WG: เอกสารแนบ 1 รายละเอียดโครงการ ESOP I
Source - ข่าว SETSMART
Wednesday, 28 March 2007 09:23
เอกสารแนบ 1
บริษัท ไว้ท์กรุ๊ป จำกัด (มหาชน)
รายละเอียดโครงการเสนอขายใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญต่อกรรมการ และพนักงานของบริษัทฯ
(โครงการ ESOP ครั้งที่ 1)
บริษัทฯ ไว้ท์กรุ๊ป จำกัด (มหาชน)
ประสงค์จะขายใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญต่อกรรมการและพนักงานจำนวนไม่เกิน 1,200,000 หน่วย
โดยจัดสรรให้กรรมการบริหาร 2 ท่าน โดยไม่คิดมูลค่า นอกจากนี้บริษัทฯ ได้จัดสรรหุ้นจดทะเบียนเพิ่มทุน
จำนวน 1,200,000 หุ้น (คิดเป็นร้อยละ 6.72 ของหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมดของบริษัทฯ
สำรองไว้เพื่อรองรับการใช้สิทธิของใบสำคัญแสดงสิทธิดังกล่าว โดยมีรายละเอียดังนี้
1) วัตถุประสงค์และความจำเป็นในการเสนอขายใบสำคัญแสดงสิทธิต่อกรรมการบริหาร 2 ท่านของ
บริษัทฯ
1.1 เพื่อสร้างแรงจูงใจให้กับกรรมการบริหาร ในการทำงานกับบริษัทฯ ต่อไปในระยะยาว
1.2 เพื่อเป็นการตอบแทนให้กรรมการบริหารที่ทุ่มเททำงานให้บริษัทฯ
1.3 เพื่อให้กรรมการบริหาร มีส่วนร่วมในการเป็นเจ้าของบริษัทฯ และสร้างประโยชน์สูงสุดให้
กับองค์กร
2) รายละเอียดเบื้องต้นของใบสำคัญแสดงสิทธิที่ออกในครั้งนี้
- ชนิดของใบสำคัญแสดงสิทธิ
ใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญชนิดระบุชื่อ โอนเปลี่ยนมือไม่ได้ เว้นแต่โอนทาง
มรดก หรือแก่ผู้รับผลประโยชน์ตามข้อ 3.4.1
- จำนวนที่เสนอขายในครั้งนี้
1,200,000 หน่วย (หนึ่งล้านสองแสนหน่วย)
- ราคาเสนอขายต่อหน่วย
หน่วยละ บาท 0 (ศูนย์บาท)
- ระยะเวลาเสนอขายใบสำคัญแสดงสิทธิ
เสนอขายให้แล้วเสร็จภายใน 1 เดือน นับจากวันที่ได้รับอนุญาตจากสำนักงาน
คณะกรรมการกำกับหลักทรัยพ์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.)
- 1 -
- อายุของใบสำคัญแสดงสิทธิ
ไม่เกิน 5 ปี นับจากวันที่ออกและเสนอขาย
- จำนวนหุ้นที่จัดสรรเพื่อรองรับใบสำคัญแสดงสิทธิ
1,200,000 หุ้น (มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 10 บาท) คิดเป็นร้อยละ 6.72 ของหุ้นที่จำหน่ายให้แล้ว
ทั้งหมด
- วิธีการจัดสรรใบสำคัญแสดงสิทธิ
จัดสรรให้กรรมการบริหาร จำนวน 2 ท่าน โดยตรง
- อัตราการใช้สิทธิ
ใบสำคัญแสดงสิทธิ 1 หน่วย ต่อหุ้นสามัญ 1 หุ้น
- ราคาการใช้สิทธิ
คณะกรรมการ ESOP ได้กำหนดราคาการใช้สิทธิ เท่ากับมูลค่าที่ตราไว้
คือหุ้นละ 10 บาท (สิบบาท)
- วันออกและเสนอขายใบสำคัญแสดงสิทธิ
คณะกรรมการ ESOP หรือบุคคลที่คณะกรรมการ ESOP มอบหมายจะเป็น
ผู้กำหนดวันออกและเสนอขายใบสำคัญแสดงสิทธิในครั้งนี้
- ระยะเวลาการใช้สิทธิ
กรรมการบริหาร 2 ท่าน ที่ได้รับสิทธิสามารถใช้สิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญของบริษัทฯ
ได้ตามรายละเอียดดังต่อไปนี้
* ปีที่ 1 (2550)
กรรมการบริหารของบริษัทฯ ที่ได้รับสิทธิสามารถใช้สิทธิซื้อหุ้นสามัญได้ในจำนวนไม่เกิน
1 ใน 5 ส่วนของใบสำคัญแสดงสิทธิทั้งหมดที่กรรมการบริหาร(แต่ละคน) ได้รับจัดสรร
จากบริษัทฯ
* ปีที่ 2 (2551)
กรรมการบริหารของบริษัทฯ ที่ได้รับสิทธิสามารถใช้สิทธิซื้อหุ้นสามัญได้ใน
จำนวนไม่เกิน 2 ใน 5 ส่วนของใบสำคัญแสดงสิทธิทั้งหมดที่กรรมการบริหาร
(แต่ละคน) ได้รับจัดสรรจากบริษัทฯ (รวมสิทธิที่ได้จากการใช้สิทธิครั้งที่ 1)
* ปีที่ 3 (2552)
กรรมการบริหารของบริษัทฯ ที่ได้รับสิทธิสามารถใช้สิทธิซื้อหุ้นสามัญได้ใน
จำนวนไม่เกิน 3 ใน 5 ส่วนของใบสำคัญแสดงสิทธิทั้งหมดที่กรรมการบริหาร
(แต่ละคน) ได้รับจัดสรรจากบริษัทฯ (รวมสิทธิที่ได้จากการใช้สิทธิครั้งที่ 1 และ 2)
- 2 -
* ปีที่ 4 (2553)
กรรมการบริหารของบริษัทฯ ที่ได้รับสิทธิสามารถใช้สิทธิซื้อหุ้นสามัญได้ใน
จำนวนไม่เกิน 4 ใน 5 ส่วนของใบสำคัญแสดงสิทธิทั้งหมดที่กรรมการบริหาร
(แต่ละคน) ได้รับจัดสรรจากบริษัทฯ (รวมสิทธิที่ได้จากการใช้สิทธิครั้งที่ 1, 2 และ 3)
* ปีที่ 5 (2554)
กรรมการบริหารของบริษัทฯ ที่ได้รับสิทธิสามารถใช้สิทธิซื้อหุ้นสามัญตามสิทธิของตนในส่วนที่เหลือ
ทั้งหมดได้เมื่อครบระยะเวลา 5 ปี นับจากวันที่บริษัทฯได้ออกและเสนอขายใบสำคัญแสดงสิทธิจนกว่าจะครบอายุ
ของใบสำคัญแสดงสิทธิ
- สิทธิและผลประโยชน์อื่นนอกเหนือจากสิทธิและผลประโยชน์ที่พึงมีและพึงได้จากหุ้นสามัญตามปกติ
- ไม่มี-
3) หลักเกณฑ์และเงื่อนไขอื่นๆ ในการใช้สิทธิตามใบสำคัญแสดงสิทธิ
3.1 ระยะเวลาแสดงความจำนงในการใช้สิทธิซื้อหุ้นสามัญ
ให้ผู้ทรงสิทธิตามใบสำคัญแสดงสิทธิแสดงความจำนงในการใช้สิทธิซื้อหุ้นสามัญโดยใบสำคัญแสดงสิทธิ ได้
ระหว่างเวลา 9.00 น.ถึง 16.00 น.ภายใน 10 วันทำการก่อนวันกำหนดการใช้สิทธิแต่ละครั้ง
ตลอดระยะเวลาการใช้สิทธิ
3.2 วันกำหนดการใช้สิทธิ
ระหว่างเวลา 9.00น. ถึง 16.00 น. ของวันทำการสุดท้ายของเดือน ตลอดอายุของใบสำคัญแสดงสิทธิ
3.3 คุณสมบัติของกรรมการบริหาร ที่มีสิทธิจะซื้อหลักทรัพย์ที่ออก
3.3.1 เป็นกรรมการบริหาร ที่มีอายุการทำงานขั้นต่ำ 10 ปี
3.3.2 เป็นกรรมการบริหารของบริษัทฯ ที่ได้รับการคัดเลือกเพราะทำประโยชน์ให้แก่บริษัทฯ
