ทุกคนที่ขับรถ: กรุณาอ่าน
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 11443
- ผู้ติดตาม: 0
ทุกคนที่ขับรถ: กรุณาอ่าน
โพสต์ที่ 1
วันที่ 14 สิงหาคม 2549 เวลาประมาณ 11.00 น.เป็นวันจันทร์หยุดชดเชย และเป็นวันที่ ผมมิอาจ
ลืมได้
ในชีวิตนี้
ผมได้ขับรถขึ้นทางด่วนพิเศษจาก ถนนจันทน์ มุ่งหน้าไป ถนนแจ้งวัฒนะ เพื่อที่จะไปทำ
บุญบริจาคสิ่งของ
ที่บ้านเด็กอ่อนพญาไท ติด ถ.แจ้งวัฒนะ- ปากเกร็ด ขณะขับรถไปได้ประมาณ 20 นาที และ
มองไปที่คันเร่ง เห็นหน้าจอ
ที่ 140 กม.ผมก็ได้ถอนคันเร่งและแตะเบรก 2 ครั้งเพื่อลดความเร็ว แต่ไม่มีอะไรเปลี่ยน
แปลง ผมได้ลองใหม่อีก 3 ครั้ง
คราวนี้กระชากเบรกมือด้วยอีก 2 ครั้ง เบรกเท้าอีกก็เหมือนเดิมไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง
ลองเกียร์ว่าง 1 ครั้ง ความเร็วอยู่ที่
130 กม/ชม. ผมได้พยายามกดโทรศัพท์ไปหา เพื่อนสนิทที่นัดแนะไปทำบุญด้วยกัน เพื่อนแนะ
ให้ลดเกียร์ จาก D เป็น 2
และ L ความเร็วลดจาก 130/ชม. เป็น 120- 110 ซึ่งลดลงได้เพียงเท่านี้ ความ
พยายามในการชะลอรถมากกว่า 10 นาที
และลองเกียร์ว่าง 1 ครั้ง ไม่มีผลเลย ผมคิดว่าคงอาจจบชีวิตบนการทางพิเศษแล้ว
และคิดว่าถ้าไม่มีอุบัติเหตุใดใดเลยจะขอทำบุญบวชอีกครั้งในชีวิต ( บวชพราหมณ์หรือพระ
ภายใน 2 ปีนี้ )
และจะเริ่มลดละบาปกรรม เพื่อนได้แนะอีกครั้ง และสมาธิเริ่มรวบรวม ความพยายาม
ประมาณครั้งที่ 7
โดยการดับเครื่อง คราวนี้รถได้ชะลอความเร็วลงมาก
ผมได้ประคองขับรถต่อไปอีกประมาณ 5 กม. กว่ารถจะหยุดได้ ซึ่งผมก็สามารถหยุดชิดขอบ
ทางได้ เหมือนรอดตายพ้นนรก
ผมรีบโทรบอกที่บ้านเพราะตอนแรกนึกว่าคงไม่ได้โทรสั่งเสียหรือสั่งลา ลูกก็ยังเล็กและอยู่ใน
วัยเรียน
ผมได้เดินอีกประมาณ 100 เมตรไปบอกเจ้าหน้าที่เก็บเงินที่ ด่านเก็บเงินใกล้แจ้งวัฒนะเพื่อ
ขอความช่วยเหลือ รอประมาณ
10 นาที ก็มาช่วย ผลปรากฏว่าสาเหตุที่คันเร่งค้าง เพราะกล่องสัญญาณกันขโมยซึ่งหนักประ
มาณเกือบครึ่งกิโลไปทับอยู่ที่
ก้านของคันเร่งและเกิดการล็อคขึ้น ช่างทางด่วนแนะนำว่าหากกดคันเร่งค้างไว้ และความ
เร็วขนาดเกิน 100 กม/ ชม.
