การวางแผนเกษียณผ่านการจัดทัพอย่างไรให้ประสบความสำเร็จ

การลงทุนแบบเน้นคุณค่า เน้นที่ปัจจัยพื้นฐานเป็นหลัก

โพสต์ โพสต์
amornkowa
Verified User
โพสต์: 2195
ผู้ติดตาม: 0

การวางแผนเกษียณผ่านการจัดทัพอย่างไรให้ประสบความสำเร็จ

โพสต์ที่ 1

โพสต์

จัดทัพอย่างไรให้ประสบความสำเร็จ โดย ดร สมจินต์ ศรไพศาล CEO บลจ ทหารไทย

มีขึ้นตอนหลักๆอยู่3ข้อคือ
1.การตัดสินใจที่สำคัญ
2.ลงทุนอย่างมีหลัก
3.เครื่องมือที่ช่วยในการวางแผน

อันแรกสุดคือเป้าหมาย เราจะวัดความสำเร็จเราได้อย่างไร ถ้าจะวัดความสำเร็จ การวางแผน
การเงินก็คือ เราอยากได้อะไรในชีวิต แบ่งเป็นระยะสั้น ระยะกลาง และ ระยะยาว
ระยะสั้น ได้แก่ วัยรุ่นตั้งเป้าอยากได้มือถือ หรือ คนเริ่มทำงาน ผ่อนบ้าน ผ่อนรถ เป็นต้น
ระยะกลาง สำหรับวัยกลางคน มีครอบครัวแล้ว ก็วางแผนเพื่อจ่ายค่าเทอมลูก
ระยะยาว สำหรับคนที่วางแผนเกษียณ ก็วางแผนการเงินเพื่อให้มีเงินเพียงพอที่จับจ่ายหลังเกษียณ หรือ การวางแผนมรดก
จากการสำรวจพบว่า แผนระยะยาว เตรียมเงินให้พอสำหรับใช้ในวัยเกษียณ เป็นเรื่องที่คนคำนึงถึงเยอะสุด

คำถามแรกที่เราต้องตอบคือ ต้องเตรียมเงินเท่าไหร่ให้พอเกษียณ
แบ่งเป็น2คำตอบตามความยากในการคิด

อันแรก คำตอบแบบง่ายคือ เท่ากับ 20เท่าของค่าใช้จ่ายต่อปี โดยเงินหลังเกษียณนำไปลงทุนได้ผลตอบแทนเท่ากับเงินเฟ้อ
สำนักงานสถิติแห่งชาติ ให้ข้อมูลไว้ว่า ค่าใช้จ่ายเฉลี่ยของคนไทยต่อครอบครัวที่ใช้หลังเกษียณ
เป็นปีที่เก็บข้อมูลล่าสุดคือปี57 เท่ากับ 20,000 บาทต่อเดือน
แต่ถ้ามาใช้ในปัจจุบัน เพิ่มในส่วนของเงินเฟ้อ ประมาณว่า 25,000 บาท * 12 เดือน * 20 เท่า = 6 ล้านบาท
แต่ถ้าเราไม่ได้วางแผนแต่งงาน เงินที่มีหลังเกษียณคิดต่อคน คร่าวๆอย่างน้อยก็ต้องมี 3 ล้านบาท
Standard of livingของแต่ละคนก็ไม่เหมือนกัน ดังนั้น แต่ละคนก็ไปตั้งเป้าเองว่า
จะมีเงินหลังเกษียณเท่าไหร่ดี โดยต้องกำหนดค่าใช้จ่ายหลังเกษียณ และ จำนวนปีที่อยู่หลังเกษียณด้วย

การวางแผนการเกษียณ ต้องสนใจ3เรื่องได้แก่
1. เป้าหมาย
2. การจัดทัพลงทุน หรือ asset allocation
3. อัตราการออม

การวัดผลอย่างง่ายว่าเราจะอยู่ได้หลังเกษียณ ดูจาก Survival ratio หรือ อัตราส่วนความอยู่รอด ต้องมากกว่า1
ซึ่งมาจาก รายได้จากการทำงานหลังหักค่าใช้จ่าย เทียบกับค่าใช้จ่าย ต้องมากกว่า
อันนี้เป็นพื้นฐานที่นำไปสู่อิสระภาพทางการเงิน เราต้องคุมค่าใช้จ่ายให้ได้ มีตัวอย่างว่าคนที่มีเงินเดือนสูงขึ้นเรื่อยๆ
แต่ไม่คุมค่าใช้จ่ายปล่อยให้โตตามรายได้ พบว่าอัตราการออมต่ำกว่าคนรายได้น้อยก็มี

