ค่า PEG น้อยกว่า 1 แต่ PE สูงจะดีกว่า

การลงทุนแบบเน้นคุณค่า เน้นที่ปัจจัยพื้นฐานเป็นหลัก

โพสต์ โพสต์
sunnyvi
Verified User
โพสต์: 186
ผู้ติดตาม: 0

ค่า PEG น้อยกว่า 1 แต่ PE สูงจะดีกว่า

โพสต์ที่ 1

โพสต์

หุ้นไหนให้ผลตอบแทนเมื่อถือไว้ 5 ปี

1. หุ้นที่ PE 15  และมี การเติบโต 15%  ปันผล 5%

2. หุ้นที่ PE 10 และมีการเติบโต 10% ปันผล 5%

3. หุ้นที่ PE 5  โต 5% และปันผล 5%


ฝากเซี่ยนๆ ช่วยแสดงการคำนวณด้วยครับ
เดินให้ถึงจุดหมาย
อย่างมีความสุข
Torani
Verified User
โพสต์: 15
ผู้ติดตาม: 0

ค่า PEG น้อยกว่า 1 แต่ PE สูงจะดีกว่า

โพสต์ที่ 2

โพสต์

หุ้นพีอี 15 เท่า ควรได้ปันผลน้อยกว่า พีอี 5 เท่านะครับในความเป็นจริง

ถ้าโตตามที่คุณ suriya บอก

หุ้นพีอี 5 เท่าอีกห้าปี พีอีจะเหลือ 3.92
หุ้นพีอี 10 เท่าอีกห้าปี พีอีจะเหลือ 6.21
หุ้นพีอี 5 เท่าอีกห้าปี พีอีจะเหลือ 7.46

ได้ปันผลเท่ากันรวม 25 %

ถ้ายาวมากกว่านั้น หุ้น pe5 พีอีจะเท่ากับ pe10 ปีที่ 14
และ pe5 พีอีจะเท่ากับ pe15 ปีที่ 12  


ส่วนหุ้น pe10 พีอีจะเท่า pe15 ปีที่ 9

สรุป หุ้นโต เปอร์เซนต์เยอะกว่าต้องถือนานหน่อยครับ ถึงพีอีจะต่ำลงกว่า หุ้นโตเปอร์เซนต์น้อยกว่า

แต่ตลาดมักให้ พีอีที่สูงกว่า กับหุ้นทีเติบโตสูงกว่าเลยยากที่จะฟันธงได้ครับ
ผมว่าทั้งระยะสั้นหรือยาวผลตอบแทนจะใกล้เคียงกันมากครับ
แต่ผมคิดว่าคนจะสนใจหุ้นเติบโตสูงมากกว่าครับ
 :D
nearly_vi
Verified User
โพสต์: 743
ผู้ติดตาม: 0

ค่า PEG น้อยกว่า 1 แต่ PE สูงจะดีกว่า

โพสต์ที่ 3

โพสต์

ผมรู้สึกว่า เรื่องนี้ พี่เจ๋งเคยตั้งกระทู้ แล้วถกกันได้ดี อยู่กระทู้นึง

แต่จำไม่ได้ว่าชื่ออะไร

หาไม่เจอ  :D
sunnyvi
Verified User
โพสต์: 186
ผู้ติดตาม: 0

ขอเพิ่มเติม

โพสต์ที่ 4

โพสต์

ขอบคุณครับ

จริง จริง แหละ  ที่หุ้นพีอี 15  น่าจะปันผลน้อยครับ  ตีเสียว่า 2 %


ที่ถามข้อนี้ เพราะ ดร. เคยว่าไว้ในตีแตก  ความสงสัยในข้อนี้มากขึ้น เพราะ

 1 ตอนแรก  ผมเองได้ซื้อหุ้นที่ พีอีต่ำ  เพื่อหวังปันผล  ซึ่งเหนือกว่าฝากแบ๊ง  และถ้ามีการจัดหุ้นดีดี 5-6 ตัว  น่าจะมีความเสี่ยงไม่มากได้

ต่อมา อ่านเรื่องที่บัฟเฟต เขียนว่า ซื้อหุ้นที่ดีในราคาเหมาะสม ดีกว่า หุ้นธรรมดาในราคาถูก  อยากเปลี่ยนไปซื้อหุ้นเติบโตบ้าง