3.4 ข้อผูกพันระหว่างบริษัทฯ กับกรรมการบริหารของบริษัทฯในการจัดสรรใบสำคัญแสดงสิทธิ
3.4.1 กรณีกรรมการบริหารของบริษัทฯ ที่ได้รับการจัดสรรใบสำคัญแสดงสิทธิพ้นสภาพจากการเป็น
กรรมการบริหารของบริษัทฯ เนื่องจากถึงแก่กรรม สาบสูญ ทุพพลภาพหรือไร้สมรรถภาพจนไม่สามารถ
จัดการงานของตนเองได้ ให้ผู้จัดการมรดก หรือผู้รับประโยชน์ของกรรมการบริหารของบริษัทฯ ดังกล่าว
สามารถใช้สิทธิตามใบสำคัญแสดงสิทธิดังกล่าวได้ จนครบอายุของใบสำคัญแสดงสิทธิที่ได้รับนั้น
- 3 -
3.4.2 กรณีกรรมการบริหารของบริษัทฯ ที่ได้รับการจัดสรรใบสำคัญแสดงสิทธิพ้นสภาพจาก
การเป็นกรรมการบริหาร ให้กรรมการบริหารรายนั้นยังสามารถใช้สิทธิตามใบสำคัญ แสดงสิทธิได้จน
ครบอายุของใบสำคัญแสดงสิทธิที่ได้รับจัดสรร แต่ต้องได้รับอนุมัติจากคณะกรรมการ ESOP ด้วย
3.4.3 กรณีกรรมการบริหารที่ได้รับการจัดสรรใบสำคัญแสดงสิทธิพันสภาพจากการเป็น
กรรมการบริหารของบริษัทฯ และคณะกรรมการ ESOP ไม่อนุมัติให้ใช้สิทธิตามใบสำคัญแสดงสิทธิ
ให้กรรมการบริหารจัดส่งใบสำคัญแสดงสิทธิดังกล่าวให้แก่บริษัทฯ เพื่อยกเลิกภายใน 3 เดือน
นับจากวันพันสภาพการเป็นกรรมการบริหาร
3.4.4 การใช้สิทธิตามข้อ 3.4.1 และ 3.4.2 จะต้องใช้สิทธิให้แล้วเสร็จภายใน 3 เดือน
นับจากวันที่พ้นสภาพการเป็นกรรมการบริหาร
3.4.5 หุ้นสามัญเพิ่มทุนที่เกิดจากการใช้สิทธิซื้อหุ้นสามัญตามสิทธิของกรรมการบริหาร
ของบริษัท ฯ ตามโครงการ ESOP ครั้งที่ 1 นี้ จะเริ่มเข้าทำการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
ได้ตั้งแต่ 1 กรกฎาคม 2553 เป็นต้นไป
3.5 กรณีกรรมการบริหารใช้สิทธิซื้อหุ้นสามัญตามใบสำคัญแสดงสิทธิไม่ครบถ้วน และใบสำคัญแสดงสิทธิ
หมดกำหนดอายุลง
ให้ถือเสมือนว่ากรรมการบริหารท่านนั้นสละสิทธิการใช้สิทธิตามใบสำคัญแสดงสิทธิที่เหลือ
โดยกรรมการบริหารดังกล่าวไม่มีสิทธิเรียกร้องใดๆจากบริษัทฯ
3.6 ความช่วยเหลือจากบริษัทฯ ในการจัดหาแหล่งเงินทุนแก่กรรมการบริหารของบริษัทฯ
ไม่มี
3.7 การปรับสิทธิ
บริษัทฯ อาจจะต้องสำรองหุ้นสามัญเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงในการใช้สิทธิตามใบสำคัญแสดงสิทธิ
เมื่อเกิดเหตุการณ์ตามที่ได้มีการกำหนดโดยประกาศคณะกรรมการหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.)
ที่เกี่ยวข้องกับการออกและเสนอขายใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้น
4) ผลกระทบที่มีต่อผู้ถือหุ้น เนื่องจากการออกและสนอขายใบสำคัญแสดงสิทธิให้แก่กรรมการบริหาร
ของบริษัทฯในครั้งนี้
- 4 -
4.1 ผลกระทบต่อราคาตลาดหุ้น (Price Dilution)
การออกและเสนอขายใบสำคัญแสดงสิทธิในครั้งนี้ มีผลกระทบต่อราคาตลาดของหุ้นบริษัทฯ ในวงจำกัด
เนื่องจากจำนวนหุ้นที่จัดสรรเพื่อรองรับการใช้สิทธิของใบสำคัญแสดงสิทธิทั้งหมด คิดเป็นเพียงร้อยละ 6.72
ของหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมดก่อนการจัดสรรในครั้งนี้ อีกทั้งบริษัทฯ ได้กำหนดสัดส่วนการใช้สิทธิเป็น 5 งวด
ภายใน 5 ปี ทั้งนี้ในกรณีที่มีการใช้สิทธิตามใบสำคัญแสดงสิทธิหมดทั้งจำนวนแล้ว จะมีผลต่อราคาตลาด
ของหุ้นบริษัทลดลง ในอัตราร้อยละ 4.91 (สมมุติฐานว่า หุ้นใหม่ที่ออกเพื่อรองรับการใช้สิทธิจำนวน
1,200,000 หุ้น มีราคาการใช้สิทธิหุ้นละ 10 บาท และหุ้นเดิมของบริษัท จำนวน 17,850,000 หุ้น
มีราคาตลาด (ราคาปิด) ราคาเฉลี่ยในช่วง 15 วันทำการก่อนวันประชุมคณะกรรมการ (วันที่ 27 กุมภาพันธ์
2550) ราคาหุ้นละ 44.53 บาท จะทำให้หุ้นของบริษัทฯ ทั้งหมด 19,050,000 หุ้น ราคาลดลงตามทฤษฎี
เป็นหุ้นละ 42.35 บาท)
4.2 ผลกระทบต่อผู้ถือหุ้นเดิมสำหรับการลดลงของสัดส่วนความเป็นเจ้าของ หรือสิทธิออกเสียงของ
ผู้ถือหุ้นเดิม (Control Dilution) เป็นกรณีที่มีการใช้สิทธิตามใบสำคัญแสดงสิทธิของกรรมการบริหาร
โดยคำนวณจากทุนที่เรียกชำระแล้ว
จำนวนหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมด = 17,850,000 (มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 10 บาท)
จำนวนหุ้นทั้งหมดที่เกิดจากการใช้สิทธิ = 1,200,000 (มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 10 บาท)
รวมจำนวนหุ้นหลังการใช้สิทธิ = 19,050,000 (มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 10 บาท)
สัดส่วนผู้ถือหุ้นเดิมหลังการใช้สิทธิ = ร้อยละ 93.70
4.3 รายชื่อกรรมการบริหาร ที่มีสิทธิจะได้รับการจัดสรรใบสำคัญแสดงสิทธิเกินร้อยละ 5 ของ
จำนวนใบสำคัญแสดงสิทธิเกินร้อยละ 5 ของจำนวนใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะออกและเสนอขายในครั้งนี้
ลำดับที่ รายชื่อกรรมการ จำนวนใบสำคัญ คิดเป็นร้อยละ
แสดงสิทธิที่ได้รับ ของโครงการ
1 นายสมชัย ไชยศุภรากุล 1,000,000 83.33
2. นางอารยา เตชานันท์ 200,000 16.67
ทั้งนี้จำนวนใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะออกและเสนอขายในครั้งนี้รวมทั้งสิ้น 1,200,000 หน่วย
4.4 หุ้นสามัญที่ออกตามการใช้สิทธิของใบสำคัญแสดงสิทธิในครั้งนี้
