งานสัมมนา Thailand 2019 ที่ประชาชาติจัดขึ้นมาเป็นปีที่สามและมีทำหนังสือจัดอันดับ 100 บริษัทในอาเซียน
มีวิทยากรทรงคุณวุฒิมาพูดมากมาย ได้แก่
รองนายกรัฐมนตรี ดร สมคิด
ดร ศุภวุฒิ สายเชื้อ
CEO ปตท / คุณศุภจี จาก ดุสิตธานี และ คุณชฏาทิพ จาก siampiwat มาพูด เนื้อหาอัดแน่นมากครับ ดร สมคิด ผมสรุปก่อนหน้านี้แล้ว
นายศุภวุฒิ สายเชื้อ ที่ปรึกษาสถาบันวิจัยกลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร กล่าวในงานสัมมนา "THAILAND 2019" เมื่อคนเปลี่ยน แลนด์สเคปธุรกิจโลกเปลี่ยน ธุรกิจไทยจะก้าวไปอย่างไรว่า เบื้องต้นภาพเศรษฐกิจไทยในปี 62 จะเติบโตต่ำกว่าระดับ 4% ซึ่งเป็นอัตราชะลอตัวลงจากปีนี้ที่คาดว่าเศรษฐกิจไทยจะเติบโตได้ 4.3% โดยภาคการท่องเที่ยวซึ่งคิดเป็นประมาณ 15% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) จะฟื้นตัว และการส่งออกสินค้าจะเติบโตได้ในระดับหนึ่ง แต่สิ่งที่จะเป็นแรงขับเคลื่อนหลักเศรษฐกิจใหม่ คือการที่ภาครัฐสนับสนุนการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน รวมถึงการผลักดันโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC)
ทั้งนี้ ยังต้องจับตาการผลักดันลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐนั้น จะหนุนให้เกิดการลงทุนของภาคเอกชนตามมาหรือไม่ หลังจากที่ในปีนี้การลงทุนของภาคเอกชนเติบโตเพียง 3.5% หากโครงการดังกล่าวประสบความสำเร็จก็ควรจะเห็นการลงทุนของภาคเอกชนเติบโตมากกว่า 3.5% ค่อนข้างมาก หรือเติบโตสูงกว่าที่ตลาดคาดการณ์
นายศุภวุฒิ กล่าวว่า สิ่งที่รัฐบาลกำลังผลักดันหลักในขณะนี้ คือการสร้างรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน (ดอนเมือง-สุวรรณภูมิ-อู่ตะเภา) ซึ่งจะเป็นการนำทรัพย์สินที่มีการใช้น้อยกลับมาใช้ให้คุ้มค่า โดยเฉพาะสนามบินอู่ตะเภาที่ปัจจุบันรองรับผู้โดยสารอยู่เพียง 1 ล้านคน ก็จะสามารถผลักดันให้รองรับได้ถึง 20-30 ล้านคน ก็จะหนุนให้มีนักท่องเที่ยวเข้ามามากขึ้น นอกจากนี้รัฐบาลยังมีแผนการจัดตั้งศูนย์ซ่อมบำรุงอากาศยาน และจะมีอุตสาหกรรมใหม่ ๆ เกิดขึ้น โดยคาดว่าจะเห็นเป็นรูปธรรมอย่างน้อยในช่วงครึ่งหลังปี 62
สำหรับปัจจัยทางด้านการเมืองของไทย นายศุภวุฒิ กล่าวว่า โดยส่วนตัวไม่เชื่อว่าการเลือกตั้งที่มีความชัดเจนว่าจะมีการเลือกตั้งในปี 62 จะทำให้ตลาดหุ้นปรับตัวขึ้น เพราะการเลือกตั้งเป็นเพียงการเปลี่ยนผ่านไปสู่ระบบประชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญใหม่ ขณะที่ไทยไม่มีการเลือกตั้งมาเป็นเวลาประมาณ 8 ปี จึงเป็นเรื่องแปลกใหม่สำหรับการเลือกตั้งภายใต้กติกาใหม่อย่างในปัจจุบัน ทำให้มองว่าในช่วงครึ่งแรกของปี 62 จะเป็นเรื่องความไม่แน่นอนทางการเมือง การนับคะแนน การจัดตั้งรัฐบาล ทำให้นักลงทุนส่วนใหญ่ยัง wait & see ว่ารัฐบาลใหม่จะมีนโยบายอย่างไร และมีศักยภาพ ตลอดจนเสถียรภาพทางการเมืองในระดับไหน และในช่วงครึ่งหลังของปี 62 ก็จะมุ่งที่การบริหารจัดการการเมืองและความไม่แน่นอนให้หมดลงไป
ด้านปัจจัยต่างประเทศที่การส่งออก คิดเป็นสัดส่วน 50% ของจีดีพี และการท่องเที่ยวคิดเป็นสัดส่วน 15% ของจีดีพี ทำให้กำลังซื้อที่มาจากภายนอกคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 70% ของจีดีพีจะได้รับผลกระทบอย่างไร ท่ามกลางประเด็นสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีนที่เกิดขึ้น ขณะที่ด้านตลาดยุโรป ก็ยังไม่สามารถที่จะเป็นผู้นำทางเศรษฐกิจของโลกได้ หลังยังมีปัญหางบประมาณของอิตาลี และกรณีการถอนตัวจากสหภาพยุโรปของอังกฤษ (Brexit) รวมถึงเยอรมนี ซึ่งเป็นประเทศแกนหลักของยุโรปก็จะออกจากการมีบทบาททางการเมือง
ด้านจีนก็จะเป็นลักษณะการประคองตัว และใช้นโยบายให้ค่าเงินหยวนทยอยอ่อนค่า เพื่อรับมือกับสงครามการค้า ซึ่งการลดค่าเงินนับเป็นการลดอำนาจซื้อลง ขณะที่การอ่อนค่าของเงินหยวน กดดันให้ค่าเงินในตลาดเกิดใหม่ (Emerging Market) อ่อนค่าลงด้วย ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อกำลังซื้อตลาดโลกให้ลดลงไปด้วยในปี 62
