม โดยปัจจุบันมีลูกค้าบุคคลธรรมดา 1.5 ล้านราย คิดเป็น 49 ล้านบัญชี และมีนิติบุคคล 250,000 ราย คิดเป็น 3.6 ล้านบัญชี มีสมาชิกบริษัท 80 ราย มีสถาบันการเงินขอตรวจสอบข้อมูลเดือนละ 1.1 ล้านรายการ
เมื่อเร็ว ๆ นี้ บริษัทได้ยื่นเรื่องไปยังกระทรวงการคลัง เพื่อขอเสนอขอแก้ พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจข้อมูลเครดิต พ.ศ.2545 ให้บริษัทจัดระดับเครดิตในลักษณะสกอริ่งได้ รวมถึงให้สิทธิประชาชนหรือเจ้าของข้อมูลตรวจสอบข้อมูลเครดิตของตนได้ปีละ 1 ครั้ง โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย เพื่อให้สถาบันการเงินพิจารณาอนุมัติสินเชื่อตามประวัติการชำระเงินของลูกค้าได้ และสร้างมาตรฐานการวิเคราะห์สินเชื่อที่แม่นยำและรวดเร็วขึ้น ส่วนกรณีที่มีการติดตามหนี้แบบไม่เป็นธรรมนั้น บริษัทเห็นด้วยกับลูกค้า เพราะแม้ว่าสถาบันการเงินไม่ได้ดำเนินการเอง แต่ต้องว่าจ้างบริษัทที่ติดตามหนี้ให้ปฏิบัติตามกรอบที่ถูกต้อง.
http://news.sanook.com/economic/economic_175297.php
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news30/08/07
โพสต์ที่ 138
รอ3เดือนแบงก์ลดดอกกู้
โพสต์ทูเดย์ กรุงไทยใจถึงประกาศลดดอกเบี้ยกู้ในเร็วๆ นี้ แต่ไม่หั่นฝาก เหตุบริหารต้นทุนได้ดี ธปท.ขอหารือแบงก์
นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารกรุงไทย (KTB) กล่าว ว่า ธนาคารเตรียมปรับอัตราดอกเบี้ย เงินกู้ของธนาคารในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ เนื่องจากเชื่อว่าต้นทุนของธนาคารจะปรับตัวลดลงจนสามารถปรับลดอัตราดอกเบี้ยดังกล่าวได้
สำหรับอัตราดอกเบี้ยเงินฝากของธนาคารจะไม่มีการปรับอัตราดอกเบี้ยลงแล้ว
นายอภิศักดิ์ กล่าวว่า การคงอัตราดอกเบี้ยของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) เป็นไปตามที่คาดหมาย เนื่องจากได้ปรับลดดอกเบี้ยนโยบายลงหลายครั้ง ในส่วนของอัตราดอกเบี้ยของธนาคารพาณิชย์ โดยเฉพาะดอกเบี้ยเงินกู้ คาดว่าอีก 1 ไตรมาสจะปรับลดลงได้ ส่วนจะลดเท่าไรนั้นขึ้นอยู่กับต้นทุนของแต่ละธนาคาร
ที่ผ่านมาอัตราดอกเบี้ยนโยบายจะปรับลดลง 1% เศษแล้ว และอัตราดอกเบี้ยของธนาคารพาณิชย์ยังปรับลดลงตามไม่ทัน เนื่องจากดอกเบี้ยเงินกู้ต้องดูในส่วนของต้นทุนแบงก์ เพราะเงินฝากของธนาคารพาณิชย์ส่วนใหญ่เป็นเงินฝากออมทรัพย์ซึ่งไม่สามารถปรับลดได้อีกแล้ว ขณะที่อีกครึ่งหนึ่งเป็นเงินฝากประจำจึงต้องรอให้ต้นทุนเงินฝากของแต่ละธนาคารลดลงก่อน อีกทั้งยังมีปัญหาในเรื่องการสำรองตามมาตรฐานบัญชีใหม่
สำหรับความชัดเจนเรื่องการเลือกตั้งนั้น สามารถสร้างความแน่นอนได้ระดับหนึ่งซึ่งเป็นเรื่องที่ดี แต่คงต้องรอผลการเลือกตั้งออกมาว่าทุกอย่างจะเรียบร้อยแค่ไหน จะมีรัฐบาลที่มั่นคงสามารถอยู่ระยะยาวผลักดันเศรษฐกิจอย่างไร
นักเศรษฐศาสตร์จากบริษัทหลักทรัพย์ กิมเอ็ง กล่าวว่า รู้สึกผิดหวังต่อผลการตัดสินใจของ กนง.ที่ตัดสินใจคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ เพราะจะทำให้ธนาคารพาณิชย์ไม่ต้องเผชิญกับแรงกดดันให้มีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลงอีก ทั้งๆ ที่ในปีนี้ ธปท.ตัดสินใจลดอัตราดอกเบี้ยซื้อคืนพันธบัตร 1 วันไปแล้ว 1.75% ในขณะที่ธนาคารพาณิชย์ปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินฝากลูกค้ารายใหญ่ระยะ 1 ปีลงแล้ว 2.63% แต่ปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลงเพียง 0.88% จึงไม่ช่วยกระตุ้นภาคเศรษฐกิจมากนัก
นางสุชาดา กิระกุล ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายนโยบายการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า ที่ประชุมมีมติด้วยเสียงข้างมากให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 3.25% เพราะเห็นว่าข้อมูลเศรษฐกิจล่าสุดยังแสดงว่าอุปสงค์ในประเทศเริ่มมีสัญญาณปรับดีขึ้น แม้ว่าความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและนักธุรกิจยังคงเปราะบาง การส่งออกครึ่งปีหลังจะชะลอลงตามภาวะเศรษฐกิจโลก
ทั้งนี้ ปัจจัยที่จะมาทำให้เศรษฐกิจในครึ่งปีหลังฟื้นได้ตามเป้าหมาย น่าจะเป็นเรื่องการเบิกจ่ายงบประมาณของรัฐ การใช้จ่ายของประชาชนที่น่าจะค่อยๆ เพิ่มขึ้นตามภาวะดอกเบี้ยต่ำ ซึ่งจะมาชดเชยการส่งออกที่ชะลอลงได้
นางสุชาดา ยังกล่าวว่า ปัญหาที่นโยบายการเงินไม่ส่งผ่านทำให้อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ของธนาคารพาณิชย์ปรับลดลงนั้น คาดว่าน่าจะได้มีการหารือกับธนาคารพาณิชย์ในระยะต่อไป แต่เชื่อว่าธนาคารพาณิชย์คงจะมีต้นทุนเงินฝากประเภทต่างๆ ตามระยะเวลาอยู่ ทำให้ปรับลดดอกเบี้ยลงไม่ทัน
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=188200
โพสต์ทูเดย์ กรุงไทยใจถึงประกาศลดดอกเบี้ยกู้ในเร็วๆ นี้ แต่ไม่หั่นฝาก เหตุบริหารต้นทุนได้ดี ธปท.ขอหารือแบงก์
นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารกรุงไทย (KTB) กล่าว ว่า ธนาคารเตรียมปรับอัตราดอกเบี้ย เงินกู้ของธนาคารในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ เนื่องจากเชื่อว่าต้นทุนของธนาคารจะปรับตัวลดลงจนสามารถปรับลดอัตราดอกเบี้ยดังกล่าวได้
สำหรับอัตราดอกเบี้ยเงินฝากของธนาคารจะไม่มีการปรับอัตราดอกเบี้ยลงแล้ว
นายอภิศักดิ์ กล่าวว่า การคงอัตราดอกเบี้ยของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) เป็นไปตามที่คาดหมาย เนื่องจากได้ปรับลดดอกเบี้ยนโยบายลงหลายครั้ง ในส่วนของอัตราดอกเบี้ยของธนาคารพาณิชย์ โดยเฉพาะดอกเบี้ยเงินกู้ คาดว่าอีก 1 ไตรมาสจะปรับลดลงได้ ส่วนจะลดเท่าไรนั้นขึ้นอยู่กับต้นทุนของแต่ละธนาคาร
ที่ผ่านมาอัตราดอกเบี้ยนโยบายจะปรับลดลง 1% เศษแล้ว และอัตราดอกเบี้ยของธนาคารพาณิชย์ยังปรับลดลงตามไม่ทัน เนื่องจากดอกเบี้ยเงินกู้ต้องดูในส่วนของต้นทุนแบงก์ เพราะเงินฝากของธนาคารพาณิชย์ส่วนใหญ่เป็นเงินฝากออมทรัพย์ซึ่งไม่สามารถปรับลดได้อีกแล้ว ขณะที่อีกครึ่งหนึ่งเป็นเงินฝากประจำจึงต้องรอให้ต้นทุนเงินฝากของแต่ละธนาคารลดลงก่อน อีกทั้งยังมีปัญหาในเรื่องการสำรองตามมาตรฐานบัญชีใหม่
สำหรับความชัดเจนเรื่องการเลือกตั้งนั้น สามารถสร้างความแน่นอนได้ระดับหนึ่งซึ่งเป็นเรื่องที่ดี แต่คงต้องรอผลการเลือกตั้งออกมาว่าทุกอย่างจะเรียบร้อยแค่ไหน จะมีรัฐบาลที่มั่นคงสามารถอยู่ระยะยาวผลักดันเศรษฐกิจอย่างไร
นักเศรษฐศาสตร์จากบริษัทหลักทรัพย์ กิมเอ็ง กล่าวว่า รู้สึกผิดหวังต่อผลการตัดสินใจของ กนง.ที่ตัดสินใจคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ เพราะจะทำให้ธนาคารพาณิชย์ไม่ต้องเผชิญกับแรงกดดันให้มีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลงอีก ทั้งๆ ที่ในปีนี้ ธปท.ตัดสินใจลดอัตราดอกเบี้ยซื้อคืนพันธบัตร 1 วันไปแล้ว 1.75% ในขณะที่ธนาคารพาณิชย์ปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินฝากลูกค้ารายใหญ่ระยะ 1 ปีลงแล้ว 2.63% แต่ปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลงเพียง 0.88% จึงไม่ช่วยกระตุ้นภาคเศรษฐกิจมากนัก
นางสุชาดา กิระกุล ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายนโยบายการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า ที่ประชุมมีมติด้วยเสียงข้างมากให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 3.25% เพราะเห็นว่าข้อมูลเศรษฐกิจล่าสุดยังแสดงว่าอุปสงค์ในประเทศเริ่มมีสัญญาณปรับดีขึ้น แม้ว่าความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและนักธุรกิจยังคงเปราะบาง การส่งออกครึ่งปีหลังจะชะลอลงตามภาวะเศรษฐกิจโลก
ทั้งนี้ ปัจจัยที่จะมาทำให้เศรษฐกิจในครึ่งปีหลังฟื้นได้ตามเป้าหมาย น่าจะเป็นเรื่องการเบิกจ่ายงบประมาณของรัฐ การใช้จ่ายของประชาชนที่น่าจะค่อยๆ เพิ่มขึ้นตามภาวะดอกเบี้ยต่ำ ซึ่งจะมาชดเชยการส่งออกที่ชะลอลงได้
นางสุชาดา ยังกล่าวว่า ปัญหาที่นโยบายการเงินไม่ส่งผ่านทำให้อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ของธนาคารพาณิชย์ปรับลดลงนั้น คาดว่าน่าจะได้มีการหารือกับธนาคารพาณิชย์ในระยะต่อไป แต่เชื่อว่าธนาคารพาณิชย์คงจะมีต้นทุนเงินฝากประเภทต่างๆ ตามระยะเวลาอยู่ ทำให้ปรับลดดอกเบี้ยลงไม่ทัน
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=188200
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news31/08/07
โพสต์ที่ 139
นายแบงก์ยกมือเชียร์ธปท. หนุนตรึงดอกเบี้ย-อ้างถึงจุดต่ำสุดแล้ว
ลูกค้าแบงกืน้ำตามร่วง หลังผู้บริหารธนาคารพาณิชย์ โก่งคอประสานเสียง เชียร์แบงก์ชาติ ตรึงดอกเบี้ย อ้างปัจจุบันเป็นจุดต่ำสุดแล้ว เชื่อประชาชนรับได้ ส่วนผู้บริหารตลาดหุ้นยันไม่กระทบภาวะการลงทุน แต่เป็นค่าเงิน บาท ที่จะผันผวนจากปัญหาซับไพรม
นายขรรค์ ประจวบเหมาะ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) กล่าวว่า การที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ประกาศคงอัตราดอกเบี้ยที่ 3.25% นั้น คาดว่า ธอส.จะคงอัตราดอกเบี้ยคงที่ 3 ปี อยู่ที่ 5.50 % เหมือนเดิม ในช่วงปีที่เหลือต่อจากนี้
ทั้งนี้ อัตราดอกเบี้ยดังกล่าว เชื่อว่าป็นอัตราที่ประชาชนรับได้และเชื่อว่าไม่น่ามีปัญหาต่อการปล่อยสินเชื่อของธอส. เพราะจำนวนการให้สินเชื่อในช่วงเดือน ส.ค. ที่ผ่านมา ได้ปล่อยไปแล้ว 9 พันล้านบาท เพราะฉะนั้นคาดว่า การปล่อยสินเชื่อทั้งปีที่ตั้งเป้าไว้ 9.5 หมื่นล้านบาท จะสามารถปล่อยได้ครบ
สำหรับ การปล่อยสินเชื่อของ ธอส. ยังเป็นไปได้ตามเป้าทั้งปีที่วางไว้ เพราะในขณะนี้ทั้งปีสามารถปล่อยไปแล้วได้ 60,000 ล้านบาท ดังนั้นในช่วง 5 เดือนที่เหลืออยู่ หากทำได้เดือนละ 7,000 ล้านบาท เชื่อว่าไม่น่ามีปัญหาถึงแม้ว่ามาร์เก็ตแชร์ของ ธอส.จะลดลง 2-3% ก็ตาม เนื่องจากเป้าหมายของ ธอส. ปีนี้เน้นคุณภาพของสินเชื่อมากกว่าปริมาณ และ ธนาคารอื่นมีการขยายฐานสินเชื่อมากกว่า ธอส.
