BBGI

การลงทุนแบบเน้นคุณค่า เน้นที่ปัจจัยพื้นฐานเป็นหลัก

โพสต์ โพสต์
pakapong_u
Verified User
โพสต์: 40089
ผู้ติดตาม: 1

BBGI

โพสต์ที่ 1

โพสต์

BCP คาดดัน BBGI เข้าตลาดหุ้นใน Q3/61,ตั้งเป้ากลั่นน้ำมันปีนี้ 1.02 แสนบาร์เรล/วันต่ำกว่าปีก่อนรับแผนซ่อมบำรุงในพ.ค.
Source - IQ สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (Th)

Thursday, January 11, 2018 15:14


สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (11 ม.ค. 61)--นายชัยวัฒน์ โควาวิสารัช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.บางจาก คอร์ปอเรชั่น (BCP) เปิดเผยว่า บริษัทมีแผนผลักดันบริษัท บีบีจีไอ จำกัด (BBGI) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยในกลุ่มธุรกิจผลิตภัณฑ์ชีวภาพ เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯในไตรมาส 3/61 เร็วกว่าแผนเดิมเล็กน้อยที่คาดว่าจะนำเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯได้ในไตรมาส 4/61 ซึ่งปัจจุบันได้ตั้งที่ปรึกษาทางการเงินเพื่อเตรียมยื่นแบบเสนอขายหุ้นให้กับประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) แล้ว โดยเบื้องต้นคาดว่าจะกระจายหุ้นราว 20-30%
"เราจะระดมทุนเพื่อนำมาขยายธุรกิจใช้ต่อยอดสินค้าที่มีมูลค่าเพิ่มมากขึ้นเพื่อรองรับในอุตสาหกรรมอาหาร เวชภัณฑ์ เครื่องสำอาง ซึ่งเราศึกษาร่วมกับพันธมิตรด้วย การตั้งโรงงานก็จะอยู่ในพื้นที่ EEC ซึ่งน่าจะเห็นได้เร็ว ๆ นี้"นายชัยวัฒน์ กล่าว
นายชัยวัฒน์ กล่าวว่า สำหรับ BBGI เป็นบริษัทที่เกิดจากการควบรวมระหว่างธุรกิจชีวภาพของบริษัท และธุรกิจเอทานอลของ บมจ.น้ำตาลขอนแก่น (KSL) โดยบริษัทถือหุ้นสัดส่วน 60% และ KSL ถือหุ้น 40% โดยมีสินทรัพย์ประมาณ 1.5-2 หมื่นล้านบาท ประกอบด้วย การถือหุ้น 85% ในบริษัท บางจากไบโอเอทานอล (ฉะเชิงเทรา) จำกัด (BBE) ผู้ผลิตเอทานอลจากมันสำปะหลัง 1.5 แสนลิตร/วัน ,การถือหุ้น 70% ในบริษัท บางจากไบโอฟูเอล จำกัด (BBF) ผู้ผลิตไบโอดีเซล 8.1 แสนลิตร/วัน,การถือหุ้น 21% ในบริษัท อุบล ไบโอ เอทานอล จำกัด (UBE) ผู้ผลิตเอทานอลจากมันสำปะหลัง 4 แสนลิตร/วัน และการถือหุ้น 100% ในโรงงานเอทานอลในพื้นที่น้ำพอง จ.ขอนแก่น และจ.กาญจนบุรี รวม 3.5 แสนลิตร/วัน และมีแผนขยายเป็น 5 แสนลิตร/วันซึ่งจะแล้วเสร็จใน 2 ปี
นอกจากนี้ บริษัทยังมีแผนนำบริษัท บางจากรีเทล จำกัด (BCR) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่ดำเนินธุรกิจนอนออยล์ เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯในอีก 5-7 ปีข้างหน้า หลังจากที่ BCR ได้เริ่มจัดตั้งขึ้นในช่วง 1-2 ปี โดยมีธุรกิจที่สำคัญ ได้แก่ ร้านกาแฟอินทนิล ,ร้านสพาร์ ซูเปอร์มาร์เก็ต และร้านอาหาร “เลมอน คิทเช่น" เพื่อระดมทุนใช้รองรับการขยายงาน
นายชัยวัฒน์ กล่าวถึงแผนการดำเนินธุรกิจในปีนี้ว่า บริษัทตั้งเป้าหมายกลั่นน้ำมันเฉลี่ย 102,000 บาร์เรล/วัน ซึ่งต่ำกว่าปีที่แล้วเนื่องจากมีแผนหยุดซ่อมบำรุงในช่วงเดือน พ.ค.เป็นเวลา 45 วัน และประเมินราคาน้ำมันดิบเฉลี่ยในปีนี้อยู่ที่ระดับกว่า 60 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล สูงกว่าระดับเฉลี่ยกว่า 50 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรลในปีที่แล้ว จากความต้องการใช้ของโลกที่เพิ่มมากขึ้น รวมถึงความเสี่ยงจากปัญหาการเมืองในตะวันออกกลาง
สำหรับการลงทุนบริษัทตั้งเป้าหมายจะใช้เงินราว 1 หมื่นล้านบาท สำหรับธุรกิจโรงกลั่นน้ำมัน ในช่วงปี 61-62 เพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพโรงกลั่นเพื่อให้ได้ผลตอบแทนมากขึ้น รวมถึงเพิ่มกำลังการกลั่นน้ำมันเป็นระดับ 130,000-135,000 บาร์เรล/วัน จากปัจจุบันที่มีกำลังการกลั่นอยู่ระดับ 120,000 บาร์เรล/วัน ขณะที่ตั้งงบลงทุนอีก 1.7 พันล้านบาท สำหรับการลงทุนธุรกิจการตลาดค้าปลีกน้ำมันในปีนี้ แบ่งเป็น การขยายสถานีบริการน้ำมันอีก 80 แห่ง เป็น 1,200 แห่งในสิ้นปี 61 ใช้เงินลงทุน 1.5 พันล้านบาท และอีก 200 ล้านบาท จะใช้สำหรับธุรกิจค้าปลีก
ทั้งนี้ บริษัทตั้งเป้าหมายจะมีปริมาณขายน้ำมันในปีนี้ เพิ่มขึ้น 10% จากปี 60 ที่มีปริมาณขายน้ำมันเพิ่มขึ้นเกือบ 7% ซึ่งดีกว่าตลาดรวมที่เติบโตได้เพียง 2.5% โดยบริษัทมีส่วนแบ่งตลาดน้ำมันเป็นอันดับ 2 ที่ 15.4% สูงกว่าเป้าหมายที่วางไว้ระดับ 15.2%
นอกจากนี้ บริษัทยังศึกษาการเข้าไปลงทุนสร้างสถานีบริการน้ำมันในกลุ่ม CLMV เพิ่มเติม ซึ่งคาดว่าจะได้เห็นภายในปีนี้ จากปัจจุบันที่มีอยู่ 1 แห่งในเมียนมา ซึ่งได้เปิดดำเนินการมาแล้วเมื่อ 2-3 ปีที่ผ่านมา โดยปัจจุบันอยู่ระหว่างศึกษารูปแบบการลงทุน
ส่วนในปีที่ผ่านมาบริษัทมีกำลังการกลั่นน้ำมันระดับ 111,600 บาร์เรล/วัน ดีกว่าเป้าหมายที่คาดไว้ระดับ 111,000 บาร์เรล/วัน และค่าการกลั่น (GRM) ที่รวมผลกระทบจากสต็อกน้ำมัน คาดว่าจะอยู่ในระดับที่ดี เนื่องจากในช่วงไตรมาส 4/60 คาดว่าจะมีกำไรจากสต็อกน้ำมัน หลังจากที่ราคาน้ำมันปรับขึ้นมาก
นายชัยวัฒน์ กล่าวด้วยว่า สำหรับธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียม (E&P) ในฟิลิปปินส์นั้น ก็ยังคงดำเนินการตามแผนต่อไป ขณะที่ราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวขึ้นมาใกล้ระดับ 70 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ทำให้บริษัทเริ่มที่จะกลับมามองโอกาสการขยายลงทุนในประเทศใหม่ๆเพิ่มขึ้น ส่วนการเข้าร่วมประมูลแหล่งปิโตรเลียมบงกช และเอราวัณ ที่คาดว่าจะมีขึ้นในปีนี้นั้น บริษัทยังไม่ได้ตัดสินใจโดยต้องรอศึกษาเอกสารเชิญชวนประมูล (TOR) ที่จะออกมาก่อน

--อินโฟเควสท์ โดย วิลาวัลย์ พงษ์พิทักษ์/ศศิธร ซิมาภรณ์ โทร.02-2535000 ต่อ 345 อีเมล์: [email protected]--
pakapong_u
Verified User
โพสต์: 40089
ผู้ติดตาม: 1

Re: BBGI

โพสต์ที่ 2

โพสต์

หนังสือชี้ชวนตราสารทุน
รายละเอียดตราสาร
ผู้ออกหลักทรัพย์ : บริษัท บีบีจีไอ จำกัด (มหาชน)
ผู้เสนอขายหลักทรัพย์ : บริษัท บีบีจีไอ จำกัด (มหาชน)
วันที่ยื่น Filing version แรก : 30/04/2561
วันที่แก้ไข Filing ครั้งล่าสุด (วันที่นับ 1 Filing) : -
วันที่ Filing มีผลบังคับใช้ : -
วันที่เริ่มต้นการเสนอขาย : -
วันที่สิ้นสุดการเสนอขาย : -
ประเภทหลักทรัพย์ : หุ้นสามัญ
ประเภทการเสนอขาย : การเสนอขายหลักทรัพย์ครั้งแรกต่อประชาชน
ที่ปรึกษาทางการเงิน/ผู้ควบคุม : บริษัท หลักทรัพย์ฟินันซ่า จำกัด / นางสาว ทิพวรรณ ดอกไม้หอม, บริษัท หลักทรัพย์บัวหลวง จำกัด (มหาชน) / นางสาวลลนา เตรียมชาญชูชัย, บริษัท หลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) / นายพงศ์ศักดิ์ พฤกษ์ไพศาล

http://market.sec.or.th/public/ipos/IPO ... sID=197181
pakapong_u
Verified User
โพสต์: 40089
ผู้ติดตาม: 1

Re: BBGI

โพสต์ที่ 3

โพสต์

"บีบีจีไอ"ยื่นไฟลิ่งขาย IPO 216.60 ล้านหุ้น เข้า SET, ใช้ขยายธุรกิจ-ลงทุนโครงการ-คืนเงินกู้
Source - IQ สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (Th)