"มองดูเศรษฐกิจโลก ค่าเงินที่ไม่ชัดเจน คุณเป็นนักลงทุน คุณเป็นผู้บริหารบริษัทใหญ่ ๆ ก็ wait & see เหมือนกัน เกรงว่าการลงทุนของโลกจะแผ่ว"นายศุภวุฒิ กล่าว
นายศุภวุฒิ กล่าวอีกว่า ส่วนประเด็นการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐ น่าจะยังคงมีทิศทางปรับขึ้นในเดือน ธ.ค.นี้อีก 1 ครั้ง และในปี 62 ปรับขึ้นอีก 3 ครั้ง เพราะเศรษฐกิจสหรัฐปรับขึ้นอย่างร้อนแรงจึงจำเป็นต้องขึ้นดอกเบี้ยนโยบายให้กลับเข้าสู่ภาวะปกติ อย่างไรก็ตาม ไทยจะจำเป็นต้องขึ้นดอกเบี้ยหรือไม่นั้น อยู่ที่ภาครัฐจะพิจารณา โดยเฉพาะในกรณีที่เงินเฟ้อยังอยู่ในระดับต่ำเพียงแค่ 1% ,การเกินดุลบัญชีเดินสะพัดยังแข็งแกร่งอยู่ในระดับ 7-8% ของจีดีพีในปีนี้ และคาดว่าจะอยู่ระดับ 6-7% ของจีดีพีในปีหน้า ซึ่งเงินทุนยังไหลเข้าประเทศ จากภาคการส่งออกที่มากกว่าการนำเข้าเดือนละ 2-3 พันล้านเหรียญสหรัฐ
"ประเด็นที่น่าสนใจต้องดูค่าเงินดอลลาร์ไปทางไหน แนวโน้มก็คงจะแข็งค่าขึ้น ก็ต้องดูว่าเรามีศักยภาพที่จะไม่ขึ้นดอกเบี้ยหรือไม่ คือดูว่าดุลบัญชีเดินสะพัดยังสูงอยู่หรือเปล่า นักท่องเที่ยวจีนจะกลับมาหรือเปล่า การส่งออกสินค้าโดยรวมเป็นอย่างไร คือภาพรวมการมองภาพเศรษฐกิจไทยในปีหน้า สิ่งที่เราคงจะเห็นครึ่งปีแรกเราก็คงจะพะวงสนใจหาคำตอบให้ตัวเองด้านการเมือง และครึ่งหลังประเมินว่ารัฐบาลใหม่จะมีนโยบายอะไรที่จะขับเคลื่อนเศรษฐกิจ"นายศุภวุฒิ กล่าว
ด้านนางศุภจี สุธรรมพันธุ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บมจ.ดุสิตธานี (DTC) กล่าวว่า การปรับตัวของภาคธุรกิจการท่องเที่ยวไม่ได้เป็นเพียงแค่ในระยะสั้นปี 62 แต่ควรจะต้องปรับตัวเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงในระยะยาว ที่ทิศทางของภาคการท่องเที่ยวมีการเปลี่ยนแปลงหลายอย่าง เช่น นักเดินทางท่องเที่ยวในปัจจุบันจะเป็นการเติบโตของชนชั้นกลาง และผู้เดินทางส่วนใหญ่อยู่ในภูมิภาคเอเชีย ซึ่งอาจทำให้รูปแบบของการให้บริการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมที่นักเดินทางจากภาตตะวันตกต้องการรับบริการในรูปแบบหนึ่ง แต่ในภาคเอเชียต้องการรับบริการในรูปแบบหนึ่ง ,การนำเทคโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) เข้ามาร่วมให้บริการ ,ฝึกบุคลากรเพื่อรองรับกับการให้บริการ ,การมีจพื้นฐานให้เพียงพอกับการอำนวยความสะดวกของนักท่องเที่ยว ตลอดจนการท่องเที่ยวด้วยการรักษาสิ่งแวดล้อมและให้เกิดความยั่งยืน เป็นต้น
ทั้งนี้ เห็นว่าภาคธุรกิจจะต้องพึงมีปัจจัย 3 ด้านเพื่อรองรับและดึงดูดให้นักท่องเที่ยวกลับเข้ามาเที่ยวไทย เช่น ความสะดวกสบายในการเข้าถึงบริการ , ประสบการณ์ที่ดีเหนือความคาดหมาย และความคุ้มค่าให้กับผู้รับบริการ
ส่วนคุณ ชฎาทิพ จูตระกูล ผู้บริหารของSiampiwat มากล่าวถึงโครงการ
ICONSIAM ซึ่งดร สมคิดกล่าวชมว่าในภาวะเศรษฐกิจแบบนี้กล้าเปิดโครงการ
คุณชฏาทิพ ได้เล่าถึงเหตุการณ์ที่ซื้อที่ดินมา 40 ไร่ติดแม่นำ้เจ้าพระยาทางฝั่งธนบุรี ซึ่งตอนนั้นเมื่อ6ปีที่แล้วยังมีกีฬาสีอยู่เลย ตอนแถลงโครงการก็หลังจาก22 พย 14 สองสัปดาห์ ซึ่งตอนนั้น ไม่ค่อยมีใครกล้าเปิดโครงการใหญ่ๆ
มีอุปสรรคมากมายในการทำงาน รวมทั้งการวางแผนเชื่อมinfrastructureร่วมกับชุมชน นักวิชาการ ภาคประชาสังคม และ ภาครัฐ มีทั้่งรถไฟสายสีทอง 2,000ลบ กับท่านั้ำ 500 ลบ เพื่อเชื่อมต่อการคมนาคมทางน้ำ และส่งเสริมอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวไทย
ICONSIAM Model แนวความคิดใหม่ในการทำธุรกิจสู่ความยั่งยืนร่วมกัน
1.The Combine Excellence การรวมสุดยอดฝีมือไทยและจาก 4 ทวีปทั่วโลก
เพื่อสร้างสรรค์ผลงานการออกแบบ ศิลปะและ วัฒนธรรม
2.The Share Values model การผนึกกำลังคร้้งยิ่งใหญ่เพื่อให้แม่น้ำเจ้าพระยา
เป็น The Next Global Destination.
