ผลกระทบจากการเติบโตของจีนและความเสี่ยงจากเศรษฐกิจสหรัฐ
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 11443
- ผู้ติดตาม: 0
ผลกระทบจากการเติบโตของจีนและความเสี่ยงจากเศรษฐกิจสหรัฐ
โพสต์ที่ 1
ผมอยากจะตั้งกระท้เกี่ยวกับผลกระทบต่อจะเกิดขึ้น เพราะคิดว่าต้องส่งผลกระทบต่อการลงทนของพวกเราแน่นอนครับ
ที่ส่งผลแล้วก็คือ
การที่เศรษฐกิจจีนเติบโตอย่างมากมายและต่อเนื่อง ทำให้ราคาวัตถดิบต่างๆเพิ่มสงขึ้นอย่างมากและรวดเร็ว เช่น ราคาพวกเคมีต่างๆ ราคาเหล็ก ราคาแร่ต่างๆ ราคาน้ำมัน รวมไปถึงค่าระวางเรือด้วย
ผลกระทบเริ่มเกิดขึ้นต่อบริษัทในไทยแล้ว คือ หลายบริษัทมีต้นทนการผลิตที่เพิ่มสงขึ้นมาก จนทำให้ Margin ลดลงอย่างรวดเร็ว บางบริษัทถึงกับขาดทนเลยเพราะปรับราคาขายไม่ได้ (ประเทศจีนมีต้นทนค่าแรงที่ถกกว่ามาก) เช่น บริษัท Packaging หลายบริษัทผลการดำเนินงานถดถอยลง
ต่อไปจะเกิดอะไรขึ้นอีก
วันนี้อ่านบทความของ ดร.โกร่ง ในหนังสือพิมพ์ประชาชาติธรกิจ แล้วก็มีความกังวลพอสมควร เกี่ยวกับการที่ประเทศจีนและญี่ป่น มีการแทรกแซงค่าเงิน เพื่อไม่ให้ค่าเงินเหรียญอ่อนค่าลง
สหรัฐในทกวันนี้ ผมว่าฐานะทางการเงินการคลังก็มีปัญหามากพอควรแล้ว ขาดดลทั้งบัญชีเดินสะพัด ขาดดลการค้า และขาดดลงบประมาณ อีก และยังไม่สามารถที่จะลดค่าเงินเพื่อลดการขาดดลการค้า และดลบัญชีเดินสะพัดได้
ประเทศจีนและญี่ป่น ปัจจบันนี้ก็นำเงินเหรียญไปซื้อพันธบัตรรัฐบาลเป็นจำนวนมาก
ถ้าเหตการณ์ยังคงเป็นแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ ประเทศสหรัฐก็คงจะมีหนี้เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งผมก็ไม่ร้ว่าเมื่อไรจะถึงจดเสี่ยง
และผมก็ยังไม่ร้ว่าทางออกจะเป็นแบบไหน นอกจากค่าเงินสหรัฐจะต้องลดลงอย่างมาก เพื่อที่จะทำให้ดลการค้า ดลบัญชีเดินสะพัดสมดลครับ
เหตการณ์คล้ายๆกับของไทย เพียงแต่ว่าสหรัฐสามารถพิมพ์ธนบัตรออกมาเท่าไรก็ได้ ไม่ต้องมีเงินทนสำรองหรือทองคำหนนหลังครับ รวมทั้งประเทศในเอเชียยังช่วยกันแทรกแซงเพราะไม่อยากให้ค่าเงินของตนแข็งค่าขึ้น
ถ้าค่าเงินสหรัฐอ่อนตัวลงอย่างรวดเร็วและมาก เงินทนสำรองและทรัพย์สินที่อย่ในรปเงินเหรียญของเอกชนและธนาคารกลางในประเทศต่างๆคงลดค่าลงเป็นจำนวนมาก
เพียงแต่ว่า ดร.โกร่ง มีความเห็นว่าคงจะไม่เกิดในเร็ววัน
Buffett คงจะมองเห็น ถึงได้กระจายการลงทนไปในสกลเงินต่างประเทศบ้าง
ใครมีความเห็นหรือความร้เกี่ยวกับเรื่องนี้ ช่วยวิเคราะห์ให้ฟังหน่อยครับ
ผมว่าการเติบโตของจีนนั้น ทำให้สมดลของโลกเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก และการไม่สมดลนั้นย่อมเป็นสิ่งไม่ดี ในระยะยาวก็ต้องกลับไปสมดล ไม่ว่าด้วยวิธีไหนก็ตามครับ
ที่ส่งผลแล้วก็คือ
การที่เศรษฐกิจจีนเติบโตอย่างมากมายและต่อเนื่อง ทำให้ราคาวัตถดิบต่างๆเพิ่มสงขึ้นอย่างมากและรวดเร็ว เช่น ราคาพวกเคมีต่างๆ ราคาเหล็ก ราคาแร่ต่างๆ ราคาน้ำมัน รวมไปถึงค่าระวางเรือด้วย
ผลกระทบเริ่มเกิดขึ้นต่อบริษัทในไทยแล้ว คือ หลายบริษัทมีต้นทนการผลิตที่เพิ่มสงขึ้นมาก จนทำให้ Margin ลดลงอย่างรวดเร็ว บางบริษัทถึงกับขาดทนเลยเพราะปรับราคาขายไม่ได้ (ประเทศจีนมีต้นทนค่าแรงที่ถกกว่ามาก) เช่น บริษัท Packaging หลายบริษัทผลการดำเนินงานถดถอยลง
ต่อไปจะเกิดอะไรขึ้นอีก
