ปิดโรงงาน ปี2550

บทความต่างๆที่ตีพิมพ์ใน ThaiVI คุณสามารถแสดงความคิดเห็นเพิ่มเติม

โพสต์ โพสต์
ภาพประจำตัวสมาชิก
ปรัชญา
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 18252
ผู้ติดตาม: 0

ปิดโรงงาน ปี2550

โพสต์ที่ 1

โพสต์

*  ข่าวปิดโรงงาน  คงจะมีมากในปีนี้  *

รูปภาพ

ผู้จัดการรายวัน2 สิงหาคม 2550
บ.เครือสหยูเนี่ยนพ่ายแข่งขัน-ค่าเงินปิดกิจการหนีตาย



ยูเนี่ยนฟุทแวร์, บมจ.
Shoes and Foot wears



บริษัทในเครือสหยูเนี่ยน “ยูเนี่ยนฟุทแวร์”
ทนพิษแข่งขันที่รุนแรง-ขาดแคลนแรงงาน
จนส่งผลให้ขาดทุนติดต่อกันนานกว่า 3 ปี
แถมเจอบาทแข็งแทรกซ้อนทนไม่ไหวผู้บริหาร
ประกาศปิดโรงงาน พร้อมถอนหลักทรัพย์ออกจากตลาดหุ้น
ยันจ่ายค่าชดเชยตามกฎหมายแรงงาน และเสนอให้ผู้ถือหุ้นใหญ่
“สหยูเนี่ยน” ตั้งโต๊ะรับซื้อหุ้นคืนจากรายย่อยในราคาหุ้นละ 3.29 บาท
ขณะที่ประธานสภาอุตฯ ยันไม่กระทบภาพรวมอุตสาหกรรม

นายทรงศักดิ์ ธรรมภิมุขวัฒนา กรรมการผู้จัดการ
บริษัท ยูเนี่ยนฟุทแวร์ จำกัด (มหาชน) หรือ UF กล่าวว่า
ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทครั้งที่ 7/2550 เมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม 2550
ได้มีมติอนุมัติให้บริษัทดำเนินการขอเพิกถอนหลักทรัพย์
ของบริษัทออกจากการเป็นหลักทรัพย์จดทะเบียน
ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
เนื่องจากบริษัทจะหยุดดำเนินธุรกิจรองเท้า

โดยสาเหตุที่ทำให้บริษัทต้องพิจารณาหยุดดำเนินธุรกิจรองเท้าประกอบด้วย
5 ประเด็นหลัก ประเด็นแรก บริษัทประสบปัญหาขาดทุนติดต่อกันมาเกินกว่า
3 ปี เนื่องจากอุตสาหกรรมรองเท้ามีการแข่งขันสูงจากต่างประเทศ
และตลาดเป็นของผู้ซื้อน้อยราย
ทำให้มีโอกาสน้อยในการเจรจาต่อรองเงื่อนไขและราคาขาย
แม้ได้พัฒนาทั้งระบบบริหารและขบวนการผลิตมาอย่างต่อเนื่อง

จากการสำรวจผลการดำเนินงานของ UF ย้อนหลัง 3 ปี
ตั้งแต่ปี 2547-2549 พบว่า บริษัทประสบปัญหาขาดทุนมาอย่างต่อเนื่อง
โดยขาดทุนสุทธิ 11.04 ล้านบาท 47.68 ล้านบาท
และ 155.66 ล้านบาทในปี 2549
ขณะที่ไตรมาสแรกปี 2550 ยังขาดทุนสุทธิอีก 44.53 ล้านบาท

ประเด็นที่สอง
อุตสาหกรรมรองเท้าเป็นอุตสาหกรรมที่ต้องใช้แรงงานจํานวนมาก จนประสบปัญหาการขาดแคลนแรงงาน ทำให้ส่งผลต่อการผลิตอย่างรุนแรง และส่งมอบสินค้าให้ลูกค้าไม่ตรงตามกำหนด ทําให้บริษัท ต้องรับภาระค่าขนส่งทางอากาศที่เป็นค่าใช้จ่ายสูงอยู่ตลอดเวลา เสียเปรียบคู่แข่งอย่างจีนและเวียดนามที่มีแรงงานจำนวนมาก และมีอัตราค่าจ้างต่ำกว่าไทยทำให้ไม่สามารถแข่งขันในธุรกิจนี้ได้

ประเด็นที่สาม ต้นทุนการผลิตโดยเฉพาะด้านสาธารณูปโภคและพลังงาน
อาทิ ค่าไฟฟ้า ค่าน้ำมัน และค่าขนส่งเพิ่มขึ้นตลอดเวลา
รวมทั้งค่าวัตถุดิบที่เพิ่มขึ้น

ประเด็นที่สี่ รายได้ไม่คุ้มกับค่าใช้จ่าย
หลังจากบริษัทจำเป็นต้องลงทุนเพิ่มในการพัฒนา
ผลิตภัณฑ์นวัตกรรม ขบวนการผลิต และการจัดการสิ่งแวดล้อม
เพื่อตอบสนองความต้องการของคู่ค้าที่มีการปรับเปลี่ยน
ความต้องการตลอดเวลา
ทำให้ต้นทุนสูงและไม่อาจผลักภาระให้คู่ค้าได้ทั้งหมด

ประเด็นสุดท้าย

บริษัททำธุรกิจซื้อขายเป็นสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯ เป็นส่วนใหญ่
หลังจากเกิดความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนและ
การแข็งค่าของเงินบาทอย่างต่อเนื่องและรวดเร็วตั้งแต่ปี 49
จนถึงปัจจุบัน และค่าเงินบาทมี
แนวโน้มว่าจะแข็งค่าในระดับนี้ต่อไปในระยะยาว
ส่งผลต่อการแข่งขันและปัญหาด้านราคามาก

“จากการพิจารณาปัจจัยต่างๆ ที่เกิดขึ้น และเห็นว่าธุรกิจนี้มีความเสี่ยงสูง
มีโอกาสที่จะขาดทุนต่อไป นับเป็นธุรกิจที่ไม่คุ้มค่ากับการลงทุน
บริษัทจึงตัดสินใจเลิกการผลิต เพื่อมิให้เกิดความเสียหายมากกว่านี้
โดยบริษัทจะดำเนินการผลิตสินค้าเพื่อส่งมอบให้กับลูกค้า
ตามคำสั่งซื้อที่มีอยู่ภายในปี 50 จนครบถ้วน
หลังจากนั้นก็จะหยุดดำเนินกิจการรองเท้า
และยังไม่มีนโยบายที่จะดำเนินธุรกิจอื่นใดอีก ทั้งนี้
บริษัทจะทยอยหยุดดำเนินการผลิตและจะรับผิดชอบ
จ่ายค่าจ้างแรงงาน และเงินชดเชยตามที่กฎหมายกำหนด”

พร้อมกันนี้
บริษัทจะดำเนินการเพิกถอนหลักทรัพย์ของบริษัท
ออกจากการเป็นหลักทรัพย์จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ

โดยสมัครใจ และให้นำเสนอต่อที่ประชุมผู้ถือหุ้นเพื่อพิจารณาอนุมัติต่อไป
โดยกำหนดวันประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นครั้งที่ 1/2550
ในวันที่ 4 กันยายน 2550 และกำหนดวันปิดสมุดเบียนพักการโอนหุ้น
เพื่อสิทธิในการเข้าร่วมประชุมดังกล่าวตั้งแต่วัน 15 สิงหาคมเป็นต้นไป

อย่างไรก็ตาม บริษัท สหยูเนี่ยน จำกัด (มหาชน) หรือ SUC
ในฐานะบริษัทและเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่จะเสนอซื้อหุ้นสามัญ UF
จำนวน 9,896,120 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้ (ราคาพาร์) หุ้นละ 10 บาท
รวม 98,961,200 บาท จากเดิมที่ SUC ถือหุ้นอยู่ 10,103,880 หุ้น
หรือ 50.52 เปอร์เซ็นต์ ของหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมด
โดยจะเสนอซื้อในราคาหุ้นละ 3.29 บาท
ขณะที่ราคาหุ้นวานนี้ (1 ส.ค.) ปิดที่ 3.18 บาท
ลดลงจากวันก่อน 0.06 บาท หรือลดลง 1.85 เปอร์เซ็นต์

ขณะเดียวกันบริษัทได้แต่งตั้งบริษัท เอสเซท โปร แมนเนจเม้นท์ จำกัด
เป็นที่ปรึกษาการเงินในการเสนอซื้อหุ้นครั้งนี้
รวมทั้งแต่งตั้งบริษัทหลักทรัพย์ ฟาร์อีสท์ จำกัด
เป็นที่ปรึกษาทางการเงินอิสระของผู้ถือหุ้น
เพื่อเสนอแนะความเห็นเกี่ยวกับการขอเพิกถอนหุ้น
และข้อเสนอของผู้เสนอซื้อหุ้นครั้งนี้