3.The CO-Creation การสร้างเมืองสุขสยาม ด้วยความร่วมมือระดับชาติจากชุมชมท้องถิ่นไทย
ต้องขอบคุณ ICONSIAM ทำให้ชาวฝั่งธนมีที่พักผ่อนหย่อนใจไม่แพ้คนในเมืองแล้ว ต่อไปไม่ต้องง้อพารากอนแล้ว
Cr: ข้อมูลบางส่วนจาก InfoQuest
Thailand2019
-
- Verified User
- โพสต์: 2195
- ผู้ติดตาม: 0
Re: Thailand2019
โพสต์ที่ 2
"สมคิด" แนะไทยใช้โอกาสเป็นเจ้าภาพอาเซียนปี 62 สร้างความเชื่อมั่น ดึงการค้าการลงทุนจากจีน-ญี่ปุ่น
ดร. สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวปาฐกถาพิเศษภายในงานสัมมนา "THAILAND 2019 : เมื่อคนเปลี่ยน Landscapeธุรกิจโลกเปลี่ยน ธุรกิจไทยจะก้าวไปอย่างไร" ว่า
ในปี 62 ถือเป็นปีที่มีความสำคัญอย่างมากสำหรับประเทศไทย เนื่องจากเป็นปีที่เห็นทั้งโอกาสและความเสี่ยงที่มาจากโลกและไทยเอง
โอกาสอันแรกอยู่ที่เอเชีย โดยเฉพาะ ญึ่ปุ่นและจีน ที่มีเศรษฐกิจที่เป็นกำลังหลักที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจเอเชีย เรต้องสร้างความสัมพันธ์ลึกซึ้ง และ ก้าวไปเรื่อยๆไม่เห็นประเทศไหนทันเรา
จีนเมื่อ 15 ปีก่อน เราคุยในระดับคณะรัฐมนตรีว่าจะร่วมมือกันอย่างไร เพื่อทำให้เกิดความสัมพันธ์ลึกซึ้ง ล่าสุดมีการเดินทางไปยังประเทศจีน
โดยมีความตั้งใจที่จะเปลี่ยนจาก high level การค้า ไปสู่ระดับความร่วมมือระหว่างกระทรวงและกระทรวง รวมไปถึงความสัมพันธ์
กับอนุภูมิภาค หรือ Subregion ประกอบด้วยจีน11มณฑล รวม เซี่ยงไฮ้ ปักกิ่ง เทียนสิน ทำให้จีนก้าวหน้า ซึ่งหากไทยสามารถเป็นศูนย์กลางของ CLMVT ในการประสานประเทศต่างๆ ได้ ไทยจะมีโปรไฟล์ที่ใหญ่ขึ้นและเป็นจุดสนใจของประเทศยักษ์ใหญ่ เช่น จีน, ญี่ปุ่น ที่จะใช้ไทยให้เกิดประโยชน์สูงสุด
รองนายกรัฐมนตรี ยังมองว่าประเทศจีนในขณะนี้ มีความต้องการเชื่อมโยงเส้นทางจากประเทศจีนไปยังประเทศอื่นๆ โดยใช้เส้นทางรถไฟ หรือเรียกว่าโครงการเส้นทางสายเศรษฐกิจ (One Belt One Road : OBOR) โดยสิ่งสำคัญ คือ การค้าและการลงทุนจะขยายไปตามเส้นทางดังกล่าว ซึ่งขณะนี้เส้นทางที่จะเป็นไปได้มากที่สุด คือ การเชื่อมโยงเส้นทางทางภาคใต้ของไทยถึงแม้จะไม่รวมมาเลเซียก็ตาม เราจะเพิ่มจากEECไปถึงชุมพร สุราษฏร์ เชื่อมอันดามันกับอ่าวไทย
หากสามารถทำให้ไทยและจีนเชื่อมโยงกันได้ ก็จะเป็นการสร้างเสน่ห์ให้กับประเทศ ที่นอกเหนือไปจากการพัฒนาพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC)
ขณะเดียวกัน ภายในปีนี้จะมีการผลักดันการเจรจาความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (RCEP) ระหว่างอาเซียน กับ 6 ประเทศคู่เจรจา คือ จีน, อินเดีย, ญี่ปุ่น, เกาหลีใต้, ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ให้สำเร็จตามเป้าหมาย ซี่งจะส่งผลทำให้ RCEP มีเขตการค้าที่ใหญ่ที่สุดในโลกเท่าที่เคยมีมา โดยขณะนี้ถือเป็นสัญญาณที่ดี เนื่องจากประเทศญี่ปุ่นได้ส่งสัญญาณชัดเจนในการผลักดันให้ RCEP เกิดขึ้นจริงในปีนี้ หรืออย่างช้าปีหน้า
"เมื่อไรที่ RCEP เกิด One Belt One Road พาดผ่าน และประเทศไทยสามารถทำตัวของเราเองให้เป็นหัวใจของ CLMVT ได้ อันนี้คือโอกาสมหาศาล ซึ่งผมเคยพูดว่าประเทศเล็ก-ใหญ่ไม่สำคัญ สำคัญคือ เราต้องแสดงให้เห็นถึงนัยสำคัญกับ geopolitics ของโลก และวันนี้กำลังเกิดขึ้น" รองนายกรัฐมนตรีกล่าว