วันนี้อ่านบทความของ ดร.โกร่ง ในหนังสือพิมพ์ประชาชาติธรกิจ แล้วก็มีความกังวลพอสมควร เกี่ยวกับการที่ประเทศจีนและญี่ป่น มีการแทรกแซงค่าเงิน เพื่อไม่ให้ค่าเงินเหรียญอ่อนค่าลง
สหรัฐในทกวันนี้ ผมว่าฐานะทางการเงินการคลังก็มีปัญหามากพอควรแล้ว ขาดดลทั้งบัญชีเดินสะพัด ขาดดลการค้า และขาดดลงบประมาณ อีก และยังไม่สามารถที่จะลดค่าเงินเพื่อลดการขาดดลการค้า และดลบัญชีเดินสะพัดได้
ประเทศจีนและญี่ป่น ปัจจบันนี้ก็นำเงินเหรียญไปซื้อพันธบัตรรัฐบาลเป็นจำนวนมาก
ถ้าเหตการณ์ยังคงเป็นแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ ประเทศสหรัฐก็คงจะมีหนี้เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งผมก็ไม่ร้ว่าเมื่อไรจะถึงจดเสี่ยง
และผมก็ยังไม่ร้ว่าทางออกจะเป็นแบบไหน นอกจากค่าเงินสหรัฐจะต้องลดลงอย่างมาก เพื่อที่จะทำให้ดลการค้า ดลบัญชีเดินสะพัดสมดลครับ
เหตการณ์คล้ายๆกับของไทย เพียงแต่ว่าสหรัฐสามารถพิมพ์ธนบัตรออกมาเท่าไรก็ได้ ไม่ต้องมีเงินทนสำรองหรือทองคำหนนหลังครับ รวมทั้งประเทศในเอเชียยังช่วยกันแทรกแซงเพราะไม่อยากให้ค่าเงินของตนแข็งค่าขึ้น
ถ้าค่าเงินสหรัฐอ่อนตัวลงอย่างรวดเร็วและมาก เงินทนสำรองและทรัพย์สินที่อย่ในรปเงินเหรียญของเอกชนและธนาคารกลางในประเทศต่างๆคงลดค่าลงเป็นจำนวนมาก
เพียงแต่ว่า ดร.โกร่ง มีความเห็นว่าคงจะไม่เกิดในเร็ววัน
Buffett คงจะมองเห็น ถึงได้กระจายการลงทนไปในสกลเงินต่างประเทศบ้าง
ใครมีความเห็นหรือความร้เกี่ยวกับเรื่องนี้ ช่วยวิเคราะห์ให้ฟังหน่อยครับ
ผมว่าการเติบโตของจีนนั้น ทำให้สมดลของโลกเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก และการไม่สมดลนั้นย่อมเป็นสิ่งไม่ดี ในระยะยาวก็ต้องกลับไปสมดล ไม่ว่าด้วยวิธีไหนก็ตามครับ
- harry
- Verified User
- โพสต์: 4200
- ผู้ติดตาม: 0
ผลกระทบจากการเติบโตของจีนและความเสี่ยงจากเศรษฐกิจสหรัฐ
โพสต์ที่ 4
ผมว่าแง่ดีคือ จีนสั่งสินค้าเข้ามากขึ้น หลายๆธุรกิจจะเพิ่มกำลังการผลิตเพื่อส่งเข้าไปขายในจีน แต่ถ้าดูดีๆ จีนก็ยังไม่ได้พร้อม และถ้าทุกคนแห่เข้าไปจีนกันหมด ก็จะมีการแข่งขันสูง ก็จะได้กำไรไม่คุ้มพอ
ส่วนอเมริกา ผมว่าก็เหมือนไทยตอนฟองสบู่แตก เวลาผ่านไป ก็จะค่อยกลับมาสู่ภาวะปกติครับ สักสามสี่ปี
ส่วนอเมริกา ผมว่าก็เหมือนไทยตอนฟองสบู่แตก เวลาผ่านไป ก็จะค่อยกลับมาสู่ภาวะปกติครับ สักสามสี่ปี
Expecto Patronum!!!!!!
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 9795
- ผู้ติดตาม: 0
ผลกระทบจากการเติบโตของจีนและความเสี่ยงจากเศรษฐกิจสหรัฐ
โพสต์ที่ 5
คุณ chatchai ครับ ผมนั้นมือใหม่มากและความรู้น้อย เศรษฐกิจระดับ
มหภาคขนาดนี้ นักวิเคราะห์ระดับโลกยังไม่ขาดเลยครับ อยากจะเป็น
ผู้ฟังมากกว่า
แต่จะพยายามครับ
เริ่มจาก Fact ก่อนเลยนะครับ ระดับความต้องการวัตถุดิบของจีนเพื่อ
ใช้ในการสร้างสาธารณูปโภคของจีนน่าจะอยู่ในระดับสูงไปจนถึงปี
2008 เพื่อเตรียมการสำหรับงาน Expo และ Olympics ที่จะมาถึง
สหรัฐฯ ในขณะเดียวกัน ก็ยังเผชิญวิกฤตการณ์ทางด้านการขาดดุล
งบประมาณอย่างต่อเนื่อง แต่ใน 15 ปีที่ผ่านมา ได้อาณิสงส์จากสงคราม
อ่าวเปอร์เซีย/พายุทะเลทราย การเติบโตของอินเทอร์เน็ตและ NASDAQ
กับการชะลอตัวของเศรษฐกิจเอเชียมาช่วยไว้