นายทรงศักดิ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า
บริษัทได้ขอความช่วยเหลือทางการเงินจาก SUC
ในฐานะผู้ถือหุ้นรายใหญ่เพิ่มอีก 180 ล้านบาท
เพื่อใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนก่อนหยุดดำเนินธุรกิจ
โดยคาดว่าจะชำระคืนภายใน 1 ปี
คำนวณดอกเบี้ยอ้างอิงตามอัตราดอกเบี้ย MLR
ของธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง

ด้าน นายสันติ วิลาสศักดานนท์
ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า
การปิดกิจการของยูเนี่ยนฟุทแวร์เพียงแห่งเดียวจะไม่กระทบ
ต่ออุตสาหกรรมรองเท้า และบริษัทดังกล่าว
ดำเนินธุรกิจรับจ้างผลิตทั้ง 100 เปอร์เซ็นต์ มีคนงานประมาณพันคน

“เหตุผลของการปิดกิจการคงไม่ใช่ผลกระทบจากค่าเงินบาท
อาจเป็นไปได้ว่ากำไรลดลงหรือคู่ค้าย้ายฐานการผลิตไปประเทศอื่น
หากมีการจ่ายค่าชดเชยให้กับลูกจ้างตามเกณฑ์ที่กำหนดก็ไม่มีปัญหา
โดยเชื่อว่าแรงงานบริษัทนี้คงจะสามารถหางานทำได้ในโรงงานใกล้เคียง”

นายอดิศักดิ์ คำมูล ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บล. เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด
(มหาชน) กล่าวว่า การหยุดกิจการและเพิกถอนหุ้นออกจากตลาดหลักทรัพย์ฯ
ของยูเนี่ยนฟุทแวร์ น่าจะเกิดจากสภาวะการแข่งขันรุนแรง
ประกอบกับเป็นอุตสาหกรรมขนาดเล็กที่ต้องพึ่งพาการใช้แรงงานสูง
ขณะที่ค่าแรงสูงขึ้นทำให้ไม่สามารถแข่งขันกับคู่ค้าที่สำคัญ

ในแถบภูมิภาคได้ เช่น ประเทศจีน เวียดนาม กัมพูชา และลาว
ส่งผลให้แนวโน้มอุตสาหกรรมที่มีขนาดเล็กมีโอกาสที่จะปิดกิจการอีกหลายแห่งได้
ภาพประจำตัวสมาชิก
ปรัชญา
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 18252
ผู้ติดตาม: 0

ปิดโรงงาน ปี2550

โพสต์ที่ 2

โพสต์

รูปภาพ

"ไทยศิลป์"ไปไม่รอด ต้องปิด

อีก 3พันฮือ-ตร.ตรึง เจ้าของโผล่แจง  
หนี้ท่วม-ไร้เงินกู้ รัฐออก7ทางแก้ สู้ศึกค่าบาทแข็ง

ปิดรอบ 2 - บริษัท ไทยศิลป์อาคเนย์อิมปอร์ต เอ็กซ์ปอร์ต จำกัด
ชี้แจงพนักงานกว่า 4 พันคนอีกครั้งว่าต้องเลิกจ้างและปิดกิจการ
ตั้งแต่วันที่ 5 ส.ค.เป็นต้นไป โดยอ้างว่าขาดสภาพคล่อง
และจะจ่ายค่าทดแทนให้เพียงครึ่งเดียว ทำให้มีการชุมนุมประท้วงทันที

         โรงงานไทยศิลป์ไปไม่รอด ต้องประกาศปิดกิจการรอบ 2
โดนฤทธิ์ค่าเงินบาทแข็งถล่มต่อเนื่อง สาวฉันทนา-หนุ่มโรงงาน
กว่า 3 พันช็อกซ้ำ เจ้าของชี้เหตุหาแหล่งเงินกู้ไม่ได้
สถาบันการเงินทุกแห่งปฏิเสธ เหลืออยู่เพียง 9 ล้าน
จ่ายเงินเดือนให้ครึ่งเดียว ขณะที่พนักงานฮือไม่พอใจ
จี้จ่ายเต็มจำนวน ส่อเค้าชุมนุมอีกระลอก
ตร.ระดมกำลังหน้าโรงงานหวั่นบานปลาย กระทรวงอุตฯ สั่งรับมือ
ประสานแรงงานดูแลสิทธิประโยชน์ จัดหาที่ทำงานใหม่
อ้างไม่กระทบอุตสาหกรรมรวมของประเทศ ขณะที่การแก้ปัญหาค่าเงิน
รัฐบาลรับ 7 ข้อเสนอเอกชน ให้ถือครองดอลลาร์มากกว่า 2 แสน
เปิดบัญชี จ่ายหนี้เป็นดอลลาร์ได้ เร่งรัฐวิสาหกิจคืนหนี้
ตั้งกองทุนดูแลเอสเอ็มอี

        "ไทยศิลป์"วุ่นอีก-ปิดโรงงานรอบ 2

         เมื่อวันที่ 19 ก.ค. เกิดความวุ่นวายอีกครั้งที่โรงงานของบริษัท
ไทยศิลป์อาคเนย์ อิมพอร์ต เอกซ์พอร์ต จำกัด
ต.ราชาเทวะ อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ
ซึ่งประกอบกิจการตัดเย็บเสื้อผ้าให้ผลิตภัณฑ์ยี่ห้อไนกี้และอาดิดาส
เนื่องจากเจ้าของโรงงานประกาศปิดกิจการรอบที่ 2
ทำให้พนักงานโรงงานไทยศิลป์ฯ ทั้งสาขาใหญ่ สาขาบางปลา
และสาขาสำโรง ประมาณกว่า 3,000 คน
รวมตัวกันที่โรงอาหารภายในโรงงาน เพื่อรอฟังการชี้แจงจากเจ้าของโรงงาน
ขณะเดียวกันที่ด้านหน้าโรงงาน ทางพล.ต.ต.ชยุต ธนทวีรัชต์
ผบก.สมุทรปราการ ระดมกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจจากทุกโรงพัก
และชุดปราบจลาจลประมาณ 200 นาย มาเตรียมพร้อม
เพื่อรับมือหากเกิดเหตุวุ่นวาย หรือปิดถนนประท้วง
เหมือนเมื่อวันที่ 11 ก.ค.ที่ผ่านมา ที่เจ้าของโรงงานปิดกิจการดื้อๆ
เนื่องจากประสบกับปัญหาค่าเงินบาทแข็ง ทำให้ยอดสั่งสินค้าลดลง

         ต่อมาเวลา 15.30 น.
นางเยาวลักษณ์ อุนโอภาส เจ้าของโรงงาน
ออกมาพบกลุ่มพนักงานที่โรงอาหาร และกล่าวชี้แจงว่า
หลังจากที่โรงงานเปิดกิจการต่อได้ไม่นาน
เพื่อหาช่องทางหาเงินมาเคลียร์หนี้สินต่างๆ ที่มีอยู่
แต่ทางบริษัทก็ไม่สามารถดำเนินกิจการต่อไปได้
เนื่องจากได้รับการปฏิเสธจากสถาบันการเงินทุกแห่ง
ที่ขอกู้เงินมาพยุงกิจการ ขณะเดียวกันบริษัทต้องรับภาระค่า
จ้างพนักงาน ซึ่งจะถึงกำหนดชำระในวันที่ 20 และ 23 ก.ค.
ดังนั้นคณะกรรมการบริษัทจึงประชุมด่วนและมีความเห็นตรงกันว่า
เห็นควรปิดกิจการ และเลิกจ้างพนักงาน
เพื่อให้พนักงานมีเวลาไปหางานที่อื่นทำ
ซึ่งเงินของโรงงานมีเพียง 9 ล้านบาทเท่านั้น
แต่จะจ่ายให้พนักงานทุกคนก่อน 50 เปอร์เซ็นต์

            กว่า3พันฮือ-จี้จ่ายชดเชยเต็มจำนวน

         ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังได้ฟังคำชี้แจงจากเจ้าของ
พนักงานทุกคนถึงกับอึ้ง โดยส่วนใหญ่ไม่ยอมกับข้อเสนอของทางบริษัท
และต้องการเงินสดเต็มจำนวน เพื่อจะนำเงินไปใช้จ่ายในครอบครัว
และเป็นเงินทุนในการสมัครงานที่อื่น ส่วนเงินชดเชยนั้น
ทางบริษัทจะให้ตัวแทนทั้งพนักงานและตัวแทนบริษัทร่วมกัน
ขายทรัพย์สินของทางบริษัท เพื่อนำมาชดใช้ให้กับพนักงานทุกคน
เป็นค่าจ้างและค่าชดเชยต่อไป และในการปิดกิจการในครั้งนี้
ทางบริษัทไม่ได้นำทรัพย์สินของบริษัทออกมาด้านนอกแต่อย่างใด
ซึ่งพนักงานทั้งกว่า 3,000 คน ยังคงรวมตัวอยู่ที่โรงอาหาร
ไม่ทำงาน จับกลุ่มพูดคุยถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นด้วยความไม่พอใจ

