บทความสำหรับมือใหม่ โดย คุณ ฮง สถาพร

การลงทุนแบบเน้นคุณค่า เน้นที่ปัจจัยพื้นฐานเป็นหลัก

โพสต์ โพสต์
amornkowa
Verified User
โพสต์: 2195
ผู้ติดตาม: 0

บทความสำหรับมือใหม่ โดย คุณ ฮง สถาพร

โพสต์ที่ 1

โพสต์

บทความสำหรับมือใหม่ตอน 1
(มีประมาณ 4ตอน)

พอดีมีเด็กรุ่นใหม่คือกลุ่มที่เพิ่งเรียนจบ แล้ว หลายคนถามผมเรื่องการลงทุนหรือการสร้างเนื้อสร้างตัวบทความ series นี้เลยเป็นบทความที่เขียนให้กลุ่มคนรุ่นใหม่อ่านนะครับ. คนที่อยู่ในตลาดมานานข้ามบทความนี้ไปได้เลยนะครับเพราะเป็นบทความอ่านเพลินๆ แนวบอกเล่ามากกว่าลงเนื้อหาจริงจัง

ตอนผมเริ่มลงทุนใหม่ใหม่ถ้าเทียบกับยุคนี้สิ่งที่ผมพอจำได้
1. ยุคที่ผมเริ่มต้นสมัยนั้นยังใช้วิธีการซื้อขายโดยการโทรหา Marketing เป็นหลังสมัยนั้นประมาณช่วงปี 2004 ถึง 2005 จำได้ว่า ยังไม่เคยเห็นคนซื้อขายหุ้นโดยไม่ผ่าน Marketing ผมเคยไปนั่งที่ห้องค้าด้วย เด็กรุ่นใหม่อาจจะไม่รู้จักห้องค้าแล้ว สมัยนั้นไปนั่นแหละ ก็เจอกับพวกลุงลุงป้าป้าเป็นส่วนใหญ่ จำได้ว่าวันที่หุ้นตกหนักมีป้าคนหนึ่งน้ำตาไหลออกมาหน้าจอเทรดเลย ตอนนั้นผมเพิ่งเข้าตลาดไม่กี่เดือน ผมรู้สึกทำไมมันดูโหดร้ายจังวะ ป้าเล่นมากี่ปีแล้วยังน้ำตาใหล แล้วกูจะรอดมั้ยนี่

จำได้ว่าสมัยนั้นอยากรู้ราคาหุ้นก็โทรถาม Marketing เวลาซื้อขายค่อนข้างร้อนรนนิดหน่อย เพราะถ้าตั้งบิดเอาไว้เราก็ไม่ได้ดูราคาที่ซื้อขายกันด้วยตัวเอง เพราะเราไม่ได้อยู่ที่ห้องค้าทำให้ไม่ค่อยมีสมาธิเรียนเท่าไหร่เพราะไม่รู้ว่าเราซื้อหุ้นได้หรือขายหุ้นได้หรือยัง

ผมคิดว่าคนยุคนี้น่าจะจินตนาการภาพพวกนี้ไม่ออกแล้ว จำได้ว่า iPhone เครื่องแรกน่าจะออกมาประมาณปี 2007 แต่ผมน่าจะได้ใช้ iPhone เป็นครั้งแรกตอนปี 2010 แล้วก็รู้สึกว่าสะดวกสบายสุดยอดนี่เป็นอาชีพที่ไปไหนมาไหนก็ทำได้ โดยที่เราไม่ต้องคอยอารมณ์เสียว่า Marketing เราไม่รับโทรศัพท์สายไม่ว่าง ฮ่า

2. เรื่องของการเรียนรู้สมัยนั้นจำได้ว่ามีหนังสือของหุ้นออกมาน้อยมาก ตอนนั้นผมเคยซื้อหนังสือเล่มหนึ่งชื่อคัมภีร์หุ้นแล้วถ้าจำได้ ก็มีหนังสือของเครือตลาดหลักทรัพย์มั้ง ชื่ออยากรวยต้องรู้ สมัยนั้นการเรียนรู้หลักหลักคือต้องเข้าเว็บบอร์ดกับเดินทางออกไปสัมมนาเป็นหลัก เอาจริงๆยุคนั้นผมว่าคนไทยยังน่าจะเล่น YouTube กันไม่เยอะเลยยิ่งถ้าเป็น YouTube เกี่ยวกับเรื่องการลงทุนไม่ต้องหาเลยแทบไม่มี ตอนนั้นเวลาไปเรียนที่ไหนจำได้พกเครื่องอัดเสียงเครื่องเล็กๆสีขาวๆไป ตอนนั้นยังใส่ถ่านอยู่เลยจำได้ว่าเคยไปอัดที่ศูนย์ประชุมแห่งชาติแล้วแบตใกล้หมด แทบจะวิ่งหาซื้อตาเหลือกกลัวไม่ได้อัดเสียง สมัยนี้เรียนรู้ง่ายมากจริงๆกด YouTube ฟังซ้ำกี่รอบก็ได้ เครื่องอัดเสียงดูเหมือนเป็นอุปกรณ์ที่ไม่จำเป็นไปเลย

