VI หาดใหญ่

เชิญมาพักผ่อน คลายร้อนนั่งเล่น คุยกันเย็นๆ พร้อมเรื่องกีฬา สัพเพเหระ ทัศนะนานา ชีวิตชีวา สุขภาพทั่วไป บันเทิงขำขัน รอบเรื่องเมืองไทย ชวนเที่ยวที่ไหน อยากไปก็นัดมา ...โย่วๆ
amornkowa
Verified User
โพสต์: 2195
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 3391

โพสต์

EGM Singer 6 Nov 2020

งานจัดที่ตึกCAT ชั้น30 เหมือนเช่นเคย
และมีการจัดบูทขายสินค้าของSinger

วันนี้ได้เจอพี่พีรนารถ ตอนที่ลงทะเบียน
เลยมีโอกาสพูดคุยกันบ้าง ส่วนคุณขาว ตามมาทีหลัง
ในงานมีของว่าง และเครื่องดื่มบริการเหมือนเดิม
แต่ที่ไม่ชอบ คือตอนเลิกงาน มีผู้สูงอายุบางท่าน
มาโวยวายว่าพนักงาน จะเอาเครื่องดื่มกลับบ้านหลายแก้ว
สงสารพนักงานต้องมารับอารมณ์ของคนประเภทนี้
แต่ชื่มชมนะครับว่า สามารถจัดการปัญหานี้ไปเป็นอย่างดี
จนเจ้าตัวกลับมาชม หลังด่าไปก่อนหน้า

วาระที่1 พิจารณารับรองรายงานการประชุมสามัญประจำปีครั้งที่53
การประชุมAGMเมื่อครั้งก่อน 26 Jun 2020 ไม่มีใครค้าน ก็เลยผ่านวาระไป

วาระที่ 2 พิจารณาอนุมัติการออกและเสนอขายหุ้นกู้เพิ่มเติมวงเงินไม่เกิน 3,000 ลบ

ก่อนอื่น ได้พูดถึงวัตถุประสงค์ของวาระนี้คือ การชำระคืนหนี้คงค้าง และหรือใช้
เป็นเงินทุนหมุนเวียน รวมทั้งขยายธุรกิจ

มีการชี้แจง เรื่องBondณ วันที่ 30 Sep 2020
Equity = 2,387 MB
Debenture
2017 = 400 MB
2018 = 950 MB
2019 = 1,500 MB
#1 2020 = 800 MB
#2 2020 = 1,000 MB

Plan #3 2020 = 1,000 MB

Key Financial Leverage Ratio
Net Gearing Ratio < 3.0x
30 sep 2020. 1.97x
หลังออกหุ้นกู้ #3 2020 = 2.39x

ส่วนschedule ของหุ้นกู้ที่ทยอยครบกำหนด
Oct 2020 = 400 MB คืนผู้ถือหุ้นกู้ไปเดือนที่แล้ว
Mar 2021 = 950 MB
Jul. 2022 = 1,500 MB
May-Dec 2023 = 2,800 MB

AR Portfolio Growth

Q3 2018 total 3,082
High purchase 1,800 MB
C4C. 1,014 MB
Captive 268 MB

Q3 2020 total 5,475 MB เติบโต 59% Y-Y
ปีนี้คาดว่าจะปล่อยสินเชื่อทะเบียนรถ 2,696 MB (Q3)
โดยมีเป้าปีหน้าปล่อยอีก 3,000 MB ทำให้portรวม 6,000 MB

HP. 2,453 MB target 2021 2,500 MB
C4C. 2,696 MB เติบโตจากปีที่แล้ว 78% มาจากการออกdebenture
target 2021 = 3,000 MB
ส่วนกำไรแบ่งเป็นสองส่วนคือ
1. Margin loan (Gross profit margin)
2. ดอกเบี้ยจาก high purcahse 22%
Captive สินเชื่อเครื่องจักร เครื่องพิมพ์ 326 MB

Forcast Bond สะสม
2020 = 5,250 MB
2021 = 7,300 MB หลังขอเพิ่มวงเงินออกหุ้นกู้3,000ลบ
2022 = 5,800 MB โดยชำระคืน 1,500 MB

Net profit margin
Q1 11%
Q2 12.5%
Q3. 13.5% NP 117 MB
YTD NP 319 MB

Port เติบโตสอดคล้องกับการออกหุ้นกู้

C4C ไม่มีupfront margin แต่ให้yield ประมาณ 16.1-16.2%
น้อยกว่า HP แต่คุณภาพสินเชื่อดีกว่า และ NPLต่ำกว่า
Q3 Yield 22% , NPL 9.6% สำหรับ HP margin 12%
ส่วน C4C Yield 16% แต่ NPL 0.5% net แล้วสูงกว่า

ภาพรวม NPL ลดลงจาก 6% ช่วงCovid เหลือ 5.1%
ภาพรวมของ Singer เรามีloanที่มีหลักประกัน โดย
HP มีผู้ค้ำประกัน และ ผู้เช่าซื้อก็รับผิดชอบ
ถ้ามีการยึดหลักประกัน ไปขายต่อ ก็มีmargin 20%


อนุมัติวงเงินกู้เพิ่ม3,000ลบ
ผู้ถือหุ้นอนุมัติผ่าน
สรุปวงเงินหุ้นกู้รวมของเก่า เท่ากับ 8,000ลบ
เงินกู้ส่วนใหญ่ไปปล่อยกู้C4C
โดยทยอยออกหุ้นกู้ทีละล๊อต เพื่อไม่ต้องเสียดอกเบี้ย
ในส่วนที่ไม่ได้ใช้

Q&A
1.TFRS9 กระทบต่อบริษัทอย่างไร
ตอบว่า สินทรัพย์ที่ด้อยค่ามีทางเลือกสองอย่างคือ
1.กระทบP&L โดยตรง
2.ลง negative retain earning ใน balance sheet
ซึ่งทำให้บริษัทมีส่วนต่างของมาตราฐานบัญชีเก่าและใหม่
ทำใหการตั้งสำรองสูงขึ้น 339 MB
ตอนนี้ การตั้งสำรองลดลงเหลือ 2xx MB
โดยเราต้องทำทุกเดือนว่าต้องตั้งเพิ่ม หรือ ลด เท่าไหร่

ผมได้คุยกับคุณหน่อย CFO บริษัทพยายามจะ
ค่อยๆออกหุ้นกู้เมื่อจำเป็นต้องใช้เท่านั้น
ไม่อยากเสียดอกเบี้ยโดยไม่ได้ใช้
Lot ต่อมาน่าจะเดือนนี้ ดอกเบี้ยน่าจะสูงกว่า5%
ผู้ถือหุ้นบางท่านก็สนใจ เพราะจองมาหลายlotแล้ว
คุณหน่อยทิ้งท้าย ว่า หุ้นกู้ที่ออกมาเพื่อนำไปทำธุรกิจต่อไม่น่ากลัว
และมีการติดตามลูกหนี้ว่าหลังได้เงินไป มีทำมาหากิน
หรือเปล่า ถ้าจอดรถไว้เฉยๆ ต้องมีมาตราการกับลูกหนี้รายนั้น
เพราะถือว่าไม่ได้นำเงินไปทำธุรกิจต่อ
ภาพประจำตัวสมาชิก
romee
Verified User
โพสต์: 1850
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 3392

โพสต์

โอยไม่ได้มาพูดคุยก๊วน เพื่อนพ้องน้องพี่ ที่ห้องนี้นานมากแล้ว (ล่าสุดคือ20มีนาคม)

มาฉลองในวันที่พี่หรั่งซื้อสุทธิเกือบ2หมื่นล้าน +ข่าววัคซีนได้ผล90%(ใช้ได้จิงป่าวก็ยังไม่รู้อ่ะนะ) + คุณโจ ไบเด้น เป็นปธน. (ส่วนผมก็รอพี่โจ ล.อ.ส. เป็นนายก หรือประธานกลต. อยู่นะครับ :B )
ข่าวดีแบบนี้เลยพาหุ้นพี่ใหญ่วิ่งกันระเบิดเถิดเทิง หุุ้นบางตัวขึ้นจนราคาจะเท่ากับตอนก่อนcovidอยู่แล้ว :|

เอาสถิติเล่นๆมาให้ดูครับ เก็บข้อมูล1มค.2563 - 10พย.2563 หุ้นในลิส 696ตัว ตัดหุ้นIPOในปีนี้และพวกกลุ่มreit
พบว่ามีประมาณ 97ตัวที่ราคาบวกเกิน30% (14%)
และมีอยู่ 30ตัว ที่ราคาบวกเกิน100% (4.5%)
ในทางกลับกัน ก็มีอยู่120ตัว ที่ขาดทุนเกิน30% (17%)

แต่ถ้า พอมีความกล้า+บ้า เข้าสะสมหุ้นสักช่วงต้นเดือนพค.(5พค.2563) ตอนนั้นSETอยู่ที่ 1278.63
หุ้นผลตอบแทนเกิน30% มี177ตัว (25%) :shock:
จะมีหุ้นที่ผลตอบแทนเกิน 50% ถึง95ตัว (13.6%)
หุ้นที่ขาดทุนเกิน30% จะมีแค่ 13ตัว

สุดท้าย ถ้าหุ้นที่คุณภาพยังพอมีกำไรในอนาคต ราคาไม่แพงเว่อ การเข้าถือหุ้นไว้บ้างแม้ตลาดจะดูน่ากลัว
โดยคุมposition sizeเล็ก+กระจายตัวไปบ้าง แทนที่จะกอดเงินสดไว้ ก็น่าจะคุ้มกับความเสี่ยงนะครับ
แต่ถ้ารู้ตัวว่าตลาดแบบนี้ไม่ใช่ทางของเรา ก็โอเคกับการถือเงินไว้ก่อนแหละ

ปล.1 อยากถามคนนครศรี ว่าอิทธิฤทธิ์ไอ้ไข่ พาเศรษฐกิจจังหวัดบูมขนาดไหนครับ :B (เห็นว่าทีมงานเดียวกับเหรียญ จตุคาม)
ปล.2 เชื่อเรื่องดวง หรือหุ้นที่ให้โชค เล่นกี่รอบๆก็ได้กำไรจากตัวนั้นๆ บ้างมั้ยครับ อยากรู้ว่ามีตัวไหนกันบ้าง :cheers:
315754_cr.jpg
คุณไม่มีสิทธิ์ดูไฟล์ที่แนบมาในกระทู้
You only live once, but if you do it right, once is enough.
dr1
Verified User
โพสต์: 842
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 3393

โพสต์

เรื่องไอ้ไข่ เที่ยวนี้ท่านpimPimเอามาipoในงานมี้ตติ้งด้วยฮะ ใครสนใจติดต่อใด้
ถ้าไปโลดตามแผนแบบจตุคามละก็ คงใด้เก็งกำไรกันไปหลายอยู่

ก่อนอื่นต้องขอแสดงความยินดีกับ ท่านโจ ใบเดน เป็นปธน.ที่ตามเทรนด์สูงวัยซะด้วย คือแก่ที่สุดในประวัติศาสตร์เมกา
ส่วนอ.ทรัมป์(ท่านมีโรงเรียนสอนรวย เลยนับเป็นอ.)ท่านก็ตามเทรนด์เหมือนกัน คือติดโควิด ตามด้วยตกงาน..
ยินดีกับอ.linzhi นายกสมาคมไทยวีไอท่านใหม่ด้วยฮะ(ชื่อท่านอ่านว่าหลินจือนะจ๊ะ ไม่ใช่ลิ้นจี่)

รู้สึกกันมั้ยฮะ ว่าชีวิตวนลูป ไม่รู้เมื่อไรจะพ้นวัฏฏสังสารซักที
การเมืองก็ ขุนศึกอยู่ไปนานๆก็โดนไพร่โค่น มาเป็นปัญญาชนโลกสวย โดนพ่อค้าเทคโอเวอร์ แล้วโดนขุนศึกปฎิวัติวนไป
หุ้นก็ ตัวนิวไฮกลายเป็นนิวโลว์ ตัวนิวโลว์ปีนี้ ปีหน้าไฮเพอร์ฟอร์มวนไป
ชีวิตก็เดี๋ยวกลางวัน สลับกลางคืน จนนี่จะสิ้นปีอีกแระ
แต่ข้อดีของความแก่คือ เราจะลืมและปลงอะไรใด้ง่ายๆฮะ แม่ผมดูซีรี่ส์เกาหลีช่องทุยใด้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าโดยไม่เบื่อ เพราะลืมไปแล้วว่าตอนจบเป็นยังไง ผมก็ซื้อหนังสือซ้ำใด้หลายเล่มโดยลืมว่าเคยซื้อไปแล้ว
(ไกด์เคยเล่าว่า ทัวร์สูงวัยถ้าจะซื้อให้พ่อแม่ไปเที่ยว อย่าลืมเอาเสื้อผ้าขุดไปหลายๆแบบ เพราะไปถึงที่ก็ดีใจกรูกันลงไปถ่ายรูปวิวเดิม จำไม่ใด้ว่าเคยมาแล้ว ถ้าใส่เสื้อผ้าชุดเดิมรูปก็เหมือนเดิม)

บ่นพอแระ เข้าเรื่องสัมมนาวีไอหาดใหญ่(จัดต่อเนื่องนานที่สุดในประเทศไทย,ให้ความรู้ตามจริงไม่เก็บตังค์หวังรวย,ไม่เชียร์หุ้นให้สาวกไปหนาวบนดอย(แค่ปล่อยของเนียนๆ))ดีก่า

เที่ยวนี้หุ้นตกสามกลุ่ม
1.อสังหา ถ้าจะเลือกก็เอาตัวที่ปันผล"ยั่งยืน"8-9% จะใด้เป็นเบาะยันราคาไว้
2.พลังงาน ฟังดูเหมือนจะต่ำสุดแล้ว บางอันที่เหมือนจะแย่เช่นถ่านหินก็ยังมีตลาดอินเดีย,เวียดนามอยู่
ส่วนหุ้นน้ำมันรูปเปลวไฟที่จะเอาลูกเข้าตลาดดูเหมือนจะเบ่งค่าการตลาดให้ลูกกำไรดีๆ มีส้มหล่นให้ปั๊มเขียวอีก หลังจากนั้นก็ระวังสงครามราคากันเองเน้อ เว้นจะฮั้วกันใด้
โรงไฟฟ้าไทยก็ไม่หมู ซ่อนเงื่อนไว้เยอะ อันชีวมวลที่มีแม่รับเหมาก็พอใด้อยู่ แม้แม่จะคิดค่าก่อสร้างลูกซะแสบเชียว
3. ธนาคาร ที่ยังน่าสนใจก็มี อันที่ชื่อเมืองหลวงแห่งที่สอง เพราะลูกค้าญี่ปุ่นเบี้ยวหนี้น้อยมาก (อันดอกบัวนั่นแม้ลูกค้ารายใหญ่เยอะ แต่กำไรบางไป แค่1+% และก็อันที่เพิ่งรีแบรนด์ใด้"P"ห้อยท้ายมาเพิ่ม
วิธีดูพวกปล่อยกู้นี่ ให้ดู
3.1 ผอร์ทโตมั้ย ถ้าไม่โตต้องระวัง
3.2 กำไรspreadหนาหรือบาง
3.3 nplเยอะมั้ย ข้อนี้ พวกclean loan(สินเชื่อไม่มีหลักประกันนะจ๊ะ ไม่ใช่เห็บโลนสะอาด)โอกาสเบี้ยวหนี้สูง
4. ท่องเที่ยว โรงแรมสาระแหน่กับช้างสามเศียรยังสงสัยว่าจะรอดมั้ย ส่วนสนามบินก็จากโคตรแพงเป็นแพง(ลืมถามสนามบินลูกแม่โรงบาล)

ส่วนหุ้นขึ้นสามกลุ่ม ก็ควรเริ่มระวังว่าดีเกิน แพงเกิน กันใด้แล้ว
1. อาหาร หุ้นที่มีหมูปนไก่ ดีกว่าหุ้นที่มีแต่ไก่ ส่วนปลากระป๋องนั่นก็กังวลเรื่องร้านกุ้งแดงที่ไปซื้อมา(ไปลองกินที่มาเลย์มาฮะ พอใช้ใด้ แต่แพงไปหน่อย ท่านsyjบอกที่เมกา ซีฟู้ดมีแต่ร้านนี้มาหลายสิบปีเจ้าเดียว)
2. Packaging เที่ยวนี้มีสมาชิกทำงานในบ.กระดาษลูกแม่ปูนมามี้ตติ้งด้วย บอกถ้าต่ำไอพีโอจะซื้อ แต่ไม่ใด้ซื้อเพราะเจอตัวอื่นถูกกว่า น่าสนใจหว่า
3. Elcectronics พอข่าววัคซีนออกก็ร่วงผลอย

ภาพใหญ่
เที่ยวนี้คิดว่าหนักกว่าสับพราม แต่คิดว่าหุ้นคงไม่ลงมากแบบตอนโน้น
ผอร์ทยังเปลี่ยนจากหุ้นเล็ก90%เป็น50%ครึ่งๆกับหุ้นใหญ่
เพื่อลดความผันผวน และเพิ่มสภาพคล่อง ยังทำกำไรใด้จากหุ้นเล็ก(ทำบ้าน,โชห่วยเชียงราย)

ไปเมืองนอกมั้ย
ไทยยังเป็น"สมรภูมิ"(นึกว่าทุ่งลาเวนเดอร์)ที่เหมาะกับนักลงทุนไทยอยู่จ้ะ
เมืองนอกน่าจะเหมาะกับคนเก่งมากๆไม่กี่คน
เมกา ไปโดย ซื้อ S&P500(กองทุนดัชนีหุ้นนะจ๊ะ ไม่ใช่ขนมไหว้พระจันทร์)กับQQQ
จีน ซื้อtotal china
เวียดนาม ซื้อหุ้นเป็นตัวๆเลย ลงมาหลายปี กำไร50%แต่ค่าเงินด่องแด่งอ่อนปวกเปียก
หาขัอมูลในvietstock.comเลย ข้อมูลดีกว่าไทยอีก(ตลท.อย่าแพ้เค้าเน้อ)
1. DHC กล่องกระดาษ
2. INN บรรจุภณฑ์เหมือนกัน
3. STN บริการในสนามบิน
4.PMG ขายแกสหุงต้ม
5. VCW ขายน้ำดิบ ประปา
6. TTB กลุ่มสุขภาพ(โรงบาลมั้ง)
7. VWF ขายน้ำ(ไม่รู้น้ำขวดรึน้ำลายแบบบางบมจ.)

เจอblack swanหุ้นยางมะตอย แก้ไขยังไง?
เพิ่งซื้อมาอาทิตย์เดียว ใช้วิธีขายหุ้นแม่(น้ำผลไม้)ที่ร่วงครึ่งฟลอร์ แล้วช็อต(กระทืบ)หุ้นซ้ำ รวมๆแล้วขาดทุนนิดหน่อย
ช็อตหุ้นต้องระวัง เคยโดน"พิษ"เจ้ามือลากสวนในหุ้นไม่ใช่เสตอริโอ

เท่านี้นะจ๊ะ แก่แล้วลืมง่าย ท่านtaotiamมีอะไรเสริมมาบอกกันใด้เลยจร้า..

โจ ไบก้อน(เที่ยวนี้อยากมีชื่อแบบผู้นำ) รายงาน
samatah
jverakul
Verified User
โพสต์: 1959
ผู้ติดตาม: 1

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 3394

โพสต์

dr1 เขียน:
อาทิตย์ พ.ย. 15, 2020 8:52 pm

บ่นพอแระ เข้าเรื่องสัมมนาวีไอหาดใหญ่(จัดต่อเนื่องนานที่สุดในประเทศไทย,ให้ความรู้ตามจริงไม่เก็บตังค์หวังรวย,ไม่เชียร์หุ้นให้สาวกไปหนาวบนดอย(แค่ปล่อยของเนียนๆ))ดีก่า

เที่ยวนี้หุ้นตกสามกลุ่ม
1.อสังหา ถ้าจะเลือกก็เอาตัวที่ปันผล"ยั่งยืน"8-9% จะใด้เป็นเบาะยันราคาไว้
2.พลังงาน ฟังดูเหมือนจะต่ำสุดแล้ว บางอันที่เหมือนจะแย่เช่นถ่านหินก็ยังมีตลาดอินเดีย,เวียดนามอยู่ = น่าจะเป็น แม่ปู
ส่วนหุ้นน้ำมันรูปเปลวไฟที่จะเอาลูกเข้าตลาดดูเหมือนจะเบ่งค่าการตลาดให้ลูกกำไรดีๆ มีส้มหล่นให้ปั๊มเขียวอีก หลังจากนั้นก็ระวังสงครามราคากันเองเน้อ เว้นจะฮั้วกันใด้ ลูก= หรือ ปั๊มเขียว= ภาคใต้ปริโตเลียม
โรงไฟฟ้าไทยก็ไม่หมู ซ่อนเงื่อนไว้เยอะ อันชีวมวลที่มีแม่รับเหมาก็พอใด้อยู่ แม้แม่จะคิดค่าก่อสร้างลูกซะแสบเชียว = แม่น่าจะเป็น T โพลี
3. ธนาคาร ที่ยังน่าสนใจก็มี อันที่ชื่อเมืองหลวงแห่งที่สอง เพราะลูกค้าญี่ปุ่นเบี้ยวหนี้น้อยมาก = อยุธยา
วิธีดูพวกปล่อยกู้นี่ ให้ดู
3.1 ผอร์ทโตมั้ย ถ้าไม่โตต้องระวัง
3.2 กำไรspreadหนาหรือบาง
3.3 nplเยอะมั้ย ข้อนี้ พวกclean loan(สินเชื่อไม่มีหลักประกันนะจ๊ะ ไม่ใช่เห็บโลนสะอาด)โอกาสเบี้ยวหนี้สูง
4. ท่องเที่ยว โรงแรมสาระแหน่กับช้างสามเศียรยังสงสัยว่าจะรอดมั้ย ส่วนสนามบินก็จากโคตรแพงเป็นแพง(ลืมถามสนามบินลูกแม่โรงบาล)

ส่วนหุ้นขึ้นสามกลุ่ม ก็ควรเริ่มระวังว่าดีเกิน แพงเกิน กันใด้แล้ว
1. อาหาร หุ้นที่มีหมูปนไก่ = น่าจะเป็นบ.แม่ 7-11 หรือ G_pt ดีกว่าหุ้นที่มีแต่ไก่ = _FG ส่วนปลากระป๋องนั่นก็กังวลเรื่องร้านกุ้งแดงที่ไปซื้อมา(ไปลองกินที่มาเลย์มาฮะ พอใช้ใด้ แต่แพงไปหน่อย ท่านsyjบอกที่เมกา ซีฟู้ดมีแต่ร้านนี้มาหลายสิบปีเจ้าเดียว) ชื่อเล่นท่านประยุทธ์ .....(อร่อย)


โจ ไบก้อน(เที่ยวนี้อยากมีชื่อแบบผู้นำ) รายงาน
ขอเดาเล่นๆ นะครับ :D :D :B
" สพฺเพ ธมฺมา นาลํ อภินิเวสาย "
" Whatever your mind can conceive and believe it can achieve "
dr1
Verified User
โพสต์: 842
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 3395

โพสต์

ท่านjverakulเดาแม่นจริงๆฮะ

คำถามเที่ยวนี้ก็ยังมีบางส่วนที่น่าสนใจฮะ

ถ. กองทุนสื่อสารน่าสนใจมั้ย?
ต. ไม่ใด้ตาม ตัวที่มีคือ ออฟฟิสศาลาสาธร(นึกภาพพนักงานนุ่งโจงกระเบนนั่งพับเพียบเขียนกระดานชนวนอยู่ใต้ศาลา)
น่าสนใจที่เป็นชุมทางรถไฟฟ้าตัดกัน ผู้เช่ารายใหญ่กำลังจะหมดสัญญา อาจใด้ต่อสัญญาแบบขึ้นค่าเช่า ปันผลราว7%
ปล. ผมไปถามอ.chaitornเรื่องกองทุนสื่อสารมาฮะ ท่านว่า
กองของแม่มะลิ มีสัญญาที่ทำกับแม่ค่าเช่าแพงกว่าปกติอยู่ (เพื่อเอาใจผู้ถือกองให้ใด้ค่าเช่าดีๆ)และกำลังจะหมดสัญญา
ถ้าหมดแล้วไม่ต่อ ถือว่ามีdownside risk
กองของแม่ทุย มีสัญาญาเช่าถูกกว่าปกติ เผื่อเอาไปเช่าต่อใด้ราคาแล้วมาแบ่งกำไรกัน อาจมีupside risk ฮะ
แต่บางท่านอาจว่าทั้งแม่ทุยแม่มะลิ เจ้ามือ เอ๊ยเจ้าของเดาใจยาก ไม่น่าเล่นด้วย

ถ. ทำไมอ.ถึงถือหุ้นdelist?
ต. เพราะราคากับปันผลดีมาก(ถึง10%) แม้จะต้องแลกกับไม่มีสภาพคล่อง และขายต้องเสียภาษี
มักใด้โอกาสซื้อตอนท้ายสุดที่มีแต่คนขายทิ้ง เช่นอสังหาชื่อต้นไม้ ประกันชีวิตนิวยอร์ค และกำลังรอประกันภัยชื่อน้ำมันพืชที่กำลังจะเป็นโฮลดิ้ง
หุ้นแบบนี้ต้องคิดแบบว่าจะแต่งงานกัน อยู่กันนานๆ(อ่าว..ไหนอ.ว่าหุ้นไม่ใช่เมีย..)

ท่านอื่นๆที่มีหุ้นน่าสนใจ จะมาให้ข้อสังเกตุเพื่อฝึกสมองใช้ความคิดก็เชิญนะฮะ
เพราะเที่ยวนี้ผมอดเจอท่านmiracle เลยอดฝีกสมองเลย(อ.เล่าว่าเวลาคุยกับท่านmiracle ต้องเอาไปคิดหลายวันกว่าจะรู้เรื่อง..)
samatah
ลูกอิสาน
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 6447
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 3396

โพสต์

วันนี้ได้มีโอกาสนำเงินที่เหลือจากมีตต้ิงวีไอภาคใต้ประจำปี 2563 จำนวนเงินประมาณ 5 หมื่นบาท รวมกับเงินสมทบจากเพื่อนๆ รวมเป็น 140,000 ไปบริจาคให้โรงเรียนสำหรับเด็กพิเศษ อ.สทิงพระ สงขลา เพื่อก่อสร้างฝาผนังให้ รร.แห่งใหม่ที่ยังขาดแคลนงบ ขอให้เพื่อนๆสมาชิกได้รับผลบุญครั้งนี้ด้วยครับ
(ก่อนหน้านี้ได้บริจาคเงินอีก 15,000 บาท ช่วยเหลือโควิดให้ รพ.ยะลา)
คุณไม่มีสิทธิ์ดูไฟล์ที่แนบมาในกระทู้
การลงทุนคืออาหารอร่อยที่สุดเมื่อเย็นดีแล้ว
dr1
Verified User
โพสต์: 842
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 3397

โพสต์

อนุโมทนาสาธุฮะ(เค้าว่าแค่ยินดีกับบุญก็ใด้ส่วนแบ่ง5%โดยไม่ต้องออกตังค์)

การบริจาคครั้งนี้ใด้อารมณ์มากกว่าทุกครั้งที่เคยไปรพ.,รร.คนตาบอด,วัด ที่สถานที่กับระบบพร้อมอยู่แล้ว
โรงเรียนเด็กพิเศษแห่งนี้ เริ่มจากไม่มีอะไรเลย ไปขอสถานที่ที่เค้าไม่ใช้แล้วมาค่อยๆปรับปรุง
คุณครูต้องไปขอบริจาคอุปกรณ์ คุรุภัณฑ์ จากหน่วยงานแถวนั้น หารายใด้จากทำลูกตาลเชื่อมขาย
มาใส่เหล็กดัด(หน้าต่างนะจ๊ะ ไม่ใช่ฟัน)ไม่ให้นักเรียนปีนหนี(คือเด็กพิเศษเนี่ยพ่อแม่ดูแลอย่างเดียวก็ไม่ต้องทำอะไรแล้ว
ยิ่งกว่าจับปูใส่กระด้ง ครู3คนแต่เด็ก32 เห็นแล้วเพลียแทน)
พี่charunเป็นคนสทิงพระ(ถิ่นหลวงพ่อทวดเหยียบน้ำทะเลจืด) เล่าให้ฟังว่าตอนเด็กๆ ครอบครัวและชาวบ้านถิ่นนี้
ทำนาตั้งแต่ไถหว่านดำเกี่ยวนวดข้าวมาหลายชั่วอายุคน โอกาสที่ชนชั้นล่างจะขยับขึ้นเป็นชนชั้นกลางยากมากฮะ
พอเกษียณจากผู้การโรงไฟฟ้าจะนะ ก็กลับมาพัฒนาบ้านเกิด

ไปทอดผ้าป่าหาทุนครั้งแรก สร้างใด้หลังคากับเสา ในที่ดินที่ขอแบ่งเค้ามาตามรูป พอเที่ยวนี้คุณครูเล่าให้ฟังว่า
ขอปูน ขออิฐมาใด้ แต่ยังขาดค่าแรงช่างท้องถิ่น(จ้างช่างในเมืองแพงไป)ทำฝา
อ.ลูกอิสาน(ซึ่งเคยอยู่อำเภอเล็กๆในพังงา ขายของชำทำมาทุกอย่างเหมือนกัน เข้าใจทันที)
สมทบทุนเพิ่มให้ เอาตังค์ที่กำไรมาจาก
หุ้นคอมโม(ถ่านหิน(ซื้อตอนแคปสองหมื่นกว่า) พลาสติกระดับโลก น้ำมันตราเสือผสมม้าบิน(หุ้นเมกานะจ๊ะ ซื้อเพราะเห็นกว่าก่อนโควิด70แล้วร่วงเหลือ35 เจ๊งแต่พองอม ไม่ระบมแบบตราหอยกับตราดาว(ตราบั้ง))
เล่นรอบหุ้นมนุษย์ซอฟแวร์(ซื้อแปดขายเก้า)กับโรงไฟฟ้าชีวมวล
และก็กองทุนหุ้นเวียดนาม ที่ไส้ในมีหุ้นติดเพดานต่างชาติเยอะๆ (ถ้าปลดล็อคใด้ไปโลดมีอัพไซด์อีกเพียบ)

บริจาคเสร็จ ไปกินกุ้ง(อร่อยระดับเคยขึ้นโต๊ะงานเลี้ยงอาเซียนซัมมิต)
คุยกับท่านtaotiam วีไอหนุ่มโสดหลานพี่charun ผอร์ตใหญ่พอซื้อบ้านพร้อมรถเงินสดใด้หลายหลัง (แต่ยังไม่มีบ้าน แถมยังอยู่บ้านคนอื่นแบบอ.ลูกอิสาน..)แข็งแรงแบบเคยวิ่งสี่กิโลไปคุยไปไม่หอบคู่กับอ.นิเวศน์ที่พาร์คแถวรางน้ำมาแล้ว
เพิ่งรู้ว่า งานท่านtaotiamคือ เฝ้าหน้าจอ เห็นตลอดเวลาว่าหงสา เซเปียน น้ำงึม และอีกสารพัดโรง ปั่นไฟขายวันละกี่เม็ก
และหุ้นในผอร์ทท่านtaotiamที่มีเยอะ ก็คือหุ้นโรงไฟฟ้าชีวมวลที่อ.ลูกอิสานเล่นรอบเอากำไรมาทำฝาโรงเรียนครานี้นี่เอง..

วีไอขอ(แบ่ง)ส่วนบุญ รายงาน
samatah
amornkowa
Verified User
โพสต์: 2195
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 3398

โพสต์

สัมมนา AIA WEALTH FORUM 2020
อีกขั้นของความมั่นใจ สู่เสถียรภาพแห่งการลงทุน

คุณ กฤษณ์ จันทโนทด CEO ภาคประเทศไทย กล่าวเปิดงานสัมมนา

หลังจากนั้นก็เข้าสู่ช่วงสัมมนา

วิทยากร รศ ดร ไพบูลย์ เสรีวิวัฒนา นักลงทุนVI และ กูรูด้านการลงทุน
คุณสุขวัฒน์ ประเสริญยิ่ง หรือ คุณเอ๋ OSK105 ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บลจ เอไอเอ (ประเทศไทย)
ดำเนินรายการโดย คุณ ณัฐธีร์ โกศลพิศิษฐ์ เอไอเอ เพรสทีจ แอมบาสเดอร์

คุณเอ๋ เกริ่นขึ้นมาก่อนว่า ตลาดหุ้นสหรัฐ ทำnew high แต่คนติดCovid-19 ก็new high เหมือนกัน
กว่าวัคซีนจะมาเมืองไทย เข็มแรกน่าจะมาช่วง 2H 2021 ซึ่งน่าจะทำให้คนมาเที่ยวไทยมากขึ้น
แต่ถ้ามาเร็วหน่อย คือ มีค 64 เลย ตลาดหุ้นอาจตอบรับเด้งขึ้นทันที
แต่ถ้า Fund Flowยังไหลเข้าต่อเนื่องทั้งภูมิภาค ตลาดหุ้นยังขึ้นต่อ ถึงแม้ผลประกอบการยังไม่ดี
ดังนั้น เราสามารถดูจากปัจจัยสองอย่างคือ
1. Fund Flow ของต่างชาติ
2. Gap ระหว่าง Fundamental , Market

คุณเอ๋พูด Unit link (ซึ่งเป็นสินค้า ประกันควบการลงทุน ที่เอไอเอ ออกมาเป็นเจ้าแรกกว่า 10ปีแล้ว)
โดย Unit link ที่เป็น Regular premium (ซึ่งเป็น Unit link ที่ซื้อลงทุนทุกปี) ดีตรงที่ค่อยๆ
ซื้อไปเรื่อยๆ ในภาวะที่ดอกเบี้ยต่ำมากๆ ต้นทุนในการเสียโอกาส ทำให้เข้าไปซื้อ Risk Asset
เช่น หุ้น หรือ หุ้นกู้
ช่วง มีค ถึง พค 2563 AIA ได้ซื้อหุ้นกู้ Offshore ได้ credit spread 500 basic point
ซึ่งคิดเป็นผลตอบแทนที่เยอะมาก
ส่วนการเลือกหุ้น โดยมีหลักเกณฑ์ในการเลือกโดยใช้พื้นฐาน เช่น เลือกหุ้นที่มี Dividend Yieldดี

ดร ไพบูลย์ บอกว่า เห็นหัวข้อแล้ว ยังสงสัยว่า จะมีคนมาฟังไหม
แต่ถ้าเปลี่ยนหัวข้อ เป็น ลงทุนอย่างไรให้รวย หรือ รวยทางลัด จะน่าสนใจกว่า
ดร แนะนำว่า วิธีการลงทุน นั้น แนะนำวิธีการลงทุนแบบ DCA ดีที่สุด
ดร บอกว่า หลังจาก โจ ไบเดน ได้รับการเลือกให้เป็นประธานาธิบดี สหรัฐ
แล้ว หุ้นขนาดใหญ่ก็ไหลตามตลาดขึ้นสูงไปอีก
แต่port ดร ไม่ได้ขึ้นตามตลาด เพราะไม่ได้ถือหุ้นใหญ่ไว้
ตอนนี้หุ้นที่ไม่ขึ้น ส่วนใหญ่เป็นหุ้นขนาดเล็ก
ส่วนหุ้นที่ขึ้น เป็นหุ้นขนาดใหญ่ มีสภาพคล่องสูง
ตอนนี้portใกล้เคียงกับช่วงที่ก่อนเจอ Covid-19
สัดส่วนในการถือหุ้น ใกล้เคียงกันตลอด
ดร ไพบูลย์ ชอบพูดการวางแผนทางการเงิน
ดร ไม่ชอบเรียกว่าเล่นหุ้น แต่จะเรียกว่า การลงทุนในหุ้น
วิกฤตทุกครั้ง ไม่เคยเอาเงินออก แต่อาจจะมีการลดสัดส่วนเงินสด
และไปเพิ่มในส่วนหุ้น เงินสดต้องไม่น้อยกว่า5%ของport

คุณเอ๋ พูดถึงการเปิดตัว บลจ ในเดือน สค 63 ซึ่งมีวัตถุประสงค์ในการดูแลลูกค้า
เราเป็นส่วนนึงของ AIA ประกันชีวิต ที่ดูแลเงินจากลูกค้า 900,000 ลบ
เราเป็นนักลงทุนสถาบันรายใหญ่ของไทย อันดับ3ของประเทศไทย
เรามีสาขาของเอไอเอใน 18 ประเทศ ทั่วทั้งเอเชียให้คำปรึกษากับลูกค้า
เรามีเงินลงทุนกว่า 900,000 ลบ และมี partner จากต่างประเทศ
เช่น BlackRock , Billies Giftford ในการลงทุนในต่างประเทศ
เรามีเทคโนโลยีมาช่วยเรื่องการสั่งคำสั่งซื้อ ขาย มา3-4 ปีแล้ว
เรามี ดร แอนดรู ทำ due diligentกับ บลจ ต่างๆทั่วโลก เพื่อเช็คว่า
ที่บลจ พูดไว้ กับ ที่ทำจริง ตรงกันหรือไม่ และดูเสถียรภาพของทีมงาน คนเก่งๆจะไม่หนีไป

เป้าหมายเราคือการบริการลูกค้า
Unit Link ถือระยะยาว นับเป็น long term investment แบบหนึ่ง
ซึ่งมีการถัวเฉลี่ยเป็นรายปี สำหรับ Regular premium
ในต่างประเทศ สามารถจัดพอร์ตให้ลูกค้าได้
สำหรับในประเทศไทย กลต อนุญาตให้ตั้งเป็น บลจ และมีทรัสตีคอยverify ว่าคิดคำนวณNAVถูกต้องหรือไม่
ตั้งแต่ปี2535 (ที่เริ่มจัดตั้งบลจ อย่างเป็นทางการ)
ลูกค้ามั่นใจในกระบวนการที่ต้องผ่านการอนุมัติจาก2หน่วยงานรัฐคือ คปภ และ กลต
และ Fund manager ที่นี่จะทำงานกันเป็นทีม

ดร ไพบูลย์ พูดถึงเกณฑ์พิจารณา ว่า บลจ เอไอเอ ดีหรือไม่
มีมืออาชีพดูแล อันนี้ผ่าน มีคุณเอ้ สุขวัฒน์ มาดูแล ซึ่งมีประสบการณ์บริหารกองทุนมายาวนาน

ส่วนเกณฑ์ในการพิจารณาว่า บลจ ไหนดี ดูจาก
1.บลจ ไม่ใหญ่เกินไป ไม่เช่นนั้น การเคลื่อนไหวยากในส่วนตราสารทุน
2.บลจ ต้องไม่เล็กเกินไป เพราะอำนาจต่อรองน้อย บลจ เอไอเอ มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ3 รองจากของรัฐ
3.มีสินค้าหรือproductที่ออกมาตรงกับที่อยากได้ เช่น กองที่ดู ลงในหุ้นที่ตัวเองชอบ
หรือ ลงตราสารหนี้ที่คิดว่าปลอดภัย ไม่มีตราสารหนี้เอกชนที่มีความเสี่ยง

ดร ไพบูลย์ ได้วิเคราะห์ บลจ เอไอเอ ว่ามีข้อดีอย่างไร
1.มีเครือข่ายในต่างประเทศ หรือ มี partner ที่ดี ดร ไพบูลย์ ลงทุนต่างประเทศกับ Wellington เยอะสุด
ซึ่ง เป็นหนึ่งในpartner ของ บลจ เอไอเอ และ ถูกออกแบบกองทุนให้เหมาะกับ Unit Link
2.บลจ เอไอเอ ตั้งขึ้นมาเพื่อจัดตั้งกองทุนสำหรับคนถือ Unit Link ซึ่งตรงกับความต้องการลงทุน
3.AIA Unitlink ทำให้คนมีวินัยในการลงทุน ซึ่งต้องลงทุนทุกปี ( Regular Premium )
4.บลจ เอไอเอ มีจำนวนกรมธรรม์ มากพอที่จะจัดตั้งกองทุน
5.มีเจ้าหน้าที่ หรือ ตัวแทน ในการดูแล สื่อสารกับผู้ถือกรมธรรม์ Unitlink
ส่วนข้อที่ ดร ไพบูลย์คิดว่าไม่ดี หรือ สงสัย มีดังนี้
1.ไม่รู้ค่า Fee แพงไหม เทียบกับ บลจ อื่น
คุณเอ้ ตอบว่า ค่า Fee เราถูกกว่าที่อื่น ถ้าเป็นกองในประเทศ จะถูกกว่า 0.5%
แต่ถ้าเป็นกองต่างประเทศ จะถูกกว่า 0.75%
2.ถ้าบลจ เอไอเอ ทำได้ดี บลจ อื่นจะทำตาม
3. ทำสำหรับตัวเอง ไม่ได้ทำเพื่อส่วนรวม
ดังนั้น ดร แนะนำว่า ถ้าเจอกองทุนดีๆ ต้องอยู่กับบลจ นั้นๆให้นานๆครับ

การลงทุน มีสองแบบ คือ เก็งกำไร และ ลงทุนนานๆ เช่น ลงทุนกับบ้าน หรือ ลงทุนกับ AIA
รูปแบบการลงทุนมีสองแบบ
1.บริหารหุ้น หรือ ซื้อหุ้นเอง
2.จ้างคนอื่นบริหาร
2.1 จ้างคนมาบริหาร ท้ายสุดเห็นไม่ตรงกัน ทะเลาะกัน
2.2 บริหารด้วยมืออาชีพ เช่น บลจ , Private Fund

ดร ไพบูลย์ สอนที่ นิด้า มา 37 ปี สอนวิชาการลงทุน ซึ่งถือว่าเป็นวิชาที่เลวร้ายสุด
เพราะสอนให้คนโลภ
ดร จะแนะนำคนที่รู้จักที่ไม่มีความรู้ด้านการเงิน ให้ลงทุนผ่านกองทุนรวมจะเหมาะสมกว่า
ซึ่ง กฏเกณฑ์ในการควบคุม บลจ เข้มงวดที่สุด

ดร จะบริหารการลงทุนเอง แต่พอจะไปลงทุนในต่างประเทศ เพราะGDP เติบโตดีกว่า เช่นที่เวียดนาม
ก็จะเลือกบลจ ที่ไว้ใจ คือ Wellington

ดร สุวรรณ วลัยเสถียร เคยพูดในรายการ Money Talk ว่ามี3อย่างที่ห้ามทำ
1.เล่นพนัน
2.ยาเสพติด
3.การค้ำประกัน
ดร ไพบูลย์ เติมข้อ 4 ว่า อย่าลงทุนหุ้นด้วยตนเอง

คุณเอ๋เคยบริหาร Private Fund 35 ราย รายที่ขนาดใหญ่สุด ประมาณ 8,000-9,000 ล้านบาท
จนตอนนี้เหลือบริหารที่ บลจ เอไอเอ ที่เดียว
กองที่เปิดใหม่ไปลงต่างประเทศ 3 กอง รวมกับกองเก่า คิดเป็น 8 กอง
และจะเปิดอีก 3 กอง แต่จะไม่มีลงทุนในสินทรัพย์เฉพาะบางSector เช่น ทองคำ น้ำมัน
จะเลือกเปิดกองที่สามารถอยู่ได้ตลอดไป
ดร ไพบูลย์ แนะนำ ให้ลงทุนกองทุนน้อยกอง เช่น ลงกับ บลจ เอไอเอ

Q: การวางแผนทางการเงิน Unitlink ถือเป็นทีมฟุตบอล ซึ่งได้กระจายความเสี่ยงไปแล้ว
ดีกว่าในอดีตเมื่อวานนี้อย่างไร ดีกว่าการเอาเงินไปซื้อ พันธบัตร หุ้น หรือกองทุนรวมอย่างไร
A: ดร ไพบูลย์ เน้นเรื่องความสบายใจ เป็นสิ่งสำคัญ
การเจ็บป่วย สามารถใช้ประกันชีวิตมาลดค่ารักษาพยาบาลได้

ช่วงสุดท้ายของรายการ
คุณเอ๋บอกว่าเราไม่ใช่คนหน้าใหม่ บริหารเงินลงทุนของ เอไอเอมา 10 ปี
สินทรัพย์กว่า 900,000 ล้านบาท
และได้เสริมทีมงานมาเป็น 14 คน
มีทีม Risk Management และเสริม Fund Manager อีก3คน
รวมถึง ทีมงานจาก 18ประเทศทั่วโลก ใช้อัลกอริทึม เทรดมา 3-4 ปีแล้ว แต่มี Centralization ที่สิงคโปร์

ส่วน ดร ไพบูลย์ บอกว่า ชอบโครงสร้าง ของ เอไอเอ
ฝ่ายบริหารพยายามพัฒนาproduct ดีขึ้นเรื่อยๆ ไม่ขึ้นกับฝ่ายอื่นๆ

ดร ไพบูลย์ ได้ยกเรื่องที่พระพุทธเจ้า ซึ่งเคยกล่าวว่า ทุกคนไม่สามารถหลีกเลี่ยง ได้แก่
1.แก่ วันนึงเราต้องแก่กันทุกคน เจ็บไข้ ก็เป็นธรรมดา
2.พลัดพรากจากของที่รัก ,
3.หลีกเลี่ยงความตายไม่ได้
ก่อนนอนคืนนี้ สมมติว่าเราตาย อะไรบ้างที่เรายังไม่ได้ทำเลย
ให้ไปทำสิ่งนั้น นับว่าเป็นสิ่งที่คาใจ

สุดท้าย ขอขอบคุณ เจ้าภาพ บลจ เอไอเอ คุณ เอ้ คุณ ณัฐธีร์ แล ดร ไพบูลย์ มากๆครับ
amornkowa
Verified User
โพสต์: 2195
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 3399

โพสต์

" สรุปแก่นการลงทุนแนวพื้นฐานของพี่โจ ลูกอิสาน "

แนวทางของพื้นฐาน <VI> คือ เราไปซื้อของต่ำกว่ามูลค่าแล้วมาขายในราคาเต็มมูลค่า ส่วนต่างคือกำไร ยิ่งซื้อได้ในราคาต่ำเท่าไรก็ได้กำไรมากเท่านั้น VI ตัวจริงจึงไม่สนใจเรื่องราคาหุ้น แต่ให้ความสำคัญกับ “พื้นฐานธุรกิจ” และ “มูลค่าของบริษัท” ที่จะซื้อมากกว่า ซึ่งการลงทุนนี้สมเหตุสมผล

.

โดยพี่โจยังได้แบ่งหัวใจหรือแก่นของVI สั้นๆแต่ครอบคลุมไว้ 4ประการ

.

1. ต้องคิดว่าหุ้นเป็นธุรกิจ ถ้าบริษัทที่มีพื้นฐานดี มีกำไรดี ราคาหุ้นก็จะดีตามไปเอง เพราะฉะนั้นถ้านักลงทุนสามารถทำนายกำไรของบริษัทได้ ก็ย่อมคาดการณ์ราคาหุ้นได้ <ราคาหุ้นจะแปรผันตามกำไรที่เติบโตของบริษัท>

2. หามูลค่าที่จริงของกิจการให้ได้ โดยต้องเตือนตัวเองเสมอว่า ราคาหุ้นบนกระดานไม่ได้บอกมูลค่าที่หุ้นนั้นๆว่าถูกหรือแพง <หุ้น2บาทไม่ได้แปลว่าถูกและหุ้น50บาทไม่ได้แพงกว่าหุ้น2บาท>

3. ซื้อในราคาที่มีส่วนเผื่อเพื่อความปลอดภัย หรือ Margin of Safety
อย่างน้อย 30% <หากเจอหุ้น9บาท แต่คิดว่าหุ้นจะไป10บาทมีUpside12% แต่ถ้าผิดพลาดกลับมีDownside50% แบบนี้ก็ไม่คุ้มที่จะลงทุน>

4. เราต้องแยกตัวออกจาก “อารมณ์ของตลาด” ให้ได้แล้วเอาชนะตลาดด้วยเหตุผลทางธุรกิจ ซึ่งในโอกาสเช่นนี้ บ่อยครั้งเป็นโอกาสให้ซื้อหุ้นพื้นฐานดีที่ราคาตก <หากเราเป็นส่วนหนึ่งของอารมณ์ตลาดที่พอตลาดดีเราก็ซื้อ พอตลาดตกแรงกลัวก็ขายก็ไม่มีทางจะประสบความสำเร็จ>

.

สำหรับหลักเกณฑ์ในการขายหุ้น คือ

.

1. เราเจอหุ้นที่ดีกว่า ในขณะที่หุ้นในมือมีUpsideน้อยกว่า ก็พิจารณาขายเพื่อเข้าลงทุนหุ้นที่ต่ำกว่ามูลค่า

2. หุ้นที่ถืออยู่หรือกิจการนั้นมีพื้นฐานที่เปลี่ยนแปลงในทางที่แย่ลงอย่างถาวร ซึ่งแม้จะขาดทุนเราก็ต้องยอม การหาเรือใหม่ง่ายกว่าการอุดรอยเรือที่รั่วเสมอ

3. หุ้นขึ้นจนถึงราคาสมเหตุสมผล หรือมูลค่าที่แท้จริงที่คำนวณไว้ ซึ่งบ่อยครั้งหุ้นก็วิ่งต่อจากที่ขาย ก็คิดให้คิดว่าแบ่งให้คนอื่นกำไรบ้างก็จะได้สบายใจ

.

เมื่อเริ่มสู้นั้น มันมืดยิ่งกว่ามืด…
ครั้นยืนหยัดยาวยืด มืดค่อยหาย…
พอมองเห็นลางลาง อยู่ทางปลาย…
ชัยชนะ ขั้นสุดท้าย ไม่เกินรอ…

.

สุดท้ายพี่โจอยากให้อดทนลงทุนให้สมการการทบต้นทำงาน อย่าพึ่งดึงกำไรออกมาใช้ "ผมได้นั่งอยู่ใต้ร่มไม้ในวันนี้ เพราะผมได้ปลูกต้นไม้ไว้เมื่อ10ปีที่แล้ว "

.

#นักลงทุนหมายเลข6
amornkowa
Verified User
โพสต์: 2195
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 3400

โพสต์

สวัสดีทุกท่านครับ ตอนนี้ผมสรุป Oppday ของรอบไตรมาส 2/20 เรียบร้อยแล้ว เลยจัดรวม Pack สรุป Oppday ฉบับ Pocket 40 ตอน 40 บริษัท เผื่อใครอยากกลับไปอ่านทบทวน หรือท่านไหนที่เราเพิ่งรู้จักกันไม่นาน ลองกลับไปอ่านได้นะครับ สามารถกดอ่านบริษัทที่ท่านสนใจได้ตาม LInk เลยครับ
.
รอบงบการเงินประจำปี 2019
ตอนที่ 1 MINT https://bit.ly/2Y0Ujpr
ตอนที่ 2 CENTEL https://bit.ly/2Xxoy8H
ตอนที่ 3 SEAFCO https://bit.ly/3cwdP2x
ตอนที่ 4 AU https://bit.ly/3mIN6oV
ตอนที่ 5 CRC https://bit.ly/2TITDU5
ตอนที่ 6 BCH https://bit.ly/2zQYkoI
ตอนที่ 7 GLOBAL https://bit.ly/2BxvBWk
ตอนที่ 8 JAS https://bit.ly/2Xu0mE1
ตอนที่ 9 COM7 https://bit.ly/3dxPaM5
ตอนที่ 10 BGRIM https://bit.ly/3gLGDHw
ตอนที่ 11 TM https://bit.ly/2Mvov6O
ตอนที่ 12 HMPRO https://bit.ly/2MuRGH6
ตอนที่ 13 SAPPE https://bit.ly/2XWU2UA
.
รอบงบการเงินไตรมาส 1 ปี 2020
ตอนที่ 14 ADVANC https://bit.ly/2U9mv8E
ตอนที่ 15 OSP https://bit.ly/306wEqv
ตอนที่ 16 SABINA https://bit.ly/2MpmPMi
ตอนที่ 17 CPALL https://bit.ly/3gUzAw7
ตอนที่ 18 PSH https://bit.ly/2AzHMBA
ตอนที่ 19 RBF https://bit.ly/2Mug9N2
ตอนที่ 20 BAFS https://bit.ly/2z6Bvgi
ตอนที่ 21 TQM https://bit.ly/2ZXTss2
ตอนที่ 22 ORI https://bit.ly/2HRqZh1
ตอนที่ 23 PTG https://bit.ly/30Hluak
ตอนที่ 24 EA https://bit.ly/3g0EhUl
ตอนที่ 25 WHAUP https://bit.ly/3jGv6La
ตอนที่ 26 NWR https://bit.ly/300ADV9
ตอนที่ 27 RS https://bit.ly/3jF1uxz
ตอนที่ 28 ILM https://bit.ly/2P2yku9
.
รอบงบการเงินไตรมาส 2 ปี 2020
ตอนที่ 29 DELTA https://bit.ly/35QkMdm
ตอนที่ 30 ZEN https://bit.ly/3jPOa8u
ตอนที่ 31 PTTEP https://bit.ly/2HJhwsr
ตอนที่ 32 DOHOME https://bit.ly/32j741V
ตอนที่ 33 XO https://bit.ly/3encEFe
ตอนที่ 34 TEAMG https://bit.ly/3mF9nUz
ตอนที่ 35 STGT https://bit.ly/3jPOnZk
ตอนที่ 36 APP https://bit.ly/380BNV2
ตอนที่ 37 KTC https://bit.ly/386jGx3
ตอนที่ 38 TNP https://bit.ly/35QSxvb
ตอนที่ 39 TTW https://bit.ly/383MJ46
ตอนที่ 40 HTC https://bit.ly/3mK1OvE
.
ตั้งแต่ช่วงต้นปีที่เริ่มเขียนสรุป Oppday ก็ได้รับการตอบรับที่ดีตลอดมา ต้องขอบคุณทุกท่านจริงๆที่ติดตามอ่านมาตลอดนะครับ ดีใจที่หลายๆคนชอบ ถ้ายังได้รับการตอบรับที่ดีต่อเนื่องผมก็คงจะเขียนไปเรื่อยๆครับ เอาให้ครบ 100 ตอนไปเลย! 555+
.
ตอนนี้งบไตรมาส 3 เริ่มทยอยออกมาแล้ว เดือนนี้บริษัทต่างๆก็จะกลับมา Oppday อีกครั้งครับ เดี๋ยวผมจะกลับมาสรุปให้อ่านเหมือนเดิมน้า หรือถ้าเพื่อนๆสนใจอยากให้สรุปบริษัทไหน สามารถ comment มาบอกกันได้เลย ฝากติดตามนะครับ : )
.
และอย่างที่บอกทุกๆท้าย Content ว่าการเขียน Oppday เป็นการสรุปข้อมูลให้ผู้อ่านเห็นภาพรวมธุรกิจตามที่บริษัทนำเสนอเท่านั้น + มุมมองส่วนตัวของผมเพียงเล็กน้อย ไม่ได้เป็นการชี้นำการลงทุน ดังนั้น นักลงทุนต้องศึกษาเพิ่มเติม ก่อนตัดสินใจลงทุนด้วยตัวเองครับ
Pocket investor
amornkowa
Verified User
โพสต์: 2195
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 3401

โพสต์

ผมติดตามการลงทุนของ อาจารย์ นิเวศน์ ตั้งแต่หนังสือตีแตกออกมาใหม่ๆ
จำได้ว่า การติดตามบทความแต่ละเรื่องนั้น ไม่สดวกสบายเหมือนตอนนี้
หนังสือรวมบทความเล่มแรก หายากมากในตอนนั้น เเม้แต่ซีเอ็ดเอง
ยังไม่มีเลย แต่เดี๋ยวนี้สามารถหาอ่านจากบทความในThaivi
หรือ Page FB ต่างๆได้
เคยคุยกับนักลงทุนหน้าใหม่ๆ ที่พยายามจะตามติดตามแนวทางลงทุน
ของ อาจารย์ ซึ่งตอนนี้แนะนำให้ลงทุนในต่างประเทศเช่น เวียดนาม
จีน อเมริกา และ ที่สำคัญคือลงทุนในประเทศไทย ก็กระตือรือร้น
มาก ก็แนะนำว่า ก่อนอื่นเราต้องมีmindsetในการลงทุนที่ถูกต้องเสียก่อนเเล้วค่อยมาศึกษาแนวทางการลงทุนของอาจารย์ที่เก่งๆแต่ละท่าน และหาว่า อาจารย์ท่านไหนเหมาะกับตัวเราเอง

ส่วนตัวผมก็ติดตามผลงานของอาจารย์นิเวศน์ หุ้นตัวนึงที่อาจารย์ถือ
อยู่ในหมวดอสังหา ขึ้นต้นด้วย "Q" และ ลงท้ายด้วย "H"
ซึ่งไม่ใช่หุ้นอสังหาที่มีรายได้มาจากการการขายอย่างเดียว
แต่บริษัทได้เข้าถือหุ้นและกองREITs ทำให้มีรายได้recurring incomeมาด้วย ถึงแม้ว่ารายได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์ลดลง
ก็ยังรายได้ของบริษัทลูก มาช่วย
ผมก็มาคิดต่อว่าถ้ามีบริษัทอสังหาริมทรัพย์ที่ลักษณะคล้ายบริษัทนี้
แล้วมีgrowth และ มีplatformในการออกแบบที่แตกต่างกับคู่แข่งละ
จะน่าสนใจมากขึ้น

ผมเห็นบริษัทนึง ซึ่งทางThaivi พึ่งไปเยี่ยมชมกิจการเมื่อวันที่4ธค63
(Ori) พบว่า บริษัทรายได้แทบไม่กระทบจากCovidเลย ผลประกอบการย้อนหลังก็เติบโตตลอด ตอนช่วงcovid แทนที่จะอยู่เฉยๆ ก็มีการ booking online สำหรับคอนโดที่อ่อนนุช และปรับราคาให้สามารถซื้อได้ง่าย
โดยunitเริ่มต้นเพียง 1.3 ลบ เอง (68,000 บาทต่อตรม)
จากนั้นก็มีไปขายคอนโดที่พระรามสี่ให้กับคนฮ่องกง
ได้เงินกว่า 400 ล้านบาท
นอกจากนี้ ยังมีการ JV กับ partner ซึ่ง นอกจากใช้เงินในการลง
โครงการน้อยลง แล้ว สามารถเก็บค่าmanagement fee ได้เพิ่ม
ทำให้Net profit margin เพิ่มเป็น 28% น่าจะสูงสุดในตลาดแล้ว
แต่ยังมีอีกเรื่องที่น่าสนใจคือ ธุรกิจมีส่วนที่เป็น Recurring income
ด้วย ตอนนี้ ส่วนของ One Origin ,Hotel & service apartment รวม8โครงการ และ มี3 projectที่เปิดเผยในปีนี้มูลค่า 9,200 ลบ
เปิดแล้ว 1 โครงการ ตั้งแต่ต้นปี Occupancy > 50%
และอีก2โครงการเปิดในปี 2022 (รายละเอียดติดตามจากห้อง ORI)
ผู้บริหารเปิดเผยว่าจะนำเข้ากองREITs และจะถือต่อในสัดส่วน 10-15%
ดังนั้นจะมีกำไรจากการขายเข้าREITs สมมติโครงการลงทุน
1,200 ลบ มาจากทุน 400 ลบ ขายได้ 2,000 ลบ ก็จะมีกำไร 600-800ลบ และนำเงินไปคืนหนี้ด้วย สมมติผมคิดเองว่าทำแบบนี้ทุกปี
เลียนแบบ กลุ่มนิคมเช่น WHA ทำให้มีเงินไปลงทุนต่อได้

ส่วนอีกธุรกิจ คือ Primo ซึ่งเป็น After Sales service มีแผนที่ขยาย
ธุรกิจไปทำอื่นๆอีกมากมาย โดยใช้applicationของOriเอง
เช่น สามารถจ่ายค่าน้ำ ค่าไฟ จ้างแม่บ้าน ซ่อมแซมดูแลบ้าน

ทำให้บริษัทมีrecurring income เกิดขึ้น โดยบริษัทเองก็มีการเติบโต
( รายละเอียดของบริษัท หาอ่านจากสรุปCV ORI )

ก็ถือเป็นอีกไอเดียที่หาหุ้นที่มีรายได้สม่ำเสมอและcore business
ยังgrowthได้ด้วย เพื่อนๆท่านไหนสนใจก็สามารถติดตามที่ห้องร้อยคนร้อยหุ้นได้ครับ
amornkowa
Verified User
โพสต์: 2195
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 3402

โพสต์

REITs & Property fund ซื้้อได้หรือยัง



ถ้าดูจากperformanceรายเดือน เปรียบเทียบระหว่าง ไทยและสิงคโปร์ (SG)

พบว่า ช่วงเกิดCovid มีค-เมษายน -20% พอๆกัน

แต่พอเริ่มจาก พค เป็นต้นมา SG outperform REITs ทั่วโลกรวมทั้งไทย

ขณะที่ REITs ไทยติดลบมาตลอดตั้งแต่ มิย ถึง ตค 63

สาเหตุมาจากเหตุผลดังต่อไปนี้

1.SG งดจ่ายเงินปันผลกองREITsได้ ทำให้มีสำรองเพื่อใช้จ่ายฉุกเฉิน

2.Interest coverage ratio (ICR) หมายถึงความสามารถในการจ่ายดอกเบี้ย

กำหนดไว้ไม่ต่ำกว่า 2.5เท่า ตอนนี้ได้รับการปรับลด เพื่อให้มีสภาพคล่อง

3.มีการrebate คืนภาษีให้กับผู้เช่า เพื่อเพิ่มสภาพคล่อง

4.SG มีการกระตุ้นเศรษฐกิจ

นี่คือสาเหตุที่ทำให้ REITs SG ทรงตัว เป็นบวกในช่วง มิย ถึง ตค

ช่วงเดือน ตค สินทรัพย์เสี่ยง รวมถึง Bond , High yield bond โดนขายหมด

แต่พอ เข้าเดือน พย มีข่าววัคซีนมีความคืบหน้า และ ประธานาธิบดีคนใหม่คือ โจ ไบเดน

ทำให้ REITsปรับตัวขึ้นทั้งไทยและSG

ส่วนกลางเดือน พย RCEP ซึ่งเป็นห่วงโซ่ทางฝั่งเอเชีย ได้บรรลุข้อตกลงกัน โดย อินเดียถอนตัวไป



เรามาดูเป็นรายSectorทั้งฝั่งไทยและสิงคโปร์

1.Industrail

ไทย ค่อนข้างยืดหยุ่น

Covid ทำให้โรงงานต้องdiversify ส่วนของsupply chain

โดย ส่วน modern logistic ,Vacancy เพิ่มขึ้นเป็น 15%

ส่วน Ready Build ,Vacancy ปรับตัวลดลงเหลือ 20%

แต่ REITs ของ SG ไม่ค่อยโดนกระทบจากCovidมากนัก และ ค่า PMIปรับตัวสูงขึ้นหลังCovid



2.Retail

ไทย เริ่มจากดีขึ้นหลังรัฐบาลเริ่มคลาย lock down คนเริ่มออกไปจับจ่ายใช้สอย แต่ห้างที่พึ่งพานักท่องเที่ยวยังโดนกระทบอยู่

SG ห้างปรับตัวค่อนข้างดี โดยเฉพาะurban ตอนนี้มีกิจกรรมจัดในห้างแล้ว และ มีการลดค่าเช่าลานกิจกรรมช่วยด้วย

ส่วนE-commerceจะกระทบห้างไหม ตอบว่า จะโตขนานกันไป โดย จะมีการตั้งstoreในห้างเพื่อให้คนซื้อผ่านonlineมั่นใจมากขึ้น

(Omni-channel)



3.Office

ไทย demandยังต้องการเพิ่มไม่มาก ขณะที่supplyเพิ่มมากกว่า

Q2 occupancy 92% และคาดการณ์ว่าปี2023 จะปรับลดเหลือ 85%

SG มองว่าดีขึ้น เพราะพื้นที่จำกัด ถึงมีWFH แต่จำเป็นต้องมีoffice อยู่

รวมถึง Regional office จากฮ่องกงเริ่มเพิ่มสาขามาสิงคโปร์

และ Technology hub ก็เริ่มมาตั้งที่ สิงคโปร์ด้วย



การคิดมูลค่า

: Search for yield ยังคงมีต่อเนื่องเพราะ อัตราดอกเบี้ยของ US,TH,EU = 0.13% , 0.5% , 0% ตามลำดับ

พันธบัตรรัฐบาลเริ่มไม่น่าสนใจ คนก็จะหาสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนมากขึ้น High yield น่าสนใจมากขึ้น รวมถึงตราสารหนี้

ที่เป็น investment grade ด้วย การลงทุนในREITsยิ่งน่าสนใจ

US ปริมาณเงิน M2 ปรับเพิ่มจาก 4 ล้านล้าน เป็น 7 ล้านล้าน$

สภาพคล่องจะเข้ามาฝั่งเอเชีย ทำให้ผลักดัน หุ้นและREITsที่ยังตามหลังอยู่



สรุป

TH REITs , Property fund

เริ่มน่าสนใจ เพราะปันผลที่ได้รับย้อนหลัง12 เดือน = 5.8% ตอนนี้ได้ 6.5%

Yield spread ปรับจาก 4.5% เป็น 5.2%

SG ใกล้เคียงกับผลตอบแทนเดิม

ปันผลที่ได้รับย้อนหลัง12 เดือน = 4.2% ตอนนี้ได้ 4.9%

Yield spread ปรับจาก 3.3% เป็น 4.0%

แต่ก็ดูภาพรวมแล้ว ตลาดที่SG น่าสนใจกว่า เพราะมีโอกาสโตและได้รับผลกระทบน้อยกว่า

จะเห็นว่าสัดส่วนในการถือ SG มากกว่า ไทย



Sector ที่น่าสนใจ

ไทย ได้แก่ Industrial, Retail ที่มีความสามารถในการปรับตัวกับtrendการเปลี่ยนแปลงของผู้บริโภค

SG ได้แก่ Suburban Retail Mall , Industrial ที่มีมูลค่าสมเหตุผล
คุณไม่มีสิทธิ์ดูไฟล์ที่แนบมาในกระทู้
amornkowa
Verified User
โพสต์: 2195
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 3403

โพสต์

ต่างชาติลุยหุ้นไทยเพิ่มขึ้น รายย่อยควรทำอย่างไร

จะเห็นได้ว่าต่างชาติลุยหุ้นไทยซื้อเพิ่ม40,000กว่าล้านบาท
และคนที่ขายคือรายย่อย

ดัชนีวันนี้แตะ1,500จุดแล้วย่อลง

ในฐานะนักลงทุนควรทำอย่างไร
สังเกตอย่างนึงไหมว่าอะไรวิ่งตามการซื้อของต่างชาติ
ค่าเงินบาทรับ

เงินบาทตอนนี้แข็งมาก เพราะเวลาต่างชาติซื้อต้องแลก$เป็นเงินบาท
ทำให้มีความต้องการเงินบาทเพิ่มขั้น
ตามหลักDemand ,Supply
ทำให้ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นจนต่ำกว่า30บาทต่อ$

แล้วเราจะรู้ได้ไงว่าต่างชาติจะออก
ก็มาดูค่าเงินว่าจะอ่อนลงเมื่อไหร่ก็เตรียมตัว
เพราต่างชาติได้กำไรจากค่าเงินสัก10%รวมถึงกำไรจากตลาดหุ้นสัก10%
กองต่างประเทศที่มาลงทุนแบบฉาบฉวยก็คงขายออกแล้วครับ

แต่ถ้าเราลงทุนหุ้นรายตัว ถ้าเป็นหุ้นใหญ่อาจต้องระวังหน่อยนะครับ
ช่วงนี้ขึ้นมาแรงพอสมควร
คุณไม่มีสิทธิ์ดูไฟล์ที่แนบมาในกระทู้
amornkowa
Verified User
โพสต์: 2195
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 3404

โพสต์

เศรษฐกิจไทย : อนาคตที่ "ขาดยุทธศาสตร์" และแรงขับเคลื่อน
.
.
เศรษฐกิจไทยในไตรมาส 3 ปีนี้ติดลบ 6.4% เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาสเดียวกันในปี 2562 ดีกว่าการติดลบ 12.1% ในไตรมาส 2 ทำให้รัฐบาลไทยคาดการณ์ว่าจีดีพีปีนี้จะติดลบ “เพียง” 6% จากที่เดิมเคยคาดการณ์ว่าจีดีพีปีนี้จะติดลบประมาณ 7.5% นอกจากนั้นก็ยังคาดการณ์ว่าจีดีพีในปีหนน้าจะขยายตัวประมาณ 3.5-4.5%
.
.
1.จีดีพีเพิ่มขึ้นแต่ความเป็นอยู่ไม่ดีขึ้น

แต่ความเป็นอยู่ของคนไทยโดยเฉลี่ยในปีหน้านั้นจะยังไม่ฟื้นตัวหากดูจากรายได้ต่อหัวที่รัฐบาลคาดการณ์ว่าจะอยู่ที่ 237,178.6 บาท ในปี 2564 ซึ่งยังต่ำกว่ารายได้ต่อหัวในปี 2562 (ก่อนการระบาดของ COVID-19) ที่ 243,466.9 บาท (รายได้ยังลดลงไป 2.5%) แต่หนี้สินครัวเรือนเพิ่มขึ้นจากไตรมาส 2 ของปี 2562 ซึ่งอยู่ที่ 78.4% ของรายได้มาเป็น 83.8% ในไตรมาส 2 ของปี 2563 และแนวโน้มของหนี้ครัวเรือนก็น่าจะยังเพิ่มขึ้นต่อไปในอนาคตที่ประชาชนขาดรายได้และต้องกู้ยืมเงินมากขึ้น

แม้ว่าธนาคารพาณิชย์จะระมัดระวังและพยายามจำกัดการขยายสินเชื่อ ทั้งนี้ในรายงานล่าสุดของสภาพัฒน์ฯ เกี่ยวกับสภาวะสังคมในไตรมาส 3 ของปี 2563 ได้ประเมินจากแบบสอบถามว่าในช่วงการระบาดของ COVID-19 นั้นกลุ่มตัวอย่าง 54% มีรายได้ลดลงและ 33% มีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น นอกจากนั้นกลุ่มตัวอย่างร้อยละ 14 มีการก่อหนี้ในระบบเพิ่มขึ้นและร้อยละ 9 ก่อหนี้นอกระบบเพิ่มขึ้น จึงอาจสรุปได้ว่าการ “ฟื้นตัวของเศรษฐกิจ” ในปีหน้านั้นไม่น่าจะแปลว่าความเป็นอยู่ของประชาชนจะฟื้นตัวดีขึ้นแต่อย่างใด
.
.
2.มาตรการกระตุ้นแบบค่อยเป็นค่อยไปไม่ใช่การพลิกฟื้นเศรษฐกิจ

มาตรการที่รัฐบาลนำออกมาใช้กระตุ้นเศรษฐกิจ เช่น “คนละครึ่ง” นั้นเป็นการเอาเงินภาษี (ในอนาคต) ของประชาชนมาให้ประชาชนใช้ซื้อสินค้าเพิ่มขึ้นเดือนละไม่กี่พันบาท ใช้เงินครั้งละ 15,000-20,000 ล้านบาท ซึ่งช่วย “อุ้ม” กำลังซื้อในระยะสั้น แต่จะไม่สามารถส่งผลให้เกิดการพลิกฟื้นเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน ไม่มีการปฏิรูปหรือปรับโครงสร้างเศรษฐกิจและดูเสมือนว่ารัฐบาลจะเลิกล้มความตั้งใจเดิมที่จะอนุมัติโครงสร้างฟื้นฟูและปรับโครงสร้างเศรษฐกิจที่ได้เคยตั้งงบประมาณเอาไว้ที่ 400,000 ล้านบาท ซึ่งตรงนี้พบว่ามีการอนุมัติโครงการต่างๆ มูลค่าเพียงไม่กี่หมื่นล้านบาท

การที่รัฐบาลมีแต่เพียงมาตรการเพิ่มเติมกำลังซื้อเพียงเล็กน้อย แต่ไม่มีนโยบายและเป้าหมายที่ชัดเจนในการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจของประเทศนั้น เป็นเรื่องที่จะปั่นทอนอนาคตของเศรษฐกิจไทยอย่างมากเพราะเศรษฐกิจไทยนั้นมีความอ่อนแอมาก่อนการระบาดของ COVID-19 แล้ว กล่าวคือจีดีพีของไทยในปี 2562 นั้นสามารถขยายตัวได้เพียง 2.4% และในไตรมาส 4 ของปี 2562 นั้นจีดีพีขยายตัวเพียง 1.4% ดังนั้นเมื่อหัวจักรที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจคือการท่องเที่ยวดับสลายลงในปี 2563 ประเทศไทยจึงไม่มีหัวจักรในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจเหลืออยู่

ข่าวดีเกี่ยวกับการมีวัคซีนป้องกัน COVID-19 นั้นอาจทำให้การท่องเที่ยวฟื้นตัวกลับมาได้บ้าง แต่คงจะต้องรอไปจนปลายปีหน้าประเทศไทยจึงจะสามารถเปิดรับนักท่องเที่ยวจำนวนเดือนละ 1 ล้านคน ซึ่งก็ยังต่ำกว่าปริมาณนักท่องเที่ยวที่เดิมทีเข้ามาในประเทศไทยเดือนละ 3.3 ล้านคน ดังนั้นธุรกิจการท่องเที่ยวและธุรกิจที่เกี่ยวข้องอีกหลายรายจะต้องปิดตัวลงและปลดคนงานเพิ่มขึ้นอีกในปีหน้า นอกจากนั้นปี 2564 จะเป็นปีที่ธนาคารซึ่งเป็นเจ้าหนี้จะต้องทวงคืนเงินกู้หลังจากที่มาตรการผ่อนปรนให้ลูกหนี้ได้ปิดฉากลงในเดือนตุลาคมที่ผ่านมา

การที่รัฐบาลและธนาคารแห่งประเทศไทยยังไม่ได้มีมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ที่ชัดเจน จะทำให้การปรับโครงสร้างหนี้และการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจต้องตกเป็นภารกิจของธนาคารพาณิชย์ ซึ่งย่อมจะต้องการปรับโครงสร้างเพื่อประโยชน์ของธนาคารพาณิชย์เองและไม่น่าจะสอดคล้องกับผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจของประเทศในภาพรวม

ตัวอย่างเช่นธนาคารพาณิชย์อาจต้องการยึดทรัพย์สินของลูกหนี้เป็นจำนวนมากเพราะไม่มั่นใจว่าลูกหนี้จะสามารถหารายได้เพียงพอที่จะจ่ายดอกเบี้ยและคืนเงินต้นได้ โดยคาดหวังว่าจะเก็บสินทรัพย์ดังกล่าวเอาไว้ก่อน (warehousing) แล้วค่อยๆ นำออกไปขายในอนาคตเพื่อลดความเสียหายที่จะเกิดขึ้นจากการปล่อยกู้ แต่การนำเอาสินทรัพย์เก็บ “ดอง” เอาไว้เฉยๆ ไม่ได้นำออกไปทำประโยชน์ก็จะทำให้ไม่เกิดกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ก่อให้เกิดรายได้และเกิดการจ้างงาน เศรษฐกิจจึงจะอยู่ในภาวะซึมตัว
.
.
3.การขาดทิศทางที่ชัดเจนจะนำไปสู่ความเสื่อมถอย

การที่ประเทศไทยยังไม่มีความชัดเจนว่าจะปรับโครงสร้างเศรษฐกิจไปในทิศทางใดและไม่ทราบว่าภาคเศรษฐกิจใดจะเป็นหัวจักรในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ทำให้เศรษฐกิจไทยมีความเสี่ยงที่จะขยายตัวในอัตราที่ลดลงต่อไปและขยายตัวช้ากว่าเศรษฐกิจโลกซึ่งได้เกิดขึ้นแล้วในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา เห็นได้จากการขยายตัวเฉลี่ยต่อปีของเศรษฐกิจไทยเทียบกับเศรษฐกิจโลกในช่วง 40 ปีที่ผ่านมา (ดูจากตารางในภาพ)

ในช่วง 40 ปีที่ผ่ามานั้นสามารถสรุปได้ว่าประเทศไทยมีหัวจักรที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่มีความชัดเจน เช่น

- 1980-1989 เป็นช่วงที่ประเทศไทยพลิกฟื้นจากความถดถอยทางเศรษฐกิจในปี 19980 และค้นพบก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทย จึงสามารถขุดก๊าซธรรมชาติออกมาสร้างอุตสาหกรรมปิโตรเคมีและญี่ปุ่นก็ย้ายฐานการผลิตมาที่ประเทศไทยเพราะเงินเยนแข็งค่าอย่างมาก เป็นช่วงที่เศรษฐกิจไทย “โชติช่วงชัชวาล”

- 1990-1999 นักลงทุนมีความมั่นใจในประเทศไทยสูงและรัฐบาลส่งเสริมให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางทางการเงินทำให้มีการลงทุนสูงเกินจริง เกิดภาวะฟองสบู่และในที่สุดก็นำไปสู่วิกฤติเศรษฐกิจและการเงินในปี 1997

- 2000-2009 เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวจากการลดค่าเงินบาท การขยายตัวที่ดีของเศรษฐกิจโลก การปรับโครงสร้างหนี้และการเพิ่มทุนของธุรกิจและธนาคาร ตลอดจนการเร่งฟื้นเศรษฐกิจในประเทศ ในช่วงนี้เศรษฐกิจไทยเชื่อมโยงกับเศรษฐกิจโลกเพิ่มขึ้นอย่างมาก กล่าวคือการส่งออกสินค้าและบริการคิดเป็นสัดส่วนของจีดีพีเพิ่มขึ้นจาก 48.24% ในปี 1997 มาสูงสุดที่ 71.42% ในปี 2008 อุตสาหกรรมที่โดดเด่นของไทยคืออุตสาหกรรมรถยนต์และอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิคส์

- 2010-2019 เศรษฐกิจขยายตัวในอัตราที่ช้าลงเพราะความสามารถในการแข่งขันด้อยลงในหลายด้าน ยกเว้นการท่องเที่ยวซึ่งเป็นหัวจักรหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย โดยจำนวนนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดจาก 14.15 ล้านคนในปี 2009 มาเป็น 39.80 ล้านคนในปี 2019
ดังนั้นประเทศไทยจึงกำลังจะต้องเผชิญกับความท้าทายอย่างยิ่งเพราะเศรษฐกิจไทยมีข้อจำกัดมากและจึงมีทางเลือกเหลืออยู่ไม่มากนัก กล่าวคือ

•ประชากรไทยแก่ตัวลงอย่างรวดเร็วและจำนวนประชากรที่อยู่ในวัยทำงานก็ลดลงอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2018 เป็นต้นมา ดังนั้นประเทศไทยจึงขาดปัจจัยการผลิตที่สำคัญคือแรงงาน ทั้งนี้สภาพัฒน์คาดการณ์ว่าประชากรในวัยทำงานของประเทศไทยจะลดลงจาก 43.26 ล้านคนในปี 2020 มาเป็น 36.5 ล้านคนในปี 2040

•ในอนาคตต้นทุนด้านพลังงานน่าจะปรับตัวเพิ่มขึ้นเพราะปัจจุบันประเทศไทยต้องพึ่งพาก๊าซธรรมชาติจากพม่าและนำเข้าพลังงานไฟฟ้าจากลาวเพิ่มขึ้น การขาดแคลนก๊าซธรรมชาติย่อมจะกระทบกับอุตสาหกรรมปิโตรเคมีอีกด้วย

•ประเทศไทยำลังสูญเสียความสามารถในการแข่งขันในอุตสาหกรรมหลักของประเทศไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการผลิตชิ้นส่วนเครื่องยนต์สันดาปภายในเพราะรถยนต์ประเภทดังกล่าวกำลังถูกทดแทนด้วยรถไฟฟ้า นอกจากนั้นก็ยังเห็นการย้ายฐานการผลิตสินค้าประเภทเครื่องไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิคส์ไปยังประเทศเพื่อนบ้านที่มีต้นทุนในการผลิตต่ำกว่าประเทศไทย

•หากโจ ไบเดนประธานาธิบดีคนใหม่ของสหรัฐรื้อฟื้นความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจภาคฟื้นแปซิฟิกหรือ TPP ประเทศไทยจะอยู่ในสถานะที่เสียเปรียบอย่างมาก เพราะประเทศคู่แข่งของไทย เช่น มาเลเซียและเวียดนามเป็นสมาชิก TPP นอกจากนั้นเวียดนามก็ได้ทำความตกลงเขตการค้าเสรีกับยุโรปเสร็จสิ้นไปนานแล้ว ในขณะที่ประเทศไทยยังไม่ได้เริ่มการเจรจาดังกล่าวกับยุโรปอย่างทางการเลย

ดังนั้นจึงเห็นได้ว่าในระยะหลังนี้เงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) จึงไหลเข้าประเทศไทยในสัดส่วนที่ลดลงอย่างมาก กล่าวคือในช่วง 2001-2005 เงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศที่ไหลเข้ามาในประเทศไทยนั้นคิดเป็นสัดส่วนเท่ากับ 44.2% ของ FDI ทั้งหมดที่ไหลเข้ามาในกลุ่มอาเซียน แต่สัดส่วนนี้ลดลงเหลือ 25.1% ในช่วง 2006-2010 16.3% ในช่วง 2011-2015 และ 14.2% ในช่วง 2016-2018 ในขณะเดียวสัดส่วนของ FDI ที่ไหลเข้าไปในประเทศเวียดนามเพิ่มขึ้นจาก 12.3% ในปี 2001-2005 มาเป็น 24.8% ในปี 2016-2018
.
.
4.หากไม่มียุทธศาสตร์ที่ชัดเจน อนาคตก็จะมีแต่ความถดถอย

ดังนั้นการฟื้นตัวของประเทศไทยจึงไม่ใช่การรอให้มีวัคซีนป้องกัน COVID-19 และหวังว่าเศรษฐกิจจะกลับไป “ดีเหมือนเดิม” เพราะเดิมทีนั้นก็มีปัจจัยพื้นฐานที่มีความเปราะบางอยู่ก่อนแล้ว แต่การระบาดของ COVID-19 ทำให้หัวจักรที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยตัวสุดท้ายคือการท่องเที่ยวถูกทำลายลงอย่างที่จะเรียกกลับคืนมาไม่ได้เพราะโลกได้เปลี่ยนไปแล้ว

ตัวอย่างเช่นการท่องเที่ยวและการเดินทางเพื่อทำธุรกิจ คงจะไม่ฟื้นตัวกลับมาเหมือนเดิมเพราะเทคโนโลยีพัฒนาไปอย่างรวดเร็วในการช่วยให้มนุษย์ปรับพฤติกรรมในการทำงานและการใช้ชีวิตโดยไม่ต้องเดินทางมากเหมือนเดิม ดังนั้นโครงสร้างและทรัพยากรทางเศรษฐกิจของไทยที่มีเอาไว้รองรับนักท่องเที่ยวปีละ 40 ล้านคนนั้นจะไม่สามารถสร้างรายได้ที่คุ้มค่าได้เหมือนเดิม
.
.
ความจำเป็นในการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจไทยเพื่อให้ประชาชนคนไทยมีโอกาสในการประกอบและขยายธุรกิจตลอดจนการสร้างงานที่มั่นคงและมีรายได้สูงนั้น จำเป็นจะต้องมีความชัดเจนว่าเศรษฐกิจไทยจะปรับตัวและปรับโครงสร้างไปในทิศทางใด ซึ่งในส่วนนี้ควรต้องระดมสมองและรวบรวมความรู้และความสามารถของทุกภาคส่วนมาหาข้อยุติร่วมกันในการกำหนดยุทธศาสตร์ทางเศรษฐกิจของประเทศไทยที่มีความชัดเจนและที่สำคัญคือต้องมีแนวนโยบายและการกำหนดงบประมาณและเป้าหมายที่ชัดเจนจากภาครัฐว่าจะต้องการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยไปในทิศทางใด

ตัวอย่างเช่นยุทธศาสตร์ของชาติอาจตั้งอยู่บนสมมุติฐานว่าประเทศไทยยังต้องพึ่งพาเศรษฐกิจโลกในการพัฒนา จึงไม่สามารถ “ปิด” ประเทศได้ แต่ในขณะเดียวกันก็ยอมรับว่าไทยไม่มีศักยภาพด้านอุตสาหกรรมประเภทที่ต้องใช้เทคโนโลยีขั้นสูง อย่างไรก็ดีคนไทยมีศักยภาพด้าน high-touch จึงมีความได้เปรียบในการทำธุรกิจบริการต้อนรับ (hospitality) ทำให้ต้องยึดโยงกับกิจกรรมด้านการให้บริการ แต่จะต้องเป็นการให้บริการที่มีส่วนของกำไรสูงและสามารถกำหนดค่าบริการได้ (pricing power)เช่นการให้บริการแบบ Medical Tourism และการเป็นที่พักผ่อนระยะยาวของผู้สูงอายุที่มีรายได้สูง (high-end semi-retirement home and services)เป็นต้น
.
.
นอกจากนั้นประเทศไทยก็ยังมีศักยภาพอย่างมากในการผลิตสินค้าเกษตรและอาหารในเชิงปริมาณ (ไทยเป็นประเทศที่มีการส่งออกสินค้าเกษตรสุทธิมาโดยตลอด) แต่ในด้านคุณภาพนั้นยังมีข้อจำกัดอย่างมาก เช่นการค้นพบสารตกค้างที่เป็นพิษเป็นจำนวนมากในผักผลไม้ประเภทต่างๆ ดังนั้นจึงต้องรีบนำเอาเทคโนโลยีและความรู้มาพัฒนาเกษตรกรรมของประเทศให้มีคุณภาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการผลิตอาหารที่รับประกันว่า Organic

และ การใช้เทคโนโลยีมาพัฒนาการเกษตรแม่นยำ (precision agriculture) เพื่อพัฒนาหน้าดินให้ปลูกผักผลไม้ให้ได้ผลผลิตคุณภาพสูงในปริมาณที่สูงและมีเสถียรภาพ โดยใช้ปุ๋ยเคมีและยากำจัดวัชพืชให้น้อยที่สุด เพื่อให้เป็นอาหารที่มีความปลอดภัยและได้รับความน่าเชื่อถือไปทั่วโลก การขับเคลื่อนทั้งด้านการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพและการผลิตอาหารที่ปราศจากสารเคมีเจือปนนั้นจึงอาจเป็นยุทธศาสตร์ทางเศรษฐกิจที่จะปฏิรูปประเทศไทยจากประเทศกำลังพัฒนาที่ผลิตสินค้าอุตสาหกรรมราคาถูกไปเป็นประเทศที่มีชื่อเสียงการขายบริการที่ครบถ้วนในการพัฒนาคุณภาพชีวิต (Wellness Economy)เป็นต้น
.
.
ศุภวุฒิ สายเชื้อ : CARE คิด เคลื่อน ไทย
amornkowa
Verified User
โพสต์: 2195
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 3405

โพสต์

จากบทวิเคราะห์ของดร ศุภวุฒิ สายเชื้อ ประกอบกับ
MSCI EM ลดสัดส่วน ลงทุนในหุ้นไทยจากปีนี้ 1.7% เหลือ 1.4%ใน พค ปี2564
ดังนั้น ใครถือหุ้นใหญ่ในSET50 ต้องระมัดระวังมากขึ้น
มีโอกาสถูกลดสัดส่วน โดนการเทขายจากต่างชาติ

ดังนั้นเป็นหน้าที่ของนักลงทุนที่จะวิเคราะห์ว่า
หุ้นที่ถืออยู่เต็มมูลค่าหรือยัง
หรือมีหุ้นอื่นที่มีupside gainมากกว่า
ก็ถือเป็นโอกาสเปลี่ยนหุ้นด้วย
คุณไม่มีสิทธิ์ดูไฟล์ที่แนบมาในกระทู้
amornkowa
Verified User
โพสต์: 2195
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 3406

โพสต์

Company visit NER 17 ธันวาคม 2563 13.30-15.30
เมื่อวานได้พูดคุยกับคุณชูวิทย์ในงาน CV ของสมาคมเรา
เลยขออนุญาตมาแชร์ให้ห้องหาดใหญ่ครับ

คุณชูวิทย์ CEO เป็นผู้ตอบคำถามในงานนี้

Q&A

1.เห็นจากวีดีโอ บอกว่ายางคุณภาพจากบุรีรัมย์กับศรีสะเกษดีกว่า
ผมเกิดที่สุรินทร์ เลยสอบถามว่ายางจากที่นี่ไม่ดีใช่ไหม

ตอบ จริงๆถ้าอยากบอกว่ายางภาคอีสานคุณภาพดี แต่จะกระทบภาคใต้
พูดถึงยางแผ่นภาคอีสานสวยกว่าภาคใต้ ชาวบ้านใส่ใจทำ
เวลาให้ทำแผ่นเบอร์สาม เขาก็ทำตาม

แต่ภาคใต้ ไม่ค่อยฟังเมื่อเริ่มผลิตยางมาก่อน
จะทำที่เคยทำมา ซื้อเบอร์สามจะได้
เบอร์สี่ ห้า 20% ซึ่งจะต่างละlevelละ1บาท

ทำให้บริษัทเราได้วัตถุดิบยางแผ่นดิบที่มีคุณภาพดี
ยางก้อนถ้วย อีสานมีค่อนข้างเยอะ
ทำให้โรงงานสามารถซื้อวัตถุดิบได้เยอะ
ลานรมยางสามารถรมได้3,000ตัน ทำให้เก็บเข้าstockได้มาก

2.ถามเรื่องวัตถุดิบ จะขอรายละเอียดว่าแบ่งเป็นอะไรบ้าง
ตอบ เราใช้ตามกำลังวัตถุดิบ
ยางSTR20 =340,000ตัน ตามสัดส่วน
ปีหน้าจะผลิต410,000ตัน แต่เรามีกำลังการผลิตสูงสุดได้ 460,000ตันต่อปี
ยางแท่น 270,000ตัน และยางแผ่นรมควัน
และยางแผ่นcompound 140,000ตัน
ยางแผ่นรมควัน อิงกับล้อยางความเร็วรอบสูงๆ

3 แนวโน้ม การเพิ่มทุนแบบ PPเป็นอย่างไร
ตอบ ยังไม่สรุป ยังคงไม่มีPPเข้ามา แต่ไม่เร่งรีบ ถ้าไม่มี
AGMปีหน้า 20เมย ก็ขอใหม่

ต้องไปคุยกับลูกค้าที่จีน คนที่เข้ามาเป็นต่างประเทศที่จะพาเราไปหาลูกค้า
การพิจารณาให้PP คนที่จะได้ต้องหาลูกค้าให้เรา
เช่น ยกตัวอย่าง
ออสเตรเลีย ถ้าหาลูกค้า แผ่นยางปูให้วัว เราก็สนใจ

4.ปีนี้เลื่อนorder ไป มค 2564 =7,000ตัน

5.ช่วงนี้กำหนดราคายางยาก เพราะ ค่าเงินเเข็ง
ตู้ส่งสินค้าก็กำหนดราคายาก เราจะบวก กก ละ 1บาทเข้าไปในราคา
เพราะป้องกันการขาดทุน. ทำให้ขายของยากขึ้น

6.สอบถามรายละเอียดค่าขนส่ง
ตอบ ค่าขนส่ง inland ในประเทศคิดจากโรงงานไปท่าเรือ
และท่าเรือ ไปที่ลูกค้า
ปกติเราเป็นคนจัดการ ขึ้นกับการซื้อขายกับลูกค้า

ถาม สัดส่วน FOB : CIF เป็นอย่างไร
ตอบ CIF เยอะกว่า
เราไม่ได้กำไรจากค่าขนส่ง เพราะเป็นการบริการลูกค้า

7.สอบถามเรื่องปศุสัตว์ ที่เห็นในคลิปวีดีโอ
ตอบ ปศุสัตว์ทุกอย่างเครื่องจักรเสร็จใน Q2 64 แต่สัดส่วนรายได้ยังไม่เยอะ
ปี65เราจะส่งไปประเทศที่มีวัวนม และ มี FAกับไทยด้วย
Plan เครื่องจักร 500,000แผ่นต่อปี แต่จะขายเพียงครึ่งเดียวคือ 250,000แผ่น
ราคาขายแผ่นละ2500บาท
net margin 20% มีผลต่อNPพอสมควร
เป้าสุดท้าย 1ล้านแผ่นต่อปี

การลงทุนครั้งต่อไปจะไม่ถึง 210ลบ เพราะคร้ังแรก
เครื่องจักรตีcompound1ล้านแผ่นแล้ว
มีการsurvey demand เรียบร้อยแล้ว ถ้ามีเพิ่ม ก็เสียค่าแบบเพิ่มเอง

ปัจจุบัน มีการจดลิขสิทธิทางรูปลักษณ์ ต้องจดเสร็จจึงขายได้
ปีหน้า โรงงานแห่งที่สองมีการปรับปรุงเครื่องจักร
ทำให้กำลังผลิต เพิ่มอีก 50,000ตัน โดยสั่งเตาเพิ่มอีกหนึ่งชุด
จากเดิม3เตากลายเป็น4 ชุด เตามา ช่วง เมย 2564 และ เริ่มผลิตในQ3 64
เรามีกำลังการผลิตรวมเป็น 510,000ตันในปีหน้า

8.เรื่องแปรรูป ใช้ผลผลิตจากโรงงานใหม่

9.สอบถามเรื่องแผ่นปูให้วัวนอน
ตอบ ปกติวัวจะนอนในพื้นปูนเย็น จะทำให้เต้านมอักเสบ
แต่เราก็จะป้องกันในจุดนี้ โดยใช้แผ่นปูนอน

เวลาวัวลุกขึ้น ขาหน้าจะดันตัวเองขึ้น ทำให้หัวเข่าวัวเป็นเเผล
แผ่นปูนอนจะช่วยลดโอกาสเป็นแผลน้อยลง

อายุแผ่นใช้ได้นาน 4ปี จึงจะซื้อใหม่ แต่วัวในโลกมีเยอะมากไม่กังวลว่าจะขายได้น้อย
เครื่องจักรยังทำแผ่นปูนอนกับสัตว์อื่นเช่น แพะ

เจ้าใหญ่สุด คือเยอรมัน ขายแผ่นละ2,500บาท เราเลยกล้าตั้งราคาเดียวกัน
การเร่งการผลิต ช้าที่การทำเครื่องจักร8เดือน
ช่วงcovidทำให้ล่าช้า

10.โรงไฟฟ้า 2MW phaseแรก by AQUA Nichihara แต่ทำไม่ถึง100% ได้แค่70%
แต่ให้มหาวิทยาลัย ขอนแก่นมาช่วยทำให้ได้ไฟฟ้าครบ100%
ให้บริษัทชดเชยความเสียหาย 33.5ลบในQ1 64
และ สามารถประหยัดแก๊ซที่อบยาง
ได้เยอะถึง 70,000บาทต่อวัน

ประมาณปีหน้าจะผลิตใช้ไฟเอง ก่อนหน้าจะใช้กับโรงไฟฟ้าชุมชน
แต่ยังไม่มีTOR เลยผลิตไฟฟ้าใช้กับโรงงานตัวเองก่อน
ลดค่าไฟได้วันละ 2แสนบาท ปีละ 72 ลบ
คาดว่าจะได้ไฟ 3.4MW

ค่าเสื่อมที่ตัด direct cost ของสินค้า

11.claim ไฟไหม้ น่าจะไม่ทันเป็นรายได้ในq4 คงBookเป็นปีหน้า

12. Solar cell ลงทุนชุดละ 22.5 ล้าน ต่อmw. จะคุ้มทุนในสี่ปี เป็นturn key. ลงทุนรอบใหม่ลดลงเหลือ19ลบ
13.ของเสียจากการผลิต จะเป็นของที่ตกเกรด สามารถนำไปreprocess
ไม่มีของเสียออกจากโรงงาน ถือว่าเป็น Zero waste
เรามีปลูกหญ้าเนเปียร์ด้วย
กาก ไบโอแก๊ซ และ นำ้บำบัดน้ำเสีย นำไปใช้กับหญ้าเนเปียร์ ซึ่งเราไม่
เคยซื้อปุ๋ยเลย

14.โรงงานที่อยู่ในตลท ถูกบังคับให้ต้องมีการซื้อcarbon credit
ซึ่งเรามีพอดี

15. โรงงานมีstock 5แสนตันถือว่าเป็นปริมาณที่เหมาะสม
ถ้ามีมากกว่านี้ ก็จะโดน อบต หรือ หน่วยงานอื่น complain

ส่วนคนที่ขาย 70%มาจากอีสานล่าง บางส่วนมาจากสุราษฏร์
ใช้รถขนข้าวสารจากสุรินทร์ไปสุราษฏร์ นำยางกลับมาให้ที่โรงงาน
ค่าใช้จ่ายในการขนยาง เท่ากับ ขนมาจากอุบล

16.สอบถามว่า Supply มากกว่า demand กังวลไหม

ตอบ ปีนี้ Supply น้อยกว่า Demand
ยางขึ้นราคา
ปริมาณการใช้น้ำยางสดมาผลิตถุงมือยาง ตอนนี้เป็น 20%ของยางทั้งหมด
ปริมาณยางปี62 ห่างกันไม่เกิน 2%กับปี63
ปี62 ปริมาณถุงมือยางใช้ พอถึงปี63 แต่demand เพิ่มขึ้นจากCovid
ทำให้supplyน้อยลงเมื่อเทียบกับdemand

ราคายางที่เพิ่มขึ้น เราก็ใช้ระบบmatchingเหมือนเดิม

17. สอบถามว่า เราใช้ราคาตลาดไหนอ้างอิง
ตอบ ใช้ตลาดSICOMเป็นราคาที่อ้างอิง แต่ก็ดูตลาดเซี่ยงไฮ้ด้วย
แต่ตลาดโลกดูแค่SICOM
คู่แข่งจะเป็นindonesia
$ บาท แข็งกว่า อินโด STR20 เราขายpremiumกว่าอินโด ประมาณ 5%

18.เรื่องที่ตลาดconcern มีอะไรบ้าง
ตอบ
1.พึ่งพาคุณชูวิทย์คนเดียว แต่อายุ52ปีเอง
2.เหตุการณ์ที่กระทบโรงงานแบบปัจจุบันทันด่วน
เช่น Covid แต่เป็นบวกกับเรา
3.สิ่งที่มีปัญหาคือลูกค้าสั่งแล้วไม่เอาของ
แต่ปกติต้องมัดจำ20% โอกาสก็เคยเจอ
ราคายาง เดิม 170 ลงมา 100 ในเจ็ดวัน ก็เคยเจอลูกค้าทิ้ง

ตอนนั้นปี2008 ขาย 1,800$ ต่อตัน แต่ไม่ได้ใช้ยางตัวเอง
เลยไปซื้อน้ำยางข้นทางใต้ส่งไปที่จีน ตอนปี 2008
ซื้อ 2800 ขาย 2820 ในตอนแรก แต่ราคายางลง
สุดท้ายขายขาดทุน17 ลบ เพราะขายไปราคา2000$
ส่วนใหญ่ที่เบี้ยวจะเป็นเทรดเดอร์

19 งบ มีหนี้สินระยะสั้นเยอะ ถ้าบริหารไม่ทัน มีแนวทางจัดการอย่างไร
ตอบ เราซื้อ ขาย ของได้ เราหมุนเงินทุกวัน
เราไม่อยากมีหนี้สินระยะยาว ซึ่งต้องเสียดอกเบี้ย
เราใช้หนี้ระยะสั้นมาซื้อ หมุนผ่านธนาคาร เสียดอกเบี้ยนิดเดียว

โรงงานใหม่ แทบไม่มีloan มีแต่Working capital
หมุนเงินได้สองรอบกว่าต่อปี ดังนั้นเงิน 8,000ลบ น่าจะเพียงพอ
สำหรับยอดขาย 25,000ลบ ต่อปี

20.เราเป็นเจ้าใหญ่ที่ซื้อยางจากเกษตรกรในอีสาน
อีสานมียาง7ล้านไร่ แต่มีโรงงาน 20 โรง แต่ภาคใต้มีปริมาณต่อหน่วยเยอะกว่า
โรงงานเป็นร้อยโรง
เดี๋ยวนี้การตั้งโรงงานยางยากขึ้น เพราะประชาพิจารณ์ไม่ผ่าน ชาวบ้านไม่ให้สร้าง

21.ธุรกิจเก่า GP,NP จะอยู่ประมาณ 4-6%
ปีที่แล้วประมาณ4.6-4.8%
โรงงานใหม่ ทำให้ต้นทุนถูกลง เพราะFixed costเพิ่มไม่มาก ใช้
คนเงินเดือน 40,000บาทเพิ่มอีก4คน แต่ผู้บริหารเท่าเดิม
เลยมองว่าปีหน้ากำไรมากกว่า 4.8%

22.ยางลูกรีดใหญ่ขึ้นเป็น 32นิ้วจากเดิม 28นิ้ว
เราใช้shader หนึ่งตัว แต่เราเพิ่มอีกตัว ทำให้อบเร็วขึ้น จาก 7เป็น 5นาที
ทำให้เราสามารถเพิ่มกำลังการผลิตได้อีก

23.ตอนนี้เราเพิ่มกำลังการผลิตเต็มแล้ว 510,000ตัน สำหรับยางแผ่น
ขั้นตอนต่อไปคือการลดต้นทุน
แต่เครื่องจักรแผ่นปูนอน เราเซ็นกับ มอ ด้วยงบก้อนแรก5ลบ
มีวัสดุรับแรงกระแทกได้ดี โดยใช้ยางพารา
คล้ายAddidas เมื่อก่อนนำเข้าจากus ตอนนี้มาใช้กับโรงโม่หิน
ราคาขายถูกกว่า

24.พนักงานของNERเป็นคนไทย100% เป็นคนในสามอำเภอ เราจ่ายอัตราที่ดี
ทุกคนได้เงินตามผลผลิตที่ได้ ไม่ใช่เหมาจ่าย
ผู้ชายได้เงินเต็มที่ 800-1,200บาทต่อวัน เช่นหน้าเตา มีผู้ชาย 30คน
ทำงาน8ชม ได้ยางตามที่กำหนดได้ 850 บาทต่อวัน
ถ้าวันไหนมา25คน จะได้เงินเป็นพันบาทต่อคนต่อวัน

ยกเว้นmarketingเป็นคนไต้หวัน

25 สินค้าคงคลัง 3.5 เดือน เพราะเรารับorderมา 3-4เดือนล่วงหน้า
เพราะเรามีเงินสำรองได้ตามนั้น
ยางหมัก 1 เดือน แต่เราหมักสัก 2 เดือนกว่า เพราะเราขายล่วงหน้า 4-5 เดือน
ยิ่งหมักนาน คุณภาพก็ยิ่งดีขึ้น จะมีจุดขาวน้อยลง และหั่นได้ง่ายขึ้น
ใช้เวลาผลิต4-5 ชม และเก็บไว้อีก 2เดือนก่อนส่งมอบ
ดังนั้นรอบนึงใช้เวลา3.5เดือน ปีนึงหมุนได้สามรอบ

เครื่องตีcompound เรามาผลิตแผ่นปูนอนวัว ถ้าเราต้องการผลิต
สินค้าอื่นก็เพิ่มแค่แม่พิมพ์

26. ปีหน้าคาดว่าเราจะได้ CG score 4 ดาว
27. Partner ที่จะมาร่วมก็จะดูCG score ของเราด้วย มีมุมมองอื่นนอกจากขายสินค้าด้วย แต่หลักๆตอนนี้ก็เน้นให้partner ช่วยขายให้เราก่อน

28. ถุงมือยาง demandได้อีกสามปี หลังจากนั้น ทางบริษัทก็ต้องปรับตัวเพราะsupplyคงไม่ได้เพิ่ม แต่demandน่าจะเพิ่ม เพราะมาจากdemandยางรถเก่าด้วย
29. เรามีโรงงานเดียว เราป้องกันไฟไหม้ โดย แยก โรงงานแต่ละแห่ง เว้นระยะห่างมากกว่า5เมตร เสียค่าประกันน้อยมาก
30. หญ้าเนเปียร์ เรานำมาใส่บ่อไบโอแก๊ซ ได้ปุ๋ยไนโตรเจนกลับมาใส่บ่อ เราเลยขายCarbon creditได้
31. การทดสอบรอบแรก ของMichelin ไม่ผ่าน ซึ่งกองนานถึงครึ่งปี อาจจะไปอยู่นานเกินไป ตอนนี้เราได้ส่งตัวอย่างใหม่ให้แล้ว รอผลอีกที

ขอบคุณผู้บริหารที่มาตอบคำถามอย่างละเอียดครับ
amornkowa
Verified User
โพสต์: 2195
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 3407

โพสต์

Investment Trend 2021 โลกลงทุน หลังโควิด โดย ดร.ศุภวุฒิ สายเชื้อ
ที่ปรึกษากลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร

ภาพรวมเศรษฐกิจโลก

ฉายภาพรวมเศรษฐกิจโลกว่าระยะสั้น สถานการณ์ยังไม่ดีขึ้นแน่นอนเพราะโควิด-19ยังระบาดรุนแรงที่สหรัฐและยุโรป
และน่าจะต่อเนื่องไปถึงเดือนก.พ.2564เพราะหมดช่วงฤดหนาว ทำใหเ้ศรษฐกิจในครึ่งปีแรกยังเดินหน้า กระท่อนกระแท่น
ก่อนจะเริ่มเข้าสู่โหมดขับเคลื่อนอย่างมั่นคงในครึ่งปีหลังแทน

อีกทั้โลกยังเผชิญกับผลกระทบการขับเคลื่อนโยบายการคลังของสหรัฐที่เป็นช่วงผลเปลี่ยนถ่ายอำนาจหลัง ทรัมป์ไม่ยอมรับผลการแพ้การเลือกตั้ง
ของโจไบเดนส่งผลกระทบให้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าและค่าเงินบาทจะแข็งค่า
ยิ่งเป็นลมต้านของการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของไทยอย่างเปราะบางตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) บอกไว้
แต่ยังเห็นสัญญาณจากธนาคารกลางประเทศต่างๆประกาศพร้อมใช้นโยบายการเงินเข้ามาเสริมระหว่างที่มีสูญญากาศทางการเมือง ของสหรัฐ

สิ่งที่ต้องติดตาม

1.การฟื้นตัวของเศรษฐกิจเป็นไปอย่างยากลำบากและคาดว่าจะกลับมาสู่สู่ถานการณ์ดีขึ้นในช่วงปลายปี2564
แม้วัคซีนจะเริ่มออกมาใช้ภายในครึ่งปีหลังปีหน้า

2. การปรับโครงสร้างหนี้แลละการปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจประเทศ
จะเป็นอย่างไรต่อหลังธปท.ครบกาหนดให้สถาบันการเงินผ่อนปรนลูกหน้ีทำให้เกิดความไม่แน่นอนสูง
และส่งผลกระทบต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ.

ส่วนตลาดแรงงาน. ปัญหาคนตกงานหรือเปลี่ยนไปทำอย่างอื่น ซึ่งกระทบต่อกำลังซื้อโดยรวม ขณะที่รัฐบาลกำลังหามาตราการกระตุ้นเศรษฐกิจ
และกระตุ้นการบริโภคซึ่งยังไม่เห็นการขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่ชัดเจน

3. นโยบายเศรษฐกิจต่างๆ ระหว่างประเทศ โดยมี 2 เรื่องหลักคือ รอผลสรุป
เรื่อง RCEP ซึ่งคาดว่าจะผลประกาศในกลางปี2564 ทางด้าน CPTPP
ที่สหรัฐสนใจจะเข้าร่วมหลังไบเดนรับตำแหน่งประธานาธิบดี



ท่องเที่ยวไทยไม่เหมือนเดิมต้องเน้น Wellness Economy / Health Medical Tourism

หลังโควิด-19การท่องเที่ยวไทยจะไม่เหมือนเดิม จะกลับมาเหมือนปีที่แล้วยาก
คาดว่าปีหน้ามีนักท่องเที่ยวเพียงหกล้านคน
ดังนั้นต้องพยายามกระตุ้นการใช้จ่ายให้มากขึ้น เช่น health medical tourism,
Wellness economy


5 เรื่องที่ไทยควรปรับแก้

1. การท่องเที่ยวไทยตอ้ งเพิ่มมูลค่าและเพิ่มคุณภาพ Wellness Economy / Health Medical Tourism

2. ควรรีบประยุกต์เรื่องการใกล้เป็นสังคมผู้สูงอายุให้สอดคล้องไปกับเศรษฐกิจWellness Economy เช่น ทำอย่างไร
ให้ผู้สูงอายุมีสุขภาพที่ดีขึ้น หรือ ประชาสัมพันธ์ว่าถ้าต้องการมีสุขภาพดีขึ้น ให้อยู่ที่ไทย

3. การนำเรื่องเกษตรให้เกิดกลยุทธ์3เรื่องคือ
เกษตรเพื่อสุขภาพ
Smart Farming
การทำให้โลกมีความสะอาดมากขึ้น

4. อุตสาหกรรมรถยนต์ประเทศไทยควรปรับเข้าสู่การผลิตรถยนต์ไฟฟ้ามากขึ้น(EV)

5.ปรับเรื่องนโยบายพลังงานจากปัจจุบันพึ่งพาก๊าซธรรมชาต
จากเมียนมาและพลังงานนำ้ไปผลิตกระแสไฟฟ้าจากลาว
ภาพประจำตัวสมาชิก
romee
Verified User
โพสต์: 1850
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 3408

โพสต์

หุ้น SuperTrend จากสัมนางานของแมงเม่าคลับ โดยใช้ฐานข้อมูลก่อนปี2012
เป็นลักษณะหุ้นที่เป็นขาขึ้น (momentum) โดยส่วนใหญ่จะดูจากลักษณะราคา+mk cap+ลักษณะตลาดที่จะเจอหุ้นขาขึ้น โดยอาจจะรวมหุ้นปั่น และพื้นฐานรองรับ โดยถ้าเราเอาพื้นฐานมาจับด้วย ก็น่าจะลดความเสี่ยงที่จะเจอหุ้นปั่นได้ด้วย
ลักษณะการทำกำไรของพอร์ตแนวนี้ จะมีบางตัวที่ได้กำไรมากๆ จนกลบการขาดทุนหรือเสมอตัวของหุ้นตัวอื่นๆในพอร์ตได้หมด

หลักการหาหุ้นsupertrend ย้ำว่าข้อมูลเป็นช่วงก่อนปี2012
1.Size = 95%ของหุ้นที่เกิด supertrend มีมูลค่าซื้อขายโดยเฉลี่ยต่ำกว่า50ล้านบาทต่อวัน
หุ้นขนาดกลาง ขนาดเล็กการวิ่งขึ้นลง จะง่ายกว่าหุ้นในset50

2.ช่วงราคา = 95%ของหุ้นที่เกิด supertrend มีราคาต่ำกว่า20บาท สาเหตุเพราะช่วงราคายิ่งเยอะ gapของมันก็จะน้อย

3.ตลาดขาขึ้น = 80%ของหุ้นที่เกิด supertrend อยู่ในตลาดขาขึ้น
ส่วนตลาดขาขึ้นดูยังไง ในช่วงที่เป็นสัมนานี้คุณมดใช้ระบบ Peak n Trough หรือzigzag 1%
แต่หลังๆเท่าที่ตามอ่าน คุณมดใช้แค่ SETทำ new high ในรอบ20วัน ก็ถือเป็นช่วงตลาดขาขึ้นแล้ว

4. 2/3ของหุ้น super trend มีความแข็งแกร่งกว่าตลาด (relative streng)เมื่อแนวโน้มของมันเริ่มต้นขึ้น

5.Trend แนวโน้มที่แข็งแกร่ง มักจะดู ”แพง” และ “สูง”เกินไปอยู่เสมอ

6.99% ของหุ้นsupertrend ไม่เคยเกิด oversold ในขณะที่แนวโน้มกำลังดำเนินไป (RSI ไม่เคยต่ำกว่า30)
ค่าRSI=70 คือมีคน2/3เป็นฝั่งซื้อของหุ้นนั้นๆ
ค่าRSI=30 คือมีคน2/3เป็นฝั่งขายของหุ้นนั้นๆ

7. 100% ของหุ้นsupertrend ไม่เคยพักตัวเกิน3เดือน (หุ้นต้องทำnew highใหม่ โดยห้ามเกิน3เดือน)

ปล.1 relative strengh บทความแนะนำกับVI https://www.sarut-homesite.net/blog-20- ... -strength/

ปล.2สำหรับdelta และbay ในปี2020 ถือว่าเป็น Outlier 5%ของบทความข้างบนนะครับ 55555
104925.jpg
คุณไม่มีสิทธิ์ดูไฟล์ที่แนบมาในกระทู้
You only live once, but if you do it right, once is enough.
ภาพประจำตัวสมาชิก
AnieLee
Verified User
โพสต์: 1436
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 3409

โพสต์

ขออนุญาตแนะนำหนังสือ 2 เล่มพร้อมกัน ส่งท้ายปี 2563 ครับ ทั้งนี้เพราะเนื้อหาหนังสือสอดคล้องกันมาก โดยหนังสือทั้งสอง มีนักลงทุนชื่อดังของเมืองไทยแนะนำให้อ่าน ท่านแรกคือ พี่เว็บ แนะนำหนังสือ unlocking the customer value chain และ คุณแดม แนะนำหนังสือ platform revolution

หนังสือทั้งสองเล่ม ควรค่าต่อการอ่านมาก ยิ่งในยุคของการ Disruption เรายิ่งควรอ่านและทำความเข้าใจกับการเปลี่ยนแปลงของรูปแบบธุรกิจจาก pipeline เป็น platform, การค้นหาและสร้างมูลค่าของลูกค้า เป็นต้น keyword หลักของหนังสือ unlocking คือคำว่า decoupling มันเชื่อมโยงสื่อไปถึงกับคำว่า platform ในหนังสือ platform เช่นกัน เพราะเกิดการ decoupling จึงเปลี่ยนแปลงธุรกิจจาก pipeline ไปเป็น platform นั่นเอง

ขอข้ามการบอกรายละเอียดเนื้อหา เพื่อให้ทุกท่านอยากไปอ่านด้วยตนเอง ในหนังสือทั้งสองเล่ม เราจะได้เห็นตัวอย่างของธุรกิจหลากหลาย และยังสามารถเอาไปต่อยอดในการลงทุนหุ้นอเมริกาด้วย บางที สามารถเอาบริษัทตัวอย่างในหนังสือไปวิเคราะห์การลงทุน และไปลงทุนเลยก็ได้

จบด้วย คำว่า “ทุกท่านควรอ่านให้ได้ครับ ห้ามพลาด”
คุณไม่มีสิทธิ์ดูไฟล์ที่แนบมาในกระทู้
####################################################
ความสำเร็จจากการลงทุน ไม่ได้เกิดจาก "การซื้อของดี" แต่มาจาก "การซื้อของได้ดี" ต่างหาก
ภาพประจำตัวสมาชิก
ดำ
Verified User
โพสต์: 4214
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 3410

โพสต์

สวัสดีปีใหม่ครับ ทุกคน :D
กราฟที่มองไม่เห็นกับกราฟที่มองเห็น
amornkowa
Verified User
โพสต์: 2195
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 3411

โพสต์

สวัสดีปีใหม่ เพื่อนๆนักลงทุนในห้องหาดใหญ่ครับ
ขอให้สุขภาพและportแข็งแรงในปีนี้นะครับ
lekkyvi
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 2
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 3412

โพสต์

สวัสดีปีใหม่

ขอทุกท่านจงมีสติอยู่เสมอ เพื่อมีปัญญา นำพาการลงทุนและทุกด้านของชีวิตให้ก้าวหน้าตลอดไปนะครับ
amornkowa
Verified User
โพสต์: 2195
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 3413

โพสต์

ทฤษฎีลงทุน 10 เด้ง 'สถาพร งามเรืองพงศ์' เซียนหุ้นวัย 25 ปี
ตอนนี้พอร์ต10,000ลบใน10ปี ทำได้อย่างไรมาฟังแนวคิดตอ10ปีก่อนกันครับ

เจาะลึกเทคนิคลงทุน 'เซียนหุ้นวัยเบญจเพส' เจ้าของพอร์ตหลายสิบล้านบาท 'ฮง' สถาพร งามเรืองพงศ์ เล่นหุ้นให้ 'รวย' ต้องดูพื้นฐาน 70% เทคนิค 30%
ฮงคุยว่าเงินลงทุนของเขาเพิ่มขึ้นราวๆ 20 เท่า ภายในระยะเวลา 2 ปี (2552-2553) ขณะที่พอร์ตลงทุนขยายตัวประมาณ 40-50 เท่า ภายในเวลา 7 ปี (2547-2553) หลังประสบความสำเร็จอย่างแรงฮงพัฒนาตัวเองไปเป็น "วิทยากร" เล่าประสบการณ์เกี่ยวกับการลงทุน มีนักลงทุน "รุ่นพี่-รุ่นอา" จองที่นั่งเข้าฟังจำนวนมาก อีกทั้งนามแฝง Hongvalue ก็เป็นที่รู้จักกันอย่างดีใน "เว็บบอร์ด" แวลูอินเวสเตอร์
แม้ฮงแฝงตัวกลมกลืนกับแวลูอินเวสเตอร์ (VI) แต่เขาก็นิยามตัวเองเป็น "ลูกครึ่ง Value Investor"
"ผมจะลงทุนกึ่งแวลู จะผสมผสานระหว่างปัจจัยพื้นฐานและการวิเคราะห์ทางเทคนิค ซึ่งต่างจากนักลงทุน Value ทั่วไป แต่วันนี้มีนักลงทุน VI รุ่นใหม่ยึดแนวทางนี้เพิ่มขึ้น เพราะพิสูจน์แล้วว่าใช้ได้ผลดีมาก"
ฮงกล่าวว่า การจะซื้อหุ้นสักหนึ่งตัว นักลงทุนควรต้องดูทั้งปัจจัยพื้นฐานและกราฟเทคนิคควบคู่กันไป เพราะการดูกราฟย้อนหลังจะทำให้เห็น Demand และ Supply ของหุ้นในอดีต ที่สำคัญจะเห็นจุด "นิวไฮ" ของหุ้นด้วย
"สิ่งหนึ่งที่ผมไม่เหมือนนักลงทุนหุ้นคุณค่าทั่วไปคือ ผมยอมรับการขาดทุนได้บ้าง แต่ถ้าเป็นนักลงทุน VI แท้ๆ ต้องไม่มีคำว่า Cut Loss (ตัดขาดทุน) แต่ผมคิดแบบนั้นไม่ได้ตราบใดที่ยังชื่นชอบการเล่นหุ้นคอมมูนิตี้ (สินค้าโภคภัณฑ์) ที่สำคัญนักลงทุน VI จะไม่ดูกราฟดูปัจจัยพื้นฐานอย่างเดียว เขามองว่าดูกราฟเหมือนมองกระจกหลัง มันเกิดขึ้นไปแล้ว ไม่สามารถสะท้อนธุรกิจในปัจจุบันหรือในอนาคตได้"
สำหรับเทคนิคการลงทุนฮงจะเน้นดูปัจจัยพื้นฐาน 70% อีก 30% จะดูเทคนิเคิล และกราฟหุ้นย้อนหลัง หลายครั้งเขาบอกว่ากราฟหุ้น "ช่วยชีวิต" ไว้ ทำให้ไม่ต้อง "ขายหมู" (ขายถูก) ให้คนอื่น โดยเขายอมลงทุนเสียเงินปีละ 20,000 บาท ติดตั้งโปรแกรม APEX เพื่อดูกราฟราคาหุ้นโดยเฉพาะ
ยกตัวอย่างผลดีจากการดูกราฟ เช่น ราคาหุ้นทำนิวไฮ 10 บาท อยู่ดีๆ ลงมา 8-9 บาท แล้วซื้อขาย 8-9 บาทนานพอสมควร อยู่ๆ ก็วิ่งขึ้นไป 10 บาท โดยมีวอลุ่มเข้ามาเยอะมาก เหตุการณ์ลักษณะนี้ทำให้คิดได้ว่าบริษัทนี้ต้องมีอะไรเปลี่ยนแปลง "ผมก็จะเริ่มตรวจสอบข้อมูลทันที" บางครั้งฮงเริ่มแกะรอยจากหุ้นที่มี "วอลุ่มผิดสังเกต" จากนั้นก็จะคัดเลือกหุ้นที่ "สวย" (ผลประกอบการดีที่สุด) เข้าพอร์ต
สิ่งแรกที่ต้องทำคือการเลือกหุ้นที่ "เพิ่งทำจุดสูงสุดใหม่ของกำไร" และต้องอ่านเกมต่อไปว่า "ไตรมาสที่เหลือ" ของปีนั้นๆ ต้องสามารถรักษากำไรสุทธิระดับนี้(ดี) ได้ต่อเนื่อง ขั้นตอนจากนั้น ต้องเลือกหุ้นที่สามารถสร้างผลตอบแทนจากเงินปันผลประมาณ 6-7% ต่อปี และข้อสุดท้าย ต้องเลือกหุ้นที่ซื้อขายต่ำกว่า P/E ของกลุ่ม...เหล่านี้คือคุณสมบัติเบื้องต้นของหุ้นที่จะสร้างผลตอบแทนได้สูงจากการลงทุน
เมื่อได้หุ้นที่เข้าข่ายกำไรสุทธิทำจุดสูงสุดใหม่ จ่ายเงินปันผลสม่ำเสมอ และค่า P/E ไม่สูง (ราคาหุ้นยังไม่แพง) ได้แล้ว ฮงก็จะเริ่มปฏิบัติการวิเคราะห์เจาะลึก "งบการเงิน" ทันที โดยเน้นหนักไปที่ "กระแสเงินสด" ของกิจการ พยายามดูย้อนหลังให้ได้มากที่สุด
โดยเฉพาะในส่วนของความสามารถในการสร้างกระแสเงินสดของกิจการ (EBITDA) ต้องมีตัวเลขใกล้เคียงกับกำไรสุทธิ ขณะที่อัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E Ratio) ต้องไม่เกิน 1 เท่า และควรเป็นหนี้สิน (หมุนเวียน) ที่ไม่มีดอกเบี้ย
เท่านั้นยังวางใจไม่ได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ ฮงจะทำการวิเคราะห์ "โครงสร้างธุรกิจ" ผลิตภัณฑ์ตัวไหนที่ทำกำไรให้บริษัท รวมทั้งอ่านบทวิเคราะห์ของโบรกเกอร์ต่างๆ ที่เขียนถึงหุ้นตัวนี้ รวมทั้งค้นหาบทสัมภาษณ์ของผู้บริหารมาอ่านเพื่อให้แน่ใจว่าหุ้นที่จะวางเดิมพันราคาต้อง "วิ่ง" ชัวร์!
"ผมจะอ่านบทวิเคราะห์ต่างๆ ที่โบรกเกอร์ส่งมาในอีเมล์ทุกเช้า รวมถึงอ่านบทสัมภาษณ์ผู้บริหารเพื่อให้เห็นทิศทางของบริษัท ส่วนใหญ่จะใช้เวลาศึกษาหาข้อมูลก่อนตัดสินใจลงทุนเพียง 2 วัน"
เมื่อหาข้อมูลครบถ้วนแล้วก็จะเริ่มทำ "ประมาณการผลประกอบการล่วงหน้า" เพื่อประเมินราคาที่เหมาะสมในอนาคต สำหรับวิธีการเข้าเก็บหุ้นจะใช้สูตร 30:30:30:10 ซื้อแล้วหุ้นขึ้นถึงซื้อ "สเต็ปที่สอง" "สเต็ปที่สาม" และ "สเต็ปที่สี่"
หมายความว่าซื้อครั้งแรก 30% สเต็ปที่สอง (อีก 30%) จะซื้อเพิ่มก็ต่อเมื่อราคาหุ้นขยับตัวเพิ่มขึ้น 7-8% ถ้าซื้อ 30% แรกแล้วราคาไม่ขึ้นก็จะรอไปก่อน "ยังไม่ซื้อ" ตรงกันข้ามถ้าซื้อแล้ว 30% ราคาหุ้นปรับตัวลดลง 8% ก็จะ Cut Loss (ตัดขายขาดทุน) ทิ้งทันที ถ้าทิ้งไว้นานเดี๋ยว "ออก(ของ)ไม่ได้"
เทคนิคที่ทำให้พอร์ตโตเร็ว 20 เท่า ภายในระยะเวลา 2 ปี (2552-2553) เวลาตลาดหุ้นอยู่ในภาวะ "กระทิง" หรือ "ขาขึ้นใหญ่" และมั่นใจหุ้นสุดๆ เขาจะใช้ "เงินกู้มาร์จิน" เพิ่มพลังบวกให้กับพอร์ต
ทุกวันนี้ศูนย์บัญชาการของฮงอยู่ที่บ้านแล้วสั่งซื้อขายทางอินเทอร์เน็ต ที่บ้านย่านพระราม 2 จะกั้นห้องไว้สำหรับนั่งดูหุ้นโดยเฉพาะภายในมีทีวี LCD 60 นิ้วตั้งอยู่กลางห้อง กิจวัตรประจำวันฮงจะตื่นนอนมานั่งในห้องนี้ตั้งแต่ 9 โมงเช้าแล้วอ่านข้อมูลทุกอย่างเริ่มตั้งแต่บทวิเคราะห์ หนังสือพิมพ์ เข้าเว็บบอร์ด Thaivi.org เหตุที่ซื้อขายผ่านอินเทอร์เน็ตเพราะเสียค่าคอมมิชชั่นเพียง 0.1% ถ้าโทรศัพท์สั่งผ่านมาร์เก็ตติ้งต้องจ่าย 0.15% (รายย่อยต้องจ่าย 0.25%)
"โดยปกติผมจะปรับพอร์ตลงทุนทุกไตรมาส (3 เดือน) เพราะสถานการณ์มักมีการเปลี่ยนแปลง ทุกครั้งที่งบการเงินประจำไตรมาสออก ผมจะนำข้อมูลที่ผู้บริหารบอกผ่านสื่อกับบทวิเคราะห์ของโบรกเกอร์มานั่งคำนวณตัวเลขผลประกอบการในไตรมาสถัดไป"
อีกหนึ่งปัจจัยความสำเร็จฮงจะ "เล่นหุ้นเป็นกลุ่ม" ประมาณ 7-8 คน เทคนิคการเล่นจะคล้ายๆ กัน พวกเขานัดเจอกันที่ "สโมสรทหารบก" ทุกๆ 2 สัปดาห์ ไม่วันเสาร์ก็วันอาทิตย์ เว้นว่าช่วงไหนตลาดหุ้นดีๆ ก็จะเจอกันสัปดาห์ละครั้ง กิจกรรมที่ทำจะเช่าห้องฉายโปรเจ็คเตอร์เพื่อแชร์ข้อมูลกัน คนไหนถนัดดูกราฟก็จะมาบอกว่าเส้นกราฟเทคนิคหุ้นตัวไหนสวย ใครถนัดพื้นฐานก็จะนำข้อมูลมาเล่าสู่กันฟัง
ส่วนการซื้อขายแต่ละคนจะตัดสินใจเอาเองไม่ค่อยบอกกัน ถ้ามีหุ้นตัวไหนเข้าตาฮงชอบสั่งซื้อหุ้นวันจันทร์ ซื้อเสร็จไม่เคยกำหนดว่าต้องถือยาวหรือสั้น ทุกอย่างขึ้นอยู่กับสถานการณ์จะเป็นตัวบอก แต่เขาจะเตือนตัวเองเสมอว่า "เล่นหุ้นต้องเล่นแบบ "ไร้ใจ" ถ้าใช้อารมณ์เล่นหุ้น (รัก-โลภ-โกรธ-หลง) มีโอกาสขาดทุนสูง ผมจะพยายามคิดเสมอว่าหุ้นตัวนี้ไม่ใช่ญาติเรา ไม่รัก ไม่เกลียด"
ในยามที่ตลาดหุ้นไม่น่าไว้วางใจฮงจะเล่นหุ้นด้วยบัญชีเงินสด ปัจจุบันซื้อขายประจำอยู่ที่ บล.เคทีซีมิโก้ ตามมาร์เก็ตติ้งคู่ใจย้ายมาจาก บล.พัฒนสิน
ล่าสุดในพอร์ตมีหุ้นอยู่ 3 ตัว ได้แก่ BCP ต้นทุน 21 บาท มองว่าหุ้นบางจากราคายังต่ำกว่าปัจจัยพื้นฐานมาก ถ้าผลประกอบการไตรมาส 2 ออกมาสวยเหมือนไตรมาสแรก ก็อาจปรับราคาเป้าหมายขึ้นไปอีก บางจากถือเป็นหุ้นโรงกลั่นตัวเดียวที่มีค่า P/BV ต่ำที่สุด
อีกตัวที่ลงทุนอยู่คือหุ้น HEMRAJ ซื้อมาได้เดือนกว่าๆ แล้ว ต้นทุนแถว 2.10 บาท ชอบเพราะปี 2555 จะมีรายได้จากธุรกิจโรงไฟฟ้าทำให้บริษัทมีความมั่นคงมากขึ้น และหลังเกิดสึนามิทำให้ญี่ปุ่นต้องย้ายฐานการผลิตมาเมืองไทย เหมราชก็จะได้ประโยชน์
ตัวสุดท้ายที่ลงทุนคือหุ้น CENTEL ตัวนี้ต้นทุน 7.30 บาท เก็บเพราะเห็นว่าผลประกอบการในไตรมาส 1 ปีนี้พลิกจากปี 2553 ขาดทุน 51 ล้านบาท มาเป็นกำไรสุทธิ 400 ล้านบาท ถือเป็นการทำนิวไฮในรอบ 5 ปี เพราะธุรกิจอาหารเติบโตมากขึ้น ธุรกิจโรงแรมก็ยังขยายตัวได้ดีอัตราการเข้าพักเพิ่มจาก 50-60% เป็น 70%
นอกจากหุ้นทั้ง 3 ตัวนี้แล้ว หุ้นตัวอื่นๆ ฮงบอกว่า ตอบตรงๆ ตอนนี้ยังหาตัวที่ถูกใจไม่เจอเลย วันนี้ยอมรับว่าสนใจลงทุนหุ้นต่างประเทศ แต่ยัง "เล่นยาก" เคยถามคนที่ลงทุน "หุ้นจีน" เขาบอกว่า "น่ากลัวมาก" บริษัทจีนมีการลงบัญชีไม่ค่อยโปร่งใสถ้าสุ่มสี่สุ่มห้ามีหวังขาดทุน ถ้ามีประสบการณ์แล้วเดี๋ยวจะมาเล่าให้ฟังอีกครั้ง
ถามว่าเคยคิดอยากเป็นเจ้าของบริษัทจดทะเบียนหรือไม่ เด็กหนุ่ม ตอบว่า แม้การซื้อหุ้นคือ "การซื้อธุรกิจ" แต่ไม่ได้หมายความว่าอยากเข้ามาบริหาร "ผมไม่คิดที่จะ “ผูกพัน” กับหุ้นตัวไหน แค่ต้องการเข้ามา “เสพสุข” (จากกำไร) เท่านั้น ได้ตามเป้าหมายแล้วก็จะไป"
ฮงเล่าว่า ตลาดหุ้นสมัยนี้คนอายุ 22-23 ปีขึ้นไป เข้ามาเล่นหุ้นกันค่อนข้างมาก จบปริญญาโทมาเล่นหุ้นก็มีเยอะ ส่วนตัวอยากแนะนำ "มือใหม่ที่เพิ่งหัดคลาน" ว่า ควรเริ่มลงทุนด้วยเงิน "ก้อนเล็กๆ" ก่อนสัก 100,000 บาท หากยังไม่รู้เรื่องอะไรเลย แล้วหุ้นที่ใช้ "ฝึกมือ" ควรเป็นพวกหุ้น "โรงไฟฟ้า-ค้าปลีก" เพราะธุรกิจเข้าใจง่าย ราคาหุ้นไม่ผันผวนมาก เมื่อมีประสบการณ์แล้วก็ค่อยขยับมาเล่นหุ้นยากๆ อย่างกลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์ ซึ่งหุ้นพวกนี้ถ้าจับจังหวะถูกจะได้กำไรเยอะ (รวยเร็ว)
"หุ้นกลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์ ผมจะถนัดกลุ่มอุตสาหกรรมประเภทแผ่นฟิล์ม สินค้าเกษตร กลุ่มอื่นๆ ยอมรับว่ายังไม่ค่อยชำนาญ"
ฮงย้ำว่า ข้อผิดพลาดของนักลงทุนจำนวนมากชอบซื้อหุ้นตามคำแนะนำของเพื่อน หรือซื้อตามโบรกเกอร์โดยที่คุณไม่รู้ข้อมูลอะไรเลย เท่าที่พบ 90% จะขาดทุน คนที่จะทำกำไรจากตลาดหุ้น (ยุคนี้) ต้องศึกษาหาความรู้ รู้ทุกซอกทุกมุมของหุ้น
"ผมโชคดีที่เล่นหุ้นตั้งแต่เรียนปี 1 ม.กรุงเทพ กว่าจะจับจุดได้ (รู้ความลับตลาดหุ้น) ใช้เวลานาน 2-3 ปี ผมจะยึดอาชีพนักลงทุนเลี้ยงตัวเองไปเรื่อยๆ ตั้งแต่เรียนจบก็ไม่เคยไปทำงานบริษัท ทุกวันนี้ผมมีเงินทำอะไรได้หลายๆ อย่าง อย่างที่เพื่อนๆ ไม่มี" เซียนหุ้นวัยเบญจเพส กล่าวทิ้งท้าย
เครดิต : เนชั่นกรุ๊ป
คุณไม่มีสิทธิ์ดูไฟล์ที่แนบมาในกระทู้
amornkowa
Verified User
โพสต์: 2195
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 3414

โพสต์

โจ ลูกอีสาน เขย่าพอร์ตลุยหุ้นใหญ่ จากรายการ Money Chat Thailand
Cr:Stock in trend
-----

พี่โจไม่รู้สึกหวั่นไหวที่ตอนนี้ตลาดกำลัง panic เรื่องโควิดโควิด ซึ่งที่จริงแล้วการลงทุนระยะยาวจะทำให้ประสบความสำเร็จมากกว่า โดยที่เราไม่ต้องสนใจความผันผวนระยะสั้น ซึ่งนักลงทุนส่วนใหญ่มักชอบซื้อตอนแพงแล้วไปขายตอนที่ panic แบบนี้ไม่น่าจะประสบความสำเร็จได้

ส่วนปี 2564 เศรษฐกิจก็ยังไม่ฟื้นมาก พี่โจให้ความเห็นว่าน่าจะกลับไปสู่ก่อนเกิดโควิดได้ แต่ไม่แน่ใจว่าจะขึ้นไปได้ต่อหรือเปล่า ต้องทำการบ้านหนักมากขึ้นเพื่อเฟ้นหาหุ้นที่ดี วัดกันที่มุมมองที่เฉียบแหลมในการซื้อหุ้น

ส่วนช่วงนี้ หุ้นมันเด้งกลับขึ้นมา 70-80% แล้ว มี upside เหลืออีกนิดหน่อย ซึ่งพี่โจคิดว่าเศรษฐกิจจะกลับมาปกติน่าจะปี 2565 พี่โจแนะนำว่าเวลาที่ซื้อหุ้นดีที่สุด คือ ตอนที่ทุกคนไม่กล้ามาก เหมือนฝุ่นตลบอยู่มองอะไรไม่ชัด เพราะว่าถ้ารอทุกอย่างชัดเจน เราจะซื้อไม่ทัน

ตอนนี้นักลงทุนสถาบันเข้ามาเป็นตัว lead ในตลาดอีกครั้ง ซึ่งหุ้นที่พวกเขาเลือกจะเป็นหุ้นขนาดกลาง-ใหญ่ มีสภาพคล่องสูงและเป็นหุ้นเติบโตด้วย การที่พี่โจมีมูลค่าพอร์ตเริ่มสูงมากจนไม่สามารถจะซื้อหุ้นเล็กได้ ทำให้พี่โจต้องโยกเงินจากหุ้นเล็กหลายๆตัวมาลงทุนในหุ้นกลาง-ใหญ่มากขึ้น ถือนานหน่อยและรอดูการเติบโตของบริษัท

พี่โจคาดหวังการเติบโตของกำไรในหุ้นกลาง-ใหญ่อยู่ที่ 15-20% แต่ขอให้ทำกำไรแบบนี้อย่างยั่งยืนด้วยจะดีกว่า

พี่โจแยกว่าถ้าหุ้นที่มี Market cap มากกว่าแสนล้านบาทเป็นหุ้นใหญ่ ส่วนหุ้นที่มี Market cap มากกว่า 1-2 หมื่นหุ้นจะถือเป็นหุ้นกลาง

-----

พี่โจมีความเห็นเรื่องหุ้นกลุ่มท่องเที่ยวว่าน่าจะเป็นวิกฤติชั่วคราว แต่ก็ต้องดูว่าแม้ว่าธุรกิจจะรอดแต่ไม่รู้ว่าจะโตอีกหรือเปล่า หรือบางธุรกิจอาจจะตายไปเลยก็ได้เพราะทนวิกฤติครั้งนี้ไม่ไหว พี่โจจึงหลีกเลี่ยงหุ้นกลุ่มนี้ไปก่อน

พี่โจไม่ได้แยกชัดเจนว่าหุ้นไหนเป็น value stock หรือ growth stock แต่พี่โจมองว่าถ้าหุ้นตัวไหนมีราคาต่ำกว่ามูลค่าจะถือว่าเป็นหุ้น vi ทั้งหมดแล้วค่อยมาดูว่ามี growth หรือไม่ พี่โจบอกว่าหุ้นที่ growth ถือว่าเป็น value แบบหนึ่ง

พี่โจยังชื่นชอบหุ้นกลุ่มปล่อยสินเชื่ออยู่ บางตัวซื้อขายที่ P/BV ต่ำๆอยู่ ปันผลสูง

พี่โจให้ข้อสังเกตว่าช่วงที่เราจะเข้าไปเก็บหุ้น อาจจะเป็นตอนที่กองทุนขายออกมาจากเหตุการณ์ต่างๆที่ตกใจ จะทำให้เรามีโอกาสและต้นทุนที่ดีกว่ากองทุนได้นั่นเอง

พี่โจใช้ TFEX ในการทำ hedging มากกว่าการเก็งกำไร

-----

พี่โจทำสรุปผลตอบแทนปีนี้ชนะตลาด เนื่องจากพี่โจใช้วิกฤติโควิดเป็นโอกาสในการทำผลตอบแทนรอบนี้

การคิดและวางแผนตอนวิกฤติ เราจะไม่มีสมาธิเพราะตอนนั้นจะมีแต่อารมณ์เต็มไปหมด เราควรวางแผนและเตรียมตัวไว้ล่วงหน้าอยู่เสมอ

-----

พี่โจพูดถึงการซื้อหุ้นปันผลเหมือนการซื้อแม่ไก่แล้วรอออกไข่นั้นเป็นเรื่องที่ดี แต่ปัญหาของคนยุคนี้ คือ คนที่จะมาใช้กลยุทธิ์นี้ยังไม่มีความรู้ที่ลึกซึ้งมากพอ ดังนั้นพวกเขาอาจจะมาซื้อหุ้นปันผลสูงในบางปี แต่กำไรที่บริษัททำได้นั้นเริ่มแย่ลงเรื่อยๆจน capital gain ก็ลดลงด้วย อันนี้อันตรายมาก ซึ่งเราต้องประเมินให้ได้ว่าปันผลนี้จะได้สม่ำเสมอหรือไม่ กำไรที่บริษัททำได้จะยังดีสม่ำเสมอหรือเปล่า

พี่โจเน้นที่ capital gain มากกว่าปันผล เพราะว่าพี่โจอยากได้หุ้นที่มีการเติบโตอยู่เพื่อสร้างพอร์ต ซึ่งถ้าพอร์ตโตมากขึ้นเรื่อยๆ เงินปันผลที่ได้เล็กๆน้อยๆตอนแรก จะกลายเป็นเงินก้อนใหญ่ในเวลาต่อมา

Good dividend อยู่ใน good stock ได้ แต่สุดท้ายเมื่อปันผลสูงขึ้นถึงจุดหนึ่ง ราคาจะขึ้นตามเพื่อไม่ให้ปันผลมันสูงขึ้นมากกว่านี้

-----

การจะเป็นนักลงทุน เราต้องรู้จักชนะและรู้จักแพ้ให้เป็น ถ้าเรารู้ว่าผิดทางหรือผิดพลาด ก็ให้ยอมรับและตัดขาดทุนออกไป

ความผันผวน คือ เพื่อนของเรา เป็นสิ่งที่พี่โจอยากบอกไว้กับนักลงทุน VI เพราะฉะนั้นเราควรมี Mindset ที่ถูกต้องเกี่ยวกับการลงทุน

พี่โจใช้เวลา 7 ปีในการทำเงิน 8 แสนเป็น 10 ล้าน

เป้าหมายถัดไปของพี่โจในเรื่องการลงทุน คือ พัฒนาฝีมือการลงทุนต่อเนื่อง อยู่ในสนามที่ตัวเองถนัดและแบ่งปันเงินไปยังสังคมมากขึ้น เช่น จัดตั้งกองทุนเพื่อความมั่งคั่งหรือกองทุนเพื่อช่วยเหลือสังคมให้กับคนที่ไร้โอกาส

โชคดีอาจจะเกิดเป็นครั้งคราว แต่ฝีมือและทัศนคติที่ดีจะทำให้เราชนะตลาดได้ยั่งยืน วิธีการและวิธีคิดที่ไม่ถูกต้อง แม้ว่าอาจจะได้ผลที่ถูก แต่นั่นเป็นแค่โชคช่วยเท่านั้นเอง

-----

ขอบคุณคลิปการสัมภาษณ์จากรายการ Money Chat Thailand ครับ
amornkowa
Verified User
โพสต์: 2195
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 3415

โพสต์

กลยุทธ์การลงทุนในปี2564


ปีที่แล้ว ผลตอบแทนการลงทุนในตลาดหุ้นไทย
ผมโชคดีที่ชนะตลาดSET Total return ที่ติดลบ5% ไม่มากนัก
ซึ่งถือว่าเป็นปีแรกที่ชนะ หลังจากแพ้มาเมื่อปี2019

ปัจจัยที่ทำให้ชนะตลาดในปีที่แล้ว เนื่องจากการกระจายการลงทุนไปในหลายSector
(น้องทีน่า ก็เคยพูดเตือนว่า ลงทุนหุ้นเยอะไป จะกลายเป็นไม่โฟกัส แต่ก็ชื่นชอบหุ้นที่เราไปเยี่ยมชม ก็อดไม่ได้ที่จะลงทุน)
แต่โชคดีที่มีหุ้นบางตัวที่ปรับตัวขึ้นค่อนข้างมาก ทำให้พอร์ตโดยรวมชนะตลาด

ปีนี้ก็เริ่มศึกษาThemeการลงทุนของ นักลงทุนที่เรานับถือ เช่น อาจารย์นิเวศน์ อาจารย์ โจ ลูกอีสาน
น้องฮง สถาพร รวมถึง เพื่อนๆนักลงทุนที่เก่งๆหลายๆท่านเช่น นายกหลิน (หุ้นต่างประเทศ) น้องแดม (เทพหุ้นPlatform)
น้องตู้ (หุ้นเทคโน) น้องอ๋อง น้องเปี๊ยก (หุ้นสายเทคนิค) เซียนมี่ (หุ้นจีน) และอีกหลายคน พบว่า แต่ละคนก็มีสไตด์การลงทุน
ในหุ้นที่แตกต่างกัน ทำอย่างไรที่จะลงทุนในหุ้นคล้ายๆกับเขาได้บ้าง
ก็เลยมาถึงจุดที่ต้องแบ่งกลยุทธ์การลงทุน โดยศึกษาว่าปัจจัยที่ประสบความสำเร็จในการลงทุนมีอะไรบ้าง

ปัจจัยที่ทำให้ประสบความสำเร็จในการลงทุนมี3ปัจจัย

1. Asset allocation (จัดประเภทสินทรัพย์ในการลงทุน) มีผล 92%

2. Securities Selection (เลือกหุ้นหรือตราสาร) มีผล 5%

3. Market Timing (จับจังหวะลงทุน) มีผล 2%

ดังนั้น เราควรเน้นเรื่องการจัดสินทรัพย์ให้เหมาะสมกับเราเป็นอันดับแรก เช่น หุ้นกี่% ตราสารหนี้กี่% ตราสารทางเลือกกี่%

หุ้น ก็แยกออกมาว่า หุ้นไทยกี่% หุ้นต่างประเทศกี่%

หุ้นไทย ก็ศึกษาหุ้นแบบรายตัว แบบผสมระหว่าง Bottom up & Top down

หลังจากที่ได้คุยกับนักลงทุนหลายท่านในปีที่ผ่านมา ทำให้ตกผลึกความรู้ด้านลงทุนมากขึ้น
เช่น อาจารย์ โจ ลูกอีสาน ,น้องมี่ ทิวา , พี่พีรนารถ ,น้องอ๊อฟ ซั่มหุ้น,น้องป๊อบ เม่ากลับใจ และอีกหลายท่านที่ไม่ได้เอ่ยถึง
ก็ยังคิดว่า ยังมีโอกาสทำกำไรจากหุ้นไทยได้ ถึงแม้หุ้นไทยจะไม่เติบโต ได้ฟัง ดร นิเวศน์
พึ่งบอกวันนี้ว่าปีนี้เป็นปีของหุ้นวีไอ เลยมั่นใจมากขึ้นว่าปีนี้น่าจะยังมีหุ้นไทยที่ราคาไม่แพง ลงทุนได้อีก
และปีนี้ถ้าหลังจากCovidผ่านไป คงได้มีโอกาสไปCV และเขียนสรุปมาฝากอีกเช่นเคยครับ

ส่วนหุ้นต่างประเทศ ก็หันไปลงทุนผ่าน ETF ของหุ้นประเทศต่างๆ หรือ ลงในกองทุนรวมหุ้นต่างประเทศ
โดยเน้นลงทุนใน RMF เพราะเรามีลงทุนก่อนหน้าเพื่อลดหย่อนภาษีอยู่แล้ว ก็สามารถสับเปลี่ยนกองทุนเดิมมาลงทุนในกองหุ้นต่างประเทศ

วันนี้ฟัง ดร นิเวศน์ จากรายการMoneyTalk “Key takeaway กลยุทธ์วีไอ”
ก็บอกว่าหุ้นเวียดนามกำลังมา ดูกราฟราคา เริ่มขยับขึ้นจาก พย 2020 แล้ว
มีโอกาสกลับไปจุดเดิมที่เคยพีคในช่วงSubprime ก็หาETF เช่น VN Diamond ETF, E1VFVN3001 ลงทุน
ช่วงนี้ หุ้นเกี่ยวกับ การตัดต่อยีนส์ ก็เติบโตมาก ก็ไปดู ETF ของกลุ่ม ARK เช่น ETF ARKG ( ARK Genomic Revolution ETF )
รายละเอียดหาอ่านจากไอเดียหุ้นเด้งได้ครับ

หุ้นน้องแดม น้องตู้ ซึ่งเก่งในเรื่องหุ้นต่างประเทศ
ถึงเราศึกษาไม่ลึกเท่า แต่ก็ลงทุนเลียนแบบได้ อาจได้ผลตอบแทนไม่เท่า ก็พอใจในผลตอบแทนที่ได้รับ
โดยลงทุนผ่าน ETF QQQ(passive fund เกี่ยวกับหุ้นเทคโนในสหรัฐ หรือ กองทุน เช่น ONEUGG ที่ลงในหุ้นเทคโนโลยีทั่วโลก

ส่วนหุ้นตลาดเกิดใหม่ที่หลายๆกูรูมองว่าปีนี้น่าจะมา เช่น จีน อินเดีย เอเชียเหนือ ก็ไม่น่าจะพลาด โดยลงทุน
ผ่านกองRMFหลายๆที่ เช่น TMBCORMF สำหรับหุ้นจีน Ashare เป็นต้น

ส่วน commodity เช่น ทองคำ น้ำมัน ก็ลงทุนผ่านRMF ได้ ถึงจะเสียmanagement Fee แต่ก็สะดวกเวลาสับเปลี่ยนออก
ปีที่แล้วส่วนของcommodityก็ให้ผลตอบแทนค่อนข้างดี ปีนี้ทองคำก็น่าจะดีต่อ เพราะสหรัฐยังทำQEต่อเนื่อง
เงินเฟ้อ ทำให้คนไม่ถือ$มาถือสินทรัพย์เสี่ยง รวมถึงทองคำเพิ่ม

ตราสารหนี้ ก็มีไว้เพื่อสภาพคล่องเวลา ต้องใช้เงิน และมีดอกเบี้ยให้ทุกไตรมาส ซึ่งก็มีลงทุนในREITsเพื่อหวังปันผล
ใช้จ่ายระหว่างปีได้ และมีโอกาสลุ้นเด้งในปีนี้ด้วย

ช่วงนี้ยังต้องWFH และระวังCovid-19 ดังนั้น ก็ต้องมีประกันสุขภาพด้วยนะครับ
แต่จะลงธรรมดาก็ดูเหมือนไม่ใช่นักลงทุน ก็เลยลงทุนใน Unit Link ควบกับ ประกันสุขภาพเหมาจ่ายไปด้วย
ทำให้เราสามารถเลือกผลตอบแทนจากประกัน ด้วยการเลือกกองทุนที่เราชอบได้ด้วย
การเลือกกองทุนสามารถปรึกษาน้องโบ้ แฟนคุณทีน่าได้อีก

นึกถึงคำพูดนึงของอาจารย์ ชาย ว่า ระหว่างทางในการลงทุนต้องมีความสุขด้วย
ผมว่า การลงทุนแบบนี้ ก็น่าจะมีความสุขได้ครับ

ใครมีข้อคิดเห็นอย่างไรก็แลกเปลี่ยนกันได้ครับ
amornkowa
Verified User
โพสต์: 2195
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 3416

โพสต์

1ทศวรรษกับบทเรียนชีวิตที่เพิ่มขึ้น
ภาค1บทเรียนชีวิตในภาพรวม

เอก ธำรง

020164

-เกิดเป็นคนต้องสำส่อน

ดีกับทุกคนไม่มีเว้น เป็นการฝึกใจให้ดีกับทุกคนอย่างเท่าเทียมโดยไม่ยึดผลประโยชน์เป็นที่ตั้ง มองในแง่กรรมส่งผล ต่อให้มีคนสัดส่วนน้อยมากประทับใจในสิ่งที่เราทำในอนาคตอาจจะมีโอกาสช่วยเหลือเรากลับอย่างเต็มใจในเวลาที่เราคิดไม่ถึงก็ได้

-ใครดีกับเราให้จำ เราดีกับใครให้ลืม

คำพูดเจ้าสัวเทียม โชควัฒนาที่ผมนำมาใช้ในชีวิตบ่อยๆ ประเด็นคือเราต้องรู้จักความดีคน(คนที่ดีกับเราก็ประทับใจและมีโอกาสที่จะช่วยเหลือเกื้อกูลกันต่อๆไป)และคนส่วนใหญ่มีแนวโน้มไม่กตัญญู(แล้วเราก็จะไม่เครียด ทั้งยังได้บุญเยอะจากการทำบุญโดยแทบไม่หวังผล)

-อย่าใช้เหตุผลมากไป

สมัยเด็กๆแม้ผมจะมีเหตุผล แต่ก็เหมือนเด็กทั่วไปมีความเป็นศิลปินและเป็นตัวของตัวเองพอสมควร โตขึ้นมาอยากเก่งอยากสำเร็จก็มุ่งไปทางที่เน้นเหตุและผล อยากได้ผลลัพธ์อย่างไรก็ต้องสร้างเหตุอย่างนั้น พอฝึกไปเป็นสิบๆปี มันก็เป็นนิสัย อันนี้มีเพื่อนสนิทให้คำแนะนำมาว่าการใช้ชีวิตคู่บางครั้งเหตุผลก็ใช้ไม่ได้ซึ่งก็จริงเพราะมนุษย์เป็นสัตว์อารมณ์ บทสรุปของผมจนถึงวันที่เขียนคือต้องบาลานซ์เหตุผลและอารมณ์ให้ไปด้วยกันให้ได้แล้วแต่ช่วงจังหวะเวลาและกับใคร

-สุขนิยม

ตอนเด็กผมติดสบายครับแล้วยิ่งการเป็นลูกชายคนโตบวกกับการที่คุณพ่อไม่ได้รับความรักเท่าที่ควรเลยประเคนหลายๆอย่างตามใจลูกเต็มที่(แต่พอโตมาซัก 10 กว่าขวบคุณพ่อก็ไม่ได้สปอยล์นะครับแถมยังพูดตรงไปตรงมาแบบขวานผ่าซากทำให้ผมปรับปรุงตัวได้จนมีทุกวันนี้ จากไม่มีเพื่อนจนมีเพื่อนขนาดนี้) มีเพื่อนผมคนหนึ่งเคยพูดถึงผมในแง่นี้ช่วงม.ปลาย

แต่พอกาลเวลาผ่านไป ผมก็เป็นคนสุขนิยมขึ้นเรื่อยๆคือพยายามเน้นไปที่ความสุขไม่เน้นไปในพลังทางลบ หลายครั้งที่การอยากรู้เรื่องชาวบ้านของผมไม่ใช่เพื่อไปนินทาแต่เพื่อเป็นกรณีศึกษาเอามาปรับปรุงใช้ในชีวิตส่วนตัว (เอาไว้ถ้ามีเวลาอาจจะมีเผยเคล็ดลับการรู้เรื่องชาวบ้าน แต่เคล็ดลับหนึ่งคือต้องเก็บความลับให้เป็น)

หลายครั้งที่เวลาส่วนใหญ่ของเราหมดไปกับการพร่ำบ่น โทษคนโน้นคนนี้ ถ้าเราเปลี่ยนเวลาบ่น(ที่รวมๆกัน)ไปใช้พัฒนาตัวเอง คิดและทำในวิธีที่มีโอกาสจะไปในผลลัพธ์ที่เราต้องการ ชีวิตเราก็จะดีขึ้นเอง ในขณะที่การบ่นไม่ได้อะไรเลยแล้วยิ่งทำให้เสียอารมณ์ทุกครั้งด้วย

-คนเฮงซวย(คนไม่ดี)

สถิติส่วนตัวที่ผมเจอเกือบ 100%(แต่นึกๆดูอาจจะ100%) ของจำนวนคนเฮงซวย พอสนิทมากขึ้นๆมันต้องมีเรื่องปวดหัวตามมา ถ้าสนิทมากมีโอกาสเกิดเรื่องเดือดร้อนสูง บางครั้งการแสดงออกอย่างชัดเจนว่าเราไม่ชอบคนนี้อาจจะเป็นวิธีที่ดีก็ได้เพราะจะไม่มีเรื่องปวดหัวตามมาทีหลัง อีกวิธีคือไม่ต้องแสดงแล้วก็ไม่ค่อยเจอถ้าไม่จำเป็นอาจจะเป็นวิธีที่ดีกว่า แต่วิธีที่แย่ที่สุดคือเจอกันบ่อยๆดั่งเพื่อนสนิท อันนั้นจะมีเรื่องไม่ดีตามมาแน่นอนจากประสบการณ์ส่วนตัวและจากการสังเกตคนรอบข้าง

-คำพุทธทาส

คำหนึ่งที่ผมชอบคือ(จริงๆหลายคำ) ถ้าใครว่าเราแล้วมันเป็นเรื่องจริงเราต้องขอบคุณเขาเพราะมันทำให้เราปรับปรุงตัวและเป็นคนที่ดีขึ้นเก่งขึ้น แต่ถ้ามันเป็นเรื่องไม่จริงมันก็คือเรื่องไม่จริงเราก็ไม่ควรจะเครียดกับเรื่องที่ไม่จริง

-วินัยจอดรถข้างทาง

หลายครั้งเราด่าคนบางอาชีพเช่นนักการเมืองคนโน้นคนนี้ว่าจ้องแต่จะกอบโกย แต่พฤติกรรมคนทั่วไปมันก็เหมือนๆกัน การจอดรถในซอยขวางทางรถทุกคันจนกว่าเราจะขับรถเราออก มันก็คือการเบียดเบียนเหมือนกันไม่ต่างกัน หลายครั้งผมยังคิดถึงการตั้งด่านของตำรวจเลยว่าไม่ต้องตั้งด่านตรวจจับการทำผิดกฎจราจรแค่มาสุ่มตรวจจับรถที่จอดขวางทางในซอยหลักๆในเมืองไทยก็ไม่จำเป็นต้องไปตั้งด่านอย่างนั้นแล้ว

แล้วในสภาพที่คนไทยส่วนใหญ่ทนความไม่สะดวกสบายอย่างนี้ได้ แรงจุงใจในการไปจอดที่ที่ไม่รบกวนรถคันอื่นมันน้อย แต่ถ้าฝึกได้ก็ใจแข็ง ซึ่งผมคิดว่าเป็นนิสัยที่ควรฝึกมากๆสำหรับการเป็นนักลงทุนที่อยู่ในความเชี่ยวกรากทางอารมณ์ของตลาดเป็นประจำ หลายครั้งการทำในสิ่งที่คนไม่ทำอย่างมีเหตุผลโอกาสรอดอาจจะมีมากกว่า อารมณ์แบบมีใจทำบุญในจำนวนเท่ากันแต่มีอุปสรรคมากกว่ามันได้บุญมากกว่าเพราะมันอาศัยความพยายามมากกว่า

-ลองซื้อผลิตภัณฑ์หรือการบริการทั้งของถูกและของแพง

แต่ต้องช่างสังเกตอารมณ์แบบอยากทำธุรกิจของถูกและแพงแข่งกับยี่ห้อดังเพื่อเปรียบเทียบและเข้าใจว่ามันต่างกันอย่างไร แต่โดยสรุปแล้วคำพูดที่ว่าของแพงขายง่ายกว่าของถูกมันจริงเพราะการไต่ระดับจากมืออาชีพไประดับตำนานมันอาจจะ 80 ไป 95% แต่การจะไปแตะ 95 ได้มันยากจนมีคนทำได้ไม่เยอะ ทั้งยังได้กำไรดีกว่าตามธรรมชาติเพราะคู่แข่งน้อย หลายครั้งราคาที่ต่างกันหลายเท่า คุณภาพอาจจะไม่ได้ต่างกันขนาดราคาที่ต่าง แต่ที่มันต่างได้ขนาดนั้นมันมีเรื่องของอารมณ์มาเกี่ยวข้องสูงแล้วมันวัดได้ยากด้วย

-โคบี้ ไบรอั้น

การจากไปของนักบาสระดับตำนานคนนี้เป็นหนึ่งในเหตุการณ์ที่เสียใจที่สุดในปี 2020 ผมดูบาสตั้งแต่ตอนที่เขาเริ่มเล่นใหม่ๆ เป็นตัวอย่างของการตั้งใจเป็นระดับตำนาน สังเกตุการสัมภาษณ์ช่วงหลังก็เป็นลักษณะเติบโตอย่างสมบูรณ์มีความมั่นใจแบบไม่มีปมด้อย maturity เค้าฝันว่าอยากดังแบบเป็นวิล สมิธในโลกแห่งบาส สรุปสุดท้ายได้รางวัลออสการ์ด้วย เป็นตัวอย่างของคนมีความจดจ่อในสิ่งที่ทำและเอาจริงเอาจังจนเก่ง คิดถึงคำพูดพี่ยักษ์กับพี่ชายที่ว่าสิ่งที่คุณทำทุกวันนี้คู่ควรกับความฝันของคุณหรือยังกับนักลงทุนเฉือนกันที่รายละเอียด

-ออกกำลังกายสมอง

ถ้าการออกกำลังกายทำให้สังขารร่วงโรยช้าลง (อย่างการวิ่ง ผมอ่านดอกเตอร์ศุภวุฒิสายเชื้อมันไม่ได้ทำให้ข้อเข่าเสื่อมโดยท่านอ้างอิงบทวิจัยด้วยลองหาอ่านกันดูทาง Google)เลือดลมดีขึ้น

สมองก็คืออวัยวะ1ของร่างกาย แม้จะกินพลังงานในร่างกาย 10 เท่าของน้ำหนักตัวมัน(2%กิน 20%) ชีวิตผมเห็นทั้งคนสูงอายุทั้งคนอายุน้อยกว่าแต่ไม่พัฒนาตัวเองเลยไม่ได้ทำงานไม่ได้เจออุปสรรคชีวิต ความคิดและพฤติกรรมวนไปวนมาเหมือนๆกันอย่างเหลือเชื่อ ที่ผมเจออารมณ์เหมือนขั้นต้นของอัลไซเมอร์เคยบอกอะไรไปหลายครั้งก็จำไม่ค่อยได้ พลันคิดถึงผู้สูงอายุท่านหนึ่งที่ผมเจอฝึกสมองพัฒนาตัวเองตลอดเวลาความคมและความเข้าใจไม่ได้น้อยกว่าผมเลยด้วยซ้ำ

อีกอย่างที่ถามหมอแล้วได้คำตอบคือระหว่างกินยานอนหลับกับกินเหล้าจนมึนๆ ปรากฏว่าอย่างหลังทำลายสมองมากกว่า แต่ต้องกินจนมึนๆ

-ชื่อเสียงเพียงสายลม

ได้ไอเดียจากหนังสือเดล คาร์เนกี้ อีกหนึ่งศตวรรษก็ไม่มีใครจำเราได้แล้วคือถ้าไม่ได้ดังแบบสุดยอดจากที่ผมสังเกตมันก็จริง คาลวิน คูลลิจ ก็เป็นตัวอย่างหนึ่งที่คนส่วนใหญ่น่าจะไม่รู้จัก(อดีตประธานาธิบดีอเมริกา) อย่าฟุ้งซ่านกับความสำเร็จจนเกินไปนัก

-มั่นใจตัวเองแต่ไม่หลอกตัวเอง

การหลอกตัวเองเป็นความมั่นใจแบบกลวงๆ แต่ก็เป็นกลไกทางชีววิทยา ที่ทำให้มนุษย์ไม่เครียดจนเกินไปนัก สังเกตได้เลยว่าส่วนใหญ่คนมีปมด้อยในเรื่องไหนมักจะชอบอวดในเรื่องนั้น เช่นบางคนวัยเด็กขาดของเล่นโตขึ้นมาประสบความสำเร็จซื้อของเล่นเยอะกว่าปกติ (ซึ่งไม่ได้ผิดถ้าไม่ได้ไปเดือดร้อนใคร)

แต่ถ้าอยากประสบความสำเร็จในชีวิตมากขึ้นต้องรู้เท่าทัน พลาดต้องดูว่าพลาดสำเร็จต้องรู้ว่าสำเร็จอย่างไรพัฒนาตัวเองปรับปรุงแก้ไข ก็ทำเหมือนเดิมอย่างเก่งก็สำเร็จเท่าเดิมไม่มีทางสำเร็จมากขึ้น ดีไม่ดีโลกหมุนเร็วขึ้นความสำเร็จอาจจะน้อยลงเพราะเราก้าวช้า>โลก

-ไหว้เราได้เอง

เนื่องจากพระไม่ดีมีจำนวนมากดังนั้นไม่ควรไหว้พระไหม ประเด็นการไหว้คืออะไร?

มันคือการลดอัตตาตัวเอง ลองมีสติสังเกตจิตตัวเองดูก็ได้ครับว่าหลายครั้งที่ไหว้มันรู้สึกฮึกเหิมหรือน้อมต่ำลง

ส่วนตัวผมไหว้นะครับ เจอคนเฮงซวยก็ไหว้ แม้มันจะยากกว่าแต่ถ้าไม่ยากเราก็ไม่เก่งขึ้น (เป็นหลักเหตุและผลในเรื่องทำบุญเหมือนกันว่าการทำบุญเหมือนกันในสถานการณ์ที่ยากกว่ามันได้บุญมากกว่าเพราะอาศัยกำลังใจมากกว่า)สรุปผมทำเพื่อตัวเองครับ

-ทำงานเกินเงินเดือน
กรณีศึกษาทำงานแบบมักง่ายจนออกมาแบบหายคาใจ

ทำงานต้องเอาจริง ทำทุกอย่างให้เต็มที่วางแผนอย่างรอบคอบ หลังจากนั้นปล่อยวางเพราะทุกเรื่องมันมีปัจจัยประกอบเยอะแยะไปหมด

ช่วงก่อนลาออกจากงานหลายปี ผมทำงานแบบมีเป้าหมายระยะยาวไว้ว่าวันนึงก็ต้องออกเพราะอยากทำธุรกิจหรือลงทุนหรือทั้งคู่ไม่อยากเป็นลูกจ้างรักความอิสระ ตอนนั้นก็ทำงานแบบไม่เต็มที่สะสมมานาน โอเคมันก็เป็นแนวคิดเหมือนพนักงานทั่วไป แต่ถ้าผมอยากก้าวข้ามพนักงานทั่วไปผมต้องยอมรับความเป็นจริงและพัฒนาตัวเองให้มันเก่งพอที่จะก้าวข้ามไปได้

ผมก็รู้ว่าทำงานเต็มที่อย่างเก่งโบนัสมันก็ใกล้เคียงกันแม้จะได้รับ promote ตำแหน่งขึ้นเงินเดือนก็ไม่ได้ขึ้นเยอะซ้ำยังมีหน้าที่เยอะขึ้นมาก ทำไม่ดีการที่บริษัทจะเอาคนออกมันก็ไม่ง่าย (เลยมักง่ายไงครับ)

ผมเลยได้รับแรงกดดันจากบริษัทจนต้องพัฒนาตัวเอง ตอนนั้นก็คิดได้ว่าไปที่ใหม่ไปเลยเงินเดือนเพิ่มขึ้นแน่แล้วเริ่มต้นจาก + เพราะมีประสบการณ์ทำงานมาแล้ว มันดีแน่นอนในระยะสั้น แต่ถ้าทนทำอยู่ที่เดิมจากติดลบไปบวกมันใช้เวลาและความพยายามเพิ่มขึ้นแน่ แต่ข้อเสียมากๆเลยคือผ่านไปอีก 30 ปีผมจะต้องมานั่งครุ่นคิดถึงอดีตว่าที่ผมเคยมั่นใจถ้าเลือกทางยากแล้วมันจะสำเร็จอย่างที่มโนไหม มันอาจจะสำเร็จหรือไม่ก็ได้ แล้วคอนเน็คชั่นจากบริษัทเดิมทุกคนเค้าจะมองผมอย่างไรผู้แพ้ที่เอาตัวรอดอย่างมักง่าย สรุปผมเลือกทางยากแล้วก็ยากจริงๆ

สุดท้ายจบสวย (ถ้าไม่สวยคงเงียบเรื่องนี้ไปแล้วครับ55)คนที่เคยบ่นผมก็บอกว่าฝีมือการทำงานของผมควรจะได้รับการ promote นานแล้วแต่เหมือนทำแย่มาเยอะ ลูกค้าก็เสียดายที่ผมลาออก ช่วงวันท้ายๆความรู้สึกและฟีตแบคจากหลายๆคน ผมมีความสุขไม่น้อยกว่าการได้รับการ promote หลายขั้นเลย แล้วอีก 30 ปีไม่ต้องย้อนกลับมาคิดแล้วเพราะมันผ่านไปได้ด้วยดี ไม่ต้องมานั่งเสียดายย้อนหลัง

ปลายปี63มีนัดกินกับอดีตเพื่อนร่วมงานกลุ่ม1 มีคุยเรื่องลงทุนกับเพื่อนที่ทำงานเก่งคนหนึ่ง ผมบอกคนเราถ้าเอาจริงทำได้หมดแหละถ้าอยากจริงๆ ผมบอกโง่ๆอย่างผมยังทำได้เลย ประเด็นคือคำตอบของเพื่อนผมเค้าบอกว่าเป็นเพื่อนร่วมงานกันมานาน(น่าจะ7-8ปี) เค้าเห็นพัฒนาการของผมจากวันแรกถึงวันสุดท้ายเปลี่ยนไปมาก มันแสดงว่าการสะสมความสามารถจากการทำงานเกินเงินเดือนมันทำให้คู่ควรกับความสำเร็จที่มีมากขึ้นได้

-อย่าแคร์คนมากเกินไปแต่ต้องย้อนกลับมาทบทวนตัวเอง

อย่าสนใจว่าคนที่ไม่ชอบเราจะคิดกับเราอย่างไร ตราบใดที่เราทำในสิ่งที่ดีและไม่เบียดเบียนใครแต่ต้องแน่ใจว่าเราไม่หลอกตัวเอง

-ฟังทุกคนไม่เว้น

ทุกคนมีความรู้มากกว่าเราในบางเรื่องเสมอ การรู้จักฟังและกระตุ้นด้วยคำถามเป็นวิธีที่ดีในการเพิ่มความรู้ให้ตัวเอง โดยประหยัดเวลาไปมากกับการไปหาข้อมูลเอง

-อย่าประมาทกับสุขภาพฟัน

ตอนเด็กหมอฟันชื่นชมว่าสุขภาพฟันผมแข็งแรงดี ผ่านมา20+ ปีหมอบอกฟันแก่กว่าอายุ เหตุผลคือชอบเคี้ยวของแข็งเช่นน้ำแข็ง ขนมญี่ปุ่นเซมเบ้ก็ใช่ หมอฟันอธิบายว่ามันดูเหมือนการชอบเคี้ยวของพวกนี้มันกระทบไม่เยอะ แต่จริงๆมันเยอะแล้วคนก็ไม่ค่อยรู้ตัว ช่วงหลังพออุดฟันผมก็พยายามไม่เคี้ยวของพวกนี้(แต่ใจยังชอบเลยเคี้ยวแบบเบาไม่ให้กระทบ อย่างน้ำแข็งก็กัดแบบออกแรงเล็กน้อยแล้วให้มันละลายไปเอง) ปรากฏว่าจะต้องอุดฟันใหม่ปีละครั้งเพราะฐานฟันต่ำมาก ต่ำจนบางทีเคี้ยวข้าวที่อุดฟันยังหลุด สุดท้ายต้องครอบฟันด้วยทองคำ ตอนเด็กเคยเข้าใจผิดว่าคนที่ทำอย่างนี้เป็นพวกอวดรวย แต่พอเจอกับตัวเองเข้าใจเลยว่าคุณสมบัติทองคำคือมันมีความแข็งแรงและยืดหยุ่นจึงเหมาะสมในการครอบฟัน หลังจากนั้นปัญหาก็หายไปเยอะแต่หมอบอกว่าคุณสมบัติมันยังไงก็สู้ฟันธรรมชาติไม่ได้ สิ่งที่ทำเพิ่มขึ้นคือใช้ใหมขัดฟันเฉลี่ยสองวันครั้ง หลังจากนั้นปัญหาเรื่องเหงือกก็หมดไป

บทเรียนคือบางครั้งความประมาทหรือความไม่รู้ก็ทำให้ชีวิตแย่ขึ้นได้

-ออกกำลังกายขจัดลมพิษ

มีอยู่ครั้งหนึ่งผมไปเที่ยวอเมริกาเกือบสองอาทิตย์ และแน่นอนไม่ได้ออกกำลังกายแล้วไม่ได้มีเหงื่อเลยเพราะอากาศเย็นการเดินทางก็ใช้รถ ไม่ต้องพูดถึงการกินอาหารหลักหลักคือน้ำอัดลม แป้ง เนื้อ ผลที่ตามมาคือมีผื่นขึ้นมีเม็ดขึ้นตามผิวหนังบางส่วน กลับมาเมืองไทยใช้วิธีออกกำลังกายโดยเล่นบาสและวิ่งสวนในช่วงที่ค่าฝุ่นสูงในเมืองไทย หลังจากทำไปไม่เกินห้าครั้งผื่นและเม็ดหายไปอย่างน่าพิศวง ถือว่ายืนยันสมมุติฐานที่เคยคิดไว้ว่าการออกกำลังกายเป็นการขับสิ่งสกปรก ขี้ไคลทุกอย่างออกมาจากร่างกายทำให้ร่างกายสะอาดโดยอาจไม่จำเป็นต้องไปทาครีมบำรุงผิวพรรณจนมากเกินไปนัก

-อย่าอัตตาสูงสิ่งที่คิดว่าถูกอาจจะผิด

จีพีพี(ผลิตภัณฑ์มวลรวมในจังหวัด)ของภูเก็ตเกือบครึ่งมาจากการท่องเที่ยว ช่วงเดือน9/63มีข่าวชาวภูเก็ตจะร่วมกันโหวตว่าจะมีทราเวลบับเบิลไหม จากข้อมูลที่มีถ้าไม่มีการท่องเที่ยวตายแน่ผมเดาว่าเห็นด้วยแต่ผลลัพธ์ที่ตามออกมาคือไม่เห็นด้วย ทั้งที่ชาวภูเก็ตที่อยู่ในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวมีเยอะมาก ผมคิดเหตุและผลแล้วคิดว่าไม่น่าผิดแต่ก็ผิด แล้วความผิดพลาดอันนี้ทำให้ซื้อหุ้นเกี่ยวกับการท่องเที่ยวผิดจังหวะไปพอสมควร ผมไม่ได้คิดเผื่อเลยว่าจะผิดแต่ถ้าโอกาสผิดมันมีถึงระดับหนึ่ง สิ่งที่ควรทำมากกว่าอาจจะเป็นซื้อครึ่งหนึ่งเดือนกันยาแล้วช่วงเดือน 10 ถึง 11 ซื้ออีกครึ่ง แต่ก็ต้องยอมรับผลของมันถ้าเราผิด ซึ่งก็คือชาวภูเก็ตยอมรับทราเวลบั๊บเบิล ก็ต้องซื้อเพิ่มในราคาแพงเกิน เพราะภายในปลายปียังไงต้องมีข่าวดีเรื่องวัคซีนใช้ได้อยู่แล้ว ซึ่งผมมองว่าถ้ามีข่าวนี้แบบเป็นทางการหุ้นท่องเที่ยวขึ้นแน่เเล้วก็ขึ้นจริงๆ

ควรสำนึกไว้ตลอดเวลาว่าเราผิดได้ตลอด

-กระโปรง

ตอนเราใส่กางเกงคนบอกว่าเราใส่กระโปรงถ้าเราใส่กางเกงแน่ๆก็ไม่ต้องสนใจเพราะการที่ผู้คนกล่าวหาจะยังไงมันก็ไม่มีทางเปลี่ยนกางเกงเป็นกระโปรงได้

ภาค2จะเน้นไปที่ประสบการณ์&บทเรียนการลงทุนปี 2563 ขอดูฟีตแบคภาคหนึ่งก่อนถ้าน้อยกว่าที่คิดทั้งไลค์ทั้งแชร์ก็อาจจะไม่เขียนประสบการณ์และบทเรียนที่ตกผลึกมากขึ้นในปีที่ผ่านมา เพราะการเรียบเรียงประสบการณ์อันล้ำค่าใช้เวลาเยอะมากถ้าคนได้ประโยชน์ไม่เยอะ น่าจะเสียเวลาเปล่าในการเรียบเรียง สู้เก็บประสบการณ์ไว้ใช้กับตัวเอง
ดีกว่า

# สนใจสั่งซื้อหนังสือตามรูปโปรไฟล์อินบ็อกซ์มาได้ครับราคาปก 250 จ่ายเพียง 200 แถมส่งฟรี ไฮไลท์คือแชร์ประสบการณ์ลงทุนหุ้นเป็นตัวๆทุกปี รวมกัน 10 ปี ไม่ต้องไปโดนเองก่อนในตลาดหุ้น ลิงค์สรุปเนื้อหาหลักๆในหนังสือ

https://www.facebook.com/10224555446661 ... =n&sfns=mo

ชอบกดไลค์ใช่กดแชร์
ข้อมูลดีๆซ่อนอยู่ในคอมเม้นต์อย่าลืมอ่านกัน
ทุกไลค์ทุกแชร์ทุกคอมเม้นต์เป็นกำลังใจและสื่อให้ผมรู้ว่าคอนเทนท์ลักษณะนี้มีคนชอบกันขนาดไหน คอนเทนท์ลักษณะไหนไม่ค่อยนิยมจะค่อยๆหายไปครับ

VI Buffet byเอกธำรง #1ทศวรรษกับบทเรียนชีวิตที่เพิ่มขึ้นภาค1บทเรียนชีวิตในภาพรวม020164

ภาค2ตามlinkนี้ครับ

https://www.facebook.com/10224555446661 ... xtid=0&d=n
คุณไม่มีสิทธิ์ดูไฟล์ที่แนบมาในกระทู้
amornkowa
Verified User
โพสต์: 2195
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 3417

โพสต์

ภาค2ประสบการณ์&บทเรียนการลงทุนปี 2563
0164

ก่อนอื่นขอขอบคุณทุกไลค์ทุกเม้นทุกแชร์ โดยเฉพาะแชร์จากเพจ Seminar Knowledge by Amorn (สะกดเป๊ะตัวใหญ่ตัวเล็กถูกต้องหมด55)ซึ่งทำให้มีคนเข้าถึงบทความได้มากขึ้นอย่างมีนัยยะ ซึ่งส่งผลให้เกิดบทความนี้ขึ้น ไม่งั้นก็อาจจะไม่มีบทความนี้ก็ได้

เป็นมุมมองประสบการณ์ก่อนหน้าจนถึงปี 2563 หลายอย่างเขียนจากความจำข้อมูลไม่ถูกเป๊ะแต่ก็ประมาณนี้เข้าใจผิดแย้งได้เลยครับ

~2020past&present

1.ความแตกต่างของดัชนีตลาดหุ้นปี 2008 กับ 2020 ที่ผมเดาผิด

ลองอ่านบทความเก่าที่ผมเคยโพสต์ช่วงเดือน7ดูครับ

https://www.facebook.com/10224555446661 ... xtid=0&d=n

เศรษฐกิจแย่จริงๆตอนนั้นหลายสำนักคาดการณ์จีดีพีติดลบ 10% +/- ซึ่งดูแล้วเป็นไปได้มาก

จีดีพีไทยปี2019ประมาณ 16ล้านล้านบาท มาจากการท่องเที่ยวในประเทศ 1ล้านๆ ต่างชาติ 2ล้านๆ คนในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไม่ต่ำกว่า 1,000,000 คน รวมกับที่เกี่ยวข้องทางอ้อมมี3-4ล้าน โอกาสที่ชาวต่างชาติจะกลับมาท่องเที่ยวจำนวนมากๆภายในปี 2020 ก็มีไม่มาก (แต่ก็มีมาบ้างช่วงปลายปี)ยังไม่รวมการล็อกดาวหลายเดือน แล้วไหนจะการบริโภคของนักท่องเที่ยวอีก(10%ก็1.6ล้านๆบาท)

แค่นี้ความเป็นไปได้ก็สูงมากแล้ว

แต่ดูเหมือนคาดการณ์ในปัจจุบันจากหลายเจ้าจีดีพีน่าจะติดลบไม่ถึง 10%

เดาว่าจุดเปลี่ยนมาจากการกระตุ้นเศรษฐกิจจากเงินกู้ลอตใหญ่ของรัฐบาลโดยเฉพาะพวกคนละครึ่ง

กลับมาที่ตลาดหุ้นกลับเป็นคนละเรื่อง

ช่วงเดือน7ผมแอบคิดว่าอีพีเอสตลาดปี2020น่าจะอยู่ที่ 50 กว่า(แต่โพสต์ไว้เดือน7ว่า 60+/-)ซึ่งน่าจะดีกว่าสิ่งที่เกิดขึ้นจริง เพราะมีการคาดการณ์กันว่าจบปี 2020 ตัวเลขน่าจะอยู่ที่ประมาณ 47 ถึง 48

ผมเดาตัวเลขได้ใกล้เคียงความจริงแต่ผิดที่จิตวิทยามวลชน ตอนแรกยังมองเลยว่าดัชนีตลาดที่ 600+/-เป็นไปได้ (พีอีตลาด10จากอีพีเอสตลาดที่เดา60+/-) สถานการณ์ก็ดูแย่กว่าปี 2008 จริงๆ นักท่องเที่ยวเดินทางมาไม่ได้ พีอีตลาด<10ก็เป็นไปได้ ช่วงไตรมาส4ปี 2008 พีอีตลาดระดับนี้ก็เคยมีให้เห็น

ผมเลยเห็นด้วยกับมุมมองเซียนหุ้นหลายท่านที่ออกมาสัมภาษณ์ช่วงนั้นจากหลักคิดนี้ ผมยังเคยคุยกับเพื่อนเลยว่าวิกฤติครั้งนี้ดูง่ายกว่าปี 2008 คือมันแย่ทั้งปีแน่ๆ

สรุปเดาผิดครับ

ผมเลยมานั่งครุ่นคิดและสรุปเอาเองว่าปี 2020 มันต่างจาก 2008 ตรงที่ว่าวิธีแก้วิกฤติมันชัดเจนมาแล้วจบ(วัคซีน) แต่ปี 2008 หลังจากเลห์แมนล้มช่วงปลายปี ช่วงนั้นตลาดแตกตื่นกันใหญ่ หลังจากนั้นไม่นานเกินรออเมริกาอัดคิวอี น่าจะเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่อัดเงินเยอะขนาดนี้ (คุ้นๆว่าเคยมีการทำลักษณะนี้ในอดีตแต่ไม่มากเท่า)แล้วพอหลายอย่างมันชัดเจน(ตอนยังไม่ชัดก็งงงงกันอยู่ บ้างก็ว่าจะลงไประดับ 200จุดเหมือนช่วงต้มยำกุ้ง)หุ้นก็เริ่มขึ้นช่วงเดือนมีนาปี 2009 ทั้งที่จีดีพีเริ่มกลับมาดีช่วงปลายปี แน่นอนมีปัจจัยหลายอย่างในตลาดหุ้น สูตรสำเร็จในตลาดหายาก แต่ไม่ใช่ไม่มี แล้วอย่างนึงที่แน่นอนคือตลาดมองไปข้างหน้าเสมอ 3-6เดือนมี

แต่สิ่งที่เหมือนกันเปี๊ยบของ2ปีนี้เลยคือดัชนีตลาดลงหนักมากตอนที่คนกำลังตื่นตระหนกกัน แล้วมีคนกลุ่มใหญ่กลุ่มหนึ่งเลยที่คิดว่าต้องลงหนักกว่านี้อีก(ผมก็เป็นหนึ่งในนั้น)

จริงๆ 2020 กับ 2008 มันอาจจะเหมือนกันก็ได้ในแง่ที่ว่าวัคซีน=คิวอี ทางออกมันชัดเจน ตลาดมองเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นครั้งเดียว(วันไทม์) นึกไม่ออกลองคิดถึงหุ้นบางตัวก็ได้ครับที่ขาดทุนชั่วคราว ครั้งเดียว ถ้าทุกอย่างไม่เปลี่ยนแปลงหลังจากตลาดมีสติราคาก็จะกลับมา จากข้อมูลตอนนั้นวัคซีนน่าจะมากลางปีนี้แต่สุดท้ายมาตั้งแต่ไตรมาสสี่ปี 2020 แต่จากข้อมูลตอนนั้นอย่างเร็วตลาดหุ้นจะกลับมาดีก็ต้องมีต้นปี 2021 จากการคาดการณ์วัคซีนมาแน่ๆช่วงกลางปี2021 แต่เหลือเชื่อว่าหลังจากลงหนักมากๆช่วงเดือนมีนา แล้วยังไม่มีวี่แววว่าวัคซีนจะมาปลายปี 2020(อาจจะมีแต่ผมเข้าใจอย่างนี้ว่าอย่างเร็วกลางปี 2021) ตลาดก็ขึ้นหูตับตับไหม้ชนิดที่ว่าไม่เคยลงมาต่ำกว่าตอนนั้นอีกเลยตลอดทั้งปีแม้จะมีความผันผวนเป็นระยะ สมมติรู้ว่าวัคซีนจะมาปลายปีมันก็น่าจะเริ่มขึ้นช่วงเดือน5เดือน6

สรุปคำพูดที่ว่าอย่าเดาตลาดมันค่อนข้างจริง ไม่ว่าผมจะเดายังไงก็เดาไม่ออกเลยว่าหลังจากลงแหลกมันจะขึ้นแรงได้เร็วขนาดนั้น เพราะอย่าลืมว่าปีนี้ก็ยังมีหลายธุรกิจที่ยังไม่กลับไปเทียบเท่าปี 2019 ด้วยซ้ำ ต้นปีนี้ก็ยังเข้าใจอย่างนี้

2.บทเรียนที่แก้ไข

สิ่ง1ที่ผมจำได้ไม่มีลืมคือปี 2009 หายไปจากตลาดเกือบทั้งปี จากความเสียหายช่วงปี 2008 แล้วปรากฏว่าปี 2009 ผลตอบแทนดัชนีตลาดพุ่งขึ้นมา 60 กว่า%

บทเรียนที่ได้คือเศร้าได้ ท้อได้ แต่อย่าถอย ความผิดพลาดอย่างเดียวในครั้งนั้นคือเสียใจนานเกินไปจนไม่ได้เก็บเกี่ยวผลตอบแทนในปี 2009 อย่างที่ควรจะเป็น

มีเรื่องที่ทั้งควรเสียใจ&ดีใจในคราวเดียวกันคือปี 2019 ผมเจอหุ้นตัว1ถือเยอะแล้วไม่เป็นอย่างที่คาด แรงจูงใจในการลากชัดเจน มีการเตรียมการพอสมควร แต่สุดท้ายพื้นฐานมันไม่มาเลยต้องคัทลอส (ตอนผมสอนหุ้นสอนให้ลืมต้นทุนแต่ส่วนใหญ่ผมจำได้นะ55ประเด็นคือเมื่อรู้ตัวว่าคิดผิดหรือเจอตัวใหม่ที่น่าจะขึ้นมากกว่าต้นทุนห้ามเป็นหนึ่งในปัจจัยในการตัดสินใจ)

แต่สิ่งที่น่าดีใจคือใช้เวลาเสียใจไม่นานเกินไปน่าจะหลักอาทิตย์ และบทเรียนใหม่ที่ได้คือแรงจูงใจในการลากต้องมาพร้อมพื้นฐาน ยกเว้นกรณีถ้าจะลากแบบลากได้ พื้นฐานอาจจะไม่เกี่ยวขอแค่คนเชื่อกันว่ากำไรจะโตกระฉูดไปอย่างน้อยระยะ1 แล้วถ้าพื้นฐานก็มา มันนี่เกมก็มา หุ้นขึ้น Volume หายก็มา มาแค่สองในสามอย่างนี้ น่าจะมีเฮ(ไหม?)

3.ดวง

10 ปีที่ผ่านมาผมไม่สนใจดูดวงเพราะเชื่อว่าอดีตก่อเกิดปัจจุบัน(ซึ่งส่วนใหญ่พอจะเดาอดีตได้อยู่แล้วจากปัจจุบันที่เป็น) อยากให้อนาคตดีทำปัจจุบันให้ดี อยากได้อะไรก็ทำอย่างนั้น

ไม่กี่ปีที่แล้วมีเพื่อนผมที่เป็นนักลงทุนแล้วดูดวงแบบเก็บสถิติ เคยทายว่าดวงการลงทุนจะดีมาก แล้วก็ดีจริงๆ หุ้นเกือบทุกตัวที่มีเบรคนิวไฮได้เรื่อยๆ แล้วมีหุ้นตัวหนึ่งที่กลุ่มเพื่อนผมที่เก่งกว่าและมีกำลังเงินเยอะกว่ามีอยู่ก่อน ผมพูดเลยว่าถ้าตัวนี้ผมได้แล้วกลุ่มเพื่อนผมไม่ได้กันผมจะเริ่มเชื่อดวง สุดท้ายได้ และที่ไม่เหลือเชื่อเลยคือเป็นเหตุผลเดียวกับที่พวกเพื่อนผมคิดไว้ทุกอย่าง เพียงแต่ดันออกไปก่อนที่ราคาจะพุ่งไม่กี่เดือน

ช่วงดวงไม่ดีผลงานก็ไม่ค่อยดีแต่หลักคิดหนึ่งเลยคือห้ามนอนรอความตายเรียนรู้จากความผิดพลาดและแก้ไขซึ่งประสบการณ์ที่ผ่านมาจากข้อ2ผมน่าจะผ่านมันไปได้สบายๆ

จู่ๆก็คิดไอเดียดีๆออก

ปกติเวลาลงทุน ผมจะคาดการณ์ราคาหุ้นว่าจะไปเมื่อไหร่ เท่าไหร่ เพราะอะไร ดังนั้นเลยลองถามชะตาชีวิตช่วงนั้นนั้นมาเทียบกับไทม์มิ่งของหุ้นที่คิด แต่เอาจริงๆวิธีนี้การตัดสินใจซื้อขายหุ้นมันต้องมีสติต้องเทคแอ็คชั่นตามเหตุผลที่คิดล้วนๆ มันค่อนข้างจะเป็นเรื่องเฉพาะตัว เพราะส่วนใหญ่มันก็เป็นหนึ่งในปัจจัยการตัดสินใจในกรณีของหลายๆคน ช่วง1ที่ดูดวงแล้วไม่ค่อยดี ผมก็ไม่หยุดนิ่งซื้อหุ้นไป แล้วก็ได้เล็กน้อย ผมคิดว่าตัวเองไม่เอาตรงนี้มาตัดสินใจ(แต่อาจจะคิดผิดก็ได้55)

สรุปไม่ว่าชีวิตช่วง1จะแย่อย่างไรก็ห้ามนอนรอความตาย ทำปัจจุบันให้ดีอนาคตดีขึ้นแน่ มากหรือน้อยโชคชะตา กรรมดีที่ทำมามีผลแน่นอน แต่ถ้าไม่ทำอะไรเลยก็คงไม่ได้อะไร เหมือนเทวดาบอกเลขหวยรางวัลที่1แต่ถ้าเราไม่ไปซื้อมันก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น

ปล ไว้คอยดูในอนาคตอีกไม่นานไอ้ที่ว่าจะดีจนตัวเองตกใจ มันจะดีขนาดไหนและดีจริงไหมในตอนนั้น

4.เล่นสั้นได้หลายๆรอบก็10เด้ง

มีคนทักและเคยถามตัวเอง หุ้น 10 เด้งมีสองวิธีที่จะได้คือ ถือหุ้นตัวเดียวแล้วรอให้รายได้กำไรมันโตในระยะยาว ราคามันก็จะขึ้นไปเอง กับอีกวิธีคือเปลี่ยนหุ้นไปมาได้ทีละไม่กี่เปอร์เซ็นต์หลายครั้งเข้ามันก็ขึ้นไปหลายเท่าเอง

ส่วนตัวผมใช้วิธีที่สองแต่ไม่ใช่ในระยะสั้นมากระดับวันหรืออาทิตย์

ช่วงหลังบางตัวที่เห็นภาพใหญ่ชัดเจนและเข้าใจธุรกิจบริษัท บางทีรายงานประจำปีนี่ไม่อ่านเลยนะครับ แต่ประเด็นคือต้องจับประเด็นให้ออก มองภาพให้ชัด

กลยุทธ์ชีวิตส่วนตัวของผมคือยอมรับความจริงไม่หลอกตัวเองเลยคือเราเก่งด้านไหนไม่ถนัดด้านใด ผมเคยลองเดาภาพที่มันใหญ่ระดับหนึ่งหลายครั้งก็เดาผิด(ยังจำข้อหนึ่งได้ไหมครับ เดาถูกบางอย่างผิดบางอย่างแต่ผลลัพธ์ออกมาไม่เหมือนผลลัพธ์ที่คิดไว้คือตลาดลงเละเทะ)

การเป็นนักลงทุนที่สำคัญคือภาพใหญ่อย่าผิดบ่อยโดยเฉพาะภาพใหญ่ที่เราลงเงินในสัดส่วนที่เยอะ ภาพย่อยผิดบ่อยไม่เป็นไร

สำคัญอยู่ที่ว่าตอนได้ได้เท่าไหร่ตอนเสียเสียเท่าไหร่

อ้อ ปีนี้ชนะตลาดนะครับ

บทความเรียบเรียงไปๆมาๆใช้เวลาเกิน1ชั่วโมง และยาวมาก ถ้าดูแล้วผลตอบรับดี คงเขียนภาคจบซึ่งคือมุมมองกลุ่มหุ้นที่น่าสนใจมากในปี 2021 พร้อมหลักคิด ถ้า
ผลตอบรับดีมากอาจจะเขียนโบนัสวิธีหาหุ้นเด้งทั้งจากหุ้นทั่วไปที่รู้กัน(โดยเฉพาะกลุ่มนี้เลย)และหุ้นเทค

feedback เท่านั้นที่จะบอกว่ามีอีกบทความไหม

# สนใจสั่งซื้อหนังสือตามรูปโปรไฟล์อินบ็อกซ์มาได้ครับราคาปก 250 จ่ายเพียง 200 แถมส่งฟรี ไฮไลท์คือแชร์ประสบการณ์ลงทุนหุ้นเป็นตัวๆทุกปี รวมกัน 10 ปี ไม่ต้องไปโดนเองก่อนในตลาดหุ้น ลิงค์สรุปเนื้อหาหลักๆในหนังสือ

https://www.facebook.com/10224555446661 ... =n&sfns=mo

ชอบกดไลค์ใช่กดแชร์
ข้อมูลดีๆซ่อนอยู่ในคอมเม้นต์อย่าลืมอ่านกัน
ทุกไลค์ทุกแชร์ทุกคอมเม้นต์เป็นกำลังใจและสื่อให้ผมรู้ว่าคอนเทนท์ลักษณะนี้มีคนชอบกันขนาดไหน คอนเทนท์ลักษณะไหนไม่ค่อยนิยมจะค่อยๆหายไปครับ

VI Buffet byเอกธำรง #ประสบการณ์&บทเรียนการลงทุนปี 2563
amornkowa
Verified User
โพสต์: 2195
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 3418

โพสต์

กลยุทธ์วีไอ ตอนที่3 ในปี64
นพ พงศ์ศักดิ์ ธรรมธัชอารี
ดำเนินรายการ โดย อาจารย์ไพบูลย์ เสรีวิวัฒนา
และ อาจารย์ นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

อ นิเวศน์ ถามว่า ปีที่แล้ว เป็นอย่างไร
พี่หมอ เติบโตสองหลัก

ส่วน อ นิเวศน์ บอกว่า เจ็บในปีที่แล้ว หมายถึงเจ็บใจ
ปีนี้ ถามพี่หมอว่าปรับเปลี่ยนอย่างไรในปีนี้

พี่หมอ บอกว่า ผลจากแค่หนึ่งปี ไม่ได้บอกอะไร ไม่มีความหมาย
ต้องดูยาวๆไป ถึงแม้ดีมาหลายปีก็ตาม
ระยะยาว กลยุทธ์ส่วนนึง
มักจะมองไปข้างหน้าสามถึงสี่ปี
ถ้าบริษัทสามารถเติบโตได้ ก็ถือต่อ
หรือ ถ้าเจอบริษัทใหม่ที่ยังโตได้สามปี ก็ซื้อได้
บางบริษัทดูมีปัญหา ก็จะเปลี่ยนโดยขายไปซื้อตัวใหม่
โดย ถ้าบริษัทนั้นกลับมาเมื่อไหร่ ก็จะไปซื้อกลับมา

ปีที่แล้ว ถือหุ้นประมาณ 5-6 ตัว
ไม่ถือเพิ่มเพราะ ถึงแม้มีหลายตัว(10-15)อยู่ในwatch list
แต่ยังไม่น่าสนใจจะซื้อ อาจมาจากราคายังไม่ได้

อ ไพบูลย์ ถามว่า จะถือหุ้นเต็มพอร์ตใช่ไหม
พี่หมอ บอกว่า ปกติก็ถือเต็มพอร์ต รวมถึงณ ขณะนี้
บางครั้งก็อาจมีถือเงินสดบ้าง เพราะมีขายหุ้นบางตัวไป
และรอว่า ราคาได้เมื่อไหร่ก็จะซื้อกลับมา

อ นิเวศน์ ถามว่า มีไปถือหุ้นต่างประเทศหรือเปล่า
พี่หมอ ตอบว่า ไปซื้อกองทุนในเวียดนาม
ซึ่งไม่ใช่สไตด์การลงทุนของพี่หมอ
เพราะว่า มีอุปสรรคในการลงทุนในต่างประเทศ และไม่ได้ถือเยอะ
เลยซื้อผ่านกองทุนรวม เป็นการเรียนรู้มาระยะนึง
เริ่มจะเข้าใจ Frontier market ex Vietnam
ถ้าวันนึง ตลาดหุ้นไทย ไม่ดีเท่า ก็จะย้ายไปเวียดนามมากขึ้น
ส่วนหุ้นเทคในต่างประเทศ ราคานี้แพงไป เคยซื้อและขายไปแล้ว

อ นิเวศน์ ถามว่าปีน้ีหุ้นไหนน่าจับตามอง
พี่หมอ บอกว่า มีดูอยู่10-15 ตัว ที่เพิ่มmarket share ในขนาดที่ไม่โตมาก
หมายถึงมีroomที่สามารถเพิ่มmarket share
ถ้าดีกว่าตัวเดิม ก็จะเปลี่ยนไปลงตัวใหม่ในwatch list
กลุ่มน่าสนใจ คือ กลุ่มอาหาร ค้าปลีก ธุรกิจตัวแทน
ส่วนใหญ่จะเป็นบริษัทที่เริ่มกินmarket shareบริษัทอื่น
และต้องมีroomที่จะสร้างmarket shareได้อีก เช่น มีแค่10-15%
สามารถโตไปที่ 30-40% ได้ เป็นบริษัทที่น่าสนใจแล้ว
แต่ถ้าบริษัทไหนที่มี market share 70% แล้วก็โตตามตลาดจะไม่สนใจ
ดังนั้น ไม่ขึ้นกับว่า บริษัทเล็กหรือบริษัทขนาดใหญ่

อ ไพบูลย์ ถามว่า เน้นหุ้นวีไอ หรือ หุ้นเติบโต
พี่หมอ บอกว่า เปรียบเทียบหลายอย่าง
หุ้นวีไอ ต้อง Deep value. มาก เช่น มีมูลค่าตำ่กว่า50% ลงทุน3ปีน่าสนใจ
ส่วนหุ้นเติบโต จะซื้อตอนที่มีปัญหา จะดูน่าสนใจที่สุด ถ้าราคาแพงก็รอ
เรื่องสภาพคล่อง ก็ดู ถ้าmarket cap ต่ำกว่า 10,000 ลบ ไม่น่าศึกษา
ดังนั้นหุ้นที่พี่หมอสนใจ จะมี market cap มากกว่า 10,000.ลบ
หรือ บริษัทที่มี market cap 4,000 ลบแต่จะโตมากกว่า 10,000 ลบ ก็ได้
หุ้นที่มี PB ต่ำ แต่ถ้าไม่ได้ศึกษามาก่อน ก็จะไม่กล้าซื้อ
เพราะเราประเมินมูลค่าไม่ถูก ความสามารถเราไม่พอ ต้องยอมผ่าน
ไปดูหุ้นที่เราศึกษาดีกว่า

อ นิเวศน์ ถามถึงวิธีในการศึกษา
พี่หมอ บอกว่า บางธุรกิจที่ไม่ยาก ก็ดูผ่านopp day
แต่บางธุรกิจที่ยาก ก็หาโอกาสไปพบและพูดคุยกับผู้บริหาร

อ นิเวศน์ ถามหุ้นในwatch list เป็นหุ้นเดิมใช่ไหม
พี่หมอบอกว่า ก็มีตัวใหม่ เพราะบางบริษัทที่มาIPOใหม่
หรือบริษัทเดิม แต่มีการเปลี่ยนแปลง
ซึ่งพี่หมอ ทำเท่าที่ทำได้ เพราะทำคนเดียว ไม่สามารถสกรีนได้มากกว่า 15ตัว

อ ไพบูลย์ บอกว่า กลยุทธ์ ของพี่หมอ ถ้ารู้จักจริงๆ จะถือในสัดส่วนที่มาก
พี่หมอ บอกว่า จริงๆไม่ได้ตั้งใจถือเยอะ แต่ราคาลงมากเกินไป
เราก็ซื้อไปเรื่อยๆ จนถึงจุดที่ไม่ซื้อแล้ว
บางตัวมีให้ซื้อทุกปี จนถือเป็นสัดส่วนที่เยอะ
เรื่องการบริหารบริษัทที่ถือ ไม่เคยคิดไปบริหาร
ถ้าผู้บริหาร ทำได้แย่กว่าเรา ก็จะไม่เข้าไปถือหุ้นนั้น

อ ไพบูลย์ บอกว่า พี่หมอ รู้เรื่องรพ ดี แต่ทำไมไม่ถือหุ้น รพ
พี่หมอ ตอบว่า เคยซื้อ แต่ ธุรกิจโตช้า ลงทุนเยอะ รอนานกว่าจะเก็บเกี่ยว
ธุรกิจโตได้ต้องใช้เงินลงทุน ไม่ใช่Growth stockที่น่าสนใจ
นอกจากช่วงนึง ที่รพ ขนาดใหญ่ไปซื้อรพ ขนาดเล็กและโต
หรือช่วงที่ต่างชาติเข้ามารักษาในไทย
ช่วงปกติ รพ กำไรไม่เติบโตเร็วมากนัก
ส่วนเรื่องMega trend เรื่อง Aging Society
เห็นด้วย แต่ควรลงทุนในช่วงที่คู่แข่งเข้ามาได้ยาก
แต่ช่วงนี้ถือเป็น Red ocian ไม่น่าสนใจ

อ นิเวศน์ ถามว่าอุตสาหกรรมไหนน่าสนใจ
พี่หมอ บอกว่า Digital technologyน่าจะมา
แต่ในไทยไม่มี แต่เราสามารถศึกษาบริษัทที่อยู่ในsupply chain
หรือบริษัทที่มีrelate กับบริษัทเหล่านี้
บางsecmentที่ได้ประโยชน์จากเหตุการณ์เหล่านี้
มีหลายธุรกิจที่มีขนาดเกิน 10,000 ลบ

อ ไพบูลย์ ถามว่า ปีนี้มองว่านักลงทุนวีไอจะได้ผลตอบแทนดีหรือไม่
พี่หมอ มองว่า ตลาดหุ้นปี64น่าจะดีกว่าปีที่แล้ว
อัตราดอกเบี้ยต่ำ มีโอกาสเติบโตได้อีก ภาพรวมน่าจะดีกว่าปีที่แล้ว
หุ้นวีไอ ต้องดูเหมือนกัน หุ้นวีไอบางตัว เช่น ท่องเที่ยว ขึ้นมาเร็วเกิน
ปีหน้าจะไปต่อได้อย่างไร
หุ้นสถาบันการเงินก็ขึ้นเร็ว ถ้าหนี้เสียคุมได้ ก็ไปต่อได้
ต้องประเมินว่าหุ้นแต่ละตัวจะขึ้นต่อได้จากผลประกอบการในอีก3ปีหรือเปล่า

ส่วนหุ้นปันผล ไม่ค่อยประทับใจ ได้แต่ปันผล หุ้นไม่ค่อยไปไหน
ธุรกิจที่ปันผลดี โอกาสเติบโตไม่ค่อยมีมาก
ถ้าเราเจอโอกาสดีกว่านี้ หุ้นปันผลถือว่าเป็นทางเลือกที่สอง

ส่วนการลงทุนในต่างประเทศ สามปีนี้ ยังมองบริษัทไทยยังไปต่อได้
แต่เลยสามปี ก็ไม่แน่ใจว่าไปต่อได้ ดังนั้นอีกสามปีข้างหน้า
อาจเป็นเรื่องจำเป็นต้องออกต่างประเทศอย่างจริงจัง
เช่นบางบริษัทที่กินmarket shareเกือบหมดแล้วจะโตต่อได้อย่างไร
การลงทุนในเวียดนาม ซึ่งคล้ายไทย เลยสนใจลงทุนในเวียดนาม
ซึ่งถือว่าเรารู้จริง เทียบกับหุ้นเทคโน ซึ่งราคาแพงไปเเล้ว
ส่วนจีน ก็กลัวเรื่องรัฐบาลเข้าไปแทรกแซง ถ้าจะลงก็เลือกเวียดนามดีกว่า
เพราะมีโอกาสโตได้มากกว่าไทย

อ ไพบูลย์ ถามว่า นักลงทุนวีไอ เริ่มลงทุนสิบกว่าปี
และพอร์ตใหญ่ ตอนนี้เริ่มปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ไปหาอะไรที่passiveและมั่นคงมากขึ้น
พี่หมอตอบว่า ยังลงทุนเหมือนเดิม ยังพอเห็นธุรกิจเติบโตอยู่
ในอีกสามปี พี่หมอ ยังสนุกกับการลงทุนอยู่
อ ไพบูลย์ บอกว่า พี่หมอ ติดtop5ที่ไม่ได้เป็นนักธุรกิจที่เป็นเจ้าของบริษัท
พี่หมอ บอกว่าเป็นความสุขในการหาบริษัทที่เติบโตและลงทุนไปกับบริษัท
ถือว่าเป็นความสนุก ที่เราเห็นแต่คนอื่นไม่เห็น

สุดท้ายขอขอบคุณ อ ไพบูลย์ อ นิเวศน์ และ พี่หมอพงศ์ศักดิ์ มากๆครับที่มาให้ข้อมูล
คุณไม่มีสิทธิ์ดูไฟล์ที่แนบมาในกระทู้
ภาพประจำตัวสมาชิก
romee
Verified User
โพสต์: 1850
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 3419

โพสต์

เรื่องนลท.ในตลาดผมเห็นหลายเคสมา ที่สถาปนาตัวเองเป็นเซียน + ออกหนังสือ + เปิดคอร์สสอน
ก็เลยไม่รู้ว่ารวยจริงๆเพราะเป็นนักลงทุน หรือยังไง, อย่างที่พี่โจ หรือพี่ๆในนี้บอกว่า ให้เลือกข้อมูลให้ดี ในยุคที่ข้อมูลล้นโลก

ก็ขอสวัสดีปีใหม่ ย้อนหลังพี่ เพื่อน นักลงทุนทุกคนในปี2564 ขอให้มี%ความสุขในชีวิตจริงทั้งกาย และจิตใจมากกว่าพอร์ตหุ้นอีกนะครับ

ปล.1 ฟังที่พี่โจพูดว่าคนไปงานวีไอหาดใหญ่ ถ้ายังไปต่อเนื่อง หรือติดตามเรื่อยๆ ผลงานน่าจะดีกันทุกคน
สงสัยจะมีoutlier แบบตกเกรด หรือเด็กหลังห้องแบบผมอยู่ตรงนี้ละฮะ ไม่ไปไม่มาเท่าไร :rofl:

ปล.2คนรอบตัวผมไปหุ้นต่างประเทศกันเกือบหมดแล้ว ยิ่งทั่นนายกหลิน บอกว่าตลาดตปท. อาจจะเป็นโอกาสให้วีไอไทย เหมือนยุครุ่งเรืองหลังปีซัพไพร์ม
คิดอีกที คนเก่งๆไปกันหมดก็ดีครับ ผมจะได้เฝ้าบ่อปลาตลาดไทยแบบไม่ต้องกลัวคนเก่งมาแย่งตกปลา :oops:
You only live once, but if you do it right, once is enough.
Marcus
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 208
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 3420

โพสต์

รบกวนสิบถามพี่ๆในห้องครับ
ไม่ทราบว่าปีนี้จะมีการจัดสัมมนาวีไอหาดใหญ่ เมื่อไหร่ครับ ขอบคุณครับ