เบรกใช้ไม่มีผลแน่นอน
วันรุ่งขึ้นผมได้ไปวัดทำบุญสะเดาะเคราะห์รดน้ำมนต์แล้ว
ขอเล่าเป็นวิทยาทานและขออุทิศส่วนบุญกุศลให้เจ้ากรรมนายเวรให้ญาติที่ล่วงลับไปแล้ว
[email protected]
081 6221349
ลืมได้
ในชีวิตนี้
ผมได้ขับรถขึ้นทางด่วนพิเศษจาก ถนนจันทน์ มุ่งหน้าไป ถนนแจ้งวัฒนะ เพื่อที่จะไปทำ
บุญบริจาคสิ่งของ
ที่บ้านเด็กอ่อนพญาไท ติด ถ.แจ้งวัฒนะ- ปากเกร็ด ขณะขับรถไปได้ประมาณ 20 นาที และ
มองไปที่คันเร่ง เห็นหน้าจอ
ที่ 140 กม.ผมก็ได้ถอนคันเร่งและแตะเบรก 2 ครั้งเพื่อลดความเร็ว แต่ไม่มีอะไรเปลี่ยน
แปลง ผมได้ลองใหม่อีก 3 ครั้ง
คราวนี้กระชากเบรกมือด้วยอีก 2 ครั้ง เบรกเท้าอีกก็เหมือนเดิมไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง
ลองเกียร์ว่าง 1 ครั้ง ความเร็วอยู่ที่
130 กม/ชม. ผมได้พยายามกดโทรศัพท์ไปหา เพื่อนสนิทที่นัดแนะไปทำบุญด้วยกัน เพื่อนแนะ
ให้ลดเกียร์ จาก D เป็น 2
และ L ความเร็วลดจาก 130/ชม. เป็น 120- 110 ซึ่งลดลงได้เพียงเท่านี้ ความ
พยายามในการชะลอรถมากกว่า 10 นาที
และลองเกียร์ว่าง 1 ครั้ง ไม่มีผลเลย ผมคิดว่าคงอาจจบชีวิตบนการทางพิเศษแล้ว
และคิดว่าถ้าไม่มีอุบัติเหตุใดใดเลยจะขอทำบุญบวชอีกครั้งในชีวิต ( บวชพราหมณ์หรือพระ
ภายใน 2 ปีนี้ )
และจะเริ่มลดละบาปกรรม เพื่อนได้แนะอีกครั้ง และสมาธิเริ่มรวบรวม ความพยายาม
ประมาณครั้งที่ 7
โดยการดับเครื่อง คราวนี้รถได้ชะลอความเร็วลงมาก
ผมได้ประคองขับรถต่อไปอีกประมาณ 5 กม. กว่ารถจะหยุดได้ ซึ่งผมก็สามารถหยุดชิดขอบ
ทางได้ เหมือนรอดตายพ้นนรก
ผมรีบโทรบอกที่บ้านเพราะตอนแรกนึกว่าคงไม่ได้โทรสั่งเสียหรือสั่งลา ลูกก็ยังเล็กและอยู่ใน
วัยเรียน
ผมได้เดินอีกประมาณ 100 เมตรไปบอกเจ้าหน้าที่เก็บเงินที่ ด่านเก็บเงินใกล้แจ้งวัฒนะเพื่อ
ขอความช่วยเหลือ รอประมาณ
10 นาที ก็มาช่วย ผลปรากฏว่าสาเหตุที่คันเร่งค้าง เพราะกล่องสัญญาณกันขโมยซึ่งหนักประ
มาณเกือบครึ่งกิโลไปทับอยู่ที่
ก้านของคันเร่งและเกิดการล็อคขึ้น ช่างทางด่วนแนะนำว่าหากกดคันเร่งค้างไว้ และความ
เร็วขนาดเกิน 100 กม/ ชม.
เบรกใช้ไม่มีผลแน่นอน
วันรุ่งขึ้นผมได้ไปวัดทำบุญสะเดาะเคราะห์รดน้ำมนต์แล้ว
ขอเล่าเป็นวิทยาทานและขออุทิศส่วนบุญกุศลให้เจ้ากรรมนายเวรให้ญาติที่ล่วงลับไปแล้ว
[email protected]
081 6221349
จงอยู่เหนือความดี อย่าหลงความดี
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 14783
- ผู้ติดตาม: 0
ทุกคนที่ขับรถ: กรุณาอ่าน
โพสต์ที่ 4
โห ดีใจด้วยครับ กับการมีสติแก้ไขปัญหา
เพื่อนหมอผมเคยเจอ พวงมาลัย มันหลุด คือ ไม่สามารถบังคับรถได้
ดีนะที่เค๊ามีสติไม่แตะเบรค และปล่อยให้รถค่อยๆ ชลอ ลงข้างทางไป
รอดเหมือนกัน
ยินดีด้วยครับ คุณฉัตรชัย รอดแบบนี้ ปาติหารย์ มาก
ชีวิตคุณฉัตรชัย คงเป็นประโยชน์กับคนอีกมาก ก็เลยตายยากครับ 555
เพื่อนหมอผมเคยเจอ พวงมาลัย มันหลุด คือ ไม่สามารถบังคับรถได้
ดีนะที่เค๊ามีสติไม่แตะเบรค และปล่อยให้รถค่อยๆ ชลอ ลงข้างทางไป
รอดเหมือนกัน
ยินดีด้วยครับ คุณฉัตรชัย รอดแบบนี้ ปาติหารย์ มาก
ชีวิตคุณฉัตรชัย คงเป็นประโยชน์กับคนอีกมาก ก็เลยตายยากครับ 555
- por_jai
- Verified User
- โพสต์: 14338
- ผู้ติดตาม: 0
ทุกคนที่ขับรถ: กรุณาอ่าน
โพสต์ที่ 5
8) ดร.โหน่งที่พี่เขาเล่าเนี่ยมันสิงหา49 นะ
มันจะ4-5วันได้ไงกัน
แล้วเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเนี่ย
ผมว่าไม่ใช่พี่ฉัตร เขาหรอก
เล่าว่าขึ้นทางด่วนที่ตรอกจันทร์ บ้านคุณฉัตรอยู่พุทธมณทลโน่น
ยิ่งดูชื่อกะอีแมว ไม่ใช่พี่ฉัตรหรอก
อาจเป็นเพื่อนแกมากกว่า
นัดกันไปทำบุญ กะอีกคน คนนี้ตะหากอาจเป็นพี่ฉัตรได้.....