พร้อมระบุว่า นอกจากนี้ ประเทศจีนยังต้องการที่จะเปิดประเทศ ซึ่งถือเป็นเชิงสัญลักษณ์ในการที่จีนจะก้าวขึ้นเป็นผู้นำระดับโลก จากการผลักดันการค้าในประเทศฮ่องกง มาเก๊า และกวางตุ้ง ให้เกิดขึ้น โดยไทยเองแม้ว่าจะเป็นประเทศเล็ก แต่ก็พร้อมที่จะสนับสนุนให้เกิดการค้าเสรี และต้องการบอกกับประเทศจีนว่าการดำเนินยุทธศาสตร์ที่สำคัญของจีนนั้นจำเป็นต้องอาศัย Connectivity โดยไทยเป็นกลุ่มของ CLMVT ขอให้ใช้ตรงนี้ให้เกิดประโยชน์
สีเจี้ยนผิง ชัดเจนที่ต้องการให้จีนเปิดประเทศ ต้องการให้ One Belt One Road ไปทุกชาติด้วยเหตุผลสองประการคือ
1. เขาต้องการเป็นผู้นำระดับโลก ไม่ใช่เพื่อประโยชน์สำหรับคนจีนเท่านั้น
2. จากการประชุม One Belt One Road มีการจัดงานหงเฉียวฟอร์รั่ม ผู้ค้าขายมาเจอกัน ฮ่องกง มาเก๊า กวางตุ้ง ถือเป็นหัวมังกร และ ผู้ว่าอีก8มณฑลเป็นท้องมังกรมารับแขก เขาต้องการผลักดันให้เกิดการค้าในภูมิภาคให้ได้
เราเห็นด้วยกับจีน ในการสร้างกำลังใจ สร้างบทบาทเกื้อกูลกัน ปีหน้าเราเป็นประธานอาเซียนจะหนุนไทยให้เด่น ปีหน้าจีนยังโตดี RCEPเกิด และ ไทยอยู่ใน TPP ตอนก่อนหน้า Harry Landเดิมจะตั้งที่เวียดนาม แต่เราชวนมาไทย ซึ่งเขาก็ตกลง แต่ขอเรื่องอำนวยความสะดวกในการธุรกรรม ถ้าเราแก้ไขได้ ต้นปีหน้าจะมีการค้าขายจากฮ่องกงมา เราต้องการสร้างกลไกขึ้นมาสามารถพูดทีเดียว 3 มณฑล คือ ฮ่องกง มาเก๊า และกวางตุ้ง ผู้ว่าทางเขาก็เห็นด้วย เมื่อวานนายกของสิงคโปร์จับมือกับจีน เพื่อยกระดับFTAระหว่างกัน แต่ก็ตามหลังไทยเยอะ
โอกาสที่สองนั้น เป็นเรื่องของBOI ในเรื่องของสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีนที่เป็นปัญหาในขณะนี้ ไทยจะใช้โอกาสนี้ในการดึงดูดการลงทุนต่างชาติ โดยวันที่ 19 พ.ย.นี้ ทางสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) จะเสนอบอร์ดเพื่อออกมาตรการดังกล่าว ซึ่งจะทำให้เป็นโอกาสที่ดีอย่างมากสำหรับประเทศไทยในปีหน้า
ขณะที่ยังมองเป็นโอกาสสำหรับภาคเอกชนไทยด้วยในการเปลี่ยนแปลง ซึ่งที่ผ่านมา รัฐบาลได้มีการปรับปรุงแก้ไขกฎหมาย ตลอดจนกฎระเบียบข้อบังคับต่างๆ เพื่อรองรับ อีกทั้งรัฐบาลยังคงผลักดันในเรื่องของการท่องเที่ยว และการใช้จ่ายภาครัฐ และการลงทุนในรัฐวิสาหกิจให้เป็นไปตามเป้าหมาย ซึ่งหากสามารถรักษาภาพการลงทุนภาครัฐและเอกชนไว้ได้ สิ่งที่ตามมาคือ ความเชื่อมั่นของภาคประชาชน
ส่วนความเสี่ยงของประเทศไทย ก็คือ มีการเลือกตั้ง ถ้าทำได้ดีจะไปต่อได้ แต่ถ้าทำไม่ได้ก็จะแย่ ไทยเคยเป็นประธานอาเซียน และ เกิดเหตุประท้วงจนประเทศอื่นต้องกลับก่อนกำหนด หวังว่าคราวนี้จะไม่เกิดอีก
สุดท้ายขอขอบคุณ ดร สมคิด ที่มากล่าวเปิดงานและอัปเดท นโยบายให้ครับ
ดร. สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวปาฐกถาพิเศษภายในงานสัมมนา "THAILAND 2019 : เมื่อคนเปลี่ยน Landscapeธุรกิจโลกเปลี่ยน ธุรกิจไทยจะก้าวไปอย่างไร" ว่า
ในปี 62 ถือเป็นปีที่มีความสำคัญอย่างมากสำหรับประเทศไทย เนื่องจากเป็นปีที่เห็นทั้งโอกาสและความเสี่ยงที่มาจากโลกและไทยเอง
โอกาสอันแรกอยู่ที่เอเชีย โดยเฉพาะ ญึ่ปุ่นและจีน ที่มีเศรษฐกิจที่เป็นกำลังหลักที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจเอเชีย เรต้องสร้างความสัมพันธ์ลึกซึ้ง และ ก้าวไปเรื่อยๆไม่เห็นประเทศไหนทันเรา
จีนเมื่อ 15 ปีก่อน เราคุยในระดับคณะรัฐมนตรีว่าจะร่วมมือกันอย่างไร เพื่อทำให้เกิดความสัมพันธ์ลึกซึ้ง ล่าสุดมีการเดินทางไปยังประเทศจีน