นายขรรค์ กล่าวว่า ส่วนอัตราดอกเบี้ยในตอนนี้ เชื่อว่าอยู่ในจุดต่ำสุดแล้ว แต่อย่างไรก็ตามต้องดูว่าทางธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมครั้งหน้าหรือไม่
ด้าน นายวรวิทย์ ชัยลิมปมนตรี รองผู้อำนวยการอาวุโส ธนาคารออมสิน กล่าวว่า อัตราดอกเบี้ยที่ กนง. คงไว้ อยู่ในอัตราที่เหมาะสมแล้ว ส่วนออมสินจะมีการคงอัตราดอกเบี้ยไว้เหมือนกนง.หรือไม่ ต้องขอหารือกันในการประชุมคณะกรรมการกำหนดนโยบายอัตราดอกเบี้ยในช่วงต้นสัปดาห์หน้า
" อัตราดอกเบี้ยในปัจจุบันถือว่าเหมาะสมแล้ว โดยอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ MLR ของออมสินอยู่ที่ 6.87% ส่วนจะลดตามกนง.หรือไม่ต้องรอประชุมก่อน รวมทั้งต้องดูทิศทางของธนาคารพาณิชย์รายอื่นๆด้วยว่ามีแนวโน้มอย่างไร" นายวรวิทย์ กล่าว
นางภัทรียา เบญจพลชัยกุล กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) กล่าวว่า การที่ กนง. คงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ 3.25% เหมือนเดิม ไม่ได้มีผลต่อการลงทุนในตลท.ของนักลงทุนแต่อย่างใด ส่วนสาเหตุที่ตลาดหุ้นมีความผันผวน เกิดจากปัจจัยภายนอกทั้งปัญหาซับไพร์มที่ยังไม่แน่ใจว่าจะจบลงเมื่อไร รวมทั้งสถานการณ์การเมืองข้างหน้าว่าเป็นอย่างไรมากกว่า
อย่างไรก็ตาม ในช่วงการลงทุน 2 สัปดาห์ที่ผ่านมาถือว่ามีเสถียรภาพมากขึ้นถึงแม้ว่าจะมีปัจจัยภายนอกทำให้ดัชนีฯ เกิดความผันผวนบ้างก็ตามแต่เชื่อมั่นว่าดัชนีฯ ในช่วงสิ้นปีจะแตะที่ 800 จุดหากสถานการณ์ทุกอย่างมีความชัดเจน สถานการณ์การเมืองที่ดีขึ้นจะส่งผลดีต่อการลงทุนเพราะจะทำให้นักลงทุนเกิดความเชื่อมั่นที่จะกลับมาลงทุนเพิ่มมากขึ้นซึ่งก็น่าจะเป็นไปได้ เพราะขณะนี้ดัชนีฯ อยู่ที่ 780 จุดแล้ว
นายวิรไท สันติประภพ ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ สายกลยุทธ์ลูกค้าธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) มั่นใจว่าภาพรวมเศรษฐกิจไทยปีนี้จะขยายตัวได้ร้อยละ 4-4.5 โดยมีปัจจัยกระตุ้นได้แก่ การส่งออกที่ขยายตัวตั้งแต่ต้นปี ขณะที่ช่วงครึ่งปีหลังจะมีการเลือกตั้งเกิดขึ้น ทำให้การเมืองชัดเจนขึ้น นอกจากนี้ ตัวเลขการยื่นขอรับการส่งเสริมการลงทุนของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ก็มากขึ้นอย่างต่อเนื่อง
อย่างไรก็ตาม จะต้องจับตาดูอย่างใกล้ชิดว่า นักลงทุนจะเริ่มลงทุนจริงเมื่อใด ส่วนค่าเงินบาทยอมรับว่า นับจากนี้ไปจะมีความผันผวนมากขึ้น โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์สหรัฐ เพราะปัญหาสินเชื่อที่อยู่อาศัยด้อยคุณภาพ(ซับไพร์ม) ที่เกิดขึ้นในสหรัฐ ที่ส่งผลกระทบกับสถาบันการเงินที่ไปลงทุนในตราสาร ซึ่งมีสินเชื่อดังกล่าวเป็นหลักประกัน เมื่อเกิดความเสียหาย สถาบันการเงินที่ขาดสภาพคล่อง จึงมีการดึงเงินลงทุนในประเทศไทยออกไป ส่งผลให้ค่าเงินบาทอ่อนค่าลงได้ แต่หากเศรษฐกิจสหรัฐในปีหน้าไม่ดี เงินลงทุนในสหรัฐจะไหลออกอีกครั้ง
http://www.naewna.com/news.asp?ID=73424
ลูกค้าแบงกืน้ำตามร่วง หลังผู้บริหารธนาคารพาณิชย์ โก่งคอประสานเสียง เชียร์แบงก์ชาติ ตรึงดอกเบี้ย อ้างปัจจุบันเป็นจุดต่ำสุดแล้ว เชื่อประชาชนรับได้ ส่วนผู้บริหารตลาดหุ้นยันไม่กระทบภาวะการลงทุน แต่เป็นค่าเงิน บาท ที่จะผันผวนจากปัญหาซับไพรม
นายขรรค์ ประจวบเหมาะ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) กล่าวว่า การที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ประกาศคงอัตราดอกเบี้ยที่ 3.25% นั้น คาดว่า ธอส.จะคงอัตราดอกเบี้ยคงที่ 3 ปี อยู่ที่ 5.50 % เหมือนเดิม ในช่วงปีที่เหลือต่อจากนี้
ทั้งนี้ อัตราดอกเบี้ยดังกล่าว เชื่อว่าป็นอัตราที่ประชาชนรับได้และเชื่อว่าไม่น่ามีปัญหาต่อการปล่อยสินเชื่อของธอส. เพราะจำนวนการให้สินเชื่อในช่วงเดือน ส.ค. ที่ผ่านมา ได้ปล่อยไปแล้ว 9 พันล้านบาท เพราะฉะนั้นคาดว่า การปล่อยสินเชื่อทั้งปีที่ตั้งเป้าไว้ 9.5 หมื่นล้านบาท จะสามารถปล่อยได้ครบ
สำหรับ การปล่อยสินเชื่อของ ธอส. ยังเป็นไปได้ตามเป้าทั้งปีที่วางไว้ เพราะในขณะนี้ทั้งปีสามารถปล่อยไปแล้วได้ 60,000 ล้านบาท ดังนั้นในช่วง 5 เดือนที่เหลืออยู่ หากทำได้เดือนละ 7,000 ล้านบาท เชื่อว่าไม่น่ามีปัญหาถึงแม้ว่ามาร์เก็ตแชร์ของ ธอส.จะลดลง 2-3% ก็ตาม เนื่องจากเป้าหมายของ ธอส. ปีนี้เน้นคุณภาพของสินเชื่อมากกว่าปริมาณ และ ธนาคารอื่นมีการขยายฐานสินเชื่อมากกว่า ธอส.
นายขรรค์ กล่าวว่า ส่วนอัตราดอกเบี้ยในตอนนี้ เชื่อว่าอยู่ในจุดต่ำสุดแล้ว แต่อย่างไรก็ตามต้องดูว่าทางธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมครั้งหน้าหรือไม่
ด้าน นายวรวิทย์ ชัยลิมปมนตรี รองผู้อำนวยการอาวุโส ธนาคารออมสิน กล่าวว่า อัตราดอกเบี้ยที่ กนง. คงไว้ อยู่ในอัตราที่เหมาะสมแล้ว ส่วนออมสินจะมีการคงอัตราดอกเบี้ยไว้เหมือนกนง.หรือไม่ ต้องขอหารือกันในการประชุมคณะกรรมการกำหนดนโยบายอัตราดอกเบี้ยในช่วงต้นสัปดาห์หน้า
" อัตราดอกเบี้ยในปัจจุบันถือว่าเหมาะสมแล้ว โดยอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ MLR ของออมสินอยู่ที่ 6.87% ส่วนจะลดตามกนง.หรือไม่ต้องรอประชุมก่อน รวมทั้งต้องดูทิศทางของธนาคารพาณิชย์รายอื่นๆด้วยว่ามีแนวโน้มอย่างไร" นายวรวิทย์ กล่าว
นางภัทรียา เบญจพลชัยกุล กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) กล่าวว่า การที่ กนง. คงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ 3.25% เหมือนเดิม ไม่ได้มีผลต่อการลงทุนในตลท.ของนักลงทุนแต่อย่างใด ส่วนสาเหตุที่ตลาดหุ้นมีความผันผวน เกิดจากปัจจัยภายนอกทั้งปัญหาซับไพร์มที่ยังไม่แน่ใจว่าจะจบลงเมื่อไร รวมทั้งสถานการณ์การเมืองข้างหน้าว่าเป็นอย่างไรมากกว่า
อย่างไรก็ตาม ในช่วงการลงทุน 2 สัปดาห์ที่ผ่านมาถือว่ามีเสถียรภาพมากขึ้นถึงแม้ว่าจะมีปัจจัยภายนอกทำให้ดัชนีฯ เกิดความผันผวนบ้างก็ตามแต่เชื่อมั่นว่าดัชนีฯ ในช่วงสิ้นปีจะแตะที่ 800 จุดหากสถานการณ์ทุกอย่างมีความชัดเจน สถานการณ์การเมืองที่ดีขึ้นจะส่งผลดีต่อการลงทุนเพราะจะทำให้นักลงทุนเกิดความเชื่อมั่นที่จะกลับมาลงทุนเพิ่มมากขึ้นซึ่งก็น่าจะเป็นไปได้ เพราะขณะนี้ดัชนีฯ อยู่ที่ 780 จุดแล้ว
นายวิรไท สันติประภพ ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ สายกลยุทธ์ลูกค้าธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) มั่นใจว่าภาพรวมเศรษฐกิจไทยปีนี้จะขยายตัวได้ร้อยละ 4-4.5 โดยมีปัจจัยกระตุ้นได้แก่ การส่งออกที่ขยายตัวตั้งแต่ต้นปี ขณะที่ช่วงครึ่งปีหลังจะมีการเลือกตั้งเกิดขึ้น ทำให้การเมืองชัดเจนขึ้น นอกจากนี้ ตัวเลขการยื่นขอรับการส่งเสริมการลงทุนของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ก็มากขึ้นอย่างต่อเนื่อง
อย่างไรก็ตาม จะต้องจับตาดูอย่างใกล้ชิดว่า นักลงทุนจะเริ่มลงทุนจริงเมื่อใด ส่วนค่าเงินบาทยอมรับว่า นับจากนี้ไปจะมีความผันผวนมากขึ้น โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์สหรัฐ เพราะปัญหาสินเชื่อที่อยู่อาศัยด้อยคุณภาพ(ซับไพร์ม) ที่เกิดขึ้นในสหรัฐ ที่ส่งผลกระทบกับสถาบันการเงินที่ไปลงทุนในตราสาร ซึ่งมีสินเชื่อดังกล่าวเป็นหลักประกัน เมื่อเกิดความเสียหาย สถาบันการเงินที่ขาดสภาพคล่อง จึงมีการดึงเงินลงทุนในประเทศไทยออกไป ส่งผลให้ค่าเงินบาทอ่อนค่าลงได้ แต่หากเศรษฐกิจสหรัฐในปีหน้าไม่ดี เงินลงทุนในสหรัฐจะไหลออกอีกครั้ง
http://www.naewna.com/news.asp?ID=73424
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news31/08/07
โพสต์ที่ 140
ธปท.กลัวคนตื่น ประกันเงินฝาก ชี้ไม่กระทบแน่
โพสต์ทูเดย์ ธปท.เตือนประชาชนอย่าตื่นเลิกค้ำประกันเงินฝากเหลือเพียง 1 ล้านบาท ชี้ไม่เกิดขึ้นในเร็ววัน
นายไพโรจน์ เฮงสกุล ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายจัดการกองทุน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ในฐานะผู้จัดการกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน กล่าวว่า ร่าง พ.ร.บ.สถาบันคุ้มครองเงินฝากที่ ธปท.เสนอให้คุ้มครองเงินฝากรายละไม่เกิน 1 ล้านบาท/ราย/ธนาคารนั้น จะไม่กระทบกับผู้ฝากเงินในระยะสั้น แม้กฎหมายจะผ่านความเห็นชอบของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.)
เพราะการลดความคุ้มครองจะทยอยทำ เพื่อให้ทั้งผู้ฝากเงินและธนาคารพาณิชย์ได้ปรับตัว ไม่ใช่ปรับลดเหลือการคุ้มครองเพียง 1 ล้านบาทในทันที
ธปท.ไม่อยากให้ประชาชนวิตก และหากสถานการณ์ไม่เหมาะสมที่จะลดเหลือ 50 ล้านบาท ในปีที่ 2 จากปีแรกที่คุ้มครองเงินฝากทั้งหมด ก็อาจจะเลื่อนการคุ้มครองทั้งวงเงินออกไปเรื่อยๆ ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของรัฐบาล นายไพโรจน์ กล่าว
นายไพโรจน์ กล่าวว่า การคุ้มครองเงินฝากไม่เกิน 1 ล้านบาท เน้นดูแลรายย่อยที่มีบัญชีเงินฝากไม่เกิน 1 ล้านบาท ได้ถึง 98% ของจำนวนบัญชีทั้งระบบ คนที่มีบัญชีเงินฝากเกิน 1 ล้านบาท เป็นรายใหญ่มีเพียง 2% เท่านั้น ซึ่งกลุ่มนี้ส่วนใหญ่สามารถบริหารเงินฝากเองได้
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=188451
โพสต์ทูเดย์ ธปท.เตือนประชาชนอย่าตื่นเลิกค้ำประกันเงินฝากเหลือเพียง 1 ล้านบาท ชี้ไม่เกิดขึ้นในเร็ววัน
นายไพโรจน์ เฮงสกุล ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายจัดการกองทุน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ในฐานะผู้จัดการกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน กล่าวว่า ร่าง พ.ร.บ.สถาบันคุ้มครองเงินฝากที่ ธปท.เสนอให้คุ้มครองเงินฝากรายละไม่เกิน 1 ล้านบาท/ราย/ธนาคารนั้น จะไม่กระทบกับผู้ฝากเงินในระยะสั้น แม้กฎหมายจะผ่านความเห็นชอบของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.)