จะมีสิทธิและสถานะเท่าเทียมกับหุ้นสามัญของบริษัทฯ ที่ออกไปก่อนหน้านี้ทุกประการแต่จะเริ่มเข้า
ทำการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ได้ตั้งแต่ 1 กรกฎาคม 2553 เป็นต้นไป
- 5 -
5) ลักษณะและเงื่อนไขของใบสำคัญแสดงสิทธิ
ใบสำคัญแสดงสิทธิที่ออกและเสนอขายต่อกรรมการของบริษัทฯ จะอยู่ภายใตหลักเกณฑ์และเงื่อนไข
ตามประกาศคณะกรรมการ ก.ล.ต. ที่ กจ. 36/2544 เรื่องการเสนอหลักทรัพย์ที่ออกใหม่ต่อกรรมการ
หรือพนักงานฉบับลงวันที่ 19 ตุลาคม 2544
- ผู้ถือใบสำคัญแสดงสิทธิเป็นผู้รับผิดชอบค่าภาษีอากรตามประมวลรัษฎากรหรือกฎหมายที่เกี่ยวข้องในการ
ใช้สิทธิซื้อหุ้นสามัญตามใบสำคัญแสดงสิทธิ
- เมื่อพ้นวันกำหนดการใช้สิทธิครั้งสุดท้ายและมีใบสำคัญแสดงสิทธิที่ยังไม่ได้มีการใช้สิทธิหมดสภาพลง
และไม่สามารถนำมาใช้สิทธิได้อีกต่อไปไม่ว่ากรณีใดๆ
6) สิทธิของผู้ถือหุ้นในการคัดค้านการเสนอขายใบสำคัญแสดงิทธิต่อกรรมการหรือพนักงาน ตามประกาศ
คณะกรรมการ ก.ล.ต. ที่ กจ 36/2544 ลงวันที่ 19 ตุลาคม 2544
ตามข้อ 14 แห่งประกาศคณะกรรมการ ก.ล.ต. ที กจ36/2544 ลงวันที่ 19 ตุลาคม 2544
การออกและการเสนอขายใบสำคัญแสดงสิทธิต่อกรรมการหรือพนักงานต้องได้รับอนุญาตจากที่ประชุมผู้ถือหุ้น
ด้วยคะแนนเสียงไม่น้อยกว่าสามในสี่ของจำนวนเสียงทั้งหมดของผู้ถือหุ้นที่มาประชุมและมีสิทธิออกเสียงและ
ต้องไม่มีผู้ถือหุ้น ซึ่งถือหุ้นรวมกันเกินกว่าร้อยละสิบของจำนวนเสียงทั้งหมดของผู้ถือหุ้นที่มาประชุมคัดค้าน
การออกและเสนอขายใบสำคัญแสดงสิทธิดังกล่าว
ในกรณีที่จะเสนอขายใบสำคัญแสดงสิทธิต่อกรรมการหรือพนักงานรายใดเกินกว่าร้อยละห้าของจำนวน
ใบสำคัญแสดงสิทธิทั้งหมดที่เสนอขายในครั้งนี้ ตามข้อ 15 (2) แห่งประกาศคณะกรรมการ ก.ล.ต.ดังกล่าว
ข้างต้น ที่ประชุมผู้ถือหุ้นของบริษัทต้องมีมติอนุมัติการเสนอขายใบสำคัญแสดงสิทธิดังกล่าวให้แก่กรรมการหรือ
พนักงานเป็นรายบุคคล โดยมีมติอนุมัติเป็นรายบุคคลและจะต้องได้รับคะแนนเสียงไม่น้อยกว่าสามในสี่ของ
จำนวนเสียงทั้งหมดของผู้ถือหุ้นที่มาประชุมและมีสิทธิออกเสียงและต้องไม่มีผู้ถือหุ้นซึ่งถือหุ้นรวมกันเกินร้อยละ
ห้าของจำนวนเสียงทั้งหมด ของผู้ถือหุ้นที่มาประชุมคัดค้านมติดังกล่าว
7) รายละเอียดโครงการ ESOP ครั้งที่ 1
รายชื่อกรรมการที่มีสิทธิจะได้รับการจัดสรรใบสำคัญแสดงสิทธิ
เกินกว่าร้อยละห้าของจำนวนใบสำคัญแสดงสิทธิทั้งหมดที่ขออนุญาตในครั้งนี้
7.1 จำนวนใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะจัดสรรในครั้งนี้ 1,200,000 หน่วย
7.2 รายชื่อกรรมการหรือพนักงานที่มีสิทธิผู้ที่ได้รับการจัดสรรใบสำคัญแสดงสิทธิ
เกินกว่าร้อยละห้าของโครงการที่จะจัดสรรในครั้งนี้
- 6 -
1. ชื่อ-สกุล นายสมชัย ไชยศุภรากุล
ตำแหน่งงาน กรรมการผู้จัดการ
วันเริ่มงาน 1 กันยายน 2538
จำนวนใบสำคัญแสดงสิทธิที่ได้รับ (หน่วย) 1,000,000
คิดเป็นร้อยละ (ของโครงการ) 83.33
จำนวนครั้งของกรรมการในการเข้าร่วมประชุมและขาดการประชุมในระยะเวลาหนึ่งปีที่ผ่านมา
บริษัท ไว้ท์กรุ๊ปจำกัด (มหาชน) ในปี 2549
มีการประชุมทั้งสิ้น 4 ครั้ง
เข้าประชุม 4 ครั้ง
ขาดประชุม 0 ครั้ง
ประโยชน์ที่ทำให้แก่บริษัท ฯ
-เป็นผู้นำในการบริหารงานของบริษัท ไว้ท์กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) และบริษัทในกลุ่มจนประสบ
ความสำเร็จ
-เป็นผู้พัฒนาขีดความสามารถของบริษัท ฯ และบริษัทในกลุ่ม เพื่อแข่งขันกับคู่แข่งได้
ผลตอบแทนที่ได้รับปีล่าสุด (ปี 2549)
โบนัส 1,200,000 บาท
เบี้ยประชุม 60,000 บาท
2. ชื่อ-สกุล นางอารยา เตชานันท์
ตำแหน่งงาน รองกรรมการผู้จัดการ
วันเริ่มงาน 1 กันยายน 2538
จำนวนใบสำคัญแสดงสิทธิที่ได้รับ (หน่วย) 200,000
คิดเป็นร้อยละ (ของโครงการ) 16.67
จำนวนครั้งของกรรมการในการเข้าร่วมประชุมและขาดการประชุมในระยะเวลาหนึ่งปีที่ผ่านมา
บริษัท ไว้ท์กรุ๊ปจำกัด (มหาชน) ในปี 2549
มีการประชุมทั้งสิ้น 4 ครั้ง
เข้าประชุม 4 ครั้ง
ขาดประชุม 0 ครั้ง
- 7 -
ประโยชน์ที่ทำให้แก่บริษัท ฯ
-เป็นผู้นำในกำกับดูแลและบริหารงานในส่วนงานต่าง ๆ ให้เป็นไปตามนโยบายจนประสบความสำเร็จ
-กำหนดเป้าหมาย และประเมินการทำงานให้หน่วยงานต่าง ๆ
ผลตอบแทนที่ได้รับปีล่าสุด (ปี 2549)
โบนัส 800,000 บาท
เบี้ยประชุม 60,000 บาท
________________
พอไหวไหม นิทานอีสปของ WG
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 6447
- ผู้ติดตาม: 0
พอไหวไหม นิทานอีสปของ WG
โพสต์ที่ 1
การลงทุนคืออาหารอร่อยที่สุดเมื่อเย็นดีแล้ว
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 6447
- ผู้ติดตาม: 0
พอไหวไหม นิทานอีสปของ WG
โพสต์ที่ 3
ประเด็นคร่าวๆนะครับ..
1.อีสป 1,200,000 หน่วย
2.ราคาใช้สิทธิ์ 10 บ.
3.แจกให้ 2 ท่านเท่านั้น คุณสมชัย 1 ล. คุณอารยา 200,000 แสน
4.อายุใช้สิทธ์ 5 ปี ปีละ 20%
5.เงินโบนัสของทั้ง 2 ท่าน ปี 2549 รวมกันเท่ากับ 2,000,000 บ.
1.อีสป 1,200,000 หน่วย
2.ราคาใช้สิทธิ์ 10 บ.
3.แจกให้ 2 ท่านเท่านั้น คุณสมชัย 1 ล. คุณอารยา 200,000 แสน
4.อายุใช้สิทธ์ 5 ปี ปีละ 20%
5.เงินโบนัสของทั้ง 2 ท่าน ปี 2549 รวมกันเท่ากับ 2,000,000 บ.