         นางขวัญใจ เอมปรากฎ อายุ 29 ปี
หนึ่งในพนักงานกล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นเครือว่า มีลูก 2 คน
ภาระมากมายทั้งค่านมลูก ค่าเช่าห้อง ผ่อนรถจักรยานยนต์
กลุ้มมาก เงินเก็บก็ไม่มี เพราะไม่คาดคิดมาก่อนว่าโรงงานจะปิด
พอโรงงานมีปัญหาครั้งแรกแล้วเปิดกิจการใหม่รู้สึกดีใจมาก
คิดว่าจะทำงานที่นี่ไปเรื่อยๆ แต่ก็มาประสบปัญหาแบบนี้
ยังไม่รู้ชะตากรรมว่าจะไปทำงานที่ไหน เงินที่นี่จะได้หรือเปล่าก็ยังไม่รู้

         ด้านน.ส.สุภาพร อุปชาคำ อายุ 26 ปี พนักงานอีกคนกล่าวว่า
เจ้าของโรงงานบอกว่าจะจ่ายเงินให้ครึ่งเดียว
แต่เงินในธนาคารของโรงงานก็ถูกอายัด บอกว่าในวันรุ่งขึ้นจะให้
แต่ยังไม่รู้ว่าจะได้หรือเปล่า ส่วนเรื่องหางานใหม่
คิดว่าคงไม่ยากเพราะอายุยังน้อย แต่ขณะนี้ต้องการเงินก่อน รู้สึกแย่มาก

         ผู้ว่าฯเจรจาขายทรัพย์สิน-จ่ายค่าแรง

         ต่อมาเวลา 18.00 น.
หลังจากกลุ่มพนักงานฟังคำชี้แจงจากเจ้าของโรงงาน
ถึงเหตุผลปิดกิจการอีกครั้ง
กลุ่มพนักงานทั้งหมดพากันมารวมตัวกันที่บริเวณลานหน้าโรงงาน
และใช้เครื่องขยายเสียงเรียกร้องให้ นายอนุวัฒน์ เมธีวิบูลย์
ผวจ.สมุทรปราการ มาเป็นคนกลางเจรจาถึงปัญหาที่เกิดขึ้น
หากไม่มาจะชุมนุมปิดถนน ผ่านไปประมาณ 1 ชั่วโมง
ผวจ.สมุทรปราการ จึงเดินทางมาพบกับกลุ่มคนงาน
โดยขอให้ตั้งตัวแทนมาพูดคุยกับทางเจ้าของบริษัท
ซึ่งยังคงยืนยันว่ามีเงินอยู่ 9 ล้านบาท
พอจ่ายค่าแรงให้พนักงานได้แค่ 1 สัปดาห์
แต่ได้แค่ 50 เปอร์เซ็นต์ของเงินเดือนและยังค้างจ่ายอยู่ 3 สัปดาห์
แต่จะนำทรัพย์สินของบริษัทที่พอจะขายได้ เช่น เสื้อผ้าที่ตัดค้างไว้
คาดว่าจะขายได้ 10 ล้านบาท จะพอจ่ายได้อีก 1 สัปดาห์
ที่เหลือจะขายทรัพย์สินบริษัทอื่น แต่ไม่รู้ว่าจะขายได้เมื่อไหร่

         ขณะเดียวกัน ผวจ.สมุทรปราการ
เสนอว่าให้ตัวแทนคนงานกับเจ้าของบริษัทอนุญาตให้ทางจังหวัด
เข้าตรวจสอบทรัพย์สินที่มีอยู่ทั่วประเทศของเจ้าของบริษัท
และให้พนักงานตั้งตัวแทนมาเฝ้าที่บริษัท
ไม่ให้ขนย้ายทรัพย์สินออกนอกบริษัท กระทั่งเวลา 21.30 น.
การเจรจาเสร็จสิ้น
ตัวแทนพนักงานนำข้อเสนอไปแจ้งกับพนักงานที่ปักหลักรอ
อยู่บริเวณลานหน้าโรงงาน
และจะนำข้อสรุปของพนักงานส่วนใหญ่มาประชุมกับเจ้าของบริษัท
และผวจ.สมุทรปราการ อีกครั้งหนึ่ง

ที่มา: http://www.matichon.co.th/khaosod

วันที่ของข่าว   20 กรกฎาคม 2550
ภาพประจำตัวสมาชิก
ปรัชญา
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 18252
ผู้ติดตาม: 0

ปิดโรงงาน ปี2550

โพสต์ที่ 3

โพสต์

โรงงานสับปะรดกระป๋องประกาศปิดกิจการ


รง.ทยอยเจ๊งพิษค่าบาท สถิติชี้ว่างงาน พ.ค.เพิ่ม


โรงงานสับปะรดกระป๋องประกาศปิดกิจการซ้ำรอยไทยศิลป์อาคเนย์ฯ
สู้ต้นทุนบวกกับค่าเงินที่แข็งเกินไปไม่ไหว ขณะที่โรงงานสิ่งทอร่อแร่

การประกาศปิดกิจการของอุตสาห กรรมไทย
และทำให้พนักงานกว่า 6 พันคน

ต้องตกงานของไทยศิลป์อาคเนย์ฯ จ.สมุทรปราการ
อาจเป็นแค่ตัวอย่างของวิกฤตการณ์ครั้งใหม่ที่เกิด
จากค่าเงินบาทที่แข็งเกินไป

นายวิรัช ปิยพรไพบูลย์ ประธานหอการค้าจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ กล่าวว่า
ได้รับแจ้งจากผู้ประกอบการสับปะรดกระป๋องพร้อมจะปิดโรงงาน
หรือหยุดสายการผลิตหลังจากได้รับผลกระทบค่าเงินบาทแข็งค่า
ต่อเนื่องนานกว่า 20 เดือน
จนต้องขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนวันละกว่า 1 แสนบาท

อย่างไรก็ตาม ก่อนที่จะปิดสายการผลิต หอการค้าฯ
จะเชิญผู้ประกอบการทุกรายมาเจรจาถึงผลกระทบที่ต่อเนื่อง
โดยเฉพาะกับผู้ใช้แรงงานในพื้นที่หลายพันคน
รวมถึงผลกระทบต่อชาวไร่สับปะรดทั้งจังหวัด

“ปัญหาหลักของโรงงานสับปะรดก็คือค่าเงินบาทที่แข็งเกินไป
และน้ำมันขึ้นราคา สุดท้ายวัตถุดิบขาดตลาด
เวลานี้การส่งออกสับปะรดกระป๋องก็เหมือนเอาเงิน
แปะกล่องสับปะรดแถมไปด้วย”
นายวิรัช กล่าว

โรงงานสับปะรดใน จ.ประจวบคีรีขันธ์ มีประมาณ 14 แห่ง
แต่ละโรงงานมีคนงาน 500-1,000 คน
โดยขณะนี้มีโรงงานที่ทนรับกับสภาพการขาดทุนไม่ได้
ต้องปิดตัวลงชั่วคราวไม่ต่ำกว่า 5 แห่ง

“สับปะรดกระป๋องของไทยมีอินโดนีเซียและฟิลิปปินส์เป็นคู่แข่ง
ทั้งสองประเทศค่าเงินไม่เคยแข็งเกิน 10% ในขณะที่ไทยแข็งค่าถึง
17-18% เข้าไปแล้ว ถ้ารัฐบาลยังไม่ทำอะไรสักอย่าง
กว่าจะสิ้นปีก็คงจะเหลือแต่กระดูกอย่างแน่นอน” นายวิรัช กล่าว

ด้านนายสุรินทร์ จิรวิศิษฎ์ เลขาธิ การสำนักงานประกันสังคม (สปส.)
กล่าวว่า จากข้อมูลตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. - 25 พ.ค. 2550
มีสถานประกอบการประกาศเลิกจ้างงานแล้ว 6,054 แห่ง
ทำให้ลูกจ้างตกงาน 48,631 คน กิจการที่เลิกจ้างมากที่สุด
คือ อุตสาห กรรมการผลิต 1,458 แห่ง
คนงาน 23,157 คน ก่อสร้าง 532 แห่ง
เลิกจ้างลูกจ้าง 5,636 คน