3.สมัยนั้น ออฟเดย์. ยังไม่มีการบันทึกคือ คนที่ไปฟังสดได้จะได้เปรียบมาก นักศึกษาอย่างผมก็ถือว่าพอไปฟังได้บ้างเป็นครั้งคราว ถ้าไม่ได้ไปบางทีก็รอในเว็บบอร์ดว่าคนที่ได้ไปจะมาอัพเดทว่ายังไง ในขณะที่ทุกวันนี้ยังไงคนก็ฟังสดได้พร้อมกัน ยุคสมัยนี้ผมคิดว่า YouTube น่าจะเป็นโรงเรียนสอนทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกนี้ คุณสามารถที่จะเรียนรู้อะไรได้เยอะมากโดยที่คุณไม่ต้องออกจากบ้านเลยก็ได้ ถ้ามองในแง่นี้ประสิทธิภาพการเรียนรู้ของคนรุ่นใหม่ควรจะสูงกว่าคนรุ่นเก่ามาก อย่างน้อยก็ไม่ต้องเสียเวลาอยู่บนท้องถนนเพื่อที่จะไปตามสถานที่ต่างๆหาความรู้

4 มูลค่าหุ้นช่วงที่ผมเข้ามาตลาดใหม่ใหม่ จำได้ว่าช่วงนั้นหุ้นที่อยู่ในตลาดเอ็มเอไอหลายตัวมีพีอีที่ต่ำมาก สี่ถึงห้าเท่าคือเป็นเรื่องปกติมากกำไร 1 บาทราคา4- 5 บาท เจอแบบนี้หลายตัวเงินปันผลในช่วงนั้นหาหุ้นปันผลมากกว่า 6% ไม่ได้ยากมาก ปันถึงระดับ 8% ก็พอหาได้ถ้าเทียบกับทุกวันนี้หุ้น ที่จะปันผลสูงส่วนใหญ่มักอยู่ในอุตสาหกรรมที่คนมองไม่ดี พีอีจึงต่ำ ส่วนหุ้นเติบโตส่วนใหญ่แทบไม่ต้องมองหาปันผล สำหรับยุคนี้ในขณะที่ยุคที่ผมเข้าตลาดใหม่ใหม่หุ้นเติบโตที่ยังมีปันผลระดับสี่ถึง 5% หาได้ค่อนข้างไม่ยากเลย

เรื่องการไปลงทุนต่างประเทศ สมัยผมเข้ามาลงทุนในไทยไม่น่ามีใครคิดเรื่องการออกไปลงทุนต่างประเทศเท่าไหร่ คือองค์ความรู้เรื่องการลงทุนในยุคนั้นเป็นยุควีไอเพิ่งเริ่มต้นไม่นานคนยังไม่ค่อยเข้าใจเลยว่าอะไรคือการลงทุนแบบเน้นคุณค่ายังไม่ต้องคิดถึงออกไปลงทุนนอกประเทศและในช่วงนั้นถ้าจะทำก็ไม่รู้จะออกทางช่องทางไหน

ที่ผมกล่าวมาเบื้องต้นผมเล่าสภาพแวดล้อมช่วงที่ผมลงทุนใหม่ใหม่ก่อน ต่อไปนี้คือความคิดเห็นของผมที่จะแนะนำคนรุ่นใหม่หรือคนรุ่นกลางที่พึ่งสนใจลงทุนในหุ้น

ดัชนีตลาดหุ้นผมคิดว่าระยะยาวจากค่อนข้างสัมพันธ์กับทิศทางการเติบโตของเศรษฐกิจประเทศ ดังนั้นถ้าเศรษฐกิจเติบโตได้ดีตลาดหุ้นของประเทศนั้นก็น่าจะมีอนาคตที่สดใสแต่ถ้าเศรษฐกิจเติบโตน้อยการจะทำผลตอบแทนได้สูง ผมคิดว่าเราต้องมีความสามารถในการขุดหุ้นหลายตัวที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยของคนในตลาดมาก ซึ่งผมคิดว่าถ้าเราขยันมากพอก็ยังหาผลตอบแทนที่ดีได้ แต่อาจจะยากกว่าช่วงเวลาที่ผมลงทุนก่อนหน้านี้ การทำผลตอบแทนให้ดีในสภาวะแบบนี้