มันจะ4-5วันได้ไงกัน
แล้วเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเนี่ย
ผมว่าไม่ใช่พี่ฉัตร เขาหรอก
เล่าว่าขึ้นทางด่วนที่ตรอกจันทร์ บ้านคุณฉัตรอยู่พุทธมณทลโน่น
ยิ่งดูชื่อกะอีแมว ไม่ใช่พี่ฉัตรหรอก
อาจเป็นเพื่อนแกมากกว่า
นัดกันไปทำบุญ กะอีกคน คนนี้ตะหากอาจเป็นพี่ฉัตรได้.....
กรูเก่ง กิเลสเก่งกว่า
- เพื่อน
- Verified User
- โพสต์: 1826
- ผู้ติดตาม: 0
ทุกคนที่ขับรถ: กรุณาอ่าน
โพสต์ที่ 7
ทีแรกก็นึกว่าคุณฉัตรชัยเหมือนกัน เป็นห่วงแทบแย่ ว่าจะถามต่อว่าใช้รถยี่ห้ออะไร
พอเห็นอีเมล์กับเบอร์โทรแล้วก็เข้าใจว่าคัดลอกมาอีกที ถึงว่าสิผ่านมาเป็นเดือน ทำไมเพิ่งนึกมาเล่าให้ฟัง.... :lol:
เหตุการณืของเพื่อนคุณเจ๋งก็คงระทึกใจน่าดูเหมือนกัน
ผมเองเคยเจอคล้ายๆครับ หลังจากเอารถออกจากอู่ซ่อม(ไปเปลี่ยนผ้าเบรคมา) ขับไปเซ็นทรัล ตอนแรกก็ปกติดี พอขับจะกลับบ้าน(ช่วงกลางคืน ฝนก็ตกอีกต่างหาก) ช่วงเลี้ยวโค้งใต้สะพาน ปรากฎว่าเบรกไม่อยู่ เหยียบแล้วจมหมดเลย....ย้ำเบรกก็ไม่ค่อยช่วยอะไรเลย จมตลอด
ต้องถือว่าโชคดีที่เริ่มเป็นตอนขับยังไม่เร็ว และเป็นรถเกียร์แมนนวล เลยค่อยๆลากเกียร์1สลับ2 ขับไปจอดอู่ให้เค้าช่วยดูตอนเช้า
ปรากฎช่างบอกว่าสายอ่อนเบรกรั่วครับ ....นี่ถ้ามารู้ตัวตอนขับบนทางด่วน คงแย่เหมือนกัน
ฝากเตือนเพื่อนๆให้เช็คเบรกแล้วอย่าลืมส่วนต่อเนื่องทั้งระบบด้วยนะครับ ชีวิตเรา(และครอบครัว)ขึ้นอยู่กับมันจริงๆ
พอเห็นอีเมล์กับเบอร์โทรแล้วก็เข้าใจว่าคัดลอกมาอีกที ถึงว่าสิผ่านมาเป็นเดือน ทำไมเพิ่งนึกมาเล่าให้ฟัง.... :lol:
เหตุการณืของเพื่อนคุณเจ๋งก็คงระทึกใจน่าดูเหมือนกัน
ผมเองเคยเจอคล้ายๆครับ หลังจากเอารถออกจากอู่ซ่อม(ไปเปลี่ยนผ้าเบรคมา) ขับไปเซ็นทรัล ตอนแรกก็ปกติดี พอขับจะกลับบ้าน(ช่วงกลางคืน ฝนก็ตกอีกต่างหาก) ช่วงเลี้ยวโค้งใต้สะพาน ปรากฎว่าเบรกไม่อยู่ เหยียบแล้วจมหมดเลย....ย้ำเบรกก็ไม่ค่อยช่วยอะไรเลย จมตลอด
ต้องถือว่าโชคดีที่เริ่มเป็นตอนขับยังไม่เร็ว และเป็นรถเกียร์แมนนวล เลยค่อยๆลากเกียร์1สลับ2 ขับไปจอดอู่ให้เค้าช่วยดูตอนเช้า
ปรากฎช่างบอกว่าสายอ่อนเบรกรั่วครับ ....นี่ถ้ามารู้ตัวตอนขับบนทางด่วน คงแย่เหมือนกัน
ฝากเตือนเพื่อนๆให้เช็คเบรกแล้วอย่าลืมส่วนต่อเนื่องทั้งระบบด้วยนะครับ ชีวิตเรา(และครอบครัว)ขึ้นอยู่กับมันจริงๆ
- por_jai
- Verified User
- โพสต์: 14338
- ผู้ติดตาม: 0
ทุกคนที่ขับรถ: กรุณาอ่าน
โพสต์ที่ 9
การขับรถ
คอลัมน์ จับจิตด้วยใจ
โดย นพ.วิธาน ฐานะวุฑฒ์ หัวใจใหม่ ชีวิตใหม่ เชียงราย [email protected]
การขับรถเป็นเรื่องราวที่ผมประทับใจเป็นพิเศษ เพราะมีเหตุการณ์สำคัญๆ
เกิดขึ้นในชีวิตผมกับเรื่องการขับรถ แต่ไม่ได้หมายความว่า ผมเคยประสบเหตุการณ์อะไรพิเศษๆ
ประเภทขับรถไปเจอมนุษย์ต่างดาวหรือเคยขับรถข้ามมหาสมุทรข้ามโลกหรืออะไรแบบนั้น