นายพรมมา ภูมิพันธ์
ประธานสหพันธ์แรงงานอุตสาหกรรมสิ่งทอและการตัดเย็บเสื้อผ้า
และผลิตภัณฑ์หนัง กล่าวว่า
แนวโน้มการเลิกจ้างของโรงงานตัดเย็บเสื้อผ้าน่าจะรุนแรงขึ้น
ขณะนี้หลายแห่งลดกำลังการผลิตและปิดเครื่องจักรบางตัว
โดยย้ายคนงานไปไว้แผนกอื่น
สาเหตุหลักเกิดจากต้นทุนที่สูงและค่าเงินบาทที่แข็ง
จนต่างชาติไปซื้อสินค้าจากจีนและเวียดนามแทน


โดย : โพสต์ทูเดย์        วันที่ 13/07/2007
ภาพประจำตัวสมาชิก
ปรัชญา
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 18252
ผู้ติดตาม: 0

ปิดโรงงาน ปี2550

โพสต์ที่ 4

โพสต์

รูปภาพ

โดย มติชนออนไลน์ : วันที่ 24 สิงหาคม 2550

อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน
เปิดเผยว่ามีธุรกิจประกาศปิดกิจการไปแล้ว 42 แห่ง
พนักงานถูกเลิกจ้างกว่า 1 หมื่นคน

ล่าสุดมี 2 บริษัทใหญ่ในจังหวัดพิจิตรปิดกิจการเลิกจ้างแรงงานแล้ว 195 คน
กระทรวงแรงงานจึงเร่งช่วยเหลือด้านสิทธิประโยชน์และตำแหน่งงานรองรับ

นาย ผดุงศักดิ์ เทพหัสดิน ณ อยุธยา
อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน กล่าวว่า
ตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจันมีธุรกิจประกาศปิดกิจการไปแล้ว 42 แห่ง
พนักงานถูกเลิกจ้างกว่า  1 หมื่นคน ขณะเดียวกันมีกิจการหลายแห่ง
แจ้งจดทะเบียนเพื่อปิดกิจการเช่นเดียวกัน  
กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจะเข้าไปดูแล
ส่วนนี้ภายใต้กฎหมายคุ้มครองแรง งาน

อธิบดีกรมสวัสดิการ ฯ กล่าวอีกว่า หากปิดกิจการโดยที่ลูกจ้างไม่มีความผิด
นายจ้างต้องดำเนินการให้เป็นไปตาม กฎหมายคุ้มครองแรงงาน
จ่ายค่าจ้างค้างจ่าย ค่าจ้างบอกกล่าวล่วงหน้า รวมทั้งค่าจ้างชดเชยตาม
กฎหมายคุ้มครองแรงงาน ซึ่งทั้งหมดต้องได้รับการยืนยัน
จากนายจ้างอย่างเป็นทางการว่ามีการปิด กิจการจริงจึงดำเนินการได้

ทางด้านนายอภัย จันทนจุลกะ รมว.แรงงาน กล่าวว่า
ได้รับรายงานว่า 2 บริษัทบริษัทเพรสซิเดนท์ อะกริ เทรดดิ้ง จำกัด
ที่ประกอบกิจการที่จังหวัดพิจิตร คือ
ประกอบกิจการสีข้าว และบริษัทเพรสซิเดนท์เกรน ไซโล จำกัด
ประกอบกิจการอบข้าวเปลือก ปิดกิจการไปตั้งแต่วันที่ 22 สิงหาคม
เนื่องจากได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจและขาดสภาพคล่องทางการเงิน
ทำให้ลูกจ้างถูกเลิกจ้างกว่า 195 คน
และนายจ้างก็ได้เจรจากับลูกจ้างเรื่องสิทธิประโยชน์ที่จะได้รับ 2.5 เท่า
ของค่าจ้างภายในเดือนนี้

รมว.แรงงาน กล่าวว่า ได้สั่งให้กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน
ให้คำแนะนำเรื่องสิทธิประโยชน์ที้ลูกจ้างจะได้รับ
ตามกฎหมายคุ้มครองแรงงาน กรณีเลิกจ้างพร้อมประสาน
สำนักงานประกันสังคมจังหวัดให้ลูกจ้างแจ้งขอรับ
สิทธิประโยชน์กรณีว่างงาน  ศูนย์พัฒนาฝีมือแรงงานจังหวัด
ช่วยเหลือฝึกฝีมือแรงงานเพิ่มทักษะการทำงาน
นอกจากนี้ยังให้จัดหางานจังหวัดหาตำแหน่งงานว่างในจังหวัดพิจิตร
ที่มีกว่า 3 พันตำแหน่งรองรับด้วย
ภาพประจำตัวสมาชิก
ปรัชญา
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 18252
ผู้ติดตาม: 0

ปิดโรงงาน ปี2550

โพสต์ที่ 5

โพสต์

บริษัท สยามอาซาฮีเทคโนกลาส จำกัด
ปิดกิจการ 31 กรกฎาคม 2550

และเลิกจ้างพนักงานทั้งหมด 1098 คน

บริษัท สยามอาซาฮีเทคโนกลาส จำกัด ซึ่งเคยได้รับการรับรองระบบ ISO 9000 / ISO 14000 / OHSAS 18000 จะเริ่มทำการ
ปิดกิจการ 31 กรกฎาคม 2550 และเลิกจ้างพนักงานทั้งหมด 1098 คน

ซึ่งมี พนักงานแยกรายละเอียดดังนี้
วิศวกร 55 คน (IE / Electrical / Mechanical / Chemical )
ป.ตรีสายบริหาร 29 คน (บัญชี / บริหาร / รัฐศาสตร์ / กฎหมาย / ภาษาอังกฤษ)
ปวส. บริหาร 26 คน
ปวส.ช่าง 86 คน
ปวช. ช่าง 158 คน
ม.6 665 คน
ม.3 64 คน
พขร. 15 คน

พนง ระดับ ผู้จัดการอายุงานเฉลี่ย 13.8 ปี อายุตัวเฉลี่ย 39.8 ปี
พนง. ระดับปริญญาตรี - ผู้จัดการแผนก อายุงานเฉลี่ย 8.9 ปี อายุตัวเฉลี่ย 33.8 ปี
พนง ต่ำกว่าปริญญาตรี อายุงานเฉลี่ย 10.1 ปี อายุตัวเฉลี่ย 32.4 ปี

http://www.muslimsatit.com/wbreply.php?id=284
ภาพประจำตัวสมาชิก
ปรัชญา
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 18252
ผู้ติดตาม: 0

ปิดโรงงาน ปี2550

โพสต์ที่ 6

โพสต์

โรงงานอุตสาหกรรมจังหวัดระยองปิดกิจการ
เนื่องจากขาดสภาพคล่องทางการเงินต่อเนื่อง
| ส่งข่าวภูมิภาค | Home


โรงงานอุตสาหกรรมจังหวัดระยองปิดกิจการ
เนื่องจากขาดสภาพคล่องทางการเงินต่อเนื่อง

นายวิชิ สุวัณณะศรี สวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัดระยอง เปิดเผยว่า
ในวันที่ 31 กรกฎาคม 2550 นี้


โรงงานอุตสาหกรรมจังหวัดระยอง จำนวน 1 แห่ง จะปิดกิจการ คือ

บริษัทอุตสาหกรรมเหล็กไทย
เนื่องจากขาดสภาพคล่องทางการเงินต่อเนื่อง
โดยบริษัทนี้มีลูกจ้างทำงานอยู่ จำนวน 265 คน
ในการปิดกิจการดัง กล่าว บริษัทแห่งนี้ได้ดำเนินการ
จ่ายค่าชดเชยตามกฎหมายให้กับลูกจ้างถูกต้อง
นอกจากนี้เมื่อวันที่ 11 มิถุนายน 2550 ที่ผ่านมา

บริษัท เค พี นิวส์ เจเนอเรชั่น
ได้ปิดกิจการเช่นกัน
เนื่องจากขาดสภาพคล่องทางการเงินต่อเนื่อง มีลูกจ้าง จำนวน 51 คน
ในการปิดกิจการดังกล่าว ได้โอนย้ายลูกจ้างให้กับสถานประกอบการใกล้
เคียงรับเข้าไปทำงาน ต่อไป

ข่าวโดย สมมาตร/ส.ปชส.ระยอง  วันที่ 27/7/2550
ภาพประจำตัวสมาชิก
ปรัชญา
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 18252
ผู้ติดตาม: 0

ปิดโรงงาน ปี2550

โพสต์ที่ 7

โพสต์

6 เดือนแรกปี 50 กว่า 6 พันปิดกิจการ 4.8 หมื่นคนตกงาน

สำนักงานประกันสังคม (สปส.) เผย 6 เดือนแรกของปี 50 สถานประกอบการเลิกจ้างแล้วกว่า 6 พันแห่ง ลูกจ้างตกงาน 48,000 คน เหตุจากการแข็งค่าของเงินบาท ด้านประธานสหพันธ์แรงงานอุตสาหกรรมสิ่งทอและการตัดเย็บเสื้อผ้าและ ผลิตภัณฑ์หนัง ระบุโรงงานตัดเย็บเสื้อผ้ามีแนวโน้มเลิกจ้างรุนแรงขึ้น