แค่สองอย่างนี้ผสมกัน ผมก็นึกภาพไม่ออกแล้วว่า จะมีผลกระทบกับ
เศรษฐกิจโลกขนาดไหน
แถมยังมีปัจจัยที่สามเรื่องน้ำมันอิรัก ถ้าสหรัฐสามารถคุมการผลิตน้ำมัน
ในอิรัก ผลักดันให้อิรักออกจาก OPEC ผลิตน้ำมันและกำหนดราคาตามใจ
ชอบ จีน ญี่ปุ่น และอียู คงจะปั่นป่วนน่าดูครับ
ยังไม่นับระเบิดเวลาของอัล กออิดะที่อาจะตูมเมื่อไหร่ที่ไหนก็ไม่มีใครรู้
ถ้าเป็นการเดินหมาก ตอนนี้ก็ผ่านระยะวางหมากไปแล้วครับ หมากทุกตัว
ผูกกันอย่างน้อยสามถึงสี่ชั้น การเดินเบี้ยผิดก้าวเดียวอาจจะนำไปสู่การ
ตะลุมบอนครั้งใหญ่ได้
แค่คิดก็หนาวแล้วครับ
แต่ในฐานะผู้ดู ผมคงไม่กล้าแทงจีนหรือสหรัฐฯ เพราะท้ายสุดอาจจะแพ้
ทั้งคู่ หรือดีไม่ดีอาจจะถูกอดีตแชมป์โลก (ยุโรป) ดอดกลับมาชิงบัลลังก์
กลายไปสุมาอี้ไปก็ได้
ไม่ทราบว่านักลงทุนท่านอื่นคิดอย่างไรครับ
มหภาคขนาดนี้ นักวิเคราะห์ระดับโลกยังไม่ขาดเลยครับ อยากจะเป็น
ผู้ฟังมากกว่า
แต่จะพยายามครับ
เริ่มจาก Fact ก่อนเลยนะครับ ระดับความต้องการวัตถุดิบของจีนเพื่อ
ใช้ในการสร้างสาธารณูปโภคของจีนน่าจะอยู่ในระดับสูงไปจนถึงปี
2008 เพื่อเตรียมการสำหรับงาน Expo และ Olympics ที่จะมาถึง
สหรัฐฯ ในขณะเดียวกัน ก็ยังเผชิญวิกฤตการณ์ทางด้านการขาดดุล
งบประมาณอย่างต่อเนื่อง แต่ใน 15 ปีที่ผ่านมา ได้อาณิสงส์จากสงคราม
อ่าวเปอร์เซีย/พายุทะเลทราย การเติบโตของอินเทอร์เน็ตและ NASDAQ
กับการชะลอตัวของเศรษฐกิจเอเชียมาช่วยไว้
แค่สองอย่างนี้ผสมกัน ผมก็นึกภาพไม่ออกแล้วว่า จะมีผลกระทบกับ
เศรษฐกิจโลกขนาดไหน
แถมยังมีปัจจัยที่สามเรื่องน้ำมันอิรัก ถ้าสหรัฐสามารถคุมการผลิตน้ำมัน
ในอิรัก ผลักดันให้อิรักออกจาก OPEC ผลิตน้ำมันและกำหนดราคาตามใจ
ชอบ จีน ญี่ปุ่น และอียู คงจะปั่นป่วนน่าดูครับ
ยังไม่นับระเบิดเวลาของอัล กออิดะที่อาจะตูมเมื่อไหร่ที่ไหนก็ไม่มีใครรู้
ถ้าเป็นการเดินหมาก ตอนนี้ก็ผ่านระยะวางหมากไปแล้วครับ หมากทุกตัว
ผูกกันอย่างน้อยสามถึงสี่ชั้น การเดินเบี้ยผิดก้าวเดียวอาจจะนำไปสู่การ
ตะลุมบอนครั้งใหญ่ได้
แค่คิดก็หนาวแล้วครับ
แต่ในฐานะผู้ดู ผมคงไม่กล้าแทงจีนหรือสหรัฐฯ เพราะท้ายสุดอาจจะแพ้
ทั้งคู่ หรือดีไม่ดีอาจจะถูกอดีตแชมป์โลก (ยุโรป) ดอดกลับมาชิงบัลลังก์
กลายไปสุมาอี้ไปก็ได้
ไม่ทราบว่านักลงทุนท่านอื่นคิดอย่างไรครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 2509
- ผู้ติดตาม: 0
ผลกระทบจากการเติบโตของจีนและความเสี่ยงจากเศรษฐกิจสหรัฐ
โพสต์ที่ 7
ตอนที่เราทำ FTA กับจีน ก็คาดหวังว่า เราจะได้ดุลการค้าเพิ่มขึ้น (แน่นอนว่า จีนก็คงคิดแบบเดียวกัน)
เรามองว่า จีนมีประชากรมากกว่าเรามาก น่าจะมีกำลังซื้อสูง ถ้าสินค้าของเรามีราคาจูงใจ (ถ้าในแง่เดียวกันนี้ แล้วจีนล่ะ เขาคิดยังไงถึงจะเปิดเสรีกับเรา)
ความจริงที่เกิดขึ้นตอนนี้ สินค้าหลายอย่าง ที่ผมทราบคือ พืช ผัก ผลไม้ จากจีน มีราคาถูกลง และทำให้เกิดการนำเข้าสูงขึ้นมาก จนสินค้าบางอย่างที่ผลิตในประเทศเริ่มถูกตีตลาด
ไม่ทราบว่าทางจีนเขามีสินค้าที่ถูกเราตีตลาดบ้างมั้ย
เรามองว่า จีนมีประชากรมากกว่าเรามาก น่าจะมีกำลังซื้อสูง ถ้าสินค้าของเรามีราคาจูงใจ (ถ้าในแง่เดียวกันนี้ แล้วจีนล่ะ เขาคิดยังไงถึงจะเปิดเสรีกับเรา)