ไม่ทราบว่าราคาเหมาะสมคิดอย่างไร    ที่พีอี 15 เราจะประมาณราคาหุ้นได้อย่างไร  และจะต้องมี" ส่วนต่างเพื่อความปลอดภัย" อีกหรือไม่

   2. คุณฉัตรชัยได้เปิดประเด็น  ไม่ต้องคำนึงว่า  ราคาในอนาคตเป็นเท่าไร  หรือตลาดจะให้พีอีเท่าไร  เพราะถือว่า  เราเป็นเจ้าของกิจการ  หุ้นนั้นทำกำไรฝังไว้ในตัวกิจการ ในเปอร์เซนที่เรายอมรับ

      ถ้าเรายอมรับความคิดนี้ไม่คิดขายหุ้น  เราจะประเมินราคามันอย่างไร

      เช่น   เอากำไรต่อหุ้น  คูณ  พีอี  จะเป็นการถูกหรือไม่

    เราจะคำนวณผลตอบแทนต่อปี  ที่ได้รับอย่างไร

     เช่นใช้สูตรของกอร์ดอน  ที่ท่านดร.เคยแนะไว้

             ปันผล+ การเติบโต     2+15  =  17%  ได้หรือไม่
เดินให้ถึงจุดหมาย
อย่างมีความสุข
ภาพประจำตัวสมาชิก
bankniti
Verified User
โพสต์: 627
ผู้ติดตาม: 0

Re: ขอเพิ่มเติม

โพสต์ที่ 5

โพสต์

[quote="suirya"]ขอบคุณครับ

จริง จริง แหละ
nearly_vi
Verified User
โพสต์: 743
ผู้ติดตาม: 0

Re: ขอเพิ่มเติม

โพสต์ที่ 6

โพสต์

[quote="suirya"]ขอบคุณครับ

จริง จริง แหละ
Boring Stock Lover
Verified User
โพสต์: 1301
ผู้ติดตาม: 0

ค่า PEG น้อยกว่า 1 แต่ PE สูงจะดีกว่า

โพสต์ที่ 7

โพสต์

กอร์ดอนโมเดล ไม่เหมาะกับแนวคิดว่า ผู้ถือหุ้นเหมือนเป็นเจ้าของบริษัท เพราะในโมเดลตัดส่วนแบ่งกำไรเหลือแค่ เงินปันผล ถ้าเราเป็นเจ้าของบริษัท กำไรทั้งก้อนตามสัดส่วนจะเป็นของเรา
CK
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 9795
ผู้ติดตาม: 0

ค่า PEG น้อยกว่า 1 แต่ PE สูงจะดีกว่า

โพสต์ที่ 8

โพสต์

P/E ไม่สำคัญครับ ถ้าอัตราการเติบโตเป็นได้จริง
และ % ปันผลทำได้จริง

ผลตอบแทนรวม (Total Return) คือ yield + growth

1 = 15% + 5% = 20% ต่อปี
2 = 10% + 5% = 15% ต่อปี
3 = 5% + 5% = 10% ต่อปี

ดังนั้น ถ้าถือหุ้น 1 แล้วเอาปันผลที่ได้ไปซื้อหุ้นเดิมเพิ่ม
จะได้ผลตอบแทนรวม = 20% ต่อปี
5 ปีก็ได้ผลตอบแทนรวม 148.8%
Torani
Verified User
โพสต์: 15
ผู้ติดตาม: 0

ค่า PEG น้อยกว่า 1 แต่ PE สูงจะดีกว่า

โพสต์ที่ 9

โพสต์

ความคิคเห็นผมว่าที่ดอกเตอร์ยกตัวอย่าง gordon's model ในงาน tvi meeting
เพื่อต้องการบอกให้เรารู้ว่าหุ้นเติบโตไม่ใช่ซื้อได้ทุกราคานะครับ
เพราะแม้ว่าราคาจะสูงขึ้นเป็นเท่าเดิม growth ก็เท่าเดิม แต่ปันผลจะลดลงเพียงเล็กน้อย

เปรียบเสมือนมีคนซื้อรถเฟอร์รารี่รุ่นที่มีคันเดียวในโลก ราคา 20 ล้าน เพราะว่าวิ่งเร็วกว่ารถทั่วไป 30 % กินน้ำมัน 10 กิโล/ลิตร
หลังจากใช้ไปหนึ่งเดือน สภาพยังร้อยเปอร์เซนต์เหมือนใหม่ แล้วมาขายต่อ(วีไอรุ่นหลัง :) ) 40 ล้าน แต่ยังวิ่งเร็วกว่ารถทั่วไป 30 % แต่ตอนนี้กินน้ำมัน 5 กิโล/ลิตร

คุณว่าจะมีคนซื้อต่อไหม ??

