คนไทยไม่เคยเข็ด
ไปทางไหน นายกฯ ทักษิณก็คุยว่า "รัฐบาลมีเงินเยอะ..ไม่ต้องห่วง" แต่ไหงเริ่ม "รีดเลือดกับปู" ชนิดเอาเป็นเอาตายก็ไม่รู้?
ค่าไฟฟ้าก็ขึ้น ค่าน้ำประปาก็ขึ้น ค่ารถเมล์ก็ขึ้น น้ำมันก็ขึ้น แล้วสินค้าต่างๆ มันก็ต้องพาเหรดขึ้นตาม ในขณะที่รายได้ชาวบ้านกระจุกตัว ยกเว้นชาวบ้าน "อีลิทชน" ในกลุ่มทุนการเมืองที่กระจายความรวยกันถ้วนหน้า!
ไม่ต้องมาก แค่เบียดบังเอาหุ้นจองจากรัฐวิสาหกิจที่กำลังทยอยเข้าตลาดหลักทรัพย์ แค่นั้น นั่งเฉยๆ เงินก็ไหลมาเทมา
หุ้น ปตท.ก็ดี หุ้นดี.อาร์.บางจาก ก็ดี อีลิทชนกลุ่มทุนการเมืองรวยกันเป็นร้อยล้าน-พันล้าน ระบบรัฐปั่นให้คนนอกหลงเชื่อไล่ซื้อจนหุ้นขึ้นไปสูงๆ แล้วคนในพวกมันเองก็เทขาย เปลี่ยนกระดาษที่ได้มาถูกๆ ไปในราคาแพงๆ
หุ้นการไฟฟ้าฝ่ายผลิต ก็ดี หุ้นการท่าอากาศยานไทย ก็ดี เป็นรัฐวิสาหกิจที่แปรรูปเข้าตลาด นักลงทุนภายนอกอย่าไปหาซะให้ยาก ก็รู้ใช่ไหมว่าเวลานี้คนกลุ่มไหนที่มีเงินสดในกระเป๋ามากที่สุด?
กลุ่มนักการเมืองที่รักประเทศไทยจนน้ำลายไหลนั่นแหละ ตอนหุ้น ปตท.ก็ถูกแฉมาทีแล้วว่า "ยกโคตร" มากว้านซื้อราคาจอง มันก็ไอ้หน้าเดิมๆ นั่นแหละที่ตุนหุ้นการไฟฟ้า หุ้นการท่าฯ ไปอีก!
ไอ้พวกนี้มันคงกะเอาธนบัตรไปเผาศพมันแทนฟืนเป็นแน่!?
กฟผ.ขนาดยังแปรรูปไม่เต็มตัว ระดับบริหารยังทำเหมือนโผล่หางให้เห็น อ้างค่า Ft ขึ้นค่าไฟฟ้าทีเดียว 2 ครั้งซ้อน แล้วถ้าเข้าตลาดหลักทรัพย์กลายเป็นบริษัทมหาชนเต็มตัว..
พ่อไม่ขึ้นค่าไฟเป็นรายเดือนเรอะ?
เป็นธุรกิจผูกขาด ปรัชญาการบริหารเปลี่ยนหมด 100% จากสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานที่รัฐมีหน้าที่บริการชาวบ้านเป็นหลัก ผลกำไรคือความสะดวกสบายที่ชาวบ้านแค่ควักจ่ายในราคาอุ้มสม
แต่เมื่อเข้าตลาดแล้ว เขาจะไม่ถือว่าการบริการด้านไฟฟ้าเป็นหน้าที่ของรัฐเพื่อประชาชน แต่เขาจะถือว่านี่คือธุรกิจการค้า เงินที่ต้องทำให้ได้มากกว่าเงินลงทุนเป็นสิบ-เป็นร้อยเท่า นั่นคือเป้าหมายที่เขาจะนำไปอวดกับผู้ถือหุ้นแต่ละไตรมาส
กินเลือดประชาชนอ้วนพี นั่นคือความสำเร็จของรัฐบาลผ่านการเอาของราษฎร์-ของหลวงมาแปรรูปแล้วแจกจ่ายผลกำไรกระจุกตัวอยู่แค่ในระบบคนตลาดหลักทรัพย์
ทั้งรถ ขสมก. ทั้งการประปา ทั้งการท่าเรือฯ แปรรูปเข้าตลาดวันไหน ความฉิบหายมาเยือนคนยากระดับรากหญ้าแน่นอน เหมือนกับที่ กฟผ.กำลังสำแดงธาตุแท้เป็นตัวอย่าง เอาของหลวงคือของประชาชนไปขาย แล้วก็มารีดไถเอากับประชาชนไปอิ่มหมีพีมันกัน
เฉพาะพวกมัน!