Wednesday, May 02, 2018 11:07


สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (02 พ.ค. 61)--บมจ. บีบีจีไอ ยื่น Filing version แรกเมื่อวันที่ 30 เม.ย.2561 เนื่องจากบริษัทฯจะเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวน 216.60 ล้านหุ้น โดยเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวนไม่เกิน 43,320,000 หุ้น ให้แก่ประชาชนทั่วไปเฉพาะกลุ่ม ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นเดิมของบมจ. บางจาก คอร์ปอเรชั่น (BCP) และบมจ. น้ำตาลขอนแก่น (KSL) เฉพาะกลุ่มที่มีสิทธิได้รับการจัดสรรหุ้นเพื่อรักษาสิทธิ และหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวนไม่เกิน 3,000,000 หุ้น เพื่อเสนอขายให้แก่กรรมการ ผู้บริหาร และพนักงานของบริษัทฯ และบริษัทย่อยของบริษัทฯ อีกทั้งหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวนไม่เกิน 170,280,000 หุ้น และหุ้นที่เหลือจากการจัดสรร (ถ้ามี) เพื่อเสนอขายให้แก่บุคคลทั่วไป นักลงทุนสถาบัน และผู้มีอุปการคุณของบริษัทฯ โดยมีบล.กสิกรไทย, บล.บัวหลวง และบล.ฟินันซ่า เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน และเป็นผู้จัดการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย
วัตถุประสงค์การใช้เงินที่ได้จากการระดมทุนในครั้งนี้ เพื่อใช้เป็นส่วนหนึ่งของเงินลงทุนสำหรับการขยายธุรกิจ การปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต และการลงทุนในโครงการต่าง ๆ ของบริษัทฯ และบริษัทย่อย และบริษัทร่วมในอนาคต รวมทั้งให้กู้ยืมแก่บริษัทย่อยและบริษัทร่วม และใช้ชำระคืนเงินกู้ยืมให้สถาบันการเงิน รวมทั้งใช้ชำระคืนภาระหนี้อื่นที่บริษัทฯอาจมีขึ้นในอนาคต รวมไปถึงใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินงานของกลุ่มบริษัทฯ
บริษัทฯ ประกอบธุรกิจโดยการถือหุ้นในบริษัทอื่น (Holding Company) ที่ดำเนินธุรกิจผลิตภัณฑ์เชื้อเพลิงชีวภาพ (Biofuel) รวมถึงธุรกิจผลิตและจำหน่ายเอทานอล ไบโอดีเซล และผลิตภัณฑ์พลอยได้ รวมทั้งประกอบธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับผลิตภัณฑ์ดังกล่าว ณ ปัจจุบัน บริษัทฯ ถือหุ้นในบริษัทย่อยจำนวน 3 บริษัท ได้แก่ บริษัท เคเอสแอล กรีน อินโนเวชั่น จำกัด (มหาชน) (KGI) บริษัท บางจากไบโอเอทานอล (ฉะเชิงเทรา) จำกัด (BBE) และบริษัท บางจากไบโอฟูเอล จำกัด (BBF) โดยมีสัดส่วนการถือหุ้นร้อยละ 100.0 ร้อยละ 85.0 และร้อยละ 70.0 ของทุนชำระแล้วทั้งหมดของ KGI BBE และ BBF ตามลำดับ และบริษัทร่วม 1 บริษัท คือ บริษัท อุบล ไบโอ เอทานอล จำกัด (มหาชน) (UBE) โดยมีสัดส่วนการถือหุ้นร้อยละ 21.3 ของทุนชำระแล้วทั้งหมดของ UBE (ณ ปัจจุบัน UBE อยู่ระหว่างการดำเนินการตามแผน IPO ของ UBE ภายหลังการดำเนินการตามแผนดังกล่าวแล้วเสร็จ บริษัทฯ จะถือหุ้นใน UBE ร้อยละ 12.4 ของทุนจดทะเบียนชำระแล้วของ UBE)
ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2560 กลุ่มบริษัทฯ เป็นผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์เชื้อเพลิงชีวภาพ (Biofuel) รายใหญ่ของประเทศไทย โดยโรงงานผลิตผลิตภัณฑ์เชื้อเพลิงชีวภาพ (Biofuel) ของบริษัทย่อยและบริษัทร่วมของบริษัทฯ มีกำลังการผลิตเอทานอลและไบโอดีเซลรวม 1,710,000 ลิตรต่อวัน
ผลการดำเนินงานของบริษัทฯในปี 2560 สินทรัพย์รวม 8,846.84 ล้านบาท หนี้สินรวม 3,934.78 ล้านบาท ส่วนของผู้ถือหุ้นรวม 4,912.06 ล้านบาท รายได้จากการขาย 9,812.91 ล้านบาท ต้นทุนขาย 9,199.30 ล้านบาท กำไรสำหรับปี 266.26 ล้านบาท
โครงการในอนาคต กลุ่มบริษัทฯ มีแผนที่จะขยายธุรกิจทั้งในธุรกิจผลิตภัณฑ์เชื้อเพลิงชีวภาพ (Biofuel) ที่ดำเนินการอยู่ในปัจจุบันและการลงทุนในธุรกิจผลิตภัณฑ์ชีวภาพที่มีมูลค่าสูง (High Value Products (HVP)) โดยในปัจจุบันกลุ่มบริษัทฯ มีแผนที่จะลงทุนเพื่อเพิ่มกำลังการผลิตและปริมาณการผลิตเอทานอล ทั้งที่โรงงานน้ำพองและโรงงานบ่อพลอยของ KGI รวมถึงโรงงานผลิตเอทานอลของ BBE ซึ่งอนุมัติโดยที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทครั้งที่ 5/2561 เมื่อวันที่ 27 เมษายน 2561 ตามรายละเอียดดังนี้
โครงการขยายกำลังการผลิตโรงงานน้ำพองของ KGI แบ่งออกเป็น 2 ระยะ ตามรายละเอียดดังนี้ โครงการระยะที่ 1: KGI วางแผนที่จะเพิ่มกำลังการผลิตเอทานอลจาก 150,000 ลิตรต่อวัน เป็น 200,000 ลิตรต่อวัน โดยการปรับปรุงระบบกลั่นให้ใช้พลังงานไอน้ำน้อยลง ซึ่งคาดว่าจะใช้เงินลงทุนประมาณ 100.00 ล้านบาท ในปี 2561 ทั้งนี้จากข้อเสนอที่ได้รับจากผู้รับเหมา กลุ่มบริษัทฯ คาดว่าจะสามารถลดปริมาณการใช้ไอน้ำต่อลิตรเอทานอลที่ผลิตลงได้ร้อยละ 30.2 ปัจจุบัน KGI อยู่ระหว่างขั้นตอนการจัดจ้างผู้รับเหมาเพื่อเริ่มดำเนินการ โดยคาดว่าจะปรับปรุงระบบกลั่นและทดสอบการผลิตแล้วเสร็จภายในไตรมาสที่ 4 ของปี 2561
โครงการระยะที่ 2: KGI วางแผนที่จะขยายกำลังการผลิตเอทานอลจากกากน้ำตาลของโรงงานน้ำพองของ KGI เพิ่มอีก 200,000 ลิตรต่อวัน โดยคาดว่าต้องใช้เงินลงทุนประมาณ 1,000.00 ล้านบาท ในปี 2561-2562 ปัจจุบันโครงการดังกล่าวอยู่ระหว่างการจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) เพื่อยื่นต่อสำนักนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดย KGI มีแผนที่จะเริ่มก่อสร้างในช่วงไตรมาสที่ 4 ของปี 2561 และคาดว่าจะดำเนินการก่อสร้างและทดสอบการผลิตแล้วเสร็จ รวมถึงเปิดดำเนินการผลิตเชิงพาณิชย์ได้ภายในเดือนธันวาคมปี 2562
ทั้งนี้ ภายหลังการขยายกำลังการผลิตของโครงการทั้งสองระยะแล้ว โรงงานน้ำพองของ KGI จะมีกำลังการผลิตเอทานอลรวม 400,000 ลิตรต่อวัน หรือเทียบเท่า 115.5 ล้านลิตรต่อปี
โครงการขยายกำลังการผลิตโรงงานบ่อพลอยของ KGI โดยการปรับปรุงกระบวนการกลั่น และกระบวนการแยกน้ำเพื่อเพิ่มกำลังการผลิตจาก 200,000 ลิตร เป็น 300,000 ลิตรต่อวัน หรือเทียบเท่า 99.00 ล้านลิตรต่อปี ซึ่งคาดว่าจะใช้เงินลงทุนประมาณ 468.00 ล้านบาท ในปี 2561 ทั้งนี้ ภายหลังจากปรับปรุงกระบวนการผลิตแล้วเสร็จ กลุ่มบริษัทฯ คาดว่าโรงงานบ่อพลอยของ KGI จะสามารถลดปริมาณการใช้ไอน้ำต่อลิตรเอทานอลที่ผลิตลงได้ร้อยละ 30.2 ปัจจุบัน KGI อยู่ระหว่างขั้นตอนการจัดจ้างผู้รับเหมาเพื่อดำเนินการดังกล่าว โดยคาดว่าจะปรับปรุงกระบวนการผลิตและทดสอบการผลิตแล้วเสร็จ รวมถึงเปิดดำเนินการผลิตเชิงพาณิชย์ได้ในเดือนธันวาคมปี 2561
โครงการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต (Productivity Improvement) โรงงานผลิตเอทานอลของ BBE เพื่อให้สามารถเพิ่มปริมาณการผลิตเป็น 49.5 ล้านลิตรต่อปี โดยการปรับปรุงประสิทธิภาพของระบบกลั่น ระบบหล่อเย็น รวมถึงระบบการเตรียมวัตถุดิบ ซึ่งคาดว่าจะใช้เงินลงทุนประมาณ 120.00 ล้านบาท ในปี 2561 นอกจากนี้ จากการดำเนินการดังกล่าว บริษัทฯ คาดว่าโรงงานผลิตเอทานอลของ BBE จะสามารถลดปริมาณการใช้ไอน้ำต่อลิตรเอทานอลที่ผลิตลงได้ร้อยละ 8.6 ปัจจุบัน BBE อยู่ระหว่างขั้นตอนการจัดจ้างผู้รับเหมาเพื่อดำเนินการดังกล่าว โดยคาดว่าจะปรับปรุงประสิทธิภาพและทดสอบการผลิตแล้วเสร็จ ภายในไตรมาสที่ 2 ของปี 2562
ณ วันที่ 30 เมษายน 2561 บริษัทฯ มีทุนจดทะเบียนจำนวน 3,615,000,000 บาท โดยแบ่งออกเป็นหุ้นสามัญจำนวน 723,000,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 5.0 บาท และมีทุนชำระแล้วจำนวน 2,532,000,000 บาท โดยแบ่งออกเป็นหุ้นสามัญจำนวน 506,400,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 5.0 บาท ภายหลังจากการเสนอขายหุ้นสามัญที่ออกใหม่ทั้งหมดในครั้งนี้แล้ว บริษัทฯ จะมีทุนชำระแล้วทั้งสิ้นไม่เกิน 3,615,000,000 บาท แบ่งออกเป็นหุ้นสามัญจำนวน 723,000,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 5.0 บาท
ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัทฯ ณวันที่ 30 เม.ย.2561 ประกอบด้วย BCP ถือหุ้น 303,839,994 หุ้น คิดเป็น 60% หลังเสนอขายหุ้น IPO ในครั้งนี้แล้วจะลดสัดส่วนการถือหุ้นลงเหลือ 42%, KSL ถือหุ้น 202,559,994 หุ้น คิดเป็น 40% หลังเสนอขายหุ้น IPO ในครั้งนี้แล้วจะลดสัดส่วนการถือหุ้นลงเหลือ 28%
บริษัทฯ มีนโยบายการจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นไม่น้อยกว่าร้อยละ 40.0 ของกำไรสุทธิตามงบการเงินเฉพาะกิจการ หลังจากการหักทุนสำรองต่างๆ ทุกประเภทตามข้อบังคับของบริษัทฯ และตามกฎหมายแล้ว

--อินโฟเควสท์ โดย พรเพ็ญ ดวงเฉลิมวงศ์/วิลาวัลย์ โทร.02-2535000 อีเมล์: [email protected]--
pakapong_u
Verified User
โพสต์: 40089
ผู้ติดตาม: 1