ผมคิดว่ามีเศรษฐีเจ้าบุญทุ่มมาซื้อ เพราะว่ายังวิ่งเร็วกว่ารถทั่วไปเหมือนเดิม 30 % แต่จ่ายค่าน้ำมัน  (ปันผล) แพงขึ้นนิดเดียวเอง  ต่างกันนิดหน่อยเอง ยังคุ้มนะครับ  :lol:  :lol:

ดังนั้นเราอย่าอ่านโฆษณาใน tvi มากเกินไปนะครับ  เพราะหุ้นเติบโตไม่ใช่ซื้อได้ทุกราคา :lol:  :lol:
ภาพประจำตัวสมาชิก
sirivajj
Verified User
โพสต์: 985
ผู้ติดตาม: 0

Re: ค่า PEG น้อยกว่า 1 แต่ PE สูงจะดีกว่า

โพสต์ที่ 10

โพสต์

[quote="suirya"]หุ้นไหนให้ผลตอบแทนเมื่อถือไว้ 5 ปี

1. หุ้นที่ PE 15
What do you mean.?
sunnyvi
Verified User
โพสต์: 186
ผู้ติดตาม: 0

ตกลงซื้อหุ้นตามแนว vi ต่อจะดีกว่าในระยะ 5 ปี

โพสต์ที่ 11

โพสต์

ขอ เล่าความเห็นส่วนตัว ตอบคุณ  Boring Stock Lover ว่า

   ผมคิดว่ากอร์ดอนโมเดล  ก็ตอบแนวคิดการเป็นเจ้าของบริษัทได้ครับ

คือ กำไรที่ได้ ส่วนหนึ่งก็ปันผลมา  ส่วนที่เหลือก็ไปลงทุนอยู่ในทรัพย์ของ
บริษัท   ทำให้เกิดการเติบโต   สุดท้ายก็เกิดกำไรมากขึ้น  ปันผลมากขึ้น  ซึ่งคำนวณให้เห็นได้ด้วยสูตรง่ายๆ


   ส่วนตามที่คุณ  sirivajj  เขียนมา ผมยังไม่เห็นทางโต้แย้งได้

เท่ากับย้ำว่า ซื้อหุ้นตามแนว vi ต่อจะดีกว่าในระยะ 5 ปี

ไม่ต้องไปคิดมาก  ไม่ต้องไปดูหุ้นฮิต  พวกค้าปลีก หรือรพ.ดัง

เพราะระยะยาว  19 ปี คงเดาอนาคตยาก ถึงยากมาก

 และการหาหุ้นที่พีอีกลางๆ  พอเติบโตได้กลางๆ  ทำให้ถือได้ด้วยความสบายใจ  ทั้งยังหาได้จากตลาดไม่ยากนัก


อยากฟังความเห็นของคุณฉัตรชัย  และ คุณหมอศรราม  ในแง่หุ้นเติบโตด้วยครับ
เดินให้ถึงจุดหมาย
อย่างมีความสุข
Boring Stock Lover
Verified User
โพสต์: 1301
ผู้ติดตาม: 0

ค่า PEG น้อยกว่า 1 แต่ PE สูงจะดีกว่า

โพสต์ที่ 12

โพสต์

กอร์ดอนโมเดล ทำให้ การประเมิณมูลค่าหุ้นต่ำกว่าวิธีอื่น ที่มาก็เพราะ เขายึดหลักที่ว่าสิ่งที่นักลงทุนได้นั้นมีเพียงปันผล ซึ่งไม่เหมือนแนวคิดของการเป็นเจ้าของกิจการ ซึ่งกำไรสะสมที่อยู่กับกิจการก็เป็นฐานในการสร้างกำไรในอนาคตให้สูงขึ้นได้ด้วย ซึ่งในโมเดลนี้ไม่นับส่วนนี้เลย