แต่เป็นการขับรถ "ที่เป็นธรรมดาๆ" "ที่เป็นปกติ" ในชีวิตประจำวันนี่แหละ
เมื่อหลายปีก่อนผมอ่านเจอในหนังสือเล่มหนึ่งของท่านติช นัท ฮันห์ที่ชื่อ Peace Is Every Step
(มีผู้แปลเป็นภาษาไทยแล้วชื่อหนังสือสันติภาพทุกย่างก้าว)
ท่านบอกว่าทุกครั้งที่เห็นสัญญาณไฟแดงในขณะที่ขับรถ ให้ลองถือเสมือนว่าเป็น "สัญญาณเตือน"
ให้เรากลับมาหาตัวเอง ให้กลับมาฝึกลมหายใจของตัวเองทุกครั้ง
ท่านติช นัท ฮันห์เป็นพระชาวเวียดนาม ปัจจุบันอาศัยอยู่ที่หมู่บ้านพลัมประเทศฝรั่งเศส
ปัจจุบันถือได้ว่าเป็นเสาหลักที่สำคัญคนหนึ่งของพุทธศาสนาเคียงคู่กับองค์ทะไลลามะ
ทั้งสองท่านนี้ได้ทำให้พุทธศาสนาเป็นที่ปรากฏและรู้จักไปทั่วโลก คำว่า "ปรากฏและรู้จัก"
ในที่นี้ไม่ได้หมายความแค่ "ปรากฏและรู้จัก"
ทางภายนอกเท่านั้นแต่รูปธรรมก็คือมีผู้คนทั้งในยุโรปและสหรัฐอเมริกาหันมาสนใจที่จะ
"ฝึกฝนตัวเอง" อย่างจริงจังในแนวพุทธศาสนาเป็นจำนวนมาก
โดยที่ยังคงอาจจะดำรงตนอยู่ในศาสนาเดิมและไม่จำเป็นจะต้องหันมาทำตัวหรือมาเปลี่ยนศาสนาให้เป็นพุทธศาสนิก
ใดๆ
จุดเด่นที่เป็นลักษณะพิเศษของท่านติช นัท
ฮันห์คือท่านเน้นว่าการปฏิบัติธรรมเป็นเรื่องของการทำกิจวัตรปกติในชีวิตต่างๆ ได้เช่นการล้างจาน
การถูบ้าน การกินอาหาร รวมไปถึง "การขับรถ"
ไม่จำเป็นจะต้องนุ่งขาวห่มขาวนั่งสมาธิเข้าวัดสร้างวัดเท่านั้นที่ถือว่าเป็น "การปฏิบัติธรรม"
โดยที่ท่านเน้นเรื่อง "การอยู่กับปัจจุบันขณะ" โดยอาศัย "ลมหายใจ"
เป็นตัวเชื่อมที่สำคัญ
ผมอยากจะขยายความเพื่ออธิบายเรื่อง "ลมหายใจ" ของท่านนัท ฮันห์อีกสักเล็กน้อย
จุดประสงค์ของการฝึกเรื่องลมหายใจคือเป็นการฝึก "ตัวรู้" ของเรา ให้กลับมาสู่ปัจจุบัน
ผมคิดว่าอุบายของท่าน "แยบยลมาก" ที่มุ่งทำให้เกิด "ความเป็นปกติ" ในชีวิตทั่วๆ
ไปของพวกเรา เมื่อรถติดไฟแดงคนส่วนใหญ่ก็จะ "เผลอหงุดหงิด"
ในช่วงเวลาที่หงุดหงิดหรือวิตกกังวลว่าจะไปทำงานไม่ทัน, ไปถึงที่หมายไม่ทันนั้น คุณกำลังตก
"ร่องอารมณ์"
คุณกำลังทำร้ายตัวเองเพราะร่างกายจะหลั่งฮอร์โมนด้านลบที่เป็นฮอร์โมนแห่งความเครียดออกมามากมายตามที่ผมไ
ด้เคยให้ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์มาหลายครั้งแล้วในบทความครั้งก่อนๆ
การเลือกที่จะกลับมาสู่ "สภาวะแห่งความเป็นปกติ" ด้วยวิธีง่ายๆ
ด้วยลมหายใจนั้นช่วยให้ร่างกายของคุณหลั่งฮอร์โมนด้านบวกอย่างเอ็นดอร์ฟินออกมา
ถ้าเราลองมองในภาพรวมเราจะเห็นได้อย่างชัดเจนเลยว่าแค่ในช่วงติดไฟแดงเพียงไม่กี่นาทีตรงนั้น
คนที่โดยไม่รู้ตัวเลือกที่จะหงุดหงิดจะมี "ความแตกต่าง"
กับคนที่เลือกโดยรู้ตัวที่อยู่กับสิ่งที่เป็นอยู่จริงมากมายในทุกเรื่อง
ไม่ใช่แค่เรื่องฮอร์โมนบวกลบซึ่งจะมีผลต่อสุขภาพที่ดีตามที่ผมอธิบายเท่านั้น