Re: BBGI

โพสต์ที่ 4

โพสต์

BBGI : บริษัท บีบีจีไอ จำกัด (มหาชน)
ประเภทธุรกิจ
ถือหุ้นในบริษัทอื่น (Holding company) ที่ดำเนินธุรกิจผลิตภัณฑ์เชื้อเพลิงชีวภาพ (Biofuel) รวมถึงธุรกิจผลิตและจำหน่ายเอธานอล ไบโอดีเซล และผลิตภัณฑ์พลอยได้ รวมทั้งประกอบธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับผลิตภัณฑ์ดังกล่าว

ตลาดรอง ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET)
กลุ่มอุตสาหกรรม / หมวดธุรกิจ ทรัพยากร / พลังงานและสาธารณูปโภค
สถานะ Filing
จำนวนหุ้นที่ IPO
จำนวนไม่เกิน 216,600,000 หุ้น คิดเป็นไม่เกินร้อยละ 30.0 ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและชำระแล้วทั้งหมดของบริษัทฯ ภายหลังการเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนในครั้งนี้

ระยะเวลาเสนอขายหุ้น
n/a

ราคา IPO
n/a

ราคา PAR
5.00 บาท

วันที่เริ่มซื้อขาย n/a
ที่ปรึกษาทางการเงิน
บริษัทหลักทรัพย์ ฟินันซ่า จำกัด บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน) และ บริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทย จำกัด (มหาชน)


ข้อมูล Filing

www.bbgigroup.com
pakapong_u
Verified User
โพสต์: 40089
ผู้ติดตาม: 1

Re: BBGI

โพสต์ที่ 5

โพสต์

“บีบีจีไอ” ยื่นไฟล์ลิ่งขาย IPO 216.60 ล้านหุ้น ลุยเทรด SET ระดมทุนขยายธุรกิจ-คืนเงินกู้

บริษัท บีบีจีไอ จำกัด (มหาชน) ระบุว่า บริษัทยื่น Filing version แรกเมื่อวันที่ 30 เม.ย.2561 เนื่องจากบริษัทฯจะเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวน 216.60 ล้านหุ้น โดยเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวนไม่เกิน 43,320,000 หุ้น ให้แก่ประชาชนทั่วไปเฉพาะกลุ่ม ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นเดิมของบริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ BCP และบริษัท น้ำตาลขอนแก่น จำกัด (มหาชน) หรือ KSL เฉพาะกลุ่มที่มีสิทธิได้รับการจัดสรรหุ้นเพื่อรักษาสิทธิ รวมทั้งหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวนไม่เกิน 3,000,000 หุ้น เพื่อเสนอขายให้แก่กรรมการ ผู้บริหาร และพนักงานของบริษัทฯ และบริษัทย่อยของบริษัทฯ

อีกทั้งหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวนไม่เกิน 170,280,000 หุ้น และหุ้นที่เหลือจากการจัดสรร (ถ้ามี) เพื่อเสนอขายให้แก่บุคคลทั่วไป นักลงทุนสถาบัน และผู้มีอุปการคุณของบริษัทฯ โดยมีบล.กสิกรไทย, บล.บัวหลวง และบล.ฟินันซ่า เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน และเป็นผู้จัดการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย

โดยวัตถุประสงค์การใช้เงินที่ได้จากการระดมทุนในครั้งนี้ เพื่อใช้เป็นส่วนหนึ่งของเงินลงทุนสำหรับการขยายธุรกิจ การปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต และการลงทุนในโครงการต่าง ๆ ของบริษัทฯ และบริษัทย่อย และบริษัทร่วมในอนาคต รวมทั้งให้กู้ยืมแก่บริษัทย่อยและบริษัทร่วม และใช้ชำระคืนเงินกู้ยืมให้สถาบันการเงิน รวมทั้งใช้ชำระคืนภาระหนี้อื่นที่บริษัทฯอาจมีขึ้นในอนาคต รวมไปถึงใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินงานของกลุ่มบริษัทฯ

ทั้งนี้บริษัทฯ ประกอบธุรกิจโดยการถือหุ้นในบริษัทอื่น (Holding Company) ที่ดำเนินธุรกิจผลิตภัณฑ์เชื้อเพลิงชีวภาพ (Biofuel) รวมถึงธุรกิจผลิตและจำหน่ายเอทานอล ไบโอดีเซล และผลิตภัณฑ์พลอยได้ รวมทั้งประกอบธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับผลิตภัณฑ์ดังกล่าว ณ ปัจจุบัน บริษัทฯ ถือหุ้นในบริษัทย่อยจำนวน 3 บริษัท ได้แก่ บริษัท เคเอสแอล กรีน อินโนเวชั่น จำกัด (มหาชน) (KGI) บริษัท บางจากไบโอเอทานอล (ฉะเชิงเทรา) จำกัด (BBE) และบริษัท บางจากไบโอฟูเอล จำกัด (BBF)

โดยมีสัดส่วนการถือหุ้นร้อยละ 100.0 ร้อยละ 85.0 และร้อยละ 70.0 ของทุนชำระแล้วทั้งหมดของ KGI BBE และ BBF ตามลำดับ และบริษัทร่วม 1 บริษัท คือ บริษัท อุบล ไบโอ เอทานอล จำกัด (มหาชน) (UBE) โดยมีสัดส่วนการถือหุ้นร้อยละ 21.3 ของทุนชำระแล้วทั้งหมดของ UBE (ณ ปัจจุบัน UBE อยู่ระหว่างการดำเนินการตามแผน IPO ของ UBE ภายหลังการดำเนินการตามแผนดังกล่าวแล้วเสร็จ บริษัทฯ จะถือหุ้นใน UBE ร้อยละ 12.4 ของทุนจดทะเบียนชำระแล้วของ UBE)

ล่าสุด ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2560 กลุ่มบริษัทฯ เป็นผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์เชื้อเพลิงชีวภาพ (Biofuel) รายใหญ่ของประเทศไทย โดยโรงงานผลิตผลิตภัณฑ์เชื้อเพลิงชีวภาพ (Biofuel) ของบริษัทย่อยและบริษัทร่วมของบริษัทฯ มีกำลังการผลิตเอทานอลและไบโอดีเซลรวม 1,710,000 ลิตรต่อวัน

สำหรับผลการดำเนินงานของบริษัทฯในปี 2560 สินทรัพย์รวม 8,846.84 ล้านบาท หนี้สินรวม 3,934.78 ล้านบาท ส่วนของผู้ถือหุ้นรวม 4,912.06 ล้านบาท รายได้จากการขาย 9,812.91 ล้านบาท ต้นทุนขาย 9,199.30 ล้านบาท กำไรสำหรับปี 266.26 ล้านบาท

โดยโครงการในอนาคต กลุ่มบริษัทฯ มีแผนที่จะขยายธุรกิจทั้งในธุรกิจผลิตภัณฑ์เชื้อเพลิงชีวภาพ (Biofuel) ที่ดำเนินการอยู่ในปัจจุบันและการลงทุนในธุรกิจผลิตภัณฑ์ชีวภาพที่มีมูลค่าสูง (High Value Products (HVP)) โดยในปัจจุบันกลุ่มบริษัทฯ มีแผนที่จะลงทุนเพื่อเพิ่มกำลังการผลิตและปริมาณการผลิตเอทานอล ทั้งที่โรงงานน้ำพองและโรงงานบ่อพลอยของ KGI รวมถึงโรงงานผลิตเอทานอลของ BBE ซึ่งอนุมัติโดยที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทครั้งที่ 5/2561 เมื่อวันที่ 27 เมษายน 2561 ตามรายละเอียดดังนี้

ส่วนโครงการขยายกำลังการผลิตโรงงานน้ำพองของ KGI แบ่งออกเป็น 2 ระยะ ตามรายละเอียดดังนี้ โครงการระยะที่ 1: KGI วางแผนที่จะเพิ่มกำลังการผลิตเอทานอลจาก 150,000 ลิตรต่อวัน เป็น 200,000 ลิตรต่อวัน โดยการปรับปรุงระบบกลั่นให้ใช้พลังงานไอน้ำน้อยลง ซึ่งคาดว่าจะใช้เงินลงทุนประมาณ 100.00 ล้านบาท ในปี 2561

ทั้งนี้จากข้อเสนอที่ได้รับจากผู้รับเหมา กลุ่มบริษัทฯ คาดว่าจะสามารถลดปริมาณการใช้ไอน้ำต่อลิตรเอทานอลที่ผลิตลงได้ร้อยละ 30.2 ปัจจุบัน KGI อยู่ระหว่างขั้นตอนการจัดจ้างผู้รับเหมาเพื่อเริ่มดำเนินการ โดยคาดว่าจะปรับปรุงระบบกลั่นและทดสอบการผลิตแล้วเสร็จภายในไตรมาสที่ 4 ของปี 2561

ด้านโครงการระยะที่ 2: KGI วางแผนที่จะขยายกำลังการผลิตเอทานอลจากกากน้ำตาลของโรงงานน้ำพองของ KGI เพิ่มอีก 200,000 ลิตรต่อวัน โดยคาดว่าต้องใช้เงินลงทุนประมาณ 1,000.00 ล้านบาท ในปี 2561-2562 ปัจจุบันโครงการดังกล่าวอยู่ระหว่างการจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) เพื่อยื่นต่อสำนักนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดย KGI มีแผนที่จะเริ่มก่อสร้างในช่วงไตรมาสที่ 4 ของปี 2561 และคาดว่าจะดำเนินการก่อสร้างและทดสอบการผลิตแล้วเสร็จ รวมถึงเปิดดำเนินการผลิตเชิงพาณิชย์ได้ภายในเดือนธันวาคมปี 2562

ทั้งนี้ ภายหลังการขยายกำลังการผลิตของโครงการทั้งสองระยะแล้ว โรงงานน้ำพองของ KGI จะมีกำลังการผลิตเอทานอลรวม 400,000 ลิตรต่อวัน หรือเทียบเท่า 115.5 ล้านลิตรต่อปี

สำหรับโครงการขยายกำลังการผลิตโรงงานบ่อพลอยของ KGI โดยการปรับปรุงกระบวนการกลั่น และกระบวนการแยกน้ำเพื่อเพิ่มกำลังการผลิตจาก 200,000 ลิตร เป็น 300,000 ลิตรต่อวัน หรือเทียบเท่า 99.00 ล้านลิตรต่อปี ซึ่งคาดว่าจะใช้เงินลงทุนประมาณ 468.00 ล้านบาท ในปี 2561

ทั้งนี้ ภายหลังจากปรับปรุงกระบวนการผลิตแล้วเสร็จ กลุ่มบริษัทฯ คาดว่าโรงงานบ่อพลอยของ KGI จะสามารถลดปริมาณการใช้ไอน้ำต่อลิตรเอทานอลที่ผลิตลงได้ร้อยละ 30.2 ปัจจุบัน KGI อยู่ระหว่างขั้นตอนการจัดจ้างผู้รับเหมาเพื่อดำเนินการดังกล่าว โดยคาดว่าจะปรับปรุงกระบวนการผลิตและทดสอบการผลิตแล้วเสร็จ รวมถึงเปิดดำเนินการผลิตเชิงพาณิชย์ได้ในเดือนธันวาคมปี 2561

โครงการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต (Productivity Improvement) โรงงานผลิตเอทานอลของ BBE เพื่อให้สามารถเพิ่มปริมาณการผลิตเป็น 49.5 ล้านลิตรต่อปี โดยการปรับปรุงประสิทธิภาพของระบบกลั่น ระบบหล่อเย็น รวมถึงระบบการเตรียมวัตถุดิบ ซึ่งคาดว่าจะใช้เงินลงทุนประมาณ 120.00 ล้านบาท ในปี 2561

นอกจากนี้ จากการดำเนินการดังกล่าว บริษัทฯ คาดว่าโรงงานผลิตเอทานอลของ BBE จะสามารถลดปริมาณการใช้ไอน้ำต่อลิตรเอทานอลที่ผลิตลงได้ร้อยละ 8.6 ปัจจุบัน BBE อยู่ระหว่างขั้นตอนการจัดจ้างผู้รับเหมาเพื่อดำเนินการดังกล่าว โดยคาดว่าจะปรับปรุงประสิทธิภาพและทดสอบการผลิตแล้วเสร็จ ภายในไตรมาสที่ 2 ของปี 2562

โดย ณ วันที่ 30 เมษายน 2561 บริษัทฯ มีทุนจดทะเบียนจำนวน 3,615,000,000 บาท โดยแบ่งออกเป็นหุ้นสามัญจำนวน 723,000,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 5.0 บาท และมีทุนชำระแล้วจำนวน 2,532,000,000 บาท โดยแบ่งออกเป็นหุ้นสามัญจำนวน 506,400,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 5.0 บาท ภายหลังจากการเสนอขายหุ้นสามัญที่ออกใหม่ทั้งหมดในครั้งนี้แล้ว บริษัทฯ จะมีทุนชำระแล้วทั้งสิ้นไม่เกิน 3,615,000,000 บาท แบ่งออกเป็นหุ้นสามัญจำนวน 723,000,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 5.0 บาท

อนึ่ง ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัทฯ ณ วันที่ 30 เม.ย.2561 ประกอบด้วย BCP ถือหุ้น 303,839,994 หุ้น คิดเป็น 60% หลังเสนอขายหุ้น IPO ในครั้งนี้แล้วจะลดสัดส่วนการถือหุ้นลงเหลือ 42%, KSL ถือหุ้น 202,559,994 หุ้น คิดเป็น 40% หลังเสนอขายหุ้น IPO ในครั้งนี้แล้วจะลดสัดส่วนการถือหุ้นลงเหลือ 28%

ทั้งนี้บริษัทฯ มีนโยบายการจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นไม่น้อยกว่าร้อยละ 40.0 ของกำไรสุทธิตามงบการเงินเฉพาะกิจการ หลังจากการหักทุนสำรองต่างๆ ทุกประเภทตามข้อบังคับของบริษัทฯ และตามกฎหมายแล้ว
pakapong_u
Verified User
โพสต์: 40089
ผู้ติดตาม: 1

Re: BBGI

โพสต์ที่ 6

โพสต์

`บีบีจีไอ (BBGI)` ยื่นไฟลิ่งขายไอพีโอ 216.60 ล้านหุ้น เตรียมเข้า SET นำเงินขยายธุรกิจ-ปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต-ชำระหนี้ - efinanceThai

  บริษัท บีบีจีไอ จำกัด (มหาชน) ยื่นแบบแสดงรายการข้อมูล (ไฟลิ่ง) เสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุน จำนวน 216.60 ล้านหุ้น หรือคิดเป็นไม่เกินร้อยละ 30.0 ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมดของบริษัทฯ ภายหลังการเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนในครั้งนี้ มูลค่าหุ้นที่ตราไว้หุ้นละ 5.0 บาท เพื่อเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) โดยมี บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จํากัด (มหาชน) บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จํากัด (มหาชน) บริษัทหลักทรัพย์ ฟินันซ่า จำกัด เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน และผูัจัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย

  สำหรับการขายหุ้นเพิ่มทุนจำนวน 216.60 ล้านหุ้น แบ่งเป็น หุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวนไม่เกิน 43.32 ล้านหุ้น เพื่อเสนอขายให้แก่ประชาชนทั่วไปเฉพาะกลุ่ม ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นเดิมของบริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ BCP และบริษัท น้ำตาลขอนแก่น จำกัด (มหาชน) หรือ KSL หุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวนไม่เกิน 3 ล้านหุ้น เพื่อเสนอขายให้แก่กรรมการ ผู้บริหาร และพนักงานของบริษัทฯ และบริษัทย่อยของบริษัทฯ และ หุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวนไม่เกิน 170.28 ล้าน หุ้น เสนอขายให้แก่บุคคลทั่วไป นักลงทุนสถาบัน และผู้มีอุปการคุณของบริษัทฯ เพื่อเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) โดยมี บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จํากัด (มหาชน) บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จํากัด (มหาชน) บริษัทหลักทรัพย์ ฟินันซ่า จำกัด เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน และผูัจัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย

  บริษัท บีบีจีไอ จำกัด (มหาชน) ประกอบธุรกิจโดยการถือหุ้นในบริษัทอื่น (Holding Company) ที่ดำเนินธุรกิจผลิตภัณฑ์เชื้อเพลิงชีวภาพ (Biofuel) รวมถึงธุรกิจผลิตและจำหน่ายเอทานอล ไบโอดีเซล และผลิตภัณฑ์พลอยได้ รวมทั้งประกอบธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับผลิตภัณฑ์ดังกล่าว ณ ปัจจุบัน บริษัทฯ ถือหุ้นในบริษัทย่อยจำนวน 3 บริษัท ได้แก่ บริษัท เคเอสแอล กรีน อินโนเวชั่น จำกัด (มหาชน) (“KGI”) บริษัท บางจากไบโอเอทานอล (ฉะเชิงเทรา) จำกัด (“BBE”) และบริษัท บางจากไบโอฟูเอล จำกัด (“BBF”)

  โครงสร้างการถือหุ้นของบริษัทฯ ณ วันที่ 30 เมษายน 2561 และภายหลังการเสนอขายหุ้นสามัญในครั้งนี้ ประกอบด้วย BCP ถือหุ้น 303.839 ล้านหุ้น คิดเป็นร้อยละ 60 และหลังการขายหุ้นไอพีโอ จะเหลือสัดส่วนถือหุ้นร้อยละ 42 ส่วน KSL ถือหุ้น จำนวน 205.559 ล้านหุ้น คิดเป็นร้อยละ 40 และหลังการขายหุ้นไอพีโอ จะเหลือสัดส่วนถือหุ้นร้อยละ 28

  วัตถุประสงค์การใช้เงิน เพื่อใช้เป็นส่วนหนึ่งของเงินลงทุนสำหรับการขยายธุรกิจ การปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต และการลงทุนในโครงการต่างๆ ของบริษัทฯ บริษัทย่อย และบริษัทร่วมในอนาคต รวมทั้งให้กู้ยืมแก่บริษัทย่อยและบริษัทร่วม ใช้ชำระคืนเงินกู้ยืมให้กับสถาบันการเงิน รวมทั้งใช้ชำระคืนภาระหนี้อื่นที่บริษัทฯ อาจมีขึ้นในอนาคต และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินงานของกลุ่มบริษัทฯ

  ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2560 กลุ่มบริษัทฯ เป็นผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์เชื้อเพลิงชีวภาพ (Biofuel) รายใหญ่ของประเทศไทย โดยโรงงานผลิตผลิตภัณฑ์เชื้อเพลิงชีวภาพ (Biofuel) ของบริษัทย่อยและบริษัทร่วมของบริษัทฯ มีกำลังการผลิตเอทานอลและไบโอดีเซลรวม 1,710,000 ลิตรต่อวัน

  สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2558 2559 และ 2560 กลุ่มบริษัทฯ มีรายได้รวมเท่ากับ 7,881.41 ล้านบาท 9,203.02 ล้านบาท และ 9,828.44 ล้านบาท ตามลำดับ เพิ่มขึ้น 1,321.61 ล้านบาท หรือร้อยละ 16.8 ในปี 2559 และเพิ่มขึ้น 625.42 ล้านบาท หรือร้อยละ 6.8 ในปี 2560 โดยการเพิ่มขึ้นของรายได้จากการขายมีสาเหตุหลักมาจากการเพิ่มขึ้นของรายได้จากธุรกิจผลิตและจำหน่ายเอทานอล เนื่องจากโรงงานของ BBE เริ่มเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ในเดือนตุลาคม 2559 ภายหลังรับโอนสินทรัพย์จากสีมาแล้วเสร็จ และการเพิ่มขึ้นของรายได้จากธุรกิจผลิตและจำหน่ายไบโอดีเซลซึ่งดำเนินการโดย BBF จากการขยายกำลังการผลิตของโรงงานผลิตไบโอดีเซลแห่งที่ 2 และเริ่มเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ในเดือนกรกฎาคม 2559

  สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2558 2559 และ 2560 กลุ่มบริษัทฯ มีกำไรขั้นต้นเท่ากับ 928.70 ล้านบาท 574.54 ล้านบาท และ 613.61 ล้านบาท ตามลำดับ ลดลง 354.16 ล้านบาท หรือร้อยละ 38.1 ในปี 2559 และเพิ่มขึ้น 39.07 ล้านบาท หรือร้อยละ 6.8 ในปี 2560 คิดเป็นอัตรากำไรขั้นต้นเท่ากับร้อยละ 11.8 ร้อยละ 6.3 และ ร้อยละ 6.3 ตามลำดับ โดยมีสาเหตุหลักมาจากกำไรขั้นต้นจากธุรกิจผลิตและจำหน่ายเอทานอลจากกากน้ำตาลซึ่งดำเนินการโดย KGI ลดลง เนื่องจากปริมาณขายที่ลดลง และราคาขายเอทานอลที่ปรับตัวลงตามสภาวะการแข่งขันของตลาด

  สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2558 2559 และ 2560 กลุ่มบริษัทฯ มีกำไรสุทธิเท่ากับ 747.04 ล้านบาท 318.39 ล้านบาท และ 266.26 ล้านบาท ตามลำดับ คิดเป็นอัตรากำไรสุทธิเท่ากับร้อยละ 9.5 ร้อยละ 3.5 และ ร้อยละ 2.7 ตามลำดับ ทั้งนี้ อัตรากำไรสุทธิของกลุ่มบริษัทฯ ที่ลดลงโดยหลักเป็นผลมาจากกำไรขั้นต้นลดลงและค่าใช้จ่ายในการบริหารเพิ่มขึ้นจากการเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ของ BBE และโรงงานผลิตไบโอดีเซลแห่งที่ 2 ของ BBF
pakapong_u
Verified User
โพสต์: 40089
ผู้ติดตาม: 1

Re: BBGI

โพสต์ที่ 7

โพสต์

บีบีจีไอรุกขยายกำลังผลิตเอทานอล-ไบโอดีเซล,แผนลงทุนผลิตภัณฑ์ชีวภาพมูลค่าสูงชัดเจนภายในสิ้นปีนี้