หุ้นที่ payout ratio สูงมากๆ ก็จะไม่แตกต่างกันมาก แต่หุ้นที่ payout ratio ไม่สูงมาก ก็จะแตกต่างอย่างชัดเจนในอนาคต

ในเชิงแนวคิดผมเห็นด้วยที่ทำให้เห็นภาพคร่าวๆได้ง่าย แต่สิ่งที่หลายคนในที่นี้พิสูจน์กันไม่ได้ใช้โมเดลนี้เลย และโมเดลนี้ก็เป็นแค่แนวคิดเท่านั้นในมุมมองผม

ในตัวอย่างที่คุณ sirivajj ว่าไว้ ลองคำนวณราคาหุ้นตอนสิ้นปีที่ห้า แล้วคิดว่ายังไง

40.23 x 15 = 600
48.32 x 10 = 480
76.58 x 5 = 400



ปล. g หรือ การเติบโตในโมเดลนี้ เป็นการเติบโตของเงินปันผลไม่ใช่การเติบโตของกำไร
chatchai
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 11443
ผู้ติดตาม: 0

ค่า PEG น้อยกว่า 1 แต่ PE สูงจะดีกว่า

โพสต์ที่ 13

โพสต์

ถ้าถามนักลงทุนจริงๆแล้ว  เวลาเราลงทุนเริ่มแรก  เราลงทุนด้วยเงินสด  ผลตอบแทนที่ได้รับ  อยากเป็นกำไรทางบัญชี  หรือ  กระแสเงินสดที่จะได้รับตลอดการลงทุน

อัตราการเติบโตที่สวยหรูของหลายบริษัท  หลายอุตสาหกรรม  จะยั่งยืนได้นานขนาดไหน  เติบโตจากการดำเนินงานที่แท้จริงหรือไม่  หรือเกิดจากกระบวนการบางอย่าง
 
การเติบโตของบางบริษัท  บางอุตสาหกรรม  ต้องแลกมาด้วยเงินลงทุนมากมาย  จนเหลือให้แก่ผู้ถือหุ้นเพียงน้อยนิด  

จากประสบการณ์ของผม  หลายอุตสาหกรรมเคยเป็นดาวเด่น  ซื้อขายกันบนภาพอันสวยหรูที่นักวิเคราะห์  นักธุรกิจ  นักวิชาการ  วาดฝันเอาไว้ในอากาศ

จากช่วงวิกฤตเศรษฐกิจ  กลุ่มบริษัทที่เติบโตอย่างรวดเร็ว  ผู้บริหารที่มีการศึกษาสูงๆ  แต่งกายสง่าๆ  ให้ข่าวที่น่าตื่นเต้นอยู่บ่อยๆ  เป็นบริษัทที่เข้ากระบวนการปรับโครงสร้างหนี้มากที่สุด

ในขณะที่กลุ่มบริษัทเก่าแก่  ดำเนินธุรกิจอย่างเงียบเหงา  กลับเป็นผู้ที่มีเงินสดเหลือมากมาย  และเป็นผู้ที่เข้ามาช้อนซื้อทรัพย์สินในราคาเตี้ยติดดิน

อนาคตเป็นสิ่งไม่แน่นอน  ความมั่นคง  และความปลอดภัยเป็นสิ่งที่สำคัญ

ในระยะสั้น  อัตราการเติบโตอาจจะสวยหรู  แต่ในระยะยาว  ความมั่นคงจะเป็นสิ่งที่ทำให้อยู่รอดได้
จงอยู่เหนือความดี อย่าหลงความดี
chatchai
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 11443
ผู้ติดตาม: 0

ค่า PEG น้อยกว่า 1 แต่ PE สูงจะดีกว่า

โพสต์ที่ 14

โพสต์

ชีวิตจริงในการลงทุนของผม  ผมแทบไม่ได้ใช้สูตรทางการลงทุนเลยครับ

หรือจะเรียกได้ว่า  ผมแทบไม่ได้ใช้วิชาความรู้จากวิชา Investment เลยครับ
จงอยู่เหนือความดี อย่าหลงความดี
ภาพประจำตัวสมาชิก
สามัญชน
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 5162
ผู้ติดตาม: 0