เราอาจจะต้องเจอหุ้นเติบโตเป็นคนแรกแรกหรือเราอาจจะซื้อหุ้นที่ตลาดมองว่าไม่ดีแต่ความเป็นจริงแล้วมันไม่ได้แย่อย่างที่ตลาดคิดมุมมองสองอย่างนี้ผมคิดว่าเป็นปัจจัยกว่าในการที่เราจะทำผลตอบแทนได้มากกว่าดัชนีตลาด

แต่หัวข้อนี้เป็นหัวข้อแนะนำมือใหม่แบบกว้างกว้างดังนั้นผมจึงไม่อยากจำกัดอยู่ที่เพียงตลาดหุ้นไทยโดยรวม ทุกวันนี้การไปลงทุนต่างประเทศไม่ว่าจะเป็นเวียดนามหุ้นจีนหุ้นอเมริกาผมคิดว่าโบรเกอร์ในไทยที่พร้อมจะให้บริการมีค่อนข้างจะเยอะ ผมคิดว่าโลกเปิดกว้างกว่าสมัยที่ผมเพิ่งมาลงทุนใหม่ใหม่เยอะ ถ้าให้เปรียบเทียบข้อดีข้อเสีย ผมคิดว่าข้อดีของตอนที่ผมมาลงทุนคือตลาดหุ้นโดยรวมค่อนข้างถูกและคนเข้ามาลงทุนยังไม่มาก ผมจำได้ว่าตอนนั้นมีหุ้นอยู่ตัวนึง จ่ายปันผล 8% จ่ายทั้งหมดของกำไรที่ทำได้และประกาศกำไรเติบโต 60% หลังจากประกาศกำไรมาประมาณสองอาทิตย์ได้หุ้นยังไม่ค่อยขึ้นเลยอันนี้คือเหตุการณ์ซักประมาณปี 2548 นะครับ ถ้าเป็นเดี๋ยวนี้ทันทีที่งบออกจะมี Pages หุ้นเอามาลงแล้วคนก็จะรับรู้ทั่วถึงกันภายในเวลาสั้นมาก คือราคาเปิดอาจจะกระโดดไปในราคาที่ใกล้เคียงกับระดับกำไรที่ออกมาในเบื้องต้นเลย

ผมเล่ามาเบื้องต้นคุณอาจจะเริ่มเห็นภาพว่าสภาพแวดล้อมการลงทุนยุคที่ผมเริ่มเข้ามาในตลาดแตกต่างจากทุกวันนี้อย่างไร

สมัยผมยังเด็กการฝากเงินในแบงค์เคยได้ผลตอบแทนระดับ 15% คือถ้าคนมีเงินก้อนแค่ฝากแบงค์ไปเรื่อยเรื่อย คุณก็แทบไม่ต้องออกไปหางานทำแล้ว แต่ยุคที่ผมเข้ามาลงทุนตอนนั้นดอกเบี้ยน่าจะอยู่ระดับ2% ถึง 3% ได้ถ้าผมจำไม่ผิด
ตอนนั้นหาหุ้นที่จ่ายปันผลได้ดีได้ง่ายมากคำว่าดีคือ 5% ขึ้นไป ส่วนหนึ่งเป็นเพราะว่า ยุคนั้นคนสนใจเรื่องการลงทุนยังมีน้อยมากถ้าผมจำไม่ผิด(ไม่ชัว) ยุคที่ผมเพิ่งเริ่มลงทุนน่าจะมีคนเปิดบัญชีลงทุนในหุ้นทั้งประเทศซัก 5- 600,000 คน แต่ดูเหมือนล่าสุดจะมีคนเปิดบัญชีลงทุนในหุ้นประมาณ 4,000,000 กว่าคนสำหรับประเทศไทย คนเข้ามาซื้อหุ้นมากขึ้นผลตอบแทนจากเงินปันผลก็น้อยลงเพราะระดับราคาโดยรวมสูงขึ้น

สิ่งที่เปลี่ยนไปมากคือยุคนี้ผู้คนสนใจลงทุนกันเยอะมากจริงๆผมไปทำสปาที่โรงแรมห้าดาวพนักงานสปาก็ถามผมเกี่ยวกับหุ้นตัวนั้นตัวนี้ ไปหาหมอหมอก็ถาม ไปวัดโยมที่วัดก็ถาม
คือ ดอกเบี้ยออมทรัพย์ตอนนี้ 0.25% คือต่ำจนคนต้องหาทางเลือกใหม่ๆ ผมคิดว่านี่เป็นสิ่งที่ทำให้ผู้คนหันมาสนใจการลงทุนกันมากขึ้นเมื่อเทียบกับสมัยก่อนโดยเฉพาะถ้าย้อนไปถึงเมื่อซัก 30 ปีที่แล้วที่ดอกเบี้ยอยู่ซัก 15% ฝากเฉยเฉยได้มากขนาดนั้นคนเลย ไม่ได้สนใจเรื่องการลงทุนเยอะมาก