ถ้าต้องการเกษียณแล้วเงินใช้ หรือ โชคดีถ้าทำได้ก่อน60ปี ก็ถือว่ามีอิสรภาพทางการเงินต้องดูอัตราตัวใหม่คือ
Wealth Ratio >= 1 หมายถึง รายได้จากทรัพย์สิน มากกว่า รายจ่าย
ความมั่งคั่งมีเพิ่มขึ้นได้ มาจาก2ปัจจัย คือ การหารายได้เพิ่มขึ้น และ ลดรายจ่ายลง

รายได้แบ่งออกเป็น2แบบ
1.Active income ได้แก่ เงินเดือน ค่านายหน้า โบนัส Incentive หรือค่าเขียนหนังสือ สอนหนังสือ ถ่ายแบบ แสดงหนัง เป็นต้น
2.Passive income เป็นรายได้จากทรัพย์สินที่เราลงทุน ได้แก่ ค่าเช่าจากรถtaxi,บ้าน หรือ คอนโด เงินปันผลจากหุ้น หรือ กองทุนรวม
ดอกเบี้ยจากตราสารหนี้
ค่าใช้จ่ายได้แก่ ค่ากาแฟ บุหรี่ ค่าเหล้า หรือ ค่าอาหารที่ทานนอกบ้าน ยิ่งเป็นมนุษย์เงินเดือน จะมีส่วนนี้มาก
หลักในการเพิ่มรายได้คือ เปลี่ยนรายจ่ายเล็กน้อยที่เป็นประจำ เป็นแหล่งเงินออมที่สำคัญ
ค่าใช้จ่ายเรื่องกาแฟ สมมติว่าวันละ 100 บาท ถ้าเราไม่ทาน 10ปีเราประหยัดไป 550,000 บาท 30 ปี ก็ 4,300,000 บาท
จากหนังสือ Happy money ได้บอกไว้ว่า การทานหรือดื่มอะไรประจำ ครั้งแรกจะประทับใจมากสุด แต่ถ้าทำประจำความรู้สึกนี้ก็หายไป
ในหนังสือได้พูดถึง ดัชนี Latte factor คือกำหนดวันที่จะมาทานLatte หรือกาแฟรสชาติอื่น เป็นวันพุธ (เหมาะกับเมืองไทย เพราะเห็นหลายร้าน
มีลดรายวันพุธด้วย) ส่วนวันอื่นๆเราก็ทานกาแฟที่บ้านหรือสำนักงานแทน
ซึ่งการทำแบบนี้เราจะได้ตื่นเต้นและประทับใจกับรสชาติกาแฟเหมือนครั้งแรกที่ทานรวมทั้งได้เงินออมเพิ่มขึ้นด้วย

ส่วนเรื่องการทานข้าวนอกบ้าน ค่าใช้จ่ายแต่ละครั้ง ถ้าเราอยากออมเงินเพิ่ม เราก็ตั้งเป้าต้องออมเงินไว้ที่ภรรยาหรือสามีในอัตราเดียวกันด้วย
ค่าใช้จ่ายอีกอย่างที่ค่อนข้างใหญ่คือรถยนต์ ซึ่งเป็นตัวแทนของหน้าตาของเราในสังคม ถ้าเราเปลี่ยนมันเป็นหน้าที่ ที่คอยรับใช้เรา
เปลี่ยนพฤติกรรมการเลือกใช้รถให้เหมาะสมกับเรา ไม่ใช้รถขนาดใหญ่เกินไป รวมถึง ระยะเวลาในการเปลี่ยนรถใหม่ จากเดิม 5 ปี เป็น 8 ปี
เราสามารถประหยัดเงินได้ 3.7 ล้านบาทในช่วง30ปี แต่ถ้าเราเอาเงินจำนวนนี้ไปลงทุนก็จะกลายเป็น 17.8 ล้านบาทเมื่อเราเกษียณอายุตอน60ปี

สรุป เป้าหมายคืออันดับแรกที่ต้องมี การเตรียมเงินให้พอใช้เพื่อการเกษียณ การประสบความสำเร็จเริ่มต้นที่วันนี้
ถ้าดำเนินชีวิตที่ถูกต้อง ปฏิบัติอย่างจริงจัง นำกำไรไปสร้างทรัพย์สินก่อน ค่อยเสพสุขในภายหลัง เหมือนกับคำสุภาษิต อดเปรี้ยวไว้กินหวาน
หรือ คำสอนของคนจีนที่ว่า เสียวลี่ก่อยก่วย จี่งิ้งอ๊อกฉ่วย หมายถึงความขายหน้าไม่นานก็หายไปถ้าเราประหยัด เงินทองหายาก ต้องพยายามออมไว้มากๆ
โปรดติดตามตอนที่2 เร็วๆนี้
amornkowa
Verified User
โพสต์: 2195
ผู้ติดตาม: 0