โดยมีความตั้งใจที่จะเปลี่ยนจาก high level การค้า ไปสู่ระดับความร่วมมือระหว่างกระทรวงและกระทรวง รวมไปถึงความสัมพันธ์
กับอนุภูมิภาค หรือ Subregion ประกอบด้วยจีน11มณฑล รวม เซี่ยงไฮ้ ปักกิ่ง เทียนสิน ทำให้จีนก้าวหน้า ซึ่งหากไทยสามารถเป็นศูนย์กลางของ CLMVT ในการประสานประเทศต่างๆ ได้ ไทยจะมีโปรไฟล์ที่ใหญ่ขึ้นและเป็นจุดสนใจของประเทศยักษ์ใหญ่ เช่น จีน, ญี่ปุ่น ที่จะใช้ไทยให้เกิดประโยชน์สูงสุด
รองนายกรัฐมนตรี ยังมองว่าประเทศจีนในขณะนี้ มีความต้องการเชื่อมโยงเส้นทางจากประเทศจีนไปยังประเทศอื่นๆ โดยใช้เส้นทางรถไฟ หรือเรียกว่าโครงการเส้นทางสายเศรษฐกิจ (One Belt One Road : OBOR) โดยสิ่งสำคัญ คือ การค้าและการลงทุนจะขยายไปตามเส้นทางดังกล่าว ซึ่งขณะนี้เส้นทางที่จะเป็นไปได้มากที่สุด คือ การเชื่อมโยงเส้นทางทางภาคใต้ของไทยถึงแม้จะไม่รวมมาเลเซียก็ตาม เราจะเพิ่มจากEECไปถึงชุมพร สุราษฏร์ เชื่อมอันดามันกับอ่าวไทย
หากสามารถทำให้ไทยและจีนเชื่อมโยงกันได้ ก็จะเป็นการสร้างเสน่ห์ให้กับประเทศ ที่นอกเหนือไปจากการพัฒนาพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC)
ขณะเดียวกัน ภายในปีนี้จะมีการผลักดันการเจรจาความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (RCEP) ระหว่างอาเซียน กับ 6 ประเทศคู่เจรจา คือ จีน, อินเดีย, ญี่ปุ่น, เกาหลีใต้, ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ให้สำเร็จตามเป้าหมาย ซี่งจะส่งผลทำให้ RCEP มีเขตการค้าที่ใหญ่ที่สุดในโลกเท่าที่เคยมีมา โดยขณะนี้ถือเป็นสัญญาณที่ดี เนื่องจากประเทศญี่ปุ่นได้ส่งสัญญาณชัดเจนในการผลักดันให้ RCEP เกิดขึ้นจริงในปีนี้ หรืออย่างช้าปีหน้า
"เมื่อไรที่ RCEP เกิด One Belt One Road พาดผ่าน และประเทศไทยสามารถทำตัวของเราเองให้เป็นหัวใจของ CLMVT ได้ อันนี้คือโอกาสมหาศาล ซึ่งผมเคยพูดว่าประเทศเล็ก-ใหญ่ไม่สำคัญ สำคัญคือ เราต้องแสดงให้เห็นถึงนัยสำคัญกับ geopolitics ของโลก และวันนี้กำลังเกิดขึ้น" รองนายกรัฐมนตรีกล่าว
พร้อมระบุว่า นอกจากนี้ ประเทศจีนยังต้องการที่จะเปิดประเทศ ซึ่งถือเป็นเชิงสัญลักษณ์ในการที่จีนจะก้าวขึ้นเป็นผู้นำระดับโลก จากการผลักดันการค้าในประเทศฮ่องกง มาเก๊า และกวางตุ้ง ให้เกิดขึ้น โดยไทยเองแม้ว่าจะเป็นประเทศเล็ก แต่ก็พร้อมที่จะสนับสนุนให้เกิดการค้าเสรี และต้องการบอกกับประเทศจีนว่าการดำเนินยุทธศาสตร์ที่สำคัญของจีนนั้นจำเป็นต้องอาศัย Connectivity โดยไทยเป็นกลุ่มของ CLMVT ขอให้ใช้ตรงนี้ให้เกิดประโยชน์
สีเจี้ยนผิง ชัดเจนที่ต้องการให้จีนเปิดประเทศ ต้องการให้ One Belt One Road ไปทุกชาติด้วยเหตุผลสองประการคือ
1. เขาต้องการเป็นผู้นำระดับโลก ไม่ใช่เพื่อประโยชน์สำหรับคนจีนเท่านั้น
2. จากการประชุม One Belt One Road มีการจัดงานหงเฉียวฟอร์รั่ม ผู้ค้าขายมาเจอกัน ฮ่องกง มาเก๊า กวางตุ้ง ถือเป็นหัวมังกร และ ผู้ว่าอีก8มณฑลเป็นท้องมังกรมารับแขก เขาต้องการผลักดันให้เกิดการค้าในภูมิภาคให้ได้