เพราะการลดความคุ้มครองจะทยอยทำ เพื่อให้ทั้งผู้ฝากเงินและธนาคารพาณิชย์ได้ปรับตัว ไม่ใช่ปรับลดเหลือการคุ้มครองเพียง 1 ล้านบาทในทันที
ธปท.ไม่อยากให้ประชาชนวิตก และหากสถานการณ์ไม่เหมาะสมที่จะลดเหลือ 50 ล้านบาท ในปีที่ 2 จากปีแรกที่คุ้มครองเงินฝากทั้งหมด ก็อาจจะเลื่อนการคุ้มครองทั้งวงเงินออกไปเรื่อยๆ ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของรัฐบาล นายไพโรจน์ กล่าว
นายไพโรจน์ กล่าวว่า การคุ้มครองเงินฝากไม่เกิน 1 ล้านบาท เน้นดูแลรายย่อยที่มีบัญชีเงินฝากไม่เกิน 1 ล้านบาท ได้ถึง 98% ของจำนวนบัญชีทั้งระบบ คนที่มีบัญชีเงินฝากเกิน 1 ล้านบาท เป็นรายใหญ่มีเพียง 2% เท่านั้น ซึ่งกลุ่มนี้ส่วนใหญ่สามารถบริหารเงินฝากเองได้
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=188451
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news31/08/07
โพสต์ที่ 141
ธปท.ไม่ต้องตื่นตระหนกข่าวตั้งสถาบันคุ้มครองเงินฝาก มีเวลาปรับตัวอีกหลายปี หากถอนเงินอาจเสียประโยชน์
--------------------------------------------------------------------------------
Posted on Thursday, August 30, 2007
นายไพโรจน์ เฮงสกุล ผู้ช่วยผู้ว่าการ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ในฐานะผู้จัดการกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาสถาบันการเงิน ซึ่งดูแลเรื่องการจัดตั้งสถาบันคุ้มครองเงินฝาก เปิดเผยว่า เพื่อทำความเข้าใจเพิ่มเติมในเรื่องพระราชบัญญัติสถาบันคุ้มครองเงินฝาก ธปท.ขอชี้แจงว่า หลังจากกฎหมายผ่านการพิจารณาของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) แล้ว จะมีเวลาในการจัดตั้งสถาบัน 6 เดือน และเมื่อจัดตั้งเสร็จสิ้น ในปีแรกจะยังไม่มีการลดการคุ้มครองเงินฝาก ยังประกันเต็มวงเงินไปก่อน
แต่ในระหว่างปีนั้น จะมีการเสนอกระทรวงการคลังออกพระราชกฤษฎีกา เพื่อกำหนดระยะเวลาการปรับลดการคุ้มครองเงินฝากจากเต็มวงเงินลงมาเป็นลำดับ ง เพื่อให้ผู้ฝากเงินมีเวลาปรับตัว หากเหตุการณ์เป็นปกติ ไม่มีเหตุการณ์ทางเศรษฐกิจหรือการเมืองที่ไม่เหมาะสม ตามที่ทางกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินตั้งใจไว้ในช่วงร่างกฎหมาย หรือตรงกับกลางปี 2552 จะลดการคุ้มครองจาก 100% เหลือไม่เกิน 50 ล้านบาท ต่อรายชื่อ ต่อสถาบันการเงิน
หลังจากนั้น ในกลางปี 2553 จะทยอยลดความคุ้มครองเหลือ 25 ล้านบาทต่อรายชื่อต่อสถาบันการเงิน และในกลางปี 2554 จะเหลือ 10 ล้านบาทต่อรายชื่อต่อสถาบันการเงิน และในปีถัดไป จะลดลงเหลือ 1 ล้านบาทต่อรายชื่อต่อบัญชี
อย่างไรก็ตาม ในพระราชบัญญัติคุ้มครองเงินฝาก กำหนดเพียงแค่ว่า ในที่สุดจะต้องลดการคุ้มครองเหลือ 1 ล้านบาทต่อรายชื่อต่อสถาบันการเงิน แต่ไม่ได้มีการกำหนดเวลาว่าจะต้องดำเนินการภายในกี่ปี ดังนั้น เงื่อนเวลาเหล่านี้ อาจปรับเปลี่ยนได้ ตามพระราชกำหนดของคณะรัฐมนตรีในช่วงเวลานั้น ๆ ซึ่งการพิจารณาว่า เวลาในช่วงใดเหมาะสมกับการลดการคุ้มครองเงินฝากหรือไม่นั้น ขึ้นก็อยู่กับสถานการณ์ทางเศรษฐกิจ และแรงกดดันอื่น ๆ ด้วย
ดังนั้น จึงอยากขอให้ทุกฝ่ายสบายใจได้ว่า ธปท. ให้เวลาในการปรับตัว หากพระราชบัญญัติคุ้มครองเงินฝากมีผลบังคับใช้จริง ๆ ไม่ต้องตื่นตระหนกแห่ถอนเงินฝากแต่อย่างใด เพราะยังมีเวลาอีกอย่างน้อยที่สุด 1 ปีครึ่ง ในการปรับตัว
นอกจากนั้น ผู้ฝากเงินรายใหญ่ ตั้งแต่ 1 ล้านบาทขึ้นไปนั้น มีประมาณ 2% ของบัญชีเงินฝากรวม หรือประมาณ 800,000 บัญชี จาก 71,000,000 บัญชี และส่วนใหญ่เป็นคนมีความรู้ความสามารถน่าจะสามารถติดตามข้อมูลฐานะของธนาคารพาณิชย์ และปรับตัวรับการลดความคุ้มครองได้ไม่ยากนัก
มันนี่ ชาเนล - วรนนท์ อัศวพิริยานนท์
โทรศัพท์ - 02- 229 - 2000 ต่อ 2616
อีเมล - voranondha@set.or.th
http://www.moneychannel.co.th/BreakingN ... fault.aspx
--------------------------------------------------------------------------------
Posted on Thursday, August 30, 2007
นายไพโรจน์ เฮงสกุล ผู้ช่วยผู้ว่าการ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ในฐานะผู้จัดการกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาสถาบันการเงิน ซึ่งดูแลเรื่องการจัดตั้งสถาบันคุ้มครองเงินฝาก เปิดเผยว่า เพื่อทำความเข้าใจเพิ่มเติมในเรื่องพระราชบัญญัติสถาบันคุ้มครองเงินฝาก ธปท.ขอชี้แจงว่า หลังจากกฎหมายผ่านการพิจารณาของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) แล้ว จะมีเวลาในการจัดตั้งสถาบัน 6 เดือน และเมื่อจัดตั้งเสร็จสิ้น ในปีแรกจะยังไม่มีการลดการคุ้มครองเงินฝาก ยังประกันเต็มวงเงินไปก่อน
แต่ในระหว่างปีนั้น จะมีการเสนอกระทรวงการคลังออกพระราชกฤษฎีกา เพื่อกำหนดระยะเวลาการปรับลดการคุ้มครองเงินฝากจากเต็มวงเงินลงมาเป็นลำดับ ง เพื่อให้ผู้ฝากเงินมีเวลาปรับตัว หากเหตุการณ์เป็นปกติ ไม่มีเหตุการณ์ทางเศรษฐกิจหรือการเมืองที่ไม่เหมาะสม ตามที่ทางกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินตั้งใจไว้ในช่วงร่างกฎหมาย หรือตรงกับกลางปี 2552 จะลดการคุ้มครองจาก 100% เหลือไม่เกิน 50 ล้านบาท ต่อรายชื่อ ต่อสถาบันการเงิน
หลังจากนั้น ในกลางปี 2553 จะทยอยลดความคุ้มครองเหลือ 25 ล้านบาทต่อรายชื่อต่อสถาบันการเงิน และในกลางปี 2554 จะเหลือ 10 ล้านบาทต่อรายชื่อต่อสถาบันการเงิน และในปีถัดไป จะลดลงเหลือ 1 ล้านบาทต่อรายชื่อต่อบัญชี
อย่างไรก็ตาม ในพระราชบัญญัติคุ้มครองเงินฝาก กำหนดเพียงแค่ว่า ในที่สุดจะต้องลดการคุ้มครองเหลือ 1 ล้านบาทต่อรายชื่อต่อสถาบันการเงิน แต่ไม่ได้มีการกำหนดเวลาว่าจะต้องดำเนินการภายในกี่ปี ดังนั้น เงื่อนเวลาเหล่านี้ อาจปรับเปลี่ยนได้ ตามพระราชกำหนดของคณะรัฐมนตรีในช่วงเวลานั้น ๆ ซึ่งการพิจารณาว่า เวลาในช่วงใดเหมาะสมกับการลดการคุ้มครองเงินฝากหรือไม่นั้น ขึ้นก็อยู่กับสถานการณ์ทางเศรษฐกิจ และแรงกดดันอื่น ๆ ด้วย
ดังนั้น จึงอยากขอให้ทุกฝ่ายสบายใจได้ว่า ธปท. ให้เวลาในการปรับตัว หากพระราชบัญญัติคุ้มครองเงินฝากมีผลบังคับใช้จริง ๆ ไม่ต้องตื่นตระหนกแห่ถอนเงินฝากแต่อย่างใด เพราะยังมีเวลาอีกอย่างน้อยที่สุด 1 ปีครึ่ง ในการปรับตัว
นอกจากนั้น ผู้ฝากเงินรายใหญ่ ตั้งแต่ 1 ล้านบาทขึ้นไปนั้น มีประมาณ 2% ของบัญชีเงินฝากรวม หรือประมาณ 800,000 บัญชี จาก 71,000,000 บัญชี และส่วนใหญ่เป็นคนมีความรู้ความสามารถน่าจะสามารถติดตามข้อมูลฐานะของธนาคารพาณิชย์ และปรับตัวรับการลดความคุ้มครองได้ไม่ยากนัก
มันนี่ ชาเนล - วรนนท์ อัศวพิริยานนท์
โทรศัพท์ - 02- 229 - 2000 ต่อ 2616
อีเมล - voranondha@set.or.th
http://www.moneychannel.co.th/BreakingN ... fault.aspx
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news01/09/07
โพสต์ที่ 142
อภิศักดิ์ชี้หนี้เสียเพิ่มสูงสุดในสิ้นปีนี้
โพสต์ทูเดย์ ประธานสมาคมธนาคารทำใจเอ็นพีแอลเพิ่มสูงสุดในช่วงสิ้นปี คาดกรุงไทยสำรองไม่น้อยกว่า 8 พันล้าน
นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารกรุงไทย กล่าวว่า หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) ของธนาคาร จะค่อยๆ เพิ่มขึ้นไปแตะระดับสูงสุดในถึงสิ้นปีนี้ มาจากเอ็นพีแอลเก่าเป็นส่วนใหญ่ และมีรายใหม่ที่เริ่มเป็นหนี้เสีย เป็นการเพิ่มขึ้นมาตั้งแต่ต้นปีในลักษณะกระจายตัวทุกกลุ่มทั้งรายใหญ่ รายกลาง และรายย่อย แต่โดยรวมถือว่าเพิ่มขึ้นไม่มาก ธนาคารอื่นๆ ก็เพิ่มขึ้นเช่นเดียวกัน
แนวโน้มเอ็นพีแอลที่เพิ่มขึ้นสะท้อนว่าเศรษฐกิจโดยรวมไม่ค่อยดี หวังว่าหลังการเลือกตั้ง เศรษฐกิจจะกลับมาดีในปีหน้า และจะปรับลดลงได้ อย่างไร ก็ดี รัฐบาลที่เข้ามาใหม่ต้องเป็นรัฐบาลที่ดีด้วย จึงจะช่วยสร้างความมั่นใจ ทำให้เกิดการลงทุนและการบริโภค
ความปั่นป่วนเป็นเรื่องไม่ดีที่สุดของประเทศ ไม่ว่ารัฐบาลจะแข็งแค่ไหน ถ้ามีความปั่นป่วนเศรษฐกิจก็ทรุด แล้วถ้ารัฐบาลใหม่เข้ามาไม่ค่อยแข็ง จะยิ่งกันใหญ่ ระหว่างนี้ที่ยังมีความไม่แน่นอน คนก็ต้องระวังเรื่องลงทุน แม้จะมีเรื่องวุ่นวายต่อ ธุรกิจอยู่ได้ ก็แค่อยู่เฉยๆ ไม่ต้องกู้เงิน แต่ถ้ามีปัญหาการบริโภคไม่ดีตามมา เศรษฐกิจ จะยิ่งลง ก็หวังว่าจะเลิกทะเลาะกัน นายอภิศักดิ์ กล่าว
นายอภิศักดิ์ กล่าวว่า ช่วง 2-3 เดือน ที่ผ่านมา มียอดอนุมัติสินเชื่อเพิ่มขึ้นมากเมื่อเทียบกับต้นปี ส่วนใหญ่เป็นโครงการขนาดใหญ่ที่รัฐบาล ผลักดัน เช่น ปิโตรเคมี พลังงาน รวมถึงโครงการมาบตาพุดด้วย แม้กว่าจะเบิกเงินจริงอาจต้องกินเวลาถึงปีหน้า แต่ถือเป็นสัญญาณที่ดี
นายอภิศักดิ์ กล่าวว่า ในช่วงครึ่งปีหลัง ธนาคารจะตั้งสำรองเผื่อหนี้สงสัยจะสูญเพิ่มขึ้น ทั้งไตรมาส 3 และ 4 แต่จะหนักไปที่ไตรมาส 4 เป็นระดับใกล้เคียงกับช่วงเดียวกันปีก่อน แม้ขณะนี้ธนาคารจะกันสำรองตามมาตรฐานบัญชีใหม่ครบแล้วก็ตาม
นายอภิศักดิ์ กล่าวว่า การกันสำรองช่วงครึ่งปีหลังที่ตั้งใจเพิ่มขึ้นนั้น ไม่เกี่ยวข้องกับหนี้ของบริษัท เพรซิเดนท์ อะกริ เทรดดิ้ง เพราะลูกหนี้รายนี้ธนาคารได้กันสำรองเต็ม 100% ไปแล้ว และตัดเป็นเอ็นพีแอลแล้ว โดย มูลหนี้ปัจจุบันต่ำกว่า 1 พันล้านบาท
นักวิเคราะห์ของโบรกเกอร์ต่างชี้แจงว่า จากการเข้าพบผู้บริหารคาดว่า อาจมีหนี้จัดชั้นเชิงคุณภาพเพิ่มอีกประมาณ 1% ของฐานสินเชื่อรวม โดยคาดว่าเอ็นพีแอลจะเพิ่มต่อเนื่องในช่วงครึ่งปีหลัง และจะเป็นการเพิ่มสู่ระดับสูงสุด ก่อนทยอยปรับลดลงปีหน้า