บทความนี้จริงๆเป็นบทความแยกภาคมาของบทความเต็มที่ผมจะเขียน คือตั้งใจจะเขียนเกี่ยวกับเรื่อง การหาเงินในโลกยุคปัจจุบัน พอจะเขียนแนวนี้ก็เลยต้องเขียนเกริ่นก่อนว่าในอดีตสภาพแวดล้อมเป็นอย่างไรและปัจจุบันเปลี่ยนไปอย่างไรเพื่อให้คนเห็นภาพในการปรับตัวเข้าสู่แนวโน้มอนาคต

บทความต่อไปจะเป็นภาพรวมของการลงทุนในแนวทางอื่นๆด้วย และรวมถึง คำแนะนำเกี่ยวกับการมีมายด์เซ็ทและการหาแนวทางของตัวเอง
ภาพประจำตัวสมาชิก
IndyVI
Verified User
โพสต์: 3530
ผู้ติดตาม: 0

Re: บทความสำหรับมือใหม่ โดย คุณ ฮง สถาพร

โพสต์ที่ 2

โพสต์


บทความสำหรับมือใหม่ตอนที่สอง by คุณ ฮง สถาพร


อิสรภาพการเงินและจริต

1. อิสรภาพทางการเงิน
ผมคิดว่าก่อนที่เราจะเริ่มลงทุนเราต้องมีเป้าหมายให้ชัดเจนก่อนว่าเราจะลงทุนไปเพื่ออะไรคือถ้าเราไม่มีเป้าหมายที่ชัดเจนหรือเป้าหมายเราตั้งไว้ผิดผมคิดว่าเหมือนรถ ที่อาจจะมีเชื้อเพลิงแต่ไม่ขับไปสู่จุดมุ่งหมายขับๆหยุดๆบางทีก็ย้อนกลับเส้นทางเดิม

เป้าหมายของผมตั้งแต่เริ่มลงทุนผมก็คิดเรื่องอิสรภาพทางการเงินคำว่าอิสรภาพทางการเงินผมขยายความง่ายง่ายก็คือว่าถ้าคุณยังต้องตื่นไปทำงานที่คุณไม่ชอบเพราะคุณจะต้องนำเงินเดือนหรือรายได้จากงานหรือกำไรจากผลธุรกิจมาจ่ายเป็นค่าครองชีพแสดงว่าคุณยังไม่มีอิสระทีนี้คำว่าอิสรภาพทางการเงินของแต่ละคนผมคิดว่าไม่เหมือนกันในแง่ปริมาณเงิน การที่เราจะบอกว่าคนคนหนึ่งมีเงินเท่าไหร่ถึงจะมีอิสรภาพทางการเงิน ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขรายบุคคล

ดังนั้นผมจึงคิดว่าแต่ละคนจำนวนเงินที่จะทำให้เราถึงอิสรภาพทางการเงินจะไม่เท่ากันเลยมีคนแนะนำขึ้นมาว่าเราควรจะดูค่าใช้จ่ายรายเดือนของเราว่าเดือนละเท่าไหร่แล้วมูลค่าพอร์ตทรัพย์สินของเรา(ผมใช้คำว่าทรัพย์สินเนื่องจากจะได้ไม่จำกัดอยู่ที่การลงทุนในหุ้นเพียงแค่อย่างเดียวอาจจะเป็นหุ้นกู้หรือตึกอาคารให้เช่าที่มีรายรับต่อเดือนสม่ำเสมอหรือแม้แต่คนที่เข้าใจ defi มากพอ และมีการกระจายความเสี่ยงในหลายแพลตฟอร์มแล้วได้ผลตอบแทนสม่ำเสมอ แต่สำหรับโลกdefi ความเสี่ยงมากกว่าหุ้นกู้แบบเทียบกันไม่ได้ผลตอบแทนก็สูงกว่ามากจึงอาจจะไม่ควรนำเงินทั้งหมดไปตรงนี้ควรจะนำไปแค่ส่วนเดียว และต้องมีความรู้เรื่อง cyber security ขั้นสูง)