การลงทุนคืออาหารอร่อยที่สุดเมื่อเย็นดีแล้ว
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 6447
- ผู้ติดตาม: 0
พอไหวไหม นิทานอีสปของ WG
โพสต์ที่ 4
6.ถ้ามีการใช้สิทธ์และขายหุ้นในราคาตลาด เท่ากับว่ากรรมการ 2 ท่านได้ผลตอบแทน(โบนัส) 8,520,000 บ. ต่อปี โดยไม่ต้องดิ้นรนทำอะไรเลย
7.หุ้นอีสปคิดเป็น 6.72% ของหุ้นที่ออกจำหน่ายแล้ว
7.หุ้นอีสปคิดเป็น 6.72% ของหุ้นที่ออกจำหน่ายแล้ว
การลงทุนคืออาหารอร่อยที่สุดเมื่อเย็นดีแล้ว
-
- Verified User
- โพสต์: 1688
- ผู้ติดตาม: 0
พอไหวไหม นิทานอีสปของ WG
โพสต์ที่ 5
มองแบบเจ้าของธุรกิจ
2ท่านนี้ก็ดูโอเค
ตั้งงงงใจทำงานดีๆต่อไปนะครับ :lol:
2ท่านนี้ก็ดูโอเค
ตั้งงงงใจทำงานดีๆต่อไปนะครับ :lol:
==หากบริษัทไม่ได้อยู่ในตลาดฯ หุ้นยังน่าซื้อหรือไม่ ==
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 6447
- ผู้ติดตาม: 0
พอไหวไหม นิทานอีสปของ WG
โพสต์ที่ 6
6) สิทธิของผู้ถือหุ้นในการคัดค้านการเสนอขายใบสำคัญแสดงิทธิต่อกรรมการหรือพนักงาน ตามประกาศ
คณะกรรมการ ก.ล.ต. ที่ กจ 36/2544 ลงวันที่ 19 ตุลาคม 2544
ตามข้อ 14 แห่งประกาศคณะกรรมการ ก.ล.ต. ที กจ36/2544 ลงวันที่ 19 ตุลาคม 2544
การออกและการเสนอขายใบสำคัญแสดงสิทธิต่อกรรมการหรือพนักงานต้องได้รับอนุญาตจากที่ประชุมผู้ถือหุ้น
ด้วยคะแนนเสียงไม่น้อยกว่าสามในสี่ของจำนวนเสียงทั้งหมดของผู้ถือหุ้นที่มาประชุมและมีสิทธิออกเสียงและ
ต้องไม่มีผู้ถือหุ้น ซึ่งถือหุ้นรวมกันเกินกว่าร้อยละสิบของจำนวนเสียงทั้งหมดของผู้ถือหุ้นที่มาประชุมคัดค้าน การออกและเสนอขายใบสำคัญแสดงสิทธิดังกล่าว
ในกรณีที่จะเสนอขายใบสำคัญแสดงสิทธิต่อกรรมการหรือพนักงานรายใดเกินกว่าร้อยละห้าของจำนวน
ใบสำคัญแสดงสิทธิทั้งหมดที่เสนอขายในครั้งนี้ ตามข้อ 15 (2) แห่งประกาศคณะกรรมการ ก.ล.ต.ดังกล่าว
ข้างต้น ที่ประชุมผู้ถือหุ้นของบริษัทต้องมีมติอนุมัติการเสนอขายใบสำคัญแสดงสิทธิดังกล่าวให้แก่กรรมการหรือ
พนักงานเป็นรายบุคคล โดยมีมติอนุมัติเป็นรายบุคคลและจะต้องได้รับคะแนนเสียงไม่น้อยกว่าสามในสี่ของ
จำนวนเสียงทั้งหมดของผู้ถือหุ้นที่มาประชุมและมีสิทธิออกเสียงและต้องไม่มีผู้ถือหุ้นซึ่งถือหุ้นรวมกันเกินร้อยละ
ห้าของจำนวนเสียงทั้งหมด ของผู้ถือหุ้นที่มาประชุมคัดค้านมติดังกล่าว
การลงทุนคืออาหารอร่อยที่สุดเมื่อเย็นดีแล้ว
-
- ผู้ติดตาม: 0
พอไหวไหม นิทานอีสปของ WG
โพสต์ที่ 7
ยินดีด้วยครับ ผมว่าผู้บริหารทำให้ราคาหุ้นขึ้นมาขนาดนี้ ผู้ถือหุ้นรวยขึ้นกว่า มูลค่า ESOP น่าจะมีให้รางวัลตามผลงาน แบบนี้ก็น่าจะโอเคนะครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 1734
- ผู้ติดตาม: 0
พอไหวไหม นิทานอีสปของ WG
โพสต์ที่ 8
คงไม่ใช่นิทานอีสปเรื่อง ม้าอารี นะครับ
:lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol:
:lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol:
- atsu
- Verified User
- โพสต์: 1218
- ผู้ติดตาม: 0
พอไหวไหม นิทานอีสปของ WG
โพสต์ที่ 9
จากคุณสมบัติ+การเติบโตของบริษัทในช่วงที่ผ่านมานี่ก็โอเคนะครับ3.3 คุณสมบัติของกรรมการบริหาร ที่มีสิทธิจะซื้อหลักทรัพย์ที่ออก
3.3.1 เป็นกรรมการบริหาร ที่มีอายุการทำงานขั้นต่ำ 10 ปี
3.3.2 เป็นกรรมการบริหารของบริษัทฯ ที่ได้รับการคัดเลือกเพราะทำประโยชน์ให้แก่บริษัทฯ
ถึงตอนแรก ผมจะคิดว่าคงออกให้ไม่เกิน 5%
แต่ก็พอรับได้ครับ :D
-
- Verified User
- โพสต์: 171
- ผู้ติดตาม: 0
พอไหวไหม นิทานอีสปของ WG
โพสต์ที่ 10
จำนวนหุ้น 1,200,000 หุ้น ราคาใช้สิทธิที่ 10 บาท ถ้าคิดค่าใช้จ่ายที่เกิดจากส่วนต่างราคา สมมติคิดที่ราคาตลาดตอนนี้ ( 45.5 - 10 ) * 1,200,000 = 42,600,000 บาท
สมมติกรณีแย่สุดนะครับ ว่าราคาตอนที่ผู้บริหารใช้สิทธิราคาไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปจากตอนนี้มากนัก จะเกิดค่าใช้จ่ายประมาณ 42 ล้านกว่าบาท ถ้าลองคิดว่ามีการตัดค่าใช้จ่ายไปทุกเดือน (เท่าที่ทราบเมืองไทยยังไม่มีกำหนดว่าจะตัด ค่าใช้จ่ายที่เกิดจาการใช้สิทธิไปตอนใช้สิทธิเลยหรือว่าจะเฉลี่ยตัดรายงวด) สมมติอีกนะครับ ว่าถ้าบริษัทมีนโยบายตัดค่าใช้จ่ายออกเรื่อยๆ ตามระยะเวลาการใช้สิทธิ ดังนั้น ระยะเวลาใช้สิทธิ เท่ากับ 5 ปี หรือ 60 เดือน
จะได้ค่าใช้จ่ายต่อเดือนทีเกิดขึ้นเท่ากับ 42,600,000/60 = 710,000 บาท ต่อเดือน
ลองดูงบกำไรขาดทุนปี 2006 WG มีค่าตอบแทนกรรมการ 450,000 บาท ดังนั้นค่าตอบแทนกรรมการจะเพิ่มขึ้น เท่ากับ 710,000 + 450,000 = 1,160,000 บาท
สมมติกรณีแย่สุดนะครับ ว่าราคาตอนที่ผู้บริหารใช้สิทธิราคาไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปจากตอนนี้มากนัก จะเกิดค่าใช้จ่ายประมาณ 42 ล้านกว่าบาท ถ้าลองคิดว่ามีการตัดค่าใช้จ่ายไปทุกเดือน (เท่าที่ทราบเมืองไทยยังไม่มีกำหนดว่าจะตัด ค่าใช้จ่ายที่เกิดจาการใช้สิทธิไปตอนใช้สิทธิเลยหรือว่าจะเฉลี่ยตัดรายงวด) สมมติอีกนะครับ ว่าถ้าบริษัทมีนโยบายตัดค่าใช้จ่ายออกเรื่อยๆ ตามระยะเวลาการใช้สิทธิ ดังนั้น ระยะเวลาใช้สิทธิ เท่ากับ 5 ปี หรือ 60 เดือน
จะได้ค่าใช้จ่ายต่อเดือนทีเกิดขึ้นเท่ากับ 42,600,000/60 = 710,000 บาท ต่อเดือน
ลองดูงบกำไรขาดทุนปี 2006 WG มีค่าตอบแทนกรรมการ 450,000 บาท ดังนั้นค่าตอบแทนกรรมการจะเพิ่มขึ้น เท่ากับ 710,000 + 450,000 = 1,160,000 บาท
-
- Verified User
- โพสต์: 171
- ผู้ติดตาม: 0
พอไหวไหม นิทานอีสปของ WG
โพสต์ที่ 11
ขอโทษครับ จริงๆจะบอกว่ากรณีดีสุดน่ะครับ ไม่ใช่แย่สุดเพราะกำไรที่โตขึ้น จะทำให้ราคาหุ้นสูงขึ้น จะทำให้ ค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นมากขึ้น แต่ถ้าลองดูค่าใช้จ่ายทั้งหมดในปี 2006 ที่ 841 ล้านแล้ว ลองคิดเฉลี่ยรายปีได้ ค่าใช้จ่ายจากผลของ ESOP เท่ากับ 42 / 5 = 8.4 ล้านบาท ก็ไม่ใช่สัดส่วนที่เยอะ ส่วนผลจากจำนวนหุ้นที่เพิ่มขึ้นนั้นคงต้องพิจารณาการเติบโตในข้างหน้าว่าจะชดเชยได้ในระดับไหนน่ะครับ
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 6447
- ผู้ติดตาม: 0
พอไหวไหม นิทานอีสปของ WG
โพสต์ที่ 12
ผมไม่เห็นด้วยกับการออกอีสปครั้งนี้
ถ้ายังไม่ขายหุ้น ผมจะมองฉันทะให้เพื่อนๆที่ออกเสียงคัดค้าน
เหตุผลที่ผมออกเสียงคัดค้านมีดังนี้ครับ...