Re: การวางแผนเกษียณผ่านการจัดทัพอย่างไรให้ประสบความสำเร็จ

โพสต์ที่ 2

โพสต์

จัดทัพอย่างไรให้ประสบความสำเร็จตอนที่2

เรามาพูดถึงปัจจัยที่สองที่มีผลต่อการจัดทัพคือ

ลงทุนอย่างมีหลัก ซึ่งมีตราสารหลายอย่างที่สามารถลงทุนได้ เช่น หุ้น ตราสารหนี้ แต่ถ้าเรามีเวลาในการลงทุนที่ยาวพอ
หุ้นขนาดเล็กจะให้ผลตอบแทนสูงสุด แต่ก็จะมีความเสี่ยงสูงสุด ราคาขึ้น ลงตลอดเวลา
แต่ถ้าเราไม่ลงทุนก็มีความเสี่ยงเพราะ เงินเฟ้อจะกัดกร่อนเงินที่เราเก็บให้มีค่าน้อยเวลาจับจ่ายซื้อของ

มาดูผลตอบแทนของแต่ละสินทรัพย์โดยเฉลี่ยต่อปีตั้งแต่ปี 1993-2017
1.Cash return 2.43% ต่อปี ลงทุน 100 บาท จะได้ 158 บาท
2.Short term Bond 3.71% ต่อปี ลงทุน 100 บาท จะได้ 200 บาท
3.Bond 5.49% ต่อปี ลงทุน 100 บาท จะได้ 276 บาท
4.SET 13.05% ต่อปี ลงทุน 100 บาท จะได้ 1028 บาท

แต่โดยเฉลี่ยที่คนธรรมดาลงทุนในหุ้นมักจะไม่ได้ผลตอบแทน13.05%โดยเฉลี่ย เพราะแต่ละปีเราพยากรณ์
ว่าหุ้นจะขึ้น หรือ ลงเท่าไหร่ ตลาดหุ้นผันผวนตลอดเวลา บางครั้งเราขายไปปรากฏว่าหุ้นขึ้น
บางครั้งพึ่งซื้อ ก็ติดดอยพอดี หมายถึงซื้อตอนราคาสูงสุด

ผลตอบแทนจากหุ้นแบ่งออกเป็นสองส่วนคือ
1. Capital gain ซึ่งเป็นส่วนเพิ่มจากราคาที่เราซื้อไป อย่าได้สนใจเฉพาะส่วนนี้อย่างเดียว ไม่เก็งกำไรระยะสั้น
2. Dividend เงินปันผลเฉลี่ยของหุ้นทั้งตลาดหลักทรัพย์ในช่วงปี1997-2017คือ 3% แต่ถ้าคิดจากดัชนีตอนปี1997
อยู่ที่ 300จุดพบว่าได้ปันผลถึง 13%ต่อปี ถ้าเรานำเงินปันผลมาลงทุนใหม่หรือ Reinvest จะได้ 10.28 ลบ
จากเงินเริ่มต้น 1 ลบ

สรุปคือ 1. เราควรถือยาวในหุ้นที่ดีหรือกองทุนรวมหุ้นเช่น TMBSET50 ให้เราถือยาวเหมือนเป็นหุ้นส่วนของบริษัท
2.เราต้องเข้าใจถึงระยะเวลาในการถือครองด้วย Horizon effect จะบอกว่าความเสี่ยงในการถือครองมากน้อยขึ้นอยู่
กับระยะเวลาในการลงทุนว่ายาวหรือสั้นด้วย แต่ถ้าถือเป็นเวลายาวมากพอเช่น 15 ปีขึ้น โอกาสการขาดทุนจะน้อยมาก
แต่ถ้าลงทุนแค่1ปี ยังมีโอกาสขาดทุน5%

Impact of 3 Keys Investment Decisions
ปัจจัยที่ทำให้ประสบในการลงทุนมี3ปัจจัย
1. Asset allocation (จัดประเภทสินทรัพย์ในกการลงทุน) มีผล 92%
2. Securities Selection (เลือกหุ้นหรือตราสาร) มีผล 5%
3. Market Timing (จับจังหวะลงทุน) มีผล 2%

ดังนั้น เราควรเน้นเรื่องการจัดสินทรัพย์ให้เหมาะสมกับเราเป็นอันดับแรก เช่น หุ้นกี่% ตราสารหนี้กี่% ตราสารทางเลือกกี่%

บทความต่อไปจะพูดถึง Purpose-Driven Asset Allocation
โพสต์โพสต์