นายสุรินทร์ จิรวิศิษฎ์ เลขาธิการสำนักงานประกันสังคม (สปส.) กล่าวว่า สิ่งที่น่ากังวลต่อสถานการณ์การเลิกกิจการและหยุดกิจการชั่วคราวขณะนี้ พบว่าจากข้อมูลตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม -25 พฤศจิกายน 2550 มีสถานประกอบการประกาศเลิกจ้างแล้ว 6,054 แห่ง ทำให้ลูกจ้างตกงาน 48,631 คน ประเภทกิจการที่เลิกจ้างมากที่สุด อุตสาหกรรมการผลิต 1,458 แห่ง จำนวน 23,157 คน รองลงมาคือก่อสร้าง 532 แห่ง เลิกจ้างลูกจ้าง 5,636 คน เป็นต้น ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่ามาจากผลกระทบจากภาวะเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นและหลาย กิจการมีแนวโน้มเลิกจ้าง

ด้านนายพรมมา ภูมิพันธ์ ประธานสหพันธ์แรงงานอุตสาหกรรมสิ่งทอและการตัดเย็บเสื้อผ้าและผลิตภัณฑ์หนัง กล่าวว่า แนวโน้มสถานการณ์การเลิกจ้างของโรงงานตัดเย็บเสื้อผ้าน่าจะรุนแรงขึ้น ซึ่งขณะนี้หลายแห่งกำลังเกิดปัญหา อาทิ ลดกำลังการผลิตและปิดเครื่องจักรบางตัวและย้ายคนงานไปไว้แผนกอื่น ทั้งนี้ สาเหตุหลักเกิดจากผลกระทบด้านการลงทุนและค่าเงินบาทที่แข็งค่า เพราะราคาสินค้าไทยแพงขึ้น ทำให้ต่างชาติหันไปซื้อสินค้าจากจีนและเวียดนามแทน

ทีมา innnews.co.th
ภาพประจำตัวสมาชิก
ปรัชญา
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 18252
ผู้ติดตาม: 0

ปิดโรงงาน ปี2550

โพสต์ที่ 8

โพสต์

ัวันศุกร์ที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2550


คลื่นซัดสาดปราสาททราย


Global Vision : ดร.ปิยศักดิ์ มานะสันต์ [email protected]
หากเปรียบตลาดเงินทุนโลกเป็นดั่งมหาสมุทรแล้ว เห็นได้ชัดว่าในช่วงสองสัปดาห์ที่ผ่านมามหาสมุทรทั้ง 7 ในโลก ต่างเผชิญคลื่นลมอย่างหนักหน่วง เริ่มจากตลาดหุ้น Wall Street ของสหรัฐ ที่ดัชนีปรับขึ้นสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 14,000 จุด ในวันที่ 19 กรกฎาคม ก่อนจะตกถึง 500 จุดในสัปดาห์ถัดมา ส่งผลให้ตลาดหุ้นทั่วโลกโดยเฉพาะตลาดเกิดใหม่เช่นเอเชีย ตกถึงกว่าร้อยละ 6 ในสัปดาห์เดียว

ด้านตลาดพันธบัตรเอกชนสหรัฐก็ไม่น้อยหน้า เพราะส่วนต่างผลตอบแทนเมื่อเทียบกับพันธบัตรรัฐบาล (ที่ใช้วัดถึงความเสี่ยงของตัวพันธบัตรเอง) เพิ่มขึ้นเกือบเท่าตัวภายใน 2 เดือน ทำให้ดีลการออกพันธบัตรใหม่ของบริษัทข้ามชาติถูกยกเลิกไปถึง 35 ดีล

ขณะที่บริษัทจัดอันดับหรือ Credit Rating อย่าง Moody’s และ S&P’s ต่างลดอันดับความน่าเชื่อถือในพันธบัตรรวมแล้วกว่า 1,000 ราย

แต่ผู้ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์คลื่นลมปั่นป่วนมากที่สุด เห็นจะเป็นเหล่ากองทุนประกันความเสี่ยงหรือ Hedge Fund ทั้งหลาย โดยธุรกิจเหล่านี้ต่างทยอยปิดกิจการกันยกใหญ่ เริ่มต้นจากกองทุนของธนาคารยักษ์ใหญ่ UBS ที่ปิดตัวลงเพราะขาดทุนถึง 120 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ตามด้วยสองกองทุนของบริษัท Bear Stearns ซึ่งเป็น 1 ใน 5 วาณิชธนกิจยักษ์ใหญ่ของโลก ที่ต้องปิดกิจการหลังขาดทุนกว่าร้อยละ 23 ของมูลค่ากิจการ และความพยายามที่จะขายหนี้สิน 4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐจากที่มีอยู่ถึง 6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ให้กับธนาคารอื่นๆ โดยเฉพาะ Merrill Lynch ประสบความล้มเหลว

เหตุการณ์ล้มละลายของกองทุนของ Bear Stearns ก็เป็นดั่ง Wake-up Call นำไปสู่การปิดกิจการหรือการขาดทุนในหลายธนาคารและบริษัทการเงินขนาดใหญ่ ทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นธนาคาร IKB ในเยอรมนี ที่ปิดกิจการหลังขาดทุนถึง 2.4 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ บริษัท Macquarie Fortress Investment ในออสเตรเลีย ที่ขาดทุนถึงร้อยละ 25 ของสินทรัพย์รวม และลามถึงบริษัท Life Insurance Cathy Financial ในไต้หวัน จนทำให้ประสบปัญหาขาดทุนเช่นกัน

สาเหตุที่กิจการหลากสัญชาติเหล่านี้ ประสบปัญหาทางการเงินเหมือนกัน เป็นเพราะต่างลงทุนในธุรกิจภาคอสังหาริมทรัพย์สหรัฐ โดยเฉพาะในสินเชื่อที่ไม่มีหลักทรัพย์หรือมีหลักทรัพย์คุณภาพต่ำค้ำประกัน หรือ Sub-Prime Mortgage ในสหรัฐเป็นหลัก โดยลงทุนผ่านการซื้อตราสารอนุพันธ์ทางการเงินรุ่นใหม่ที่เรียกว่า Collateralised Debt Obligations (CDOs) หรือตราสารหนี้ที่มีหลักทรัพย์ค้ำประกัน

อนุพันธ์ CDOs นี้ เกิดจากการที่ธนาคารที่ออกสินเชื่อประเภท Sub-Prime Mortgage นำสินเชื่อเหล่านั้นมาขายต่อในตลาดรอง (Secondary Market) โดยนำหลักทรัพย์จาก Sub-Prime Mortgage มาค้ำประกันการออก CDOs อีกทอดหนึ่งเพื่อให้ได้ราคาดีขึ้น และตั้งแต่ปี 2547 เป็นต้นมา ภาวะฟองสบู่ภาคอสังหาริมทรัพย์สหรัฐกำลังเฟื่องฟู ทำให้อนุพันธ์ชนิดนี้ขายดีเป็นเทน้ำเทท่าและมีการออกใหม่เพิ่มขึ้น โดยในปี 2549 มีปริมาณ CDOs ออกใหม่ถึงประมาณ 5 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ

ด้วยความแรงของ CDOs ทำให้เหล่าวาณิชธนกิจ และ Hedge Fund หัวใสสร้างอนุพันธ์อื่นๆ มารองรับตลาด เช่น Collateralised Loan Obligations (CLOs) อันเป็นการรวมหลาย CDOs เข้าด้วยกันและขายในครั้งเดียว รวมถึงแบ่ง CDOs ออกเป็นหลายเกรดตามความเสี่ยง โดยเกรดที่เสี่ยงที่สุดนั้นจะให้ราคาดีสุดด้วย

นอกจากนั้นยังมีอนุพันธ์อื่นๆ ที่คำนวณอย่างซับซ้อนและยากที่คนธรรมดาจะเข้าใจได้ ซึ่งการออกอนุพันธ์ใหม่ๆ นี้ ทำให้ตลาดซื้อขายอนุพันธ์ของทั้งโลกเฟื่องฟูมาก โดยมีมูลค่าโดยรวมทั้งสิ้นกว่า 533 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งมีขนาดใหญ่เศรษฐกิจทั้งโลกกว่า 13 เท่า และเป็นสาเหตุหนึ่งของสภาวะสภาพคล่องล้นโลกในปัจจุบัน