1.ราคาตลาด 45.5 บ. ราคาใช้สิทธิ์แค่ 10 บ. เอาเปรียบผู้ถือหุ้นเกินไป เท่ากับว่าไม่ว่ากรรมการจะทำงานมากน้อย ก็ได้กำไรอยู่แล้ว ดังนั้นเหตุผลที่ว่าจะจูงใจให้กรรมการทำงานเพื่อให้ราคาหุ้นสูงขึ้น มีน้อยครับ หลังๆหลายบริษัทให้ราคาใช้สิทธ์เท่ากับราคาเฉลี่ยตลาดย้อนหลัง ลบด้วยส่วนลดนิดหน่อย หรือบางบริษัทที่แฟร์มากๆ กำหนดราคาใช้สิทธ์สูงกว่าราคาตลาด..
2.การกระจายหุ้นอีสป ไม่แฟร์เท่าที่ควร เพราะให้แค่กรรมการ 2 ท่านเท่านั้น พนักงานอื่นๆไม่ได้รับเลย และไปกระจุกตัวที่ md คุณสมชัยค่อนข้างมาก ทั้งที่จริงแล้วเท่าที่ทราบคนที่ทำงานเป็นหลักคือคุณอารยา ส่วนคุณสมชัยทำงานธุรกิจอื่นให้ตระกูลโอสถานุเคราะห์
3.จำนวนอีสปค่อนข้างสูงประมาณ 6.72% สูงกว่า 5% ผมไม่แน่ใจว่าจะมีปัญหาหรือเปล่า เพราะจำได้ว่ามีกฎออกอีสปได้ไม่เกิน 5%
ถ้ายังไม่ขายหุ้น ผมจะมองฉันทะให้เพื่อนๆที่ออกเสียงคัดค้าน
เหตุผลที่ผมออกเสียงคัดค้านมีดังนี้ครับ...
1.ราคาตลาด 45.5 บ. ราคาใช้สิทธิ์แค่ 10 บ. เอาเปรียบผู้ถือหุ้นเกินไป เท่ากับว่าไม่ว่ากรรมการจะทำงานมากน้อย ก็ได้กำไรอยู่แล้ว ดังนั้นเหตุผลที่ว่าจะจูงใจให้กรรมการทำงานเพื่อให้ราคาหุ้นสูงขึ้น มีน้อยครับ หลังๆหลายบริษัทให้ราคาใช้สิทธ์เท่ากับราคาเฉลี่ยตลาดย้อนหลัง ลบด้วยส่วนลดนิดหน่อย หรือบางบริษัทที่แฟร์มากๆ กำหนดราคาใช้สิทธ์สูงกว่าราคาตลาด..
2.การกระจายหุ้นอีสป ไม่แฟร์เท่าที่ควร เพราะให้แค่กรรมการ 2 ท่านเท่านั้น พนักงานอื่นๆไม่ได้รับเลย และไปกระจุกตัวที่ md คุณสมชัยค่อนข้างมาก ทั้งที่จริงแล้วเท่าที่ทราบคนที่ทำงานเป็นหลักคือคุณอารยา ส่วนคุณสมชัยทำงานธุรกิจอื่นให้ตระกูลโอสถานุเคราะห์
3.จำนวนอีสปค่อนข้างสูงประมาณ 6.72% สูงกว่า 5% ผมไม่แน่ใจว่าจะมีปัญหาหรือเปล่า เพราะจำได้ว่ามีกฎออกอีสปได้ไม่เกิน 5%
การลงทุนคืออาหารอร่อยที่สุดเมื่อเย็นดีแล้ว
-
- Verified User
- โพสต์: 674
- ผู้ติดตาม: 0
พอไหวไหม นิทานอีสปของ WG
โพสต์ที่ 13
ผมว่าอีกหน่อยคงหาบริษัทที่ไม่มี ESOP ได้ยากมาก ๆ เลยครับ
ผู้บริหารบริษัทไหนไม่ทำก็เหมือนคนโง่ไม่รักษาผลประโยชน์ให้ตัวเอง หรือไม่ก็แสนดีรักษาสิทธิของผู้หุ้นสุด ๆ
อ่านในร้อยคนร้อยหุ้น คุณลูกอีสานเคยบอกว่าผู้บริหารเหมือนไม่เข้าใจเรื่องซื้อหุ้นคืน แต่ทีเรื่อง ESOP นี่ทำไม่เข้าใจง่ายจังครับ
6.72% ในเวลา 5 ปีถือว่าไม่เยอะครับ
ถ้าไม่มีการแจกซ้ำเข้าไปอีกในช่วง 5 ปีนี้นะ
ผู้บริหารบริษัทไหนไม่ทำก็เหมือนคนโง่ไม่รักษาผลประโยชน์ให้ตัวเอง หรือไม่ก็แสนดีรักษาสิทธิของผู้หุ้นสุด ๆ
อ่านในร้อยคนร้อยหุ้น คุณลูกอีสานเคยบอกว่าผู้บริหารเหมือนไม่เข้าใจเรื่องซื้อหุ้นคืน แต่ทีเรื่อง ESOP นี่ทำไม่เข้าใจง่ายจังครับ
6.72% ในเวลา 5 ปีถือว่าไม่เยอะครับ
ถ้าไม่มีการแจกซ้ำเข้าไปอีกในช่วง 5 ปีนี้นะ
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 6447
- ผู้ติดตาม: 0
พอไหวไหม นิทานอีสปของ WG
โพสต์ที่ 15
การออกอีสปที่มีราคาใช้สิทธิ์ต่ำ กว่าราคาตลาดมากๆ
เกิด dilution effect เท่ากับว่าภาระก็ตกอยู่กับผู้ถือหุ้นที่เหลือนะครับ
ถ้าเป็นการให้โบนัสที่แผนแปรไปตามกำไรที่ทำได้ ดูจะดีกว่า
ถ้าถามว่ากรรมการ 2 ท่านมีความสำคัญสำหรับบริษัท และสมควรจะได้รับอีสปหรือเปล่า..
ธุรกิจหลักของ wg มี 3 อย่าง
1.ขายสารเคมี
2.ให้เช่าตึก
3.ใช้เช่าคลังสินค้า
เพื่อนๆคิดว่าต้องใช้กรรมการที่เก่งมากๆ หรือมี conection ดีๆหรือเปล่า..
เกิด dilution effect เท่ากับว่าภาระก็ตกอยู่กับผู้ถือหุ้นที่เหลือนะครับ
ถ้าเป็นการให้โบนัสที่แผนแปรไปตามกำไรที่ทำได้ ดูจะดีกว่า
ถ้าถามว่ากรรมการ 2 ท่านมีความสำคัญสำหรับบริษัท และสมควรจะได้รับอีสปหรือเปล่า..
ธุรกิจหลักของ wg มี 3 อย่าง
1.ขายสารเคมี
2.ให้เช่าตึก
3.ใช้เช่าคลังสินค้า
เพื่อนๆคิดว่าต้องใช้กรรมการที่เก่งมากๆ หรือมี conection ดีๆหรือเปล่า..