--อินโฟเควสท์ โดย วิลาวัลย์ พงษ์พิทักษ์/ศศิธร โทร.02-2535000 ต่อ 345 อีเมล์: [email protected]--
ข่าวหุ้น-การเงิน สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- อังคารที่ 24 กรกฎาคม 2561 14:37:55 น.
บีบีจีไอรุกขยายกำลังผลิตเอทานอล-ไบโอดีเซล,แผนลงทุนผลิตภัณฑ์ชีวภาพมูลค่าสูงชัดเจนภายในสิ้นปีนี้
ดูรูปทั้งหมด
นายพงษ์ชัย ชัยจิรวิวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.บีบีจีไอ (BBGI) เปิดเผยว่า บริษัทมีแผนจะใช้เงินลงทุน 1.55 พันล้านบาท เพื่อรองรับแผนการขยายธุรกิจเอทานอลเป็น 8 แสนลิตร/วัน จาก 5 แสนลิตร/วันในปัจจุบัน และขยายกำลังการผลิตไบโอดีเซล (B100) เป็นระดับ 1 ล้านลิตร/วัน จาก 9.3 แสนลิตร/วันในปัจจุบัน โดยการขยายกำลังผลิตดังกล่าวจะแล้วเสร็จภายในสิ้นปี 62 หลังมองความต้องการใช้ผลิตภัณฑ์น้ำมันจะยังคงมีทิศทางขาขึ้นในช่วง 10 ปีข้างหน้าแม้ว่าแนวโน้มของการใช้ยานยนต์ไฟฟ้า (EV) จะเพิ่มขึ้นแต่เชื่อว่าจะยังอยู่ในระดับไม่มากนักในช่วง 10 ปีนี้

ขณะเดียวกัน บริษัทยังเตรียมขยายธุรกิจไปยังผลิตภัณฑ์ชีวภาพที่มีมูลค่าสูง (High Value Products) ในอนาคต ทางด้านธุรกิจเอทานอล, ผลิตภัณฑ์ชีวภาพ (Bio Based) เพื่อตอบโจทย์เรื่องการช่วยเหลือด้านสิ่งแวดล้อม รวมถึงธุรกิจผลิตภัณฑ์อาหารเสริมและเครื่องสำอาง เพื่อต่อยอดงานวิจัยในด้านเพาะเลี้ยงสาหร่ายเพื่อผลิตสารสกัดมูลค่าสูง (Astraxantin) เป็นอาหารเสริมและเครื่องสำอาง

ทั้งนี้ บริษัทคาดว่าจะนำเสนอแผนดังกล่าวต่อที่ประชุมคณะกรรมการได้ในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ และจะมีความชัดเจนต่อแผนลงทุนของผลิตภัณฑ์ได้ในสิ้นปี เบื้องต้นคาดว่าจะใช้เงินลงทุนราว 100 ล้านเหรียญสหรัฐต่อผลิตภัณฑ์ และใช้เวลาลงทุนสร้างโรงงานจนมีผลผลิตออกมาน่าจะใช้ระยะเวลาราว 3 ปี

"EV อย่างไรก็ต้องมา แต่วันนี้ยังมาไม่เร็วเท่าไหร่ ยังคาดการณ์กันว่า demand น้ำมันยังโตต่อเนื่องไปอีก 10 ปี ถึงปี ค.ศ.2030 ยังเป็นเทรนด์ขาขึ้นอยู่ ธุรกิจน้ำมันก็ยังเดินไปเรื่อย ๆ แต่ต้องจับตาว่าจะ keep momentum นี้ต่อไปหรือไม่ ถ้าไม่เปลี่ยนแปลงนโยบายรัฐยังส่งเสริมการใช้ E20 และ E85 ก็ยังมี demand ขึ้นเรื่อย ๆ เป็นนโยบายที่เรายังจะขยายงานต่อเพราะมีตลาดรองรับ...ขณะเดียวกันเราก็จะทำอีก 1 ธุรกิจเพื่อเดินไปข้างหน้าเป็นเรื่องของ Bio Based เป็นการเอาพืชผลทางการเกษตรมาเพิ่มมูลค่าเพิ่ม มาทำเป็น Bio Based Product หรือเป็นอาหารเสริม"นายพงษ์ชัย กล่าว

ทั้งนี้ BBGI เกิดจากการรวมกิจการธุรกิจชีวภาพของกลุ่ม บมจ.บางจาก คอร์ปอเรชั่น (BCP) และธุรกิจเอทานอลของ บมจ.น้ำตาลขอนแก่น (KSL) โดย BCP ถือหุ้น 60% และ KSL ถือหุ้น 40% ปัจจุบันมีกำลังการผลิตเอทานอลและไบโอดีเซล รวม 1.83 ล้านลิตร/วัน นับว่าใหญ่ที่สุดในประเทศไทย โดยเป็นการผลิตเอทานอล 5 แสนลิตร/วันจากของกลุ่มบริษัท และการผลิตเอทานอล 4 แสนลิตร/วันของ บมจ.อุบล ไบโอ เอทานอล (UBE) ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนที่ BBGI ถือหุ้น 21.3% ขณะที่มีกำลังการผลิตไบโอดีเซล 9.3 แสนลิตร/วัน

นายพงษ์ชัย กล่าวว่า ความต้องการใช้เอทานอลในไทยยังคงเติบโตปีละ 6-7% มาที่ 4.4 ล้านลิตร/วัน ขณะที่กำลังการผลิตในประเทศอยู่ที่ 6 ล้านลิตร/วัน ซึ่งบริษัทมีเป้าหมายจะขยายกำลังการผลิตเป็น 8 แสนลิตร/วันในสิ้นปี 62 จะใช้เงินลงทุนราว 1.5 พันล้านบาท และในอนาคตจะเพิ่มเป็น 1 ล้านลิตร/วัน โดยมองการเพิ่มกำลังการผลิตจาก 2 แนวทาง ได้แก่ การเข้าซื้อกิจการเพราะเชื่อว่าในอนาคตจะเข้าสู่ภาวะโอเวอร์ซัพพลาย ทำให้น่าจะมีบางโรงงานต้องการขายกิจการ ส่วนอีกแนวทางหนึ่งหากรัฐบาลแก้กฎหมายให้นำน้ำอ้อยมาผลิตเป็นเอทานอลได้ ก็จะขยายกำลังการผลิตอีก 2 แสนลิตร/วันเพื่อให้ครบ 1 ล้านลิตร/วันด้วยตนเอง

สำหรับการขยายกำลังการผลิตไบโอดีเซล เป็น 1 ล้านลิตร/วันนั้น จะเป็นลักษณะการขยายกำลังการผลิตแบบคอขวด (debottleneck) ใช้เงินลงทุนราว 50 ล้านบาท คาดว่าจะแล้วเสร็จปลายปี 62 โดยการใช้ไบโอดีเซลก็ยังคงมีการเติบโต ตามการใช้น้ำมันดีเซลที่ในช่วง 5 เดือนแรกของปีนี้ความต้องการใช้น้ำมันดีเซลเติบโตราว 2.8% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยความต้องการใช้ไบโอดีเซล อยู่ที่ราว 4.5 ล้านลิตร/วัน ขณะที่กำลังการผลิตไบโอดีเซลของประเทศจนถึงสิ้นปีนี้น่าจะอยู่ที่ราว 7 ล้านลิตร/วัน

ด้านนายชลัช ชินธรรมมิตร์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ BBGI กล่าวว่า บริษัทนับว่ามีความได้เปรียบทางธุรกิจจากการที่มีกลุ่มผู้ถือหุ้นรายใหญ่เป็นผู้ประกอบการชั้นนำในธุรกิจต้นน้ำและปลายน้ำของผลิตภัณฑ์เชื้อเพลิงชีวภาพ ทั้งจากกลุ่มบางจากฯและกลุ่มน้ำตาลขอนแก่น ทำให้กลุ่มบริษัทมีความมั่นคงด้านวัตถุดิบ มีความยืดหยุ่นในการบริหารจัดการการสั่งซื้อวัตถุดิบ และยังได้รับประโยชน์จากการประหยัดต่อขนาด (Economies of Scale) นอกจากนี้ยังมีพันธมิตรทางธุรกิจที่มีความเข้มแข็งและพร้อมที่จะสนับสนุนการดำเนินงานของกลุ่มบริษัทได้เป็นอย่างดี

"บริษัทนับว่ามีความได้เปรียบจากการที่เป็นผู้ผลิตเอทานอลที่มีเชื้อเพลิงหลากหลายทั้งจากกากน้ำตาล และมันสำปะหลัง ซึ่งหากมาร์จิ้นตัวใดตัวหนึ่งลดลง ก็จะทำให้มาร์จิ้นภาพรวมคงที่ไม่หวือหวา สามารถบริหารจัดการต้นทุนได้...พื้นฐานของเราคือการทำเอทานอลและไบโอดีเซล หากความต้องการใช้หยุดชะงักหรือลดลง เราก็เตรียมพร้อมก้าวไปสู่ธุรกิจอื่นที่จะเป็นก้าวต่อไปของกลุ่มบริษัท"นายชลัช กล่าว

อนึ่ง BBGI ได้ยื่นแบบเสนอขายหุ้นให้กับประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เพื่อเสนอขายหุ้น IPO จำนวน 216.60 ล้านหุ้นให้กับนักลงทุนทั่วไป ,ผู้ถือหุ้นเดิมของ BCP และ KSL โดยมี บล.กสิกรไทย, บล.บัวหลวง และ บล.ฟินันซ่า เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน และเป็นผู้จัดการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย ซึ่งเบื้องต้นคาดว่าจะสามารถเข้าจดทะเบียนตลาดหลักทรัพย์ฯได้ในราวไตรมาส 4/61
pakapong_u
Verified User
โพสต์: 40089
ผู้ติดตาม: 1

Re: BBGI

โพสต์ที่ 8

โพสต์

'บีบีจีไอ'ทุ่ม1.55พันล้านเร่งแผนรุกธุรกิจชีวภาพ
Source - กรุงเทพธุรกิจ (Th)