เมื่อมาแรงจึงล้มดัง เพราะเมื่อภาคอสังหาริมทรัพย์ที่เป็น Underlying Asset ของอนุพันธ์ทั้งหลายทั้งปวงเริ่มมีปัญหา (โดยเฉพาะภาค Sub-Prime ที่มีประมาณการว่าอย่างน้อย 1 ใน 5 ของสินเชื่อชนิดนี้ เริ่มมีปัญหาเบี้ยวหนี้หรือกำลังจะถูกยึด) จึงเริ่มส่งผ่านไปสู่ราคาของ CDOs และอนุพันธ์อื่นๆ ที่ตกต่ำลง แม้ว่าจะถูกคำนวณโดยการแบ่งแยกตามความเสี่ยงที่จะเบี้ยวหนี้ (Default Risk) แล้วก็ตาม แต่หาก Hedge Fund หรือบริษัทการเงินใดลงทุนในอนุพันธ์ที่มีความเสี่ยงสูง ก็ย่อมมีโอกาสขาดทุนสูงเช่นกัน และกองทุนของ Bear Stearns ก็หนีไม่พ้นความเสี่ยงนี้

หากมองโลกในแง่ดีแล้ว ภาวะปั่นป่วนในตลาดเงินทุนโลกขณะนี้ เป็นการดีที่ทำให้เหล่านักลงทุนสถาบันโดยเฉพาะวาณิชธนกิจทั้งหลาย เริ่มหันมาลงทุนในสินทรัพย์ที่มีคุณภาพสูง รวมถึงเข้มงวดในการออกสินเชื่อมากขึ้น เนื่องจากที่ผ่านมาเพราะภาวะฟองสบู่ภาคอสังหาริมทรัพย์สหรัฐ ทำให้เหล่าสถาบันการเงินต่างๆ แข่งกันออกสินเชื่อ ทำให้มีการผ่อนคลายมาตรฐานสินเชื่อจนเกินไป อันเป็นความเสี่ยงต่อทั้งผู้ออกสินเชื่อเองและระบบการเงินรวมถึงเศรษฐกิจ โดยรวม และหากระบบการเงินสหรัฐและทั่วโลกยังคงหละหลวมดังเช่นอดีต อาจนำไปสู่วิกฤติทางการเงินขนาดมหึมาได้

แม้คลื่นระลอกนี้จะซัดเพียงแค่ปราสาททราย แต่หากนักโต้คลื่นการเงินโลกยังคงหลงละเลิงในวังวนแห่งกระแสสภาพคล่องโลก แล้วไซร้ คลื่นลูกหน้าอาจเป็นดังสึนามิที่ถาโถมให้เศรษฐกิจการเงินโลกย่อยยับก็เป็น ได้

-----------------

ผู้ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์คลื่นลมปั่นป่วนมากที่สุด เห็นจะเป็นเหล่ากองทุนประกันความเสี่ยงหรือ Hedge Fund ทั้งหลาย โดยธุรกิจเหล่านี้ต่างทยอยปิดกิจการกันยกใหญ่ เริ่มต้นจากกองทุนของธนาคารยักษ์ใหญ่ UBS ที่ปิดตัวลงเพราะขาดทุนถึง 120 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

ที่มา  http://www.bangkokbizweek.com/20070802/ ... 53491.html
ภาพประจำตัวสมาชิก
ปรัชญา
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 18252
ผู้ติดตาม: 0

ปิดโรงงาน ปี2550

โพสต์ที่ 9

โพสต์

"ไนกี้บุรีรัมย์ยูเนี่ยนชูส์"ลาโรงตาม"สหยูเนี่ยน"

โรงงานตัดเย็บรองเท้าไนกี้ "บุรีรัมย์ ยูเนี่ยน ชูส์"
แจ้งปิดกิจการ 2 แห่งรวด เลิกจ้างแรงงานกว่า 800 คน มีผล พ.ย.นี้
พร้อมจ่ายค่าชดเชยให้พนักงานกว่า 17 ล้าน ขณะที่สิ้นเดือน
ส.ค.นี้บริษัทในเครือก็ประกาศปิดกิจการไปแล้ว 2 แห่ง
ด้านสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานบุรีรัมย์เร่งจัดอบรม
ให้ความรู้ด้านสิทธิแรงงาน เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับกฎหมายหลังถูกเลิกจ้าง

แหล่งข่าวจากสำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัดบุรีรัมย์
เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า
โรงงานตัดเย็บหน้ารองเท้าก่อนประกอบผลิตเป็นรองเท้า
ยี่ห้อไนกี้ของบริษัท บุรีรัมย์ ยูเนี่ยน ชูส์ จำกัด
สาขา ต.โคกกลาง อ.ลำปลายมาศ และสาขา ต.ละลวด อ.ชำนิ รวม 2 แห่ง
ได้แจ้งหยุดกิจการ และเลิกจ้างพนักงานกว่า 800 คน
หลังได้รับผลกระทบจากบริษัทสหยูเนี่ยน อ.บางปะกง จ.ฉะเชิงเทรา ได้ปิดกิจการ
ซึ่งบริษัทพร้อมที่จะจ่ายเงินชดเชยเป็นเงินค่าตอบแทน
วันหยุดพักผ่อนประจำปี และค่าจ้างวันหยุดประจำปีที่ยังไม่ได้ลาให้กับพนักงาน
มูลค่ากว่า 17 ล้านบาท

ทั้งนี้โรงงานดังกล่าวจะหยุดกิจการในเดือนพฤศจิกายน 2550 ส่วนสาเหตุที่ปิดกิจการบริษัทให้เหตุผลว่า เพราะการผลิตประเภทกิจการรองเท้ามีการแข่งขันสูงทำให้มีกำไรน้อย
ขาดแคลนแรงงานที่มีฝีมือ รวมทั้งได้รับผลกระทบจากค่าเงินบาท ทำให้บริษัทไม่สามารถเปิดดำเนินกิจการต่อไปได้

อย่างไรก็ตามก่อนหน้านี้ บริษัท บ้านไผ่ ยูเนี่ยน ฟุทแวร์ จำกัด ตั้งอยู่ที่ อ.พุทไธสง จ.บุรีรัมย์
ได้แจ้งปิดกิจการและเลิกจ้างแรงงานไปแล้ว 2 แห่งเช่นกัน มีแรงงานกว่า 670 คน
โดยทางบริษัทยอมจ่ายค่าชดเชยให้กับแรงงานทั้งหมดเป็นเงินกว่า 9 ล้านบาท ซึ่งมีผลตั้งแต่วันที่ 31 สิงหาคม 2550 นี้
ภาพประจำตัวสมาชิก
ปรัชญา
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 18252
ผู้ติดตาม: 0

ปิดโรงงาน ปี2550

โพสต์ที่ 10

โพสต์

โลกทุนนิยมนี่โหดร้ายจริงๆ ...

ศูนย์ข่าวศรีราชา-บริษัท ยอร์ค อินดัสเตรียล ผลิตแอร์ในนิคมแหลมฉบัง สั่งปิดโรงงานเนื่องจากบริษัทได้ขายโรงงานให้กับบริษัทใหม่ ส่งผลให้คนงานเกือบ 400 ชีวิตต้องตกงาน ด้าน สหภาพแรงงานยันต้องการเข้าทำงานต่อไม่รับข้อเสนออะไรทั้งสิ้น
   
     วันนี้( 4 ก.ย.)พนักงานบริษัท ยอร์ค อินดัสเตรียล (ประเทศไทย)จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของบริษัท Jhonson control เกือบ 400 คน เดินเท้ามาประท้วงกับการนิคมอุตสาหกรรมแหลมฉบัง แห่งประเทศไทย จ.ชลบุรี
   
     นายธวัชชัย ศรีจำนง ประธานสหภาพแรงงานบริษัท ยอร์ค อินดัสเตรียล กล่าวว่า วันนี้พนักงานของโรงงานทั้งหมดได้เดินทางมาทำงานตามปกติ แต่เมื่อมาถึงที่โรงงานกลับพบว่าโรงงานได้ปิด และมีประกาศให้พนักงานทุกคนดินทางไปที่ เทศบาลตำบลแหลมฉบังเพื่อเจรจาเรื่องค่าชดเชยในกรณีปิดโรงงาน แต่สหภาพของบริษัทได้หารือกันว่าจะไม่เดินทางไปเพื่อให้ผู้บริหารมาเจรจา ตกลงกันที่โรงงาน แต่ผู้บริหารจะมาเจรจาที่การนิคมแหลมฉบังฯ จึงเดินขบวนกันมาที่นี่ เพื่อยื่นข้อเสนอให้บริษัทได้รับทราบถึงความต้องการ
   