ความจริงที่เกิดขึ้นตอนนี้ สินค้าหลายอย่าง ที่ผมทราบคือ พืช ผัก ผลไม้ จากจีน มีราคาถูกลง และทำให้เกิดการนำเข้าสูงขึ้นมาก จนสินค้าบางอย่างที่ผลิตในประเทศเริ่มถูกตีตลาด
ไม่ทราบว่าทางจีนเขามีสินค้าที่ถูกเราตีตลาดบ้างมั้ย
-
- Verified User
- โพสต์: 2513
- ผู้ติดตาม: 0
ผลกระทบจากการเติบโตของจีนและความเสี่ยงจากเศรษฐกิจสหรัฐ
โพสต์ที่ 8
ตีตลาดเลยเหรอ.. ไม่มั้งครับ มีแต่คนมองว่าอีก 5 ปี ถ้าเมืองไทยไม่ทำอะไรจีนจะตีตลาดสินค้าส่งออกของไทยหลายๆอย่าง
มีโรงไฟฟ้าของ SUC ในจีน เรียกว่าตีตลาดหรือเปล่านะ หุๆๆ
มีโรงไฟฟ้าของ SUC ในจีน เรียกว่าตีตลาดหรือเปล่านะ หุๆๆ
เสรีภาพก็เหมือนอากาศที่เราไม่อาจมองเห็นด้วยตา แต่จะรู้สึกได้ในทันทีหากมีมันอยู่เบาบางหรือขาดหายไป
-จีรนุช เปรมชัยพร
-จีรนุช เปรมชัยพร
-
- Verified User
- โพสต์: 329
- ผู้ติดตาม: 0
ผลกระทบจากการเติบโตของจีนและความเสี่ยงจากเศรษฐกิจสหรัฐ
โพสต์ที่ 9
เมื่อต้นปี คนขายเหล็กบอกว่าจะขึ้นราคาทุกไตรมาส ไตรมาสละ 20 เปอร์เซ็นต์ ยังตกใจอยู่เลยว่าเอาจริงหรือนี่ ส่วนปูนก็ขึ้นราคาเป็นปกติอยู่แล้ว โดยขึ้นเป็นระลอกๆ รายครึ่งปี รายไตรมาส
คงต้องรอจนโอลิมปิคผ่านไป การก่อสร้างในจีนน่าจะชะลอตัวลงบ้าง เมื่อนั้น เหล็กอาจจะล้นตลาด ราคาก็น่าจะต่ำลง
ตอนนี้ถึงเปิดเสรียังไงก็ไม่ได้ช่วยมากเพราะราคาเหล็กขึ้นทั้งโลก ไม่ใช่แค่เมืองไทย
ส่วนผลไม้ เคยอ่านเจอว่า ถึงผลไม้จีนจะมาตีตลาดในไทย แต่ผลไม้ไทยก็เป็นที่นิยมในตลาดจีนมากเช่นกันๆ เดี๋ยวนี้จะเห็น กล้วย ทุเรียน มะม่วง วางขายเกลื่อนกลาดในเมืองคุนหมิง ส่วนทางเหนือของไทยจะเห็นสาลี่ แอปเปิล ลูกแพร์ ลูกพีช ลูกท้อของจีนวางขายเต็มไปหมด
ตลาดจีนใหญ่โตมาก เขาผลิตอาหารเองยังไงก็ไม่เพียงพอสำหรับคนของเขา
ส่วนสินค้าอื่นๆระยะแรกไทยอาจจะถูกตีตลาดเพราะเรื่องราคา แต่เมื่อพิจารณาคุณภาพแล้ว สุดท้ายตลาดบางส่วนจะกลับมาสั่งของกับไทย เพราะสินค้าราคาถูกคุณภาพก็สมราคาไปด้วย ดังนั้นสินค้าบางชนิดที่ต้องการฝีมือมากกว่า ก็จะกลับมายังเมืองไทย ผู้สั่งสินค้าบางชนิดจากอเมริกาเคยบ่นมาว่า สั่งของจากจีนไปแล้ว ของที่ได้รับคุณภาพไม่เป็นที่น่าพอใจ อยากจะสั่งของกับไทยแทน
ยิ่งตอนนี้เศรษฐกิจในเมืองใหญ่เช่นเซี่ยงไฮ้ กวางโจว ค่าครองชีพสูงมากๆ ราคาสินค้าก็สูงขึ้นตาม บางอย่างราคาเท่ากับหรือแพงกว่าเมืองไทยแล้ว
รายงานตามที่ประสบมา แต่ไม่กล้าวิเคราะห์ค่ะ
คงต้องรอจนโอลิมปิคผ่านไป การก่อสร้างในจีนน่าจะชะลอตัวลงบ้าง เมื่อนั้น เหล็กอาจจะล้นตลาด ราคาก็น่าจะต่ำลง
ตอนนี้ถึงเปิดเสรียังไงก็ไม่ได้ช่วยมากเพราะราคาเหล็กขึ้นทั้งโลก ไม่ใช่แค่เมืองไทย
ส่วนผลไม้ เคยอ่านเจอว่า ถึงผลไม้จีนจะมาตีตลาดในไทย แต่ผลไม้ไทยก็เป็นที่นิยมในตลาดจีนมากเช่นกันๆ เดี๋ยวนี้จะเห็น กล้วย ทุเรียน มะม่วง วางขายเกลื่อนกลาดในเมืองคุนหมิง ส่วนทางเหนือของไทยจะเห็นสาลี่ แอปเปิล ลูกแพร์ ลูกพีช ลูกท้อของจีนวางขายเต็มไปหมด
ตลาดจีนใหญ่โตมาก เขาผลิตอาหารเองยังไงก็ไม่เพียงพอสำหรับคนของเขา
ส่วนสินค้าอื่นๆระยะแรกไทยอาจจะถูกตีตลาดเพราะเรื่องราคา แต่เมื่อพิจารณาคุณภาพแล้ว สุดท้ายตลาดบางส่วนจะกลับมาสั่งของกับไทย เพราะสินค้าราคาถูกคุณภาพก็สมราคาไปด้วย ดังนั้นสินค้าบางชนิดที่ต้องการฝีมือมากกว่า ก็จะกลับมายังเมืองไทย ผู้สั่งสินค้าบางชนิดจากอเมริกาเคยบ่นมาว่า สั่งของจากจีนไปแล้ว ของที่ได้รับคุณภาพไม่เป็นที่น่าพอใจ อยากจะสั่งของกับไทยแทน