Re: ค่า PEG น้อยกว่า 1 แต่ PE สูงจะดีกว่า

โพสต์ที่ 15

โพสต์

[quote="suirya"]หุ้นไหนให้ผลตอบแทนเมื่อถือไว้ 5 ปี

1. หุ้นที่ PE 15
ทุกความเห็นย่อมเปลี่ยนไปตามความรู้ การเรียนรู้ย่อมไม่มีจุดสิ้นสุด
stockms
Verified User
โพสต์: 920
ผู้ติดตาม: 0

ค่า PEG น้อยกว่า 1 แต่ PE สูงจะดีกว่า

โพสต์ที่ 16

โพสต์

ผมว่าที่ตลาดหรือนักวิเคราะห์ยึดติดญกับ PE มากกว่า PEG เพราะการบอกอนาคตนั้นเป็นเรื่องยากโดยเฉพาะการเติบโตในเปอร์เซนต์ที่สูงในช่วงเวลาที่ยาว เช่น ความมั่นใจว่าผลกำไรของบริษัทที่ดีแห่งหนึ่งจะเติบโตเฉลี่ยอย่างน้อย 15% ในช่วงห้าปีข้างหน้า นั้นย่อมมีน้อยกว่าที่จะบอกว่าบริษัทอีกแห่งหนึ่งจะเติบโตเฉลี่ยอย่างน้อย 5% ในช่วงห้าปีข้างหน้า หรืออีกบริษัทหนึ่งที่จะเติบโตอย่างน้อย 15% ในปีหน้า ดังนั้นการเลือกลงทุนในหุ้น PE ที่ต่ำไว้ก่อนก็ย่อมมีความเสี่ยงน้อยกว่าการลงทุนในหุ้นที่ PE สูงแล้ว ตราบเท่าที่เรามั่นใจว่าบริษํทนั้นจะยังเติบโตได้
ภาพประจำตัวสมาชิก
สามัญชน
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 5162
ผู้ติดตาม: 0

Re: ค่า PEG น้อยกว่า 1 แต่ PE สูงจะดีกว่า

โพสต์ที่ 17

โพสต์

[quote="sirivajj"]

ไม่ใช่เซียน แต่คิดมาประมาณนี้ครับ

เงินลงทุน 300 บาท
เลือกหุ้น 1.
ทุกความเห็นย่อมเปลี่ยนไปตามความรู้ การเรียนรู้ย่อมไม่มีจุดสิ้นสุด
ภาพประจำตัวสมาชิก
สามัญชน
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 5162
ผู้ติดตาม: 0

ค่า PEG น้อยกว่า 1 แต่ PE สูงจะดีกว่า

โพสต์ที่ 18

โพสต์

แต่ถ้ายาวนานไปถึง 10 ปี หุ้น 1 2 3 จะได้กำไร 80.91 , 77.81 , 97.73 ตามลำดับ

หุ้นตัวที่ 1. จะมีราคา 15*80.91 = 1213.67 บาท
หุ้นตัวที่ 2. ราคา 10*77.81  = 778.12 บาท
หุ้นตัวที่ 3. ราคา 5*97.73  = 488.66 บาท

ซึ่งราคาหุ้นตัวที่1. จะมากกว่าตัวที่ 3. ถึง 248 %

ดังนั้นการซื้อหุ้นที่ pe 15เท่า ที่ growth 15 % จึงดีกว่าหุ้น pe 5 เท่าที่ growth เพียง 5 %

ก็เป็นมุมมองของลินช์ครับ  ซึ่งเขามีคอนเซ็บซื้อหุ้นมาเพื่อที่จะขายหุ้นต่อ  ดังนั้นเขาจึงประเมินด้วยว่า ตลาดจะซื้อต่อจากเขาที่ราคาเท่าไหร่