     หลังจากนั้น ตัวแทนจากสหภาพแรงงานบริษัทยอร์ค อินดัสเตรียล จำนวน 8 คนนำโดยนายธวัชชัย ศรีจำนง ประธานสหภาพแรงงานบริษัทยอร์ค อินดัสเตรียล นายจักรพงษ์ พูลทวี สวัสดิการคุ้มครองแรงงานจังหวัดชลบุรี นางวรรณพร ชูอำนาจ แรงงานจังหวัดชลบุรี นางจินตนา ชาสมบัติ จัดหางานจังหวัดชลบุรี นายสรสิช ลอยกุลนันท์ ประกันสังคมจังหวัดชลบุรี นายบุญเชิด สรแสง ปลัดอำเภอศรีราชา และ Mr.Wayne chee ผู้บริหารบริษัทยอร์ค อินดัสเตรียล และผู้เกี่ยวข้องร่วมหารือ
   
     Mr.Wayne chee ผู้บริหารบริษัทยอร์ค อินดัสเตรียล กล่าวว่า เนื่องจากบริษัท Jhonson control ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของบริษัทยอร์ค อินดัสเตรียล ได้ขายโรงงานที่นิคมอุตสาหกรรมแหลมฉบัง ให้แก่บริษัท SNC FORMER ตั้งแต่เมื่อวานนี้ส่งผลให้บริษัทต้องทำการปิดโรงงานเนื่องจากทรัพย์สินภาย ในโรงงานทั้งหมดได้ตกเป็นของบริษัท SNC FORMER แล้ว
   
     บริษัทยอร์ค อินดัสเตรียล ก็พร้อมที่จะจ่ายเงินทดแทนตามกฎหมายให้กับพนักงานทุกคน คือ เงินค่าบอกเลิกจ้าง หรือค่าตกใจ เงินค่าชดเชย เงินเบี้ยขยัน เงินค่าพักร้อน เงินโบนัสของพนักงานโดยจ่ายให้ภายในสามวัน และเงินช่วยเหลือพิเศษ 30 เปอร์เซ็นต์ ตามอายุงานของพนักงาน เช่นถ้าพนักงานทำงานสิบปี ก็จะได้เงิน 30 เปอร์เซ็นต์ของเงินเดือน 10 เดือน
   
     สำหรับเงินช่วยเหลือพิเศษนี้ บริษัทจะให้พนักงานเซนต์ชื่อรับ ถ้าตกลงเงินส่วนนี้ก็จะจ่ายให้ภายในเจ็ดวัน ส่วนสาเหตุที่ต้องให้พนักงานไปประชุม ที่เทศบาลตำบลแหลมฉบัง เนื่องจากบริษัทไม่สามรถเข้าไปกระทำการใดๆในโรงงานได้อีก จึงได้ปรึกษากับผู้ใหญ่และมีความเห็นให้ไปหาลือที่เทศบาลแหลมฉบัง ส่วนที่ทางสหภาพได้ยื่นข้อเสนอให้รับพนักงานทั้งหมดกลับเข้าทำงาน ไม่สามารถรับปากได้เนื่องจากต้องถามบริษัทใหม่ที่เข้ามาซื้อโรงงานแทน
   
     ด้านนายธวัชชัย ศรีจำนง กล่าว่า สำหรับข้อเสนอของทางบริษัทยอร์ค อินดัสเตรียล นั้นทางสหภาพมีความเห็นว่าจะรับไม่เงินช่วยเหลือพิเศษ สิ่งที่ต้องการในขณะนี้พนักงานทุกคนต้องการเข้าไปทำงาน ต้องการงานทำ และหากไม่ได้มีคำตอบที่ชัดเจนจาก ผู้บริหารบริษัทSNC FORMER ทางสหภาพแรงงานและพนักงานทุกคน จะเดินทางไปยังตลาดหลักทรัพย์และสถานทูตสหรัฐอเมริกา
   
     นายจักรพงษ์ พูลทวี สวัสดิการคุ้มครองแรงงานจังหวัดชลบุรี กล่าวว่า จากการที่ได้พุดคุยกับผู้บริหารบริษัทยอร์ค อินดัสเตรียล ได้เตรียมจ่ายเงินค่าทดแทนเป็นไปตามที่กฎหมายกำหนด สำหรับการที่ไม่บอกเลิกจ้างก่อน กฎหมายก็มีการรับรองไว้โดยการจ่ายเงินทดแทนหรือที่เรียกว่าค่าตกใจ ในส่วนนี้ถ้าทางบริษัทยอร์ค อินดัสเตรียล ได้จ่ายเงินตามที่ตกลงก็ถือว่าไม่ผิดแต่อย่างใด สำหรับเรื่องการรับพนักงานเก่าเข้าทำงาน ต้องขึ้นอยู่กับบริษัทใหม่ว่าจะรับพนักงานส่วนนี้หรือไม่ ซึ่งป็นสิทธิ์ของบริษัทใหม่ที่จะรับหรือไม่รับก็ได้

ที่มา: http://www.manager.co.th/Local/ViewNews ... 0000104266
ภาพประจำตัวสมาชิก
ปรัชญา
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 18252
ผู้ติดตาม: 0

ปิดโรงงาน ปี2550

โพสต์ที่ 11

โพสต์

ประจำวันที่ 27 กันยายน 2550





โรงงานชิ้นส่วนยานยนต์เลิกจ้างคนงาน 900 คน 1 พ.ย.นี้

17:04 น.
นายผดุงศักดิ์ เทพหัสดิน ณ อยุธยา อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.) เปิดเผยว่า
ได้รับรายงานจากสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัดชลบุรี ว่า
บริษัทประกอบกิจการอิเล็กทรอนิกส์และประกอบชิ้นส่วนยานยนต์
ที่ตั้งอยู่ในนิคมอุตสาหกรรมชลบุรี (บ่อวิน) อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี
ได้ประกาศเลิกจ้างพนักงานจำนวนกว่า 900 คน

โดยแยกเป็นพนักงานประจำ 400 คน ลูกจ้างชั่วรายวัน 200 คน
และลูกจ้างเหมาค่าแรง 275 คน มีผลตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายนเป็นต้นไป
สาเหตุการเลิกจ้างทราบว่า
บริษัทดังกล่าวมีการขาดทุนสะสมมาอย่างต่อเนื่อง
ประกอบกับการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยีการผลิต
จึงจำเป็นต้องเลิกจ้างพนักงาน ทั้งนี้ ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ฯ เข้าไปดูแลเรื่องสวัสดิการ
และค่าชดเชยให้กับลูกจ้าง ซึ่งล่าสุดทราบว่า
ทางบริษัทได้ทำการจ่ายค่าจ้างค้างจ่ายและค่าชดเชย
ให้กับลูกจ้างเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
และสั่งให้มีการประสานกับจัดหางานจังหวัดชลบุรี
และพื้นที่ใกล้เคียง เข้าไปช่วยเหลือหาตำแหน่งและรับสมัครคนงานแล้ว

http://breakingnews.nationchannel.com/r ... 837&lang=T
ภาพประจำตัวสมาชิก
ปรัชญา
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 18252
ผู้ติดตาม: 0

ปิดโรงงาน ปี2550

โพสต์ที่ 12

โพสต์

บ.ปูนซีเมนต์ฯ เลิกจ้างพนักงาน 250 คน ทุ่ม 185 ลบ.จ่ายชดเชย

14:20 น.  15พย.2550

   นายผดุงศักดิ์ เทพหัสดิน ณ อยุธยา อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน กล่าวว่า ได้รับรายงานจากผู้ว่าราชการจังหวัดสระบุรีว่า บริษัท ปูนซีเมนต์ นครหลวง จำกัด (มหาชน) จะเลิกจ้างพนักงานจำนวน 250 คน จากทั้งหมด 1,600 คน ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2551 เนื่องจากทางบริษัทประสบกับปัญหาภาวะเศรษฐกิจของประเทศ ตั้งแต่ปี 2549 โดยเฉพาะธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และการก่อสร้าง จึงจำเป็นต้องลดกำลังการผลิตและจำนวนพนักงานลง ทั้งนี้ ได้เสนอให้พนักงานที่สมัครใจเข้าร่วมโครงการออกจากงานด้วยความเห็นชอบร่วมกัน ซึ่งผู้ที่เข้าร่วมจะได้รับเงินช่วยเหลือและสิทธิประโยชน์เป็นกรณีพิเศษ ได้แก่ ได้รับเงินตามอายุงานรวมอีกเงินเดือน 10 เดือน เงินโบนัสคนละ 2.5 เท่าของเงินเดือน และได้รับเงินสิทธิประโยชน์ตามกฎหมาย อาทิ วันลาพักผ่อนประจำปีที่ยังไม่ได้ใช้สิทธิ์ตามอัตราส่วน อย่างไรก็ตาม คาดว่าทางบริษัทต้องใช้เงินจำนวน 185 ล้านบาทในการดำเนินการ
   อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน กล่าวว่า ขณะนี้ได้สั่งการให้ผู้ว่าราชการจังหวัดสระบุรี แจงสิทธิประโยชน์ให้ลูกจ้างรับทราบแล้ว พร้อมประสานกรมการจัดหางานเรื่องหาตำแหน่งงานรองรับ และสำนักงานประกันสังคมให้จ่ายเงินประกันการว่างงาน ทั้งนี้ ไม่ค่อยเป็นห่วงพนักงานดังกล่าว เนื่องจากจะได้รับเงินมาประกอบอาชีพใหม่ได้
yoko
Verified User
โพสต์: 4337
ผู้ติดตาม: 0