มีอย่างเรอะ จะเอาหุ้น กฟผ.เข้าตลาดปุ๊บ ก็ประกาศขึ้นค่าไฟฟ้า 2 ระลอกปั๊บ แล้วรัฐมนตรีก็มาลอยหน้าบอกกับชาวบ้านว่า..ไม่เกี่ยวกับการแต่งตัว-แต่งกำไรเพื่อเอาไปอวดขายในตลาดหลักทรัพย์!
คงนึกว่าชาวบ้านมันกินแกลบ มีแต่รัฐมนตรี และคนในรัฐบาลเท่านั้นกระมังที่..กินหญ้า?
ไอ้ค่า Ft นั่นน่ะคือค่าความฉิบหายที่ฝ่ายบริหาร กฟผ.ทำกันขึ้น แทนที่จะรับผิดชอบ กลับเอาไปบวกเป็นต้นทุนแล้วหารให้ชาวบ้านเป็นผู้จ่ายค่าความฉิบหายนั้นแทน
มันถูกต้องมั้ย?
อย่างนี้มันน่าจะเรียกว่าเป็นค่า ST ที่ย่อมาจากศัพท์เต็มว่า Saun Teen มากกว่า Ft ที่มาจากคำว่า Fuel Adjustment time!
ตอนจะซื้อก๊าซพม่า ก๊าซไทยแต่ฝรั่งเจ้าของ ก็อ้างร้อยแปดว่าก๊าซมีเหลือเฟือ ราคาถูก เอามาใช้ผลิตไฟฟ้าร้อยปีไม่มีหมด
ก็เลยล้มแผนการเตรียมพลังงานทางเลือก ที่จะทำโรงงานไฟฟ้าถ่านหินแทนน้ำมันเตาก็เลิกมันหมด หันมาตะบี้ตะบันฝากอนาคตไว้กับก๊าซอย่างเดียว
แล้วเป็นไง ก๊าซก็เลยเป็นสินค้า "ผูกขาด" ชะตาอนาคตประเทศไทย ขึ้นราคาวันไหน หรือขี้เกียจส่งก็หยุดส่งก๊าซซักวัน-สองวัน ผลก็คือ ประเทศไทยจะเป็น-จะตายทันตาเห็น
ลงท้ายประชาชนฉิบหายฝ่ายเดียว!
ก๊าซขึ้นราคา กฟผ.ก็ไม่เดือดร้อน

ง่ายดีมั้ย..บริหารแบบนี้ ใครมี 4 ขาก็มาบริหารได้ ไม่ต้องใช้รัฐมนตรีหรอก!
เหล่านี้คือสัญญาณเตือนให้ "ฉุกคิด" สองประเด็น คือ ประเด็นแรก การเอารัฐวิสาหกิจซึ่งประกอบธุรกิจผูกขาดเพื่อการบริการประชาชนไปเป็น ธุรกิจผูกขาดสำหรับใช้แสวงหากำไรเพื่อกลุ่มบุคคลที่ผูกขาดผลประโยชน์ อย่างนี้สมควรไหม?
ประเด็นที่สอง การที่รัฐบาลละทิ้งนโยบาย "พลังงานทางเลือก" หันมาทุ่มพลังงานทางเดียว คือก๊าซเช่นนี้ มันอันตรายต่ออนาคตประเทศที่ต้องตระหนักและรีบแก้ไขด่วน ใช่หรือไม่?
เราจะหวังพึ่งแค่น้ำมันเตา กับก๊าซ เห็นจะเป็นหลักประกันอนาคตที่มั่นคงไม่ได้แน่
โรงไฟฟ้าถ่านหินที่ต่อต้าน และยกเลิกไปแล้วนั้น ผมคิดว่าแนวทางนั้น น่าจะเป็นอีกทางเลือกที่ไทยเราไม่ควรหันหลังให้ชนิด 100%
ก๊าซที่คุยว่าราคาถูก และมีมาก เอาเข้าจริง จะเห็นชัดเจนว่า มันคนละประเด็น-คนละเงื่อนไขกับสถานการณ์ที่เป็นจริง ซึ่งไร้ทางเลือกยามวิกฤติ
ราคาถูก-ไม่แน่เสมอไป แต่ที่ว่ามีมากนั้น
มันของเขา และอยู่ในกำมือเขา!