ตัวเลขตรงนี้ผมคิดว่าแล้วแต่ใครจะกำหนดก็ได้แต่สำหรับผมผมกำหนดซักประมาณ 300 เท่า ของค่าใช้จ่ายรายเดือน เช่นสมมติถ้าค่าใช้จ่ายรายเดือนประมาณ 20,000 บาทก็น่าจะมีทรัพย์สินโดยรวมผ่านช่องทางต่างๆประมาณ 6,000,000 บาท แต่ถ้าค่าใช้จ่ายรายเดือนประมาณ 30,000 บาทก็น่าจะมีประมาณซักเก้าล้านบาท

แต่ค่าใช้จ่ายรายเดือนตรงนี้คุณอาจจะนำค่าใช้จ่ายรายปีบางอย่างที่จ่ายปีละครั้งหารเฉลี่ยต่อเดือนด้วยอย่างเช่นค่าประกันรถยนต์ที่ต้องจ่ายทุกปีหรือค่าซ่อมแซมอุปกรณ์ในบ้านที่ชำรุดเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้น เป็นพักพัก

ดังนั้นถ้าคุณมีค่าของชีพไม่สูงมีชีวิตที่เรียบง่ายชอบทำกับข้าวกินเองที่บ้านไม่ชอบ Shopping ของหรูหราคุณก็จะมีอิสรภาพทางการเงินง่ายกว่าคนอื่น เราเลยไม่ควรเปรียบเทียบอิสรภาพทางการเงินกับคนอื่นเนื่องจากแต่ละคนมีเป้าหมายชีวิตลักษณะการดำรงชีพหรือความรับผิดชอบแตกต่างกัน บางคนมีลูกอิสรภาพทางการเงินของคุณก็ต้องรับผิดชอบไปจนถึงชีวิตของลูกด้วยกว่าจะเรียนจบโตเป็นผู้ใหญ่แต่ถ้าคุณเป็นคนโสดไม่มีลูกคุณก็เผื่อเงินเอาไว้ดูแลพยาบาลตัวเองตอนแก่แทน

ทีนี้พอคุณรู้แล้วว่าเป้าหมายของคุณคือต้องมีเงินประมาณเท่าไหร่คุณก็จะได้ วางแผนถูกว่าคุณจะต้องออมเงินเดือนละเท่าไหร่แล้วได้ผลตอบแทนเฉลี่ยประมาณเท่าไหร่คุณถึงจะไปถึงเป้าหมายได้

ทีนี้ถ้าคุณไม่มีเป้าหมายทางการมีอิสรภาพทางการเงินไม่ว่าคุณจะลงทุนช่องทางไหนก็ตามคุณอาจจะดีใจที่คุณกำไรเล็กน้อยโดยที่จริงๆแล้วคุณอาจจะมีโอกาสที่จะทำกำไรต่อเนื่องมากพอ ที่จะเป็นอิสรภาพทางการเงินเลยก็ได้

ดังนั้นเมื่อลงทุนอะไรซักอย่างอย่าคิดว่าหาค่ากับข้าวหนึ่งวันสองวันแต่คิดว่ามันคือแผนการระยะยาวที่จะซื้ออิสระให้กับชีวิต

หลายคนรู้สึกว่าตัวเองไม่เหมาะสมกับเรื่องการเงินการลงทุนเพราะเริ่มต้นแล้วอ่านไม่เข้าใจผมอยากให้ดูภาพที่อยู่ด้านล่างบทความนี้ ภาพจากเพจ success pictures ผมรู้สึกว่าสิ่งที่อยู่ในภาพค่อนข้างจะเป็นความจริงมากเมื่อเราเริ่มต้นจะทำอะไรซักอย่างมันจะยากมากแต่เมื่อผ่านขั้นตอนแรกไปแล้วมันจะดูไม่ยากเหมือนช่วงแรก

อย่างผมเพิ่งมาศึกษาตลาดคริปโต ประมาณสามวันแรกผมรู้สึกว่าไม่น่าจะใช้โลกของผมเพราะผมเจอคำศัพท์ที่ผมไม่เข้าใจแทบทุกคำ เช่น defi ,farming, smart contract ,staking,gov token,cosmos chain เป็นต้นคือถ้าผมอ่านบทความหนึ่งบทความผมน่าจะต้องต่อยอดกลับไปทำความเข้าใจคำศัพท์แต่ละคำในบทความนั้นอีกหลาย 10 คำ แต่หลังจากอดทนผ่านมาได้ไม่กี่อาทิตย์ผมก็เริ่มอ่านและฟังเข้าใจโดยไม่ต้องย้อนกลับไปนั่งทำความเข้าใจคำศัพท์

เพิ่มเติมอีกนิดจริงๆแล้วถ้าคุณมีความสุขกับงานที่ทำแล้วงานนั้นอย่างน้อยมีรายได้เพียงพอที่จะทำให้คุณเหลือเงินเก็บ หลังจากหักค่าใช้จ่ายที่ต้องจ่ายรายเดือน