ยิ่งตอนนี้เศรษฐกิจในเมืองใหญ่เช่นเซี่ยงไฮ้ กวางโจว ค่าครองชีพสูงมากๆ ราคาสินค้าก็สูงขึ้นตาม บางอย่างราคาเท่ากับหรือแพงกว่าเมืองไทยแล้ว
รายงานตามที่ประสบมา แต่ไม่กล้าวิเคราะห์ค่ะ

-
- ผู้ติดตาม: 0
ผลกระทบจากการเติบโตของจีนและความเสี่ยงจากเศรษฐกิจสหรัฐ
โพสต์ที่ 10
คุณเจ๋งก็จบวิศวะจุฬาหรือครับวันนี้เจอวิศวะจุฬา รหัส 27 เป็นระดับใหญ่พอควรในปูนกลาง บอกว่า จีนประเทศเดียว ป่วนไปหมด เพราะ ทั้งเหล็ก ทั้งปูน ทั้งเรือ มุ่งหน้าเข้าจีนหมดเลย
-
- ผู้ติดตาม: 0
ผลกระทบจากการเติบโตของจีนและความเสี่ยงจากเศรษฐกิจสหรัฐ
โพสต์ที่ 11
ร่วมแสดงความคิดเห็นครับ
Warren เริ่มซื้อเงินสกุลอื่นๆ(เข้าใจเอาเองว่าเป็น ยูโร เยน และสวิสฟรังก์ เป็นหลัก) มาตั้งแต่ spring 2002แล้วครับ มาจากความกังวลว่า Dollar จะต้องตกเนื่องจาก Triple deficit โดยเฉพาะดุลการค้าและพันธบัตรที่สูงมาก ซึ่งสูงขนาดที่ว่าหากเป็นประเทศอื่นค่าเงินคงโดนโจมตีและลดค่าไปเรียบร้อยแล้ว แต่เนื่องจาก US เป็นประเทศที่ทุกคนต้องการถือสกุลเงินเป็นสกุลสำรองทำให้สามารถพิมพ์เงินออกมาไม่จำกัด ประกอบกับความเป็น Super Power(มีคนเคยเปรียบเทียบว่ามากที่สุดหลังจาก Roman Empire) ทำให้ยังสามารถที่จะกู้เงินคนอื่นๆมาได้เรื่อยๆ โดยเฉพาะจากประเทศที่ได้ดุลการค้าคือจีนกับญี่ปุ่น ถ้ามองอย่างง่ายๆก็คือ จีนกับญี่ปุ่นให้ US กู้เงินมาซื้อสินค้าที่ตนผลิต ซึ่งมันจะดำรงอยู่ได้ตราบเท่าที่ความเชื่อมันยังคงอยู่ อันนี้คือมองในแง่ร้ายที่สุดนะครับ แต่ถ้ามองในแง่ดีก็คือ US เป็นประเทศที่มี Innovativeและยืดหยุ่น ค่อนข้างมาก ดังนั้นการค้าขายก็จะขายอะไรที่ใช้สมองคิดเป็นหลักเช่น software ในปัจจุบัน ก็อาจเป็นได้ว่า(แต่อาจจะน้อยกว่า) การค้นพบเทคโนโลยีใหม่ๆ เช่นนาโนเทคเป็นต้นอาจจะปรับดุลการค้านี้ใหม่ได้ ดังนั้นในระยะสั้นถึงกลางการลดค่าเงินจึงเป็นทางเลือกแรกๆ แต่การลดค่าจะเป็นอย่างไรหากค่อยๆลดให้ทุกประเทศปรับตามก็น่าจะดีกว่า แต่หากเกิดการลดอย่างทันทีทันใดรับรองว่าเกิด recession ทั่วโลกแน่นอน Warren แกเลยเสนอให้ใช้ Import Certificate มาช่วยน่ะครับ ถ้าสนใจลองหาอ่านดูได้ใน ใน Fortune ครับ
มาที่ญี่ปุ่นบ้าง ญี่ปุ่นค่อนข้างชินกับการแข็งค่าของเงินเยนนะครับ หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ค่าเงินเยน 400 เยน= 1 Dollar ครับ แล้วก็แข็งค่าขึ้นมาเรื่อยๆจนสูงสุดที่ ประมาณ 80 เยน(ประมาณปี 95 ) การแข็งค่าของเงินเยนทันทีเมื่อหลัง Plaza Accordนี่แหละครับเป็นสาเหตุให้ไทยบูมอย่างรวดเร็วเมื่อยุคน้าชาติ(ปี 87-88) เนื่องจากการย้ายฐานการผลิตของญี่ปุ่นเข้ามายัง SEA เพื่อจะยังคงความสามารถในการส่งออกไปยัง OECD ซึ่งตอนนั้นก็คล้ายๆกับตอนนี้ครับที่ราคา Commodityก็สูงขึ้นช่วงหนึ่ง เนื่องจากDemand ของประเทศ SEA ในการสร้างประเทศ ญี่ปุ่นก็กลัวว่าเงินแยนจะแข็งครับสำหรับรอบนี้จึงทุ่มซื้อดอลลาร์ แต่ญี่ปุ่นสามารถทำได้ครับเพราะปัจจุบันสภาพ zero inlation นั้นเหมาะอย่างยิ่งถ้ารัฐบาลจะพิมพ์เงินเพิ่มเพื่อซื้อดอลลาร์เก็บครับ