Wednesday, July 25, 2018 05:17

ลุ้นรัฐปลดล็อกน้ำอ้อย ผลิตสินค้าใหม่
กรุงเทพธุรกิจ "บีบีจีไอ" เตรียมงบ 1,550 ล้าน ขยายกำลังผลิตเอทานอลเป็น 8 แสนลิตรต่อวัน ไบโอดีเซลแตะ1 ล้านลิตรต่อวัน สิ้นปี 2562 พร้อมรุกธุรกิจผลิตภัณฑ์ชีวภาพมูลค่าสูง คาดแผนลงทุนชัดเจนสิ้นปีนี้ เล็งใช้เงินลงทุนไม่เกิน 100 ล้านดอลลาร์ต่อผลิตภัณฑ์
นายพงษ์ชัย ชัยจิรวิวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท บีบีจีไอ จำกัด (มหาชน) หรือ บีบีจีไอ เปิดเผยว่าบริษัทมีแผนจะใช้เงินลงทุน 1,550 ล้านบาท เพื่อขยายกำลังผลิตเอทานอลและ ไบโอดีเซล (B100) แบ่งเป็นในส่วนของเอทานอล 1,500 ล้านบาท เพื่อขยาย กำลังผลิตจากปัจจุบันอยู่ที่ 5 แสนลิตร ต่อวัน เป็น 8 แสนลิตรต่อวัน และมี เป้าหมายขยายเป็น 1 ล้านลิตรต่อวันในระยะต่อไป ส่วนไบโอดีเซลจะใช้เงินลงทุน 50 ล้านบาท เพื่อขยายกำลังผลิต จากปัจจุบันอยู่ที่ 9.3 แสนลิตรต่อวัน เป็น 1 ล้านลิตรต่อวัน ภายในสิ้นปี 2562
"การขยายกำลังผลิตต้องรอดูความต้องการใช้ในประเทศว่าจะเพิ่มจากปัจจุบันที่ 4.5 ล้านลิตรต่อวันได้หรือไม่ ขณะที่กำลังผลิตในประเทศยังอยู่ที่ 6 ล้านลิตรต่อวัน ซึ่งการขยายกำลังผลิตจะไม่ลงทุนเครื่องจักรใหม่แต่จะมองหาพาร์ทเนอร์ หรือกรณีรัฐเปิดปลดล็อกให้นำน้ำอ้อยมาผลิตเป็นอย่างอื่นได้ บริษัทก็พร้อมที่จะขยายได้ทันที"
ปัจจุบันหากรวมกำลังการผลิตทั้งเอทานอลและไบโอดีเซล จะอยู่ที่ 1.4 ล้านลิตรต่อวัน ถือเป็นกำลังการผลิตเชื้อเพลิงชีวภาพ (ไบโอฟิล) ครบวงจร และมีปริมาณมากสุดในประเทศ โดยผลิต ได้จากกากน้ำตาล มันสำปะหลัง และ ไบโอดีเซลจากปาล์ม
สำหรับการขยายกำลังการผลิต เพิ่มขึ้นนั้น เนื่องจากมองว่าความต้องการใช้น้ำมันจะยังเป็นขาขึ้นในช่วง 10 ข้างหน้า แม้ว่าแนวโน้มของยานยนต์ไฟฟ้า (EV) จะเพิ่มขึ้น แต่จะยังไม่มากนักในช่วง 10 ปีนี้ อีกทั้งภาครัฐยังมีนโยบายสนับสนุนการใช้เอทานอลผ่านการจำหน่ายน้ำมัน แก๊สโซฮอล์ ทั้งโซฮอล์ E20 และ E85 รวมถึงการใช้ไบโอดีเซลผ่านการจำหน่าย น้ำมันไบโอดีเซล B7 สำหรับรถทั่วไป และ B20 สำหรับรถบรรทุก รถสาธารณะ เป็นต้น ซึ่งในอนาคตหากผลการทดสอบให้ใช้ B10 สำหรับรถทั่วไปใช้ได้ จะทำให้ความต้องการใช้สูงขึ้น ดังนั้นบริษัทจึง ต้องเตรียมความพร้อมรองรับการใช้ที่มากขึ้นเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาการขาดแคลนในอนาคต
ปัจจุบันมีความต้องการนำเอทานอลและไบโอดีเซลไปผสมในน้ำมันเฉลี่ย 15% ในทุกผลิตภัณฑ์ โดยแนวโน้มการใช้ แก๊สโซฮอล์เติบโตปีละ 4-5% ซึ่งจะทำให้ความต้องการใช้เอทานอลเติบโตได้ปีละ 6-7% ต่อปี ส่วนภาพรวมความต้องการใช้เอทานอลของประเทศอยู่ที่ 4.4 ล้านลิตร ต่อวัน และไบโอดีเซลอยู่ที่ 4.5 ล้านลิตร ต่อวัน จากนโยบายส่งเสริมการใช้ B20 นี้คาดว่าจะทำให้ความต้องการใช้ไบโอดีเซลเติบโตเป็น 7 ล้านลิตรต่อวันในสิ้นปี 2561
นอกจากนี้ในช่วงครึ่งปีหลัง บริษัทจะขยายธุรกิจไปยังผลิตภัณฑ์ชีวภาพ ที่มีมูลค่าสูงในอนาคต ทางด้านธุรกิจ เอทานอล, ผลิตภัณฑ์ชีวภาพ เพื่อตอบโจทย์เรื่องการช่วยเหลือด้านสิ่งแวดล้อม รวมถึงธุรกิจผลิตภัณฑ์อาหารเสริม และเครื่องสำอาง เพื่อต่อยอดงานวิจัยในด้านเพาะเลี้ยงสาหร่ายเพื่อผลิตสาร สกัดมูลค่าสูง เป็นอาหารเสริมและ เครื่องสำอาง
โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการคัดเลือกเทคโนโลยีที่ดีที่สุดจากหลายประเทศ ทั่วโลก เช่น สหรัฐ สหภาพยุโรป จีน เป็นต้น คาดว่าจะมีความชัดเจนในสิ้นปีนี้ เป้าหมายจะใช้เงินลงทุนไม่เกิน 100 ล้านดอลลาร์ ต่อผลิตภัณฑ์ และใช้เวลา 3 ปีในการลงทุนสร้างโรงงานจนมีผลผลิตวางตลาด
ด้าน นายชลัช ชินธรรมมิตร์ กรรมการ ผู้จัดการใหญ่ บริษัท บีบีจีไอ จำกัด (มหาชน) หรือ บีบีจีไอ กล่าวว่าบริษัทมีความได้เปรียบทางธุรกิจจากการที่มีกลุ่มผู้ถือหุ้นรายใหญ่เป็นผู้ประกอบการชั้นนำในธุรกิจต้นน้ำและปลายน้ำของผลิตภัณฑ์เชื้อเพลิงชีวภาพ จากกลุ่มบางจากฯ และกลุ่มน้ำตาลขอนแก่น ทำให้มีความมั่นคงด้านวัตถุดิบ มีความยืดหยุ่นในการบริหารจัดการ การสั่งซื้อวัตถุดิบ และยังได้รับประโยชน์จากการประหยัดต่อขนาด นอกจากนี้ยังมีพันธมิตรทางธุรกิจที่มีความเข้มแข็งและพร้อมที่จะสนับสนุนการดำเนินงานของกลุ่มบริษัทได้เป็นอย่างดี
ส่วนการเข้าจดทะเบียนในตลาด หลักทรัพย์ คาดว่าจะแล้วเสร็จในไตรมาสสุดท้ายปีนี้ โดยได้ยื่นแบบเสนอขายหุ้นครั้งแรก (IPO) ไปแล้ว--จบ--

ที่มา: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ
pakapong_u
Verified User
โพสต์: 40089
ผู้ติดตาม: 1

Re: BBGI

โพสต์ที่ 9

โพสต์

บีบีจีไอรุกอุตฯชีวภาพ จี้รัฐเร่งนโยบายส่งเสริม

"บีบีจีไอ"เร่งสรุปพื้นที่ลงทุนโรงงานผลิตภัณฑ์ชีวภาพภายในไตรมาส 3 ก่อนชงบอร์ดไฟเขียวลงทุนปลายปีนี้ พร้อมจี้รัฐเร่งออกนโยบายส่งเสริมการใช้ผลิตภัณฑ์ชีวภาพอย่างเป็นรูปธรรมในช่วง 5-10 ปีข้างหน้า

บริษัท บีบีจีไอ จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่างกลุ่มบางจาก (60%) และกลุ่มนํ้าตาลขอนแก่น (KSL)(40%) ล่าสุดเตรียมนำแผนลงทุนธุรกิจผลิตภัณฑ์ชีวภาพที่มีมูลค่าสูง (High Value Products) ด้านธุรกิจเอทานอล และผลิตภัณฑ์ชีวภาพ (Bio Based) เสนอเข้าที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท(บอร์ด) ในช่วงปลายปีนี้ โดยในระหว่างนี้ได้เร่งหาพื้นที่ให้เหมาะสมกับโครงการ คาดว่าจะสรุปด้านพื้นที่ลงทุนได้ภายใน 1-2 เดือนนี้



นายชลัช ชินธรรมมิตร์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บีบีจีไอ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า บริษัท อยู่ระหว่างสรุปโครงการลงทุน ซึ่งขณะนี้พิจารณาอยู่ 4-5 โครงการ แต่จะต้องคัดเลือกโครงการที่มีความเป็นไปได้ในการลงทุนก่อน จากนั้นจะต้องกลับมาดูวัตถุดิบ เช่น อ้อยและมันสำปะหลัง เพื่อนำไปสู่การสรุปด้านพื้นที่ก่อสร้างโรงงานต่อไประหว่างจังหวัดฉะเชิงเทราและสระแก้ว คาดว่าจะมีความชัดเจนภายในไตรมาส 3 ของปีนี้




แต่สิ่งที่ยังเป็นอุปสรรคต่อการต่อยอดไปยังธุรกิจ Bio Based คือ ราคาวัตถุดิบที่สวิงตัวพอสมควรเพราะอาจมการแทรกแซงราคาบ่อยครั้ง ส่งผลให้ราคาวัตถุดิบไม่เป็นไปตามกลไกตลาดโลก นอกจากนี้ตลาดผลิตภัณฑ์ชีวภาพในประเทศยังไม่ชัดเจนมากนัก ดังนั้นภาครัฐควรออกนโยบายเพื่อกระตุ้นหรือส่งเสริมการใช้ผลิตภัณฑ์ชีวภาพ โดยกำหนดการใช้อย่างชัดเจนในช่วง 5-10 ปีข้างหน้า


ทั้งนี้ เชื่อว่านโยบายจากภาครัฐที่ชัดเจน จะช่วยให้เกิดการลงทุนธุรกิจผลิตภัณฑ์ชีวภาพตั้งแต่ต้นนํ้า-ปลายนํ้า โดยนักลงทุนต่างชาติที่มีเทคโนโลยีและมองไทยเป็นอุตสาหกรรมชีวภาพ(Bio Industry) ดังนั้นการกำหนดสัดส่วนความต้องการใช้ผลิตภัณฑ์ชีวภาพ หรือพลาสติกชีวภาพ เพื่อทดแทนหรือผสมในพลาสติกทั่วไป ต้องมีความชัดเจนก่อน จากนั้นจึงจะสามารถตอบได้ว่าตลาดผลิตภัณฑ์ชีวภาพเติบโตปีละกี่เปอร์เซ็นต์ จากนั้นเชื่อว่าอีกไม่กี่ปีข้างหน้าต้นทุนพลาสติกชีวภาพจะสามารถแข่งขันกับพลาสติกทั่วไปได้ จากปัจจุบันราคาสูงกว่า 2 เท่า

“บริษัทอยู่ระหว่างสรุปโครงการลงทุน จากนั้นต้องมาดูว่าจะใช้วัตถุดิบอะไร พื้นที่ใดที่เหมาะสม คาดว่าจะมีความชัดเจนภายใน 1-2 เดือนนี้ เพราะทางบางจากก็มีพื้นที่จังหวัดฉะเชิงเทรา ขณะที่ KSL ก็มีพื้นที่จังหวัดสระแก้ว ซึ่งมีวัตถุดิบคืออ้อย นํ้าตาล ดังนั้นต้องสรุปโครงการลงทุนก่อน จากนั้นจึงเลือกพื้นที่ลงทุนได้” นายชลัช กล่าว

หน้า 8 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 38 ฉบับ 3,391 วันที่ 12-15 สิงหาคม 2561
pakapong_u
Verified User
โพสต์: 40089
ผู้ติดตาม: 1

Re: BBGI

โพสต์ที่ 10

โพสต์

BBGI ส่อเลื่อนไอพีโอปีหน้า ตลาดไม่เอื้อ

17/08/2018BCP
บางจากฯส่งสัญญาณเลื่อนขายไอพีโอบริษัทย่อย BBGI ข้ามไปปีหน้า เหตุตลาดหุ้นผันผวนสูง จากปัจจัยต่างประเทศ แบ่งรับแบ่งสู้ หากภาวะปกติพร้อมจะเข้าตามเวลาเดิม ไตรมาส 3 หรือ 4 ปีนี้