แต่จะสามารถส่งผลในทุกเรื่องของชีวิต ประสิทธิภาพในการทำงานได้ดี ความรู้สึกสนุกกับชีวิตอยากเรียนรู้
ประสบการณ์ของเอ็นดอร์ฟินเป็นประสบการณ์ที่อบอุ่นหัวใจ ความสุขในชีวิต ความสัมพันธ์ที่ดีๆ กับคนรอบข้าง
ฯลฯ
ในแต่ละวันเราจะพบกับ "กับดัก" ในพื้นที่ของชีวิตนั้นมีมากมายเหลือเกิน พวกเราพร้อมที่จะ
"ตกลงไป" "หลุดเข้าไป" ใน "กับดัก" เหล่านั้นอย่างไม่รู้ตัว
เป็นการเข้าไปสู่ "ความไม่ปกติของชีวิต" ซึ่งเรื่องนี้ก็จะนำไปสู่
"การสะสมความเครียด" มากขึ้นไปเรื่อยๆ ทำร้ายร่างกายตัวเองไปเรื่อย ทำร้ายคนรอบข้างไปเรื่อยๆ
และบางคนทำร้ายสังคมไปเรื่อยๆ เช่นกัน
โดยส่วนตัวผมพบประสบการณ์ที่น่าสนใจในเรื่องการฝึกแบบนี้อยู่เรื่องหนึ่งก็คือ ใหม่ๆ
จะทำค่อนข้างยากคือมักจะลืม แต่ "สัญญาณไฟแดง" แบบที่ท่านนัท ฮันห์แนะนำนี้เป็น
"ตัวเตือน" ที่ดีมากและเมื่อฝึกเรื่องนี้มากขึ้นๆ น่าแปลกที่เหมือนกับว่าทำให้เรา
"เรียนรู้ใหม่" เรียนรู้เส้นทางของความคิดและอารมณ์ "เส้นทางใหม่" ที่จะไม่นำไปสู่
"ฮอร์โมนลบ"
"การเรียนรู้ใหม่" (Re-Learn) ที่ว่านี้ก็ตรงกับที่บรูซ
ลิปตันนักชีววิทยาผู้เสนอทฤษฎีเซลล์แบบใหม่ที่บอกว่า เซลล์ของร่างกายเราสามารถสร้าง
"ยีนส์ใหม่" ได้จากผนังเซลล์ โดยที่ไม่จำเป็นต้องทำตาม "ความเคยชิน"
ตามที่ยีนส์ในนิวเคลียสได้กำหนดมาไว้แล้ว ลิปตันบอกว่าการเรียนรู้คือการสร้างยีนส์ใหม่ออกมานั่นเอง
โดยส่วนตัวผมพบว่าการขับรถเป็น "บริเวณของชีวิต"
ของผมที่ผมสามารถพัฒนาขึ้นมาได้อย่างเห็นการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนมาก
จากเดิมที่ผมเคยหงุดหงิดเป็นประจำและมากถึง 80-90% ของเวลาที่ใช้ในการขับรถมาเหลืออยู่เพียง 10-20%
เท่านั้น
เดี๋ยวนี้ผมรู้จักรอที่จะให้รถทางขวาไปก่อน ไม่พยายามแย่งชิงจังหวะตัดหน้ากัน
แถมยังสามารถส่งยิ้มส่งความปรารถนาดีๆ ไปให้คนขับคนอื่น
เดี๋ยวนี้ผมรู้จักรอให้รถฝั่งตรงข้ามที่ต้องการจะเลี้ยวขวาเพื่อเข้าซอยที่อยู่ฝั่งผม
เดี๋ยวผมรู้สึกเข้าใจแล้วว่าทำไมมอเตอร์ไซค์หรือจักรยานไม่ค่อยอยากจะชิดซ้ายมากนัก
รู้สึกเข้าใจสามล้อถีบที่ขวางทางอยู่ข้างหน้า ทั้งๆ
ที่เมื่อก่อนจะหงุดหงิดมอเตอร์ไซค์ที่ไม่ยอมชิดขอบทางและขับเกะกะ
รู้สึกหงุดหงิดกับสามล้อที่ช้าต้วมเตี้ยมขวางทางอยู่ข้างหน้า
และเดี๋ยวนี้ผมรู้สึกว่าผมควรจะหยุดรถเพื่อให้คนเดินข้ามถนนและผมพร้อมที่รอคนเหล่านี้ข้ามถนน ทั้งๆ
ที่เมื่อก่อนนี้จะรู้สึกว่าถนนเป็นของรถยนต์คนข้ามถนนควรจะต้องรอรถยนต์มากกว่าให้รถยนต์หยุดรอ
ที่เล่ามานี้ก็เพียงแค่เล่าให้เห็นประสบการณ์ที่ผ่านมาว่าเป็นไปได้ที่คนเราจะเปลี่ยนแปลงให้มีอารมณ์ดีขึ
้นได้โดยผ่าน "ประสบการณ์ปกติธรรมดาๆ" ที่เราเจอกันอยู่ทุกวี่ทุกวันอย่างเช่นการขับรถนี้
ผมเชื่อว่าหลายท่านจะทำได้เหมือนผมและหลายท่านก็คงจะทำได้ดีกว่าผมไปแล้วด้วยซ้ำ