ผมคิดว่าเรื่องอิสรภาพทางการเงินก็อาจเป็นเรื่องรอง เพราะอย่างน้อยคุณก็มีความสุขที่ได้ทำงานนั้นทุกวันถ้าเป็นแบบนั้นแม้ว่าคุณมีเงินแล้วคุณก็อาจจะยังคงทำงานนั้นอยู่ดีหมายความว่ามันเป็นสิ่งที่คุณเลือก เป็นสิ่งที่ใจอยากทำแม้ว่าจะไม่ได้เดือดร้อนเรื่องเงิน

เพื่อให้เห็นภาพการวางแผนทางการเงินระยะยาวผมเลยไปขอความช่วยเหลือเพื่อนคนนึง  พอดีเพื่อนของผมคนนี้เมื่อก่อนเค้าก็เคยทำงานประจำแล้วเขาก็ศึกษาเรื่องการลงทุนจนสามารถทำกำไรและเป็นอิสรภาพทางการเงินได้ตอนช่วงเค้าลงทุนใหม่ใหม่เค้าก็ได้ทำไฟล์เกี่ยวกับการวางแผนทางการเงินเอาไว้ผมเลยไปขอเค้ามาเพื่อเอามาแชร์ต่อตอนแรกผมจะให้เครดิตเค้าแต่เค้าบอกว่าไม่อยากเอ่ยถูกเอ่ยชื่อ

จากในรูปผมให้ดูตัวอย่างถ้าสมมุติคุณมีเงินเก็บเดือนละ 5000 บาทแล้วลงทุนไปเรื่อยเรื่อย ภายใต้ผลตอบแทน 5% 10% แล้วก็ 15% คุณจะ มีเงินเท่าไหร่ในปีที่เท่าไหร่ อันนี้คือรูปที่เขียนว่าเงินออมหนึ่ง

ผมลองวงเอาไว้ที่ปีที่ 23 ถ้าได้ผลตอบแทนปีละ 15% จากการออมเงินเดือนละ 5000 จะมีเงินมากกว่าสิบล้าน

บางคนอาจจะคิดว่าผลตอบแทนทำไมดูน้อยจัง 15% แต่ 15% เฉลี่ย 20 กว่าปีผมว่าเยอะนะครับเราต้องลงทุนได้เก่งกว่าดัชนีตลาดระยะยาวนะถึงจะทำได้

ส่วนรูปเงินออมสองคือรูปที่สมมุติฐานทุกอย่างเหมือนเดิมแต่เป็นข้อมูลสำหรับคนที่มีเงินออมได้เดือนละ 10,000

2. การหาจริตที่เหมาะสมกับตัวเอง ผมเล่าเรื่องส่วนตัวของผมเป็นตัวอย่างจริงๆแล้วช่วงแรกๆที่ผมเข้ามาลงทุนแล้วผมยังทำกำไรไม่ได้ตอนเรียนมหาลัยผมเคยไปทำธุรกิจขายตรง ตอนนั้นเพื่อนผมมาชวนไปทำเค้าก็พาไปดูแม่ทีมระดับติดหนึ่งใน 10 ของบริษัทที่มีรายได้วันละหลายพันบาทเดือนละหลักแสน ผมก็รู้สึกว่าดูเป็นรูปแบบธุรกิจที่ลงทุนน้อยดีเพราะซื้อสินค้าทีเดียวก็ได้เป็นคนทำธุรกิจเครือข่ายแล้ว เวลาบริษัทจ่ายเงินจะจ่ายแบบจับคู่ก็คือว่าถ้าผมชวนคนมาซื้อสินค้าต่อจากผมผมก็อาจจะเอาไปลงในระบบแล้วคนซื้อสินค้าคนที่สองก็ลงจับคู่กับคนแรก พอจับคู่กันบริษัทก็จะจ่ายเงินให้ผมจำไม่ได้แล้วว่าเท่าไหร่ต่อคู่ถ้าจำไม่ผิดน่าจะซัก 500 บาท แล้วถ้าสองคนนี้ชวนคนมาจับคู่ต่อไปได้อีกผมก็จะได้อีกคู่ละ 500 แต่บริษัทจำกัดเอาไว้ว่าแนวลึกไม่เกินกี่ขั้นลงไปถ้าเกินบริษัทก็จะจ่ายลิมิต