สถานการณ์เป็นไปในทางตรงกันข้ามสำหรับจีนครับ เนื่องจากประเทศกำลัง boom จากการเป็นฐานการส่งออกสินค้า me too product ไป OECD โดยเฉพาะ US จีนก็ไม่อยากเห็น yuan แข็งหรือดอลลาร์อ่อน เนื่องจากปัจจุบัน Inflation ก็สูงอยู่แล้วหากพิมพ์เงินเพิ่มก็จะยิ่งเพิ่มความเสี่ยงของ Asset Price Bubble ซึ่งปัจจุบันสูงมากอยู่แล้วเมื่อพิจารณาจากราคา Property ในเมืองใหญ่ๆเช่น Shanghai ประกอบกับสภาพของ bank จีนที่ส่วนใหญ่มาจาก Bank รัฐวิสาหกิจ ที่มีปัญหาทั้ง regulatory และการปล่อยกู้ให้รัฐวิสาหกิจที่ประสิทธิภาพต่ำ ก็อ่อนแออย่างยิ่งที่จะรับสภาพหากเกิดเหตุการณ์อย่างเช่นดุลการค้าตกต่ำ(คล้ายๆกับไทยช่วงปี 97 ) อย่างไรก็ตาม จีนมีความพิ้เศษอยุ่หลายอย่าง ความเป็นประเทศยักษ์ มีทรัพยกรอยู่ได้ด้วยตนเอง(Self contain)ในระดับหนึ่ง(เช่นมีน้ำมันเองบางส่วนเป็นต้น) เคยมีนักเศรษฐศาสตร์ของ Morgan Stanly ประมาณว่า จีนมีแรงงานประมาณ 750 ล้านคน และปัจจุบันมีการอพยพเข้ามาเป็นแรงงานในเมืองเพียงแค่ครึ่งหนึ่งส่วนที่เหลือก็จะมีการอพยพทุกๆปีปีละ 10 ล้านคน ทำให้อาจจะต้องใช้เวลานานถึง 3 ทศวรรษกว่าแรงงานทั้งหมดจะมีงานทำและสามารถปรับค่าแรงได้ นอกจากนั้นจากความที่มีขนาดใหญ่มาก ประมาณว่า Industrilaiztion ของจีน จะต้องใช้ resources ในการสร้างมากกว่า reconstruction ของ ยุโรปและญี่ปุ่นรวมกันหลังสงครามโลกครั้งที่2 ทำให้อะไรก็ตามที่จีนผลิตไม่ได้เช่น natural resource ต่างๆจะมีราคาสูงขึ้น ส่วนอะไรที่จีนผลิตได้ก็จะมีราคาถูกลง นอกจากนั้นจากการที่มีแรงงานหลือเฟือขนาดนั้นก็คาดว่า จะเกิดการแข่งขันอย่างมากในบรรดาบริษัทของจีนด้วยกันทำให้ Profit Margin จะยิ่งหดลงครับ นี่ยังไม่นับการแข่งขันจากอินเดียทีเริ่มจะเข้าสู่ตลาดมากขึ้นเรื่อยๆเหมือนจีนในช่วงต้น
จากที่เห็นทั้งหมดเข้าใจว่าคงจะต้องมีการเปลี่ยนแปลงอย่างแน่นอนในระดับมหภาคครับแต่จะเป็นเมื่อไรเท่านั้น
อยากได้ความคิดเห็นและข้อมูลจากท่านอื่นเพิ่มเติมด้วยนะครับ
Warren เริ่มซื้อเงินสกุลอื่นๆ(เข้าใจเอาเองว่าเป็น ยูโร เยน และสวิสฟรังก์ เป็นหลัก) มาตั้งแต่ spring 2002แล้วครับ มาจากความกังวลว่า Dollar จะต้องตกเนื่องจาก Triple deficit โดยเฉพาะดุลการค้าและพันธบัตรที่สูงมาก ซึ่งสูงขนาดที่ว่าหากเป็นประเทศอื่นค่าเงินคงโดนโจมตีและลดค่าไปเรียบร้อยแล้ว แต่เนื่องจาก US เป็นประเทศที่ทุกคนต้องการถือสกุลเงินเป็นสกุลสำรองทำให้สามารถพิมพ์เงินออกมาไม่จำกัด ประกอบกับความเป็น Super Power(มีคนเคยเปรียบเทียบว่ามากที่สุดหลังจาก Roman Empire) ทำให้ยังสามารถที่จะกู้เงินคนอื่นๆมาได้เรื่อยๆ โดยเฉพาะจากประเทศที่ได้ดุลการค้าคือจีนกับญี่ปุ่น ถ้ามองอย่างง่ายๆก็คือ จีนกับญี่ปุ่นให้ US กู้เงินมาซื้อสินค้าที่ตนผลิต ซึ่งมันจะดำรงอยู่ได้ตราบเท่าที่ความเชื่อมันยังคงอยู่ อันนี้คือมองในแง่ร้ายที่สุดนะครับ แต่ถ้ามองในแง่ดีก็คือ US เป็นประเทศที่มี Innovativeและยืดหยุ่น ค่อนข้างมาก ดังนั้นการค้าขายก็จะขายอะไรที่ใช้สมองคิดเป็นหลักเช่น software ในปัจจุบัน ก็อาจเป็นได้ว่า(แต่อาจจะน้อยกว่า) การค้นพบเทคโนโลยีใหม่ๆ เช่นนาโนเทคเป็นต้นอาจจะปรับดุลการค้านี้ใหม่ได้ ดังนั้นในระยะสั้นถึงกลางการลดค่าเงินจึงเป็นทางเลือกแรกๆ แต่การลดค่าจะเป็นอย่างไรหากค่อยๆลดให้ทุกประเทศปรับตามก็น่าจะดีกว่า แต่หากเกิดการลดอย่างทันทีทันใดรับรองว่าเกิด recession ทั่วโลกแน่นอน Warren แกเลยเสนอให้ใช้ Import Certificate มาช่วยน่ะครับ ถ้าสนใจลองหาอ่านดูได้ใน ใน Fortune ครับ