เราเห็นด้วยกับจีน ในการสร้างกำลังใจ สร้างบทบาทเกื้อกูลกัน ปีหน้าเราเป็นประธานอาเซียนจะหนุนไทยให้เด่น ปีหน้าจีนยังโตดี RCEPเกิด และ ไทยอยู่ใน TPP ตอนก่อนหน้า Harry Landเดิมจะตั้งที่เวียดนาม แต่เราชวนมาไทย ซึ่งเขาก็ตกลง แต่ขอเรื่องอำนวยความสะดวกในการธุรกรรม ถ้าเราแก้ไขได้ ต้นปีหน้าจะมีการค้าขายจากฮ่องกงมา เราต้องการสร้างกลไกขึ้นมาสามารถพูดทีเดียว 3 มณฑล คือ ฮ่องกง มาเก๊า และกวางตุ้ง ผู้ว่าทางเขาก็เห็นด้วย เมื่อวานนายกของสิงคโปร์จับมือกับจีน เพื่อยกระดับFTAระหว่างกัน แต่ก็ตามหลังไทยเยอะ
โอกาสที่สองนั้น เป็นเรื่องของBOI ในเรื่องของสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีนที่เป็นปัญหาในขณะนี้ ไทยจะใช้โอกาสนี้ในการดึงดูดการลงทุนต่างชาติ โดยวันที่ 19 พ.ย.นี้ ทางสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) จะเสนอบอร์ดเพื่อออกมาตรการดังกล่าว ซึ่งจะทำให้เป็นโอกาสที่ดีอย่างมากสำหรับประเทศไทยในปีหน้า
ขณะที่ยังมองเป็นโอกาสสำหรับภาคเอกชนไทยด้วยในการเปลี่ยนแปลง ซึ่งที่ผ่านมา รัฐบาลได้มีการปรับปรุงแก้ไขกฎหมาย ตลอดจนกฎระเบียบข้อบังคับต่างๆ เพื่อรองรับ อีกทั้งรัฐบาลยังคงผลักดันในเรื่องของการท่องเที่ยว และการใช้จ่ายภาครัฐ และการลงทุนในรัฐวิสาหกิจให้เป็นไปตามเป้าหมาย ซึ่งหากสามารถรักษาภาพการลงทุนภาครัฐและเอกชนไว้ได้ สิ่งที่ตามมาคือ ความเชื่อมั่นของภาคประชาชน
ส่วนความเสี่ยงของประเทศไทย ก็คือ มีการเลือกตั้ง ถ้าทำได้ดีจะไปต่อได้ แต่ถ้าทำไม่ได้ก็จะแย่ ไทยเคยเป็นประธานอาเซียน และ เกิดเหตุประท้วงจนประเทศอื่นต้องกลับก่อนกำหนด หวังว่าคราวนี้จะไม่เกิดอีก
สุดท้ายขอขอบคุณ ดร สมคิด ที่มากล่าวเปิดงานและอัปเดท นโยบายให้ครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 2195
- ผู้ติดตาม: 0
Re: Thailand2019
โพสต์ที่ 3
Thailand2019 By นางศุภจี สุธรรมพันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัท ดุสิตธานี จำกัด
มาพูดถึงอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวต้องปรับตัวอย่างไรเมื่อสิ่งรอบข้างและนักท่องเที่ยวเปลี่ยนไป
เปิด 10 เทรนด์ท่องเที่ยวปีหน้า! “ดุสิตธานี” ขยายเซกเมนต์คลุมบูทีค-สตาร์ตอัพ เตรียมรับท่องเที่ยวสู่ธุรกิจสร้างประสบการณ์
นางศุภจี สุธรรมพันธ์ เปิดเผยในงานสัมมนา Thailand 2019 ที่จัดโดยประชาชาติธุรกิจว่า ในปี 2019 การท่องเที่ยวจะเปลี่ยนแปลงจากธุรกิจการให้บริการไปสู่ธุรกิจการสร้างประสบการณ์ ผู้ประกอบการจะต้องมีการปรับตัวให้สามารถมอบ Convenience Experience และ Value คือสร้างความสะดวกสบาย ประสบการณ์ใหม่ๆ ที่คุ้มค่าให้กับผู้บริโภค
โดย 10 เทรนด์ที่กำลังจะเกิดขึ้นกับการท่องเที่ยวโลก ได้แก่ 1.ผลกระทบของธุรกิจโมเดลใหม่ เช่น Airbnb 2.การพัฒนาของเทคโนโลยีอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง อาทิ การเข้ามามีบทบาทของ AI 3.กลุ่มนักท่องเที่ยวที่เปลี่ยนจากเดิม อาทิ นักท่องเที่ยวตะวันตกถูกแทนที่ด้วยกลุ่มชนชั้นกลางในเอเชีย 4.การรวมสิ่งต่างๆ แบบ co-everything 5.การตลาดที่ Personality จะกลายเป็นคีย์สำคัญ 6.ระบบโครงสร้างสาธารณะจะสำคัญยิ่งขึ้น 7.การพบกันของระบบเก่ากับนักท่องเที่ยวใหม่ที่จะทำให้ต้องปรับปรุงระบบ 8.การท่องเที่ยวเชิง wellness จะได้รับความนิยม 9.การขาดแคลนแรงงานภาคท่องเที่ยว และ 10.การท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน
โดยผู้ประกอบการจะต้องพัฒนาใน 3 ส่วน เพื่อให้สามารถตอบโจทย์ผู้บริโภคและยืนอยู่ในตลาด คือ สร้างการตลาดรูปแบบใหม่ๆ ที่สร้างความประทับใจ ปรับเปลี่ยนโครงสร้างและระบบขององค์กรในทุกด้าน รวมถึงสร้างความประทับใจที่แตกต่างเพื่อยืนอยู่ในตลาดให้ได้ยาวนาน