การลงทุนคืออาหารอร่อยที่สุดเมื่อเย็นดีแล้ว
- metro
- Verified User
- โพสต์: 861
- ผู้ติดตาม: 0
พอไหวไหม นิทานอีสปของ WG
โพสต์ที่ 16
ผมว่าเอาเปรียบมากเกินไปครับ
แค่การออก ESOP ก็ไม่ใช่อะไรที่ดีต่อผู้ถือหุ้นอยู่แล้ว ยังมาออกโดยราคาใช้สิทธิ์ที่ประมาณ 25 เปอร์เซ็นต์ของราคาตลาด
โดยปกติการออก ESOP นั้นจะคล้ายๆว่าเพื่อสร้างกำลังใจให้พนักงานมีกำลังใจในการทำงาน แต่สัดส่วนการกระจายของ WG ให้แค่ 2 บุคคลเท่านั้น ดูแล้วหาประโยชน์ใส่ตัวชัดๆ ไม่ได้เพื่อจูงใจพนักงานเลยครับ
ถ้าต่อไปมีการประกาศการซื้อหุ้นคืนบนกระดานโดยใช้เงินของบริษัท ก็เข้าข่ายผุ้บริการหาผลประโยชน์โดยการขายหุ้น ESOP โดยใช้เงินบริษัทประคองไม่ให้หุ้นลงจะได้ขายได้เยอะๆอีกที
แค่การออก ESOP ก็ไม่ใช่อะไรที่ดีต่อผู้ถือหุ้นอยู่แล้ว ยังมาออกโดยราคาใช้สิทธิ์ที่ประมาณ 25 เปอร์เซ็นต์ของราคาตลาด
โดยปกติการออก ESOP นั้นจะคล้ายๆว่าเพื่อสร้างกำลังใจให้พนักงานมีกำลังใจในการทำงาน แต่สัดส่วนการกระจายของ WG ให้แค่ 2 บุคคลเท่านั้น ดูแล้วหาประโยชน์ใส่ตัวชัดๆ ไม่ได้เพื่อจูงใจพนักงานเลยครับ
ถ้าต่อไปมีการประกาศการซื้อหุ้นคืนบนกระดานโดยใช้เงินของบริษัท ก็เข้าข่ายผุ้บริการหาผลประโยชน์โดยการขายหุ้น ESOP โดยใช้เงินบริษัทประคองไม่ให้หุ้นลงจะได้ขายได้เยอะๆอีกที
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 6447
- ผู้ติดตาม: 0
พอไหวไหม นิทานอีสปของ WG
โพสต์ที่ 18
ผลงานของกรรมการที่ผ่านมา..
1.ธุรกิจขายสารเคมี ผมคิดว่าทำได้ดีอยู่แล้วครับ
2.ธุรกิจให้เช่าตึก ตอนนี้มีพื่นที่ว่างประมาณ 40% จาก 20,000 ตรม. เท่ากับว่าส่วนทีว่าง ตัดค่าเสื่อมฟรีๆไม่มีรายได้เลย แต่ถ้าปล่อยเช่าได้ ไม่ว่าถูกหรือแพง รายได้ที่เข้ามาก็คือกำไร เพราะให้เช่าตึกมีต้นทุนผันแปรน้อยมาก
3.การลงทุนในแอมคอร์ ผลงานก็เห็นๆกัน
4.การลงทุนในกองทุนอสังหาริมทรัพย์ที่ผลตอบแทนค่อนข้างต่ำ.
5.การให้ความสำคัญกับผู้ถือหุ้นรายย่อนค่อนข้างน้อย เสนออะไรไป เช่น เพิ่มปันผล ซื้อหุ้นคืน แตกพาร์ ก็ไม่ได้รับการสนองตอบ การกระทำเพื่อเพิ่มความมั่งคั่งให้ผู้ถือหุ้นก็น้อยเช่นกัน ดูจากการกระทำข้างต้น ประเด็นนี้ผมคงไม่ได้คิดคนเดียว แม้แต่ ดร.นิเวศน์ยังเอือมระอา หลังๆแกไปประชุมบริษัทอื่นดีกว่า..
1.ธุรกิจขายสารเคมี ผมคิดว่าทำได้ดีอยู่แล้วครับ
2.ธุรกิจให้เช่าตึก ตอนนี้มีพื่นที่ว่างประมาณ 40% จาก 20,000 ตรม. เท่ากับว่าส่วนทีว่าง ตัดค่าเสื่อมฟรีๆไม่มีรายได้เลย แต่ถ้าปล่อยเช่าได้ ไม่ว่าถูกหรือแพง รายได้ที่เข้ามาก็คือกำไร เพราะให้เช่าตึกมีต้นทุนผันแปรน้อยมาก
3.การลงทุนในแอมคอร์ ผลงานก็เห็นๆกัน
4.การลงทุนในกองทุนอสังหาริมทรัพย์ที่ผลตอบแทนค่อนข้างต่ำ.
5.การให้ความสำคัญกับผู้ถือหุ้นรายย่อนค่อนข้างน้อย เสนออะไรไป เช่น เพิ่มปันผล ซื้อหุ้นคืน แตกพาร์ ก็ไม่ได้รับการสนองตอบ การกระทำเพื่อเพิ่มความมั่งคั่งให้ผู้ถือหุ้นก็น้อยเช่นกัน ดูจากการกระทำข้างต้น ประเด็นนี้ผมคงไม่ได้คิดคนเดียว แม้แต่ ดร.นิเวศน์ยังเอือมระอา หลังๆแกไปประชุมบริษัทอื่นดีกว่า..
การลงทุนคืออาหารอร่อยที่สุดเมื่อเย็นดีแล้ว
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 11443
- ผู้ติดตาม: 0
พอไหวไหม นิทานอีสปของ WG
โพสต์ที่ 22
ผมเป็นคนจิตใจดีครับ
หวังว่าผู้บริหารทั้ง 2 ท่าน คงมีกำไรจากการแปลงสภาพหุ้น ESOP ครั้งนี้ มากขึ้นเรื่อยๆในการแปลงสภาพแต่ละครั้งนะครับ
ยิ่งมีกำไรมากเท่าไรก็ยิ่งดี :lol: :lol: :lol:
หวังว่าผู้บริหารทั้ง 2 ท่าน คงมีกำไรจากการแปลงสภาพหุ้น ESOP ครั้งนี้ มากขึ้นเรื่อยๆในการแปลงสภาพแต่ละครั้งนะครับ
ยิ่งมีกำไรมากเท่าไรก็ยิ่งดี :lol: :lol: :lol:
จงอยู่เหนือความดี อย่าหลงความดี
-
- Verified User
- โพสต์: 2496
- ผู้ติดตาม: 0
พอไหวไหม นิทานอีสปของ WG
โพสต์ที่ 23
มีกำหนดให้หุ้นที่แปลงแล้ว สามารถเข้าซื้อขายได้ ตั้งแต่วันที่ 1 กค 2553 เป็นต้นไป
ดังนั้น ในปี 2553 จะมีหุ้นใหม่ อย่างมากคือ 240000*4(แปลงสิทธิได้ปีละ 20%)=960000 หุ้น ที่นำเข้ามาขายในตลาด, เหลืออีก 240000 ที่จะใช้สิทธิและนำมาขายได้ ในปี 2554
ในความเห็นดิฉัน จำนวนหุ้นที่ออกให้ใช้สิทธิ เยอะพอสมควรทีเดียว
อันนั้นยังไม่เท่าไหร่ เพราะเห็นว่า ทะยอยๆแปลง
แต่เรื่อง ค่าแปลงสิทธิ์ ดิฉันว่า ต่ำมากไป แค่ 10 บาทเอง
ส่วนต่าง มันมากจน อาจจะทำให้ ไม่กระตุ้น แรงจูงใจ ในการทำงานหรือไม่(เพราะถ้าส่วนต่างไม่มากนัก ก็จะต้องพยายามทำงานให้ดีมากเยอะๆ เพื่อไม่ให้ราคาหุ้นตกลงจากเดิมมาก) ......อันนี้ ยังกังขาเล็กน้อย
ทีนี้ ต้องมาคาดถึง ความน่าจะเป็น ในผลกระทบก่อนอื่น
เอาแบบรับประทานด่วน ก็ ง่ายๆ สดๆ
eps 5.64 *17,85 หาร 19.05 เต็มๆอนาคตกันไปเลย = 5.28
กรณี ไม่กระทบต่อ eps ที่ไดลู้ดล่วงหน้าเต็มจำนวน บริษัทต้องทำโต ไม่ต่ำกว่า 10%...ถึงจะมีฐานะของกำไรต่อหุ้น เท่าๆเดิม