ทั้งนี้ คาดว่าธนาคารกรุงไทยจะกันสำรองรวมทั้งหมดใกล้เคียงกับปีก่อนที่ระดับ 1.6 หมื่นล้านบาท โดยครึ่งแรกปีนี้กันสำรองไปแล้ว 8 พันล้านบาท และคาดว่าจะตั้งกันสำรองเพิ่มอีก 8 พันล้านบาทในครึ่งปีหลัง ส่วนปีหน้าคาดว่าการตั้งสำรองจะอยู่ในระดับปกติประมาณ 300 ล้านบาทต่อเดือน
นายตัน คอง คูน ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา กล่าวว่า ผลกระทบของหนี้เสียในตลาดซับไพรม์ส่งผลกระทบไปทั่วโลกรวมถึงตลาดเอเชีย ถ้าคนถอนการลงทุนเมื่อใด เมื่อนั้นจึงจะเริ่มกังวลกับปัญหาหนี้เสีย แต่ตอนนี้ยังไม่มีสัญญาณให้เป็นห่วงนัก กรณีที่เอ็นพีแอลของธนาคารเพิ่มขึ้นนั้น เนื่องจากธนาคารต้องการทบทวนคุณภาพลูกหนี้ทั้งหมดและตั้งสำรอง
ดังนั้น ไม่ควรนำปริมาณเอ็นพีแอลของกรุงศรีอยุธยาไปเปรียบเทียบกับเอ็นพีแอลของทั้งระบบ ตัวเลขสำรอง 1.15 หมื่นล้านบาท ที่ทำไปในครึ่งแรกเป็นความตั้งใจของธนาคารเอง และ คิดว่าเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=188690
โพสต์ทูเดย์ ประธานสมาคมธนาคารทำใจเอ็นพีแอลเพิ่มสูงสุดในช่วงสิ้นปี คาดกรุงไทยสำรองไม่น้อยกว่า 8 พันล้าน
นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารกรุงไทย กล่าวว่า หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) ของธนาคาร จะค่อยๆ เพิ่มขึ้นไปแตะระดับสูงสุดในถึงสิ้นปีนี้ มาจากเอ็นพีแอลเก่าเป็นส่วนใหญ่ และมีรายใหม่ที่เริ่มเป็นหนี้เสีย เป็นการเพิ่มขึ้นมาตั้งแต่ต้นปีในลักษณะกระจายตัวทุกกลุ่มทั้งรายใหญ่ รายกลาง และรายย่อย แต่โดยรวมถือว่าเพิ่มขึ้นไม่มาก ธนาคารอื่นๆ ก็เพิ่มขึ้นเช่นเดียวกัน
แนวโน้มเอ็นพีแอลที่เพิ่มขึ้นสะท้อนว่าเศรษฐกิจโดยรวมไม่ค่อยดี หวังว่าหลังการเลือกตั้ง เศรษฐกิจจะกลับมาดีในปีหน้า และจะปรับลดลงได้ อย่างไร ก็ดี รัฐบาลที่เข้ามาใหม่ต้องเป็นรัฐบาลที่ดีด้วย จึงจะช่วยสร้างความมั่นใจ ทำให้เกิดการลงทุนและการบริโภค
ความปั่นป่วนเป็นเรื่องไม่ดีที่สุดของประเทศ ไม่ว่ารัฐบาลจะแข็งแค่ไหน ถ้ามีความปั่นป่วนเศรษฐกิจก็ทรุด แล้วถ้ารัฐบาลใหม่เข้ามาไม่ค่อยแข็ง จะยิ่งกันใหญ่ ระหว่างนี้ที่ยังมีความไม่แน่นอน คนก็ต้องระวังเรื่องลงทุน แม้จะมีเรื่องวุ่นวายต่อ ธุรกิจอยู่ได้ ก็แค่อยู่เฉยๆ ไม่ต้องกู้เงิน แต่ถ้ามีปัญหาการบริโภคไม่ดีตามมา เศรษฐกิจ จะยิ่งลง ก็หวังว่าจะเลิกทะเลาะกัน นายอภิศักดิ์ กล่าว
นายอภิศักดิ์ กล่าวว่า ช่วง 2-3 เดือน ที่ผ่านมา มียอดอนุมัติสินเชื่อเพิ่มขึ้นมากเมื่อเทียบกับต้นปี ส่วนใหญ่เป็นโครงการขนาดใหญ่ที่รัฐบาล ผลักดัน เช่น ปิโตรเคมี พลังงาน รวมถึงโครงการมาบตาพุดด้วย แม้กว่าจะเบิกเงินจริงอาจต้องกินเวลาถึงปีหน้า แต่ถือเป็นสัญญาณที่ดี
นายอภิศักดิ์ กล่าวว่า ในช่วงครึ่งปีหลัง ธนาคารจะตั้งสำรองเผื่อหนี้สงสัยจะสูญเพิ่มขึ้น ทั้งไตรมาส 3 และ 4 แต่จะหนักไปที่ไตรมาส 4 เป็นระดับใกล้เคียงกับช่วงเดียวกันปีก่อน แม้ขณะนี้ธนาคารจะกันสำรองตามมาตรฐานบัญชีใหม่ครบแล้วก็ตาม
นายอภิศักดิ์ กล่าวว่า การกันสำรองช่วงครึ่งปีหลังที่ตั้งใจเพิ่มขึ้นนั้น ไม่เกี่ยวข้องกับหนี้ของบริษัท เพรซิเดนท์ อะกริ เทรดดิ้ง เพราะลูกหนี้รายนี้ธนาคารได้กันสำรองเต็ม 100% ไปแล้ว และตัดเป็นเอ็นพีแอลแล้ว โดย มูลหนี้ปัจจุบันต่ำกว่า 1 พันล้านบาท
นักวิเคราะห์ของโบรกเกอร์ต่างชี้แจงว่า จากการเข้าพบผู้บริหารคาดว่า อาจมีหนี้จัดชั้นเชิงคุณภาพเพิ่มอีกประมาณ 1% ของฐานสินเชื่อรวม โดยคาดว่าเอ็นพีแอลจะเพิ่มต่อเนื่องในช่วงครึ่งปีหลัง และจะเป็นการเพิ่มสู่ระดับสูงสุด ก่อนทยอยปรับลดลงปีหน้า
ทั้งนี้ คาดว่าธนาคารกรุงไทยจะกันสำรองรวมทั้งหมดใกล้เคียงกับปีก่อนที่ระดับ 1.6 หมื่นล้านบาท โดยครึ่งแรกปีนี้กันสำรองไปแล้ว 8 พันล้านบาท และคาดว่าจะตั้งกันสำรองเพิ่มอีก 8 พันล้านบาทในครึ่งปีหลัง ส่วนปีหน้าคาดว่าการตั้งสำรองจะอยู่ในระดับปกติประมาณ 300 ล้านบาทต่อเดือน
นายตัน คอง คูน ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา กล่าวว่า ผลกระทบของหนี้เสียในตลาดซับไพรม์ส่งผลกระทบไปทั่วโลกรวมถึงตลาดเอเชีย ถ้าคนถอนการลงทุนเมื่อใด เมื่อนั้นจึงจะเริ่มกังวลกับปัญหาหนี้เสีย แต่ตอนนี้ยังไม่มีสัญญาณให้เป็นห่วงนัก กรณีที่เอ็นพีแอลของธนาคารเพิ่มขึ้นนั้น เนื่องจากธนาคารต้องการทบทวนคุณภาพลูกหนี้ทั้งหมดและตั้งสำรอง
ดังนั้น ไม่ควรนำปริมาณเอ็นพีแอลของกรุงศรีอยุธยาไปเปรียบเทียบกับเอ็นพีแอลของทั้งระบบ ตัวเลขสำรอง 1.15 หมื่นล้านบาท ที่ทำไปในครึ่งแรกเป็นความตั้งใจของธนาคารเอง และ คิดว่าเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=188690
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news01/09/07
โพสต์ที่ 143
เปิดบัญชีเงินออมเพื่อพ่อ ฝาก80บาทซับน้ำตาชาวใต้
โพสต์ทูเดย์ สมาคมธนาคารไทยเปิดบัญชีเงินออมเพื่อพ่อ วอนประชาชนร่วมฝาก 80 บาทช่วย 3 จังหวัดใต้
นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ ประธานสมาคมธนาคารไทย กล่าวว่า ธนาคารสมาชิกทั้ง 16 แห่งจัดกิจกรรม เงินออมนี้เพื่อพ่อ โดยขอเชิญชวนให้คนไทยทั่วประเทศออมเงินคนละ 80 บาท หรือมากกว่าแบบเท่าทวีคูณ เพื่อนำไปช่วยเหลือการศึกษาของพี่น้องใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ทรงเจริญพระชนมพรรษา 80 พรรษา
ทั้งนี้ ประชาชนสามารถนำเงินฝากเข้าบัญชีออมทรัพย์ชื่อบัญชี เงินออมนี้เพื่อพ่อ ได้ที่ธนาคารกรุงเทพ กรุงไทย ไทยพาณิชย์ กสิกรไทย กรุงศรีอยุธยา ทหารไทย นครหลวงไทย ธนชาต ไทยธนาคาร สแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด (ไทย) ทิสโก้ เกียรตินาคิน สินเอเชีย แลนด์แอนด์เฮาส์ เพื่อรายย่อย ไทยเครดิต เพื่อรายย่อย ตั้งแต่วันที่ 1 ก.ย.-30 พ.ย. 2550
นายอภิศักดิ์ กล่าวว่า โครงการนี้ริเริ่มจากความตั้งใจของพนักงานธนาคารและครอบครัว แต่ภายหลังมองว่าหากแจ้งให้ประชาชนทั่วประเทศได้ร่วมด้วยจะทำให้มีพลังมากขึ้น
ทั้งนี้ การฝากเงินเข้าบัญชีประชาชนไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใดๆ เช่น ลูกค้าต่างจังหวัดก็ไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมโอนเงิน ธนาคารจะเป็น ผู้รับผิดชอบเองทั้งหมด โดยเงินจะได้ดอกเบี้ยตามปกติ และธนาคารจะสมทบอีกส่วนหนึ่ง
นายไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กล่าวว่า โครงการนี้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการ ทำดีเพื่อพ่อ จึงอยากเชิญประชาชนทั่วประเทศร่วมกันทำความดีถวายแด่ในหลวง หากพนักงานธนาคารทั่วประเทศประมาณ 1 แสนคน ร่วมกันออมเงินอย่างน้อยคนละ 80 บาทก็นับเป็นเงินที่มากแล้ว และถ้าทุกคนช่วยกันก็จะได้เงินจำนวนมากไปช่วยพี่น้องชาวใต้
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=188675
โพสต์ทูเดย์ สมาคมธนาคารไทยเปิดบัญชีเงินออมเพื่อพ่อ วอนประชาชนร่วมฝาก 80 บาทช่วย 3 จังหวัดใต้
นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ ประธานสมาคมธนาคารไทย กล่าวว่า ธนาคารสมาชิกทั้ง 16 แห่งจัดกิจกรรม เงินออมนี้เพื่อพ่อ โดยขอเชิญชวนให้คนไทยทั่วประเทศออมเงินคนละ 80 บาท หรือมากกว่าแบบเท่าทวีคูณ เพื่อนำไปช่วยเหลือการศึกษาของพี่น้องใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ทรงเจริญพระชนมพรรษา 80 พรรษา
ทั้งนี้ ประชาชนสามารถนำเงินฝากเข้าบัญชีออมทรัพย์ชื่อบัญชี เงินออมนี้เพื่อพ่อ ได้ที่ธนาคารกรุงเทพ กรุงไทย ไทยพาณิชย์ กสิกรไทย กรุงศรีอยุธยา ทหารไทย นครหลวงไทย ธนชาต ไทยธนาคาร สแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด (ไทย) ทิสโก้ เกียรตินาคิน สินเอเชีย แลนด์แอนด์เฮาส์ เพื่อรายย่อย ไทยเครดิต เพื่อรายย่อย ตั้งแต่วันที่ 1 ก.ย.-30 พ.ย. 2550
นายอภิศักดิ์ กล่าวว่า โครงการนี้ริเริ่มจากความตั้งใจของพนักงานธนาคารและครอบครัว แต่ภายหลังมองว่าหากแจ้งให้ประชาชนทั่วประเทศได้ร่วมด้วยจะทำให้มีพลังมากขึ้น
ทั้งนี้ การฝากเงินเข้าบัญชีประชาชนไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใดๆ เช่น ลูกค้าต่างจังหวัดก็ไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมโอนเงิน ธนาคารจะเป็น ผู้รับผิดชอบเองทั้งหมด โดยเงินจะได้ดอกเบี้ยตามปกติ และธนาคารจะสมทบอีกส่วนหนึ่ง
นายไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กล่าวว่า โครงการนี้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการ ทำดีเพื่อพ่อ จึงอยากเชิญประชาชนทั่วประเทศร่วมกันทำความดีถวายแด่ในหลวง หากพนักงานธนาคารทั่วประเทศประมาณ 1 แสนคน ร่วมกันออมเงินอย่างน้อยคนละ 80 บาทก็นับเป็นเงินที่มากแล้ว และถ้าทุกคนช่วยกันก็จะได้เงินจำนวนมากไปช่วยพี่น้องชาวใต้
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=188675
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news03/09/07
โพสต์ที่ 144
ธปท.ไล่บี้แบงก์ลดดอกกู้
นางสุชาดา กิระกุล ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายนโยบายการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า ได้หารือกับ นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ ประธานสมาคมธนาคารไทย
ถึงกรณีที่ธนาคารพาณิชย์ไม่ปรับลดดอกเบี้ยเงินกู้ลงทันทีตามการส่งสัญญาณนโยบายการเงินแบบผ่อนคลาย
พบว่าเกิดจากต้นทุนเงินฝากประจำ 12 เดือนที่ระดมมากช่วงปลายปีก่อนยังไม่ครบกำหนด ทำให้ธนาคารยังมีต้นทุนสูงล็อกไว้อยู่