นางศุภจีกล่าวต่อว่า ดุสิตธานีก็ได้มีการปรับตัวโดยการขยายธุรกิจที่เคยมุ่งเน้นการบริการแบบ full service ไปสู่เซกเมนต์อื่นๆ ในการทำธุรกิจ อาทิ การเปิดตัว ASAI แบรนด์ไลฟ์สไตล์บูทีค การร่วมลงทุนใน favstay สตาร์ตอัพแชร์ริ่ง เพื่อที่จะขยายการให้บริการออกไปให้ครอบคลุมทุกด้านและสร้างความประทับใจไปทั่วโลก
“นอกจากนั้นการท่องเที่ยวยังต้องการการสนับสนุนจากภาคส่วนต่างๆ ในหลายด้าน อาทิ การพัฒนาโครงสร้างสาธารณะ การเพิ่มแรงงานด้านท่องเที่ยว การเพิ่มคุณภาพการท่องเที่ยว การเพิ่มความปลอดภัย การส่งเสริมและบังคับใช้กฏระเบียบและใบอนุญาต การสร้างความตื่นตัวด้านสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืน และการโปรโมตเมืองรองเพื่อให้เกิดการกระจายรายได้ เป็นต้น” นางศุภจีกล่าว
มาพูดถึงอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวต้องปรับตัวอย่างไรเมื่อสิ่งรอบข้างและนักท่องเที่ยวเปลี่ยนไป
เปิด 10 เทรนด์ท่องเที่ยวปีหน้า! “ดุสิตธานี” ขยายเซกเมนต์คลุมบูทีค-สตาร์ตอัพ เตรียมรับท่องเที่ยวสู่ธุรกิจสร้างประสบการณ์
นางศุภจี สุธรรมพันธ์ เปิดเผยในงานสัมมนา Thailand 2019 ที่จัดโดยประชาชาติธุรกิจว่า ในปี 2019 การท่องเที่ยวจะเปลี่ยนแปลงจากธุรกิจการให้บริการไปสู่ธุรกิจการสร้างประสบการณ์ ผู้ประกอบการจะต้องมีการปรับตัวให้สามารถมอบ Convenience Experience และ Value คือสร้างความสะดวกสบาย ประสบการณ์ใหม่ๆ ที่คุ้มค่าให้กับผู้บริโภค
โดย 10 เทรนด์ที่กำลังจะเกิดขึ้นกับการท่องเที่ยวโลก ได้แก่ 1.ผลกระทบของธุรกิจโมเดลใหม่ เช่น Airbnb 2.การพัฒนาของเทคโนโลยีอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง อาทิ การเข้ามามีบทบาทของ AI 3.กลุ่มนักท่องเที่ยวที่เปลี่ยนจากเดิม อาทิ นักท่องเที่ยวตะวันตกถูกแทนที่ด้วยกลุ่มชนชั้นกลางในเอเชีย 4.การรวมสิ่งต่างๆ แบบ co-everything 5.การตลาดที่ Personality จะกลายเป็นคีย์สำคัญ 6.ระบบโครงสร้างสาธารณะจะสำคัญยิ่งขึ้น 7.การพบกันของระบบเก่ากับนักท่องเที่ยวใหม่ที่จะทำให้ต้องปรับปรุงระบบ 8.การท่องเที่ยวเชิง wellness จะได้รับความนิยม 9.การขาดแคลนแรงงานภาคท่องเที่ยว และ 10.การท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน
โดยผู้ประกอบการจะต้องพัฒนาใน 3 ส่วน เพื่อให้สามารถตอบโจทย์ผู้บริโภคและยืนอยู่ในตลาด คือ สร้างการตลาดรูปแบบใหม่ๆ ที่สร้างความประทับใจ ปรับเปลี่ยนโครงสร้างและระบบขององค์กรในทุกด้าน รวมถึงสร้างความประทับใจที่แตกต่างเพื่อยืนอยู่ในตลาดให้ได้ยาวนาน
นางศุภจีกล่าวต่อว่า ดุสิตธานีก็ได้มีการปรับตัวโดยการขยายธุรกิจที่เคยมุ่งเน้นการบริการแบบ full service ไปสู่เซกเมนต์อื่นๆ ในการทำธุรกิจ อาทิ การเปิดตัว ASAI แบรนด์ไลฟ์สไตล์บูทีค การร่วมลงทุนใน favstay สตาร์ตอัพแชร์ริ่ง เพื่อที่จะขยายการให้บริการออกไปให้ครอบคลุมทุกด้านและสร้างความประทับใจไปทั่วโลก
“นอกจากนั้นการท่องเที่ยวยังต้องการการสนับสนุนจากภาคส่วนต่างๆ ในหลายด้าน อาทิ การพัฒนาโครงสร้างสาธารณะ การเพิ่มแรงงานด้านท่องเที่ยว การเพิ่มคุณภาพการท่องเที่ยว การเพิ่มความปลอดภัย การส่งเสริมและบังคับใช้กฏระเบียบและใบอนุญาต การสร้างความตื่นตัวด้านสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืน และการโปรโมตเมืองรองเพื่อให้เกิดการกระจายรายได้ เป็นต้น” นางศุภจีกล่าว