มาที่ญี่ปุ่นบ้าง ญี่ปุ่นค่อนข้างชินกับการแข็งค่าของเงินเยนนะครับ หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ค่าเงินเยน 400 เยน= 1 Dollar ครับ แล้วก็แข็งค่าขึ้นมาเรื่อยๆจนสูงสุดที่ ประมาณ 80 เยน(ประมาณปี 95 ) การแข็งค่าของเงินเยนทันทีเมื่อหลัง Plaza Accordนี่แหละครับเป็นสาเหตุให้ไทยบูมอย่างรวดเร็วเมื่อยุคน้าชาติ(ปี 87-88) เนื่องจากการย้ายฐานการผลิตของญี่ปุ่นเข้ามายัง SEA เพื่อจะยังคงความสามารถในการส่งออกไปยัง OECD ซึ่งตอนนั้นก็คล้ายๆกับตอนนี้ครับที่ราคา Commodityก็สูงขึ้นช่วงหนึ่ง เนื่องจากDemand ของประเทศ SEA ในการสร้างประเทศ ญี่ปุ่นก็กลัวว่าเงินแยนจะแข็งครับสำหรับรอบนี้จึงทุ่มซื้อดอลลาร์ แต่ญี่ปุ่นสามารถทำได้ครับเพราะปัจจุบันสภาพ zero inlation นั้นเหมาะอย่างยิ่งถ้ารัฐบาลจะพิมพ์เงินเพิ่มเพื่อซื้อดอลลาร์เก็บครับ
สถานการณ์เป็นไปในทางตรงกันข้ามสำหรับจีนครับ เนื่องจากประเทศกำลัง boom จากการเป็นฐานการส่งออกสินค้า me too product ไป OECD โดยเฉพาะ US จีนก็ไม่อยากเห็น yuan แข็งหรือดอลลาร์อ่อน เนื่องจากปัจจุบัน Inflation ก็สูงอยู่แล้วหากพิมพ์เงินเพิ่มก็จะยิ่งเพิ่มความเสี่ยงของ Asset Price Bubble ซึ่งปัจจุบันสูงมากอยู่แล้วเมื่อพิจารณาจากราคา Property ในเมืองใหญ่ๆเช่น Shanghai ประกอบกับสภาพของ bank จีนที่ส่วนใหญ่มาจาก Bank รัฐวิสาหกิจ ที่มีปัญหาทั้ง regulatory และการปล่อยกู้ให้รัฐวิสาหกิจที่ประสิทธิภาพต่ำ ก็อ่อนแออย่างยิ่งที่จะรับสภาพหากเกิดเหตุการณ์อย่างเช่นดุลการค้าตกต่ำ(คล้ายๆกับไทยช่วงปี 97 ) อย่างไรก็ตาม จีนมีความพิ้เศษอยุ่หลายอย่าง ความเป็นประเทศยักษ์ มีทรัพยกรอยู่ได้ด้วยตนเอง(Self contain)ในระดับหนึ่ง(เช่นมีน้ำมันเองบางส่วนเป็นต้น) เคยมีนักเศรษฐศาสตร์ของ Morgan Stanly ประมาณว่า จีนมีแรงงานประมาณ 750 ล้านคน และปัจจุบันมีการอพยพเข้ามาเป็นแรงงานในเมืองเพียงแค่ครึ่งหนึ่งส่วนที่เหลือก็จะมีการอพยพทุกๆปีปีละ 10 ล้านคน ทำให้อาจจะต้องใช้เวลานานถึง 3 ทศวรรษกว่าแรงงานทั้งหมดจะมีงานทำและสามารถปรับค่าแรงได้ นอกจากนั้นจากความที่มีขนาดใหญ่มาก ประมาณว่า Industrilaiztion ของจีน จะต้องใช้ resources ในการสร้างมากกว่า reconstruction ของ ยุโรปและญี่ปุ่นรวมกันหลังสงครามโลกครั้งที่2 ทำให้อะไรก็ตามที่จีนผลิตไม่ได้เช่น natural resource ต่างๆจะมีราคาสูงขึ้น ส่วนอะไรที่จีนผลิตได้ก็จะมีราคาถูกลง นอกจากนั้นจากการที่มีแรงงานหลือเฟือขนาดนั้นก็คาดว่า จะเกิดการแข่งขันอย่างมากในบรรดาบริษัทของจีนด้วยกันทำให้ Profit Margin จะยิ่งหดลงครับ นี่ยังไม่นับการแข่งขันจากอินเดียทีเริ่มจะเข้าสู่ตลาดมากขึ้นเรื่อยๆเหมือนจีนในช่วงต้น
จากที่เห็นทั้งหมดเข้าใจว่าคงจะต้องมีการเปลี่ยนแปลงอย่างแน่นอนในระดับมหภาคครับแต่จะเป็นเมื่อไรเท่านั้น
อยากได้ความคิดเห็นและข้อมูลจากท่านอื่นเพิ่มเติมด้วยนะครับ
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 11443
- ผู้ติดตาม: 0
ผลกระทบจากการเติบโตของจีนและความเสี่ยงจากเศรษฐกิจสหรัฐ
โพสต์ที่ 12
ขอบคณสำหรับความเห็นของคณ AAA ครับ