5.64+10%=6.204 *17.85 หาร 19.05 =5.81
ถ้าจะให้ดี ต้องทำโต +15% .....กำไรต่อหุ้นถึงจะดูเติบโตต่อเนื่องได้(=eps จะโต 7.76% _หลังไดลู้ดล่วงหน้าเต็มจำนวน)
อ้างอิงจาก ไฟล์ พี่ครรชิต ย้อนหลังรอบ 12 ปี
eps เติบโตทบต้น เฉลี่ย =10.82%
โดยไม่ตัดปี 97 ที่ขาดทุนออก
(ยกมาตรฐาน รอบ 12 ปี เนื่องจาก น่าจะเป็นระยะเฉลี่ยของรอบเศรษฐกิจใหญ่โดยรวมทั่วไป,...ในส่วนตัว คิดว่าเกณฑ์รอบตัวเลข 12 นี้ ยึดหลักจากธรรมชาติที่ผันแปรโดยเฉลี่ย เห็นได้จาก เกณฑ์ทั่วไปที่ใช้ เช่น 1 ปี มี 12 เดือน ,จักรราศี ก็มี 12 ราศี ,ปีนักษัตร ก็มี 12 ปีเช่นกัน :lol: เกี่ยวมะ :lol: )
จริงๆ ดูย้อนไป (ในไฟล์พี่ครรชิตอีกอ่ะ) บริษัทไม่เคยมีเพิ่มทุน เพิ่มหุ้น เลย
มาเพิ่มทีนึงก็ 6.72% ของจำนวนหุ้นเดิมที่มี
จะนับว่า เป็นผลงานที่น่าชื่นชม ก็อาจจะพอพูดได้อยู่เหมือนกัน
แต่ติจริงๆ คือ เรื่อง ราคาแปลงสิทธิ์ คือ มันค่อนข้างไม่จูงใจ ให้บริหารงานแบบฮึด ไม่ยอมให้ราคาหุ้นตกอ่ะ(หรืออยากให้ดีขึ้นอีก) ว่างั้น
ถึงต่อให้ สามารถขายได้จริงๆ ปี 53 ก็จริงอยู่ แต่ ส่วนต่างมันมาก จะกลายเป็นทำให้ มาตรฐานการฮึดทำงาน ลดต่ำลงหรือไม่ :?:
แบบประเภท เออไม่ไร เอาแค่ +10% ได้ก็หรูแล้ว แทนที่จะพยายามฮึดให้ได้+15% เงี้ย
มันจะเป็นงั้นป่าว
มาตรฐาน และไฟในการทำงาน ของผุ้บริหารทั้งสองท่านนี้เป็นไงในอดีตมาบ้าง :?:
หรือ เขามาตรฐานสูงเลิศอยู่แล้ว ไม่ต้องกระตุ้น ก็ใส่เต็มเหนี่ยวโดยธรรมชาติ
ดังนั้น ในปี 2553 จะมีหุ้นใหม่ อย่างมากคือ 240000*4(แปลงสิทธิได้ปีละ 20%)=960000 หุ้น ที่นำเข้ามาขายในตลาด, เหลืออีก 240000 ที่จะใช้สิทธิและนำมาขายได้ ในปี 2554
ในความเห็นดิฉัน จำนวนหุ้นที่ออกให้ใช้สิทธิ เยอะพอสมควรทีเดียว
อันนั้นยังไม่เท่าไหร่ เพราะเห็นว่า ทะยอยๆแปลง
แต่เรื่อง ค่าแปลงสิทธิ์ ดิฉันว่า ต่ำมากไป แค่ 10 บาทเอง
ส่วนต่าง มันมากจน อาจจะทำให้ ไม่กระตุ้น แรงจูงใจ ในการทำงานหรือไม่(เพราะถ้าส่วนต่างไม่มากนัก ก็จะต้องพยายามทำงานให้ดีมากเยอะๆ เพื่อไม่ให้ราคาหุ้นตกลงจากเดิมมาก) ......อันนี้ ยังกังขาเล็กน้อย
ทีนี้ ต้องมาคาดถึง ความน่าจะเป็น ในผลกระทบก่อนอื่น
เอาแบบรับประทานด่วน ก็ ง่ายๆ สดๆ
eps 5.64 *17,85 หาร 19.05 เต็มๆอนาคตกันไปเลย = 5.28
กรณี ไม่กระทบต่อ eps ที่ไดลู้ดล่วงหน้าเต็มจำนวน บริษัทต้องทำโต ไม่ต่ำกว่า 10%...ถึงจะมีฐานะของกำไรต่อหุ้น เท่าๆเดิม
5.64+10%=6.204 *17.85 หาร 19.05 =5.81
ถ้าจะให้ดี ต้องทำโต +15% .....กำไรต่อหุ้นถึงจะดูเติบโตต่อเนื่องได้(=eps จะโต 7.76% _หลังไดลู้ดล่วงหน้าเต็มจำนวน)
อ้างอิงจาก ไฟล์ พี่ครรชิต ย้อนหลังรอบ 12 ปี
eps เติบโตทบต้น เฉลี่ย =10.82%
โดยไม่ตัดปี 97 ที่ขาดทุนออก
(ยกมาตรฐาน รอบ 12 ปี เนื่องจาก น่าจะเป็นระยะเฉลี่ยของรอบเศรษฐกิจใหญ่โดยรวมทั่วไป,...ในส่วนตัว คิดว่าเกณฑ์รอบตัวเลข 12 นี้ ยึดหลักจากธรรมชาติที่ผันแปรโดยเฉลี่ย เห็นได้จาก เกณฑ์ทั่วไปที่ใช้ เช่น 1 ปี มี 12 เดือน ,จักรราศี ก็มี 12 ราศี ,ปีนักษัตร ก็มี 12 ปีเช่นกัน :lol: เกี่ยวมะ :lol: )
จริงๆ ดูย้อนไป (ในไฟล์พี่ครรชิตอีกอ่ะ) บริษัทไม่เคยมีเพิ่มทุน เพิ่มหุ้น เลย
มาเพิ่มทีนึงก็ 6.72% ของจำนวนหุ้นเดิมที่มี
จะนับว่า เป็นผลงานที่น่าชื่นชม ก็อาจจะพอพูดได้อยู่เหมือนกัน
แต่ติจริงๆ คือ เรื่อง ราคาแปลงสิทธิ์ คือ มันค่อนข้างไม่จูงใจ ให้บริหารงานแบบฮึด ไม่ยอมให้ราคาหุ้นตกอ่ะ(หรืออยากให้ดีขึ้นอีก) ว่างั้น
ถึงต่อให้ สามารถขายได้จริงๆ ปี 53 ก็จริงอยู่ แต่ ส่วนต่างมันมาก จะกลายเป็นทำให้ มาตรฐานการฮึดทำงาน ลดต่ำลงหรือไม่ :?:
แบบประเภท เออไม่ไร เอาแค่ +10% ได้ก็หรูแล้ว แทนที่จะพยายามฮึดให้ได้+15% เงี้ย
มันจะเป็นงั้นป่าว
มาตรฐาน และไฟในการทำงาน ของผุ้บริหารทั้งสองท่านนี้เป็นไงในอดีตมาบ้าง :?:
หรือ เขามาตรฐานสูงเลิศอยู่แล้ว ไม่ต้องกระตุ้น ก็ใส่เต็มเหนี่ยวโดยธรรมชาติ
-
- Verified User
- โพสต์: 1141
- ผู้ติดตาม: 0
พอไหวไหม นิทานอีสปของ WG
โพสต์ที่ 29
ผมว่าประเด็นที่เรากังวลใจมีดังนี้
1. การที่กรรมการและผู้บริหาร ทำงานดีในอดีต สิ่งที่จะตอบแทนตามผลงานในอดีตที่ทำได้ดี ก็คือ การจ่ายตาม Performance Bonus ซึ่งผูกพันธ์เฉพาะปี เป็น Variable cost และไม่กระทบกับ Dillution effect ในอนาคต
อย่างไรก็ตาม เรื่องของการจ่ายผลตอบแทนตาม Performance Bonus เราต้องระวังอยู่เหมือนกันก็คือว่า ผลตอบแทนมันคู่ไปกับความเสี่ยงครับ ถ้ากรรมการเห็นแก่ประโยชน์ระยะสั้นในการสร้างผลตอบแทนสูง ๆ เพื่อให้ได้มีส่วนใน Performance Bonus มาก ๆ แบบนี้ ในระยะยาวผู้ถือหุ้นระยะยาวก็เดือดร้อน ดังนั้น กรรมการจึงควรทำหน้าที่ในการสอดส่อง Check and Balance กับฝ่ายบริหาร โดยคำนึงถึงผลตอบแทนและความเสี่ยง เพื่อสร้าง Wealth ให้กับผู้ถือหุ้นอย่างยั่งยืนและระยะยาว มากกว่าที่จะเน้นผลตอบแทนระยะสั้นแต่มีความเสี่ยงที่สูงเกินกว่ายอมรับได้