หากสัดส่วนเงินฝากประจำ 12 เดือนครบกำหนด น่าจะทำให้ต้นทุนของธนาคารลดลง และทำให้ดอกเบี้ยเงินกู้ลดลงได้ในระยะต่อไป นางสุชาดา กล่าว
ทั้งนี้ จากการตรวจสอบของ ธปท.พบว่า โครงสร้างเงินฝากของธนาคารพาณิชย์เป็นเงินฝากออมทรัพย์ 40%, เงินฝากประจำ 3-6 เดือน 30% และเงินฝากประจำมากกว่า 1 ปีอีก 30%
ด้านนางอมรา ศรีพยัคฆ์ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายเศรษฐกิจในประเทศ ธปท. กล่าวว่า การที่ดอกเบี้ยเงินกู้ ในตลาดยังไม่ลดลงคงมีผลให้การ ใช้จ่ายในประเทศลดลงบ้าง แต่ไม่ มากนัก เพราะการใช้จ่ายจะมากหรือน้อยไม่ได้ขึ้นกับปัจจัยด้านดอกเบี้ยอย่างเดียว
http://www.msnth.com/msn/money2/content ... 578&ch=227
นางสุชาดา กิระกุล ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายนโยบายการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า ได้หารือกับ นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ ประธานสมาคมธนาคารไทย
ถึงกรณีที่ธนาคารพาณิชย์ไม่ปรับลดดอกเบี้ยเงินกู้ลงทันทีตามการส่งสัญญาณนโยบายการเงินแบบผ่อนคลาย
พบว่าเกิดจากต้นทุนเงินฝากประจำ 12 เดือนที่ระดมมากช่วงปลายปีก่อนยังไม่ครบกำหนด ทำให้ธนาคารยังมีต้นทุนสูงล็อกไว้อยู่
หากสัดส่วนเงินฝากประจำ 12 เดือนครบกำหนด น่าจะทำให้ต้นทุนของธนาคารลดลง และทำให้ดอกเบี้ยเงินกู้ลดลงได้ในระยะต่อไป นางสุชาดา กล่าว
ทั้งนี้ จากการตรวจสอบของ ธปท.พบว่า โครงสร้างเงินฝากของธนาคารพาณิชย์เป็นเงินฝากออมทรัพย์ 40%, เงินฝากประจำ 3-6 เดือน 30% และเงินฝากประจำมากกว่า 1 ปีอีก 30%
ด้านนางอมรา ศรีพยัคฆ์ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายเศรษฐกิจในประเทศ ธปท. กล่าวว่า การที่ดอกเบี้ยเงินกู้ ในตลาดยังไม่ลดลงคงมีผลให้การ ใช้จ่ายในประเทศลดลงบ้าง แต่ไม่ มากนัก เพราะการใช้จ่ายจะมากหรือน้อยไม่ได้ขึ้นกับปัจจัยด้านดอกเบี้ยอย่างเดียว
http://www.msnth.com/msn/money2/content ... 578&ch=227
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news03/09/07
โพสต์ที่ 145
ลีสซิงจักรยานยนต์ผวา วิ่งซบข้อมูลเครดิตบูโร
โพสต์ทูเดย์ ลีสซิงจักรยานยนต์-เครื่องใช้ไฟฟ้า แห่สมัครเข้าเครดิตบูโร เช็กประวัติผู้กู้ก่อนขาย
นายนิวัฒน์ กาญจนภูมินทร์ ผู้จัดการใหญ่บริษัทข้อมูลเครดิตแห่งประเทศไทย (เครดิตบูโร) กล่าวว่า ขณะนี้มีกลุ่มผู้ประกอบการลีสซิงหลายแห่งสมัครเป็นสมาชิกเครดิตบูโร โดยเฉพาะกลุ่มลีสซิงรถจักรยานยนต์และเครื่องใช้ไฟฟ้า ขณะเดียวกัน ก็มีบริษัทประกันชีวิตหลายแห่งที่ให้บริการด้านสินเชื่อก็สนใจเข้ามาเป็นสมาชิกเครดิตบูโรด้วยเช่นกัน
ทั้งนี้ ตามแผนดำเนินงานของเครดิตบูโรยังต้องการดึงกลุ่มธุรกิจหลักทรัพย์เข้ามาเป็นสมาชิกด้วย เนื่องจากมีการให้สินเชื่อเพื่อซื้อหุ้น หรือให้มาร์จินวงเงินในการซื้อขายหุ้น ซึ่งจะสามารถตรวจสอบลูกค้าที่มาเปิดบัญชี ป้องกันความเสี่ยงของบริษัทหลักทรัพย์เองด้วย
ปัจจุบันเครดิตบูโรมีสมาชิกประมาณ 80 บริษัท มีจำนวนฐานข้อมูลลูกค้าสินเชื่อ 49 ล้านบัญชี คิดเป็นลูกหนี้ 15 ล้านคน และนิติบุคคล 2.5 แสนราย คิดเป็น 3.6 ล้านบัญชี โดยเฉลี่ยจะมีบริษัทสมาชิกเข้ามาตรวจสอบประวัติการเงินกับเครดิตบูโรเดือนละ 1.1 ล้านครั้งต่อเดือน ซึ่งเป็นอัตราคงที่หากเปรียบกับต้นปี 2550 สะท้อนให้เห็นว่าการที่เศรษฐกิจซบเซา ทำให้สถาบันการเงินมีความเข้มงวดในการให้สินเชื่อ
สถาบันการเงินยังมีเกณฑ์ ในพิจารณาจากคุณสมบัติของผู้กู้อื่นๆ เช่น รายได้, ความสามารถการชำระหนี้, หลักทรัพย์ค้ำประกัน หากผ่านคุณสมบัติเบื้องต้นก็อาจจะไม่จำเป็นต้องมาตรวจสอบประวัติการเงินจากเครดิตบูโรอีก นายนิวัฒน์ กล่าว
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=189017
โพสต์ทูเดย์ ลีสซิงจักรยานยนต์-เครื่องใช้ไฟฟ้า แห่สมัครเข้าเครดิตบูโร เช็กประวัติผู้กู้ก่อนขาย
นายนิวัฒน์ กาญจนภูมินทร์ ผู้จัดการใหญ่บริษัทข้อมูลเครดิตแห่งประเทศไทย (เครดิตบูโร) กล่าวว่า ขณะนี้มีกลุ่มผู้ประกอบการลีสซิงหลายแห่งสมัครเป็นสมาชิกเครดิตบูโร โดยเฉพาะกลุ่มลีสซิงรถจักรยานยนต์และเครื่องใช้ไฟฟ้า ขณะเดียวกัน ก็มีบริษัทประกันชีวิตหลายแห่งที่ให้บริการด้านสินเชื่อก็สนใจเข้ามาเป็นสมาชิกเครดิตบูโรด้วยเช่นกัน
ทั้งนี้ ตามแผนดำเนินงานของเครดิตบูโรยังต้องการดึงกลุ่มธุรกิจหลักทรัพย์เข้ามาเป็นสมาชิกด้วย เนื่องจากมีการให้สินเชื่อเพื่อซื้อหุ้น หรือให้มาร์จินวงเงินในการซื้อขายหุ้น ซึ่งจะสามารถตรวจสอบลูกค้าที่มาเปิดบัญชี ป้องกันความเสี่ยงของบริษัทหลักทรัพย์เองด้วย
ปัจจุบันเครดิตบูโรมีสมาชิกประมาณ 80 บริษัท มีจำนวนฐานข้อมูลลูกค้าสินเชื่อ 49 ล้านบัญชี คิดเป็นลูกหนี้ 15 ล้านคน และนิติบุคคล 2.5 แสนราย คิดเป็น 3.6 ล้านบัญชี โดยเฉลี่ยจะมีบริษัทสมาชิกเข้ามาตรวจสอบประวัติการเงินกับเครดิตบูโรเดือนละ 1.1 ล้านครั้งต่อเดือน ซึ่งเป็นอัตราคงที่หากเปรียบกับต้นปี 2550 สะท้อนให้เห็นว่าการที่เศรษฐกิจซบเซา ทำให้สถาบันการเงินมีความเข้มงวดในการให้สินเชื่อ
สถาบันการเงินยังมีเกณฑ์ ในพิจารณาจากคุณสมบัติของผู้กู้อื่นๆ เช่น รายได้, ความสามารถการชำระหนี้, หลักทรัพย์ค้ำประกัน หากผ่านคุณสมบัติเบื้องต้นก็อาจจะไม่จำเป็นต้องมาตรวจสอบประวัติการเงินจากเครดิตบูโรอีก นายนิวัฒน์ กล่าว
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=189017
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news03/09/07
โพสต์ที่ 146
ก.ล.ต.กังวล "ซับไพรม์" กระทบ 4 แบงก์ไทย-คิดสูตรบันทึกบัญชีเอง
โดย ผู้จัดการออนไลน์ 3 กันยายน 2550 14:14 น.
ก.ล.ต. ตรวจเข้มสถาบันการเงินลงบัญชี หวั่นปัญหากระทบจากซับไพรม์ ลามสถาบันการเงินไทย 4 แห่งที่เข้าไปลงทุนในซีดีโอ หลังตรวจพบการบันทึกบัญชีตามสูตรของตัวเอง อาจทำให้การประเมินไม่สะท้อนความเป็นจริง เตรียมหารือ ธปท. อีกครั้ง เกี่ยวกับการกันสำรองร้อยละ 30 สำหรับกองทุนอีทีเอฟ ที่กำลังจะเริ่มต้น 6 ก.ย.นี้
วันนี้(3 ส.ค.) นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล เลขาธิการคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) กล่าวแสดงความกังวลเกี่ยวกับปัญหาสินเชื่อด้อยคุณภาพของสหรัฐ(ซับไพรม์) เชื่อว่า ยังมีความเสี่ยง เพราะเนื่องจากในปี 2551 ผู้กู้รายย่อยในสหรัฐที่กู้สินเชื่อซับไพรม์จะต้องจ่ายอัตราดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 1 เป็นร้อยละ 4-5 ทำให้บางรายอาจจะไม่มีความสามารถในการผ่อนชำระหนี้ และส่งผลให้ปัญหาซับไพร์มรุนแรง ซึ่งยังเป็นสิ่งที่ต้องจับตามอง
นายธีระชัย แนะว่า นักลงทุนควรต้องติดตามมาตรการของธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด) โดยเฉพาะการประชุมในวันที่ 18 ก.ย.นี้ เฟดจะมีมาตรการบรรเทาปัญหาได้มากน้อยแค่ไหน และคงจะมีผลต่อภาวะการลงทุนในตลาดหุ้นทั่วโลก ซึ่งหากปัญหาซับไพรม์รุนแรงอีกครั้ง บรรดากองทุนเก็งกำไรจะมีการเทขายทำกำไรในตลาดหุ้นเกิดใหม่และไทยอีก
นายธีระชัย กล่าวอีกว่า เนื่องจากธนาคารพาณิชย์ไทย 4 แห่งเข้าไปลงทุนในตราสารหนี้ที่มีหลักทรัพย์อ้างอิง หรือซีดีโอ และ 1 แห่งที่ไปลงทุนในซับไพรม์ ดังนั้น ก.ล.ต.จึงมีหนังสือเวียนและเข้าไปตรวจสอบการบันทึกบัญชีของสถาบันการเงิน เพื่อให้มีการบันทึกราคาเฉลี่ยที่เป็นกลาง ไม่สูงหรือต่ำเกินไป จนสร้างความไม่เป็นธรรมให้แก่ผู้ถือหุ้นในปัจจุบันและอนาคต
ทั้งนี้ ก.ล.ต.พบว่า มีสถาบันการเงินบางแห่งที่บันทึกบัญชีตามสูตรคำนวณของตัวเอง และอาจทำให้ราคาที่บันทึกไม่สะท้อนความเป็นจริง โดย ก.ล.ต. ได้ทำหนังสือขอข้อมูลจากต่างประเทศ 3 แหล่ง คือ บริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือ บริษัทผู้สอบบัญชี และ ก.ล.ต. เพื่อขอทราบวิธีการบันทึกบัญชีสำหรับสถาบันการเงินในต่างประเทศที่ลงทุนในซับไพรม์
เลขาธิการ ก.ล.ต. กล่าวว่า นางธาริษา วัฒนเกส ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) แจ้งสำนักงาน ก.ล.ต. ว่า ธปท. ไม่อนุมัติผ่อนผันการกันสำรองร้อยละ 30 สำหรับเงินลงทุนต่างชาติที่จะเข้ามาลงทุนในกองทุนอีทีเอฟ ที่จะเปิดวันที่ 6 กันยายนนี้ เนื่องจากพิจารณาแล้วเห็นว่ากองทุนอีทีเอฟ เป็นกองทุนรวมรูปแบบหนึ่ง หากอนุญาตกองทุนรวมประเภทอื่นก็จะยื่นเรื่องขอผ่อนผัน และ ธปท. เชื่อว่านักลงทุนต่างชาติจะสนใจลงทุนในอีทีเอฟ ซึ่งจะทำให้มีเม็ดเงินต่างชาติไหลเข้ามาจำนวนมาก และทำให้ค่าเงินบาทผันผวน แต่ ก.ล.ต. ก็จะหารือกับ ธปท. อีกครั้ง เพื่อขอให้มีการผ่อนผัน เพราะมองว่าอีทีเอฟ เป็นหุ้นประเภทหนึ่ง จึงน่าจะไม่ต้องกันสำรองร้อยละ 30
ส่วนการที่ ธปท. อนุมัติเงินลงทุน 10,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อให้นักลงทุนไทยไปลงทุนต่างประเทศนั้น ก.ล.ต.จะมีการประชุมบอร์ดในเดือนนี้ เพื่อจัดสรรเงินลงทุนให้กับผู้ลงทุนประเภทต่าง ๆ รวมทั้งจะหารือเพื่อขอให้ ธปท.อนุญาตให้ผู้ลงทุนทั่วไปสามารถไปลงทุนต่างประเทศโดยตรงไม่ต้องผ่านกองทุนส่วนบุคคล เพื่อลดค่าใช้จ่าย โดยให้บุคคลธรรมดาและมูลนิธิสามารถลงทุนได้ในหุ้นจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ต่างประเทศ อาทิ สิงคโปร์ ลอนดอน สหรัฐ และพันธบัตรที่ออกโดยประเทศต่างๆ ซึ่งถือเป็นหลักทรัพย์ที่วิเคราะห์ความเสี่ยงได้เอง ซึ่ง ก.ล.ต. จะนำเรื่องนี้หารือกับ ธปท. อีกครั้ง
http://www.manager.co.th/StockMarket/Vi ... 0000103655
โดย ผู้จัดการออนไลน์ 3 กันยายน 2550 14:14 น.