เท่าที่อ่าน สถานการณ์น่าจะดำเนินเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ คือ สหรัฐก็จะขาดดลการค้า ขาดดลบัญชีเดินสะพัด และงบประมาณ รวมทั้งมีหนี้สินมากขึ้นเรื่อยๆ
ซึ่งผมเห็นว่าสดท้ายสหรัฐคงแย่เพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ เพียงแต่เมื่อไรละครับที่สถานการณ์จะทนไม่ไหวครับ
ผมกลัวว่ายิ่งน้ำมากเท่าไร ถ้าเขื่อนแตกละก็น้ำคงจะท่วมรนแรงและพัดพาสิ่งต่างๆหายไปหมดครับ
แล้วมีทางออกไหมครับ ที่จะไม่เกิดผลกระทบอย่างรนแรงไปทั่วโลกครับ
เท่าที่อ่าน สถานการณ์น่าจะดำเนินเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ คือ สหรัฐก็จะขาดดลการค้า ขาดดลบัญชีเดินสะพัด และงบประมาณ รวมทั้งมีหนี้สินมากขึ้นเรื่อยๆ
ซึ่งผมเห็นว่าสดท้ายสหรัฐคงแย่เพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ เพียงแต่เมื่อไรละครับที่สถานการณ์จะทนไม่ไหวครับ
ผมกลัวว่ายิ่งน้ำมากเท่าไร ถ้าเขื่อนแตกละก็น้ำคงจะท่วมรนแรงและพัดพาสิ่งต่างๆหายไปหมดครับ
แล้วมีทางออกไหมครับ ที่จะไม่เกิดผลกระทบอย่างรนแรงไปทั่วโลกครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 93
- ผู้ติดตาม: 0
ผลกระทบจากการเติบโตของจีนและความเสี่ยงจากเศรษฐกิจสหรัฐ
โพสต์ที่ 13
อันนี้เจอกับตัวเลยครับ ปกติแล้วที่บ้านผมจะค้าขายทางด้านการ์เมนต์ ทำมานานแล้วครับ .. หลังจากที่จีนเปลี่ยนแปลงตัวเองครังใหญ่ไปหนึ่งยก บวกกับคนจำนวนมหาศาลของจีน(ค่าแรงถูก) ทำให้ต้นทุนการ์เมนต์ของจีนถูกกว่าไทย ตอนนี้เลยเป็นเรื่องเลยครับ การ์เมนต์รายย่อยในไทยค่อยๆล้มหายตายจากไปเรื่อยๆ ครับ ที่บ้านผมก้อเป็นหนึ่งในนั้นครับ
อีกเรื่องนึง ผมมีญาติสนิทอยู่คนนึง (เป็นคนไทย) เค้าไปมีครอบครัวที่ฮ่องกง เค้าเล่าให้ฟังว่าตั้งแต่จีนเปิดประเทศ จีนก้ออนุญาติให้คนจีนแผ่นดินใหญ่เข้ามาฮ่องกงได้วันละ 150 คน ... ด้วยเพดานขั้นต่ำในเรื่องค่าแรงที่ต่างกันมากระหว่างคนฮ่องกงเองกันคนจีน ทีนี้เค้าก้อหันมาจ้างคนจีน(เพราะค่าแรงถูกกว่ามาก) ทีนี้คนฮ่องกง(ระดับล่าง) ก้อตกงานกันเป็นแถว ... ทีนี้เรื่องเลยบานปลายมารัฐบาลฮ่องกงครับ - เพราะรัฐบาลฮ่องกงเค้ามีนโยบายช่วยเหลือประชาชนของเค้า(ฮ่องกง) ด้วยการให้เงินเป็นรายเดือน - แล้วมันก้อ
ส่งผลกระทบต่อๆกันมา
สุดท้าย ผมว่าจีนกำลังรีบขยายตัวมากๆ ส่งผลให้ต้องใช้พลังงานมากขึ้นตามไปด้วย - เคยไป 2 ครั้งในระยะเวลาที่ห่างกันพอควร จีนเปลี่ยนไปเยอะมากครับ ส่วนตัว ... ผมว่าจีนกำลังหิวครับ
อีกเรื่องนึง ผมมีญาติสนิทอยู่คนนึง (เป็นคนไทย) เค้าไปมีครอบครัวที่ฮ่องกง เค้าเล่าให้ฟังว่าตั้งแต่จีนเปิดประเทศ จีนก้ออนุญาติให้คนจีนแผ่นดินใหญ่เข้ามาฮ่องกงได้วันละ 150 คน ... ด้วยเพดานขั้นต่ำในเรื่องค่าแรงที่ต่างกันมากระหว่างคนฮ่องกงเองกันคนจีน ทีนี้เค้าก้อหันมาจ้างคนจีน(เพราะค่าแรงถูกกว่ามาก) ทีนี้คนฮ่องกง(ระดับล่าง) ก้อตกงานกันเป็นแถว ... ทีนี้เรื่องเลยบานปลายมารัฐบาลฮ่องกงครับ - เพราะรัฐบาลฮ่องกงเค้ามีนโยบายช่วยเหลือประชาชนของเค้า(ฮ่องกง) ด้วยการให้เงินเป็นรายเดือน - แล้วมันก้อ
ส่งผลกระทบต่อๆกันมา
สุดท้าย ผมว่าจีนกำลังรีบขยายตัวมากๆ ส่งผลให้ต้องใช้พลังงานมากขึ้นตามไปด้วย - เคยไป 2 ครั้งในระยะเวลาที่ห่างกันพอควร จีนเปลี่ยนไปเยอะมากครับ ส่วนตัว ... ผมว่าจีนกำลังหิวครับ