-
- Verified User
- โพสต์: 2195
- ผู้ติดตาม: 0
Re: Thailand2019
โพสต์ที่ 4
ปตท.พร้อมรับมือการเปลี่ยนแปลงธุรกิจพลังงานหลังแนวโน้มความต้องการใช้น้ำมันลดลง คนจะหันมาใช้รถยนต์ไฟฟ้า( EV )มากขึ้น เตรียมนำเทคโนโลยีสมองกล AI เข้ามาปรับปรุงประสิทธิภาพธุรกิจตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ เพื่อตอบสนองความต้องการลูกค้าโดยคำนึงถึงความมั่นคงพลังงานประเทศและสิ่งแวดล้อม
นายชาญศิลป์ ตรีนุชกร ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน ) กล่าวในงานสัมมนา Thailand 2019 ว่า ทิศทางความต้องการใช้น้ำมันในอนาคตจะเกิดการปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง ทั้งฝั่งผู้ผลิตและผู้ใช้ ซึ่งจะเห็นว่ากลุ่มประเทศโอเปก ที่ในอดีตผลิตน้ำมันดิบออกมาประมาณ 70% ของความต้องการ แต่ปัจจุบันลดลงเหลืออยู่ที่ 40% ในขณะที่การใช้พลังงานไฟฟ้ามากขึ้น โดยเฉพาะรถยนต์ไฟฟ้า( EV) ซึ่งเป็นเรื่องท้าทาย ที่ธุรกิจของกลุ่ม ปตท. จะต้องปรับตัวรองรับในสิ่งใหม่ที่เกิดขึ้น เพื่อให้ก้าวทันต่อการเปลี่ยนแปลง
โดยปัจจุบันจะเห็นว่าบริษัทมีการลงทุนกลุ่มธุรกิจใหม่ด้านเทคโนโลยี นวัตกรรม อย่างต่อเนื่อง เช่นลงทุนนำระบบสมองกลอัจฉริยะ( AI) เข้ามาพัฒนาดูแลเรื่องของโรงแยกก๊าซธรรมชาติ ซึ่งเป้าหมายจะขยายให้ได้ทั้งหมด 6 โรง การนำเทคโนโลยีมาช่วยในการขุดเจาะ การสร้างอุตสาหกรรมเป้าหมาย หรือ new s curve ที่ร่วมมือกับทุกหน่วยงานไม่ว่าภาครัฐ ภาคเอกชน การเชื่อมโยงด้านขนส่งทางท่อ เป็นต้น ซึ่งล้วนเป็นการลงทุนตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ ปลายน้ำเพื่อตอบสนองความต้องการให้กับผู้บริโภค และอยู่ภายใต้นโยบายหลักคือมุ่งเน้นสร้างความมั่นคงและยั่งยืนทางด้านพลังงานให้กับประเทศ อีกทั้งยังให้ความสำคัญกับเรื่องของสิ่งแวดล้อม
นายชาญศิลป์ ตรีนุชกร ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน ) กล่าวในงานสัมมนา Thailand 2019 ว่า ทิศทางความต้องการใช้น้ำมันในอนาคตจะเกิดการปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง ทั้งฝั่งผู้ผลิตและผู้ใช้ ซึ่งจะเห็นว่ากลุ่มประเทศโอเปก ที่ในอดีตผลิตน้ำมันดิบออกมาประมาณ 70% ของความต้องการ แต่ปัจจุบันลดลงเหลืออยู่ที่ 40% ในขณะที่การใช้พลังงานไฟฟ้ามากขึ้น โดยเฉพาะรถยนต์ไฟฟ้า( EV) ซึ่งเป็นเรื่องท้าทาย ที่ธุรกิจของกลุ่ม ปตท. จะต้องปรับตัวรองรับในสิ่งใหม่ที่เกิดขึ้น เพื่อให้ก้าวทันต่อการเปลี่ยนแปลง
โดยปัจจุบันจะเห็นว่าบริษัทมีการลงทุนกลุ่มธุรกิจใหม่ด้านเทคโนโลยี นวัตกรรม อย่างต่อเนื่อง เช่นลงทุนนำระบบสมองกลอัจฉริยะ( AI) เข้ามาพัฒนาดูแลเรื่องของโรงแยกก๊าซธรรมชาติ ซึ่งเป้าหมายจะขยายให้ได้ทั้งหมด 6 โรง การนำเทคโนโลยีมาช่วยในการขุดเจาะ การสร้างอุตสาหกรรมเป้าหมาย หรือ new s curve ที่ร่วมมือกับทุกหน่วยงานไม่ว่าภาครัฐ ภาคเอกชน การเชื่อมโยงด้านขนส่งทางท่อ เป็นต้น ซึ่งล้วนเป็นการลงทุนตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ ปลายน้ำเพื่อตอบสนองความต้องการให้กับผู้บริโภค และอยู่ภายใต้นโยบายหลักคือมุ่งเน้นสร้างความมั่นคงและยั่งยืนทางด้านพลังงานให้กับประเทศ อีกทั้งยังให้ความสำคัญกับเรื่องของสิ่งแวดล้อม