ก.ล.ต. ตรวจเข้มสถาบันการเงินลงบัญชี หวั่นปัญหากระทบจากซับไพรม์ ลามสถาบันการเงินไทย 4 แห่งที่เข้าไปลงทุนในซีดีโอ หลังตรวจพบการบันทึกบัญชีตามสูตรของตัวเอง อาจทำให้การประเมินไม่สะท้อนความเป็นจริง เตรียมหารือ ธปท. อีกครั้ง เกี่ยวกับการกันสำรองร้อยละ 30 สำหรับกองทุนอีทีเอฟ ที่กำลังจะเริ่มต้น 6 ก.ย.นี้
วันนี้(3 ส.ค.) นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล เลขาธิการคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) กล่าวแสดงความกังวลเกี่ยวกับปัญหาสินเชื่อด้อยคุณภาพของสหรัฐ(ซับไพรม์) เชื่อว่า ยังมีความเสี่ยง เพราะเนื่องจากในปี 2551 ผู้กู้รายย่อยในสหรัฐที่กู้สินเชื่อซับไพรม์จะต้องจ่ายอัตราดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 1 เป็นร้อยละ 4-5 ทำให้บางรายอาจจะไม่มีความสามารถในการผ่อนชำระหนี้ และส่งผลให้ปัญหาซับไพร์มรุนแรง ซึ่งยังเป็นสิ่งที่ต้องจับตามอง
นายธีระชัย แนะว่า นักลงทุนควรต้องติดตามมาตรการของธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด) โดยเฉพาะการประชุมในวันที่ 18 ก.ย.นี้ เฟดจะมีมาตรการบรรเทาปัญหาได้มากน้อยแค่ไหน และคงจะมีผลต่อภาวะการลงทุนในตลาดหุ้นทั่วโลก ซึ่งหากปัญหาซับไพรม์รุนแรงอีกครั้ง บรรดากองทุนเก็งกำไรจะมีการเทขายทำกำไรในตลาดหุ้นเกิดใหม่และไทยอีก
นายธีระชัย กล่าวอีกว่า เนื่องจากธนาคารพาณิชย์ไทย 4 แห่งเข้าไปลงทุนในตราสารหนี้ที่มีหลักทรัพย์อ้างอิง หรือซีดีโอ และ 1 แห่งที่ไปลงทุนในซับไพรม์ ดังนั้น ก.ล.ต.จึงมีหนังสือเวียนและเข้าไปตรวจสอบการบันทึกบัญชีของสถาบันการเงิน เพื่อให้มีการบันทึกราคาเฉลี่ยที่เป็นกลาง ไม่สูงหรือต่ำเกินไป จนสร้างความไม่เป็นธรรมให้แก่ผู้ถือหุ้นในปัจจุบันและอนาคต
ทั้งนี้ ก.ล.ต.พบว่า มีสถาบันการเงินบางแห่งที่บันทึกบัญชีตามสูตรคำนวณของตัวเอง และอาจทำให้ราคาที่บันทึกไม่สะท้อนความเป็นจริง โดย ก.ล.ต. ได้ทำหนังสือขอข้อมูลจากต่างประเทศ 3 แหล่ง คือ บริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือ บริษัทผู้สอบบัญชี และ ก.ล.ต. เพื่อขอทราบวิธีการบันทึกบัญชีสำหรับสถาบันการเงินในต่างประเทศที่ลงทุนในซับไพรม์
เลขาธิการ ก.ล.ต. กล่าวว่า นางธาริษา วัฒนเกส ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) แจ้งสำนักงาน ก.ล.ต. ว่า ธปท. ไม่อนุมัติผ่อนผันการกันสำรองร้อยละ 30 สำหรับเงินลงทุนต่างชาติที่จะเข้ามาลงทุนในกองทุนอีทีเอฟ ที่จะเปิดวันที่ 6 กันยายนนี้ เนื่องจากพิจารณาแล้วเห็นว่ากองทุนอีทีเอฟ เป็นกองทุนรวมรูปแบบหนึ่ง หากอนุญาตกองทุนรวมประเภทอื่นก็จะยื่นเรื่องขอผ่อนผัน และ ธปท. เชื่อว่านักลงทุนต่างชาติจะสนใจลงทุนในอีทีเอฟ ซึ่งจะทำให้มีเม็ดเงินต่างชาติไหลเข้ามาจำนวนมาก และทำให้ค่าเงินบาทผันผวน แต่ ก.ล.ต. ก็จะหารือกับ ธปท. อีกครั้ง เพื่อขอให้มีการผ่อนผัน เพราะมองว่าอีทีเอฟ เป็นหุ้นประเภทหนึ่ง จึงน่าจะไม่ต้องกันสำรองร้อยละ 30
ส่วนการที่ ธปท. อนุมัติเงินลงทุน 10,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อให้นักลงทุนไทยไปลงทุนต่างประเทศนั้น ก.ล.ต.จะมีการประชุมบอร์ดในเดือนนี้ เพื่อจัดสรรเงินลงทุนให้กับผู้ลงทุนประเภทต่าง ๆ รวมทั้งจะหารือเพื่อขอให้ ธปท.อนุญาตให้ผู้ลงทุนทั่วไปสามารถไปลงทุนต่างประเทศโดยตรงไม่ต้องผ่านกองทุนส่วนบุคคล เพื่อลดค่าใช้จ่าย โดยให้บุคคลธรรมดาและมูลนิธิสามารถลงทุนได้ในหุ้นจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ต่างประเทศ อาทิ สิงคโปร์ ลอนดอน สหรัฐ และพันธบัตรที่ออกโดยประเทศต่างๆ ซึ่งถือเป็นหลักทรัพย์ที่วิเคราะห์ความเสี่ยงได้เอง ซึ่ง ก.ล.ต. จะนำเรื่องนี้หารือกับ ธปท. อีกครั้ง
http://www.manager.co.th/StockMarket/Vi ... 0000103655
-
- Verified User
- โพสต์: 497
- ผู้ติดตาม: 0
อุตสาหกรรมการเงินการธนาคาร
โพสต์ที่ 147
หวั่นสินเชื่อบุคคลทำศก.พัง "แบงก์ชาติ" ชี้ทุนหาย-กำไรหด หนี้ท่วมหัว
ธปท.ชี้ผู้ประกอบการธุรกิจสินเชื่อบุคคลเริ่มแย่เห็นได้รับกำไรแค่ 5.8% ต่อปี ในช่วงสิ้นปีก่อน และแนวโน้มกำไรลดลงเรื่อยๆ ขณะเดียวกันหนี้ท่วมถึง 40-50% จนต้องมีการตั้งสำรองให้ภาพธุรกิจสวยหรู โวจะออกกฎอะไรออกมาธปท.พร้อมอยู่แล้ว เพราะมีการศึกษาเรื่องนี้นาน แต่ไม่ต้องการออกแค่กระดาษใบเดียว แต่สุดท้ายปฏิบัติไม่ได้ มั่นใจจะออกกฎให้ผู้ใช้กฎและผู้บริโภคในระบบไม่กระทบ
แหล่งข่าวจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า จากผลสำรวจของสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) ระบุว่า กำไรของผู้ประกอบการธุรกิจสินเชื่อบุคคลในสิ้นปีก่อนอยู่ที่ 5.8% เมื่อเทียบกับการลงทุนไปทั้ง 100% ซึ่งในปัจจุบันก็ลดลงเรื่อยๆ เนื่องจากบริษัทเหล่านี้ต่างมีต้นทุนจากการดำเนินธุรกิจ รวมถึงการติดตั้งระบบไอทีไว้คอยให้บริการด้วย ขณะเดียวกันจากการสำรวจของ ธปท.พบว่า หนี้ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) ของลูกหนี้กลุ่มนี้มีมากขึ้นถึง 40-50% แต่ที่ไม่เห็นปรากฎในงบดุล เนื่องจากมีการตั้งสำรองหนี้สูญสำหรับหนี้ก้อนนั้น เพื่อรองรับความเสี่ยงที่เกิดขึ้นแทน ทำให้ภาพรวมของธุรกิจนี้ยังเป็นภาพที่ดีอยู่ แต่ในความเป็นจริงไม่ใช่
ส่วนกรณีที่ทางมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค ชมรมหนี้บัตรเครดิตและสินเชื่อบุคคลได้ยื่นหนังสือเรียกร้องให้ธปท.มีการให้ยกเลิกดอกเบี้ยสินเชื่อส่วนบุคคล 28% และปรับลดอัตราดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียม รวมทั้งเกณฑ์ผ่อนชำระหนี้ขั้นต่ำ 10% รวมทั้งให้ธปท.ออกมาตรการมาดูแลการติดตามทวงหนี้ของผู้ให้บริการนั้น ขณะนี้ในเรื่องดังกล่าวได้นำเสนอเรื่องนี้ให้แก่นางธาริษา วัฒนเกส ผู้ว่าการธปท. เรียบร้อยแล้ว
แบงก์ชาติมีความพร้อมอยู่นานแล้ว เพราะเราได้ศึกษาเรื่องเหล่านี้เป็นเวลานานแล้ว มีข้อมูลพอสมควร แต่เราไม่อยากทำอะไรแค่กระดาษเท่านั้น เขียนไปก่อน แต่ตรวจสอบไม่ได้ เราจึงต้องศึกษาให้ละเอียด เพื่อให้ยุติธรรมทั้งฝ่ายลูกหนี้ คือ ประชาชนทั่วไป และฝ่ายเจ้าหนี้อย่างผู้ประกอบการเองด้วย
ส่วนกรณีของการทวงหนี้โหดนั้น ธปท.ได้ติดตามการกระทำดังกล่าวมาตลอด และได้มีการพิจารณาถึงอำนาจที่ ธปท.มี และสามารถดำเนินการได้จริงตามกฎหมายที่มีอยู่ ซึ่งหากเป็นไปตาม พ.ร.บ.ธนาคารพาณิชย์ และกฎหมายการเงินอื่นๆ ที่มีอยู่เป็นอำนาจที่ ธปท.มีเป็นเรื่อง การผูกขาดและตัดตอนทางการเงิน แต่ไม่ถึงกับชัดเจนว่า ถ้าจะดำเนินการแล้ว สามารถครอบคลุมได้มากแค่ไหน และหากออกเกณฑ์ไปแล้วจะมีผลทางปฎิบัติ สามารถป้องกันการกระทำความผิดได้มากน้อยเพียงใด
อย่างไรก็ตามในขณะนี้ หาก ธปท.จะออกเกณฑ์อะไรออกมา ก็จะเป็นได้ในลักษณะแนวทางปฎิบัติหรือไกไลน์ให้แก่ธนาคารพาณิชย์ผู้ออกบัตร และนอนแบงก์ควรจะปฎิบัติเท่านั้น แต่เมื่อร่าง พ.ร.บ.สถาบันการเงิน ฉบับใหม่ผ่านการพิจารณาของ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) จะทำให้การดูแลผู้บริโภคของ ธปท.สามารถทำได้ดียิ่งขึ้น ซึ่งจะครอบคลุมในเรื่องการทวงหนี้ และเรื่องที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชน และผู้ค้ำประกันในเรื่องอื่นๆ ด้วย หาก พ.ร.บ.จะออกกฎมาเพื่อดูแลผู้บริโภค ในเรื่องการทวงหนี้โหด และเรื่องอื่นๆ ทำได้อย่างชัดเจน และมีผลในทางกฎหมายมากยิ่งขึ้น
โดยก่อนหน้านี้ นายเกริก ได้เสวนาในหัวข้อ ปัญหาดอกเบี้ยโหดของสินเชื่อส่วนบุคคลและบัตรเครดิต ซึ่งจัดขึ้นโดยมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค ชมรมหนี้บัตรเครดิตและสินเชื่อบุคคล วารสารฉลาดซื้อ และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ(สสส.) ว่า หากมีการจำกัดสิทธิผู้ประกอบการสถาบันการเงินมากเกินไปอาจจะส่งผลให้ไม่กล้าปล่อยกู้ให้แก่ประชาชนทั่วไปได้ และหากเป็นเช่นนี้ก็ยิ่งทำให้ประชาชนไม่สามารถเข้าถึงบริการของสถาบันการเงินได้ และหันกลับไปพึ่งพาเงินกู้นอกระบบมากขึ้น ในส่วนของธปท.เข้าใจดีว่า ประชาชนส่วนใหญ่ก็มีความจำเป็นที่ต้องการเงินทุนแตกต่างกัน แต่ประชาชนควรมีการบริหารจัดการที่ดีด้วย โดยไม่ควรมีภาระรายจ่ายที่เกิดจากหนี้ รวมทั้งเงินต้นและดอกเบี้ยไม่ควรเกิน 1 ใน 3 หรือประมาณ 30%ของรายได้สุทธิในแต่ละเดือน
แม้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์กำหนดให้คิดอัตราดอกเบี้ยไม่เกิน 15% แต่กฎหมายเปิดให้โรงรับจำนำคิดดอกเบี้ยได้ถึง 24% ทั้งที่มีหลักประกันเป็นทรัพย์สินที่นำมาจำนำไว้ ซึ่งเฉลี่ยคิดเป็นรายเดือนประมาณ 2% แต่สินเชื่อนอกระบบมีการคิดอัตราดอกเบี้ยถึง 5-10%ต่อเดือน ถือว่าแตกต่างกันมาก นอกจากนี้กรณีที่ธนาคารเกษตรและสหกรณ์การเกษตรเปิดให้ลงทะเบียนคนจนที่มีปัญหาหนี้นอกระบบมีจำนวนทั้งสิ้น 8.7 แสนราย แต่มีเกษตรกรที่ขอความช่วยเหลือจริงแค่ 1.1 แสนรายเท่านั้น หรือคิดเป็น 10% เพราะเป็นหนี้ระหว่างเครือญาติที่คิดดอกเบี้ยประมาณ 2-3%
สำหรับกรณีมีการเสนอให้โอนธุรกิจนอนแบงก์จากที่อยู่ในความดูแลของกระทรวงพาณิชย์นั้นมาอยู่ในความดูแลของธปท.นั้นคงทำไม่ได้ เนื่องจากบริษัทเหล่านี้ต้องมีการจดทะเบียนจัดตั้งเป็นบริษัท จึงต้องทำตามกฎเกณฑ์ของกระทรวงพาณิชย์เท่านั้น อย่างไรก็ตาม แม้กฎเกณฑ์ที่ออกมาควบคุมดูแลการดำเนินธุรกิจบัตรเครดิตหรือสินเชื่อบุคคลก็เป็นแค่แนวทางให้กลุ่มนอนแบงก์ควรจะปฎิบัติเท่านั้น ซึ่งไม่สามารถสั่งหรือบังคับให้ปฏิบัติได้ตามเกณฑ์ของธปท.เหมือนอย่างธุรกิจธนาคารพาณิชย์ได้
ธปท.ชี้ผู้ประกอบการธุรกิจสินเชื่อบุคคลเริ่มแย่เห็นได้รับกำไรแค่ 5.8% ต่อปี ในช่วงสิ้นปีก่อน และแนวโน้มกำไรลดลงเรื่อยๆ ขณะเดียวกันหนี้ท่วมถึง 40-50% จนต้องมีการตั้งสำรองให้ภาพธุรกิจสวยหรู โวจะออกกฎอะไรออกมาธปท.พร้อมอยู่แล้ว เพราะมีการศึกษาเรื่องนี้นาน แต่ไม่ต้องการออกแค่กระดาษใบเดียว แต่สุดท้ายปฏิบัติไม่ได้ มั่นใจจะออกกฎให้ผู้ใช้กฎและผู้บริโภคในระบบไม่กระทบ
แหล่งข่าวจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า จากผลสำรวจของสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) ระบุว่า กำไรของผู้ประกอบการธุรกิจสินเชื่อบุคคลในสิ้นปีก่อนอยู่ที่ 5.8% เมื่อเทียบกับการลงทุนไปทั้ง 100% ซึ่งในปัจจุบันก็ลดลงเรื่อยๆ เนื่องจากบริษัทเหล่านี้ต่างมีต้นทุนจากการดำเนินธุรกิจ รวมถึงการติดตั้งระบบไอทีไว้คอยให้บริการด้วย ขณะเดียวกันจากการสำรวจของ ธปท.พบว่า หนี้ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) ของลูกหนี้กลุ่มนี้มีมากขึ้นถึง 40-50% แต่ที่ไม่เห็นปรากฎในงบดุล เนื่องจากมีการตั้งสำรองหนี้สูญสำหรับหนี้ก้อนนั้น เพื่อรองรับความเสี่ยงที่เกิดขึ้นแทน ทำให้ภาพรวมของธุรกิจนี้ยังเป็นภาพที่ดีอยู่ แต่ในความเป็นจริงไม่ใช่