ที่เล่ามานี้ผมไม่ได้มีเจตโอ้อวดใดๆ ตัวผมยังต้องเรียนรู้ใน "บริเวณอื่นๆ ของชีวิต "อีกมากมาย
ตัวอย่างเช่นในเรื่องการเลี้ยงลูกเป็นตัวอย่างที่ท้าทายยิ่ง
กล่าวคือเป็นบริเวณพื้นที่ของชีวิตที่ผมยังอาจจะทำได้ไม่ดีนัก เป็นต้น
ผมเชื่อว่า เราสามารถเรียนรู้ผ่านประสบการณ์ปกติธรรมดาๆ ได้เป็นอย่างดี
เราคงต้องรู้สึกขอบคุณชีวิตที่ให้ "แบบฝึกหัด" ต่างๆ
มากมายที่ผ่านเข้ามาในแต่ละวันที่ทำให้ทุกวันเป็นวันที่เสมือนหนึ่งทำให้เราพบ
"ปาฏิหาริย์แห่งการตื่นอยู่เสมอ" กันได้ตลอดเวลาอย่างที่ติช นัท ฮันห์ได้นำเสนอไว้จริงๆ
คอลัมน์ จับจิตด้วยใจ
โดย นพ.วิธาน ฐานะวุฑฒ์ หัวใจใหม่ ชีวิตใหม่ เชียงราย [email protected]
การขับรถเป็นเรื่องราวที่ผมประทับใจเป็นพิเศษ เพราะมีเหตุการณ์สำคัญๆ
เกิดขึ้นในชีวิตผมกับเรื่องการขับรถ แต่ไม่ได้หมายความว่า ผมเคยประสบเหตุการณ์อะไรพิเศษๆ
ประเภทขับรถไปเจอมนุษย์ต่างดาวหรือเคยขับรถข้ามมหาสมุทรข้ามโลกหรืออะไรแบบนั้น
แต่เป็นการขับรถ "ที่เป็นธรรมดาๆ" "ที่เป็นปกติ" ในชีวิตประจำวันนี่แหละ
เมื่อหลายปีก่อนผมอ่านเจอในหนังสือเล่มหนึ่งของท่านติช นัท ฮันห์ที่ชื่อ Peace Is Every Step
(มีผู้แปลเป็นภาษาไทยแล้วชื่อหนังสือสันติภาพทุกย่างก้าว)
ท่านบอกว่าทุกครั้งที่เห็นสัญญาณไฟแดงในขณะที่ขับรถ ให้ลองถือเสมือนว่าเป็น "สัญญาณเตือน"
ให้เรากลับมาหาตัวเอง ให้กลับมาฝึกลมหายใจของตัวเองทุกครั้ง
ท่านติช นัท ฮันห์เป็นพระชาวเวียดนาม ปัจจุบันอาศัยอยู่ที่หมู่บ้านพลัมประเทศฝรั่งเศส
ปัจจุบันถือได้ว่าเป็นเสาหลักที่สำคัญคนหนึ่งของพุทธศาสนาเคียงคู่กับองค์ทะไลลามะ
ทั้งสองท่านนี้ได้ทำให้พุทธศาสนาเป็นที่ปรากฏและรู้จักไปทั่วโลก คำว่า "ปรากฏและรู้จัก"
ในที่นี้ไม่ได้หมายความแค่ "ปรากฏและรู้จัก"
ทางภายนอกเท่านั้นแต่รูปธรรมก็คือมีผู้คนทั้งในยุโรปและสหรัฐอเมริกาหันมาสนใจที่จะ
"ฝึกฝนตัวเอง" อย่างจริงจังในแนวพุทธศาสนาเป็นจำนวนมาก
โดยที่ยังคงอาจจะดำรงตนอยู่ในศาสนาเดิมและไม่จำเป็นจะต้องหันมาทำตัวหรือมาเปลี่ยนศาสนาให้เป็นพุทธศาสนิก
ใดๆ
จุดเด่นที่เป็นลักษณะพิเศษของท่านติช นัท
ฮันห์คือท่านเน้นว่าการปฏิบัติธรรมเป็นเรื่องของการทำกิจวัตรปกติในชีวิตต่างๆ ได้เช่นการล้างจาน
การถูบ้าน การกินอาหาร รวมไปถึง "การขับรถ"
ไม่จำเป็นจะต้องนุ่งขาวห่มขาวนั่งสมาธิเข้าวัดสร้างวัดเท่านั้นที่ถือว่าเป็น "การปฏิบัติธรรม"
โดยที่ท่านเน้นเรื่อง "การอยู่กับปัจจุบันขณะ" โดยอาศัย "ลมหายใจ"
เป็นตัวเชื่อมที่สำคัญ
ผมอยากจะขยายความเพื่ออธิบายเรื่อง "ลมหายใจ" ของท่านนัท ฮันห์อีกสักเล็กน้อย
จุดประสงค์ของการฝึกเรื่องลมหายใจคือเป็นการฝึก "ตัวรู้" ของเรา ให้กลับมาสู่ปัจจุบัน
ผมคิดว่าอุบายของท่าน "แยบยลมาก" ที่มุ่งทำให้เกิด "ความเป็นปกติ" ในชีวิตทั่วๆ