นายชัยวัฒน์ โควาวิสารัช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น (BCP) เปิดเผยว่า บริษัทอาจตัดสินใจเลื่อนนำบริษัทย่อย คือ บีบีจีไอ (BBGI) ซึ่งดำเนินธุรกิจผลิตภัณฑ์ชีวภาพ เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยไปเป็นต้นปี 2562 จากเดิมที่คาดว่าจะเข้าจดทะเบียนได้ในช่วงปลายไตรมาส 3 หรือต้นไตรมาส 4/2561 เนื่องจากภาวะตลาดหุ้นยังมีความผันผวนค่อนข้างสูง จากปัจจัยต่างประเทศที่กดดันอย่างต่อเนื่อง ทั้งสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน และวิกฤติค่าเงินตุรกี ซึ่งส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นในภูมิภาครวมถึงตลาดหุ้นไทย

“บริษัทขอรอดูจังหวะที่เหมาะสมในการนำ BBGI เข้าจดทะเบียนฯก่อน แต่หากตลาดหุ้นกลับเข้าสู่ภาวะปกติ ก็จะนำบริษัท BBGI เข้าจดทะเบียนตามแผนเดิม “นายชัยวัฒน์ กล่าว

สำหรับผลการดำเนินงานในปีนี้ BCP ยังคงเป้าหมายกำไรสุทธิใกล้เคียงกับปีก่อนที่มีกำไร 5,780 ล้านบาท คาดครึ่งปีหลังโรงกลั่นสามารถกลับมาเดินเครื่องได้เต็มกำลังการผลิตเป็น 1.2 แสนบาร์เรล/วัน หลังปิดซ่อมบำรุงไป 45 วันในช่วงไตรมาส 2 ทำให้ปริมาณการกลั่นลดเหลือประมาณ 6 หมื่นบาร์เรล/วัน
pakapong_u
Verified User
โพสต์: 40089
ผู้ติดตาม: 1

Re: BBGI

โพสต์ที่ 11

โพสต์

BCP เล็งเลื่อนส่งบ.ย่อย “BBGI” เข้าเทรดไปปี 62 หวั่นตลาดฯผันผวนทำหุ้น IPO ซบเซา

นายชัยวัฒน์ โควาวิสารัช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ BCP เปิดเผยว่า บริษัทอาจตัดสินใจเลื่อนนำบริษัทย่อย คือ บริษัท บีบีจีไอ จำกัด (มหาชน) หรือ BBGI ซึ่งดำเนินธุรกิจผลิตภัณฑ์ชีวภาพ เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ไปเป็นต้นปี 62 จากเดิมที่คาดว่าจะเข้าจดทะเบียนได้ในช่วงปลายไตรมาส 3/61 หรือต้นไตรมาส 4/61 เนื่องจากภาวะตลาดหุ้นยังมีความผันผวนค่อนข้างสูง จากปัจจัยภายนอกที่กดดันอย่างต่อเนื่อง ทั้งสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน และวิกฤติค่าเงินตุรกี ซึ่งส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นในภูมิภาครวมถึงตลาดหุ้นไทย

“บริษัทขอรอดูจังหวะที่เหมาะสมในการนำ BBGI เข้าจดทะเบียนฯก่อน แต่อย่างไรก็ตามหากตลาดหุ้นไทยกลับเข้าสู่ภาวะปกติ ก็จะนำบริษัทย่อยเข้าจดทะเบียนฯ ตามแผนเดิมที่กำหนดไว้” นายชัยวัฒน์ กล่าว

สำหรับผลประกอบการในปีนี้ BCP ยังคงเป้าหมายกำไรสุทธิใกล้เคียงกับปีก่อนที่มีกำไร 5.78 พันล้านบาท โดยในครึ่งปีหลังนี้โรงกลั่นสามารถกลับมาเดินเครื่องได้เต็มกำลังการผลิต หลังปิดซ่อมบำรุงไป 45 วันในช่วงไตรมาส 2/61 ทำให้ปริมาณการกลั่นลดเหลือราว 6 หมื่นบาร์เรล/วัน แต่หลังจากกลับมากลั่นได้ตามปกติทำให้ปริมาณการกลั่นเพิ่มขึ้นมาเป็น 1.2 แสนบาร์เรล/วัน
pakapong_u
Verified User
โพสต์: 40089
ผู้ติดตาม: 1

Re: BBGI

โพสต์ที่ 12

โพสต์

BBGI มั่นใจอุตฯเชื้อเพลิงชีวภาพไทยแข็งแกร่ง พร้อมร่วมมือรัฐผลักดันใช้น้ำมันที่มีส่วนผสมเอทานอล-ไบโอดีเซลเพิ่ม

--อินโฟเควสท์ โดย วิลาวัลย์ พงษ์พิทักษ์/ศศิธร โทร.02-2535000 ต่อ 345 อีเมล์: [email protected]--
ข่าวหุ้น-การเงิน สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- พุธที่ 17 ตุลาคม 2561 14:39:59 น.
BBGI มั่นใจอุตฯเชื้อเพลิงชีวภาพไทยแข็งแกร่ง พร้อมร่วมมือรัฐผลักดันใช้น้ำมันที่มีส่วนผสมเอทานอล-ไบโอดีเซลเพิ่ม
ดูรูปทั้งหมด
นายชลัช ชินธรรมมิตร์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.บีบีจีไอ (BBGI) เปิดเผยว่า ภาพรวมของอุตสาหกรรมเอทานอลไทยมีศักยภาพที่แข็งแกร่งในการสนับสนุนนโยบายของภาครัฐ ซึ่งได้วางแผนพัฒนาพลังงานทดแทนด้วยมาตรการส่งเสริมการผลิตและการใช้เอทานอล โดยมีเป้าหมายภายในปี 2579 ปริมาณการผลิตเอทานอลเพื่อทดแทนน้ำมันเบนซินจะอยู่ที่ 11.30 ล้านลิตรต่อวัน จากปี 2560 ที่มีปริมาณการใช้เอทานอลอยู่ที่ 3.91 ล้านลิตรต่อวัน โดยตั้งแต่ปี 2550-2560 ปริมาณการใช้เอทานอลมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปีอยู่ที่ร้อยละ 19.8

อย่างไรก็ตาม ภาคเอกชนไทยมีศักยภาพและพร้อมลงทุนเพิ่มกำลังการผลิตเอทานอล ทั้งนี้ ปัจจุบันประเทศไทยมีกำลังการผลิตเอทานอลรวม 5.79 ล้านลิตร จากฐานการผลิตรวม 26 โรงงาน ซึ่งวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิตส่วนใหญ่มาจากกากน้ำตาลที่เป็นผลพลอยได้จากกระบวนการผลิตน้ำตาล โดยในปี 2560 มีปริมาณกากน้ำตาลที่เหลือจากการบริโภค และสามารถนำมาผลิตเอทานอลได้ประมาณ 5.00 ล้านตัน และคาดว่าจะเพิ่มเป็น 5.79 ล้านตัน ในปี 2562 ซึ่งกากน้ำตาลดังกล่าวสามารถนำมาผลิตเอทานอลได้ประมาณ 3.29 ล้านลิตรต่อวันในปี 2560 และ 3.81 ล้านลิตรต่อวันในปี 2562 ดังนั้น อุตสาหกรรมเอทานอลของไทยมีความมั่นคงด้านวัตถุดิบที่เพียงพอที่จะสนับสนุนนโยบายของภาครัฐที่ต้องการผลักดันการใช้เอทานอลเป็นส่วนผสมในน้ำมันเชื้อเพลิงให้มากขึ้น

"ในฐานะที่เราเป็นหนึ่งในผู้ผลิตเอทานอลรายใหญ่ของประเทศ เราพร้อมลงทุนขยายกำลังการผลิตเพื่อสนับสนุนภาครัฐที่มีเป้าหมายผลักดันการใช้เอทานอลเพื่อทดแทนการใช้น้ำมันเบนซิน เนื่องจากเรามีความมั่นคงด้านวัตถุดิบจากกากน้ำตาลที่สามารถนำมาผลิตเป็นเอทานอลในปริมาณมากพอ" นายชลัช กล่าว

นายชลัช กล่าวว่า จากข้อมูลในระหว่างปี 2556-2560 ปริมาณการใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล์ E85 (น้ำมันเบนซินที่ผสมเอทานอลในอัตราส่วนร้อยละ 85) ซึ่งเป็นน้ำมันที่มีอัตราการผสมเอทานอลสูงที่สุด เพิ่มขึ้นจาก 141.57 ล้านลิตรต่อปี เป็น 383.36 ล้านลิตรต่อปี และปริมาณการใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล์ E20 (น้ำมันเบนซินที่ผสมเอทานอลในอัตราส่วนร้อยละ 20) เพิ่มขึ้นจาก 962.73 ล้านลิตรต่อปี เป็น 1,903.26 ล้านลิตรต่อปี ซึ่งภาคเอกชนอยากเห็นภาครัฐมีมาตรการส่งเสริมและกระตุ้นให้มีการใช้เชื้อเพลิงที่มีส่วนผสมของเอทานอลในยานยนต์ให้มากขึ้น โดยต้องมีแนวปฏิบัติและระยะเวลาที่ชัดเจน เพื่อผลักดันปริมาณการใช้เอทานอลเป็นเชื้อเพลิงให้เพิ่มขึ้นเฉลี่ยไม่ต่ำกว่าร้อยละ 10 ตามเป้าหมายที่ภาครัฐกำหนด

สำหรับอุตสาหกรรมไบโอดีเซล ผลผลิตน้ำมันปาล์มดิบในประเทศไทยมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยร้อยละ 9.6 ต่อปี ในระหว่างปี 2550-2560 และมีน้ำมันปาล์มดิบที่เพียงพอต่อการสนับสนุนอุตสาหกรรมไบโอดีเซล สามารถรองรับความต้องการใช้เชื้อเพลิงในกลุ่มน้ำมันดีเซลที่เติบโตอย่างต่อเนื่องได้เป็นอย่างดี ดังนั้น ภาคเอกชนจึงอยากเห็นมาตรการส่งเสริมการใช้น้ำมันดีเซลหมุนเร็ว B10 (น้ำมันดีเซลที่ผสมไบโอดีเซลในอัตราส่วนร้อยละ 10) แทนน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว B7 (น้ำมันดีเซลที่ผสมไบโอดีเซลในอัตราส่วนร้อยละ 7) ในเชิงพาณิชย์จากภาครัฐที่ชัดเจนขึ้น เพื่อกระตุ้นให้เกิดการใช้ไบโอดีเซลและรักษาสมดุลปริมาณการใช้น้ำมันปาล์มดิบในประเทศ นอกจากนี้ ยังสามารถช่วยลดการนำเข้าน้ำมันจากต่างประเทศและลดภาระค่าใช้จ่ายด้านพลังงานให้แก่ประชาชนในช่วงที่น้ำมันอยู่ในทิศทางขาขึ้น รวมถึงสามารถช่วยเหลือเกษตรกรได้อีกทางหนึ่งด้วย

"เราอยากเห็นแนวทางที่ชัดเจนของภาครัฐในการดำเนินมาตรการส่งเสริมการใช้เชื้อเพลิงที่มีส่วนผสมของเอทานอลและไบโอดีเซลให้มากขึ้น เช่น น้ำมันแก๊สโซฮอล์ E20 น้ำมันแก๊สโซฮอล์ E85 และน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว B10 เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายด้านพลังงานแก่ประชาชนและสร้างความมั่นใจให้กับผู้ประกอบการในการที่จะขยายกำลังการผลิตเพื่อรองรับความต้องการใช้งานในระยะยาว"นายชลัช กล่าว