ส่วนกรณีที่ทางมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค ชมรมหนี้บัตรเครดิตและสินเชื่อบุคคลได้ยื่นหนังสือเรียกร้องให้ธปท.มีการให้ยกเลิกดอกเบี้ยสินเชื่อส่วนบุคคล 28% และปรับลดอัตราดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียม รวมทั้งเกณฑ์ผ่อนชำระหนี้ขั้นต่ำ 10% รวมทั้งให้ธปท.ออกมาตรการมาดูแลการติดตามทวงหนี้ของผู้ให้บริการนั้น ขณะนี้ในเรื่องดังกล่าวได้นำเสนอเรื่องนี้ให้แก่นางธาริษา วัฒนเกส ผู้ว่าการธปท. เรียบร้อยแล้ว
แบงก์ชาติมีความพร้อมอยู่นานแล้ว เพราะเราได้ศึกษาเรื่องเหล่านี้เป็นเวลานานแล้ว มีข้อมูลพอสมควร แต่เราไม่อยากทำอะไรแค่กระดาษเท่านั้น เขียนไปก่อน แต่ตรวจสอบไม่ได้ เราจึงต้องศึกษาให้ละเอียด เพื่อให้ยุติธรรมทั้งฝ่ายลูกหนี้ คือ ประชาชนทั่วไป และฝ่ายเจ้าหนี้อย่างผู้ประกอบการเองด้วย
ส่วนกรณีของการทวงหนี้โหดนั้น ธปท.ได้ติดตามการกระทำดังกล่าวมาตลอด และได้มีการพิจารณาถึงอำนาจที่ ธปท.มี และสามารถดำเนินการได้จริงตามกฎหมายที่มีอยู่ ซึ่งหากเป็นไปตาม พ.ร.บ.ธนาคารพาณิชย์ และกฎหมายการเงินอื่นๆ ที่มีอยู่เป็นอำนาจที่ ธปท.มีเป็นเรื่อง การผูกขาดและตัดตอนทางการเงิน แต่ไม่ถึงกับชัดเจนว่า ถ้าจะดำเนินการแล้ว สามารถครอบคลุมได้มากแค่ไหน และหากออกเกณฑ์ไปแล้วจะมีผลทางปฎิบัติ สามารถป้องกันการกระทำความผิดได้มากน้อยเพียงใด
อย่างไรก็ตามในขณะนี้ หาก ธปท.จะออกเกณฑ์อะไรออกมา ก็จะเป็นได้ในลักษณะแนวทางปฎิบัติหรือไกไลน์ให้แก่ธนาคารพาณิชย์ผู้ออกบัตร และนอนแบงก์ควรจะปฎิบัติเท่านั้น แต่เมื่อร่าง พ.ร.บ.สถาบันการเงิน ฉบับใหม่ผ่านการพิจารณาของ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) จะทำให้การดูแลผู้บริโภคของ ธปท.สามารถทำได้ดียิ่งขึ้น ซึ่งจะครอบคลุมในเรื่องการทวงหนี้ และเรื่องที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชน และผู้ค้ำประกันในเรื่องอื่นๆ ด้วย หาก พ.ร.บ.จะออกกฎมาเพื่อดูแลผู้บริโภค ในเรื่องการทวงหนี้โหด และเรื่องอื่นๆ ทำได้อย่างชัดเจน และมีผลในทางกฎหมายมากยิ่งขึ้น
โดยก่อนหน้านี้ นายเกริก ได้เสวนาในหัวข้อ ปัญหาดอกเบี้ยโหดของสินเชื่อส่วนบุคคลและบัตรเครดิต ซึ่งจัดขึ้นโดยมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค ชมรมหนี้บัตรเครดิตและสินเชื่อบุคคล วารสารฉลาดซื้อ และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ(สสส.) ว่า หากมีการจำกัดสิทธิผู้ประกอบการสถาบันการเงินมากเกินไปอาจจะส่งผลให้ไม่กล้าปล่อยกู้ให้แก่ประชาชนทั่วไปได้ และหากเป็นเช่นนี้ก็ยิ่งทำให้ประชาชนไม่สามารถเข้าถึงบริการของสถาบันการเงินได้ และหันกลับไปพึ่งพาเงินกู้นอกระบบมากขึ้น ในส่วนของธปท.เข้าใจดีว่า ประชาชนส่วนใหญ่ก็มีความจำเป็นที่ต้องการเงินทุนแตกต่างกัน แต่ประชาชนควรมีการบริหารจัดการที่ดีด้วย โดยไม่ควรมีภาระรายจ่ายที่เกิดจากหนี้ รวมทั้งเงินต้นและดอกเบี้ยไม่ควรเกิน 1 ใน 3 หรือประมาณ 30%ของรายได้สุทธิในแต่ละเดือน
แม้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์กำหนดให้คิดอัตราดอกเบี้ยไม่เกิน 15% แต่กฎหมายเปิดให้โรงรับจำนำคิดดอกเบี้ยได้ถึง 24% ทั้งที่มีหลักประกันเป็นทรัพย์สินที่นำมาจำนำไว้ ซึ่งเฉลี่ยคิดเป็นรายเดือนประมาณ 2% แต่สินเชื่อนอกระบบมีการคิดอัตราดอกเบี้ยถึง 5-10%ต่อเดือน ถือว่าแตกต่างกันมาก นอกจากนี้กรณีที่ธนาคารเกษตรและสหกรณ์การเกษตรเปิดให้ลงทะเบียนคนจนที่มีปัญหาหนี้นอกระบบมีจำนวนทั้งสิ้น 8.7 แสนราย แต่มีเกษตรกรที่ขอความช่วยเหลือจริงแค่ 1.1 แสนรายเท่านั้น หรือคิดเป็น 10% เพราะเป็นหนี้ระหว่างเครือญาติที่คิดดอกเบี้ยประมาณ 2-3%
สำหรับกรณีมีการเสนอให้โอนธุรกิจนอนแบงก์จากที่อยู่ในความดูแลของกระทรวงพาณิชย์นั้นมาอยู่ในความดูแลของธปท.นั้นคงทำไม่ได้ เนื่องจากบริษัทเหล่านี้ต้องมีการจดทะเบียนจัดตั้งเป็นบริษัท จึงต้องทำตามกฎเกณฑ์ของกระทรวงพาณิชย์เท่านั้น อย่างไรก็ตาม แม้กฎเกณฑ์ที่ออกมาควบคุมดูแลการดำเนินธุรกิจบัตรเครดิตหรือสินเชื่อบุคคลก็เป็นแค่แนวทางให้กลุ่มนอนแบงก์ควรจะปฎิบัติเท่านั้น ซึ่งไม่สามารถสั่งหรือบังคับให้ปฏิบัติได้ตามเกณฑ์ของธปท.เหมือนอย่างธุรกิจธนาคารพาณิชย์ได้
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news04/09/07
โพสต์ที่ 148
ธนชาตขึ้นฝากสวนทางดอกต่ำ
โพสต์ทูเดย์ แบงก์ธนชาตสวนกระแสดอกเบี้ยขาลง ปรับขึ้นดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 3 เดือน 0.25-0.375% เอชเอสบีซีเปิดศึกกวาดลูกค้าขาใหญ่
นายประพันธ์ อนุพงษ์องอาจ ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานพัฒนาผลิตภัณฑ์ธนาคารธนชาต (TBANK) กล่าวว่า เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันและเพิ่มทางเลือกให้กับ ผู้ฝากเงินธนาคารได้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 3 เดือนอีก 0.25-0.375% จากเดิม 2.252.375% เป็น 2.625% ทุกวงเงิน โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 3 ก.ย. 2550 เป็นต้นไป
การปรับอัตราดอกเบี้ยเงินฝากให้อยู่เทียบเท่าหรือสูงกว่ากลุ่มธนาคารพาณิชย์ ที่ให้อัตราดอกเบี้ยเงินฝากอยู่ในระดับสูงของธนาคารธนชาต เพื่อต้องการตอกย้ำถึงนโยบายในการทำตลาดเชิงรุกด้านธุรกิจเงินฝาก นายประพันธ์ กล่าว
สำหรับอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประเภทอื่นๆ ยังคงอยู่ในอัตราเดิม คือ เงินฝากออมทรัพย์มีระดับอัตราดอกเบี้ย 2.00-2.20% เงินฝากประจำ 6 เดือน อัตราดอกเบี้ย 2.25-2.375%
เงินฝากประจำ 12 เดือน อัตราดอกเบี้ย 2.50-2.625% เงินฝากประจำพิเศษ 9 เดือน อัตราดอกเบี้ย 2.50% และเงินฝากประจำพิเศษ 15 เดือน อัตราดอกเบี้ย 2.75%
ด้านนายวิชิต พยุหนาวีชัย ผู้อำนวยการบริหาร ฝ่ายบุคคลธนกิจ ธนาคาร HSBC กล่าวว่า ธนาคาร กำลังเจาะตลาดลูกค้าเงินฝากระดับพรีเมียร์ ซึ่งเป็นลูกค้าที่ฝากเงินตั้งแต่ 3 ล้านบาทขึ้นไป หรือมีพอร์ตลงทุน กับธนาคาร 3 ล้านบาทขึ้นไป เพราะ เป็นลูกค้าที่มีศักยภาพ แม้จะมี สัดส่วนเพียง 20% ของพอร์ตเงินฝากและลงทุน แต่สามารถสร้างรายได้ ให้ถึง 80% ของรายได้ทั้งหมด
ทั้งนี้ ธนาคารตั้งเป้าหมายขยายฐานลูกค้ากลุ่มนี้ให้เติบโต 100% ใน สิ้นปี และเติบโต 250% ใน 3 ปี เพราะจากการสำรวจพบว่ามีลูกค้ากลุ่มนี้เกือบ 2 แสนคนในประเทศไทย จากกลุ่มเป้าหมาย 200 ล้านคน ทั่วโลก
กลยุทธ์ในการขยายตลาดคือใช้เครือข่ายศูนย์บริการลูกค้าพรีเมียร์ 250 แห่ง จาก 35 ประเทศทั่วโลก และสาขาที่มีกว่า 6 พันแห่งทั่วโลก ให้บริการลูกค้า ไม่ว่าจะมาจากประเทศใดในมาตรฐานเดียวกัน และมีทีมผู้จัดการการเงิน 5 พันคน ส่วนบุคคลคอยให้บริการ เฉพาะในประเทศไทยมี 47 คน ซึ่งยังไม่ได้คิดค่าธรรมเนียมของการเป็นที่ปรึกษาดังเช่นในต่างประเทศ
นอกจากนี้ มีเอทีเอ็มให้บริการโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย พร้อมกับศูนย์บริการลูกค้าทางโทรศัพท์ 24 ชั่วโมง
แบงก์พาณิชย์ของไทยอาจจะมีฐานลูกค้าเงินฝากรายใหญ่หลายราย แต่ก็ยังไม่ได้ทำธุรกิจลูกค้าบุคคล ธนกิจอย่างจริงจัง เพราะถ้าเป็นลูกค้า ไพรเวต แบงกิง จริงๆ ต้องมีเงินฝาก 100 ล้านบาทขึ้นไป ขณะนี้มีเพียงแบงก์ต่างชาติ 2-3 ราย ที่รุกลูกค้าเงินฝากรายใหญ่ และแต่ละรายทำธุรกิจ นี้มาพร้อมๆ กัน คือประมาณ 4 ปีที่แล้ว จึงมีส่วนแบ่งตลาดใกล้เคียงกัน ซึ่งเราก็คิดว่าจะแย่งลูกค้ามาจากแบงก์ในประเทศได้บ้าง นายวิชิต กล่าว
นายวิชิต กล่าวว่า ปัจจุบัน 50% ของลูกค้าระดับบนหันไปลงทุนผ่าน ตั๋วแลกเงินหรือกองทุนรวมมากขึ้น เพิ่มขึ้นจากก่อนหน้านี้ที่มีไม่ถึง 20% เพราะเดิมทีลูกค้ามากกว่า 80% นิยมความเสี่ยงต่ำ จึงนำเงินมาฝากไว้เฉยๆ สะท้อนว่าลูกค้ามีความรู้ ความเข้าใจมากขึ้น และต้องการผลตอบแทนมากขึ้น เช่น ตั๋วแลกเงิน ที่ให้ผลตอบแทนมากกว่าเงินฝาก 0.3-0.5% แต่มีความเสี่ยงกว่าฝากเงินไม่มาก
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=189283
โพสต์ทูเดย์ แบงก์ธนชาตสวนกระแสดอกเบี้ยขาลง ปรับขึ้นดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 3 เดือน 0.25-0.375% เอชเอสบีซีเปิดศึกกวาดลูกค้าขาใหญ่
นายประพันธ์ อนุพงษ์องอาจ ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานพัฒนาผลิตภัณฑ์ธนาคารธนชาต (TBANK) กล่าวว่า เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันและเพิ่มทางเลือกให้กับ ผู้ฝากเงินธนาคารได้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 3 เดือนอีก 0.25-0.375% จากเดิม 2.252.375% เป็น 2.625% ทุกวงเงิน โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 3 ก.ย. 2550 เป็นต้นไป
การปรับอัตราดอกเบี้ยเงินฝากให้อยู่เทียบเท่าหรือสูงกว่ากลุ่มธนาคารพาณิชย์ ที่ให้อัตราดอกเบี้ยเงินฝากอยู่ในระดับสูงของธนาคารธนชาต เพื่อต้องการตอกย้ำถึงนโยบายในการทำตลาดเชิงรุกด้านธุรกิจเงินฝาก นายประพันธ์ กล่าว
สำหรับอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประเภทอื่นๆ ยังคงอยู่ในอัตราเดิม คือ เงินฝากออมทรัพย์มีระดับอัตราดอกเบี้ย 2.00-2.20% เงินฝากประจำ 6 เดือน อัตราดอกเบี้ย 2.25-2.375%
เงินฝากประจำ 12 เดือน อัตราดอกเบี้ย 2.50-2.625% เงินฝากประจำพิเศษ 9 เดือน อัตราดอกเบี้ย 2.50% และเงินฝากประจำพิเศษ 15 เดือน อัตราดอกเบี้ย 2.75%
ด้านนายวิชิต พยุหนาวีชัย ผู้อำนวยการบริหาร ฝ่ายบุคคลธนกิจ ธนาคาร HSBC กล่าวว่า ธนาคาร กำลังเจาะตลาดลูกค้าเงินฝากระดับพรีเมียร์ ซึ่งเป็นลูกค้าที่ฝากเงินตั้งแต่ 3 ล้านบาทขึ้นไป หรือมีพอร์ตลงทุน กับธนาคาร 3 ล้านบาทขึ้นไป เพราะ เป็นลูกค้าที่มีศักยภาพ แม้จะมี สัดส่วนเพียง 20% ของพอร์ตเงินฝากและลงทุน แต่สามารถสร้างรายได้ ให้ถึง 80% ของรายได้ทั้งหมด
ทั้งนี้ ธนาคารตั้งเป้าหมายขยายฐานลูกค้ากลุ่มนี้ให้เติบโต 100% ใน สิ้นปี และเติบโต 250% ใน 3 ปี เพราะจากการสำรวจพบว่ามีลูกค้ากลุ่มนี้เกือบ 2 แสนคนในประเทศไทย จากกลุ่มเป้าหมาย 200 ล้านคน ทั่วโลก
กลยุทธ์ในการขยายตลาดคือใช้เครือข่ายศูนย์บริการลูกค้าพรีเมียร์ 250 แห่ง จาก 35 ประเทศทั่วโลก และสาขาที่มีกว่า 6 พันแห่งทั่วโลก ให้บริการลูกค้า ไม่ว่าจะมาจากประเทศใดในมาตรฐานเดียวกัน และมีทีมผู้จัดการการเงิน 5 พันคน ส่วนบุคคลคอยให้บริการ เฉพาะในประเทศไทยมี 47 คน ซึ่งยังไม่ได้คิดค่าธรรมเนียมของการเป็นที่ปรึกษาดังเช่นในต่างประเทศ
นอกจากนี้ มีเอทีเอ็มให้บริการโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย พร้อมกับศูนย์บริการลูกค้าทางโทรศัพท์ 24 ชั่วโมง
แบงก์พาณิชย์ของไทยอาจจะมีฐานลูกค้าเงินฝากรายใหญ่หลายราย แต่ก็ยังไม่ได้ทำธุรกิจลูกค้าบุคคล ธนกิจอย่างจริงจัง เพราะถ้าเป็นลูกค้า ไพรเวต แบงกิง จริงๆ ต้องมีเงินฝาก 100 ล้านบาทขึ้นไป ขณะนี้มีเพียงแบงก์ต่างชาติ 2-3 ราย ที่รุกลูกค้าเงินฝากรายใหญ่ และแต่ละรายทำธุรกิจ นี้มาพร้อมๆ กัน คือประมาณ 4 ปีที่แล้ว จึงมีส่วนแบ่งตลาดใกล้เคียงกัน ซึ่งเราก็คิดว่าจะแย่งลูกค้ามาจากแบงก์ในประเทศได้บ้าง นายวิชิต กล่าว