ตอนนั้นเพื่อนสนิทผมที่ชวนทำบอกว่ามึงก็แค่หาคนที่คิดอย่างมึงซักสองคนมึงก็ไม่ต้องทำงานแล้ว(ก็คือสองคนนั้นชวนคนซื้อสินค้าต่อแล้วก็จับคู่ไปเรื่อยเรื่อย) ผมลองทำดูเกือบหนึ่งปีเสียทรัพยากรทั้งเงินและเวลาค่อนข้างพอสมควรเลยเมื่อเทียบกับสถานภาพผมในตอนนั้น ผมไปอบรมตั้งแต่เช้าแปด 9 โมงน่าจะเลิกประมาณสองสามทุ่มแล้วก็ไปอบรมแบบที่ต้องไปนอนค้างอีกหลายครั้ง

ผมทำอยู่เกือบหนึ่งปีให้เดาว่าผมมีdown lineกี่คน 50 คน 100 คน?

ถูกต้องครับมีสามคนใครบ้าง 1.แม่ 2.เพื่อนสนิท3.เพื่อนไม่สนิท

ระหว่างที่ทำตอนนั้นผมก็ศึกษาเรื่องหุ้นไปด้วยเรื่อยเรื่อยจนกระทั่งเริ่มจับจุดการลงทุนได้ก็เลยย้อนกลับมาลงทุนเต็มที่ที่ผมพูดมาผมไม่ได้จะบอกว่าธุรกิจขายตรงไม่ดีผมเลิกทำไปเป็น 10 ปีแล้วและชีวิตนี้คงไม่กลับไปทำอีกแน่นอนเพราะไม่ได้เดือดร้อนเรื่องเงิน แต่ผมจะบอกว่าผมอาจจะเป็นคนที่มีบุคลิกไม่เหมาะกับธุรกิจขายตรงเหมือนเสื้อตัวหนึ่งสวยแต่ว่ารูปร่างและสีผิวของเราไปใส่แล้วไม่สวยเสื้อตัวเดียวกันนี้จะสวยต่อเมื่ออีกคนหนึ่งสวมใส่ผมคิดว่านี่เป็นสิ่งที่สำคัญที่เราต้องรู้ว่าเราเป็นคนแบบไหน ผมเป็นคนชอบอ่านมาตั้งแต่เด็กชอบเข้าร้านหนังสือผมชอบตั้งคำถามเกี่ยวกับสิ่งต่างๆและหาคำตอบ ผมอาจจะเป็นคนไม่สามารถจูงใจคนได้เหมือนแม่ทีมขายตรง ดังนั้นงานที่เหมาะกับผมอาจจะเป็นงานที่ต้องอ่านและวิเคราะห์ผมก็เลยเลือกอาชีพที่เหมาะกับความเป็นตัวตนของผม

กลับมาเรื่องการลงทุนผมเคยรู้จักรุ่นพี่บางคนเค้าจะเป็นคนขี้ตกใจขี้กังวลขี้กดดันกับราคาหุ้นมากเขาไม่สามารถที่จะทนถือหุ้นแบบผมได้เวลาที่หุ้นเหวี่ยงดังนั้นเค้าเลย มักจะขายหุ้นเร็วมากถ้าหุ้นขึ้นแรงแรงวันแรก ผมสอนเขาว่าถ้าทำแบบนั้นจะไม่ได้คำใหญ่ให้อดทนมากกว่านั้นก่อน แต่พอมีข่าวสารอะไรนิดหน่อยเขาก็จะตกใจขายไปอีก พอเห็นแบบนี้ผมก็เลยไม่ได้แนะนำอะไรต่อแล้วก็บอกเขาว่าให้ทำตามความสบายใจของเค้า เค้าก็อาจจะชอบดูกราฟผมก็คิดว่าอาจจะเหมาะกับเค้าดีคือสิ่งที่ผมทนได้เป็นสิ่งที่อาจจะทำให้เขานอนไม่หลับดังนั้นแนวทางของผมไม่ได้เหมาะกับเขา การที่คุณลงทุนคุณจะยังไม่รู้หรอกว่าคุณจะมีสไตล์การลงทุนแบบไหนเมื่อคุณลงทุนไปแล้วคุณจะค่อยค่อยรู้เองคำแนะนำของผมก็คืออย่าไปทำตามใครเพราะแต่ละคนมีลักษณะความอดทนความกล้าได้กล้าเสียเป้าหมายทางการเงินที่ไม่เหมือนกันการพยายามไปเป็นแบบคนอื่นคือการนำเสื้อที่คนอื่นใส่แล้วสวยมาใส่เราอาจจะใส่แล้วสวยก็ได้ถ้าเรามีสีผิวความสูงน้ำหนักใกล้เคียงกับเขา แต่โอกาสที่ใส่แล้วจะไม่สวยน่าจะมีเยอะกว่า