ไปของพวกเรา เมื่อรถติดไฟแดงคนส่วนใหญ่ก็จะ "เผลอหงุดหงิด"
ในช่วงเวลาที่หงุดหงิดหรือวิตกกังวลว่าจะไปทำงานไม่ทัน, ไปถึงที่หมายไม่ทันนั้น คุณกำลังตก
"ร่องอารมณ์"
คุณกำลังทำร้ายตัวเองเพราะร่างกายจะหลั่งฮอร์โมนด้านลบที่เป็นฮอร์โมนแห่งความเครียดออกมามากมายตามที่ผมไ
ด้เคยให้ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์มาหลายครั้งแล้วในบทความครั้งก่อนๆ
การเลือกที่จะกลับมาสู่ "สภาวะแห่งความเป็นปกติ" ด้วยวิธีง่ายๆ
ด้วยลมหายใจนั้นช่วยให้ร่างกายของคุณหลั่งฮอร์โมนด้านบวกอย่างเอ็นดอร์ฟินออกมา
ถ้าเราลองมองในภาพรวมเราจะเห็นได้อย่างชัดเจนเลยว่าแค่ในช่วงติดไฟแดงเพียงไม่กี่นาทีตรงนั้น
คนที่โดยไม่รู้ตัวเลือกที่จะหงุดหงิดจะมี "ความแตกต่าง"
กับคนที่เลือกโดยรู้ตัวที่อยู่กับสิ่งที่เป็นอยู่จริงมากมายในทุกเรื่อง
ไม่ใช่แค่เรื่องฮอร์โมนบวกลบซึ่งจะมีผลต่อสุขภาพที่ดีตามที่ผมอธิบายเท่านั้น
แต่จะสามารถส่งผลในทุกเรื่องของชีวิต ประสิทธิภาพในการทำงานได้ดี ความรู้สึกสนุกกับชีวิตอยากเรียนรู้
ประสบการณ์ของเอ็นดอร์ฟินเป็นประสบการณ์ที่อบอุ่นหัวใจ ความสุขในชีวิต ความสัมพันธ์ที่ดีๆ กับคนรอบข้าง
ฯลฯ
ในแต่ละวันเราจะพบกับ "กับดัก" ในพื้นที่ของชีวิตนั้นมีมากมายเหลือเกิน พวกเราพร้อมที่จะ
"ตกลงไป" "หลุดเข้าไป" ใน "กับดัก" เหล่านั้นอย่างไม่รู้ตัว
เป็นการเข้าไปสู่ "ความไม่ปกติของชีวิต" ซึ่งเรื่องนี้ก็จะนำไปสู่
"การสะสมความเครียด" มากขึ้นไปเรื่อยๆ ทำร้ายร่างกายตัวเองไปเรื่อย ทำร้ายคนรอบข้างไปเรื่อยๆ
และบางคนทำร้ายสังคมไปเรื่อยๆ เช่นกัน
โดยส่วนตัวผมพบประสบการณ์ที่น่าสนใจในเรื่องการฝึกแบบนี้อยู่เรื่องหนึ่งก็คือ ใหม่ๆ
จะทำค่อนข้างยากคือมักจะลืม แต่ "สัญญาณไฟแดง" แบบที่ท่านนัท ฮันห์แนะนำนี้เป็น
"ตัวเตือน" ที่ดีมากและเมื่อฝึกเรื่องนี้มากขึ้นๆ น่าแปลกที่เหมือนกับว่าทำให้เรา
"เรียนรู้ใหม่" เรียนรู้เส้นทางของความคิดและอารมณ์ "เส้นทางใหม่" ที่จะไม่นำไปสู่
"ฮอร์โมนลบ"
"การเรียนรู้ใหม่" (Re-Learn) ที่ว่านี้ก็ตรงกับที่บรูซ
ลิปตันนักชีววิทยาผู้เสนอทฤษฎีเซลล์แบบใหม่ที่บอกว่า เซลล์ของร่างกายเราสามารถสร้าง
"ยีนส์ใหม่" ได้จากผนังเซลล์ โดยที่ไม่จำเป็นต้องทำตาม "ความเคยชิน"
ตามที่ยีนส์ในนิวเคลียสได้กำหนดมาไว้แล้ว ลิปตันบอกว่าการเรียนรู้คือการสร้างยีนส์ใหม่ออกมานั่นเอง
โดยส่วนตัวผมพบว่าการขับรถเป็น "บริเวณของชีวิต"
ของผมที่ผมสามารถพัฒนาขึ้นมาได้อย่างเห็นการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนมาก
จากเดิมที่ผมเคยหงุดหงิดเป็นประจำและมากถึง 80-90% ของเวลาที่ใช้ในการขับรถมาเหลืออยู่เพียง 10-20%
เท่านั้น
เดี๋ยวนี้ผมรู้จักรอที่จะให้รถทางขวาไปก่อน ไม่พยายามแย่งชิงจังหวะตัดหน้ากัน
แถมยังสามารถส่งยิ้มส่งความปรารถนาดีๆ ไปให้คนขับคนอื่น