อนึ่ง BBGI ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนระหว่าง บมจ.บางจาก คอร์ปอเรชั่น (BCP) และบมจ.น้ำตาลขอนแก่น (KSL) โดยเป็นบริษัทโฮลดิ้งที่เข้าลงทุนในบริษัทอื่นที่ดำเนินธุรกิจผลิตภัณฑ์เชื้อเพลิงชีวภาพ ได้แก่ ธุรกิจผลิตและจำหน่ายเอทานอล ไบโอดีเซลและผลิตภัณฑ์พลอยได้ รวมถึงผลิตภัณฑ์เกี่ยวเนื่องกับผลิตภัณฑ์ดังกล่าว
pakapong_u
Verified User
โพสต์: 40089
ผู้ติดตาม: 1

Re: BBGI

โพสต์ที่ 13

โพสต์

5 หุ้นใหม่เดินหน้าเข้า mai – DO ขอต่ออายุ IPO 6 เดือน

04/04/2019DO, Exclusive News, IPO
HoonSmart.com>>นักลงทุนมีความเชื่อมั่น IPO ดีขึ้น ออลล์ อินสไปร์ฯ -วี.แอล.เอ็นเตอร์ไพรส์-อรินสิริ แลนด์-มิตรสิบฯ เตรียมนำหุ้นเข้าตลาด mai ไตรมาส 2 ส่วน บูทิค คอร์ปอเรชั่นเข้าครึ่งปีหลัง สำหรับหุ้นขนาดใหญ่ DO ขอต่อเวลา 6 เดือน รอดูภาวะตลาดหุ้นให้ชัดเจนก่อน กังวลเศรษฐกิจโลกชะลอ การจัดตั้งรัฐบาลใหม่ยืดเยื้อ

นายสัมฤทธิ์ชัย ตั้งหะรัฐ กรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวาณิชธนกิจ 1 บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) คันทรี่ กรุ๊ป ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินบริษัท มิตรสิบ ลิสซิ่ง (MITSIB)และบริษัท อรินสิริ แลนด์ (ARIN) คาดว่าทั้ง 2 บริษัท จะเสนอขายหุ้นให้ประชาชนครั้งแรก (IPO) ได้ในไตรมาส 2 ปีนี้ เชื่อว่านักลงทุนจะให้ความสนใจจองซื้อหุ้น และเริ่มกลับมามีความเชื่อมั่นต่อการลงทุนมากขึ้น หลังจาก บริษัท เซน คอร์ปอเรชั่น กรุ๊ป (ZEN) และบริษัท โกลบอล เซอร์วิส เซ็นเตอร์ (GSC) ที่เข้ามาซื้อขายก่อนหน้านี้ ราคาสูงกว่าจองในวันแรก สร้างผลตอบแทนให้แก่นักลงทุนได้ในระดับหนึ่ง

ZEN เข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(SET) เมื่อวันที่ 20 ก.พ.2562 ราคาจองอยู่ที่ 13 บาท ปิดวันแรกอยู่ที่ 15.20 บาท เพิ่มขึ้น 16.92% ส่วนหุ้น GSC เข้า mai วันที่ 13 มี.ค. 2562 ราคาจองที่ 1.70 บาท ปิดวันแรกอยู่ที่ 2.50 บาท เพิ่มขึ้น 47.06%



นายสัมฤทธิ์ชัย กล่าวว่า ARIN เป็นผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำในพื้นที่จังหวัดชลบุรี และภาคตะวันออก พบว่าความต้องการอสังหาริมทรัพย์ยังมีอีกมาก และเป็นความต้องการที่แท้จริง ไม่ใช่เป็นการซื้อเพื่อการเก็งกำไรเหมือนในกรุงเทพฯ และหุ้น MITSIB ซึ่งเป็นผู้ให้บริการเช่าซื้อรถแท็กซี่และรถขนส่งสาธารณะ ก็มีแนวโน้มการเติบโตที่ดี ส่วนเงินที่ได้จากการระดมทุนของทั้ง 2 บริษัทมีแผนที่จะไปขยายธุรกิจ MITSIB นำไปขยายสินเชื่อ ส่วน ARIN นำไปลงทุนในโครงการอสังหาริมทรัพย์ต่อไป

ด้านนายเล็ก สิขรวิทย กรรมการผู้อำนวยการ บริษัท ที่ปรึกษา เอเซีย พลัส ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินบริษัท ออลล์ อินสไปร์ ดีเวลลอปเม้นท์ (ALL) และบริษัท บูทิค คอร์ปอเรชั่น (BC) กล่าวว่า ขณะนี้หุ้น ALL และ BC ได้รับการอนุมัติให้ขายหุ้นได้แล้ว ตามแผนงานที่วางไว้ ALL จะนำเสนอข้อมูล(โรดโชว์)ในต้นเดือน เม.ย.นี้ และหุ้นเข้าซื้อขายได้ประมาณไตรมาส 2 ปีนี้ ส่วนหุ้น BC จะเข้าซื้อขายในตลาด mai ในครึ่งปีหลัง

“เรายังเดินหน้าตามแผนเหมือนเดิม ตลาดหุ้นตอนนี้ก็เริ่มนิ่งๆ แล้ว ส่วนการจัดตั้งรัฐบาลที่ยังยืดเยื้อ ก็ไม่น่าจะมีผลกระทบกับหุ้นที่เราทำ เพราะหุ้นออลล์ อินสไปร์ และหุ้นบูทิคฯ ไม่ใช่เป็นหุ้นที่มีขนาดใหญ่มาก การขายก็ไม่น่าจะยาก จึงไม่เป็นห่วง รวมถึงหุ้นทั้ง 2 บริษัทก็มีปัจจัยพื้นฐานที่ดี”นายเล็ก กล่าว

นายเอกจักร บัวหภักดี กรรมการผู้จัดการ บริษัท แคปปิตอล วัน พาร์ทเนอร์ ซึ่งเป็นบริษัทในเครือบล.โกลเบล็ก ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน บริษัท วี.แอล.เอ็นเตอร์ไพรส์ (VL) คาดว่าหุ้นจะเข้าจดทะเบียนในตลาด mai ภายในไตรมาส 2 นี้ ขณะนี้อยู่ระหว่างการโรดโชว์ใน 4 จังหวัด ที่ขอนแก่น, เชียงใหม่, สงขลา และสุดท้ายที่กรุงเทพฯ ซึ่งจากการโรดโชว์ที่ขอนแก่น และเชียงใหม่พบว่านักลงทุนให้การตอบรับที่ดี มีความเข้าใจในธุรกิจขนส่งผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมของบริษัทมากขึ้น อย่างไรก็ตามในช่วงใกล้จะเสนอขายหุ้น ก็รอดูภาวะตลาดหุ้นอีกครั้งว่าเป็นอย่างไร คาดว่าเมื่อมีการจัดตั้งรัฐบาลได้เรียบร้อย จะทำให้สถานการณ์การเมืองนิ่งขึ้น ขณะที่ปัจจัยต่างประเทศ ก็เป็นอีกปัจจัยที่ต้องติดตาม

นายพงศ์ศักดิ์ พฤษ์ไพศาล กรรมการผู้จัดการ บล.กสิกรไทย ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินร่วม บริษัท ดูโฮม (DO) กล่าวว่า ขณะนี้ได้ขอขยายระยะเวลาเสนอขายหุ้น IPO ของ DO ออกไปอีก 6 เดือน ส่วนจะเสนอขายหุ้นในช่วงเวลาใด ยังระบุไม่ได้เพราะจะต้องรอหารือกับผู้บริหาร DO รวมถึงบล.ภัทร ซึ่งเป็นที่ปรึกษาทางการเงินอีกแห่งหนึ่งก่อน หากมีความพร้อมในทุกด้านก็สามารถเสนอขายได้ทันที

สำหรับบริษัท DO จะเสนอขายหุ้นไม่เกิน 524.16 ล้านหุ้น พาร์หุ้นละ 1 บาท เพื่อเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(SET) ดำเนินธุรกิจค้าปลีก ค้าส่ง และให้บริการด้านวัสดุก่อสร้างและอุปกรณ์ตกแต่งบ้านแบบครบวงจร ภายใต้แนวคิด “ครบ ถูก ดี…ที่ดูโฮม” มีสาขาทั้งสิ้น 9 สาขา ได้แก่ อุบลราชธานี นครราชสีมา รังสิต ขอนแก่น อุดรธานี พระราม 2 บางบัวทอง เชียงใหม่ และบางนา

ส่วนหุ้นบริษัท บีบีจีไอ (BBGI) ได้ถอนแบบไฟลิ่งออกไปก่อน ยังไม่เข้าจดทะเบียนในปีนี้ ตามที่ผู้บริหารบริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น (BCP) ได้ระบุว่าผลการดำเนินงานปีนี้ไม่เป็นไปตามที่คาดการณ์ รวมถึงบริษัทอยู่ระหว่างการหาพันธมิตรเข้ามาร่วมทำธุรกิจ

แหล่งข่าวจากวงการวาณิชธนกิจ กล่าวว่า ภาวะตลาดหุ้นที่ยังมีความผันผวน เนื่องจากความกังวลเศรษฐกิจโลก รวมถึงความไม่แน่นอนทางการเมือง ส่วนหนึ่งทำให้หุ้น IPO บางบริษัทที่ได้รับการอนุมัติแล้ว ขอชะลอการขายออกไป เพื่อรอดูทิศทางให้ชัดเจนก่อน เพราะหากปัจจัยต่างๆ ยังไม่แน่นอน จะทำให้การวางแผนเสนอขายหุ้นเป็นไปได้ลำบาก หากบริษัทใดไม่เร่งรีบที่จะต้องการระดมทุน ก็จะรอให้ปัจจัยต่างๆ ชัดเจนก่อนถึงตัดสินใจขายหุ้น

ปัจจุบันมีหุ้นที่ได้รับอนุมัติให้ขาย IPO แล้ว และยังไม่ได้กำหนดระยะเวลาเสนอขายประกอบด้วย บริษัท DO , บริษัท วีรันดา รีสอร์ท (VRANDA)จะเข้า SET เสนอขายจำนวน 75 ล้านหุ้น พาร์หุ้นละ 5 บาท ดำเนินธุรกิจโรงแรม พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ และร้านอาหาร

ส่วนบริษัทที่ได้รับอนุมัติไฟลิ่งแล้ว เพื่อจะเข้า mai ได้แก่ บริษัท ชิค รีพับบลิค (CHIC)เสนอขาย 360 ล้านหุ้น พาร์หุ้นละ 0.50 บาท ดำเนินธุรกิจศูนย์รวมจัดจำหน่ายเฟอร์นิเจอร์ สินค้าตกแต่งบ้านอย่างครบวงจร และบริษัท ออโตคอร์ป โฮลดิ้ง (ACG) เสนอขาย 156 ล้านหุ้น พาร์ 0.50 บาท เป็นโฮลดิ้ง คอมปานี ถือหุ้น 99.58% ในบริษัทแกน คือ บริษัท ฮอนด้ามะลิวัลย์ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทผู้จำหน่ายและศูนย์บริการรถยนต์ยี่ห้อ “ฮอนด้า”
โพสต์โพสต์