ดังนั้นคุณจะลงทุนแนวไหนตลาดไหนหุ้นไทยหุ้นต่างประเทศคริปโต forex ผมคิดว่าตอนแรกคุณอาจจะต้องลองศึกษาหลายแนวเพื่อที่จะดูว่าคุณอาจจะเหมาะกับแบบไหนน่าจะต้องใช้เวลาสักพักหนึ่ง

แล้วพอเริ่มจับทางได้ ว่าคุณชอบตลาดไหนก็ให้คุณมุ่งเน้นไปที่แนวทางนั้นเลย เหมือนบทความก่อนที่ผมเคยเขียนเรื่องรู้ให้ลึกมากกว่ารู้ให้กว้าง แต่ก่อนที่เราจะลงลึกในแนวทางไหนเราอาจต้องใช้เวลาในช่วงแรกหาก่อนว่าเราเหมาะกับแบบไหนแล้วเราก็ค่อยมุ่งเน้น

เนื่องจากว่าจริตความคาดหวังของผู้ลงทุนไม่เท่ากันดังนั้นเราจึงไม่ควรซื้อหุ้นตามเซียน เพราะเราไม่รู้ว่าเขาคาดหวังผลตอบแทนมากน้อยแค่ไหนและเขาทนกับความผันผวนได้มากน้อยแค่ไหนเราทนได้แค่ไหน

ภาพสุดท้ายที่แนบมาด้วยเป็นภาพจากเพจ
ทำเรื่องเล่นให้เป็นเรื่องใหญ่ ในหนัง sky castle
ซีรีเรื่องนี้ถ้าใครดูจบแล้วประเด็นจะประมาณว่าผู้ปกครองต่างอยากให้ลูกของตัวเองสอบได้คะแนนสูงสุดเพื่อเป็นหมอ แล้วการที่เอาแต่แข่งขันกันเรื่องแบบนั้นก็ทำให้ครอบครัวขาดความอบอุ่นทะเลาะกัน ในขณะที่บางบ้านที่ไม่ได้พยายามทำให้ลูกของตัวเองเป็นเหมือนคนอื่นค่อนข้างจะมีความสุขในครอบครัว ดังนั้นการหาเงินผมคิดว่าเราไม่จำเป็นต้องเปรียบเทียบกับใครคนมีเงินมากกว่าเราไม่ได้หมายความว่าจะต้องมีชีวิตที่มีความสุขมากกว่า 

สุดท้ายนี้ ขอฝากนิด มีคนบอกว่ามีคนไปแอบอ้างว่ามีคนเปิดกรุ๊ป LINE แล้วบอกต้องเสียเงินเข้าแล้วมีผมอยู่ในนั้นโดยผมจะแนะนำเรื่องการลงทุน อันนี้ขอบอกว่าไม่เป็นความจริงนะครับ ไลน์ส่วนตัวผมคุยกับเพื่อนสนิทแค่ไม่กี่คนและผมไม่ได้เข้ากลุ่มหุ้นกลุ่มไหนนอกจากเพื่อนสนิทกลุ่มสองกลุ่ม ในกลุ่มมีคนอยู่แค่ไม่กี่คน ปกติผมให้แนวคิดหรือความรู้ผ่านทาง fb คุณไม่มีค่าใช้จ่ายในการอ่านครับ ผมเขียนให้อ่านฟรี ดังนั้นเวลามีคนมาอ้างว่ารู้จักกับผมหรือสนิทกับผม คุณก็อย่าไปเชื่อครับ บางทีพวกนี้เค้าอาจจะไปหลอกหาผลประโยชน์กับคุณก็ได้ ผมคิดว่านักลงทุนรายใหญ่คนอื่นน่าจะถูกคนแอบอ้างแบบนี้เหมือนกัน เพื่อนผมไม่มีใครชอบประกาสว่าสนิทกับผมนะ พวกที่ชอบบอกแบบนี้ส่วนใหญ่ผมไม่รู้จักด้วยมีคนมาถามผมว่า รู้จักคนนี้ไหม เขาอ้างว่าสนิทกับผม ผมยังงงเลยว่าเขาเป็นใคร
799586F0-EAB5-4B01-BD0C-FBAE1B1AB45A.jpeg
E4E2989E-5A47-469C-86E5-9FBF74A8295B.jpeg
75197C3E-2311-4291-B910-D9999E8FDB40.jpeg
CC256365-DA7E-44BC-A8D6-DA0C169CC607.jpeg
คุณไม่มีสิทธิ์ดูไฟล์ที่แนบมาในกระทู้
Investment success doesn’t come from “buying good things,” but rather from “buying things well.
# Howard Mark #
โพสต์โพสต์