ปิดโรงงาน ปี2550

โพสต์ที่ 13

โพสต์

วันที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2550 ปีที่ 31 ฉบับที่ 3959 (3159)

เศรษฐกิจถดถอยออร์เดอร์สินค้าหดตัว โรงงานโคราชเจ๊งปิดกิจการร่วม50แห่ง

เศรษฐกิจถดถอยพ่นพิษ โรงงานโคราชเจ๊งทยอยปิดกิจการแล้วเกือบ 50 โรง ล่าสุดโรงงานรับจ้างผลิตชิ้นส่วนรองเท้า "จักราชยูเนี่ยน ฟุทแวร์" และผู้ผลิตชิ้นส่วนคอมพิเตอร์ "อินโนเวทฯ" ลอยแพแรงงานกว่า 1,000 คน หลังขาดออร์เดอร์มานาน ด้านจัดหางานจังหวัดโคราชพร้อมให้การช่วยเหลือ ผู้ตกงานเต็มที่ ระบุภาคอีสานยังขาดแคลนแรงงานอีกเยอะ โรงงานต้องการผู้ที่จบ ม.3 และ ม.6 จำนวนมาก



นายแสงเงิน ขาวลิขิต จัดหางานจังหวัดนครราชสีมา เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า สถานการณ์ผู้ว่างงานในจังหวัดนครราชสีมาในขณะนี้มีเพียง 1% ซึ่งหากเปรียบในเชิงเศรษฐศาสตร์ถือว่ายังอยู่ในเกณฑ์ที่ไม่น่าเป็นห่วงแต่อย่างใด แต่ที่น่าเป็นห่วงคือ ภาวะเศรษฐกิจต่อจากนี้ไปที่ไม่อาจจะคาดเดาได้ ทำให้หลายคนมองว่าเศรษฐกิจอาจจะตกต่ำยิ่งกว่านี้ และหากเป็นเช่นนั้นจริงจะต้องมีการลดพนักงานลงอีก ซึ่งจะทำให้จำนวนผู้ตกงานเพิ่มมากขึ้น และตกเป็นภาระของสำนักงานจัดหางานที่จะต้องผลักคนให้มีงานทำให้ได้ในที่สุด

ล่าสุดจังหวัดนครราชสีมามีโรงงานที่แจ้งปิดกิจการเข้ามายังสำนักงานจัดหางาน 2 แห่ง คือ บริษัท จักราชยูเนี่ยนฟุทแวร์ จำกัด เป็นบริษัทในเครือยูเนี่ยน จังหวัดฉะเชิงเทรา มีแรงงานทั้งหมด 550 คน ซึ่งบริษัทได้ประกาศปิดตัวลงไปแล้ว เมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน 2550 ที่ผ่านมา ซึ่งก่อนหน้านี้จัดหางานจังหวัดนครราชสีมาและประกันสังคมจังหวัดนครราชสีมา รวมทั้งสถาบันพัฒนาฝีมือแรงงาน ได้เข้าเยี่ยมและประชุมชี้แจงกับคนงานที่ถูกเลิกจ้าง โดยแจ้งว่ามีตำแหน่งงานรองรับรออยู่อีกจำนวนมาก

สำหรับบริษัทอีก 1 แห่งที่แจ้งปิดกิจการ คือบริษัท อินโนเวท (ประเทศไทย) จำกัด ผลิตชิ้นส่วนคอมพิวเตอร์ มีแรงงานทั้งหมด 300 คน สาเหตุมาจากไม่มีออร์เดอร์สินค้า การปิดกิจการของทั้ง 2 บริษัทนี้ทางสำนักงานจัดหางานจังหวัดนครราชสีมา ได้พยายามเฉลี่ยแรงงานเหล่านี้ไปยังโรงงานต่างๆ ให้มากที่สุด เนื่องจากเป็นแรงงานที่มีทักษะที่ดีแล้ว

นายแสงเงิน กล่าวอีกว่า แรงงานที่ต้องออกจากโรงงานทั้ง 2 แห่งนี้ มั่นใจว่า 80-90% จะมีงานรองรับอย่างแน่นอน เพราะได้หาทางช่วยเหลือแล้ว และยังได้นำสถานประกอบการเข้าไปรับสมัครถึงโรงงานด้วย นอกจากนี้ยังได้รับความช่วยเหลือจากศูนย์มีชัย อำเภอจักราชติดต่อโรงงานจาก กรุงเทพฯ ให้มาตั้งศูนย์รับสมัครงาน เพื่อรองรับคนงานที่ตกงานจากทั้ง 2 บริษัทกว่า 1,000 คนได้เกือบทั้งหมด

สำหรับการจ่ายค่าชดเชยให้กับพนักงานที่ถูกเลิกจ้างในโรงงานทั้ง 2 แห่งได้มีการปฏิบัติตามกฎหมายแรงงานทุกประการ โดยได้จ่ายค่าชดเชยและค่าบอกกล่าวล่วงหน้า ส่วนกรณีที่ไม่ได้มีการบอกกล่าวล่วงหน้า สำนักงานประกันสังคมก็พร้อมที่จะพิจารณาสิทธิประกันการว่างงาน ให้ค่าตอบ แทนในระหว่างการว่างงาน

ขณะที่สถานการณ์การขาดแคลนแรงงานในโคราชหรือในภาคอีสานนั้นพบว่า สถานประกอบการในจังหวัดนครราชสีมา ยังต้องการแรงงานระดับล่างเป็นจำนวนมาก ซึ่งสำนักงานจัดหางานได้ให้การช่วยเหลืออย่างเต็มที่ แต่ถือว่ายังไม่ถึงขั้นขาดแคลนแรงงาน ภาพรวมตลาดแรงงานขณะนี้ยังต้องการพนักงานฝ่ายผลิตเป็นจำนวนมาก ที่ต้องการมากที่สุดคือโรงงานต่างๆ ซึ่งต้องการผู้ที่จบ ม.3 และ ม.6 เป็นจำนวนมาก เพราะปัญหาส่วนใหญ่ของประเทศไทยในช่วงนี้คือ ผู้ที่จบปริญญาตรีหรือจบการศึกษาในระดับสูงจะไม่ลงมาทำงานในระดับนี้ นอกจากนี้ในวันที่ 1 มกราคม 2551 จะมีการปรับค่าแรงขั้นต่ำของจังหวัดนคร ราชสีมา จาก 162 บาท เพิ่มเป็น 165 บาทอีกด้วย

"คงจะเป็นเพราะโครงสร้างการผลิตบัณฑิตในบ้านเรา ที่เน้นบัณฑิตที่จบในเชิงสังคมศาสตร์มากเกินไป ประมาณ 50-60% ควรจะมีบัณฑิตที่จบทางด้านวิทยาศาสตร์เฉพาะทางให้มากกว่านี้ "จัดหางานจังหวัดนครราชสีมากล่าว

ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า บริษัท จักราช ยูเนี่ยนฟุทแวร์ จำกัด จดทะเบียนตั้งบริษัทเมื่อ

วันที่ 21 ตุลาคม 2541 ทุนจดทะเบียน 20 ล้านบาท ประเภทธุรกิจ คือ ผลิตหรือรับจ้างผลิตรองเท้า และ ชิ้นส่วนรองเท้า กรรมการบริษัท ได้แก่ นายทรงศักดิ์ ธรรมภิมุขวัฒนา นายพงศ์ศักดิ์ เที่ยงวิบูลย์วงศ์ นางระพีพรรณ สงวนศิษย์ และนายชาญชัย เจียมสกุลทิพย์ ซึ่งผู้บริหารกลุ่มนี้ยังนั่งเป็นกรรมการบริษัทผลิตรองเท้าและรับจ้างผลิตชิ้นส่วนรองเท้าอีกไม่น้อยกว่า 16 บริษัท และก่อนหน้านี้ได้ประกาศปิดโรงงานรับจ้างผลิตชิ้นส่วนรองเท้าที่จังหวัดบุรีรัมย์มาแล้ว 2 แห่ง

นอกจากนี้ข้อมูลจากสำนักงานอุตสาหกรรม จังหวัดนครราชสีมายังพบว่าตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 25550-13 ธันวาคม 2550 มีผู้ประกอบการทยอยปิดกิจการไปแล้วจำนวน 41 ราย

หน้า 32
โพสต์โพสต์