แต่ถ้ามองว่าเราจะกอดหุ้นนี้ไว้ตลอดไปและไม่คิดจะขายต่อ  เราก็ไม่ต้องประเมินว่าหุ้นจะมีราคาเท่าไหร่และเราก็ใช้กำไรจริงๆจากผลประกอบการเป็นผลตอบแทนจริงๆของเรา  แต่ถ้าเรากอดไว้จนเกิน 19 ปีที่ว่า  เราก็จะเริ่มพบว่าหุ้นที่ 3. ของเราเริ่มจะให้ผลตอบแทนสู้หุ้นที่ 1. ไม่ได้แล้ว
ทุกความเห็นย่อมเปลี่ยนไปตามความรู้ การเรียนรู้ย่อมไม่มีจุดสิ้นสุด
ภาพประจำตัวสมาชิก
สามัญชน
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 5162
ผู้ติดตาม: 0

ค่า PEG น้อยกว่า 1 แต่ PE สูงจะดีกว่า

โพสต์ที่ 19

โพสต์

อย่าว่าแต่ลินช์เลยครับ  แม้บัฟเฟตต์เองก็เป็น "นักประเมินราคาชั้นบรมครู"  หุ้นที่เขากอดไว้นานแสนนานไม่ใช่เขาไม่ประเมินราคาของมัน  แต่เป็นเพราะเขาประเมินมันแล้ว  และพบว่ามันมีคุณค่าสูงกว่าที่ตลาดให้ราคา  เขาจึงยังไม่ยอมขาย  เช่นเดียวกับพี่ฉัตรไม่ยอมขาย wg เพราะประเมินแล้วมันมีคุณค่ามากกว่าราคาที่ตลาดให้นั่นเอง  :lol:

ผมว่าวีไอนั้นขาดไม่ได้เลยในเรื่อง การประเมิน "ราคา" เมื่อเทียบกับ "คุณค่า "  

เพียงแต่การประเมินคุณค่านั้นอาจจะมีเทคนิคที่แตกต่างกันออกไปมากมายมหาศาล  จนเป็นที่มาของอัจฉริยะเช่น เกรแฮม บัฟเฟตต์ หรือ ลินช์  แต่หลักๆนั้นเหมือนกันหมด  คือมันมีคุณค่ามากกว่าราคาที่ต้องจ่ายเยอะๆ  ส่วนเรื่องอื่นๆเป็นเรื่องรองลงไป
ทุกความเห็นย่อมเปลี่ยนไปตามความรู้ การเรียนรู้ย่อมไม่มีจุดสิ้นสุด
fantasia
Verified User
โพสต์: 674
ผู้ติดตาม: 0

Re: ค่า PEG น้อยกว่า 1 แต่ PE สูงจะดีกว่า

โพสต์ที่ 20

โพสต์

CK เขียน:P/E ไม่สำคัญครับ ถ้าอัตราการเติบโตเป็นได้จริง
และ % ปันผลทำได้จริง
sirivajj เขียน: แปลกใจว่า ทำไมท่าน CK จึงไม่สนใจ PE ล่ะครับ
ในเมื่อมันเป็นตัวกำหนดผลตอบแทนไว้ ถ้าเราลงทุนด้วยจำนวนหุ้นเท่ากัน
คงหมายถึงว่าถ้าเราสามารถรู้ growth กับ yield ของหุ้นตัวใดตัวหนึ่งในอนาคตแล้ว เราก็ไม่ต้องสนใจ p/e แล้วมั้งครับ
ภาพประจำตัวสมาชิก
sirivajj
Verified User
โพสต์: 985
ผู้ติดตาม: 0

ค่า PEG น้อยกว่า 1 แต่ PE สูงจะดีกว่า

โพสต์ที่ 21

โพสต์

ผมรู้สึกทะแม่ง พิกลเหมือนกันตอนตอบกระทู้นี้ เหมือนกับต้องตอบคำถามลวง
แต่มาคิดดู ผมว่า ความเห็นที่แตกต่างกันก็คงอยู่ที่ สมมติฐานของแต่ละคนต่อหุ้นทั้ง 3 นั่นมากกว่า

ผมคิดว่า คนที่เลือกหุ้น PE ต่ำ ก็เพื่อให้ได้ซื้อหุ้นที่ราคาถูกอย่างน้อยก็วันที่ซื้อล่ะ โดยหวังว่า บริษัทจะทำกำไรแบบเติบโตไปเรื่อยๆ

ส่วนคนที่เลือกหุ้น PE Growth สูง ก็เพื่อหวังว่า อนาคตจะสามารถทำกำไรได้
จากฐานกำไรของ หุ้นที่ทำได้ โดยยังมีคนซื้อที่ PE แพงเหมือนวันที่เลือก