ซ้ำบางครั้ง ถึงจะมีเงินซื้อ แต่เขาขายแบบยื่นข้อเสนอที่ไม่สามารถปฏิเสธได้
แล้วจะทำอย่างไร?
ถ้ามองกันให้ดีจะเห็นว่า ตลอดระยะเวลา 3 ปีที่ผ่านมา รัฐบาลใช้นโยบาย "รดน้ำรากหญ้า" และทุกนโยบายคล้ายเชื่อมโยงกับ "แผนใหญ่" ทางการบริหารราชการบ้านเมือง อย่างที่เรียกว่าปฏิรูป อะไรทำนองนั้น
แต่เอาเข้าจริง นโยบายการตลาดของรัฐบาล เหมือนแคมเปญโปรโมตสินค้ามือถือรายเดือน แค่ 3 ปีแต่กี่ร้อยนโยบายที่ขุดขึ้นมาปลุกตลาด ผมว่ารัฐบาลเองก็คงจำไม่หมด
แล้วจะไปทำทุกเรื่องที่โม้ไว้ได้ครบอย่างไรกัน?
นโนบายส่วนใหญ่ล้วนปลุกเร้าให้คนตื่นวัตถุ แล้วอัดฉีดเม็ดเงินด้วยรูปแบบต่างๆ ให้ชาวรากหญ้ามาเป็นหนี้
เป็นหนี้ด้วยการเอาเงินที่รัฐบาลอัดฉีดนั้นไปจับจ่ายใช้สอยในสินค้าที่ไม่สร้างความเติบโตที่ต่อเนื่องกับระบบเศรษฐกิจ
ไปเล่นหวย ไปซื้อมือถือ ไปซื้อมอเตอร์ไซค์ ไปแต่งตัวเที่ยวเตร่ ไปกินเหล้าเมายา ธุรกิจเงินด่วน ธุรกิจเงินมักง่าย บัตรเครดิต ที่เกิดพร้อมกับเงินอัดฉีดรากหญ้า เหมือนเบ็ดที่คาปากปลาหน้าโง่ ซึ่งลงท้ายก็ต้องไปดิ้นกระแด่วอยู่บนศาล
ขนาดรถแท็กซี่คันละค่อนล้าน รัฐบาลยังใจคอจะหลอกล่อให้ชาวรากหญ้าไปเป็นหนี้!
3 ปีมานี้ไม่ค่อยได้ยินเลยว่าจะมีอุตสาหกรรมหนักเพื่อการส่งออก โดยใช้วัตถุดิบในประเทศเป็นหลักเกิดขึ้น จะเห็นแต่ธุรกิจโฉบฉกแบบฉาบฉวยจากพวกกลุ่มทุน "นำสินค้าฟุ่มเฟือย" เข้ามาขายให้พวกรสนิยมสูง แต่รายได้ต่ำ
นำเข้านาฬิกาเรือนละล้าน นำเข้ามือถือเครื่องละแสน นำเข้าเสื้อผ้า เครื่องสำอาง น้ำหอม นำเข้าไม้กอล์ฟ นำเข้ารถประกอบนอก แล้วพวกสื่อทาสก็นำมาเป็นข่าวโหมประโคมให้ผู้คนเห็นดี-เห็นงาม
ต่างเข้าใจว่า นี่คือสัญญาณ เศรษฐกิจไทยพ้นสภาพคำว่า "ฟื้นแล้ว" ไปสู่คำว่า "โตแล้ว"
นั่งรถไปตามถนน แหงนสูงหน่อย จะเห็นแต่ป้ายโฆษณาขายบ้านหลังละ 12-20 ล้านบาทขึ้นไป แต่ถ้าก้มต่ำลงมาหน่อย จะเห็นแต่รถยนต์ "ป้ายแดง" จนนึกว่ากรมขนส่งทางบกเขาเปลี่ยนสีป้ายใหม่ทั้งประเทศ
มีพรรคพวกเขารับโทรศัพท์แล้วกระฟัดกระเฟียดให้ฟังว่า "ไอ้ห่...พรรคพวกมันยัวะใหญ่ จะซื้อเบนซ์ 2 คันแต่ขาดตลาด" ผมฟังแล้วก็เห็นภาพประเทศไทยตอนปี 2538-2539 เรื่อยมาจบที่ปี 2540 ชัดเจน ปีหน้า..เตรียม "น้ำตานอง" กันอีกรอบได้แล้ว
จากคุณ : พี่เตือน