เดี๋ยวนี้ผมรู้จักรอให้รถฝั่งตรงข้ามที่ต้องการจะเลี้ยวขวาเพื่อเข้าซอยที่อยู่ฝั่งผม
เดี๋ยวผมรู้สึกเข้าใจแล้วว่าทำไมมอเตอร์ไซค์หรือจักรยานไม่ค่อยอยากจะชิดซ้ายมากนัก
รู้สึกเข้าใจสามล้อถีบที่ขวางทางอยู่ข้างหน้า ทั้งๆ
ที่เมื่อก่อนจะหงุดหงิดมอเตอร์ไซค์ที่ไม่ยอมชิดขอบทางและขับเกะกะ
รู้สึกหงุดหงิดกับสามล้อที่ช้าต้วมเตี้ยมขวางทางอยู่ข้างหน้า
และเดี๋ยวนี้ผมรู้สึกว่าผมควรจะหยุดรถเพื่อให้คนเดินข้ามถนนและผมพร้อมที่รอคนเหล่านี้ข้ามถนน ทั้งๆ
ที่เมื่อก่อนนี้จะรู้สึกว่าถนนเป็นของรถยนต์คนข้ามถนนควรจะต้องรอรถยนต์มากกว่าให้รถยนต์หยุดรอ
ที่เล่ามานี้ก็เพียงแค่เล่าให้เห็นประสบการณ์ที่ผ่านมาว่าเป็นไปได้ที่คนเราจะเปลี่ยนแปลงให้มีอารมณ์ดีขึ
้นได้โดยผ่าน "ประสบการณ์ปกติธรรมดาๆ" ที่เราเจอกันอยู่ทุกวี่ทุกวันอย่างเช่นการขับรถนี้
ผมเชื่อว่าหลายท่านจะทำได้เหมือนผมและหลายท่านก็คงจะทำได้ดีกว่าผมไปแล้วด้วยซ้ำ
ที่เล่ามานี้ผมไม่ได้มีเจตโอ้อวดใดๆ ตัวผมยังต้องเรียนรู้ใน "บริเวณอื่นๆ ของชีวิต "อีกมากมาย
ตัวอย่างเช่นในเรื่องการเลี้ยงลูกเป็นตัวอย่างที่ท้าทายยิ่ง
กล่าวคือเป็นบริเวณพื้นที่ของชีวิตที่ผมยังอาจจะทำได้ไม่ดีนัก เป็นต้น
ผมเชื่อว่า เราสามารถเรียนรู้ผ่านประสบการณ์ปกติธรรมดาๆ ได้เป็นอย่างดี
เราคงต้องรู้สึกขอบคุณชีวิตที่ให้ "แบบฝึกหัด" ต่างๆ
มากมายที่ผ่านเข้ามาในแต่ละวันที่ทำให้ทุกวันเป็นวันที่เสมือนหนึ่งทำให้เราพบ
"ปาฏิหาริย์แห่งการตื่นอยู่เสมอ" กันได้ตลอดเวลาอย่างที่ติช นัท ฮันห์ได้นำเสนอไว้จริงๆ
กรูเก่ง กิเลสเก่งกว่า
-
- Verified User
- โพสต์: 2032
- ผู้ติดตาม: 0
ทุกคนที่ขับรถ: กรุณาอ่าน
โพสต์ที่ 11
ขอบคุณ พี่ฉัตรชัย และ พี่พอใจ สำหรับ ข้อคิดเตือนใจ
ผมสรุปได้ว่า ทำอะไร ต้องมีสติ เสมอ
เพิ่งดูทีวีเมื่อวัน - 2วันนี้ เขารวมภาพ ตำรวจที่ อเมริกา โดนรถชนมั่ง หลบรถมั่ง เรื่องของเรื่อง คือ ตำรวจที่กำลังเขียนใบสั่ง ให้กับรถผิดกฎ อยู่ด้านข้างถนน แต่กลับมีรถเสียหลักมาชนเอารถที่จอดอยู่ หลายรายหลบทัน หลายรายหลบไม่ทัน (เหตุการณ์ คงคล้ายกับ คุณคริส เบญจกุล)
ที่ถ่ายวีดีโอเอาไว้ได้ ก็มาจากกล้องที่ติดอยู่จากรถตำรวจที่จอดอยู่ด้านหลัง
ถ้ารถคุณเสียข้างทาง ก็ระวังกันด้วยนะครับ :lol:
ผมสรุปได้ว่า ทำอะไร ต้องมีสติ เสมอ
เพิ่งดูทีวีเมื่อวัน - 2วันนี้ เขารวมภาพ ตำรวจที่ อเมริกา โดนรถชนมั่ง หลบรถมั่ง เรื่องของเรื่อง คือ ตำรวจที่กำลังเขียนใบสั่ง ให้กับรถผิดกฎ อยู่ด้านข้างถนน แต่กลับมีรถเสียหลักมาชนเอารถที่จอดอยู่ หลายรายหลบทัน หลายรายหลบไม่ทัน (เหตุการณ์ คงคล้ายกับ คุณคริส เบญจกุล)
ที่ถ่ายวีดีโอเอาไว้ได้ ก็มาจากกล้องที่ติดอยู่จากรถตำรวจที่จอดอยู่ด้านหลัง
ถ้ารถคุณเสียข้างทาง ก็ระวังกันด้วยนะครับ :lol: