อยากทราบเกณฑ์ในการแบ่งหุ้น Big, Medium, Small Cap ครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 5786
- ผู้ติดตาม: 0
อยากทราบเกณฑ์ในการแบ่งหุ้น Big, Medium, Small Cap ครับ
โพสต์ที่ 1
ว่ามีกฎเกณฑ์อย่างไร ขอบคุณล่วงหน้าครับ
"Winners never quit, and quitters never win."
-
- Verified User
- โพสต์: 1301
- ผู้ติดตาม: 0
อยากทราบเกณฑ์ในการแบ่งหุ้น Big, Medium, Small Cap ครับ
โพสต์ที่ 2
เอาของฝรั่งมาก่อนก็แล้วกัน ที่เคยเห็นมา ก็จะมีความหลากหลาย
Mega Cap: Market cap of $200 billion and greater
Big/Large Cap: $10 billion to $200 billion
Mid Cap: $2 billion to $10 billion
Small Cap: $300 million to $2 billion 12,000 - 80,000 ล้านบาท
Micro Cap: $50 million to $300 million
Nano Cap: Under $50 million
Small Cap: Less than $1 billion 40,000 ล้านบาท
Mid Cap: $1 billion to $5 billion
Large Cap: Over $5 billion
อย่างของเมืองไทย ผมว่าน่าจะตัดกันที่
5000 ล้าน ลงมา $125 million
5000 - 15,000 ล้าน $125-400 million
15,000 ล้าน ขึ้นไป $400 million
รู้สึก ดร.นิเวศน์ก็เคยเขียนไว้บ้าง ลองค้นๆดู ก็อาจจะเห็น
Mega Cap: Market cap of $200 billion and greater
Big/Large Cap: $10 billion to $200 billion
Mid Cap: $2 billion to $10 billion
Small Cap: $300 million to $2 billion 12,000 - 80,000 ล้านบาท
Micro Cap: $50 million to $300 million
Nano Cap: Under $50 million
Small Cap: Less than $1 billion 40,000 ล้านบาท
Mid Cap: $1 billion to $5 billion
Large Cap: Over $5 billion
อย่างของเมืองไทย ผมว่าน่าจะตัดกันที่
5000 ล้าน ลงมา $125 million
5000 - 15,000 ล้าน $125-400 million
15,000 ล้าน ขึ้นไป $400 million
รู้สึก ดร.นิเวศน์ก็เคยเขียนไว้บ้าง ลองค้นๆดู ก็อาจจะเห็น
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1256
- ผู้ติดตาม: 0
อยากทราบเกณฑ์ในการแบ่งหุ้น Big, Medium, Small Cap ครับ
โพสต์ที่ 3
ขนาดของหุ้น
Written by ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
ขนาดของหุ้นซึ่งวัดโดยมูลค่าตลาดของหุ้นทั้งหมด หรือ Market Cap. ซึ่งหาได้จากการเอาราคาหุ้นคูณด้วยจำนวนของหุ้นทั้งหมดของบริษัทเป็นสิ่งที่มีนัยสำคัญในเรื่องของการลงทุนหลาย ๆ เรื่อง ตั้งแต่เรื่องของสภาพคล่องในการซื้อขาย ขนาดของธุรกิจ ความถูกความแพง ศักยภาพในการที่จะเติบโตต่อไปในอนาคต และอื่น ๆ อีกมาก เพราะฉะนั้น ทุกครั้งที่ผมจะลงทุนซื้อหุ้น ผมจะดูว่าบริษัทใหญ่แค่ไหน
สำหรับผม ผมแบ่งหุ้นออกเป็นกลุ่มใหญ่ ๆ 4 กลุ่มด้วยกันตามขนาดนั่นคือ หุ้นจิ๋ว ซึ่งผมให้นิยามว่ามีมูลค่าตลาดของหุ้นไม่เกิน 1000 ล้านบาท หุ้นขนาดเล็กซึ่งมีขนาดตั้งแต่ 1000 ถึง 8000 ล้านบาท หุ้นขนาดกลางซึ่งมีขนาดตั้งแต่ 8000 ถึง 40000 ล้านบาท และหุ้นขนาดใหญ่ซึ่งมีขนาดตั้งแต่ 40000 ล้านบาทขึ้นไป
หุ้นจิ๋วนั้นโดยทั่วไปเป็นหุ้นที่ยังมีลักษณะของกิจการ SME นั่นคือ เป็นหุ้นที่ยังต้องพึ่งพิงอยู่กับเจ้าของเป็นหลัก ธุรกิจเป็นกิจการที่ใช้เงินลงทุนต่ำและไม่มีเท็คโนโลยีซับซ้อน เป็นกิจการที่ใคร ๆ ก็สามารถเข้ามาแข่งขันได้ง่าย ดังนั้น หุ้นในกลุ่มนี้จึงยากที่จะหาธุรกิจที่มีความเข้มแข็งโดดเด่นจริง ๆ ที่จะสามารถลงทุนในระยะยาวมากได้ กำไรของกิจการก็มักจะยังไม่มีความแน่นอนสูงและมักจะมี Margin หรือกำไรต่อยอดขายต่ำ สิ่งที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งสำหรับนักลงทุนก็คือ หุ้นจำนวนมากมีสภาพคล่องในการซื้อขายต่ำมากทำให้การซื้อขายเป็นไปด้วยความยากลำบาก อย่างไรก็ตาม ค่าที่เป็นหุ้นที่มีขนาดเล็กมาก โอกาสในการที่หุ้นจะขึ้นไปสำหรับหุ้นบางตัวก็อาจจะสูงมาก
หุ้นขนาดเล็กจำนวนมากเป็นหุ้นของบริษัทที่มีการบริหารงานอย่างมืออาชีพ ในหลาย ๆ อุตสาหกรรมที่กำลังเติบโต บริษัทอาจจะเป็นผู้นำและมีส่วนแบ่งตลาดค่อนข้างมาก กิจการหลายแห่งมีอำนาจทางการตลาดสูงและเป็นกำแพงกั้นไม่ให้บริษัทใหม่ ๆ เข้ามาแข่งขันได้อย่างมีประสิทธิผล สภาพคล่องในการซื้อขายของหุ้นโดยเฉพาะของบริษัทที่มีผลการดำเนินงานดีนั้นมักจะสูงพอสำหรับนักลงทุนรายย่อยและอาจจะรวมถึงนักลงทุนสถาบันที่เน้นลงทุนระยะยาวและเป็นกองทุนที่ไม่ใหญ่นักเช่นกองทุนเพื่อการเกษียณอายุหรือกองทุนหุ้นระยะยาว
หุ้นขนาดกลางมักเป็นหุ้นของกิจการที่มีขนาดค่อนข้างใหญ่ อยู่ในอุตสาหกรรมที่ค่อนข้างใหญ่และอยู่ตัว บางบริษัทมีฐานะทางการตลาดโดดเด่นแต่อีกหลายบริษัทกลับอยู่ในอุตสาหกรรมผลิตสินค้าโภคภัณฑ์ซึ่งทำให้ผลการดำเนินงานผันผวนไม่แน่นอน กิจการบางแห่งต้องลงทุนสูง ทำให้ฐานะทางการเงินไม่ดีอย่างที่ควรเป็น สภาพคล่องในการซื้อขายของหุ้นในกลุ่มนี้ดีพอที่จะทำให้กองทุนหรือผู้ลงทุนสถาบันบางประเภทเช่นกองทุนเฮดจ์ฟันด์เข้ามาลงทุนได้ อย่างไรก็ตาม หุ้นในกลุ่มนี้ส่วนมากก็ยังไม่ใช่หุ้นบลูชิพที่จะเป็นที่สนใจของนักลงทุนตลอดเวลา ส่วนใหญ่แล้วมักจะเป็นที่สนใจก็แต่ในเวลาที่บริษัทกำลังมีผลการดำเนินงานดี
หุ้นขนาดใหญ่ส่วนมากจะเป็นหุ้น สถาบัน นั่นคือ เป็นหุ้นบลูชิพที่สถาบันและกองทุนต่าง ๆ จะเลือกลงทุนได้ตลอดเวลา หุ้นที่เข้าข่ายเป็นหุ้นขนาดใหญ่มักจะเป็นหุ้นของกิจการที่อยู่ในอุตสาหกรรมใหญ่ที่มีการเติบโตไม่สูงและบริษัทเป็นบริษัทขนาดใหญ่ในอุตสาหกรรมนั้น หุ้นขนาดใหญ่จะเป็นหุ้นของบริษัทที่มีฐานะทางการตลาดมั่นคง มีผลการดำเนินงานที่ดี มีฐานะการเงินที่แข็งแกร่ง สภาพคล่องในการซื้อขายของหุ้นสูงมาก สามารถซื้อขายได้ตลอดเวลาในราคาตลาดที่เห็น ความเสี่ยงที่หุ้นจะตกลงมามากมายจะมีน้อย อย่างไรก็ตาม หุ้นมักไม่วิ่งไปสูงและเร็วมากในระยะเวลาอันสั้น
ในแง่ของการลงทุนนั้น สำหรับ Value Investor เราคงไม่มีข้อห้ามไม่ให้ลงทุนในหุ้นขนาดใดขนาดหนึ่ง แต่จากประสบการณ์ส่วนตัวของผมเอง หุ้นขนาดใหญ่นั้น มักจะหาหุ้นที่มีคุณค่าสูงมากเมื่อเปรียบเทียบกับราคาค่อนข้างยาก สาเหตุน่าจะมาจากการที่หุ้นขนาดใหญ่มักจะมีนักวิเคราะห์ติดตามมากทำให้ราคาหุ้นใกล้เคียงกับมูลค่าที่แท้จริง หุ้นขนาดกลางเป็นหุ้นที่ผมเห็นว่ามีจุดขายน้อยในแง่ที่มีโอกาสเติบโตไม่สูงขณะที่ความมั่นคงและฐานะทางการตลาดของกิจการก็ไม่เข้มแข็งอย่างหุ้นขนาดใหญ่ หุ้นขนาดจิ๋วนั้น จุดอ่อนก็คือ มันมักไม่มีความได้เปรียบที่ยั่งยืนเมื่อเทียบกับคู่แข่ง ข้อดีของมันที่ชัดเจนก็คือตัวมันเล็กมากและโอกาสที่จะพบหุ้นราคาถูกมากก็มีอยู่สูงพอสมควรเพราะมีคนสนใจที่จะวิเคราะห์มันน้อยมาก ดังนั้น ผมก็มักจะลงทุนในหุ้นกลุ่มนี้อยู่บ้างแม้ว่าผลที่ได้รับจะไม่ประทับใจนัก
หุ้นที่ผมเห็นว่าน่าสนใจที่สุดมักจะอยู่ในกลุ่มหุ้นขนาดเล็ก โดยเฉพาะบริษัทที่เป็นผู้นำในอุตสาหกรรมที่กำลังเติบโต หุ้นเหล่านี้ถ้าเติบโตถึงจุดที่กลายเป็นหุ้นขนาดกลางก็จะสามารถดึงดูดนักลงทุนสถาบันบางกลุ่มเข้ามาลงทุนได้ และนี่จะเป็นจุดที่สามารถขับดันให้ราคาหุ้นวิ่งสูงขึ้นไปได้มาก นอกจากนั้น หุ้นที่เข้าข่ายเป็นหุ้นขนาดเล็กนั้นมีจำนวนค่อนข้างมากและยังไม่เป็นที่สนใจของนักวิเคราะห์ ทำให้การหาหุ้นลงทุนทำได้กว้างขวาง และเมื่อพบหุ้นดังกล่าวแล้ว การซื้อลงทุนก็สามารถทำได้ไม่ยากนักเพราะสภาพคล่องของหุ้นในกลุ่มนี้ที่มีผลการดำเนินงานดีมักจะมีพอสมควรสำหรับรายย่อยที่จะลงทุน ประสบการณ์การลงทุนของผมในหุ้นกลุ่มนี้ค่อนข้างจะดีมากเมื่อเทียบกับกลุ่มอื่น และผมแนะนำให้ Value Investor ลองพิจารณาดู
Written by ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
ขนาดของหุ้นซึ่งวัดโดยมูลค่าตลาดของหุ้นทั้งหมด หรือ Market Cap. ซึ่งหาได้จากการเอาราคาหุ้นคูณด้วยจำนวนของหุ้นทั้งหมดของบริษัทเป็นสิ่งที่มีนัยสำคัญในเรื่องของการลงทุนหลาย ๆ เรื่อง ตั้งแต่เรื่องของสภาพคล่องในการซื้อขาย ขนาดของธุรกิจ ความถูกความแพง ศักยภาพในการที่จะเติบโตต่อไปในอนาคต และอื่น ๆ อีกมาก เพราะฉะนั้น ทุกครั้งที่ผมจะลงทุนซื้อหุ้น ผมจะดูว่าบริษัทใหญ่แค่ไหน
สำหรับผม ผมแบ่งหุ้นออกเป็นกลุ่มใหญ่ ๆ 4 กลุ่มด้วยกันตามขนาดนั่นคือ หุ้นจิ๋ว ซึ่งผมให้นิยามว่ามีมูลค่าตลาดของหุ้นไม่เกิน 1000 ล้านบาท หุ้นขนาดเล็กซึ่งมีขนาดตั้งแต่ 1000 ถึง 8000 ล้านบาท หุ้นขนาดกลางซึ่งมีขนาดตั้งแต่ 8000 ถึง 40000 ล้านบาท และหุ้นขนาดใหญ่ซึ่งมีขนาดตั้งแต่ 40000 ล้านบาทขึ้นไป
หุ้นจิ๋วนั้นโดยทั่วไปเป็นหุ้นที่ยังมีลักษณะของกิจการ SME นั่นคือ เป็นหุ้นที่ยังต้องพึ่งพิงอยู่กับเจ้าของเป็นหลัก ธุรกิจเป็นกิจการที่ใช้เงินลงทุนต่ำและไม่มีเท็คโนโลยีซับซ้อน เป็นกิจการที่ใคร ๆ ก็สามารถเข้ามาแข่งขันได้ง่าย ดังนั้น หุ้นในกลุ่มนี้จึงยากที่จะหาธุรกิจที่มีความเข้มแข็งโดดเด่นจริง ๆ ที่จะสามารถลงทุนในระยะยาวมากได้ กำไรของกิจการก็มักจะยังไม่มีความแน่นอนสูงและมักจะมี Margin หรือกำไรต่อยอดขายต่ำ สิ่งที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งสำหรับนักลงทุนก็คือ หุ้นจำนวนมากมีสภาพคล่องในการซื้อขายต่ำมากทำให้การซื้อขายเป็นไปด้วยความยากลำบาก อย่างไรก็ตาม ค่าที่เป็นหุ้นที่มีขนาดเล็กมาก โอกาสในการที่หุ้นจะขึ้นไปสำหรับหุ้นบางตัวก็อาจจะสูงมาก
หุ้นขนาดเล็กจำนวนมากเป็นหุ้นของบริษัทที่มีการบริหารงานอย่างมืออาชีพ ในหลาย ๆ อุตสาหกรรมที่กำลังเติบโต บริษัทอาจจะเป็นผู้นำและมีส่วนแบ่งตลาดค่อนข้างมาก กิจการหลายแห่งมีอำนาจทางการตลาดสูงและเป็นกำแพงกั้นไม่ให้บริษัทใหม่ ๆ เข้ามาแข่งขันได้อย่างมีประสิทธิผล สภาพคล่องในการซื้อขายของหุ้นโดยเฉพาะของบริษัทที่มีผลการดำเนินงานดีนั้นมักจะสูงพอสำหรับนักลงทุนรายย่อยและอาจจะรวมถึงนักลงทุนสถาบันที่เน้นลงทุนระยะยาวและเป็นกองทุนที่ไม่ใหญ่นักเช่นกองทุนเพื่อการเกษียณอายุหรือกองทุนหุ้นระยะยาว
หุ้นขนาดกลางมักเป็นหุ้นของกิจการที่มีขนาดค่อนข้างใหญ่ อยู่ในอุตสาหกรรมที่ค่อนข้างใหญ่และอยู่ตัว บางบริษัทมีฐานะทางการตลาดโดดเด่นแต่อีกหลายบริษัทกลับอยู่ในอุตสาหกรรมผลิตสินค้าโภคภัณฑ์ซึ่งทำให้ผลการดำเนินงานผันผวนไม่แน่นอน กิจการบางแห่งต้องลงทุนสูง ทำให้ฐานะทางการเงินไม่ดีอย่างที่ควรเป็น สภาพคล่องในการซื้อขายของหุ้นในกลุ่มนี้ดีพอที่จะทำให้กองทุนหรือผู้ลงทุนสถาบันบางประเภทเช่นกองทุนเฮดจ์ฟันด์เข้ามาลงทุนได้ อย่างไรก็ตาม หุ้นในกลุ่มนี้ส่วนมากก็ยังไม่ใช่หุ้นบลูชิพที่จะเป็นที่สนใจของนักลงทุนตลอดเวลา ส่วนใหญ่แล้วมักจะเป็นที่สนใจก็แต่ในเวลาที่บริษัทกำลังมีผลการดำเนินงานดี
หุ้นขนาดใหญ่ส่วนมากจะเป็นหุ้น สถาบัน นั่นคือ เป็นหุ้นบลูชิพที่สถาบันและกองทุนต่าง ๆ จะเลือกลงทุนได้ตลอดเวลา หุ้นที่เข้าข่ายเป็นหุ้นขนาดใหญ่มักจะเป็นหุ้นของกิจการที่อยู่ในอุตสาหกรรมใหญ่ที่มีการเติบโตไม่สูงและบริษัทเป็นบริษัทขนาดใหญ่ในอุตสาหกรรมนั้น หุ้นขนาดใหญ่จะเป็นหุ้นของบริษัทที่มีฐานะทางการตลาดมั่นคง มีผลการดำเนินงานที่ดี มีฐานะการเงินที่แข็งแกร่ง สภาพคล่องในการซื้อขายของหุ้นสูงมาก สามารถซื้อขายได้ตลอดเวลาในราคาตลาดที่เห็น ความเสี่ยงที่หุ้นจะตกลงมามากมายจะมีน้อย อย่างไรก็ตาม หุ้นมักไม่วิ่งไปสูงและเร็วมากในระยะเวลาอันสั้น
ในแง่ของการลงทุนนั้น สำหรับ Value Investor เราคงไม่มีข้อห้ามไม่ให้ลงทุนในหุ้นขนาดใดขนาดหนึ่ง แต่จากประสบการณ์ส่วนตัวของผมเอง หุ้นขนาดใหญ่นั้น มักจะหาหุ้นที่มีคุณค่าสูงมากเมื่อเปรียบเทียบกับราคาค่อนข้างยาก สาเหตุน่าจะมาจากการที่หุ้นขนาดใหญ่มักจะมีนักวิเคราะห์ติดตามมากทำให้ราคาหุ้นใกล้เคียงกับมูลค่าที่แท้จริง หุ้นขนาดกลางเป็นหุ้นที่ผมเห็นว่ามีจุดขายน้อยในแง่ที่มีโอกาสเติบโตไม่สูงขณะที่ความมั่นคงและฐานะทางการตลาดของกิจการก็ไม่เข้มแข็งอย่างหุ้นขนาดใหญ่ หุ้นขนาดจิ๋วนั้น จุดอ่อนก็คือ มันมักไม่มีความได้เปรียบที่ยั่งยืนเมื่อเทียบกับคู่แข่ง ข้อดีของมันที่ชัดเจนก็คือตัวมันเล็กมากและโอกาสที่จะพบหุ้นราคาถูกมากก็มีอยู่สูงพอสมควรเพราะมีคนสนใจที่จะวิเคราะห์มันน้อยมาก ดังนั้น ผมก็มักจะลงทุนในหุ้นกลุ่มนี้อยู่บ้างแม้ว่าผลที่ได้รับจะไม่ประทับใจนัก
หุ้นที่ผมเห็นว่าน่าสนใจที่สุดมักจะอยู่ในกลุ่มหุ้นขนาดเล็ก โดยเฉพาะบริษัทที่เป็นผู้นำในอุตสาหกรรมที่กำลังเติบโต หุ้นเหล่านี้ถ้าเติบโตถึงจุดที่กลายเป็นหุ้นขนาดกลางก็จะสามารถดึงดูดนักลงทุนสถาบันบางกลุ่มเข้ามาลงทุนได้ และนี่จะเป็นจุดที่สามารถขับดันให้ราคาหุ้นวิ่งสูงขึ้นไปได้มาก นอกจากนั้น หุ้นที่เข้าข่ายเป็นหุ้นขนาดเล็กนั้นมีจำนวนค่อนข้างมากและยังไม่เป็นที่สนใจของนักวิเคราะห์ ทำให้การหาหุ้นลงทุนทำได้กว้างขวาง และเมื่อพบหุ้นดังกล่าวแล้ว การซื้อลงทุนก็สามารถทำได้ไม่ยากนักเพราะสภาพคล่องของหุ้นในกลุ่มนี้ที่มีผลการดำเนินงานดีมักจะมีพอสมควรสำหรับรายย่อยที่จะลงทุน ประสบการณ์การลงทุนของผมในหุ้นกลุ่มนี้ค่อนข้างจะดีมากเมื่อเทียบกับกลุ่มอื่น และผมแนะนำให้ Value Investor ลองพิจารณาดู
"Price is what you pay. Value is what you get."
-
- Verified User
- โพสต์: 5786
- ผู้ติดตาม: 0
อยากทราบเกณฑ์ในการแบ่งหุ้น Big, Medium, Small Cap ครับ
โพสต์ที่ 5
การแบ่งหุ้นในมุมมอง ดร.
หุ้นจิ๋ว : < 1,000 ล้าน
หุ้นเล็ก : 1,000 - 8,000 ล้าน
หุ้นกลาง : 8,000 - 40,000 ล้าน
หุ้นใหญ่ : > 40,000 ล้าน
ปล. ดร.ชอบหุ้นขนาดเล็กนั่นคือ market cap อยู่ระหว่าง 1,000 - 8,000 ล้าน
ข้อมูลของคุณ BSL
แล้วไม่ทราบว่า ตลท. มีกฎเกณฑ์ในการแบ่งขนาดหุ้น หรือไม่ อย่างไรครับ
ขอบคุณทุกท่านที่ช่วยตอบครับ
หุ้นจิ๋ว : < 1,000 ล้าน
หุ้นเล็ก : 1,000 - 8,000 ล้าน
หุ้นกลาง : 8,000 - 40,000 ล้าน
หุ้นใหญ่ : > 40,000 ล้าน
ปล. ดร.ชอบหุ้นขนาดเล็กนั่นคือ market cap อยู่ระหว่าง 1,000 - 8,000 ล้าน
ข้อมูลของคุณ BSL
ไม่ทราบว่ามีแหล่งที่มาหรือเปล่าครับ หรือเป็นมุมมองของคุณ BSLอย่างของเมืองไทย ผมว่าน่าจะตัดกันที่
5000 ล้าน ลงมา $125 million
5000 - 15,000 ล้าน $125-400 million
15,000 ล้าน ขึ้นไป $400 million
แล้วไม่ทราบว่า ตลท. มีกฎเกณฑ์ในการแบ่งขนาดหุ้น หรือไม่ อย่างไรครับ
ขอบคุณทุกท่านที่ช่วยตอบครับ
"Winners never quit, and quitters never win."
-
- Verified User
- โพสต์: 1301
- ผู้ติดตาม: 0
อยากทราบเกณฑ์ในการแบ่งหุ้น Big, Medium, Small Cap ครับ
โพสต์ที่ 6
ไม่มีแหล่งที่มาครับ เป็นมุมมองผมเอง แล้วมองในฐานะคนในตลาดไทยเท่านั้น ใช้หลักของยอดขายของธุรกิจ การให้ราคาต่อหุ้นที่ต่ำของเมืองไทย แล้วก็ค่าเงิน ตัวเลขก็เป็นแค่ลอยๆออกมาจากสามมุมนั้นๆHVI เขียน: ข้อมูลของคุณ BSL
ไม่ทราบว่ามีแหล่งที่มาหรือเปล่าครับ หรือเป็นมุมมองของคุณ BSL
แล้วไม่ทราบว่า ตลท. มีกฎเกณฑ์ในการแบ่งขนาดหุ้น หรือไม่ อย่างไรครับ
ขอบคุณทุกท่านที่ช่วยตอบครับ
พวก Global Investor ก็น่าจะใช้ตัวเลขของฝรั่ง
ไม่คิดว่ามีตลท.มีการกำหนดนะครับ
เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ไม่มีมาตรฐาน อย่างที่ผมยกของฝรั่งมาและครับ ยังมีการกำหนดขนาดมากกว่าสามระดับ และตัวเลขไม่เหมือนกัน
- สามัญชน
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 5162
- ผู้ติดตาม: 0
อยากทราบเกณฑ์ในการแบ่งหุ้น Big, Medium, Small Cap ครับ
โพสต์ที่ 7
คงเป็นหลักการกว้างๆมั้งครับว่าประมาณเท่าไหร่ถึงเรียกใหญ่เล็ก
คงไม่มี definition ชัดเจน หรือถึงมีก็ยังขึ้นอยู่กับการยอมรับ และจุดประสงค์การนำไปใช้ หรือเพื่อความสะดวกนั้นๆมากกว่า
ว่าแต่น้องเฮ็ดถามทำไมหรือครับ จะเอาไปทำรายงานหรือทำอะไรถึงต้องการตัวเลขเป๊ะๆ
คงไม่มี definition ชัดเจน หรือถึงมีก็ยังขึ้นอยู่กับการยอมรับ และจุดประสงค์การนำไปใช้ หรือเพื่อความสะดวกนั้นๆมากกว่า
ว่าแต่น้องเฮ็ดถามทำไมหรือครับ จะเอาไปทำรายงานหรือทำอะไรถึงต้องการตัวเลขเป๊ะๆ
ทุกความเห็นย่อมเปลี่ยนไปตามความรู้ การเรียนรู้ย่อมไม่มีจุดสิ้นสุด
-
- Verified User
- โพสต์: 5786
- ผู้ติดตาม: 0
อยากทราบเกณฑ์ในการแบ่งหุ้น Big, Medium, Small Cap ครับ
โพสต์ที่ 8
[quote="สามัญชน"]
ว่าแต่น้องเฮ็ดถามทำไมหรือครับ
ว่าแต่น้องเฮ็ดถามทำไมหรือครับ
"Winners never quit, and quitters never win."
- สามัญชน
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 5162
- ผู้ติดตาม: 0
อยากทราบเกณฑ์ในการแบ่งหุ้น Big, Medium, Small Cap ครับ
โพสต์ที่ 9
ฮ่า ๆ ๆ งั้นน้องเฮ็ดนิยามศัพท์เองเลยก็ได้ครับ เอาที่เขานิยมมากๆหน่อยก็น่าจะโอเค เพราะคงไม่มีใครแบ่งลำดับไว้ชัดๆและเท่ากันเป๊ะๆจนเป็นสากล
อืม..........ผมขอร่วมแจมด้วยนะ เอ่อ....ผมชอบของดร. แล้วก็จะพูดถึงขนาดตามนิยามดร.นะครับ
ข้อดีของหุ้นใหญ่
1.มักจะมีกำแพงโดยธรรมชาติอยู่ในตัว เพราะใช้เงินเยอะ จะหาคู่แข่งที่มีเงิน 40,000 ลบ.มาทำธุรกิจแข่ง ก็น่าจะยากกว่า
2.มักจะมีความแข็งแกร่งอยู่ในตัวเช่นเดียวกัน ไม่อย่างนั้นคงขาดทุนและลดขนาดลงไปเป็นหุ้นกลางและเล็ก
3.น่าจะมีประสบการณ์ยาวนาน ผ่านร้อนผ่านหนาวมาพอสมควร และมักจะเป็นประสบการณ์ที่สำเร็จเสียด้วย เพราะเส้นทางการเติบโตกว่าจะมาถึงขนาดนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ การที่จะเกิดใหม่แล้วโตขนาดนี้เลยคงจะมีแต่ก็คงน้อย
ข้อเสีย
1. มักจะโตมากแล้ว และคงพัฒนาต่อไปไปเป็นกลุ่มหุ้นแข็งแกร่ง ไม่ใช่หุ้นเติบโต บางหุ้นที่ใหญ่มากๆคับประเทศแล้วยิ่งยากเข้าไปอีก
2.การบริหารงานคงจะยุ่งยากกว่าใคร เพราะองค์กรมีขนาดใหญ่ มีสายบังคับบัญชาเยอะและยาวซึ่งเป็นอุปสรรคในการเปลี่ยนแปลงมากกว่าหุ้นเล็ก
โดยสรุปน่าจะคล้ายๆต้นโพธ์ที่โตเกือบเต็มวัยแล้ว มั่นคงแข็งแกร่งแต่ก็โตมากๆได้ยาก
แต่ถ้าไปเจอหุ้นใหญ่ที่ยังสามารถโตได้อีกเยอะเพราะมีความได้เปรียบเชิงแข่งขันละก็........น่าสนใจทีเดียว
อิอิ
แค่นี้ก่อนนะครับ ถ้าเห็นว่ามีประโยชน์ค่อยมาต่อ
อืม..........ผมขอร่วมแจมด้วยนะ เอ่อ....ผมชอบของดร. แล้วก็จะพูดถึงขนาดตามนิยามดร.นะครับ
ปัจจัยที่เรียกว่า ขนาดของบริษัท น่าจะมีข้อดีข้อเสียดังนี้การแบ่งหุ้นในมุมมอง ดร.
หุ้นจิ๋ว : < 1,000 ล้าน
หุ้นเล็ก : 1,000 - 8,000 ล้าน
หุ้นกลาง : 8,000 - 40,000 ล้าน
หุ้นใหญ่ : > 40,000 ล้าน
ข้อดีของหุ้นใหญ่
1.มักจะมีกำแพงโดยธรรมชาติอยู่ในตัว เพราะใช้เงินเยอะ จะหาคู่แข่งที่มีเงิน 40,000 ลบ.มาทำธุรกิจแข่ง ก็น่าจะยากกว่า
2.มักจะมีความแข็งแกร่งอยู่ในตัวเช่นเดียวกัน ไม่อย่างนั้นคงขาดทุนและลดขนาดลงไปเป็นหุ้นกลางและเล็ก
3.น่าจะมีประสบการณ์ยาวนาน ผ่านร้อนผ่านหนาวมาพอสมควร และมักจะเป็นประสบการณ์ที่สำเร็จเสียด้วย เพราะเส้นทางการเติบโตกว่าจะมาถึงขนาดนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ การที่จะเกิดใหม่แล้วโตขนาดนี้เลยคงจะมีแต่ก็คงน้อย
ข้อเสีย
1. มักจะโตมากแล้ว และคงพัฒนาต่อไปไปเป็นกลุ่มหุ้นแข็งแกร่ง ไม่ใช่หุ้นเติบโต บางหุ้นที่ใหญ่มากๆคับประเทศแล้วยิ่งยากเข้าไปอีก
2.การบริหารงานคงจะยุ่งยากกว่าใคร เพราะองค์กรมีขนาดใหญ่ มีสายบังคับบัญชาเยอะและยาวซึ่งเป็นอุปสรรคในการเปลี่ยนแปลงมากกว่าหุ้นเล็ก
โดยสรุปน่าจะคล้ายๆต้นโพธ์ที่โตเกือบเต็มวัยแล้ว มั่นคงแข็งแกร่งแต่ก็โตมากๆได้ยาก
แต่ถ้าไปเจอหุ้นใหญ่ที่ยังสามารถโตได้อีกเยอะเพราะมีความได้เปรียบเชิงแข่งขันละก็........น่าสนใจทีเดียว

แค่นี้ก่อนนะครับ ถ้าเห็นว่ามีประโยชน์ค่อยมาต่อ
ทุกความเห็นย่อมเปลี่ยนไปตามความรู้ การเรียนรู้ย่อมไม่มีจุดสิ้นสุด
- วัวแดง
- Verified User
- โพสต์: 1429
- ผู้ติดตาม: 0
อยากทราบเกณฑ์ในการแบ่งหุ้น Big, Medium, Small Cap ครับ
โพสต์ที่ 10
ผมว่า หุ้นที่ต่ำกว่า5000ล้าน น่าสนครับ ยิ่งroeสูงด้วยแล้ว ชอบมากๆครับ(เกี่ยวมั้ยเนี่ย) 

ถ้าผมคิดเหมือนคนทั่วๆไป ผลตอบแทนผมก็เหมือนคนทั่วๆไป
ใจผมคงละลาย ถ้าผมคิดตามคนอื่น
ผู้ชนะไม่แน่ว่าจะต้องเป็นคนที่วิ่งเร็วที่สุด...แต่เป็นผู้ที่อดทนที่สุดต่างหาก
ใจผมคงละลาย ถ้าผมคิดตามคนอื่น
ผู้ชนะไม่แน่ว่าจะต้องเป็นคนที่วิ่งเร็วที่สุด...แต่เป็นผู้ที่อดทนที่สุดต่างหาก
-
- Verified User
- โพสต์: 5659
- ผู้ติดตาม: 0
Re: อยากทราบเกณฑ์ในการแบ่งหุ้น Big, Medium, Small Cap ครับ
โพสต์ที่ 11
ข้อมูลล่าสุดของ บริษัทฯ Small Cap. ครับ
=============================================
หุ้นจิ๋วผลงานแจ๋ว
หุ้นเล็กโชว์ผลงานปี 53แจ่ม พลิกเป็นกำไร 1131.43ลบ. โต 152.59% E โชว์ฟอร์มเด่นสุด กำไรโต 2551.68% ขณะที่ MME อ่วมปี 53พลิกเป็นขาดทุน ฉุดผลงานติดลบ 2745.76 % ขณะที่ FSS คาดสัปดาห์หน้า เข้าสู่ฤดูกาลเล่นหุ้นเล็ก หลังมองตลาดหุ้นเข้าสู่ช่วงพักตัว แนะเก็งกำไร E PLE และNNCL ด้าน CGS มอง PAE เป็นหุ้นเด่นสุดในกลุ่ม
หลังสิ้นสุดฤุดูกาลประกาศผลการดำเนินงานปี 2553 สำหรับ 23 กลุ่มหุ้นเล็ก ปรากฎว่าผลงานของกลุ่มพลิกกลับเป็นกำไร จำนวน 1131.43 ล้านบาทจากปี 2552 ที่ขาดทุน 2151.06 ล้านบาท ส่งผลให้ผลงานปี2553เปลี่ยนแปลงดีขึ้นจำนวน 3282.49 ล้านบาทหรือคิดเป็นการขยายตัวดีขึ้น 152.59%
E โชว์ฟอร์มเจ๋งสุด กำไรโต 2551.68%ขณะที่ MPIC ตามมาอันดับ 2
ทั้งนี้ในกลุ่มหุ้นเล็ก พบว่าผลงานของ บริษัท เอฟโวลูชั่น แคปปิตอล จำกัด (มหาชน)( E )โชว์ฟอร์มเด่นสุด ผลงานปี 2553 กำไร 86.71 ล้านบาทจากปี 2552 ที่มีกำไร 3.27 ล้านบาท กำไรเพิ่มขึ้น 83.44 ล้านบาท หรือคิดเป็นการเติบโต 2551.68% ตามมาด้วยบริษัท เอ็ม พิคเจอร์ส เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ จำกัด (มหาชน) ( MPIC) ที่พลิกเป็นกำไรในปี 2553 จำนวน 43.49ล้านบาท จากปี 2552 ขาดทุน2.73 ล้านบาท คิดเป็นการเติบโต 1693.04%
อย่างไรก็ตามพบว่าหลายบริษัทมีกำไรเพิ่มขึ้นต่อเนื่องจากปี 2552 ประกอบด้วย บริษัท ไมด้า แอสเซ็ท จำกัด (มหาชน) (MIDA) ระบุว่าปี 2553 มีกำไรอยู่ที่ 71.17 ล้านบาท จากปี 2552 มีกำไร 7.46 ล้าบาท กำไรเพิ่มขึ้น 63.71ล้านบาท หรือคิดเป็นการเติบโต 854.02%ด้าน บริษัท เอ็ม ดี เอ็กซ์ จำกัด (มหาชน)(MDX) ปี 2553มีกำไร 180.22 ล้านบาท จากปี 2552 ที่มีกำไร 21.52 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 158.7 ล้านบาท หรือคิดเป็นการเติบโต 737.45% ขณะที่ บริษัท นวนคร จำกัด (มหาชน)(NNCL)มีผลการดำเนินงานกำไร 186.29 ล้านบาทจากปี 2552 ที่มีกำไร 22.38 ล้านบาท กำไรเพิ่ม 163.91 ล้านบาทหรือคิดเป็นการเติบโต 732.39% ส่วน บริษัท ไทยน๊อคซ์ สเตนเลส จำกัด (มหาชน)(INOX) ระบุกำไรปี 2553 อยู่ที่ 642.96 ล้านบาท จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไร 405.43 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 237.53 ล้านบาทหรือคิดเป็น 58.58% และบริษัท โรงพิมพ์ตะวันออก จำกัด (มหาชน)(EPCO) กำไรปี 2553 เพิ่มเป็น 112.14 ล้านบาทจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่กำไร100.81 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11.33 ล้านบาท หรือคิดเป็น11.23%
PT -N-PARK-PLE-WIN และ BLISS ผลงานแจ่มพลิกเป็นกำไร
ขณะที่บริษัทที่มีผลงานแจ่มสามารถพลิกเป็นกำไรในปี 2553 ประกอบด้วย
บริษัท พรีเมียร์ เทคโนโลยี จำกัด (มหาชน)(PT) มีกำไรปี 2553 อยู่ที่ 28.39 ล้านบาทจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ขาดทุน6.99ล้านบาท ผลงานดีขึ้น 35.38 ล้านบาท คิดเป็นการเติบโต 506.15%
บริษัท แนเชอรัล พาร์ค จำกัด(มหาชน)( N-PARK) เป็นอีกบริษัทหนึ่งที่ผลงานปี 2553 พลิกเป็นกำไรที่ 239.58 ล้านบาทจากปี 2552 ขาดทุน 495.83ล้านบาท เพิ่มขึ้น 735.41 ล้านบาทหรือผลงานดีขึ้นคิดเป็น 148.31%
บริษัท เพาเวอร์ไลน์ เอ็นจิเนียริ่ง จำกัด (มหาชน)(PLE) ปี 2553 มีกำไร 231.34ล้านบาทจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ขาดทุน1,113.22ล้านบาท ผลงานดีขึ้น 1344.56 ล้านบาทหรือคิดเป็น 120.78%
บริษัท วินโคสท์ อินดัสเทรียล พาร์ค จำกัด (มหาชน)( WIN )ปี 53 มีกำไร 2.34 ล้านบาทจากปี 2552 ขาดทุน69.72 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 72.06 ล้านบาทหรือคิดเป็นผลงานดีขึ้น 103.35%
บริษัท บลิส-เทล จำกัด (มหาชน)(BLISS) มีกำไร 48.61ล้านบาท จากปี 2552 ขาดทุน95.31ล้านบาท เพิ่มขึ้น143.92 ล้านบาทคิดเป็นผลงานดีขึ้น151.00%
DISTAR-MAX- TFI -PAE -GEN และ PLUS ขาดทุนลดลง
กลุ่มที่ผลงานขาดทุนลดลง ประกอบด้วย บริษัทไดสตาร์ อิเลคทริก คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)(DISTAR) ขาดทุน 43.06ล้านบาทจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ขาดทุน 263.58 ล้านบาท ผลงานการดำเนินงานดีขึ้น 220.52 ล้านบาท หรือคิดเป็น 83.66%
ขณะที่ บริษัท แมกซ์ เมทัล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)(MAX)มีผลการดำเนินงานขาดทุนลดลงเหลือ24.62 ล้านบาท จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ขาดทุน 124.20ล้นาบาท ขาดทุนลดลง 99.58ล้านบาท หรือคิดเป็นผลงานดีขึ้น 80.17% ด้านบริษัท ไทยฟิล์มอินดัสตรี่ จำกัด (มหาชน)(TFI )ปี 2553 ขาดทุน60.68ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ขาดทุน 138.77ล้านบาท ขาดทุนลดลง 78.09 ล้านบาท หรือผลงานดีขึ้นคิดเป็น 56.27%ด้านบริษัท พีเออี (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน)(PAE )ปี 2553 ขาดทุน116.64ล้านบาท ลดลงจากปี 2552ที่ขาดทุน176.02ล้านบาท ขาดทุนลดลง 59.38 ล้านบาท หรือคิดเป็น 33.73% ส่วสนบริษัท เจนเนอรัล เอนจิเนียริ่ง จำกัด (มหาชน)( GEN)ปี 2553 ขาดทุน 89.77 ล้านบาท ลดลงจากปี 2552 ที่ขาดทุน123.33 ล้านบาท ขาดทุนลดลง 33.56 ล้านบาทหรือคิดเป็น 27.21% และบริษัท พี พลัส พี จำกัด (มหาชน)(PLUS) ปี 2553 ขาดทุน 42.12ล้านบาท ลดลงจากปี2552 ที่ขาดทุน 43.51ล้านบาท คิดเป็นขาดทุนลดลง1.39 ล้านบาทหรือคิดเป็น3.19%
MME อ่วมสุดผลงานปี 53 ติดลบ 2745.76%
ส่วนหุ้นที่ผลงานย่ำแย่สุด ประกอบด้วย บริษัท ไมด้า-เมดดาลิสท์ เอ็นเธอร์เทนเมนท์ จำกัด (มหาชน)(MME) ที่ผลงานปี 2553 พลิกเป็นขาดทุน 46.83 ล้านบาท จากปี 2552 มีกำไร 1.77 ล้านบาท ซึ่งผลงานย่ำแย่ 48.6ล้านบาทหรือติดลบ 2745.76 % ส่วนบริษัท ไลฟ์ อินคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)(LIVE) ที่ปี 2553 ขาดทุนเพิ่มขึ้นอยู่ที่154.44 ล้านบาทจากปี 2552 ที่ขาดทุน38.51 ล้านบาท หรือผลงานติดลบ301.03 % ขณะที่บริษัท อกริเพียว โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน)(APURE) ปี 2553 พลิกเป็นขาดทุน 53.82ล้านบาท จากปี 2552 มีกำไรอยู่ที่ 32.23 ล้านบาท ผลงานย่ำแย่ 86.05 ล้านบาทหรือผลงานติดลบ266.98% ส่วนบริษัท พรีเมียร์เอ็นเตอร์ไพรซ์ จำกัด (มหาชน) (PE) พลิกเป็นขาดทุน 5.09ล้านบาท จากปี 2552 ที่กำไร 8.92ล้านบาทผลงานย่ำแย่ 14.01ล้านบาทหรือติดลบ157.06% และบริษัท เคปเปล ไทย พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน)(KTP) ปี2553ขาดทุน 104.74ล้านบาทเพิ่มขึ้นจากปี 2552 ที่ขาดทุน 63.13 ล้านบาท ขาดทุนเพิ่มขึ้น 41.61 ล้านบาทหรือผลงานติดลบ 65.91%
FSS มองสัปดาห์หน้า หุ้นไทยจะเข้าสู่ช่วงพักตัว เป็นโอกาสเล่นหุ้นเล็ก
นายสมชาย เอนกทวีผล ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ฟินันเซียไซรัส (FSS)เปิดเผยว่า คาดว่าในช่วงสัปดาห์หน้าดัชนีตลาดหุ้นไทยจะเริ่มมีสัญญาณพักตัวแล้ว จากแรงกดดันของปัญหาเงินเฟ้อที่สูงขึ้นตามทิศทางเดียวกันกับราคาน้ำมันในตลาดโลก ดังนั้น เชื่อว่านักลงทุนจะเริ่มหันมาเล่นหุ้นขนาดเล็กมากขึ้น โดยเบื้องต้นประเมินสัญญาณเทคนิคหุ้นที่ยังสามารถเก็งกำไรได้ แต่หากหลุดแนวรับควรตัดขาดทุน ได้แก่ PLE แนวรับ 1.35 บาท แนวต้าน 1.48-1.52 บาท NNCL แนวรับ 1.39 บาท แนวต้าน 1.48-1.54 บาท E แนวรับ 1.25 บาท แนวต้าน1.40-1.50 บาท ส่วนหุ้น MDX ต้องผ่านราคา 3.50 บาทค่อยเข้าเก็งกำไร รวมไปถึง MPIC เช่นกันหากราคาผ่าน 1.60 บาท ค่อยเข้าเก็งกำไร
"เดิมคาดว่าสัปดาห์นี้ดัชนีฯจะเริ่มพักตัวแล้ว ซึ่งก็เชื่อว่าสัปดาห์หน้าดัชนีฯคงจะพักตัวแล้ว เพราะแรงกดดันเงินเฟ้อที่มากขึ้น ซึ่งก็ถือเป็นฤดูกาลเล่นหุ้นขนาดเล็ก"นายสมชาย กล่าว
ทั้งนี้ปิดตลาดวานนี้(3 มี.ค.) ราคาหุ้น PLE อยู่ที่ 1.41 บาท เพิ่มขึ้น 0.06บาทหรือ 4.44% มูลค่าการซื้อขาย 16.01ล้านบาท ,NNCL อยู่ที่ 1.41บาท ไม่เปลี่ยนแปลง มูลค่าการซื้อขาย 3.99ล้านบาท , E อยู่ที่1.34 บาท เพิ่มขึ้น 0.11บาทหรือ8.94 % มูลค่าการซื้อขาย 35.29ล้านบาท, MDX อยู่ที่ 3.24บาท ลดลง0.08บาทหรือ 2.41% มูลค่าการซื้อขาย35.04 ล้านบาท และMPIC อยู่ที่ 1.56บาท เพิ่มขึ้น 0.02บาทหรือ1.30 % มูลค่าการซื้อขาย 5.14 ล้านบาท
CGS มอง PAE เด่นสุดในกลุ่มหุ้นเล็กให้แนวต้าน 1 บาท
นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.คันทรี่กรุ๊ป (CGS) เปิดเผยว่า หากประเมินเส้นกราฟเทคนิคราคาหุ้นขนาดเล็กแล้วพบว่าหุ้น PAE ยังมีความน่าสนใจเข้าเก็งกำไรมากที่สุด เนื่องจากมีความเสี่ยงไม่มากเท่ากับตัวอื่น หลังจากเบื้องต้นพบว่าหากมีปริมาณการซื้อขายเข้ามาในช่วงระยะสั้นแล้วก็จะอยู่นานกว่าหุ้นขนาดเล็กตัวอื่น โดยเส้นกราฟเทคนิคเป็นลักษณะกลับตัวรีบาวน์หรือเป็นแบบ V Shape ดังนั้น จึงเชื่อว่าราคาหุ้นก็มีโอกาสขึ้นไปแตะแนวต้านที่ราคา 1.00 บาทได้ อย่างไรก็ตาม ไม่ทราบสาเหตุที่ชัดเจนของการปรับตัวเพิ่มขึ้นของราคาหุ้นดังกล่าว
ทั้งนี้ปิดตลาดวานนี้ (3 มี.ค.)ราคาหุ้น PAE อยู่ที่ 0.95 บาท เพิ่มขึ้น 0.05 บาทหรือ 5.56% มูลค่าการซื้อขาย 39.37 ล้านบาท
สรุปผลการดำเนินงานกลุ่มหุ้นเล็กปี 2553 เทียบกับ ปี 2552 (หน่วย:ล้านบาท)
ปี 2553 / 2552 / เปลี่ยนแปลง / (%)
APURE / (53.82) / 32.23 / ( 86.05 ) / -266.98
PE / (5.09) / 8.92 / (14.01) / -157.06
PT / 28.39 / (6.99) / 35.38 / 506.15
PAE / (116.64) / (176.02) / (59.38) / 33.73
DISTAR / (43.06) / (263.58) / (220.52 ) / 83.66
TFI / (60.68) / (138.77) / (78.09) / 56.27
INOX / 642.96 / 405.43 / 237.53 / 58.58
GEN / (89.77) / (123.33) / (33.56) / 27.21
KTP / (104.74) / (63.13) / ( 41.61) / - 65.91
N-PARK / 239.58 / (495.83) / 735.41 / 148.31
PLE / 231.34 / (1,113.22) / 1344.56 / 120.78
MDX / 180.22 / 21.52 / 158.74 / 737.45
MIDA / 71.17 / 7.46 / 63.71 / 854.02
PLUS / (42.12) / (43.51) / (1.39 ) / 3.19
EPCO / 112.14 / 100.81 / 11.33 / 11.23
LIVE / (154.44) / (38.51) / ( 115.93) / -301.03
MPIC / 43.49 / (2.73) / 46.22 / 1693.04
MME / (46.83) / 1.77 / ( 48.6) / -2745.76
WIN / 2.34 / (69.72) / 72.06 / 103.35
BLISS / 48.61 / (95.31) / 143.92 / 151.00
E / 86.71 / 3.27 / 83.44 / 2551.68
**NNCL /186.29 / 22.38 / 163.91 / 732.39
**MAX /(24.62) / (124.20) / (99.58) / 80.17
รวม / 1131.43 / ( 2151.06) / 3282.49 / 152.59
หมายเหตุ
** NNCL MAX เป็นงบเฉพาะกิจการ
() หมายถึง ขาดทุน - หมายถึง ผลงานติดลบ
ที่มา : http://www.bloggang.com/mainblog.php?id ... &gblog=298
=============================================
หุ้นจิ๋วผลงานแจ๋ว
หุ้นเล็กโชว์ผลงานปี 53แจ่ม พลิกเป็นกำไร 1131.43ลบ. โต 152.59% E โชว์ฟอร์มเด่นสุด กำไรโต 2551.68% ขณะที่ MME อ่วมปี 53พลิกเป็นขาดทุน ฉุดผลงานติดลบ 2745.76 % ขณะที่ FSS คาดสัปดาห์หน้า เข้าสู่ฤดูกาลเล่นหุ้นเล็ก หลังมองตลาดหุ้นเข้าสู่ช่วงพักตัว แนะเก็งกำไร E PLE และNNCL ด้าน CGS มอง PAE เป็นหุ้นเด่นสุดในกลุ่ม
หลังสิ้นสุดฤุดูกาลประกาศผลการดำเนินงานปี 2553 สำหรับ 23 กลุ่มหุ้นเล็ก ปรากฎว่าผลงานของกลุ่มพลิกกลับเป็นกำไร จำนวน 1131.43 ล้านบาทจากปี 2552 ที่ขาดทุน 2151.06 ล้านบาท ส่งผลให้ผลงานปี2553เปลี่ยนแปลงดีขึ้นจำนวน 3282.49 ล้านบาทหรือคิดเป็นการขยายตัวดีขึ้น 152.59%
E โชว์ฟอร์มเจ๋งสุด กำไรโต 2551.68%ขณะที่ MPIC ตามมาอันดับ 2
ทั้งนี้ในกลุ่มหุ้นเล็ก พบว่าผลงานของ บริษัท เอฟโวลูชั่น แคปปิตอล จำกัด (มหาชน)( E )โชว์ฟอร์มเด่นสุด ผลงานปี 2553 กำไร 86.71 ล้านบาทจากปี 2552 ที่มีกำไร 3.27 ล้านบาท กำไรเพิ่มขึ้น 83.44 ล้านบาท หรือคิดเป็นการเติบโต 2551.68% ตามมาด้วยบริษัท เอ็ม พิคเจอร์ส เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ จำกัด (มหาชน) ( MPIC) ที่พลิกเป็นกำไรในปี 2553 จำนวน 43.49ล้านบาท จากปี 2552 ขาดทุน2.73 ล้านบาท คิดเป็นการเติบโต 1693.04%
อย่างไรก็ตามพบว่าหลายบริษัทมีกำไรเพิ่มขึ้นต่อเนื่องจากปี 2552 ประกอบด้วย บริษัท ไมด้า แอสเซ็ท จำกัด (มหาชน) (MIDA) ระบุว่าปี 2553 มีกำไรอยู่ที่ 71.17 ล้านบาท จากปี 2552 มีกำไร 7.46 ล้าบาท กำไรเพิ่มขึ้น 63.71ล้านบาท หรือคิดเป็นการเติบโต 854.02%ด้าน บริษัท เอ็ม ดี เอ็กซ์ จำกัด (มหาชน)(MDX) ปี 2553มีกำไร 180.22 ล้านบาท จากปี 2552 ที่มีกำไร 21.52 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 158.7 ล้านบาท หรือคิดเป็นการเติบโต 737.45% ขณะที่ บริษัท นวนคร จำกัด (มหาชน)(NNCL)มีผลการดำเนินงานกำไร 186.29 ล้านบาทจากปี 2552 ที่มีกำไร 22.38 ล้านบาท กำไรเพิ่ม 163.91 ล้านบาทหรือคิดเป็นการเติบโต 732.39% ส่วน บริษัท ไทยน๊อคซ์ สเตนเลส จำกัด (มหาชน)(INOX) ระบุกำไรปี 2553 อยู่ที่ 642.96 ล้านบาท จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไร 405.43 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 237.53 ล้านบาทหรือคิดเป็น 58.58% และบริษัท โรงพิมพ์ตะวันออก จำกัด (มหาชน)(EPCO) กำไรปี 2553 เพิ่มเป็น 112.14 ล้านบาทจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่กำไร100.81 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11.33 ล้านบาท หรือคิดเป็น11.23%
PT -N-PARK-PLE-WIN และ BLISS ผลงานแจ่มพลิกเป็นกำไร
ขณะที่บริษัทที่มีผลงานแจ่มสามารถพลิกเป็นกำไรในปี 2553 ประกอบด้วย
บริษัท พรีเมียร์ เทคโนโลยี จำกัด (มหาชน)(PT) มีกำไรปี 2553 อยู่ที่ 28.39 ล้านบาทจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ขาดทุน6.99ล้านบาท ผลงานดีขึ้น 35.38 ล้านบาท คิดเป็นการเติบโต 506.15%
บริษัท แนเชอรัล พาร์ค จำกัด(มหาชน)( N-PARK) เป็นอีกบริษัทหนึ่งที่ผลงานปี 2553 พลิกเป็นกำไรที่ 239.58 ล้านบาทจากปี 2552 ขาดทุน 495.83ล้านบาท เพิ่มขึ้น 735.41 ล้านบาทหรือผลงานดีขึ้นคิดเป็น 148.31%
บริษัท เพาเวอร์ไลน์ เอ็นจิเนียริ่ง จำกัด (มหาชน)(PLE) ปี 2553 มีกำไร 231.34ล้านบาทจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ขาดทุน1,113.22ล้านบาท ผลงานดีขึ้น 1344.56 ล้านบาทหรือคิดเป็น 120.78%
บริษัท วินโคสท์ อินดัสเทรียล พาร์ค จำกัด (มหาชน)( WIN )ปี 53 มีกำไร 2.34 ล้านบาทจากปี 2552 ขาดทุน69.72 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 72.06 ล้านบาทหรือคิดเป็นผลงานดีขึ้น 103.35%
บริษัท บลิส-เทล จำกัด (มหาชน)(BLISS) มีกำไร 48.61ล้านบาท จากปี 2552 ขาดทุน95.31ล้านบาท เพิ่มขึ้น143.92 ล้านบาทคิดเป็นผลงานดีขึ้น151.00%
DISTAR-MAX- TFI -PAE -GEN และ PLUS ขาดทุนลดลง
กลุ่มที่ผลงานขาดทุนลดลง ประกอบด้วย บริษัทไดสตาร์ อิเลคทริก คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)(DISTAR) ขาดทุน 43.06ล้านบาทจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ขาดทุน 263.58 ล้านบาท ผลงานการดำเนินงานดีขึ้น 220.52 ล้านบาท หรือคิดเป็น 83.66%
ขณะที่ บริษัท แมกซ์ เมทัล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)(MAX)มีผลการดำเนินงานขาดทุนลดลงเหลือ24.62 ล้านบาท จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ขาดทุน 124.20ล้นาบาท ขาดทุนลดลง 99.58ล้านบาท หรือคิดเป็นผลงานดีขึ้น 80.17% ด้านบริษัท ไทยฟิล์มอินดัสตรี่ จำกัด (มหาชน)(TFI )ปี 2553 ขาดทุน60.68ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ขาดทุน 138.77ล้านบาท ขาดทุนลดลง 78.09 ล้านบาท หรือผลงานดีขึ้นคิดเป็น 56.27%ด้านบริษัท พีเออี (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน)(PAE )ปี 2553 ขาดทุน116.64ล้านบาท ลดลงจากปี 2552ที่ขาดทุน176.02ล้านบาท ขาดทุนลดลง 59.38 ล้านบาท หรือคิดเป็น 33.73% ส่วสนบริษัท เจนเนอรัล เอนจิเนียริ่ง จำกัด (มหาชน)( GEN)ปี 2553 ขาดทุน 89.77 ล้านบาท ลดลงจากปี 2552 ที่ขาดทุน123.33 ล้านบาท ขาดทุนลดลง 33.56 ล้านบาทหรือคิดเป็น 27.21% และบริษัท พี พลัส พี จำกัด (มหาชน)(PLUS) ปี 2553 ขาดทุน 42.12ล้านบาท ลดลงจากปี2552 ที่ขาดทุน 43.51ล้านบาท คิดเป็นขาดทุนลดลง1.39 ล้านบาทหรือคิดเป็น3.19%
MME อ่วมสุดผลงานปี 53 ติดลบ 2745.76%
ส่วนหุ้นที่ผลงานย่ำแย่สุด ประกอบด้วย บริษัท ไมด้า-เมดดาลิสท์ เอ็นเธอร์เทนเมนท์ จำกัด (มหาชน)(MME) ที่ผลงานปี 2553 พลิกเป็นขาดทุน 46.83 ล้านบาท จากปี 2552 มีกำไร 1.77 ล้านบาท ซึ่งผลงานย่ำแย่ 48.6ล้านบาทหรือติดลบ 2745.76 % ส่วนบริษัท ไลฟ์ อินคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)(LIVE) ที่ปี 2553 ขาดทุนเพิ่มขึ้นอยู่ที่154.44 ล้านบาทจากปี 2552 ที่ขาดทุน38.51 ล้านบาท หรือผลงานติดลบ301.03 % ขณะที่บริษัท อกริเพียว โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน)(APURE) ปี 2553 พลิกเป็นขาดทุน 53.82ล้านบาท จากปี 2552 มีกำไรอยู่ที่ 32.23 ล้านบาท ผลงานย่ำแย่ 86.05 ล้านบาทหรือผลงานติดลบ266.98% ส่วนบริษัท พรีเมียร์เอ็นเตอร์ไพรซ์ จำกัด (มหาชน) (PE) พลิกเป็นขาดทุน 5.09ล้านบาท จากปี 2552 ที่กำไร 8.92ล้านบาทผลงานย่ำแย่ 14.01ล้านบาทหรือติดลบ157.06% และบริษัท เคปเปล ไทย พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน)(KTP) ปี2553ขาดทุน 104.74ล้านบาทเพิ่มขึ้นจากปี 2552 ที่ขาดทุน 63.13 ล้านบาท ขาดทุนเพิ่มขึ้น 41.61 ล้านบาทหรือผลงานติดลบ 65.91%
FSS มองสัปดาห์หน้า หุ้นไทยจะเข้าสู่ช่วงพักตัว เป็นโอกาสเล่นหุ้นเล็ก
นายสมชาย เอนกทวีผล ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ฟินันเซียไซรัส (FSS)เปิดเผยว่า คาดว่าในช่วงสัปดาห์หน้าดัชนีตลาดหุ้นไทยจะเริ่มมีสัญญาณพักตัวแล้ว จากแรงกดดันของปัญหาเงินเฟ้อที่สูงขึ้นตามทิศทางเดียวกันกับราคาน้ำมันในตลาดโลก ดังนั้น เชื่อว่านักลงทุนจะเริ่มหันมาเล่นหุ้นขนาดเล็กมากขึ้น โดยเบื้องต้นประเมินสัญญาณเทคนิคหุ้นที่ยังสามารถเก็งกำไรได้ แต่หากหลุดแนวรับควรตัดขาดทุน ได้แก่ PLE แนวรับ 1.35 บาท แนวต้าน 1.48-1.52 บาท NNCL แนวรับ 1.39 บาท แนวต้าน 1.48-1.54 บาท E แนวรับ 1.25 บาท แนวต้าน1.40-1.50 บาท ส่วนหุ้น MDX ต้องผ่านราคา 3.50 บาทค่อยเข้าเก็งกำไร รวมไปถึง MPIC เช่นกันหากราคาผ่าน 1.60 บาท ค่อยเข้าเก็งกำไร
"เดิมคาดว่าสัปดาห์นี้ดัชนีฯจะเริ่มพักตัวแล้ว ซึ่งก็เชื่อว่าสัปดาห์หน้าดัชนีฯคงจะพักตัวแล้ว เพราะแรงกดดันเงินเฟ้อที่มากขึ้น ซึ่งก็ถือเป็นฤดูกาลเล่นหุ้นขนาดเล็ก"นายสมชาย กล่าว
ทั้งนี้ปิดตลาดวานนี้(3 มี.ค.) ราคาหุ้น PLE อยู่ที่ 1.41 บาท เพิ่มขึ้น 0.06บาทหรือ 4.44% มูลค่าการซื้อขาย 16.01ล้านบาท ,NNCL อยู่ที่ 1.41บาท ไม่เปลี่ยนแปลง มูลค่าการซื้อขาย 3.99ล้านบาท , E อยู่ที่1.34 บาท เพิ่มขึ้น 0.11บาทหรือ8.94 % มูลค่าการซื้อขาย 35.29ล้านบาท, MDX อยู่ที่ 3.24บาท ลดลง0.08บาทหรือ 2.41% มูลค่าการซื้อขาย35.04 ล้านบาท และMPIC อยู่ที่ 1.56บาท เพิ่มขึ้น 0.02บาทหรือ1.30 % มูลค่าการซื้อขาย 5.14 ล้านบาท
CGS มอง PAE เด่นสุดในกลุ่มหุ้นเล็กให้แนวต้าน 1 บาท
นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.คันทรี่กรุ๊ป (CGS) เปิดเผยว่า หากประเมินเส้นกราฟเทคนิคราคาหุ้นขนาดเล็กแล้วพบว่าหุ้น PAE ยังมีความน่าสนใจเข้าเก็งกำไรมากที่สุด เนื่องจากมีความเสี่ยงไม่มากเท่ากับตัวอื่น หลังจากเบื้องต้นพบว่าหากมีปริมาณการซื้อขายเข้ามาในช่วงระยะสั้นแล้วก็จะอยู่นานกว่าหุ้นขนาดเล็กตัวอื่น โดยเส้นกราฟเทคนิคเป็นลักษณะกลับตัวรีบาวน์หรือเป็นแบบ V Shape ดังนั้น จึงเชื่อว่าราคาหุ้นก็มีโอกาสขึ้นไปแตะแนวต้านที่ราคา 1.00 บาทได้ อย่างไรก็ตาม ไม่ทราบสาเหตุที่ชัดเจนของการปรับตัวเพิ่มขึ้นของราคาหุ้นดังกล่าว
ทั้งนี้ปิดตลาดวานนี้ (3 มี.ค.)ราคาหุ้น PAE อยู่ที่ 0.95 บาท เพิ่มขึ้น 0.05 บาทหรือ 5.56% มูลค่าการซื้อขาย 39.37 ล้านบาท
สรุปผลการดำเนินงานกลุ่มหุ้นเล็กปี 2553 เทียบกับ ปี 2552 (หน่วย:ล้านบาท)
ปี 2553 / 2552 / เปลี่ยนแปลง / (%)
APURE / (53.82) / 32.23 / ( 86.05 ) / -266.98
PE / (5.09) / 8.92 / (14.01) / -157.06
PT / 28.39 / (6.99) / 35.38 / 506.15
PAE / (116.64) / (176.02) / (59.38) / 33.73
DISTAR / (43.06) / (263.58) / (220.52 ) / 83.66
TFI / (60.68) / (138.77) / (78.09) / 56.27
INOX / 642.96 / 405.43 / 237.53 / 58.58
GEN / (89.77) / (123.33) / (33.56) / 27.21
KTP / (104.74) / (63.13) / ( 41.61) / - 65.91
N-PARK / 239.58 / (495.83) / 735.41 / 148.31
PLE / 231.34 / (1,113.22) / 1344.56 / 120.78
MDX / 180.22 / 21.52 / 158.74 / 737.45
MIDA / 71.17 / 7.46 / 63.71 / 854.02
PLUS / (42.12) / (43.51) / (1.39 ) / 3.19
EPCO / 112.14 / 100.81 / 11.33 / 11.23
LIVE / (154.44) / (38.51) / ( 115.93) / -301.03
MPIC / 43.49 / (2.73) / 46.22 / 1693.04
MME / (46.83) / 1.77 / ( 48.6) / -2745.76
WIN / 2.34 / (69.72) / 72.06 / 103.35
BLISS / 48.61 / (95.31) / 143.92 / 151.00
E / 86.71 / 3.27 / 83.44 / 2551.68
**NNCL /186.29 / 22.38 / 163.91 / 732.39
**MAX /(24.62) / (124.20) / (99.58) / 80.17
รวม / 1131.43 / ( 2151.06) / 3282.49 / 152.59
หมายเหตุ
** NNCL MAX เป็นงบเฉพาะกิจการ
() หมายถึง ขาดทุน - หมายถึง ผลงานติดลบ
ที่มา : http://www.bloggang.com/mainblog.php?id ... &gblog=298
"แม้การลงทุนจะมีความเสี่ยง แต่มันก็มีความฝันปะปนด้วยอยู่เสมอ..."