2. สำหรับการให้ผลตอบแทนกับกรรมการและผู้บริหารในอนาคตที่บริหารงานได้ดีขึ้นกว่าอดีตและปัจจุบันนั้น เป็นประเด็นที่ทุกคนกังวลใจ หากจ่าย ESOP มาก ๆ โดยยังไม่รู้เลยว่าจะทำให้ผลตอบแทนของผู้ถือหุ้นดีขึ้นหรือไม่ในอนาคต ดังนั้นการจ่าย ESOP จึงควรที่จะอิงกับราคาปัจจุบันก่อนแล้ว Discount ไปเท่าไรไม่ให้กระทบกับ Dillution effect มากเกินควร เพราะจะไปมีผลกระทบกับผู้ถือหุ้นทุกคน และยิ่ง Dillution effect มาก ๆ ยิ่งจะไปกระตุ้นให้ฝ่ายบริหารต้องไปสร้างผลตอบแทนสูง ๆ และอาจเสี่ยงมากขึ้นก็ได้
แต่ถ้าจ่ายโดยอิงกับราคาหุ้นปัจจุบันให้มาก อันนี้จะได้เป็นแรงจูงใจให้พยายามดูแล ผลตอบแทนที่ดีให้กับผู้ถือหุ้นทุกคนในอนาคตด้วย เพราะฝ่ายบริหารก็จะได้ประโยชน์จากการบริหารที่ดีในอนาคต จึงควรมองค่าใช้จ่ายของ ESOP เป็นเรื่อง Investment ไม่ใช่เป็นค่าใช้จ่าย ดังนั้น ถ้าจ่ายโดย Discount มาก ๆ จะมีผลกระทบในเชิงค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง จึงน่าจะมีการทบทวนประเด็นในเรื่องราคาหุ้นที่แปลงเป็น ESOP สำหรับระยะเวลาการแปลงนั้น ก็ค่อย ๆ แปลงก็เป็นสิ่งที่ดี เพราะจะทำให้มองมูลค่าเพิ่มของผลตอบแทนระยะยาว
3. การจ่าย ESOP นั้น เราควรเน้นการจ่ายผลตอบแทนเป็น TEAM มากกว่า One Man Show และควรมีเงื่อนไขในเรื่องการทำงานด้วย เช่น ต้องอยู่ช่วยบริษัทในระยะยาว ไม่ใช่ได้ ESOP เป็นการเฉพาะตัว ลาออกไปแล้ว ก็ได้สิทธิ ESOP ด้วยครับ สำหรับการจ่ายให้กับกรรมการด้วยนั้น ผมคิดว่าต้องระวังเหมือนกันครับ เพราะกรรมการต้องดูทั้งผลตอบแทนและความเสี่ยง แต่ถ้าให้กรรมการมาเล่นกับฝ่ายบริหารเพื่อสร้างผลตอบแทนมาก ๆ โดยดูความเสี่ยงไม่รอบคอบ อันนี้ก็อันตรายเหมือนกันครับ
1. การที่กรรมการและผู้บริหาร ทำงานดีในอดีต สิ่งที่จะตอบแทนตามผลงานในอดีตที่ทำได้ดี ก็คือ การจ่ายตาม Performance Bonus ซึ่งผูกพันธ์เฉพาะปี เป็น Variable cost และไม่กระทบกับ Dillution effect ในอนาคต
อย่างไรก็ตาม เรื่องของการจ่ายผลตอบแทนตาม Performance Bonus เราต้องระวังอยู่เหมือนกันก็คือว่า ผลตอบแทนมันคู่ไปกับความเสี่ยงครับ ถ้ากรรมการเห็นแก่ประโยชน์ระยะสั้นในการสร้างผลตอบแทนสูง ๆ เพื่อให้ได้มีส่วนใน Performance Bonus มาก ๆ แบบนี้ ในระยะยาวผู้ถือหุ้นระยะยาวก็เดือดร้อน ดังนั้น กรรมการจึงควรทำหน้าที่ในการสอดส่อง Check and Balance กับฝ่ายบริหาร โดยคำนึงถึงผลตอบแทนและความเสี่ยง เพื่อสร้าง Wealth ให้กับผู้ถือหุ้นอย่างยั่งยืนและระยะยาว มากกว่าที่จะเน้นผลตอบแทนระยะสั้นแต่มีความเสี่ยงที่สูงเกินกว่ายอมรับได้
2. สำหรับการให้ผลตอบแทนกับกรรมการและผู้บริหารในอนาคตที่บริหารงานได้ดีขึ้นกว่าอดีตและปัจจุบันนั้น เป็นประเด็นที่ทุกคนกังวลใจ หากจ่าย ESOP มาก ๆ โดยยังไม่รู้เลยว่าจะทำให้ผลตอบแทนของผู้ถือหุ้นดีขึ้นหรือไม่ในอนาคต ดังนั้นการจ่าย ESOP จึงควรที่จะอิงกับราคาปัจจุบันก่อนแล้ว Discount ไปเท่าไรไม่ให้กระทบกับ Dillution effect มากเกินควร เพราะจะไปมีผลกระทบกับผู้ถือหุ้นทุกคน และยิ่ง Dillution effect มาก ๆ ยิ่งจะไปกระตุ้นให้ฝ่ายบริหารต้องไปสร้างผลตอบแทนสูง ๆ และอาจเสี่ยงมากขึ้นก็ได้
แต่ถ้าจ่ายโดยอิงกับราคาหุ้นปัจจุบันให้มาก อันนี้จะได้เป็นแรงจูงใจให้พยายามดูแล ผลตอบแทนที่ดีให้กับผู้ถือหุ้นทุกคนในอนาคตด้วย เพราะฝ่ายบริหารก็จะได้ประโยชน์จากการบริหารที่ดีในอนาคต จึงควรมองค่าใช้จ่ายของ ESOP เป็นเรื่อง Investment ไม่ใช่เป็นค่าใช้จ่าย ดังนั้น ถ้าจ่ายโดย Discount มาก ๆ จะมีผลกระทบในเชิงค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง จึงน่าจะมีการทบทวนประเด็นในเรื่องราคาหุ้นที่แปลงเป็น ESOP สำหรับระยะเวลาการแปลงนั้น ก็ค่อย ๆ แปลงก็เป็นสิ่งที่ดี เพราะจะทำให้มองมูลค่าเพิ่มของผลตอบแทนระยะยาว
3. การจ่าย ESOP นั้น เราควรเน้นการจ่ายผลตอบแทนเป็น TEAM มากกว่า One Man Show และควรมีเงื่อนไขในเรื่องการทำงานด้วย เช่น ต้องอยู่ช่วยบริษัทในระยะยาว ไม่ใช่ได้ ESOP เป็นการเฉพาะตัว ลาออกไปแล้ว ก็ได้สิทธิ ESOP ด้วยครับ สำหรับการจ่ายให้กับกรรมการด้วยนั้น ผมคิดว่าต้องระวังเหมือนกันครับ เพราะกรรมการต้องดูทั้งผลตอบแทนและความเสี่ยง แต่ถ้าให้กรรมการมาเล่นกับฝ่ายบริหารเพื่อสร้างผลตอบแทนมาก ๆ โดยดูความเสี่ยงไม่รอบคอบ อันนี้ก็อันตรายเหมือนกันครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 1688
- ผู้ติดตาม: 0
พอไหวไหม นิทานอีสปของ WG
โพสต์ที่ 30
[quote="chatchai"]ผมเป็นคนจิตใจดีครับ
หวังว่าผู้บริหารทั้ง 2 ท่าน
หวังว่าผู้บริหารทั้ง 2 ท่าน
==หากบริษัทไม่ได้อยู่ในตลาดฯ หุ้นยังน่าซื้อหรือไม่ ==