สำหรับหุ้น PE 5 โดยมีสมมติฐาน ถ้า PE Growth = 5 และ Dividend Payout ratio = 100%
คงหมายความว่า ภายใน 5 ปี จะได้คืนทุนแน่นอน
(กำไรของปีที่ 1-5 รวมกัน = 348.11)

ส่วนหุ้นที่ PE 15 PE Growth = 15 DP = 100% ก็คงต้องรอไป 13 -14 ปีล่ะ
(กำไรของปีที่ 1-5 รวมกัน ได้เพียง 155.07 หรือ 50%ของเงินลงทุน 300 บาท)

ส่วนที่ครบ 5 ปี แล้วที่ PE ของหุ้นทั้ง 3 จะยังคงเป็น 15-10-5 นั้น เป็นสมมติฐานที่กำหนดขึ้น

อันที่จริง ผมว่า ใครๆ ก็อยากได้หุ้นที่อนาคต PE Growth สูงๆ ทั้งนั้น
เพียงแต่ว่า ถ้าต้องไปซื้อมันแพงมากก็ต้องพิจารณาโอกาสที่ growth จะโตสม่ำเสมอและสูง เหมือนตอนที่ไปซื้อมันแพงๆ ด้วย

:roll:
What do you mean.?
ภาพประจำตัวสมาชิก
sirivajj
Verified User
โพสต์: 985
ผู้ติดตาม: 0

ค่า PEG น้อยกว่า 1 แต่ PE สูงจะดีกว่า

โพสต์ที่ 22

โพสต์

แก้ไขครับ
sirivajj เขียน:
ส่วนที่ครบ 5 ปี แล้วที่ PE ของหุ้นทั้ง 3 จะยังคงเป็น 15-10-5 ให้เราไปขายต่อนั้น เป็นสมมติฐานที่กำหนดขึ้นเพิ่มเติมครับ
What do you mean.?
stockms
Verified User
โพสต์: 920
ผู้ติดตาม: 0

ค่า PEG น้อยกว่า 1 แต่ PE สูงจะดีกว่า

โพสต์ที่ 23

โพสต์

นักลงทุนที่ชาญฉลาดยอมลงทุนซื้อหุ้น PE 15 ก็เพราะคำนวณไว้อย่างแม่นยำว่ากำไรของบริษัทจะเติบโตเฉลี่ยอย่างน้อย 15% แต่ถ้าเฉลี่ย 5 ปี แล้วทำได้ไม่ถึงก็คงดูไม่จืด PE ที่เคยหวังไว้ที่ 15 ก็จะต้องถอยลงมาพร้อมๆ กับกำไรที่ไปไม่ถึงฝัน เป็นทวีคูณ
หากท่านมีข้อมูลอย่างแน่ชัดว่าปีถัดไปบริษัทจะมีกำไรเติบโตไม่น้อยกว่า 25% และอีกปีถัดไปไม่น้อยกว่า 20% ส่วนอีกสามปีที่เหลือที่ข้อมูลคงไปไม่ถึงแต่พอหวังว่าทำได้เฉลี่ยปีละ 15% การซื้อหุ้น PE 15 ก็คงจะเป็นการลงทุนทีชาญฉลาด แต่ถ้าไม่แน่ใจ PE ไม่มากไปกว่า PE ตลาดน่าจะปลอดภัยกว่า
หุ้นโรงพยาบาลหลายตัว PE ดูแล้วน่ากลัวยิ่งนัก แต่คงมีคนมั่นใจจำนวนมากว่ากำไรของโรงพยาบาลเหล่านั้นคงจะมีกำไรเติบโตได้ในระดับเฉลี่ยไม่ต่ำกว่า 20% ในช่วงห้าปีข้างหน้า และไม่น่าจะมีปัจจัยมาทำให้การเติบโตนี้สะดุดลงได้....สุดท้ายนี้ขอให้ทุคนรวยห้าปีกับ PE 20
chatchai
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 11443
ผู้ติดตาม: 0