นายวิชิต กล่าวว่า ปัจจุบัน 50% ของลูกค้าระดับบนหันไปลงทุนผ่าน ตั๋วแลกเงินหรือกองทุนรวมมากขึ้น เพิ่มขึ้นจากก่อนหน้านี้ที่มีไม่ถึง 20% เพราะเดิมทีลูกค้ามากกว่า 80% นิยมความเสี่ยงต่ำ จึงนำเงินมาฝากไว้เฉยๆ สะท้อนว่าลูกค้ามีความรู้ ความเข้าใจมากขึ้น และต้องการผลตอบแทนมากขึ้น เช่น ตั๋วแลกเงิน ที่ให้ผลตอบแทนมากกว่าเงินฝาก 0.3-0.5% แต่มีความเสี่ยงกว่าฝากเงินไม่มาก
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=189283
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news05/09/07
โพสต์ที่ 149
จัดระเบียบก๊วนทวงหนี้
โพสต์ทูเดย์ ธปท.ยอมจัดระเบียบการติดตามหนี้ใหม่ วางแนวทางปฏิบัติคุมการทวงหนี้รุนแรง พูดจาไม่สุภาพ แต่ไม่ลดดอกเหลือ 15%
นายเกริก วณิกกุล ผู้ช่วยผู้ว่าการสายนโยบายสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า ภายในสัปดาห์หน้าจะเห็นเค้าโครงของแนวทางการปฏิบัติ หรือไกด์ไลน์ที่จะให้ทางผู้ประกอบการธุรกิจสินเชื่อบัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคล ซึ่งเป็นธนาคารพาณิชย์และสถาบันการเงินที่ไม่ใช่ธนาคารพาณิชย์ (นันแบงก์) นำไปปฏิบัติ ซึ่งจะมีรายละเอียดต่างๆ ที่รัดกุมเพื่อประโยชน์ต่อสาธารณะ รวมทั้งจะทำหนังสือชี้แจงให้มูลนิธิเพื่อผู้บริโภคเข้าใจ
เรื่องนี้ผมได้ทำรายงานเป็นเอกสารเสนอท่านผู้ว่าการ ธปท. (นางธาริษา วัฒนเกส) แล้ว และคุยหารือกับรองผู้ว่าการ (นายบัณฑิต นิจถาวร) ในเบื้องต้นแล้ว นายเกริก กล่าว
อย่างไรก็ตาม ในเรื่องการขอให้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยบัตรเครดิต 20% และสินเชื่อส่วนบุคคล 28% ลงมาเหลือ 15% คงไม่สามารถทำได้ แต่การกำหนดแนวทางปฏิบัติ วิธีการติดตามหนี้ที่ถูกต้องและให้ประชาชนเข้าใจในสิทธิที่พึงมีน่าจะเป็นไปได้มากกว่า
ด้านนางทองอุไร ลิ้มปิติ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายนโยบายความเสี่ยง ธปท. กล่าวว่า การกำหนดแนวทางของ ธปท. มีวัตถุประสงค์เพื่อการจัดระเบียบ และวางแนวทางปฏิบัติ ที่เหมาะสมในการติดตามหนี้ โดยจะกำหนดวิธีการควบคุมไม่ให้ทวงหนี้รุนแรง การใช้ถ้อยคำที่ไม่สุภาพ
นายสังศิต พิริยะรังสรรค์ ประธานคณะกรรมาธิการ การคลัง การธนาคารและสถาบันการเงิน สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) กล่าวว่า ในสัปดาห์หน้าจะเชิญตัวแทน ธปท. และกระทรวงการคลังมาชี้แจงถึงแนวทางในการแก้ไขปัญหา รวมถึงอัตราดอกเบี้ยที่สูง ทั้งนี้ ในส่วนของคณะกรรมาธิการ การคลัง การธนาคาร และสถาบันการเงิน สนช. จะปรับปรุงกฎหมายให้การคุ้มครองผู้บริโภคจากบัตรเครดิต รวมถึงการออกกฎหมายคุ้มครองผู้บริโภคจากพฤติกรรมการทวงหนี้ที่ไม่สุภาพ
แหล่งข่าวจาก ธปท.เปิดเผยว่า ในประกาศ ธปท.นั้นจะให้ผู้ประกอบการรับผิดชอบในการทวงหนี้ที่ไม่สุภาพ และประจานประชาชนที่เป็นลูกหนี้ และห้ามโทรศัพท์ไปรบกวนจนเกินไป
ด้าน น.ส.สารี อ๋องสมหวัง กรรมการและผู้จัดการมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค เดินทางมายื่นหนังสือต่อนายสังศิต เพื่อขอให้พิจารณาแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนที่เป็นหนี้บัตรเครดิตและสินเชื่อบุคคล โดยมีนายนิวัฒน์ กาญจนภูมินทร์ กรรมา ธิการการคลังฯ เป็นตัวแทนรับมอบ
น.ส.สารี กล่าวว่า ขณะนี้มีประชาชนจำนวนมากกำลังประสบปัญหาอย่างรุนแรงในการ เป็นหนี้บัตรเครดิตและสินเชื่อบุคคล เพราะมีการเก็บดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียมในอัตราที่ไม่เป็นธรรมสูงจนเกินกว่าความสามารถในการจ่ายคืนจากการที่ ธปท.อนุญาตให้คิดดอกเบี้ย 15% และค่าธรรมเนียมอื่นๆ อีก 13% รวมแล้ว 28% ขณะที่อัตราดอกเบี้ยเงินฝากอยู่ในอัตราที่ต่ำมากเพียง 0.75-3.00% รวมทั้งการถูกข่มขู่คุกคามจากการตามทวงหนี้ของเจ้าหนี้ ที่ใช้วิธี ประจานลูกหนี้ทั้งในที่ทำงานและที่บ้าน ซึ่งจะเป็นผลกระทบที่รุนแรงมากขึ้นในอนาคตหากไม่มีการแก้ไข
นายนิวัฒน์ กล่าวว่า จะดำเนินการติดตามผลการแก้ไขปัญหาเพื่อให้เสร็จสิ้นในรัฐบาลชุดนี้
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=189479
โพสต์ทูเดย์ ธปท.ยอมจัดระเบียบการติดตามหนี้ใหม่ วางแนวทางปฏิบัติคุมการทวงหนี้รุนแรง พูดจาไม่สุภาพ แต่ไม่ลดดอกเหลือ 15%
นายเกริก วณิกกุล ผู้ช่วยผู้ว่าการสายนโยบายสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า ภายในสัปดาห์หน้าจะเห็นเค้าโครงของแนวทางการปฏิบัติ หรือไกด์ไลน์ที่จะให้ทางผู้ประกอบการธุรกิจสินเชื่อบัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคล ซึ่งเป็นธนาคารพาณิชย์และสถาบันการเงินที่ไม่ใช่ธนาคารพาณิชย์ (นันแบงก์) นำไปปฏิบัติ ซึ่งจะมีรายละเอียดต่างๆ ที่รัดกุมเพื่อประโยชน์ต่อสาธารณะ รวมทั้งจะทำหนังสือชี้แจงให้มูลนิธิเพื่อผู้บริโภคเข้าใจ
เรื่องนี้ผมได้ทำรายงานเป็นเอกสารเสนอท่านผู้ว่าการ ธปท. (นางธาริษา วัฒนเกส) แล้ว และคุยหารือกับรองผู้ว่าการ (นายบัณฑิต นิจถาวร) ในเบื้องต้นแล้ว นายเกริก กล่าว
อย่างไรก็ตาม ในเรื่องการขอให้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยบัตรเครดิต 20% และสินเชื่อส่วนบุคคล 28% ลงมาเหลือ 15% คงไม่สามารถทำได้ แต่การกำหนดแนวทางปฏิบัติ วิธีการติดตามหนี้ที่ถูกต้องและให้ประชาชนเข้าใจในสิทธิที่พึงมีน่าจะเป็นไปได้มากกว่า
ด้านนางทองอุไร ลิ้มปิติ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายนโยบายความเสี่ยง ธปท. กล่าวว่า การกำหนดแนวทางของ ธปท. มีวัตถุประสงค์เพื่อการจัดระเบียบ และวางแนวทางปฏิบัติ ที่เหมาะสมในการติดตามหนี้ โดยจะกำหนดวิธีการควบคุมไม่ให้ทวงหนี้รุนแรง การใช้ถ้อยคำที่ไม่สุภาพ
นายสังศิต พิริยะรังสรรค์ ประธานคณะกรรมาธิการ การคลัง การธนาคารและสถาบันการเงิน สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) กล่าวว่า ในสัปดาห์หน้าจะเชิญตัวแทน ธปท. และกระทรวงการคลังมาชี้แจงถึงแนวทางในการแก้ไขปัญหา รวมถึงอัตราดอกเบี้ยที่สูง ทั้งนี้ ในส่วนของคณะกรรมาธิการ การคลัง การธนาคาร และสถาบันการเงิน สนช. จะปรับปรุงกฎหมายให้การคุ้มครองผู้บริโภคจากบัตรเครดิต รวมถึงการออกกฎหมายคุ้มครองผู้บริโภคจากพฤติกรรมการทวงหนี้ที่ไม่สุภาพ
แหล่งข่าวจาก ธปท.เปิดเผยว่า ในประกาศ ธปท.นั้นจะให้ผู้ประกอบการรับผิดชอบในการทวงหนี้ที่ไม่สุภาพ และประจานประชาชนที่เป็นลูกหนี้ และห้ามโทรศัพท์ไปรบกวนจนเกินไป
ด้าน น.ส.สารี อ๋องสมหวัง กรรมการและผู้จัดการมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค เดินทางมายื่นหนังสือต่อนายสังศิต เพื่อขอให้พิจารณาแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนที่เป็นหนี้บัตรเครดิตและสินเชื่อบุคคล โดยมีนายนิวัฒน์ กาญจนภูมินทร์ กรรมา ธิการการคลังฯ เป็นตัวแทนรับมอบ
น.ส.สารี กล่าวว่า ขณะนี้มีประชาชนจำนวนมากกำลังประสบปัญหาอย่างรุนแรงในการ เป็นหนี้บัตรเครดิตและสินเชื่อบุคคล เพราะมีการเก็บดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียมในอัตราที่ไม่เป็นธรรมสูงจนเกินกว่าความสามารถในการจ่ายคืนจากการที่ ธปท.อนุญาตให้คิดดอกเบี้ย 15% และค่าธรรมเนียมอื่นๆ อีก 13% รวมแล้ว 28% ขณะที่อัตราดอกเบี้ยเงินฝากอยู่ในอัตราที่ต่ำมากเพียง 0.75-3.00% รวมทั้งการถูกข่มขู่คุกคามจากการตามทวงหนี้ของเจ้าหนี้ ที่ใช้วิธี ประจานลูกหนี้ทั้งในที่ทำงานและที่บ้าน ซึ่งจะเป็นผลกระทบที่รุนแรงมากขึ้นในอนาคตหากไม่มีการแก้ไข
นายนิวัฒน์ กล่าวว่า จะดำเนินการติดตามผลการแก้ไขปัญหาเพื่อให้เสร็จสิ้นในรัฐบาลชุดนี้
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=189479
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news06/09/07
โพสต์ที่ 150
ไฟเขียวทหารไทยถกไอเอ็นจีเพิ่มทุน
โดย ข่าวสด วัน พฤหัสบดี ที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2550 09:18 น.
รายงานข่าวจากกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ธนาคารทหารไทยได้รับนโยบายจากนายฉลองภพ สุสังกร์กาญจน์ รมว.คลัง ให้เจรจากับพันธมิตรรายใหม่ คือ กลุ่มไอเอ็นจี เพื่อเข้ามาเป็นพันธมิตรในการเพิ่มทุนครั้งนี้มีจำนวน 3.5 หมื่นล้านบาทของธนาคาร และหยุดพักการเจรจากับพันธมิตรรายเดิมคือ กลุ่มดีบีเอส จากสิงคโปร์ไว้ก่อน เนื่องจากมีการเจรจามายาวนานแต่ยังไม่ได้ข้อยุติ
สำหรับขณะนี้นั้นทางกลุ่มไอเอ็นจีได้เริ่มเข้าตรวจสอบคุณภาพทรัพย์สินและหนี้สิน (due diligence) ของธนาคารทหารไทยตั้งแต่ 1 สัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งหากทางธนาคารสามารถตกลงกับทางไอเอ็นจีได้ ขณะเดียวกันทางกลุ่มดีบีเอสซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นเดิมไม่ใชสิทธิ์ในการซื้อห้นเพิ่มทุนในครั้งนี้ ธนาคารสามารถจัดสรรหุ้นเพิ่มทุนของธนาคารให้กลุ่มไอเอ็นจีได้สูงสุดถึง 25% โดยกระทรวงการคลังที่ถือหุ้นใหญ่ 31% และจะใช้สิทธิ์เพิ่มทุนแต่จะไม่ถือหุนใหญ่ไม่น้อยกว่า 25% ขณะที่กลุ่มดีบีเอสปัจจุบันถือหุ้นอยู่ 16%
ด้านนายสมใจนึก เองตระกูล ประธานกรรมการธนาคารทหารไทย กล่าวว่า ตนยืนยันว่ากระบวนการเพิ่มทุนของธนาคารจะสามารถดำเนินการได้แล้วเสร็จ และมีเงินเข้ามาในธนาคารได้ไม่เกินสิ้นปีนี้อย่างแน่นอน แต่ในรายละเอียดไม่สามารถที่จะเปิดเผยได้
http://news.sanook.com/economic/economic_178826.php
โดย ข่าวสด วัน พฤหัสบดี ที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2550 09:18 น.
รายงานข่าวจากกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ธนาคารทหารไทยได้รับนโยบายจากนายฉลองภพ สุสังกร์กาญจน์ รมว.คลัง ให้เจรจากับพันธมิตรรายใหม่ คือ กลุ่มไอเอ็นจี เพื่อเข้ามาเป็นพันธมิตรในการเพิ่มทุนครั้งนี้มีจำนวน 3.5 หมื่นล้านบาทของธนาคาร และหยุดพักการเจรจากับพันธมิตรรายเดิมคือ กลุ่มดีบีเอส จากสิงคโปร์ไว้ก่อน เนื่องจากมีการเจรจามายาวนานแต่ยังไม่ได้ข้อยุติ
สำหรับขณะนี้นั้นทางกลุ่มไอเอ็นจีได้เริ่มเข้าตรวจสอบคุณภาพทรัพย์สินและหนี้สิน (due diligence) ของธนาคารทหารไทยตั้งแต่ 1 สัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งหากทางธนาคารสามารถตกลงกับทางไอเอ็นจีได้ ขณะเดียวกันทางกลุ่มดีบีเอสซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นเดิมไม่ใชสิทธิ์ในการซื้อห้นเพิ่มทุนในครั้งนี้ ธนาคารสามารถจัดสรรหุ้นเพิ่มทุนของธนาคารให้กลุ่มไอเอ็นจีได้สูงสุดถึง 25% โดยกระทรวงการคลังที่ถือหุ้นใหญ่ 31% และจะใช้สิทธิ์เพิ่มทุนแต่จะไม่ถือหุนใหญ่ไม่น้อยกว่า 25% ขณะที่กลุ่มดีบีเอสปัจจุบันถือหุ้นอยู่ 16%
ด้านนายสมใจนึก เองตระกูล ประธานกรรมการธนาคารทหารไทย กล่าวว่า ตนยืนยันว่ากระบวนการเพิ่มทุนของธนาคารจะสามารถดำเนินการได้แล้วเสร็จ และมีเงินเข้ามาในธนาคารได้ไม่เกินสิ้นปีนี้อย่างแน่นอน แต่ในรายละเอียดไม่สามารถที่จะเปิดเผยได้
http://news.sanook.com/economic/economic_178826.php