ค่า PEG น้อยกว่า 1 แต่ PE สูงจะดีกว่า

โพสต์ที่ 24

โพสต์

ประเมินกันแต่ด้านบวก  แล้วถ้าด้านลบละครับ
จงอยู่เหนือความดี อย่าหลงความดี
sunnyvi
Verified User
โพสต์: 186
ผู้ติดตาม: 0

ขอลองสรุป

โพสต์ที่ 25

โพสต์

ขอขอบคุณทุกความเห็นที่ทำให้ได้แนวคิดหลายแง่


ส่วนตัวผมขอสรุปตอบคำถามของตัวเอง  ดังนี้

จากที่คุณsirivajj คำนวณ  ทำให้เห็นข้อมูลที่ชัดเจน   ผมว่า ถ้าเราต้องการความมั่นคง    หุ้นที่เคยเรียกว่า vi คือ มีความมั่นคงสูง  พีอีต่ำ ปันผลดี    น่าจะเป็นคำตอบ    ไม่จำเป็นต้องขายต่อจนกว่าราคาแพงเกินไป  และเราอาจมั่นใจมากจนถือหุ้นน้อยตัวจริงๆได้


ส่วนการซื้อหุ้นเติบโต  ในราคาเหมาะสม ตามที่คุณสามัญชน เขียนถึง  น่าจะเหมาะกับการคิดว่าซื้อไว้ขายต่อ   ทั้งนี้ต้องอยู่ที่สมมุติฐานว่าตลาดจะให้ราคา ที่  พีอี เดิม  จะทำให้ผลตอบแทนสูงกว่าแบบแรก!!


โดยต้องมั่นใจว่าเป็นหุ้นที่โตต่อเนื่องจริงๆ  เมื่อถึงเวลาขายแล้วยังมีแนวโน้มเติบโตต่อ เพื่อให้ตลาดยังให้ราคาสูง ( และเนื่องจากเสี่ยงที่มีความไม่แน่นอนปนได้มากกว่า  จึงต้องถือหลายตัว เช่น 5-7  ตัวเผื่อไว้ บางส่วนให้ผลตอบแทนดีก็คุ้มแล้ว)

และต้องอยู่บนพื้นฐานที่ว่า ทั้งสองวิธียังเป็นการลงทุนแบบเน้นคุณค่า  เพราะต้องมั่นใจว่าเป็นคุณค่า ไม่ใช่แค่ราคาตามจิตวิทยาของตลาด

ส่วนตัวคิดว่าจะจัดพอร์ตเป็นพวกแรก 60-80% มีหุ้น 3 ตัว  และถ้าพบกลุ่มหลัง ก็ทยอยเก็บมาเสริม อีก  4ตัว
เดินให้ถึงจุดหมาย
อย่างมีความสุข
ภาพประจำตัวสมาชิก
สามัญชน
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 5162
ผู้ติดตาม: 0

ค่า PEG น้อยกว่า 1 แต่ PE สูงจะดีกว่า

โพสต์ที่ 26

โพสต์

[quote]ส่วนการซื้อหุ้นเติบโต
ทุกความเห็นย่อมเปลี่ยนไปตามความรู้ การเรียนรู้ย่อมไม่มีจุดสิ้นสุด
sunnyvi
Verified User
โพสต์: 186
ผู้ติดตาม: 0

พอจะเห็นทางเฉลยจากความจริงครับ

โพสต์ที่ 27

โพสต์

http://www.thaivi.com/webboard/viewtopi ... 62cb01d469


จากหัวข้อ  แม่ทัพสุมาอี้ research : Growth ปะทะ value

กราฟสุดท้าย  ทำให้มองเห็นภาพใน 2 กลุ่มนี้ได้ดีกว่าเขียน

ถ้าตามต่อเนื่องไปสัก 5 ปี น่าจะเห็นภาพชัดครับ
เดินให้ถึงจุดหมาย
อย่างมีความสุข
ภาพประจำตัวสมาชิก
สามัญชน
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 5162
ผู้ติดตาม: 0

ค่า PEG น้อยกว่า 1 แต่ PE สูงจะดีกว่า

โพสต์ที่ 28

โพสต์

[quote="สามัญชน"]

ถ้าเราไม่เก่งพอ
ทุกความเห็นย่อมเปลี่ยนไปตามความรู้ การเรียนรู้ย่อมไม่มีจุดสิ้นสุด
โพสต์โพสต์